วารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jssr วารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์ หลักสูตรบัณฑิตศึกษาภาควิชารัฐศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย th-TH วารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์ 2985-1319 <p>เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายลิขสิทธิ์&nbsp; ผู้นิพนธ์ทุกท่านต้องลงลายมือชื่อในแบบฟอร์มใบมอบลิขสิทธิ์บทความให้แก่วารสารฯ&nbsp; พร้อมกับบทความต้นฉบับที่ได้แก้ไขครั้งสุดท้าย นอกจากนี้ ผู้นิพนธ์ทุกท่านต้องยืนยันว่าบทความต้นฉบับที่ส่งมาตีพิมพ์นั้น ได้ส่งมาตีพิมพ์เฉพาะในวารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์ เพียงแห่งเดียวเท่านั้น หากมีการใช้ภาพหรือตารางหรือเนื้อหาอื่นๆ ของผู้นิพนธ์อื่นที่ปรากฏในสิ่งตีพิมพ์อื่นมาแล้ว ผู้นิพนธ์ต้องขออนุญาตเจ้าของลิขสิทธิ์ก่อน พร้อมทั้งแสดงหนังสือที่ได้รับการยินยอมต่อบรรณาธิการ ก่อนที่บทความจะได้รับการตีพิมพ์ หากไม่เป็นไปตามข้อกำหนดเบื้องต้น ทางวารสารจะถอดบทความของท่านออกโดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ทั้งสิ้น</p> ชายแดน : จากสนามแห่งความขัดแย้งสู่สะพานแห่งความร่วมมือด้านอำนาจ การค้า และการเมืองของความมั่นคงในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jssr/article/view/290740 <p>พื้นที่ชายแดนในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงมีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ ทั้งด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจ พลวัตของพื้นที่สะท้อนการปะทะและประสานผลประโยชน์ระหว่างรัฐ ทุน และชุมชน บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายพลวัตชายแดนในกรอบของความขัดแย้งและความร่วมมือ และวิเคราะห์ความสัมพันธ์เชิงอำนาจและการเมืองของความมั่นคงในระดับอนุภูมิภาค โดยใช้กรอบเศรษฐศาสตร์การเมืองเชิงวิพากษ์และความมั่นคงร่วมสมัย ผลการศึกษาพบว่า กรอบความร่วมมือระดับภูมิภาค เช่น GMS และ ACMECS แม้จะขับเคลื่อนการค้าแต่ก็เผชิญความท้าทายจากแรงงานข้ามชาติ เศรษฐกิจนอกระบบ และการกระจายผลประโยชน์ที่ไม่เท่าเทียม นอกจากนี้ เขตเศรษฐกิจพิเศษ (SEZ) ยังเพิ่มความเหลื่อมล้ำและลดอำนาจต่อรองของชุมชน องค์ความรู้ใหม่ คือ โมเดลพลวัตชายแดนแบบบูรณาการ ที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ-ทุน-ชุมชนเข้ากับมิติความมั่นคงหลายระดับ เพื่อใช้เป็นกรอบเชิงนโยบายในการเสริมสร้างความมั่นคงแบบองค์รวมและพัฒนาเศรษฐกิจชายแดนอย่างยั่งยืน</p> เยาวลักษณ์ ชาวบ้านโพธิ์ ธีรวัชร์ พุ่มดารา บริบูรณ์ ฉลอง ชนันท์ จันทร์หอม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-21 2025-10-21 14 5 262 272 ความไม่เป็นธรรมในการจัดเก็บภาษีเงินได้จากห้างหุ้นส่วนสามัญ : การวิเคราะห์เชิงนิติศาสตร์ภายใต้หลักภาษีอากรและรัฐธรรมนูญไทย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jssr/article/view/289329 <p>บทความนี้มุ่งเน้นวิเคราะห์ปัญหาความไม่เป็นธรรมในการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาต่อผู้เป็นหุ้นส่วนของห้างหุ้นส่วนสามัญและคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลในประเทศไทยซึ่งต้องเสียภาษีในระดับกิจการ และเมื่อมีการแบ่งกำไรให้ผู้เป็นหุ้นส่วนกลับต้องนำรายได้นั้นไปรวมคำนวณภาษีอีกครั้ง โดยไม่มีสิทธิขอเครดิตภาษีจากที่ได้ชำระไปแล้ว ส่งผลให้เกิดภาระภาษีซ้ำซ้อนอันขัดต่อหลักความสามารถในการเสียภาษี หลักความเป็นธรรมทางภาษีและหลักนิติธรรม โดยวิเคราะห์เชิงนิติศาสตร์และการเปรียบเทียบกับระบบภาษีในต่างประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา เยอรมนี มาเลเซีย สิงคโปร์ และสหราชอาณาจักร เพื่อเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาภาษีซ้ำซ้อนทางธุรกิจ พบว่า สหรัฐอเมริกามีระบบโครงสร้างห้างหุ้นส่วนและ LLC ที่อนุญาตให้หุ้นส่วนสามารถรับเครดิตภาษีจากต่างประเทศและเครดิตการลงทุนได้โดยตรง ช่วยลดภาระภาษีซ้อนอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนเยอรมนี มาเลเซีย สิงคโปร์ และอังกฤษ มีระบบรายได้ผ่านถึงหุ้นส่วน แต่เครดิตภาษีต่างประเทศและเครดิตการลงทุนไม่ส่งผ่านถึงหุ้นส่วนโดยตรง มีเพียงระบบเครดิตภาษีระหว่างประเทศในกรอบข้อตกลง การเก็บภาษีซ้ำซ้อนในประเทศไทย อาจขัดต่อหลักความเสมอภาคและความยุติธรรมตามรัฐธรรมนูญไทยมาตรา 27 ซึ่งกำหนดให้การจัดเก็บภาษีต้องเป็นธรรมและชอบด้วยกฎหมาย บทความนี้จึงเสนอแนวทางแก้ไข คือ บัญญัติกฎหมายให้ผู้เป็นหุ้นส่วนสามารถเครดิตภาษีได้ หรือเปลี่ยนระบบภาษีของห้างหุ้นส่วนสามัญเป็นแบบผ่านทะลุอย่างเป็นทางการ รวมถึงการใช้ข้อตกลงป้องกันภาษีซ้อนอย่างมีประสิทธิผล เพื่อธำรงไว้ซึ่งหลักนิติธรรมและความสามารถแข่งขันของธุรกิจไทยในระดับสากล</p> จักกฤษ กระต่ายวงษ์พระจันทร์ ชัชพงศ์ ภาคเดช ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-21 2025-10-21 14 5 273 285 พลธรรมกับการพัฒนาตนที่ยั่งยืนของนักกีฬา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jssr/article/view/291976 <p>บทความนี้มุ่งเสนอการประยุกต์ใช้หลักพละธรรม 5 ประการ ได้แก่ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา ว่าเป็นพลังภายในที่เกื้อหนุนการพัฒนาตนของนักกีฬาในมิติที่ลึกซึ้งและยั่งยืน ทั้งในด้านร่างกาย จิตใจ และปัญญา การศึกษาแสดงให้เห็นว่า พละธรรมมิได้เป็นเพียงหลักธรรมเชิงนามธรรม หากแต่สามารถแปลงเป็นแนวปฏิบัติที่สอดคล้องกับโลกกีฬาได้จริง โดยศรัทธาช่วยสร้างแรงบันดาลใจและความเชื่อมั่น วิริยะเสริมความเพียรพยายามและความมีวินัย สติช่วยให้รู้เท่าทันอารมณ์และควบคุมสถานการณ์ สมาธิสร้างความมั่นคงทางใจท่ามกลางแรงกดดัน และปัญญาทำให้นักกีฬาสามารถเรียนรู้และยอมรับผลลัพธ์ได้อย่างมีเหตุผล ทั้งหมดนี้หล่อหลอมให้เกิดกระบวนการพัฒนาตนที่ไม่หยุดอยู่เพียงความสำเร็จทางกาย แต่ต่อยอดสู่การเติบโตภายในที่มั่นคงยิ่งขึ้น กรณีศึกษาของนักกีฬาทั้งไทยและต่างประเทศ เช่น การฝึกสมาธิของนักกีฬาแบดมินตันทีมชาติไทย การใช้สติของเทนนิส-พาณิภัค หรือการฝึกจิตของโนวัก ยอโควิช ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงพลังของพละธรรมที่นำมาใช้ได้จริงในสนามแข่งขันและชีวิตประจำวัน โดยองค์ความรู้ใหม่ที่ได้จากการศึกษา คือ แนวคิด เกมส์ภายในของนักกีฬา ซึ่งชี้ว่าการแข่งขันที่แท้จริง คือ การแข่งขันกับตนเอง และการชนะใจตนด้วยพละธรรมคือหัวใจสำคัญของการพัฒนานักกีฬาอย่างสมบูรณ์ บทสรุปนี้จึงยืนยันว่า พละธรรมไม่เพียงเป็นทางเลือก แต่คือแนวทางสำคัญในการพัฒนาคุณลักษณะนักกีฬายุคใหม่ ให้มีพลังใจที่มั่นคง เข้าใจความหมายของความสำเร็จ และสามารถดำรงชีวิตอย่างสมดุลทั้งในและนอกสนามกีฬาได้อย่างยั่งยืน</p> ณัฐพล อันตรเสน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-21 2025-10-21 14 5 286 297 แนวคิดเรื่องการเคลื่อนที่ในคัมภีร์ประสันนปทา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jssr/article/view/289595 <p>บทความวิชาการนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาการโต้แย้งการเคลื่อนที่ในคัมภีร์ประสันนปทาปรีกษาที่ 2 ชื่อว่า คตาคตปรีกษาว่า มีมุมมองอย่างไรต่อการเคลื่อนที่ และมุ่งโต้แย้งปรัชญาสำนักใด โดยข้อมูลที่นำมาศึกษาจะเป็นข้อมูลปฐมภูมิที่ถูกบันทึกด้วยภาษาสันสกฤต อักษรเทวนาครีซึ่งถูกรวบรวมและตีพิมพ์ไว้โดย Louis de La Vallée Poussin ในหนังสือชื่อ Madhyamakavṛttiḥ: Mālamadhyamakakarikās (mādhyamikasūtras) de Nāgārjuna avec la Prasannapada Commentaire de Candrakirti ผลการศึกษาพบว่า ในคัมภีร์ประสันนปทา ปรีกษาที่ 2 การเคลื่อนที่ไม่มีจริง เป็นเพียงมายาที่เกิดจากอวิทยาคือความไม่รู้ และพบว่า มุ่งโต้แย้งสำนักปรัชญาไวภาษิกะเกี่ยวกับกาลทั้ง 3 ของการเคลื่อนที่ โดยคัดค้านกาลที่เป็นปัจจุบันและมุ่งโต้แย้งสำนักปรัชญาโยคาจารในเรื่องจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของการเคลื่อนที่ โดยนำเสนอความขัดแย้งกันเองของระบความคิด</p> ทิวา สุขุม สมบัติ มั่งมีสุขศิริ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-21 2025-10-21 14 5 298 312 การวิเคราะห์เชิงนิติศาสตร์ในการบริหารจัดการที่ดินพุทธมณฑล : การบูรณาการหลักเจตนารมณ์ของผู้บริจาคหลักกฎหมายและหลักความเป็นอิสระทางศาสนา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jssr/article/view/289261 <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์สถานะทางกฎหมายของที่ดินพุทธมณฑล ซึ่งเป็นพื้นที่ทางศาสนาที่สำคัญของประเทศไทย โดยมีต้นกำเนิดจากเจตนารมณ์ของประชาชน ผู้บริจาคเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา และจัดตั้งเป็นศูนย์กลางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเนื่องในโอกาสพุทธศตวรรษที่ 25 อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลังได้เกิดข้อขัดแย้งทางกฎหมายเมื่อกรมธนารักษ์พยายามนำที่ดินดังกล่าวขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุตามพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2562 มาตรา 8 และ 17 โดยให้เหตุผลว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากงบประมาณแผ่นดิน ขณะที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติและมหาเถรสมาคมเห็นว่า ที่ดินดังกล่าวควรมีสถานะเป็นศาสนสมบัติกลางตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 40 ซึ่งบัญญัติให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นผู้ดูแลและถือครองในนามพระศาสนา บทความนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเอกสารเพื่อวิเคราะห์หลักกฎหมายภายใน ได้แก่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 171 ซึ่งให้ความสำคัญกับเจตนาอันแท้จริงของผู้แสดงเจตนา และเปรียบเทียบกับหลักกฎหมายต่างประเทศเกี่ยวกับความเป็นอิสระขององค์กรศาสนา เช่น หลัก Religious Autonomy ในคำพิพากษาคดี Watson v. Jones ที่ศาลสูงสุดสหรัฐอเมริกาได้วางแนวทางว่ารัฐไม่ควรแทรกแซงหรือถือกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินศาสนาโดยตรง ผลการศึกษาเสนอว่า รัฐควรยึดถือเจตนารมณ์ของผู้บริจาคและหลักนิติธรรม โดยไม่ควรถือกรรมสิทธิ์ที่ดินพุทธมณฑล แต่ควรทำหน้าที่สนับสนุนและคุ้มครอง บทความเสนอให้มีการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง จัดตั้งคณะกรรมการบริหารศาสนสมบัติกลาง และจัดทำทะเบียนศาสนสมบัติอย่างเป็นระบบ เพื่อคุ้มครองทรัพย์สินศาสนาให้สอดคล้องกับหลักกฎหมายและหลักธรรม</p> จักกฤษ กระต่ายวงษ์พระจันทร์ พระเมธีวัชรประชาทร (ประยูร นนฺทิโย) ชัชพงศ์ ภาคเดช ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-21 2025-10-21 14 5 313 324 วิธีคิดแบบเสรีนิยมใหม่กับความเสื่อมถอยของเสรีประชาธิปไตย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jssr/article/view/291523 <p>โดยทั่วไปแล้ว ลัทธิเสรีนิยมใหม่ถูกนำเสนอในฐานะแนวคิดที่ดำเนินสอดคล้องไปกับระบอบเสรีประชาธิปไตย เพราะลัทธิดังกล่าวให้ความสำคัญกับเสรีภาพในการเลือกของปัจเจกบุคคลภายใต้ตลาดเสรี ซึ่งการให้ความสำคัญเช่นนี้สอดรับกับแนวคิดเรื่องเสรีภาพของปัจเจกบุคคลอันเป็นหนึ่งในแกนหลักสำคัญของเสรีประชาธิปไตย อย่างไรก็ตาม บทความชิ้นนี้เสนอว่า เสรีนิยมใหม่ในฐานะวิธีคิดในการมองโลกรูปแบบหนึ่งซึ่งเน้นแต่เพียงอรรถประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้ ผลลัพธ์ที่สามารถวัดได้ และความสำเร็จในเชิงปริมาณสามารถกัดกร่อนเสรีประชาธิปไตยได้ เนื่องจากวิธีคิดดังกล่าวนำมาซึ่งการลดความสำคัญของมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์บางสาขาวิชาลง ซึ่งวัตถุประสงค์หลักของศาสตร์เหล่านี้มิได้มุ่งผลิตสร้างอรรถประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้หรือความสำเร็จเชิงปริมาณ หากแต่มุ่งบ่มเพาะขัดเกลาปัจเจกชนพลเมืองผู้มีเหตุผล มีความรับผิดชอบ และมีความอดทนอดกลั้น อันเป็นคุณสมบัติที่จำเป็นต่อการคงอยู่ของสังคมเสรีประชาธิปไตย ในแง่นี้ ผลพวงที่ตามมาซึ่งอาจเป็นไปได้ก็ คือ ความเสื่อมของเสรีประชาธิปไตย</p> วิษธร ลีศิรเกียรติกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-21 2025-10-21 14 5 325 337 การพัฒนาและศึกษาความไม่แปรเปลี่ยนโมเดลความต้องการจำเป็นภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของนักศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jssr/article/view/293150 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาสภาพที่คาดหวังและสภาพที่เป็นจริงภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของนักศึกษา มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ 2. ศึกษาความแตกต่างระหว่างสภาพที่คาดหวังและสภาพที่เป็นจริงภาวะผู้นำเชิงจริยธรรม 3. พัฒนาโมเดลความต้องการจำเป็นภาวะผู้นำเชิงจริยธรรม 4. ตรวจสอบความไม่แปรเปลี่ยนของโมเดลความต้องการจำเป็นภาวะผู้นำเชิงจริยธรรม และ 5. ศึกษาคุณภาพโมเดลและสารสนเทศที่ได้จากโมเดล การวิจัยเชิงปริมาณ ใช้ข้อมูลทุติยภูมิจากนักศึกษาคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ ชั้นปีที่ 1-4 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 6,525 คน ที่มาจากการสุ่มหลายขั้นตอน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน หาความต่างค่าเฉลี่ย เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยโดยใช้ t-test และ MANOVA วิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันอันดับสอง ตรวจสอบความไม่แปรเปลี่ยนของโมเดลระหว่างนักศึกษาที่มาจากภูมิภาคที่ตั้งวิทยาเขตที่ต่างกันโดยการวิเคราะห์กลุ่มพหุ การวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มผู้ให้ข้อมูลคือคณาจารย์ จำนวน 17 ท่านที่ได้จากการเจาะจง เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์กึ่งมีโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์และสังเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ตัวแปรในองค์ประกอบภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมอยู่ในระดับมาก 2. สภาพที่เป็นจริงกับสภาพที่คาดหวังองค์ประกอบภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมมีความต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 3. โมเดลความต้องการจำเป็นภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมที่พัฒนาขึ้น มีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\chi&amp;space;" alt="equation" />2=159.208 df=134 ค่า P=0.068 ค่าดัชนี GFI=0.963 ค่าดัชนี AGFI=0.936) 4. โมเดลมีความแปรเปลี่ยนระหว่างกลุ่มนักศึกษาที่มาจากภูมิภาคที่ตั้งวิทยาเขตที่ต่างกัน (ดัชนี Global Goodness of Fit Statistics มีค่า<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\chi&amp;space;" alt="equation" />2=7199.602, df=770 ค่า P=0.000 ค่าดัชนี GFI=0.295 ค่าดัชนี RMR=0.539) 5. ผลการศึกษาคุณภาพของโมเดล พบว่า โมเดลมีความเหมาะสม สอดคล้องกับสภาพที่เป็นอยู่ ผลการวิจัยสามารถนำไปใช้พัฒนานักศึกษา สารสนเทศที่ได้จากการวิจัยมีประโยชน์ต่อการวางแผนและพัฒนาภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของนักศึกษา</p> จุฑาทิพย์ สร้วงสุวรรณ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-25 2025-09-25 14 5 1 15 การพัฒนาศักยภาพ และแนวทางในการหารายได้จากช่องทางอื่นของท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jssr/article/view/290750 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาศักยภาพในการให้บริการของท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน 2. ศึกษาแนวทางในการหารายได้จากช่องทางอื่นของท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน โดยงานวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี โดยใช้วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญโดยการประชุมกลุ่มเป้าหมาย ผู้วิจัยใช้เทคนิคการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงจากหน่วยงานภาครัฐที่ทำหน้าที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการดำเนินการของท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน และองค์กรภาคเอกชนที่ใช้บริการท่าเรือพาณิชย์เชียงแสนเป็นประจำ หรือคาดว่าจะได้ใช้บริการท่าเรือพาณิชย์เชียงแสนในอนาคต ซึ่งแบ่งเป็นตัวแทนหน่วยงานภาครัฐ จำนวน 11 หน่วยงาน และตัวแทนองค์กรภาคเอกชน จำนวน 8 องค์กร โดยใช้แบบสอบถามเพื่อประเมินศักยภาพท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน และชุดคำถามปลายเปิดในการสัมภาษณ์เชิงลึก และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ผู้ให้ข้อมูลสำคัญเห็นว่าศักยภาพของท่าเรือพาณิชย์เชียงแสนในด้านบุคลากรเป็นปัจจัยที่มีศักยภาพมากที่สุด รองลงมาคือ ด้านผลิตภัณฑ์และบริการ และด้านกระบวนการให้บริการ โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.45, 3.98 และ 3.95 ตามลำดับ 2. ศักยภาพและแนวทางในการหารายได้จากช่องทางอื่นของท่าเรือพาณิชย์เชียงแสนควรดำเนินการ ดังนี้ 1. เพิ่มการให้บริการของท่าเรือพาณิชย์เชียงแสนในด้านอื่น เช่น จุดให้เช่าพื้นที่จอดเรือ 2. จัดตั้งเขตปลอดอากร (Free Zone) เช่น จัดตั้งเขตอากรสำหรับสินค้าทั่วไปและสินค้าประเภทรถยนต์ จัดตั้งศูนย์รวบรวมสินค้า (Fulfillment Center) 3. การพัฒนาพื้นที่โดยรอบท่าเรือพาณิชย์เชียงแสนให้เป็นพื้นที่เศรษฐกิจ 4. จัดกิจกรรมส่งเสริมการสร้างการยอมรับและการรับรู้ของบุคคลทั่วไปที่มีต่อท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน และ 5. จัดตั้งโครงการท่าเรือปศุสัตว์เพื่อส่งออกสัตว์มีชีวิต</p> คุณานันท์ ทยายุทธ ชาติชาย เขียวงามดี กฤษฎา ดิเรกวัฒนะ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-21 2025-10-21 14 5 16 29 การสื่อสารสถานการณ์การแพร่ระบาดโคโรนาไวรัสขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดสุราษฎร์ธานี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jssr/article/view/289999 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1. รูปแบบและวิธีการสื่อสารสถานการณ์การแพร่ระบาดโคโรนาไวรัส และ 2. แนวทางพัฒนาการสื่อสารในสถานการณ์การแพร่ระบาดโคโรนาไวรัสของการปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นการศึกษาเชิงคุณภาพ ศึกษาสื่อขององค์การบริหารส่วนจังหวัดสุราษฎร์ธานี ทั้งสิ่งพิมพ์ คือ วารสาร สื่อสังคมออนไลน์ คือ เว็บไซต์ เฟซบุ๊ก ยูทูบ และการสัมภาษณ์เชิงลึกเจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นที่รับผิดชอบด้านการสื่อสาร 3 คน กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจ/ประชาชนทั่วไป 5 คน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. รูปแบบและวิธีการสื่อสารสถานการณ์การแพร่ระบาดโคโรนาไวรัสขององค์การบริหารส่วนจังหวัดสุราษฎร์ธานี ใช้สื่อสิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ คือ วารสารออนไลน์ เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร กิจกรรม ผลงาน สร้างความเข้าใจ ความร่วมมือ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน เผยแพร่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ มีเนื้อหาที่หลากหลาย และสื่อสังคมออนไลน์ ได้แก่ เว็บไซต์ เฟซบุ๊ก ยูทูบ ในการเผยแพร่ข้อมูล ประชาสัมพันธ์ สนับสนุน และส่งเสริม และ 2. ผลการสัมภาษณ์เชิงลึก มีวัตถุประสงค์เพื่อสื่อสารร่วมกันทั้งภายในและภายนอกองค์กรเพื่อแจ้งให้ทราบ สื่อสารให้ประชาชนเข้าใจ และเพื่อกระทำหรือตัดสินใจ มีการวางแผนการสื่อสารอย่างเป็นระบบ รวบรวมข้อมูล จัดการ ประมวลผล เผยแพร่ข้อมูล และให้ข้อมูลปัจจุบัน ใช้ทั้งการสื่อสารแบบทางเดียวและสองทาง ผ่านเทคโนโลยี และสื่อผสม มีการวางกลยุทธ์การสื่อสารกับประชาชนในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยกำหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน เลือกกลุ่มเป้าหมายอย่างถูกต้อง มีช่องทางการสื่อสารที่เหมาะสมและหลากหลาย เปิดรับฟังความเห็นจากประชาชน ติดตามผลและปรับปรุงการสื่อสาร องค์ความรู้ใหม่ คือ การบริหารจัดการข้อมูลข่าวสารที่มีประสิทธิภาพ ต้องวางแผนอย่างเป็นระบบ การสื่อสารในสถานการณ์การแพร่ระบาดโคโรนาไวรัส ควรมีลักษณะเชิงรุกและต่อเนื่อง การใช้เทคโนโลยี มีความสำคัญในการจัดการข้อมูลข่าวสารยุคใหม่ การมีส่วนร่วมของประชาชนส่งผลต่อประสิทธิภาพของการบริหารข้อมูลข่าวสาร และความร่วมมือระหว่างหน่วยงานเป็นปัจจัยเสริมที่สำคัญ</p> ชัยแสนญ์ สุวรรณดวง ลักษณา คล้ายแก้ว ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-21 2025-10-21 14 5 30 43 การศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความสุขในการทำงานของบุคลากร มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี เพื่อเสริมสร้างความสุขของบุคลากร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jssr/article/view/291714 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความสุขในการทำงานของบุคลากร และ 2. หาแนวทางเสริมสร้างให้บุคลากรมีความสุขในการทำงาน โดยใช้วิธีวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ บุคลากรมหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี จำนวน 236 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณเพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความสุขในการทำงาน ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-Way ANOVA) การทดสอบที (t-test) และการวิเคราะห์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson Correlation) และใช้การวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ข้อมูลเชิงคุณภาพเพื่อหาแนวทางการเสริมสร้างความสุขในการทำงานของบุคลากร</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า บุคลากรของมหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรีมีความสุขในการทำงานในระดับมากในทุกด้านตามแนวคิดความสุข 8 ประการ (Happy 8) โดยด้านที่มีคะแนนความสุขสูงสุด คือ น้ำใจดี (Happy Heart) รองลงมา คือ ใฝ่รู้ดี (Happy Brain) และครอบครัวดี (Happy Family) ส่วนสุขภาพเงินดี (Happy Money) เป็นด้านที่มีคะแนนความสุขต่ำสุด บุคลากรที่มีปัจจัยส่วนบุคคลด้านเพศ อายุ ระดับการศึกษา ประเภทบุคลากร ประเภทสายงาน หน่วยงานที่สังกัด รายได้เฉลี่ยต่อเดือน และระยะเวลาปฏิบัติงาน แตกต่างกัน มีความสุขในการทำงานแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ปัจจัยการปฏิบัติงาน ได้แก่ การติดต่อสัมพันธ์ ความรักในงาน ความสำเร็จในงาน สภาพแวดล้อมในการทำงาน และเงินเดือนและสวัสดิการมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับความสุขในการทำงานทุกด้านอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แนวทางการเสริมสร้างความสุขในการทำงานให้กับบุคลากร คือ 1. การพัฒนาด้านสวัสดิการและความมั่นคงทางการเงิน 2. การปรับปรุงสภาพแวดล้อมและสิ่งอำนวยความสะดวกให้เอื้อต่อการปฏิบัติงาน 3. การสร้างธรรมาภิบาลในการบริหารงานบุคคล และ 4. การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในองค์กร</p> นพดล มีคุณ ดวงใจ บุญกุศล กันตพัฒน์ กิตติอัชวาลย์ สุวรรณี สุมานิตย์ วสุนธรา รตโนภาส ฤทธิรงค์ เกาฏีระ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-21 2025-10-21 14 5 44 58 จริยธรรมการใช้คอมพิวเตอร์ในยุคดิจิทัลและความมั่นคงปลอดภัยของระบบสารสนเทศทางการบัญชีที่มีผลต่อประสิทธิภาพการควบคุมภายในของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jssr/article/view/286842 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาจริยธรรมการใช้คอมพิวเตอร์ในยุคดิจิทัลของระบบสารสนเทศทางการบัญชี 2. ศึกษาความมั่นคงปลอดภัยของระบบสารสนเทศทางการบัญชี 3. ศึกษาประสิทธิภาพการควบคุมภายใน และ 4. ทดสอบอิทธิพลของจริยธรรมการใช้คอมพิวเตอร์ในยุคดิจิทัลและความมั่นคงปลอดภัยของระบบสารสนเทศทางการบัญชีกับประสิทธิภาพการควบคุมภายในของกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยทดสอบตัวแปรรวม จำนวน 9 ตัวแปร คือ ตัวแปรที่เกี่ยวกับจริยธรรมการใช้คอมพิวเตอร์ในยุคดิจิทัล จำนวน 4 ตัวแปร ได้แก่ ความเป็นส่วนตัว (X1) ความถูกต้อง (X2) ความเป็นเจ้าของ (X3) และการเข้าถึงข้อมูล (X4) และตัวแปรเกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัยของระบบสารสนเทศทางการบัญชี จำนวน 5 ตัวแปร ได้แก่ บุคคล (X5) เทคโนโลยี (X6) การรักษาความปลอดภัยของระบบสารสนเทศ (X7) การรักษาความปลอดภัยทางกายภาพ (X8) และการรักษาความปลอดภัยเชิงตรรกะ (X9) กลุ่มประชากรเป้าหมาย ประกอบด้วย 2 กลุ่ม ได้แก่ ผู้บริหาร หัวหน้าฝ่าย พนักงานในฝ่ายบัญชี และฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศรวม จำนวน 220 คน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม ได้ข้อมูลที่สมบูรณ์เพื่อใช้ในการประมวลผล จำนวน 153 ชุด วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ค่าเฉลี่ยของจริยธรรมการใช้คอมพิวเตอร์ และค่าเฉลี่ยความมั่นคงปลอดภัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพการควบคุมภายใน อยู่ในระดับมากที่สุด 2. ค่าเฉลี่ยประสิทธิภาพการควบคุมภายใน อยู่ในระดับมากที่สุด 3. ตัวแปรที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพการควบคุมภายในของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีทั้งหมด 4 ตัวแปร โดยเรียงลำดับความสามารถพยากรณ์จากมากไปน้อยได้ ดังนี้ เทคโนโลยี (X6) การรักษาความปลอดภัยของระบบสารสนเทศ (X7) การเข้าถึงข้อมูล (X4) และการรักษาความปลอดภัยเชิงตรรกะ (X9) ประสิทธิภาพในการพยากรณ์ ร้อยละ 47.1 สมการพยากรณ์ คือ <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\hat{Y}" alt="equation" />= 1.189 + .657<sub>X6</sub> - .361<sub>X7</sub> + .208 <sub>X4</sub> + .225 <sub>X9</sub></p> ณัฐพัชร์ อภิวัฒน์ไพศาล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-21 2025-10-21 14 5 59 73 การประเมินความต้องการจำเป็นของการรวบรวมพยานหลักฐานคดีความผิดทางเพศสำหรับสถานพยาบาลที่ไม่มีแพทย์นิติเวช https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jssr/article/view/292210 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ประเมินความต้องการจำเป็นของการรวบรวมพยานหลักฐานคดีความผิดทางเพศ 2. ศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการรวบรวมพยานหลักฐานคดีความผิดทางเพศสำหรับสถานพยาบาลที่ไม่มีแพทย์นิติเวช เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ พยาบาลวิชาชีพหรือนักปฏิบัติการฉุกเฉินการแพทย์ในสถานพยาบาลที่ไม่มีแพทย์นิติเวช จำนวน 389 แห่ง ได้มาโดยการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามลักษณะมาตราส่วน ประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าความต้องการจำเป็น Priority Needs Index (PNI<sub>Modified</sub>)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับสภาพที่เป็นจริงของการรวบรวมพยานหลักฐานคดีความผิดทางเพศ โดยภาพรวมพบว่าอยู่ในระดับน้อย ส่วนระดับสภาพที่ควรจะเป็น โดยภาพรวม พบว่า อยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาค่าดัชนีลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็น (PNI<sub>Modified</sub>) พบว่า โดยภาพรวมมีค่าเท่ากับ 0.97 หากพิจารณาในรายละเอียดจะพบว่า ด้านการซักประวัติเป็นลำดับแรก รองลงมาคือ ด้านการตรวจร่างกาย ด้านการจัดทำเอกสารคดีความผิดทางเพศ และด้านการเก็บสิ่งส่งตรวจและการแปลผล 2. ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการรวบรวมพยานหลักฐานคดีความผิดทางเพศ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก หากพิจารณาในรายละเอียดเรียงจากมากไปน้อย ดังนี้ ด้านเทคโนโลยี ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ด้านการเมืองและกฎหมาย ด้านการบริหารจัดการ ด้านงบประมาณ ด้านบุคลากร และด้านวัสดุอุปกรณ์</p> พิมพ์ญาดา พวงชัยบดินทร์ นพรุจ ศักดิ์ศิริ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-21 2025-10-21 14 5 74 86 สมรรถนะความรู้ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการสร้างทีมงานที่มีประสิทธิภาพของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสมุทรสาคร สมุทรสงคราม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jssr/article/view/291859 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาระดับสมรรถนะความรู้ของผู้บริหารสถานศึกษา 2. ศึกษาระดับการสร้างทีมงานที่มีประสิทธิภาพ และ 3. วิเคราะห์สมรรถนะความรู้ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการสร้างทีมงานที่มีประสิทธิภาพของสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ได้แก่ ข้าราชการครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสมุทรสาคร สมุทรสงคราม จำนวน 263 คน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นตามสัดส่วน โดยกระจายตามขนาดโรงเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับสมรรถนะความรู้ของผู้บริหารสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน ประกอบด้วย การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด รองลงมา ได้แก่ การวัดและประเมินผล การจัดการเรียนรู้ ทักษะการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 (3R 8C) การบริหารหลักสูตรสถานศึกษาการนำผลการประเมินคุณภาพการศึกษาไปใช้พัฒนาการจัดการเรียน และการพัฒนาคุณภาพการศึกษา 2. ระดับการสร้างทีมงานที่มีประสิทธิภาพของสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากเมื่อพิจารณารายด้านพบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน ประกอบด้วย การพัฒนาตนเองมีค่าเฉลี่ยมากที่สุด การสื่อสารที่ดี การสนับสนุนและการไว้วางใจต่อกัน บทบาทที่สมดุล กระบวนการปฏิบัติงานที่ชัดเจน วัตถุประสงค์ที่ชัดเจนและเป้าหมายที่เห็นต้องกัน ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่ม การทบทวนการปฏิบัติงานอย่างสม่ำเสมอ ความร่วมมือและการใช้ความขัดแย้ง ภาวะผู้นำที่เหมาะสม และการเปิดเผยต่อกันและการเผชิญหน้าเพื่อแก้ปัญหา 3. สมรรถนะความรู้ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการสร้างทีมงานที่มีประสิทธิภาพของสถานศึกษา ได้แก่ การบริหารหลักสูตรสถานศึกษา การวัดและประเมินผล และทักษะการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 (3R8C) ส่งผลต่อการสร้างทีมงานที่มีประสิทธิภาพของสถานศึกษา (Y<sub>tot</sub>) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.01</p> มุทิตา ทรัพย์ยิ่ง พิชญาภา ยืนยาว นภาภรณ์ ยอดสิน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-21 2025-10-21 14 5 87 101 พุทธบูรณาการเพื่อเสริมสร้างศักยภาพการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงานราชทัณฑ์ด้านการปกครองต่อผู้ต้องขังในทัณฑสถานบำบัดพิเศษลำปาง https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jssr/article/view/291480 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาระดับศักยภาพการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงานราชทัณฑ์ด้านการปกครองต่อผู้ต้องขัง 2. เปรียบเทียบศักยภาพการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงานราชทัณฑ์ด้านการปกครองต่อผู้ต้องขัง และ 3. ศึกษาพุทธบูรณาการเพื่อเสริมสร้างศักยภาพการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงานราชทัณฑ์ด้านการปกครองต่อผู้ต้องขังในทัณฑสถานบำบัดพิเศษลำปาง เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี ประกอบด้วยการวิจัยเชิงปริมาณด้วยการแจกแบบสอบถาม โดยมีประชากรในการวิจัย คือ ข้าราชการทัณฑสถานบำบัดพิเศษลำปาง จำนวน 75 คน ใช้วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการหาความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานและวิเคราะห์ โดยผู้วิจัยเลือกใช้สถิติการเปรียบเทียบ จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล โดยการทดสอบค่าทีและค่าเอฟเพื่อทดสอบสมมติฐาน และการวิจัยเชิงคุณภาพโดยวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 10 คน และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้วิธีการวิเคราะห์เชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับศักยภาพการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงานราชทัณฑ์โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ด้านความสัมพันธ์กับผู้ร่วมงาน รองลงมา คือ ด้านนโยบายการบริหารงาน ด้านสภาพแวดล้อมในสถานที่ทำงาน ด้านความก้าวหน้าในการทำงาน ด้านค่าตอบแทนและสวัสดิการ ด้านลักษณะงาน 2. ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็น พบว่า ระดับตำแหน่งมีผลต่อความคิดเห็นที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ จึงยอมรับสมมติฐานบางข้อของการวิจัย ในขณะที่ปัจจัยอื่น ๆ เช่น เพศ อายุ ระดับการศึกษา ประสบการณ์ทำงาน และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน ไม่มีผลต่อความแตกต่างของความคิดเห็นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3. พุทธบูรณาการเพื่อเสริมสร้างศักยภาพการปฏิบัติงาน พบว่า เจ้าพนักงานราชทัณฑ์ควรแสดงความเอื้อเฟื้อและเห็นคุณค่าในความเป็นมนุษย์ของผู้ต้องขัง (เมตตา) เปิดโอกาสให้ผู้ต้องขังได้ปรับพฤติกรรมและได้รับการฟื้นฟู (กรุณา) ยินดีกับความสำเร็จของผู้ต้องขัง (มุทิตา) วางใจเป็นกลาง มีสติและควบคุมอารมณ์ในการตัดสินใจ (อุเบกขา)</p> ณัฐพงษ์ ปาจเร ศิลาวัฒน์ ชัยวงศ์ ยุทธนา ปราณีต ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-21 2025-10-21 14 5 102 114 การประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมการตื่นตัวทางการเมืองของประชาชนในการใช้สิทธิเลือกตั้งผู้บริหารและสมาชิกสภาเทศบาลตำบลต้นธงชัย อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jssr/article/view/291977 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาระดับการตื่นตัวของประชาชนในการเลือกตั้งผู้บริหารและสมาชิกสภาเทศบาลตำบลต้นธงชัย 2. เปรียบเทียบการตื่นตัวทางการเมืองของประชาชนในการใช้สิทธิเลือกตั้งการใช้สิทธิเลือกตั้งผู้บริหารและสมาชิกสภาเทศบาลตำบลต้นธงชัย และ 3. นำเสนอการประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมการตื่นตัวทางการเมืองของประชาชนในการใช้สิทธิเลือกตั้งผู้บริหารและสมาชิกสภาเทศบาลตำบลต้นธงชัยในตำบลต้นธงชัย ดำเนินการตามระเบียบวิธีวิจัยแบบผสานวิธี การวิจัยเชิงคุณภาพใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 10 รูปหรือคน และการวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถามเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 389 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับการตื่นตัวของประชาชนในการเลือกตั้งผู้บริหารและสมาชิกสภาเทศบาลตำบลต้นธงชัย พบว่าโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ด้านการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ด้านการลงคะแนนเลือกตั้ง ด้านระยะเวลาการตัดสินใจเลือกตั้ง ตามลำดับ 2. ปัจจัยส่วนบุคคลของประชาชนที่มีอายุ เพศ ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้ต่อเดือน ต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการตื่นตัวของประชาชนในการไปใช้สิทธิเลือกตั้งผู้บริหารและสมาชิกสภาเทศบาลตำบลต้นธงชัยอำเภอเมือง จังหวัดลำปาง แตกต่างกัน จึงยอมรับสมมติฐานการวิจัย 3. การประยุกต์หลักธรรมอคติ 4 ประกอบด้วย ฉันทาคติ ความลำเอียงเพราะรักใคร่ โทสาคติ ความลำเอียงเพราะไม่ชอบ โมหาคติ ความลำเอียงเพราะความหลง ภยาคติ ความลำเอียงเพราะความกลัว ทำให้เสริมสร้าง ส่งเสริมการตื่นตัวทางการเมืองของประชาชนในการใช้สิทธิเลือกตั้งผู้บริหารและสมาชิกสภาเทศบาลตำบลต้นธงชัย อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง</p> สุริยา ซองดี ศิลาวัฒน์ ชัยวงศ์ พระครูศรีปวรบัณฑิต (บวรวิทย์ รตนโชโต) ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-21 2025-10-21 14 5 115 127 พุทธบูรณาการสร้างค่านิยมของประชาชนในการต่อต้านการทุจริต และประพฤติมิชอบทางการเมืองในตำบลปงแสนทองอำเภอเมือง จังหวัดลำปาง https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jssr/article/view/291978 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. วิเคราะห์ระดับการสร้างค่านิยมของประชาชนในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบทางการเมือง 2. วิเคราะห์เปรียบเทียบระดับการสร้างค่านิยมของประชาชนในการต่อต้านการทุจริต และประพฤติมิชอบทางการเมือง และ 3. นำเสนอพุทธบูรณาการสร้างค่านิยมของประชาชนในการต่อต้านการทุจริต และประพฤติมิชอบทางการเมือง โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสานวิธี กลุ่มตัวอย่าง คือ ประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งและอาศัยอยู่ในตำบลปงแสนทอง อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง จำนวน 390 คน ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 10 รูปหรือคน เครื่องมือการวิจัย ประกอบด้วย แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงบรรยาย ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติเชิงอ้างอิง ได้แก่ Independent t-test และ One-way ANOVA และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับการสร้างค่านิยมของประชาชนในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบทางการเมืองในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ด้านการปลูกฝังและการสร้างจิตสำนึกด้านการป้องกันและการเฝ้าระวัง ด้านการสร้างเครือข่าย ด้านการประชาสัมพันธ์ ตามลำดับ และ ด้านการรับรู้การทุจริต อยู่ในระดับปานกลาง ยกเว้นด้านการสร้างการรับรู้การทุจริตอยู่ในระดับปานกลาง 2. ระดับการสร้างค่านิยมของประชาชนในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบทางการเมืองไม่แตกต่างกันตามเพศ และอายุ แต่แตกต่างกันตามระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ 3. หลักธรรมหิริ ความละอายต่อบาปกรรม และโอตตัปปะ ความเกรงกลัวต่อบาปกรรม เป็นหลักธรรมที่เหมาะสมสำหรับใช้บูรณาการกับการดำเนินการสร้างค่านิยมของประชาชนในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบทางการเมือง</p> พระสมุห์นิรันดร์ เตชธมฺโม ยุทธนา ปราณีต พระมหาบวรวิทย์ รตนโชโต ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-21 2025-10-21 14 5 128 140 การประยุกต์ใช้กระบวนการจัดการความรู้แบบสหวิทยาการเพื่อพัฒนานักวิจัยในการศึกษาวิกฤตสังคม : บทเรียนจากสถานการณ์โควิด-19 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jssr/article/view/292413 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาการประยุกต์ใช้มุมมองทางสังคมศาสตร์เพื่อทำความเข้าใจปรากฏการณ์โควิด-19 ผ่านกระบวนการจัดการความรู้ของนักวิจัย และ 2. ศึกษาประสิทธิภาพของการจัดการความรู้แบบสหวิทยาการในการพัฒนาขีดความสามารถของนักวิจัยเพื่อการศึกษาภาวะวิกฤตทางสังคม เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้กิจกรรมการจัดการความรู้ 9 ครั้ง ผู้เข้าร่วมวิจัยเป็นนักวิจัย 11 คน จากหลากหลายสาขาวิชา ใช้การคัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ คือ แนวคำถามกึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์เนื้อหาโดยจำแนกและจัดหมวดหมู่แนวคิดหลักเพื่อสกัดองค์ความรู้ ดำเนินการเก็บข้อมูลช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม พ.ศ. 2564</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า นักวิจัยสามารถประยุกต์ใช้แนวคิดทางสังคมศาสตร์ 6 ประการในการทำความเข้าใจปรากฏการณ์โควิด-19 ได้แก่ สังคมเสี่ยงภัย การเคลื่อนย้าย การตีตราทางสังคม การสื่อสารความเสี่ยง การพึ่งพาตนเอง และความเหลื่อมล้ำ การจัดการความรู้แบบสหวิทยาการแสดงให้เห็นบทบาทสำคัญในการสร้างกรอบแนวคิดใหม่สำหรับการวิจัย และการพัฒนาความสามารถในการเชื่อมโยงแนวคิดข้ามสาขาเพื่อวิเคราะห์วิกฤตเชิงซ้อน ผลการศึกษาสนับสนุนความจำเป็นของการพัฒนาเครือข่ายนักวิชาการข้ามสาขาและการเตรียมความพร้อมแบบสหวิทยาการเพื่อรับมือกับวิกฤตสังคมในอนาคต</p> ฐิตินันทน์ ผิวนิล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-21 2025-10-21 14 5 141 152 การประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพนักกีฬาทีมชาติไทยของการกีฬาแห่งประเทศไทย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jssr/article/view/292481 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาการพัฒนาศักยภาพนักกีฬาทีมชาติไทยของการกีฬาแห่งประเทศไทย 2. ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาศักยภาพนักกีฬาทีมชาติไทยของการกีฬาแห่งประเทศไทย 3. นำเสนอการประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพนักกีฬาทีมชาติไทยของการกีฬาแห่งประเทศไทย การวิจัยเป็นแบบผสานวิธี การวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักกีฬาทีมชาติไทย จำนวน 134 คน เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ การวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ คือผู้บริหารของการกีฬาแห่งประเทศไทย และนักกีฬาทีมชาติไทย เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 18 รูปหรือคน ด้วยแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง และการสนทนากลุ่มเฉพาะจำนวน 10 รูปหรือคน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. การพัฒนาศักยภาพนักกีฬาทีมชาติไทยของการกีฬาแห่งประเทศไทย ในภาพรวม เฉลี่ยทุกด้านอยู่ในระดับมาก 2. ปัจจัยการส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพนักกีฬา ส่งผลต่อศักยภาพนักกีฬาทีมชาติไทยของการกีฬาแห่งประเทศไทย ทุกด้าน อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0. 01 และสามารถทำนายความผันแปรได้ร้อยละ 62. 8 ปัจจัยหลักพละ 5 ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0. 01 และสามารถทำนายความผันแปรได้ร้อยละ 79. 5 3. การประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพนักกีฬาทีมชาติไทยของการกีฬาแห่งประเทศไทย ประกอบด้วย ด้านความรู้ นักกีฬาได้การเรียนรู้ประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญ ด้านทักษะ นักกีฬาได้รับการฝึกโดยเน้นการพัฒนาจุดอ่อน ด้านเจตคติ นักกีฬาได้รับฟังความคิดเห็นของเพื่อนร่วมทีม ด้านบุคลิก นักกีฬามีทักษะการสื่อสารและแสดงออกที่เหมาะสม ด้านแรงจูงใจ นักกีฬาเชื่อมั่นว่าหากพยายามถึงที่จะบรรลุเป้าหมายได้</p> ปรีชา ลาลุน สุรพล สุยะพรหม เกียรติศักดิ์ สุขเหลือง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-21 2025-10-21 14 5 153 165 ผลกระทบของทักษะอาชีพต่อผลการปฏิบัติงานของพนักงานที่สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยโพลีเทคนิคหลิวโจ มณฑลกวงซี ประเทศจีน https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jssr/article/view/289817 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาระดับทักษะอาชีพและระดับผลการปฏิบัติงานของพนักงานที่สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยโพลีเทคนิคหลิวโจ มณฑลกวงซี สาธารณรัฐประชาชนจีน และ 2. ศึกษาทักษะอาชีพที่ส่งผลกระทบต่อผลการปฏิบัติงานของพนักงานที่สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยโพลีเทคนิคหลิวโจ กรอบแนวคิดของการวิจัยได้ประยุกต์ใช้ทฤษฎีทุนมนุษย์ (Human Capital Theory) ซึ่งเสนอว่า ความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ที่บุคคลได้รับจากการศึกษาและการฝึกอบรมเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการทำงาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยมีจำนวน 122 คน กำหนดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรของ Tabachnick &amp; Fidell (2013) ซึ่งเป็นสูตรคำนวณกลุ่มตัวอย่างสำหรับวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สมการถดถอยพหุคูณ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ทักษะอาชีพมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากทุกด้าน ผลการปฏิบัติงานอยู่ในระดับมากทั้งผลการปฏิบัติงานตามหน้าที่ และผลการปฏิบัติงานตามสถานการณ์ ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า ทักษะอาชีพที่มีอิทธิพลต่อผลการปฏิบัติงานโดยรวมมี 3 ด้าน ได้แก่ความรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ (X<sub>7</sub>) ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ (X<sub>9</sub>) และการกำกับตนเอง (X<sub>4</sub>) ซึ่งสามารถเขียนเป็นสมการถดถอยในรูปของคะแนนมาตรฐานได้ดังนี้ Z = 0.484 (X<sub>7</sub>) + 0.314 (X<sub>9</sub>) + 0.188 (X<sub>4</sub>) โดยที่ทักษะอาชีพทั้งสามด้านนี้สามารถอธิบายความแปรปรวนของผลการปฏิบัติงานโดยรวมได้ 86.7% ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่าหลักสูตรในระดับอุดมศึกษาโดยเฉพาะในมหาวิทยาลัยสายอาชีวะและเทคนิค ควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะด้านความรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ และการกำกับตนเอง นอกจากนี้ องค์กรควรพิจารณานำทักษะเหล่านี้ไปบูรณาการในการสรรหาและการพัฒนาศักยภาพของบุคลากร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของแรงงานในองค์กร</p> ลี จิงยี สำเริง ไกยวงค์ อัญชลี ชัยศรี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-21 2025-10-21 14 5 166 180 แนวทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระธรรมทูตสายต่างประเทศ ในประเทศแอฟริกาใต้ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jssr/article/view/292785 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาสภาพปัจจุบันของการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศแอฟริกาใต้ 2. ศึกษาสภาพปัญหาและอุปสรรคที่พระธรรมทูตเผชิญ และ 3. นำเสนอแนวทางการเผยแผ่ที่เหมาะสมในบริบทของสังคมพหุวัฒนธรรมในแอฟริกาใต้ โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ศึกษาเอกสารและการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 16 รูปหรือคน ซึ่งคัดเลือกแบบเจาะจง ได้แก่ พระธรรมทูต ผู้กำหนดนโยบาย นักวิชาการ และกรรมการวัดโดยใช้แบบสอบถามข้อมูลเชิงปริมาณ และแบบสัมภาษณ์เชิงลึกแบบมีโครงสร้างการเก็บข้อมูลที่ได้แบ่งเป็นสองส่วน ได้แก่ 1. ข้อมูลปฐมภูมิจากการสัมภาษณ์ และ 2. ข้อมูลทุติยภูมิจากเอกสารทางวิชาการ คัมภีร์พระพุทธศาสนา บทความวิจัย และแหล่งข้อมูลออนไลน์และการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหาเพื่อสังเคราะห์สาระสำคัญ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพปัจจุบันของการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในแอฟริกาใต้มีพัฒนาการก้าวหน้า พระธรรมทูตสามารถปรับวิธีการให้เหมาะกับชุมชนท้องถิ่น เช่น การจัดกิจกรรมทางศาสนาการอบรมปฏิบัติธรรม การใช้สื่อดิจิทัล และการสร้างเครือข่ายกับหน่วยงานในท้องถิ่น ทำให้พระพุทธศาสนาเป็นที่ยอมรับมากขึ้น 2. สภาพปัญหาและอุปสรรคสำคัญ ได้แก่ ความแตกต่างด้านภาษา เชื้อชาติ วัฒนธรรม ข้อจำกัดทางกฎหมายและนโยบาย ตลอดจนการแข่งขันกับศาสนาอื่นในสังคมพหุศาสนา จึงจำเป็นต้องอาศัยความเพียร ความต่อเนื่อง และการปรับกลยุทธ์ 3. แนวทางที่เหมาะสม ได้แก่ การพัฒนาการฝึกอบรมพระธรรมทูตทั้งด้านพระพุทธศาสนา ภาษาและการสื่อสาร การสร้างความร่วมมือกับชุมชน หน่วยงานรัฐ และสถาบันการศึกษา การประยุกต์ใช้สื่อดิจิทัล และการพัฒนาวัดให้เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้และปฏิบัติธรรม กล่าวโดยสรุปภาพรวมพระธรรมทูตสายต่างประเทศในประเทศแอฟริกาใต้สามารถประยุกต์ใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมทำให้พระพุทธศาสนาได้รับการยอมรับและเติบโตอย่างมั่นคงท่ามกลางความหลากหลายทางศาสนาและวัฒนธรรมของสังคมแอฟริกาใต้</p> พระภูวิชญ์ วรธมฺโม พระครูสุตรัตนบัณฑิต (ประยูร โชติวโร) พระสิทธิวัชรบัณฑิต (สุรศักดิ์ ปจฺจนฺตเสโน) ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-21 2025-10-21 14 5 181 194 การบูรณาการหลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมประสิทธิผลการบริหารงานของเทศบาลในจังหวัดนครนายก https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jssr/article/view/292329 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาประสิทธิผลการบริหารงานของเทศบาลในจังหวัดนครนายก 2. ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานของเทศบาลในจังหวัดนครนายก และ 3. นำเสนอการบูรณาการหลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมประสิทธิผลการบริหารงานของเทศบาลในจังหวัดนครนายก การวิจัยใช้ระเบียบวิธีแบบผสานวิธี โดยการวิจัยเชิงปริมาณเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 394 คน ผ่านแบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่น 0.973 สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพเก็บข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 21 รูปหรือคน และการสนทนากลุ่มเฉพาะ 10 รูปหรือคน โดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ประสิทธิผลการบริหารงานของเทศบาลในจังหวัดนครนายก โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2. ปัจจัยด้านการบริหารและปัจจัยด้านพละ 4 ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานของเทศบาลในจังหวัดนครนายกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และ 0.05 3. การบูรณาการหลักพุทธธรรม ประกอบด้วย ปัญญาพละ คือ ใช้ข้อมูล ความรู้ และเหตุผลในการตัดสินใจ วิริยะพละ คือ ความมุ่งมั่นอุตสาหะในการบริการประชาชนและการติดตามงานอย่างต่อเนื่อง อนวัชชพละ คือ ประพฤติสุจริต ยุติธรรม และตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน และสังคหพละ คือ ความเมตตาและความเอื้อเฟื้อช่วยเหลือ โดยเฉพาะการดูแลประชาชนกลุ่มเปราะบาง</p> พระมหาบรรพต กิตฺติปญฺโญ เติมศักดิ์ ทองอินทร์ สุรพล สุยะพรหม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-21 2025-10-21 14 5 195 207 พุทธบูรณาการเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตของแรงงานกัมพูชาในจังหวัดชลบุรี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jssr/article/view/292916 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาคุณภาพชีวิตของแรงงานกัมพูชาในจังหวัดชลบุรี 2. ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของแรงงานกัมพูชาในจังหวัดชลบุรี 3. นำเสนอพุทธบูรณาการเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตของแรงงานกัมพูชาในจังหวัดชลบุรี การวิจัยเป็นแบบผสานวิธี การวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวคือ แรงงานกัมพูชาในจังหวัดชลบุรี 395 คน เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ การวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ คือ ผู้บริหารสถานทูตกัมพูชา ผู้แทนแรงงานชาวกัมพูชาในจังหวัดชลบุรี นักวิชาการหรือผู้ปฏิบัติงานด้านพระพุทธพุทธศาสนา และนักวิชาการทางหรือผู้ปฏิบัติงานทางรัฐประศาสนศาสตร์ รวม 18 รูปหรือคน เก็บข้อมูลด้วยแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง และการสนทนากลุ่มเฉพาะ จำนวน 10 รูปหรือคน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. คุณภาพชีวิตของแรงงานกัมพูชาในจังหวัดชลบุรี พบว่า การส่งเสริมคุณภาพชีวิต โดยภาพรวม เฉลี่ยทุกด้านอยู่ในระดับปานกลาง โดยแรงงานกัมพูชามีความพึงพอใจในชีวิตที่มีความสุขและสมดุลในชีวิตประจำวัน มีทัศนคติที่ดีเชื่อมั่นในความสามารถทางเศรษฐกิจของตนเอง 2. การส่งเสริมคุณภาพชีวิต และหลักภาวนา 4 ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของแรงงานกัมพูชาในจังหวัดชลบุรี ทุกด้าน อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.01 และสามารถร่วมกันทำนายความผันแปรได้ร้อยละ 68.2 หลักภาวนา 4 ทำนายได้ร้อยละ 64.7 3. พุทธบูรณาการเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตของแรงงานกัมพูชาในจังหวัดชลบุรี พบว่า เป็นผลจากการบูรณาการระหว่างการส่งเสริมคุณภาพชีวิตและหลักภาวนา 4 ด้านความพึงพอใจในชีวิต มีความพึงพอใจชีวิตการเป็นอยู่และการทำงาน ด้านอัตตมโนทัศน์ มีทัศนคติที่ดีต่อองค์กร และมององค์กรในแง่ดีเสมอ ด้านสุขภาพร่างกาย มีสภาวะของร่างกายที่มีความสมบูรณ์แข็งแรง ด้านสังคมและเศรษฐกิจ มีสภาพทางการเงินที่คล่องตัวเพียงพอต่อการดำรงชีวิต</p> สุธีริธ ซัม สมาน งามสนิท ธัชชนันท์ อิศรเดช ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-21 2025-10-21 14 5 208 219 การหาเสียงเลือกตั้งท้องถิ่นผ่านแอปพลิเคชัน TikTok ของนางสาววาริน ชิณวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jssr/article/view/290442 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษากลยุทธ์การหาเสียงเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราชผ่านแอปพลิเคชัน TikTok ของนางสาววารินฯ และ 2. วิเคราะห์เนื้อหาของสารที่นางสาววารินฯ ใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช ผ่านแอปพลิเคชัน TikTok เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้วิธีการสังเคราะห์เอกสารจากข้อมูลดิบ เก็บรวบรวมข้อมูลจาก TikTok ชื่อบัญชี น้ำ วาริน ชิณวงศ์ นายก อบจ. นคร ระหว่างวันที่ 14 ตุลาคม-23 พฤศจิกายน 2567 รวม 282 คลิป และทำการวิเคราะห์ข้อมูล</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า นางสาววารินฯ ใช้กลยุทธ์การหาเสียงเลือกตั้งผ่าน TikTok 4 กลยุทธ์ ได้แก่ 1. การใช้ภาษาไทยและภาษาถิ่นในการสื่อสาร 2. การโพสต์คลิปทุกวัน วันละหลายคลิปเพื่อสร้างภาพจำ 3. มีการใช้เพลงหรือเสียงประกอบคลิปที่สอดคล้องกับเนื้อหาของคลิป 4. ในคลิปถ่ายในสถานที่ต่าง ๆ ของจังหวัดเพื่อสร้างความรู้สึกร่วมกับผู้ชม และเลือกบรรยากาศในคลิปให้ผู้ชมเห็นว่า ประชาชนให้การต้อนรับนางสาววารินฯ ขณะลงพื้นที่หาเสียง ส่วนเนื้อหาของสารที่นางสาววารินฯ ใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งผ่าน TikTok ได้แก่ การสร้างความรู้สึกร่วมและสร้างภาพจำเพื่อสื่อสารภาพลักษณ์ มุ่งเน้นการเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต เป็นนักประสานงานมีวิสัยทัศน์และความตั้งใจที่จะพัฒนาจังหวัดนครศรีธรรมราช และมีบุคลิกเท่ทะมัดทะแมง พร้อมทำงาน สัดส่วนของเนื้อหาที่นำเสนอส่วนใหญ่เน้นสื่อสารด้านอารมณ์ รองลงมาเป็นการสื่อสารที่มุ่งเน้นทั้งเหตุผลและอารมณ์ เนื้อหาของสารที่มีสัดส่วนน้อยที่สุด คือ สารที่มุ่งเน้นเหตุผล สอดคล้องกับลักษณะการใช้งาน TikTok ที่เหมาะกับการนำเสนอเนื้อหาสั้น กระชับ ทั้งนี้ การหาเสียงผ่าน TikTok ทำควบคู่ไปกับการลงพื้นที่พบปะกับประชาชน</p> ภาวิดา รังษี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-21 2025-10-21 14 5 220 234 ความพึงพอใจของประชาชนที่มีต่อการเลือกตั้งสมาชิกสภาตำบลและผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลสระกระโจม อำเภอดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jssr/article/view/292937 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาความพึงพอใจของประชาชนที่มีต่อการเลือกตั้งสมาชิกสภาตำบลและผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลสระกระโจม อำเภอดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี 2. เปรียบเทียบความพึงพอใจของประชาชนที่มีต่อการเลือกตั้งสมาชิกสภาตำบลและผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบล โดยจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 3. นำเสนอแนวทางการพัฒนาการเลือกตั้งสมาชิกสภาตำบลและผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลเพื่อสร้างความพึงพอใจของประชาชน โดยการประยุกต์หลักพุทธธรรม ดำเนินการวิธีวิจัยแบบผสานวิธี โดยการวิจัยเชิงปริมาณ เก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 370 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที และการทดสอบค่าเอฟ ด้วยวิธีการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้วิธีสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 9 รูปหรือคน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับความพึงพอใจของประชาชนที่มีต่อการเลือกตั้งสมาชิกสภาตำบลและผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลสระกระโจม อำเภอดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี โดยภาพรวมทั้ง 4 ด้าน โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง 2. เปรียบเทียบความพึงพอใจของประชาชนที่มีต่อการเลือกตั้งสมาชิกสภาตำบลและผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลโดยจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล พบว่า ประชาชนที่มีเพศ อายุ การศึกษา อาชีพ และรายได้ มีความคิดเห็นต่อการเลือกตั้งสมาชิกสภาตำบลและผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบล โดยรวมไม่ต่างกันมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 จึงปฏิเสธสมมติฐานที่ตั้งไว้ 3. นำเสนอแนวทางการพัฒนาการเลือกตั้งสมาชิกสภาตำบลและผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบล เพื่อสร้างความพึงพอใจของประชาชน โดยการประยุกต์หลักพุทธธรรม ตามหลักสังคหวัตถุ 4 พบว่า ทาน สนับสนุนกิจกรรมสาธารณะและช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส ปิยวาจา ใช้คำพูดสุภาพ สร้างความใกล้ชิดและความเชื่อมั่น อัตถจริยา ทำประโยชน์เพื่อสังคม สร้างความไว้วางใจในองค์กร สมานัตตตา วางตนเหมาะสม แสดงความสม่ำเสมอ</p> บุญฤทธิ์ มีฤกษ์ อนุภูมิ โซวเกษม เติมศักดิ์ ทองอินทร์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-21 2025-10-21 14 5 235 247 ความเป็นไปได้ของโครงการเสนอชื่อครูบาศรีวิชัยเพื่อเป็นบุคคลสำคัญของโลกขององค์การยูเนสโกภายใต้การดำเนินงานของสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดในภาคเหนือตอนบน https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jssr/article/view/292913 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการเสนอชื่อครูบาศรีวิชัยเพื่อเป็นบุคคลสำคัญของโลก 2. ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความเป็นไปได้ของโครงการเสนอชื่อครูบาศรีวิชัยเพื่อเป็นบุคคลสำคัญของโลก และ 3. นำเสนอแนวทางของโครงการเสนอชื่อครูบาศรีวิชัยเพื่อเป็นบุคคลสำคัญของโลกขององค์การยูเนสโกภายใต้การดำเนินงานของสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดในภาคเหนือตอนบนทำการวิจัยทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพหลังจากนั้นนำข้อมูลที่ได้จากการสังเคราะห์ผลการวิจัยนำมาสนทนากลุ่มเฉพาะเพื่อยืนยันผลการศึกษา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ความเป็นไปได้ของโครงการเสนอชื่อครูบาศรีวิชัยเพื่อเป็นบุคคลสำคัญของโลกภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2. ปัจจัยที่ส่งผลต่อความเป็นไปได้ของโครงการเสนอชื่อครูบาศรีวิชัยเพื่อเป็นบุคคลสำคัญของโลก พบว่า 2.1 ปัจจัยบริหารจัดการในองค์กร ประกอบด้วย วัสดุอุปกรณ์ บุคคล เงินทุน ส่งผลต่อความเป็นไปได้ของโครงการเสนอชื่อครูบาศรีวิชัยเพื่อเป็นบุคคลสำคัญของโลกอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05 โดยสามารถร่วมกันทำนาย ได้ร้อยละ 44.8 (Adj. R<sup>2</sup>=0.448) 2.2 หลักอิทธิบาท 4 ประกอบด้วย วิมังสา ฉันทะ วิริยะ และจิตตะ ตามลำดับส่งผลต่อความเป็นไปได้ของโครงการ อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05 โดยสามารถร่วมกันทำนายได้ร้อยละ 58.7 (Adj. R<sup>2</sup>=0.587) 3. แนวทางของโครงการเสนอชื่อครูบาศรีวิชัยเพื่อเป็นบุคคลสำคัญของโลกขององค์การยูเนสโกภายใต้การดำเนินงานของสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดในภาคเหนือตอนบน พบว่า การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการเสนอชื่อครูบาศรีวิชัยเพื่อเป็นบุคคลสำคัญของโลกในครั้งนี้มีการบูรณาการหลักอิทธิบาท 4 เข้ากับการนำปัจจัยบริหารจัดการมาเป็นพื้นฐานและบูรณาการร่วมกันกับหลักอิทธิบาท 4 เพื่อให้โครงการเสนอชื่อครูบาศรีวิชัยเพื่อเป็นบุคคลสำคัญของโลกขององค์การยูเนสโกมีความเป็นไปได้อย่างมาก</p> พศิษฐ์ ศุภศิริเรืองชัย สุรพล สุยะพรหม เกียรติศักดิ์ สุขเหลือง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-21 2025-10-21 14 5 248 261