วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace <p><strong>ISSN : 2985-1556 (Online)</strong> </p> <p><strong>วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร</strong> มีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะสนับสนุน ส่งเสริมให้คณาจารย์บุคลากรเจ้าหน้าที่ นิสิต และผู้สนใจ ทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัยได้เสนอและเผยแพร่บทความบทความวิจัย บทความวิชาการ บทวิจารณ์หนังสือ บทความปริทรรศน์ และบทความพิเศษ ที่ได้มาตรฐานสู่สาธารณชน รวมทั้งยกระดับผลงานทางวิชาการให้ได้รับการยอมรับในระดับชาติและนานาชาติ ด้วยหวังให้เป็นตลาดแห่งองค์ความรู้ที่สามารถค้นคว้า ถ่ายถอด และแลกเปลี่ยนความรู้ในด้านต่างๆ อย่างหลากหลาย ทั้งนี้ เปิดรับบทความด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นด้านพระพุทธศาสนา ปรัชญา สันติศึกษา สังคมวิทยา นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ มานุษยวิทยา ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม การพัฒนาชุมชม การศึกษา จิตวิทยา และรวมถึงสหวิทยาการเชิงประยุกต์ด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ปีละ 6 ฉบับ โดยบทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ได้ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิอย่างน้อย 2 ท่าน ทั้งนี้เปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> th-TH <p>ทัศนะและความคิดเห็นที่ปรากฏในบทความในวารสาร ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความนั้น และไม่ถือเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการ ยินยอมว่าบทความเป็นลิขสิทธิ์ของวารสาร</p> Journalpeacemcu@gmail.com (พระเมธีวัชรบัณฑิต, ศ.ดร. (หรรษา ธมฺมหาโส)) somporn.lang@mcu.ac.th (พระสมพร ปสนฺโน (หลังแก้ว)) Mon, 30 Dec 2024 17:42:17 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 The Impact of Visitor Satisfaction on Soundscape Design in Buddhist Temples – A Case Study of the Square around Taiping Xingguo Temple Pagoda https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/274856 <p><strong>This study investigates</strong><strong> how</strong><strong> visitor satisfaction affects soundscape design and practice in Buddhist temples, with a focus on the square of Taiping Xingguo Temple as a case. This study uses a mixed method to collect and analyze soundscape data, categorizing the soundscape into natural sound, Buddhist sound, human sound, and noise. The objectives of this study are delineated as follows:</strong><strong> 1. </strong><strong>To record and analyze the sound sources surrounding Taiping Xingguo Temple Pagoda.</strong><strong> 2. </strong><strong>To evaluate the influence of soundscape elements on visitor satisfaction at Taiping Xingguo Temple Pagoda.</strong><strong> 3. </strong><strong>To</strong> <strong>conceptualize a soundscape design for Taiping Xingguo Temple Pagoda that may serve as a model for other temples.</strong></p> <p><strong>The results of this study reveal that: 1. The soundscape elements consist of four types and most respondents find the traffic noise to be excessively loud. The soundscape of Taiping Xingguo Temple ought to facilitate meditation and relaxation, convey Buddhist teachings and culture, enhance faith and identity, and augment the soundscape’s richness. 2. The elements of the soundscape significantly impact visitor satisfaction. Sounds emanating from Buddhist rituals and the natural environment exert the most substantial positive effect, whereas auditory disturbances negatively affect satisfaction to a considerable degree. This research advocates for augmenting the presence of Buddhist and natural sounds, coupled with the attenuation of noise, to enhance visitors’ perceptions. 3. The design of the soundscape should be strategically focused on reinforcing the temple’s spiritual ambiance. This entails maintaining and honoring its historical and cultural integrity, accentuating its Buddhist essence, establishing balance and cohesion among the various sound sources, and customizing the soundscape’s intensity and rhythm to the spatial functions and the exigencies of the tourists.</strong></p> Minting Zhao, Eakachat Joneurairatana, Veerawat Sirivesmas, Sone Simatrang Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/274856 Mon, 30 Dec 2024 00:00:00 +0700 Empathy: Modes of Narrative in Contemporary Jewelry Art https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/278352 <p>The objectives of this research were to: 1. examine theories related to empathy and narrative in jewelry; 2. examine the role of empathy in driving the development of jewelry narratives; 3. analyze, through case studies, the mechanisms contributing to empathy in contemporary jewelry narration; and 4. explore the significance of empathy in the creative process of narrative in contemporary jewelry. The authors believe that any successful art form should have a narrative function, and that any successful work should be able to evoke empathy in the audience. Based on this perspective, a series of narrative jewelry works inspired by the traditional Chinese shadow play "The White Snake" is introduced in this paper, illustrating how the author explores the narrative function of jewelry. Additionally, the author combines other jewelry cases to study the mechanisms of generating empathy in contemporary jewelry narratives and elaborates on the positive significance of empathy in the development of narrative in contemporary jewelry art. This research examines the relationship between empathy and narrative in contemporary jewelry, analyzing how empathy drives jewelry narratives and using case studies, including a series based on "The White Snake," to demonstrate its significance in the creative process.</p> <p>The research results were found as follows; 1. According to theories related to empathy and narrative in jewelry, it is imperative to consider empathy in the narrative of contemporary jewelry. 2. The role of empathy in driving the development of jewelry narratives has become the primary element. 3. The empathy is a link to realize the connection between emotions and feelings of people. 4. The empathy utilized in the contemporary shadow narrative jewelry "The White Snake" is well embodied in this work and enables contemporary jewelry to far exceed the artistic appeal of traditional jewelry. In conclusion, empathy is essential in the narrative of contemporary jewelry, serving as a primary element that connects emotions and enhances artistic appeal, as exemplified by the contemporary shadow narrative jewelry based on "The White Snake."</p> Lei Zhang , Rongkakorn Anantasanta Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/278352 Mon, 30 Dec 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาโปรแกรมการศึกษานอกระบบเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการประเมินคุณภาพการศึกษาของผู้ประเมินคุณภาพการศึกษาภายใน ระดับหลักสูตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/277834 <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโปรแกรมการศึกษานอกระบบเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการประเมินคุณภาพการศึกษาของผู้ประเมินคุณภาพการศึกษาภายใน ระดับหลักสูตร <br />รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงพัฒนา ใช้แนวคิดโปรแกรมเชิงสถาบันของ Boyle และการเรียนรู้ด้วยตนเอง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้ประเมินคุณภาพการศึกษาภายใน ระดับหลักสูตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จำนวน 25 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบทดสอบ และแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1. การพัฒนาโปรแกรมการศึกษานอกระบบเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการประเมินคุณภาพการศึกษาของผู้ประเมินคุณภาพการศึกษาภายใน ระดับหลักสูตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีดังนี้ 1) การกำหนดกลุ่มเป้าหมาย 2) การระบุเนื้อหาสาระ 3) การวางแผนการเรียนรู้ 4) การนำผลการเรียนรู้ไปทดลองใช้ 5) การประเมินผลโปรแกรม 2. คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ด้วยตนเองผ่านสื่อออนไลน์ จำนวน 3 เรื่อง ได้แก่ คลิปที่ 1 หลักสูตรในบริบทของการจัดการศึกษาที่ยึดผลลัพธ์เป็นหลัก (Outcome Base Learning: OBE) คลิปที่ 2 ทฤษฎีการเรียนรู้ของ Bloom’s Taxonomy และคลิปที่ 3 ความเชื่อมโยงของการจัดการเรียนรู้ (Constructive Alignment) พบว่าคะแนนทดสอบหลังเรียนสูงกว่าคะแนนทดสอบก่อนเรียน 3. ความพึงพอใจของผู้ประเมินคุณภาพการศึกษาภายใน ระดับหลักสูตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ต่อการพัฒนาโปรแกรมการศึกษานอกระบบเพื่อการเสริมสร้างความสามารถของ ผู้ประเมินคุณภาพการศึกษาภายใน ระดับหลักสูตร อยู่ในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.57</p> นงนาฏ พัวประเสริฐ, จุฬารัตน์ วัฒนะ , พนิต เข็มทอง Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/277834 Mon, 30 Dec 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิตเพื่อเสริมสร้างความรอบรู้เกี่ยวกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของเยาวชนไทย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/274956 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความรอบรู้เกี่ยวกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของเยาวชนไทย 2) พัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิตเพื่อเสริมสร้างความรอบรู้เกี่ยวกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของเยาวชนไทย 3) ประเมินผลการใช้นวัตกรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิตเพื่อเสริมสร้างความรอบรู้เกี่ยวกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของเยาวชนไทย และ 4) ศึกษาความพึงพอใจของเยาวชนไทยที่มีต่อนวัตกรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิตเพื่อเสริมสร้างความรอบรู้เกี่ยวกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน โดยกลุ่มตัวอย่างของการวิจัย คือ เยาวชนไทย อายุระหว่าง 15 - 24 ปี จำนวน 515 คน และกลุ่มตัวอย่างที่ทดลองใช้นวัตกรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิต จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบประเมินระดับความรอบรู้, นวัตกรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิต, แบบทดสอบระดับความรอบรู้ และแบบประเมินความพึงพอใจที่มีต่อนวัตกรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ใช้การวิเคราะห์ค่าสถิติ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบ t-test และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) เยาวชนไทยมีระดับความรอบรู้เกี่ยวกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนต่ำที่สุด ในเป้าหมายที่ 7 รับรองการมีพลังงานที่ทุกคนเข้าถึงได้ เชื่อถือได้ ยั่งยืนทันสมัย 2) การพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิตเพื่อเสริมสร้างความรอบรู้เกี่ยวกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของเยาวชนไทย ได้แก่ หนังสือการ์ตูนความรู้และเกมกระดาน 3) ผลการประเมินการใช้นวัตกรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิตเพื่อเสริมสร้างความรอบรู้เกี่ยวกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของเยาวชนไทยพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีคะแนนการทดสอบหลังเรียน (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 11.97, S.D. = 0.99) สูงกว่าก่อนการใช้นวัตกรรมการเรียนรู้ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 7.37, S.D. = 1.97) และเมื่อเปรียบเทียบโดยทดสอบสมมติฐานด้วย t-test พบว่ามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 4) ผลการศึกษาความพึงพอใจของเยาวชนไทยที่มีต่อนวัตกรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิตเพื่อเสริมสร้างความรอบรู้เกี่ยวกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน พบว่า มีความพึงพอใจต่อนวัตกรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิตเพื่อเสริมสร้างความรอบรู้เกี่ยวกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนอยู่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.78, S.D. = 0.45) เมื่อพิจารณาเป็นรายประเด็นพบว่า กลุ่มตัวอย่างเห็นว่า นวัตกรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิตส่งเสริมหรือกระตุ้นให้เกิดความรู้ใหม่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.87, S.D. = 0.35)</p> เอกภูมิ เจียมวิทยานุกูล, ชนันภรณ์ อารีกุล Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/274956 Mon, 30 Dec 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาสื่อการสอน เรื่องการสร้างแบบตัดเบื้องต้นสำหรับนักเรียนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ วิทยาลัยอาชีวศึกษาธนบุรี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/274834 <p>จากการศึกษางานวิจัย เรื่อง การพัฒนาสื่อการสอน เรื่องการสร้างแบบตัดเบื้องต้น สำหรับนักเรียนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ วิทยาลัยอาชีวศึกษาธนบุรี มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อหาประสิทธิภาพของสื่อ การสอน เรื่องการสร้างแบบตัดเบื้องต้น สำหรับนักเรียนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพวิทยาลัยอาชีวศึกษาธนบุรี 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยสื่อการสอน เรื่องการสร้างแบบตัดเบื้องต้น สำหรับนักเรียนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ วิทยาลัยอาชีวศึกษาธนบุรี 3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อสื่อการสอน เรื่องการสร้างแบบตัดเบื้องต้น สำหรับนักเรียนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพวิทยาลัยอาชีวศึกษาธนบุรี โดยกลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพประเภทวิชาคหกรรม วิทยาลัยอาชีวศึกษาธนบุรี ที่เรียนวิชาการตัดเย็บเบื้องต้น ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 20 คน โดยการเลือกวิธีแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ใช้แบบประเมินคุณภาพสื่อการสอน แบบประเมินทักษะการปฏิบัติงาน และแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อสื่อการสอนเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย และ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ( ) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการทดสอบค่า t-test</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1. การหาประสิทธิภาพของสื่อการสอน เรื่องการสร้างแบบตัดเบื้องต้นมีประสิทธิภาพเท่ากับ 80.75/85.42, 2. การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องการสร้างแบบตัดเบื้องต้น หลังเรียนมีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 50 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05, 3. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อสื่อการสอน เรื่องการสร้างแบบตัดเบื้องต้น พบว่าความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อสื่อการสอนอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.23, S.D. = 0.25)</p> ปาลิตา ชะนะ, ชญาภัทร์ กี่อาริโย Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/274834 Mon, 30 Dec 2024 00:00:00 +0700 การศึกษาความต้องการจำเป็นและแนวทางในการพัฒนาจิตวิญญาณความเป็นครูของครูรุ่นใหม่ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/271315 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจความต้องการในการส่งเสริมจิตวิญญาณความเป็นครูของครูรุ่นใหม่ วิเคราะห์ความจำเป็นในการส่งเสริมจิตวิญญาณความเป็นครูของครูรุ่นใหม่ และ ศึกษาแนวทางการพัฒนาจิตวิญญาณความเป็นครูของครูรุ่นใหม่ ดำเนินการวิจัย 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 สำรวจความต้องการในการส่งเสริมจิตวิญญาณความเป็นครูของครูรุ่นใหม่ ระยะที่ 2 วิเคราะห์ความจำเป็นในการส่งเสริมจิตวิญญาณความเป็นครูของครูรุ่นใหม่ และ ระยะที่ 3 ศึกษาแนวทางการพัฒนาจิตวิญญาณความเป็นครูของครูรุ่นใหม่เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบสำรวจความต้องการส่งเสริมจิตวิญญาณความเป็นครูของครูรุ่นใหม่ แบบประเมินความสอดคล้องระหว่างจิตวิญญาณความเป็นครูกับมาตรฐานวิชาชีพครู มาตรฐานคุณวุฒิ และมาตรฐานการศึกษาชาติ แบบวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่าง แนวทางการพัฒนาจิตวิญญาณความเป็นครูของครูรุ่นใหม่ และ แบบประเมินความเหมาะสมของแนวทางการพัฒนาจิตวิญญาณความเป็นครูของครูรุ่นใหม่</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ความต้องการในการส่งเสริมจิตวิญญาณความเป็นครูของครูรุ่นใหม่โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ด้านการเสียสละในงานของครูมีระดับความต้องการส่งเสริมมากที่สุด รองลงมา คือ ด้านการรับผิดชอบหน้าที่ของครูมีระดับความต้องการส่งเสริมมาก ด้านความเชื่อมั่นในศักยภาพมนุษย์มีระดับความต้องการส่งเสริมมาก และด้านความเสมอภาคต่อนักเรียนมีระดับความต้องการส่งเสริมมาก 2) จิตวิญญาณความเป็นครูมีความจำเป็นที่ควรส่งเสริมกับครูรุ่นใหม่ ดังระบุไว้ในมาตรฐานวิชาชีพครู มาตรฐานคุณวุฒิปริญญาตรี และมาตรฐานการศึกษาชาติ 3) แนวทางการพัฒนาจิตวิญญาณความเป็นครูของครูรุ่นใหม่โดยใช้กิจกรรมจิตตปัญญาศึกษา โดยกิจกรรมจิตตปัญญาศึกษาพัฒนาจิตวิญญาณความเป็นครู มี 4 แนวทางในการจัดการเรียนรู้ ได้แก่ การสร้างแรงบันดาลใจ การใช้จิตวิทยาด้านบวก การเรียนรู้กิจกรรมจิตตปัญญาศึกษา และการสร้างวิถีปฏิบัติ</p> ชาญณรงค์ วิเศษสัตย์ , วาสนาไทย วิเศษสัตย์ , ศักดิ์ศรี สืบสิงห์ , ยุวธิดา ชาปัญญา Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/271315 Mon, 30 Dec 2024 00:00:00 +0700 รูปแบบการบริหารนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานบนพื้นที่สูงในถิ่นทุรกันดาร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/274916 <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานบนพื้นที่สูงในถิ่นทุรกันดาร วิธีดำเนินการวิจัยมี 3 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาองค์ประกอบและแนวทางการบริหารนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานบนพื้นที่สูงในถิ่นทุรกันดาร โดยศึกษาจากเอกสาร งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ร่วมกับการศึกษาสถานศึกษาที่มีวิธีปฏิบัติที่ดี จำนวน 3 โรงเรียน และสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน เครื่องที่ใช้ คือ แบบบันทึกข้อมูล และแบบสัมภาษณ์ ตามลำดับ ขั้นตอนที่ 2 การสร้างและตรวจสอบความเหมาะสมของรูปแบบ แหล่งข้อมูล คือ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 10 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบตรวจสอบความเหมาะสมของร่างรูปแบบ ขั้นตอนที่ 3 การประเมินความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์ของรูปแบบ ผู้ให้ข้อมูลคือ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 60 คน และครูหัวหน้ากลุ่มงานบริหารวิชาการ จำนวน 60 คน รวมจำนวน 120 คน เครื่องมือที่ใช้คือ แบบประเมินความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์ของรูปแบบ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการบริหารนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานบนพื้นที่สูงในถิ่นทุรกันดาร มี 6 องค์ประกอบ ได้แก่ องค์ประกอบที่ 1 หลักการ องค์ประกอบที่ 2 วัตถุประสงค์ องค์ประกอบที่ 3 ปัจจัยนำเข้า ประกอบด้วย 3.1) ผู้บริหารสถานศึกษา 3.2) ครูผู้สอน 3.3) วัฒนธรรมองค์กรที่เอื้อต่อการพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ 3.4) แหล่งเรียนรู้สื่อ และเทคโนโลยี องค์ประกอบที่ 4 กระบวนการพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ ประกอบด้วย 4.1) การวิเคราะห์สภาพปัญหา 4.2) การออกแบบและสร้างนวัตกรรม 4.3) การทดลองใช้นวัตกรรม 4.4) การประเมินผลการใช้นวัตกรรม 4.5) การสะท้อนผลและการเผยแพร่ องค์ประกอบที่ 5 คุณภาพผู้เรียน และองค์ประกอบที่ 6 ปัจจัยความสำเร็จ ซึ่งรูปแบบการบริหารที่พัฒนาขึ้นนี้ มีความเป็นไปได้และเป็นประโยชน์อยู่ในระดับมากที่สุด</p> วิเชียร นันต๊ะ, จิติมา วรรณศรี Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/274916 Mon, 30 Dec 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาสื่อด้านคหกรรมศาสตร์งานประดิษฐ์ผ่านผู้ทรงอิทธิพลบนโลกออนไลน์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/275392 <p>การศึกษาวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาวะการณ์ในการสร้างสื่อของผู้ทรงอิทธิพลบนโลกออนไลน์ด้านคหกรรมศาสตร์งานประดิษฐ์ 2) วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านคุณลักษณะกับปัจจัย ด้านกลยุทธ์การสื่อสารในการพัฒนาสื่อด้านคหกรรมศาสตร์งานประดิษฐ์ผ่านผู้ทรงอิทธิพลบนโลกออนไลน์ และ 3) พัฒนารูปแบบสื่อการเรียนรู้ด้านคหกรรมศาสตร์งานประดิษฐ์ การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือผู้ติดตามช่องยูทูบด้านคหกรรมศาสตร์งานประดิษฐ์ จำนวน 6 เพจ ซึ่งมีผู้ติดตามตั้งแต่ 7.10 หมื่นคน ถึง 4.73 แสนคน และเคยเข้ารับชมสื่อออนไลน์ด้านคหกรรมศาสตร์งานประดิษฐ์ อย่างน้อย 3 ครั้งจำนวน 402 คน โดยใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญด้วยความสมัครใจเพื่อให้ได้ตรงตามจำนวนที่ต้องการ เครื่องมือที่ใช้คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ การวิเคราะห์ถดถอยแบบพหุคูณ</p> <p>ผลการศึกษาวิจัยมีดังนี้ 1) สภาวการณ์การสร้างสื่อออนไลน์ในการรับชมสื่อคหกรรมศาสตร์ผ่านผู้ทรงอิทธิพลบนโลกออนไลน์ พบว่า ผู้รับชมส่วนใหญ่เลือกรับชมงานประดิษฐ์จากเศษวัสดุเหลือใช้ เรื่อง ของตกแต่ง เช่น ดอกไม้กระดาษ โมบาย ผ่านช่องทางยูทูบ โดยใช้เวลาในการรับชมจะรับชมวีดิทัศน์ประมาณ 5-10 นาที สัปดาห์ละ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ ช่วงเวลาในการรับชมเวลา 16.01-20.00 น. 2) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านคุณลักษณะกับปัจจัยด้านกลยุทธ์การสื่อสารในการพัฒนาสื่อด้านคหกรรมศาสตร์งานประดิษฐ์ ผ่านผู้ทรงอิทธิพลบนโลกออนไลน์ พบว่า ปัจจัยด้านคุณลักษณะของผู้ทรงอิทธิพลบนโลกออนไลน์ ได้แก่ ด้านความไว้วางใจ ด้านความเคารพ ด้านความเชี่ยวชาญ ด้านความดึงดูดใจ และด้านความเหมือนกับกลุ่มเป้าหมาย ส่งผลต่อปัจจัยด้านกลยุทธิ์การสื่อสาร ได้แก่ ปัจจัยด้านเนื้อหา ปัจจัยด้านประโยชน์ ปัจจัยด้านความเฉพาะเจาะจง ปัจจัยด้านการปฏิสัมพันธ์ และปัจจัยด้านการสร้างสรรค์ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> ปวีณ์นุช ถึงเจริญ , จอมขวัญ สุวรรณรักษ์, จุฑามาศ พีรพัชระ Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/275392 Mon, 30 Dec 2024 00:00:00 +0700 การรับรู้ด้านคุณค่าทางโภชนาการและสุขาภิบาลอาหารของโครงการอาหารกลางวันโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/275406 <p>การศึกษาวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความรู้ด้านคุณค่าทางโภชนาการของโครงการอาหารกลางวัน 2) ศึกษาการรับรู้ด้านสุขาภิบาลอาหารของโครงการอาหารกลางวัน การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 ที่มีช่วงอายุตั้งแต่ 8-12 ปี ในโรงเรียน ทั้ง 4 ระดับ คือ โรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ ได้แก่ โรงเรียน A โรงเรียน B โรงเรียนขนาดใหญ่ ได้แก่ โรงเรียน C โรงเรียน D โรงเรียนขนาดกลาง ได้แก่ โรงเรียน E โรงเรียน F โรงเรียนขนาดเล็ก ได้แก่ โรงเรียน G โรงเรียน H โดยใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญด้วยความสมัครใจเพื่อให้ได้ตรงตามจำนวนที่ต้องการ เครื่องมือที่ใช้คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ</p> <p>ผลการศึกษาวิจัยมีดังนี้ 1) นักเรียนส่วนใหญ่มีความรู้ด้านคุณค่าทางโภชนาการอยู่ในระดับดีมาก คิดร้อยละ 98.25 และมีการรับรู้เกี่ยวกับสุขาภิบาลอาหารอยู่ในระดับดีมาก คิดเป็นร้อยละ 100 2) นักเรียนส่วนใหญ่มีการรับรู้เกี่ยวกับโครงการอาหารกลางวันอยู่ในระดับดี คิดเป็นร้อยละ 78.24</p> ณัฐวัฒน์ เบ็ญชา , จอมขวัญ สุวรรณรักษ์ , จุฑามาศ พีรพัชระ , อมรรัตน์ เจริญชัย Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/275406 Mon, 30 Dec 2024 00:00:00 +0700 การรับรู้คุณค่าทางสุขาภิบาลอาหารของผู้สัมผัสอาหารของร้านจำหน่ายอาหารในสถานศึกษา จังหวัดสมุทรสาคร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/275396 <p>การศึกษาวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพและปัญหาด้านสุขาภิบาลอาหารของผู้สัมผัสอาหาร ในสถานศึกษา จังหวัดสมุทรสาคร 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการรับรู้ด้านสุขาภิบาลอาหารของผู้สัมผัสอาหารในสถานศึกษา จังหวัดสมุทรสาคร การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้สัมผัสอาหาร ของร้านจำหน่ายอาหารในสถานศึกษาระดับมัธยมศึกษา จังหวัดสมุทรสาคร ทั้งสิ้น 163 คน กำหนดขนาดของ กลุ่มตัวอย่างโดยใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง จากโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ โรงเรียนขนาดใหญ่ และโรงเรียนขนาดกลาง จำนวนขนาดละ 2 โรงเรียน ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 91 คน เครื่องมือที่ใช้คือ แบบทดสอบ และแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ </p> <p>ผลการศึกษาวิจัยมีดังนี้ 1) สภาพและปัญหาด้านสุขาภิบาลอาหารของผู้สัมผัสอาหารในสถานศึกษา จังหวัดสมุทรสาคร พบว่า ผลการทดสอบความรู้ด้านสุขาภิบาลอาหารผู้สัมผัสอาหารในสถานศึกษา ผู้สัมผัสอาหารผ่านเกณฑ์ทดสอบความรู้ จำนวน 50 คน คิดเป็นร้อยละ 54.95 และไม่ผ่านเกณฑ์ทดสอบความรู้ จำนวน 41 คน คิดเป็นร้อยละ 45.05 2) ปัจจัยที่มีผลต่อการรับรู้ด้านสุขาภิบาลอาหารของผู้สัมผัสอาหารในสถานศึกษา จังหวัดสมุทรสาคร พบว่า ระดับความคิดเห็นทัศนคติด้านสุขาภิบาลอาหารของผู้สัมผัสอาหารในสถานศึกษาส่วนใหญ่เห็นด้วย ในหมวด 1 สถานที่จำหน่ายอาหาร หัวข้อที่ 1.1 บริเวณที่จำหน่ายและบริโภคอาหาร ไม่เห็นด้วยด้านจัดบริการช้อนกลาง สำหรับอาหารที่ต้องรับประทานร่วมกัน ร้อยละ 3.30 หมวด 2 อาหาร กรรมวิธีการทำ ประกอบ หรือปรุง การเก็บรักษา และการจำหน่ายอาหาร หัวข้อที่ 2.2 น้ำดื่มและน้ำใช้ ไม่เห็นด้วย ด้านพื้นผิวภายนอกของภาชนะ สะอาด ไม่มีคราบสกปรกเก็บสูงจากพื้นอย่างน้อย 15 เซนติเมตร ร้อยละ 3.30 หมวด 3 สุขลักษณะของภาชนะ อุปกรณ์ และเครื่องใช้อื่น ๆ ส่วนระดับความคิดเห็นการปฏิบัติตนตามมาตรฐานสุขาภิบาลอาหารของผู้สัมผัสอาหาร ผู้สัมผัสอาหารไม่เคยปฏิบัติ คือการมีทะเบียน หรือหลักฐานผ่านการอบรมตามหลักสูตรสุขาภิบาลอาหารจากหน่วยงานจัดการอบรมที่กำหนด ร้อยละ 60.43</p> จันทกร มาประชุม , จอมขวัญ สุวรรณรักษ์ , จุฑามาศ พีรพัชระ Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/275396 Mon, 30 Dec 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาสื่อของอินฟลูเอนเซอร์ด้านคหกรรมศาสตร์งานประดิษฐ์เอกลักษณ์ไทย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/275393 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการณ์การสร้างสื่อของอินฟลูเอนเซอร์ด้านคหกรรมศาสตร์งานประดิษฐ์เอกลักษณ์ไทย 2) วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านคุณลักษณะกับด้านกลยุทธ์การสื่อสารในการพัฒนาสื่ออินฟลูเอนเซอร์ด้านคหกรรมศาสตร์งานประดิษฐ์เอกลักษณ์ไทยและ3)พัฒนารูปแบบสื่อด้านคหกรรศาสตร์งานประดิษฐ์เอกลักษณ์ไทย การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ติดตามช่องยูทูปด้านคหกรรมศาสตร์งานประดิษฐ์เอกลักษณ์ไทย จำนวน 14 เพจ ซึ่งมีผู้ติดตามตั้งแต่ 1.58 หมื่นคน ถึง 2.54 แสนคน และเคยเข้ารับชมสื่อออนไลน์ด้านคหกรรมศาสตร์งานประดิษฐ์เอกลักษณ์ไทย กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางสุ่มของเครซี่และมอร์แกน ที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95 ระดับความคลาดเคลื่อน ± ร้อยละ 5 ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 385 คน โดยใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญด้วยความสมัครใจเพื่อให้ได้ตรงตามจำนวนที่ต้องการ เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยแบบพหุคูณ</p> <p>ผลการศึกษาสภาพการณ์การสร้างสื่อของอินฟลูเอนเซอร์ด้านคหกรรมศาสตร์งานประดิษฐ์เอกลักษณ์ไทย พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุต่ำกว่า 20 ปี การศึกษาระดับต่ำกว่าปริญญาตรี อาชีพนักเรียน/นิสิต/นักศึกษา รายได้ 20,001-30,000 บาท สถานภาพโสด เลือกชมสื่องานประดิษฐ์เอกลักษณ์ไทยผ่านช่องทางยูทูป เรื่องมาลัยสองชาย ดูผ่านสื่อออนไลน์น้อยกว่า 2 ครั้งต่อสัปดาห์ และปัจจัยที่เลือกชมงานประดิษฐ์เอกลักษณ์ไทยคือ ด้านการสร้างสรรค์ สำหรับระดับความสำคัญด้านคุณลักษณะของอินฟลูเอนเซอร์ด้านคหกรรมศาสตร์งานประดิษฐ์เอกลักษณ์ไทย พบว่า ในภาพรวมและรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมาก เรียงลำดับค่าเฉลี่ยมากไปน้อย คือ ด้านความเชี่ยวชาญ ด้านความเคารพ ด้านความไว้วางใจ ด้านความดึงดูดใจ และด้านความเหมือนกับกลุ่มเป้าหมาย ส่วนระดับความสำคัญด้านกลยุทธ์การสื่อสารของอินฟลูเอนเซอร์ด้านคหกรรมศาสตร์งานประดิษฐ์เอกลักษณ์ไทยในภาพรวมและรายด้านพบว่าอยู่ในระดับมากเรียงลำดับค่าเฉลี่ยมากไปน้อยคือ ด้านการปฏิสัมพันธ์ ด้านประโยชน์ ด้านเนื้อหา ด้านการสร้างสรรค์ และด้านความเฉพาะเจาะจง ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านคุณลักษณะของอินฟลูเอนเซอร์กับกลยุทธ์การสื่อสารด้านคหกรรมศาสตร์งานประดิษฐ์เอกลักษณ์ไทยในการพัฒนาสื่อด้านคหกรรมศาสตร์งานประดิษฐ์เอกลักษณ์ไทย พบว่า มีตัวแปรทำนาย 5 ตัว คือ ด้านความเชี่ยวชาญ ด้านความไว้วางใจ ด้านความดึงดูดใจ ด้านความเคารพ และด้านความเหมือนกับกลุ่มเป้าหมาย สามารถร่วมกันพยากรณ์คุณลักษณะของอินฟลูเอนเซอร์ในการพัฒนาสื่อด้านคหกรรมศาสตร์งานประดิษฐ์เอกลักษณ์ไทย ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และมีอำนาจทำนายประมาณร้อยละ 42.60 และผลการพัฒนารูปแบบสื่อด้านคหกรรมศาสตร์งานประดิษฐ์จากผลการวิจัยข้างต้นผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างสื่อประเภทยูทูปด้านคหกรรมศาสตร์งานประดิษฐ์เอกลักษณ์ไทยประเภทดอกไม้สด เรื่อง การประดิษฐ์มาลัยร้อยรัก โดยใช้เทคนิคการบรรยายด้วยภาพ ความยาว 8 นาที โดยนำไปเผยแพร่ในช่องทาง ยูทูป 3 เพจ เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ มีผู้รับชมรวม 294 คน กดถูกใจ like รวม 125 คน กดติดตาม รวม 93 คน และให้คำแนะนำหรือมีข้อคำถาม รวม 1 คน</p> นรินทร์ ลาภอนันต์ , จอมขวัญ สุวรรณรักษ์ , จุฑามาศ พีรพัชระ Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/275393 Mon, 30 Dec 2024 00:00:00 +0700 รูปแบบการบริหารงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาบนพื้นที่สูง ในถิ่นทุรกันดาร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/275024 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาบนพื้นที่สูงในถิ่นทุรกันดาร มีวิธีการดำเนินการวิจัยมี 3 ขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาองค์ประกอบและแนวทางการบริหารงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาบนพื้นที่สูงในถิ่นทุรกันดาร โดยศึกษาจาก 1.1) เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1.2) สถานศึกษาที่มีวิธีปฏิบัติที่ดี จำนวน 3 โรงเรียน และ 1.3) สัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ ตารางวิเคราะห์เนื้อหา และแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง ตามลำดับ ขั้นตอนที่ 2 สร้างและตรวจสอบความเหมาะสมของรูปแบบการบริหารงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาบนพื้นที่สูงในถิ่นทุรกันดาร โดยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 9 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบตรวจสอบความเหมาะสมของรูปแบบ และขั้นตอนที่ 3 ประเมินความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์ของรูปแบบ กลุ่มผู้ให้ข้อมูล คือ ผู้บริหารสถานศึกษา และครูผู้รับผิดชอบงานประกันคุณภาพการศึกษา จำนวน 120 คน จากสถานศึกษาบนพื้นที่สูงในถิ่นทุรกันดาร จำนวน 60 แห่ง ในภาคเหนือตอนบน โดยเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือในการวิจัย คือ แบบประเมินความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์ของรูปแบบ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า รูปแบบการบริหารงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาบนพื้นที่สูง ในถิ่นทุรกันดาร มี 6 องค์ประกอบ ดังนี้ องค์ประกอบที่ 1 หลักการ องค์ประกอบที่ 2 วัตถุประสงค์ องค์ประกอบที่ 3 ปัจจัยนำเข้า ประกอบด้วย ด้านบุลคลากร และด้านอื่น ๆ องค์ประกอบที่ 4 กระบวนการดำเนินงาน องค์ประกอบที่ 5 คุณภาพการศึกษา ประกอบด้วย ด้านผู้เรียน ด้านการบริหารจัดการ และด้านการเรียนการสอน และองค์ประกอบที่ 6 ปัจจัยความสำเร็จ ประกอบด้วย การสร้างแรงจูงใจ การสร้างเครือข่าย การมีวัฒนธรรมองค์กรที่มุ่งเน้นคุณภาพ และการสนับสนุนและช่วยเหลือจากหน่วยงานต้นสังกัด โดยมีผลการประเมินความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์ของรูปแบบในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> วิไลวรรณ นันต๊ะ, จิติมา วรรณศรี Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/275024 Mon, 30 Dec 2024 00:00:00 +0700 โมเดลสมการโครงสร้างภาวะผู้นำเชิงจิตวิญญาณตามหลักพุทธธรรมของพระสอนศีลธรรม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/276440 <p>บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยเรื่อง “โมเดลสมการโครงสร้างภาวะผู้นำเชิงจิตวิญญาณตามหลักพุทธธรรมของพระสอนศีลธรรม” มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบโมเดลสมการโครงสร้างภาวะผู้นำเชิงจิตวิญญาณตามหลักพุทธธรรมของพระสอนศีลธรรม 2) เพื่อพัฒนาและตรวจสอบความตรงของโมเดลสมการโครงสร้างภาวะผู้นำเชิงจิตวิญญาณตามหลักพุทธธรรมของพระสอนศีลธรรม และ 3) เพื่อประเมินโมเดลสมการโครงสร้างภาวะผู้นำเชิงจิตวิญญาณตามหลักพุทธธรรมของพระสอนศีลธรรม ใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณเพื่อขยายผลวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ วิเคราะห์สหสัมพันธ์เพียร์สัน วิเคราะห์เพื่อตรวจสอบความสอดคล้องของโมเดลกับข้อมูลเชิงประจักษ์ และวิเคราะห์ขนาดอิทธิพลทางตรงและทางอ้อมด้วยโปรแกรม LISREL กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย จำนวน 390 รูป/ คน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) องค์ประกอบโมเดลสมการโครงสร้างภาวะผู้นำเชิงจิตวิญญาณตามหลักพุทธธรรมของพระสอนศีลธรรม ได้แก่ คุณลักษณะพระสอนศีลธรรมที่พึงประสงค์, วิธีการพัฒนาภาวะผู้นำ, ไตรสิกขา และภาวะผู้นำเชิงจิตวิญญาณตามหลักพุทธธรรมของพระสอนศีลธรรม 2) โมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุ มีความสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ (Chi-square = 45.23, df = 35, p = 0.1154, GFI = 0.986, AGFI = 0.944, RMR = 0.0196) และ 3) การประเมินโมเดลสมการโครงสร้างภาวะผู้นำเชิงจิตวิญญาณตามหลักพุทธธรรมของพระสอนศีลธรรม ผลการตรวจสอบพบว่า มีความเหมาะสม มีความถูกต้อง มีความเป็นไปได้ในการปฏิบัติ และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ และสรุปองค์ความรู้จากการวิจัยมาพัฒนาเป็นโมเดลสมการโครงสร้างภาวะผู้นำเชิงจิตวิญญาณตามหลักพุทธธรรมของพระสอนศีลธรรม ได้เป็น MONK Model เพื่อให้ง่ายต่อการนำไปปรับใช้ได้จริงของพระสอนศีลธรรม</p> พระมหากัมพล อตฺถปาโล ชำนาญ , บุญเชิด ชำนิศาสตร์ , ลำพอง กลมกูล Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/276440 Mon, 30 Dec 2024 00:00:00 +0700 เอกสารคัมภีร์ใบลาน : กลวิธีการเปลี่ยนแปลงทางภาษาในบทสู่ขวัญ สำนวนท้องถิ่นอีสาน https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/274846 <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากลวิธีการเปลี่ยนแปลงทางภาษาในบทสู่ขวัญสำนวนท้องถิ่นอีสานจากเอกสารใบลาน ใช้กรอบแนวคิดการเปลี่ยนแปลงทางภาษามาเป็นแนวทางในการศึกษา โดยดำเนินการวิจัยเลือกกลุ่มเป้าหมายแบบเจาะจง คือ ตัวบทเอกสารใบลานบทสู่ขวัญสำนวนท้องถิ่นอีสาน จำนวน 15 สำนวน มาเป็นข้อมูลในการศึกษาวิเคราะห์แบบพรรณนาวิเคราะห์</p> <p>ผลการการวิจัยพบว่า ตัวอักษรธรรมอีสานที่ปรากฏในเอกสารใบลานบทสู่ขวัญสำนวนท้องถิ่นอีสานนั้น เมื่อมีปริวรรตถ่ายถอดเป็นอักษรภาษาไทยปัจจุบัน มีกลวิธีการเปลี่ยนแปลงรูปพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ กล่าวคือ 1. รูปพยัญชนะ มีการเปลี่ยนแปลงทั้งพยัญชนะต้นเดี่ยว พยัญชนะควบกล้ำ และพยัญชนะสะกด รูปพยัญชนะต้นเดี่ยว มีการเปลี่ยนแปลง จำนวน 13 รูป ได้แก่ ข ค จ ช ส ถ ท พ ภ ผ ย อย ล รูปพยัญชนะควบกล้ำ ในอักษรธรรมอีสาน มีการใช้อยู่ 2 รูป คือ พยัญชนะควบกล้ำ ร และ ว รูปพยัญชนะสะกด มีการเปลี่ยนแปลงรูปในมาตราตัวสะกดแม่ กก แม่ กด แม่กบ และแม่ กน 2. รูปสระ มีการเปลี่ยนแปลงรูปสระ จำนวน 10 รูป ได้แก่ สระ อะ อิ อี อุ โอะ อือ แอ อัว ออ และ เออ 3. รูปวรรณยุกต์ ในอักษรธรรมอีสานไม่มีรูปวรรณยุกต์ การออกเสียงวรรณยุกต์จะพิจารณาจากบริบทแวดล้อมของคำนั้น ๆ</p> ชาญยุทธ สอนจันทร์ Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/274846 Mon, 30 Dec 2024 00:00:00 +0700 การวิจัยและพัฒนาการส่งเสริมบุคลากรด้านอนิเมชันโดยการบูรณาการภาคอุตสาหกรรมและการศึกษา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/275133 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและความต้องการของบุคลากรในการส่งเสริมด้านแอนิเมชัน 2) พัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมบุคลากรด้านแอนิเมชัน 3) ทดลองใช้หลักสูตรการฝึกอบรมบุคลากรด้านแอนิเมชัน และ 4) ประเมินผลการใช้หลักสูตรการฝึกอบรมบุคลากรด้านแอนิเมชันโดยการบูรณาการภาคอุตสาหกรรมและการศึกษากระบวนการวิจัยมี 4 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การศึกษาสภาพปัจจุบันและความต้องการ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารวิสาหกิจแอนิเมชัน จำนวน 60 คน อาจารย์ จำนวน 59 คน นักศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาแอนิเมชันที่กำลังศึกษาชั้นปีที่ 4 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 189 คน และบัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาสาขาแอนิเมชัน จำนวน 60 คน รวม 368 คน ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาหลักสูตรแอนิเมชัน จำนวน 10 คน ระยะที่ 2 การพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมบุคลากร โดยการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการเรียนการสอนแอนิเมชัน จำนวน 10 คน ระยะที่ 3 การทดลองใช้หลักสูตรการฝึกอบรมบุคลากร โดย อาจารย์ 1 คน และนักศึกษา จำนวน 30 คน ระยะที่ 4 การประเมินการใช้หลักสูตรการฝึกอบรมบุคลากร โดยผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 7 คน และนักศึกษา จำนวน 60 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ แบบทดสอบ แบบประเมินชิ้นงาน และวัดความพึงพอใจ สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ความต้องการจำเป็นการส่งเสริมบุคลากรด้านแอนิเมชันโดยบูรณาการภาคอุตสาหกรรมและการศึกษา เรียงจากค่า PNI จากมากไปหาน้อย 3 ลำดับแรก คือ สถานศึกษาต้องเน้นหลักสูตรภาคปฏิบัติมากกว่าภาคทฤษฎี สถานศึกษาต้องพัฒนาความรู้และทักษะด้านการจัดการเรียนการสอนแอนิเมชันมากขึ้น และต้องมีรายวิชาที่สามารถบูรณาการภาคอุตสาหกรรมและภาคการศึกษาได้ 2. การพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรม มีทั้งหมด 4 โมดูล คือ การออกแบบตัวละครแอนิเมชัน การออกแบบภาษากล้องของแอนิเมชัน การออกแบบแอนิเมชัน 3 มิติ และการสังเคราะห์แอนิเมชันหลังการถ่ายทำ ผลประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิด้านความถูกต้อง ความเหมาะสม และความสอดคล้อง โดยรวมอยู่ในระดับมาก 3. ผลการทดลองใช้หลักสูตรการฝึกอบรม มีประสิทธิภาพเท่ากับ 86.21/85.81 ค่าเฉลี่ยของคะแนนหลังการฝึกอบรมสูงกว่าก่อนการฝึกสูงกว่าการฝึกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 4. ผลการใช้หลักสูตรการฝึกอบรม โดยรวมอยู่ในระดับมากทุกด้าน ความพึงพอใจของนักศึกษาต่อการฝึกอบรม โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.60, S.D. = 0.98)</p> เจียง เหรินเฟิง, กระพัน ศรีงาน, โกวิท วัชรินทรางกูร Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/275133 Mon, 30 Dec 2024 00:00:00 +0700 การเปลี่ยนผ่านช่วงเวลาของเมืองเชียงใหม่ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/274936 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาบริบททางวัฒนธรรมของสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นเชียงใหม่ผ่านลักษณะรูปแบบการใช้สอยที่เปลี่ยนแปลงตามช่วงเวลา 2) สร้างสรรค์ศิลปะร่วมสมัยโดยการสังเคราะห์องค์ความรู้สู่การสร้างสรรค์ผลงานศิลปะภาพพิมพ์รูปแบบที่แตกต่างไปจากเดิมเป็นงานวิจัยเชิงสร้างสรรค์ศิลปะ โดยมีการสืบค้นข้อมูลประวัติความเป็นมาตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน (พ.ศ. 2510-2565) ผ่านการศึกษาภาคเอกสารการลงพื้นที่เพื่อสำรวจทางกายภาพและการสัมภาษณ์อย่างมีโครงสร้างโดยมีพื้นที่ทำการวิจัยคือ อำเภอเมือง โดยนำข้อมูลมาสังเคราะห์องค์ความรู้เกี่ยวกับสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นและสร้างสรรค์ผลงานศิลปะร่วมสมัยผ่านโครงสร้างอารคารสถาปัตยกรรมพื้นถิ่น</p> <p>พบว่า 1. บริบทการเปลี่ยนแปลงทางรูปแบบและสภาพแวดล้อมของโครงสร้างสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นเชียงใหม่ซึ่งผู้ศึกษาได้รวบรวมข้อมูลเพื่อเล่าถึงการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมการดำเนินชีวิตของเมืองที่ค่อย ๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยการมองผ่านโครงสร้างในอดีตมาสู่ปัจจุบันการเรียนรู้และปรับตัวเข้าสู่วัฒนธรรมในปัจจุบันได้อย่างมีความเข้าใจในพื้นฐานของวัฒนธรรมที่หลากหลายของเมือง การเรียนรู้ประวัติศาสตร์เหล่านี้จะช่วยให้เราเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบของสังคมและวัฒนธรรมในปัจจุบันที่ส่งผลต่อไปยังอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้นในภายหน้าอย่างมีความเข้าใจ 2. การสร้างสรรค์ผลงานศิลปะร่วมสมัยในชุด “ช่วงเวลา” มีขั้นตอนและกระบวนการที่เกี่ยวข้องกันกับรูปทรงของสถาปัตยกรรมเก่าโดยคัดสรรค์มุมมองเพื่อตรงตามความต้องการในด้านองค์ประกอบที่เหมาะสมเพื่อที่จะสะท้อนแนวความคิดผ่านศิลปะภาพพิมพ์ออกมาให้ส่งผลต่อความรู้สึก และนำผลงานภาพพิมพ์มาสร้างองค์ประกอบขึ้นใหม่ในสื่อดิจิตอลและภาพเคลื่อนไหว (Media Art) กราฟฟิตี้ (Graffiti) ให้เกิดความน่าสนใจมากขึ้นในการเผยแพร่ต่อประชาชนทั่วไปเพื่อที่จะได้เข้าถึงสาระของงานที่จะนำเสนอจนไปถึงการตระหนักต่อคุณค่าสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นที่เปลี่ยนบริบทและความเข้าใจต่อวัฒนธรรมการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลา</p> อมร ทองพยงค์, ฉลองเดช คูภานุมาต Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/274936 Mon, 30 Dec 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หน่วย หิน วัฏจักรหิน และซากดึกดำบรรพ์ โดยการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับความคิดเป็นภาพ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/275519 <p>การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ 1) สร้างแผนการจัดการเรียนรู้ หน่วย หิน วัฏจักรหิน และซากดึกดำบรรพ์ โดยการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับการคิดเป็นภาพ ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์ของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน 3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนและหลังเรียน 4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับการคิดเป็นภาพ งานวิจัยในครั้งนี้เป็นงานวิจัยเชิงทดลอง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 20 คน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียน บ้านตองโขบ โดยการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับการคิดเป็นภาพ 2) แบบทดสอบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบค่าทีแบบกลุ่มที่ไม่เป็นอิสระต่อกัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับการคิดเป็นภาพ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 83.80/81.00 เป็นไปตามเกณฑ์ 80/80 ที่กำหนดไว้ 2) ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับการคิดเป็นภาพหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ <strong>.</strong>01 3) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับการคิดเป็นภาพ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 4) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับการคิดเป็นภาพ อยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.48)</p> คุณานนต์ ยาทองไชย, หรรษกร วรรธนะสาร , อรุณรัตน์ คำแหงพล Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/275519 Mon, 30 Dec 2024 00:00:00 +0700 รูปแบบการพัฒนาทุนมนุษย์สู่การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้การประยุกต์ใช้เทคนิคเดลฟาย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/275527 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบของรูปแบบการพัฒนาทุนมนุษย์สู่การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้การประยุกต์ใช้เทคนิคเดลฟาย 2) เพื่อพัฒนารูปแบบทุนมนุษย์สู่การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้การประยุกต์ใช้เทคนิคเดลฟาย โดยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงผสานวิธี ซึ่งประกอบด้วยการวิจัยเชิงคุณภาพ และการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่คณบดี และรองคณบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร จำนวน 20 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา เครื่องมือการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่ามัธยฐาน และค่าพิสัยระหว่างควอไทล์</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า การศึกษาองค์ประกอบของการพัฒนาทุนมนุษย์สู่การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ ประกอบด้วยการสังเคราะห์เนื้อหาจากแนวคิด ทฤษฎี แล้วนำมากำหนดประเด็นในการสัมภาษณ์ให้ครอบคลุมทฤษฎีโดยใช้เทคนิคเดลฟาย จากแบบสัมภาษณ์ตามทฤษฎี Delphi Technique จำนวน 3 รอบ ดังนี้ (รอบที่ 1) ศึกษาความคิดเห็นโดยใช้แบบสอบถามสัมภาษณ์เชิงลึกลักษณะปลายเปิดให้แสดงความคิดเห็น จากการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ 20 คน ให้ได้ขั้นต่ำ 17 คน โดยใช้แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง (รอบที่ 2) ศึกษาความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญกลุ่มเดิม โดยนําข้อมูลที่ได้จากแบบสอบถาม รอบที่ 1 มาวิเคราะห์เพื่อหาค่า (Rating Scale Questionnaire) โดยคัดเลือกข้อความที่มีค่ามัธยฐานตั้งแต่ 3.50 ขึ้นไป และมีค่าพิสัยระหว่างควอไทล์น้อยกว่า 1.50 (รอบที่ 3) ศึกษาความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญกลุ่มเดิม โดยนําข้อมูลที่ได้จากแบบสอบถาม รอบที่ 2 มาวิเคราะห์ เพื่อหาค่า (Rating Scale Questionnaire) โดยคัดเลือกข้อความที่มีค่ามัธยฐาน ตั้งแต่ 4.50 ขึ้นไป และมีค่าพิสัยระหว่างควอไทล์ น้อยกว่า 1.00 ทำให้ได้รูปแบบการพัฒนาทุนมนุษย์สู่การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคเดลฟาย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร</p> พันธ์ชิด ธรรมพิชัย, ชัยวิชิต เชียรชนะ , สยาม แกมขุนทด Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/275527 Mon, 30 Dec 2024 00:00:00 +0700 กลยุทธ์การบริหารสถานศึกษาอัจฉริยะของโรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน เขตภาคกลาง https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/275586 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันของการบริหารสถานศึกษาอัจฉริยะของโรงเรียนเอกชน 2) พัฒนากลยุทธ์การบริหารสถานศึกษาอัจฉริยะของโรงเรียนเอกชน และ 3) ทดลองและประเมินการใช้กลยุทธ์การบริหารสถานศึกษาอัจฉริยะของโรงเรียนเอกชน โดยใช้วิธีการวิจัยแบบผสานวิธี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ โรงเรียนเอกชนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน เขตภาคกลาง จำนวน 127 แห่ง ประกอบด้วย ผู้อำนวยการสถานศึกษาแห่งละ 1 คน และครูผู้สอนแห่งละ 2 คน รวม จำนวน 381 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์ แบบสอบถาม แบบบันทึกผล สถิติที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันของการบริหารสถานศึกษาอัจฉริยะของโรงเรียนเอกชน <br />สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน เขตภาคกลางจากการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอกโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.13) เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ด้านเศรษฐกิจ มีสภาพปัจจุบันสูงที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.18) และเมื่อพิจารณาตามองค์ประกอบ พบว่า สถานศึกษาอัจฉริยะ มีสภาพปัจจุบันสูงที่สุด <br />(<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.25) และจากการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายใน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.19) เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ด้านบุคลากร มีสภาพปัจจุบันสูงที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.32) และเมื่อพิจารณาตามองค์ประกอบ พบว่า ด้านผู้บริหารอัจฉริยะ มีสภาพปัจจุบันสูงที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.32) 2) กลยุทธ์การบริหารสถานศึกษาอัจฉริยะของโรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน เขตภาคกลาง ประกอบด้วย 5 กลยุทธ์หลัก 13 กลยุทธ์รอง และ 51 วิธีดำเนินการ และ 3) การทดลองและประเมินการใช้ กลยุทธ์การบริหารสถานศึกษาอัจฉริยะของโรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน เขตภาคกลาง มีความถูกต้อง มีความเหมาะสม มีความเป็นไปได้และนำไปใช้ได้จริง และผลการทดลองใช้กลยุทธ์มีประสิทธิภาพและสามารถนำไปปฏิบัติได้ทุกกลยุทธ์</p> ชลชัย ศรีเชียง , พิชญาภา ยืนยาว , นภาภรณ์ ยอดสิน , ธีรวุธ ธาดาตันติโชค Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/275586 Mon, 30 Dec 2024 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงกับการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ครูของผู้บริหารสถานศึกษา สหวิทยาเขตสัตตบงกช สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/276406 <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียนกลุ่มสหวิทยาเขตสัตตบงกช สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี 2) ระดับการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ครูของผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียนกลุ่มสหวิทยาเขตสัตตบงกช สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงกับการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ครูของผู้บริหารสถานศึกษา ในโรงเรียนกลุ่มสหวิทยาเขตสัตตบงกช สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย ครู จำนวน 207 คน จากการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สร้างโดยผู้วิจัยมีค่า ความเชื่อมั่น .95 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา ในโรงเรียนกลุ่มสหวิทยาเขตสัตตบงกช สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.43, S.D. = 0.57) 2) ระดับการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ครูของผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียนกลุ่มสหวิทยาเขตสัตตบงกช สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.51, S.D. = 0.51) 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงกับการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ครูของผู้บริหารสถานศึกษา ในโรงเรียนกลุ่มสหวิทยาเขตสัตตบงกช สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี พบว่า มีความสัมพันธ์กันทางบวกในระดับสูง (r = .83) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> จุฑามาศ ปักเคทัง, สุดารัตน์ สารสว่าง , มีชัย ออสุวรรณ Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/276406 Mon, 30 Dec 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาชุดกิจกรรมการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้ซิปปาโมเดล ร่วมกับเทคนิค เค ดับเบิ้ลยู ดี แอล สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 1 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/272770 <p>บทความวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบและหาประสิทธิภาพชุดกิจกรรมการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้ ซิปปาโมเดลร่วมกับเทคนิค เค ดับเบิ้ลยู ดี แอล 2) เพื่อศึกษาผลการใช้ชุดกิจกรรมการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้ซิปปาโมเดล ร่วมกับเทคนิค เค ดับเบิ้ลยู ดี แอล 2.1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังการใช้ชุดกิจกรรมฯ 2.2) เพื่อศึกษาความสามารถในการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ของนักเรียนหลังการใช้ชุดกิจกรรมฯ 2.3) เพื่อศึกษาความคงทนในการเรียนรู้หลังการใช้ชุดกิจกรรมฯ การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2) ชุดกิจกรรม 3) แบบประเมินความสามารถในการแก้ปัญหา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/1 โรงเรียนวัดโตนดเตี้ย รวม 19 คน ผู้วิจัยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi - Stage Random Sampling) การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบ t-test</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ชุดกิจกรรมการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้ ซิปปาโมเดลร่วมกับเทคนิค เค ดับเบิ้ลยู ดี แอล มีองค์ประกอบ 3 องค์ประกอบ ดังนี้ (1) คู่มือสำหรับการใช้ชุดกิจกรรม (2) ชุดกิจกรรมการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ (3) แผนการจัดกิจกรรม และผลการตรวจสอบหาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรม พบว่า ชุดกิจกรรมมีประสิทธิภาพเท่ากับ 90.75/81.32 สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 75/75 2) ผลการใช้ชุดกิจกรรม พบว่า 1) ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังการใช้ชุดกิจกรรมการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้ซิปปาโมเดล ร่วมกับเทคนิค เค ดับเบิ้ลยู ดี แอล พบว่ามีผลการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีค่านัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ผลการศึกษาความสามารถในการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ของนักเรียนหลังการใช้ชุดกิจกรรมการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้ซิปปาโมเดล ร่วมกับเทคนิค เค ดับเบิ้ลยู ดี แอล พบว่า ความสามารถในการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ทุกชุดกิจกรรมคิดเป็นร้อยละ 89.40 และ 2.3) ผลการศึกษาความคงทนในการเรียนรู้หลังการใช้ชุดกิจกรรมการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้ซิปปาโมเดล ร่วมกับเทคนิค เค ดับเบิ้ลยู ดี แอล พบว่า คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนผ่านไปแล้ว 2 สัปดาห์ คิดเป็นคะแนนร้อยละ 79.47 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เช่นเดียวกัน</p> นภาพร เนียมสุข, สุภัทรา คงเรือง Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/272770 Mon, 30 Dec 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาภูมิปัญญาชุมชนเมืองภายใต้กรอบบวรโดยพุทธสันติวิธี ของชุมชนวัดสารอด กรุงเทพมหานคร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/276894 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาวิเคราะห์บริบท สภาพปัญหา ความต้องการจำเป็นและแนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับรูปแบบการพัฒนาภูมิปัญญาชุมชนภายใต้กรอบบวรโดยพุทธสันติวิธีของชุมชน วัดสารอด 2) เพื่อศึกษาวิเคราะห์พุทธธรรมที่เอื้อต่อรูปแบบการพัฒนาภูมิปัญญาชุมชนภายใต้กรอบบวรโดยพุทธสันติวิธีของชุมชนวัดสารอด และ 3) เพื่อพัฒนา และนำเสนอรูปแบบการพัฒนาภูมิปัญญาชุมชนภายใต้กรอบบวรโดยพุทธสันติวิธีของชุมชนวัดสารอด เป็นงานวิจัยแบบอริยสัจจ์โมเดล การวิจัยเชิงคุณภาพ ลงพื้นที่ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คำถามสัมภาษณ์เชิงลึก การจัดประชุมสัมมนาวิชาการ จัดสนทนากลุ่มเฉพาะ การสังเกตแบบมีส่วนร่วมและไม่มีส่วนร่วม ผู้ให้ข้อมูลหลัก รวม 39 รูป/คน ประกอบด้วย พระภิกษุสงฆ์ 13 รูป แกนนำชุมชนวัดสารอด 25 คน หน่วยงานภาครัฐ 1 คน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพปัญหาภูมิปัญญาวัดสารอด คือ ชุมชนไม่ให้ความสนใจภูมิปัญญาชุมชน ผู้นำภูมิปัญญาไม่การถ่ายทอดภูมิปัญญา เทคโนโลยี การบริโภคที่เปลี่ยนไป ขาดการประชาสัมพันธ์และประสานงาน ขาดประสบการณ์ ขาดความร่วมมือ เสียสละ ภูมิปัญญาไม่มีเอกลักษณ์และสูญหาย 2. พุทธธรรมที่เอื้อ คือ อริยสัจ 4 หลักอปริหานิยธรรม การประชุม ร่วมแสดงความคิดเห็น การระดมสมอง กำหนดเป้าหมาย ส่งเสริมสนับสนุน ร่วมมือ เสียสละ ปฏิบัติตามแผนงาน 3. ผลการพัฒนาภูมิปัญญาชุมชนภายใต้กรอบพลังบวร ได้รูปแบบ “KHAI Model” มีองค์ประกอบ 4 ประการ ได้แก่ 1. K=Knowledge ความรู้ถูก 2. H=Highlight ปลุกให้เด่น 3. A=Activity เน้นกิจกรรม 4. I=Impression ประทับใจ เกิดองค์ความรู้ใหม่ 4 ด้าน 1) แหล่งเรียนรู้ 2) ชูอัตลักษณ์ จดจำมีคุณค่าและมูลค่า 3) สมัครสมานสามัคคี 4) สำราญสุข อยู่ดีกินดี</p> อำไพ กุลบุตรดี, พระครูปลัดอดิศักดิ์ วชิรปญฺโญ Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/276894 Mon, 30 Dec 2024 00:00:00 +0700 คำกริยาแสดงอาการ : ภาพสะท้อนมโนทัศน์กลุ่มชาติพันธุ์กระเหรี่ยงโป ภูมิภาคตะวันตกของประเทศไทย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/272179 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์คำกริยาแสดงอาการภาษากะเหรี่ยงโปภูมิภาคตะวันตก และ 2) วิเคราะห์มโนทัศน์ที่สะท้อนจากคำกริยาแสดงอาการภาษากะเหรี่ยงโปภูมิภาคตะวันตกตามแนวอรรถศาสตร์ชาติพันธุ์ ผู้วิจัยเก็บข้อมูลภาษากะเหรี่ยงโปจากผู้พูดภาษากะเหรี่ยงโปภูมิภาคตะวันตก 3 พื้นที่ ประกอบด้วย ตำบลไล่โว่ อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ตำบลห้วยคลุม อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี และ ตำบลสองพี่น้อง อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบบันทึกคํากริยาแสดงอาการภาษากะเหรี่ยงโป วิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) คำกริยาภาษากะเหรี่ยงโป 7 ชุดคำ ตามเกณฑ์มิติความแตกต่างทางความหมาย ประกอบด้วย “ทำให้ขาด” “เอาไปหรือเอามาจากที่” “เอามือหรือไม้ฟาดหรือเข่นลงไป” “ทำให้ร้อนหรือสุกด้วยไฟ” “ทำให้สะอาดโดยใช้น้ำ” “ทำให้ของเหลวหรือสิ่งที่อยู่ในของเหลวเดือดหรือสุก” และ “ทำให้สิ้นแสง” 2) คำกริยาแสดงอาการสะท้อนมโนทัศน์ที่เป็นอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงโป 2 ประการ คือ <strong> </strong>คนกะเหรี่ยงโปมีความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย และ คนกะเหรี่ยงโปมีวิถีชีวิตที่ผูกพันกับธรรมชาติ</p> ศิวาพร พิรอด, รัชนีย์ญา กลิ่นน้ำหอม Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/272179 Mon, 30 Dec 2024 00:00:00 +0700 กระบวนการส่งเสริมการเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เพื่อเสริมสร้างองค์กรสันติสุขโดยพุทธสันติวิธี ของเทศบาลเมืองท่าโขลง จังหวัดปทุมธานี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/278886 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์คือ 1) ศึกษาบริบท สภาพปัญหา ความต้องการจำเป็นและศึกษาแนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ตามศาสตร์สมัยใหม่ 2) ศึกษาหลักพุทธสันติวิธีที่เอื้อต่อการพัฒนาการเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ 3) พัฒนาและนำเสนอกระบวนการพัฒนาการเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เพื่อเสริมสร้างองค์กรสันติสุขโดยพุทธสันติวิธี ใช้วิธีการวิจัยเชิงผสมผสาน โดยการทดลองนำร่องแบบ Exploratory sequential design เก็บข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกโดยใช้วิธีการคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจงจำนวน 28 คน สนทนากลุ่มเฉพาะ ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 9 ท่าน โดยการทดลองนำร่องเจ้าหน้าที่ของรัฐ จำนวน 23 คน เครื่องมือที่ใช้ประเมินผลก่อนและหลังการทดลอง ได้แก่ แบบประเมินความพึงพอใจ การสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วม ใช้การวิเคราะห์เนื้อหา และพรรณนาความตามประเด็นที่กำหนด สรุปผลแบบพรรณนาโวหาร</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพปัญหาของ กระบวนการส่งเสริมการเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เพื่อเสริมสร้างองค์กรสันติสุขโดยพุทธสันติวิธี มีปัญหาใน 2 ประเด็นหลักคือ 1) บุคลากรภายในองค์กรไม่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ซึ่งกันและกัน 2) บุคลากรในองค์กรผู้มีหน้าที่ให้บริการไม่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของประชาชนผู้มารับบริการ 2. หลักพุทธสันติวิธีที่เอื้อต่อการพัฒนาการเคารพศักดิ์ศรี ความเป็นมนุษย์ได้แก่หลัก สังคหวัตถุ 4 ที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจของมนุษย์ในสังคมให้เป็นสังคมที่ดีและมีความสุข เคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ซึ่งกันและกันโดยอาศัย ธรรม 4 ประการ ได้แก่ “ทาน” คือ การให้อภัย การเสียสละ การเอื้อเฟื้อ แบ่งปัน“ปิยวาจา” คือ การสื่อสารด้วยถ้อยคำไพเราะอ่อนหวาน จริงใจ ไม่หยาบคายก้าวร้าว เหมาะแก่ กาลเทศะ “อัตถจริยา” คือ การประพฤติในสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น และ “สมานัตตตา” คือ การเป็นคนเสมอต้น เสมอปลาย มีจิตใจหนักแน่นไม่โลเล ก่อให้เกิดความไว้วางใจในองค์กรทำให้องค์กรเกิดสันติสุข 3. การสร้างกระบวนการส่งเสริมการเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เพื่อเสริมสร้างองค์กรสันติสุขโดยพุทธสันติวิธีด้วยการสร้างหลักสูตรฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมโดยบูรณาการแนวคิดศาสตร์สมัยใหม่ได้แก่ทฤษฎี Kohlberg เป็นหลักการที่มนุษย์ใช้ในการตัดสินใจที่จะกระทำหรือไม่กระทำสิ่งใด แนวคิด The PLUS Decision Making Model เป็นการตัดสินใจเชิงจริยธรรม โดยพิจารณาจากอักษรย่อ 4 รายการใน PLUS แนวคิดในการเรียนรู้ของ Bloom’s Taxonomy เป็นการพัฒนาเพื่อให้เกิดพฤติกรรมจนเป็นวิถีชีวิตของการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ดี ร่วมกับ หลักสังคหวัตถุ 4 ที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจของมนุษย์ในสังคมให้เป็นสังคมที่ดี เคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ซึ่งกันและกันได้เป็นองค์ประกอบของ “RESPECT Model”</p> รภัสศา ธนวุฒิธนาดุล, อุทัย สติมั่น Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/278886 Mon, 30 Dec 2024 00:00:00 +0700 การจัดวางภูมิสถาปัตย์ของวัดใหม่ (ยายแป้น) ให้เป็นรมณียสถาน สำหรับการเจริญจิตภาวนา โดยใช้พลังบวรเป็นฐานตามแนวพุทธสันติวิธี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/277483 <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาวิเคราะห์บริบท สภาพปัญหา 2. เพื่อศึกษาหลักพุทธสันติวิธีที่เอื้อต่อการจัดวางภูมิสถาปัตย์ 3. เพื่อพัฒนาและนำเสนอกระบวนการ เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ในรูปแบบอริยสัจจ์โมเดล ภายใต้กรอบการดำเนินงานวิจัย 9 ขั้นตอน โดยมีเครื่องมือวิจัยคือการสัมภาษณ์เชิงลึก การสังเกตอย่างมีส่วนร่วม กลุ่มประชากรจำนวน 40 รูป/คน ประกอบด้วย 1. กลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิสถาปัตย์ 5 ท่าน 2. กลุ่มผู้แทนพระภิกษุสงฆ์วัดใหม่ (ยายแป้น) 5 รูป 3. กลุ่มผู้แทนชุมชน 10 ท่าน 4. กลุ่มผู้แทนหน่วยงานของรัฐและโรงเรียนในพื้นที่ 5 ท่าน 5. กลุ่มผู้ให้ข้อมูลด้านการจัดวางภูมิสถาปัตย์ 5 รูป 6. กลุ่มผู้ให้ข้อมูลด้านพระพุทธศาสนา 5 รูป 7. กลุ่มผู้แทนผู้มาปฏิบัติธรรม 5 ท่าน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ปัญหาและความต้องการจำเป็นของชุมชนวัดใหม่ (ยายแป้น) คือ ปัญหาการไม่มีพื้นที่สีเขียว ปัญหาฝุ่น PM2.5 ปัญหาการขาดแคลนที่จอดรถ ดังนั้น การจัดวางภูมิสถาปัตย์ของวัดใหม่ (ยายแป้น) ให้เป็นรมณียสถาน จะทำให้เกิดสุขภาวะภายในที่ดี 2. หลักพุทธสันติวิธีที่เอื้อต่อการจัดวางภูมิสถาปัตย์ คือ สัปปายะ 4 ประกอบด้วย 1) อาวาสสัปปายะ การออกแบบการจัดวางภูมิสถาปัตย์ที่ตอบโจทย์ความต้องการ 2) ปุคคลสัปปายะ สะท้อนจากการมีส่วนร่วมของพลังบวร 3) โภชนสัปปายะ การช่วยเหลือแบ่งปันกันด้านอาหารภายในชุมชน 4) อุตุสัปปายะ การออกแบบภูมิสถาปัตย์ ให้มีช่องให้ลมพัดผ่าน 3. พัฒนาและนำเสนอ แบบการจัดวางภูมิสถาปัตย์ของวัดใหม่ (ยายแป้น) ให้เป็นรมณียสถาน องค์ความรู้ที่ได้ คือ “ROMANEE Model” 1) Relax ผ่อนคลาย 2) Organizing จัดระเบียบ 3) Mindfulness การมีสติ 4) Architecture สถาปัตยกรรม 5) Naturopathy ธรรมชาติบำบัด 6) Empowerment พลังบวร และ 7) Environment สิ่งแวดล้อม</p> ปิยะนันท์ เรืองฐิติชัยกุล Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/277483 Mon, 30 Dec 2024 00:00:00 +0700 สันตินวัตกรรมการพัฒนาสันติวิถีของผู้ดูแลเด็กปฐมวัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/278695 <p>การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาบริบท และความต้องการจำเป็นในการพัฒนาสันติวิถีของผู้ดูแลเด็กปฐมวัย 2) เพื่อศึกษาวิเคราะห์แนวคิด ศาสตร์สมัยใหม่และหลักพุทธสันติวิธีที่เอื้อต่อการพัฒนาสันติวิถีของผู้ดูแลเด็กปฐมวัย 3) เพื่อพัฒนาและนำเสนอสันตินวัตกรรมการพัฒนาสันติวิถีของผู้ดูแลเด็กปฐมวัย ใช้วิธีการวิจัยแบบผสานวิธี ทดลองนำร่องแบบ Exploratory Sequential Design เก็บข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก 22 รูป/คน ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็ก จิตวิทยาเด็ก ผู้เชี่ยวชาญด้านพระพุทธศาสนาและสันติวิธี สนทนากลุ่มเฉพาะผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 7 คน ข้อมูลเชิงปริมาณ โดยการทดลองนำร่องกลุ่มผู้ดูแลเด็กปฐมวัย ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน จำนวน 17 คน เครื่องมือที่ใช้ประเมินผลก่อนและหลังการทดลอง ได้แก่ แบบประเมินการสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วม การสะท้อนความรู้สึกด้วยเทคนิค AAR ใช้สถิติวิเคราะห์เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยด้วยค่า t-test และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา แล้วสรุปผลแบบพรรณนาโวหาร</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาสันติวิถีของผู้ดูแลเด็กปฐมวัย ปัญหาพ่อแม่ ผู้ดูแลเด็กที่ไม่พร้อมขาดความเข้าใจในการดูแลเด็กปฐมวัย ทำให้เกิดปัญหาคุณภาพของผู้ดูแลเด็กปฐมวัย ได้แก่ องค์ความรู้ในการดูแลเด็กไม่เพียงพอ, ไม่เข้าใจธรรมชาติของเด็ก และการบริหารจัดการสภาวะอารมณ์ตัวเอง 2) ผู้ดูแลเด็กปฐมวัยต้นแบบ มีหลักธรรมที่นำพัฒนาให้เกิดสันติวิถี คือ พรหมวิหาร 4 ได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา 3) พัฒนาและนำเสนอสันตินวัตกรรมการพัฒนาสันติวิถีของผู้ดูแลเด็กปฐมวัย คือ การใช้หลักสูตร ประกอบด้วย 4 โมดูลของการฝึกปฏิบัติและติดตามผล เพื่อสร้างให้เกิดการตระหนักรู้ ผลการทดลองพบว่า ค่าเฉลี่ยสมรรถนะของผู้ดูแลเด็กปฐมวัย หลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ค่า t-test = 3.34 ที่ระดับ .05 ผู้เข้าอบรมพึงพอใจในการอบรมและนำความรู้ไปใช้ในการทำงานได้เป็นอย่างดี หลักสูตรนี้เกิดองค์ความรู้ใหม่จากงานวิจัย คือ “CARE” Model</p> ชฎาพร บุญหนา, ขันทอง วัฒนะประดิษฐ์ Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/278695 Mon, 30 Dec 2024 00:00:00 +0700 การออกแบบและการพัฒนาโครงการหมู่บ้านจัดสรรรูปแบบใหม่ เพื่อสังคมเป็นสุขอย่างยั่งยืน https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/279696 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1.เพื่อศึกษาสภาพปัญหาและการดำเนินการโครงการหมู่บ้านจัดสรรต้นแบบ ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา 2.เพื่อออกแบบและพัฒนาโครงการหมู่บ้านจัดสรรโดยใช้นวัตกรรม เพื่อสังคมเป็นสุขอย่างยั่งยืน 3.นำเสนอรูปแบบนวัตกรรมโครงการหมู่บ้านจัดสรร เพื่อสังคมเป็นสุขอย่างยั่งยืน เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการ กลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ ประธานโครงการหมู่บ้านจัดสรร คณะกรรมกรรมการโครงการหมู่บ้านจัดสรร ผู้อาศัยในโครงการหมู่บ้านจัดสรร จำนวนทั้งหมด 25 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์เชิงลึก และ ชุดปฏิบัติการ การออกแบบและพัฒนาโครงการหมู่บ้านจัดสรรเพื่อสังคมเป็นสุขอย่างยั่งยืน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. โครงการหมู่บ้านจัดสรรต้นแบบในจังหวัดพระนครศรีอยุธยามีปัญหาหลายด้านที่ต้องการการปรับปรุง เช่น คุณลักษณะของบ้านที่ไม่เหมาะสมกับการใช้งาน ทำเลที่ตั้งที่ไม่สะดวกสำหรับการเดินทาง และสภาพแวดล้อมที่ต้องการการดูแลเพิ่มเติม เช่น การจัดการขยะและการรักษาความสะอาด อีกทั้งยังมีความต้องการในการปรับปรุงด้านการบริการของโครงการเพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของชุมชนได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น และในด้านความปลอดภัยและการพักผ่อนหย่อนใจของชุมชนนั้นก็มีปัญหา บางประการ เช่น ความปลอดภัยในพื้นที่ชุมชนที่ต้องการการดูแลเพิ่มเติม และพื้นที่เพื่อการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ ทั้งนี้ต้องการการวางแผนและปรับปรุงเพื่อให้สภาพแวดล้อมและการใช้งานด้านนี้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 2. ในการออกแบบและพัฒนาโครงการเพื่อสร้างสังคมที่ยั่งยืน มีการวางแผนกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น การวางผังพื้นที่และการออกแบบพื้นที่ส่วนกลางที่เหมาะสมกับการใช้งานของชุมชน การจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมและการพักผ่อน เพื่อสนุกสนานและกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ อีกทั้งยังมีการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการและพัฒนาพื้นที่เช่น การใช้ IoT และระบบอินเทอร์เน็ตในการเชื่อมโยงหมู่บ้านกับหน่วยงานราชการ 3. รูปแบบนวัตกรรมของโครงการนี้มุ่งเน้นที่จะสร้างสังคมที่มีความยั่งยืน โดยการจัดการทรัพยากรและการพัฒนาที่ยั่งยืน เช่น การใช้พลังงานทดแทนและเทคโนโลยีใหม่เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และการสร้างความร่วมมือของชุมชนในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาตนเอง เพื่อให้สามารถดำเนินชีวิตและทำงานได้ดีขึ้นในอนาคต</p> ใจสวรรค์ อนันตโสภณ Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/279696 Mon, 30 Dec 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาวัดส่งเสริมสุขภาพต้นแบบในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/281539 <p>บทความวิจัยมีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาการดูแลสุขภาพของวัดและชุมชนในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี 2. เพื่อพัฒนาวัดส่งเสริมสุขภาพต้นแบบในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี และ 3. เพื่อวิเคราะห์แนวทางในการพัฒนาวัดส่งเสริมสุขภาพต้นแบบในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี การวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วย การการวิจัยเชิงคุณภาพ และการวิจัยเชิงปฏิบัติการ โดยผู้ให้ข้อมูลสำคัญในการสัมภาษณ์ จำนวน 19 รูป/คน และการสนทนากลุ่มแบบเจาะจง จำนวน 16 รูป/คน โดยวิธีการใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก และการเตรียมหัวข้อการสนทนากับผู้เกี่ยวข้อง ร่วมกับการสังเกตแบบมีส่วนร่วม ในการนำไปวิเคราะห์ข้อมูล ใช้วิธีวิเคราะห์แบบอุปนัย</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการศึกษาการดูแลสุขภาพของวัดและชุมชนในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี พบว่า กิจกรรมส่งเสริมสุขภาวะตามหลัก 5 ร ที่มีต่อการศึกษาการดูแลสุขภาพของวัดและชุมชนในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี มีให้เสนอแนะว่า ควรมีการสร้างสวนสาธารณะหรือสนามกีฬาเล็ก ๆ เพื่อให้ผู้คนสามารถออกกำลังกายได้ในพื้นที่ใกล้เคียง และส่งเสริมสุขภาพและการเชื่อมโยงกับชุมชน การเน้นสร้างพื้นที่สำหรับการเรียนรู้และปฏิบัติโยคะหรือการทำสมาธิเพื่อสนับสนุนสุขภาพจิตในชุมชน ส่งเสริมการจัดค่ายสุขภาพเพื่อส่งเสริมการรักษาสุขภาพและสร้างความร่วมมือในชุมชน การสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการออกกำลังกาย นำไปสู่การช่วยส่งเสริมสุขภาพทั้งร่างกายและจิตในชุมชนและช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้คนในพื้นที่นั้น ๆ อย่างสำคัญ 2) ผลการศึกษาการพัฒนาวัดส่งเสริมสุขภาพต้นแบบในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี ประกอบด้วยทั้งพระสงฆ์ ประชาชนในชุมชน ผู้นำชุมชน และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข มีแนวคิดเกี่ยวกับการบริโภคอาหารและการออกกำลังกายที่มีผลต่อการดูแลสุขภาพตนเองและสมาชิกในครอบครัว ด้วยการเลือกอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าให้โทษ เช่น เลือกอาหารที่ถูกกับธาตุของคนในครอบครัว และการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับวัยอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ห่างไกลจากโรคร้ายต่าง ๆ 3) ผลการศึกษาการวิเคราะห์แนวทางในการพัฒนาวัดส่งเสริมสุขภาพต้นแบบในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี พบว่า มีแนวทาง 1.ความสะอาดร่มรื่น ส่งเสริมการรักษาสภาพแวดล้อม ลดขยะและมลพิษในชุมชน 2.ความสงบร่มรื่น จัดอบรมสร้างจิตสำนึก โดยมีพระสงฆ์เป็นต้นแบบ 3.สุขภาพร่วมสร้าง ส่งเสริมการแยกขยะเพื่อลดมลพิษและโลกร้อน 4.ศิลปะร่วมจิต ใช้องค์ความรู้สมัยใหม่ในการแก้ปัญหาและปรับตัว 5.ชาวประชาร่วมพัฒนา พัฒนาสุขภาวะด้วยจิตใจที่เป็นบวกและการดูแลสุขภาพครอบครัวเพื่อให้สอดคล้องกับ สุขภาวะองค์รวมของชีวิตจะมีสุขภาวะได้ ต้องบริหารใจให้มีภาวะจิตด้านบวก</p> วรุฬลักษณ์ เลียงมา Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/281539 Mon, 30 Dec 2024 00:00:00 +0700 การมีส่วนร่วมในการพัฒนาพื้นที่ความหลากหลายทางชีวภาพ ในระบบนิเวศวิทยาชุมชน https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/281135 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาการมีส่วนร่วมในการพัฒนาพื้นที่ความหลากหลายทางชีวภาพในระบบนิเวศวิทยาชุมชน 2. เพื่อพัฒนากิจกรรมและพัฒนาพื้นที่ความหลากหลายทางชีวภาพในระบบนิเวศวิทยาโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน และ 3. เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการพัฒนาพื้นที่ความหลากหลายทางชีวภาพในระบบนิเวศวิทยาชุมชน การวิจัยเป็นการวิจัยเชิงเอกสาร การวิจัยเชิงคุณภาพ และการวิจัยเชิงปฏิบัติการ การวิจัยเชิงคุณภาพจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 18 รูปหรือคน และการสนทนากลุ่มเฉพาะ จำนวน 12 รูปหรือคน ด้วยวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก โดยใช้แบบสัมภาษณ์ การปฏิบัติการด้วยการจัดเวทีเสวนาแลกเปลี่ยนแนวทางการสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมในการพัฒนาพื้นที่ และรูปแบบการเสริมสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมในการพัฒนาพื้นที่ความหลากหลายทางชีวภาพในระบบนิเวศวิทยาชุมชน และนำมาวิเคราะห์ข้อมูลแบบอรรถาธิบายและพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. การพัฒนาความหลากหลายทางชีวภาพในระบบนิเวศชุมชนของทั้ง 3 ชุมชน เน้นการมีส่วนร่วมจากกฎหมาย หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และความร่วมมือระหว่างรัฐกับชุมชน เพื่อจัดการป่าชุมชนอย่างยั่งยืน สร้างความสมดุลระหว่างธรรมชาติและวิถีชีวิตของคนในจังหวัดอุทัยธานี 2. พัฒนากิจกรรมและพัฒนาพื้นที่ความหลากหลายทางชีวภาพในระบบนิเวศวิทยาโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน 1. กิจกรรมแหล่งเรียนรู้บริเวณพื้นที่ ประกอบด้วย กิจกรรมพัฒนาอาชีพ และการส่งเสริมอาชีพยั่งยืน กิจกรรมพื้นที่และกิจกรรมการดูแลป่าการป้องกันรักษาป่า การทำแนวเขตป่าชุมชน การลาดตระเวนป้องกันรักษาป่า ศาลาพักลาดตระเวน กิจกรรมในพื้นที่เกี่ยวกับการดูแลป่า การป้องกันรักษาป่า กิจกรรมการสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์ กิจกรรมการส่งเสริมอาชีพชุมชน แหล่งเรียนรู้ของชุมชน กลุ่มอาชีพ กิจกรรมร่วมกลุ่มของชุมชน 2. กิจกรรมการจัดการความหลากหลายทางชีวภาพในท้องถิ่น ประกอบด้วย กิจกรรมเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้ชุมชน มุ่งสู่เมืองสีเขียว กิจกรรมตลาดลานร่มสักส่งเสริมการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช กิจกรรมการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ กิจกรรมการป้องกันและบรรเทาไฟป่า กิจกรรมชุมชนกับการมีส่วนร่วมอนุรักษ์ทรัพยากรในท้องถิ่น 3. ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการพัฒนาพื้นที่ความหลากหลายทางชีวภาพในระบบนิเวศวิทยาชุมชน ด้วยการดำเนินกิจกรรมเพื่อเป็นการส่งเสริมความหลากหลายสู่พื้นที่ดังนี้ 1. แนวทางการเสริมสร้างจิตสำนึกในการพัฒนาและการอนุรักษ์พื้นที่ป่าชุมชน 2. แนวทางการดำเนินกิจกรรม 3. แนวทางการมีส่วนร่วมในการเสริมสร้างและพัฒนาแหล่งเรียนรู้ 4. การดำเนินกิจกรรมสร้างจิตสำนึก 5. กิจกรรมการสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์ 6. กิจกรรมเรียนรู้แหล่งเรียนรู้ของชุมชน 7. การเสริมสร้างจิตสำนึกของชุมชนในการอนุรักษ์พื้นที่บริเวณพื้นที่รอบมรดกโลกทางธรรมชาติห้วยขาแข้งจังหวัดอุทัยธานี ทั้ง 7 ขั้นตอนดังกล่าวนับว่าเป็นรูปแบบการส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการพัฒนาพื้นที่ความหลากหลายทางชีวภาพโดยชุมชน</p> พระครูอุทัยสุตกิจ ตฤณ บริบูรณ์ Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/281135 Mon, 30 Dec 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการสร้างและการใช้ภูมิปัญญาจากความหลากหลายทางชีวภาพของวัดและชุมชนในจังหวัดปราจีนบุรี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/281197 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงคคือ 1) เพื่อศึกษาภูมิปัญญาจากความหลากหลายทางชีวภาพของวัดและ ชุมชนในจังหวัดปราจีนบุรี 2) เพื่อศึกษาการสร้างและการใชภูมิปญญาจากความหลากหลายทางชีวภาพของวัดและชุมชน ในจังหวัดปราจีนบุรี 3) เพื่อพัฒนารูปแบบการสรางภูมิปญญาจากความหลากหลายทางชีวภาพของวัดและ ชุมชนในจังหวัดปราจีนบุรีโดยใชรูปแบบการวิจัยและพัฒนา กลาวคือ การ พรรณนา และใชวิธีการแบบสัมภาษณเชิงลึก แบงเปนสวนการศึกษาในเชิงเอกสาร และการศึกษาในภาคสนาม ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) รูปแบบภูมิปัญญาสามารถแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ การจัดการระดับต้น ระดับกลาง และระดับปลาย โดยแต่ละระดับมุ่งเน้นการพัฒนาใน 4 ด้านหลัก คือ การพัฒนารายบุคคล การพัฒนาอาชีพ การพัฒนาชุมชน และการบริหารผลการปฏิบัติงาน ในระดับต้น เน้นการสร้างความรู้ ทักษะพื้นฐาน และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ระดับกลางมุ่งเน้นการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ การพัฒนาเทคโนโลยี และการสร้างเครือข่าย ส่วนระดับปลายเน้นการพัฒนานวัตกรรม การขยายตลาด และการสร้างความยั่งยืน รูปแบบนี้ช่วยให้ชุมชนสามารถใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นในการพัฒนาเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน โดยครอบคลุมตั้งแต่การอนุรักษ์ทรัพยากร การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ไปจนถึงการสร้างเครือข่ายและความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ 2) การใช้ภูมิปัญญาจากความหลากหลายทางชีวภาพในวัดและชุมชนของจังหวัดปราจีนบุรี พบว่ารูปแบบการจัดการยังคงแบ่งเป็น 3 ระดับเช่นกัน โดยระดับต้นเน้นการให้ความรู้พื้นฐาน การฝึกอบรม และการส่งเสริมการใช้สมุนไพรในชีวิตประจำวัน ระดับกลางมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การเพิ่มมูลค่า และการขยายตลาด ส่วนระดับปลายเน้นการพัฒนานวัตกรรม การสร้างแบรนด์ และการสร้างความยั่งยืนในระยะยาว รูปแบบนี้ครอบคลุมตั้งแต่การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ การพัฒนาสมุนไพรเป็นผลิตภัณฑ์ การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและเชิงนิเวศ ไปจนถึงการสร้างเครือข่ายและการร่วมมือกับหน่วยงานภายนอก ส่งผลให้ชุมชนสามารถนำความหลากหลายทางชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน 3) รูปแบบการสร้างภูมิปัญญาแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ ระดับต้น ระดับกลาง และระดับปลาย โดยแต่ละระดับมุ่งพัฒนา 4 ด้านหลัก ได้แก่ การพัฒนารายบุคคล อาชีพ ชุมชน และการบริหารผลการปฏิบัติงาน ระดับต้นเน้นการสร้างความรู้พื้นฐานและการอนุรักษ์ ระดับกลางเน้นการเพิ่มมูลค่าและสร้างเครือข่าย ส่วนระดับปลายเน้นการพัฒนานวัตกรรมและความยั่งยืน รูปแบบนี้ช่วยให้ชุมชนใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นในการพัฒนาเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน</p> พระครูชลธารโสภิต กงแก้ว Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/281197 Mon, 30 Dec 2024 00:00:00 +0700 การขับเคลื่อนสิทธิมนุษยชนบนฐานบ้าน วัด โรงเรียน (บวร) : กรณีศึกษาวัดสวนแก้ว https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/276986 <p>แนวทางการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืนโดยอาศัย 3 สถาบันหลักของสังคมไทยซึ่งเป็นศูนย์กลางของชุมชน ประกอบด้วย บ้าน คือ สถาบันครอบครัวหรือบ้าน วัด คือ สถาบันศาสนาหมายรวมถึงศาสนสถานเป็นศูนย์กลางทางจิตใจในชุมชน โรงเรียน คือ สถานที่ที่ให้ความรู้อย่างมีแบบแผน รวมเรียกว่า “บวร” เพื่อเป็นหลักการที่นำมาปรับใช้ในการพัฒนาและแก้ปัญหาในระดับชุมชนและเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้สังคมไทย การขับเคลื่อนการขับเคลื่อนงานส่งเสริมสิทธิ เสรีภาพ และสิทธิมนุษยชนผ่านกลไกหลัก "บวร" เพื่อให้เกิดความยั่งยืน ความเชื่อมโยงของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนหรือ SDGs ทั้งหมด 17 เป้าหมายนั้นได้ครอบคลุมประเด็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ไปจนถึงความเท่าเทียมกันของคนในสังคม ความยุติธรรม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสันติภาพ สะท้อนออกมาจากผลการดำเนินการผ่านกลไกของวัดสวนแก้วผลลัพธ์ในเชิงรูปธรรมใน 2 ประเด็นคือ ด้านการจัดการขยะและสิ่งแวดล้อม การจัดการขยะ มีการจัดการตั้งแต่ การแบ่งคัดแยก ประเภท มีสถานที่รองรับ การซ่อมแซมและสร้างมูลค่าเพิ่ม มีการจัดการสภาพแวดล้อมให้น่าอยู่บรรยากาศร่มรื่นเป็นพื้นที่สีเขียวเป็นที่ที่มีอากาศที่บริสุทธิ์ ด้านการส่งเสริมอาชีพและการศึกษาของวัดสวนแก้ว ได้ช่วยเหลือผู้ยากจนด้วยการมุ่งเน้นส่งเสริมด้านการศึกษาการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรม และการพัฒนาทักษะด้านวิชาชีพจนสามารถออกไปประกอบอาชีพเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้ ปัจจัยความสำเร็จของวัดสวนแก้ว “SMART SDGs MODEL” S ผู้มีส่วนได้เสีย คำนึงผู้มีส่วนได้เสีย M การบริหารจัดการ มีการบริหารจัดการที่เป็นเลิศ ทัศนคติ มีทัศนคติที่ดีงาม ความรับผิดชอบ มีรับผิดชอบหน้าที่อย่างที่สุด อดทน อดกลั้น ใช้ขันติธรรมเป็นแนวปฏิบัติ โดยมีขั้นตอนดำเนินการ 3 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 ขั้นพัฒนาพื้นที่ทางกายภาพ ขั้นตอนที่ 2 ขั้นพัฒนาการเรียนรู้ของวัดและชุมชนด้วยศูนย์ปฏิบัติการทางสังคม ขั้นตอน ที่ 3 ขั้นพัฒนาจิตใจและปัญญาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน</p> กิติภูมิสมชาด มัทธุจัด, อุทัย สติมั่น Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/276986 Mon, 30 Dec 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวแบบคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/272535 <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการพัฒนาจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวแบบคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน โดยการทบทวนวรรณกรรมจากแนวคิด ความหมาย และงานวิชาการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสามารถนำมาซึ่งแนวทางความความสอดคล้องกันของแนวคิดต่าง ๆ ในการที่จะพัฒนาพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อการเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวแบบคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืนได้ อาทิ การมีการจัดการอย่างเป็นระบบและวางแผนดำเนินการอย่างชัดเจน การสร้างทัศนคติที่ดีรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การทำกิจกรรมที่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่โลก และ ชดเชยคาร์บอนที่ปล่อยออกไปในรูปแบบต่าง ๆ ตลอดจนการนำแนวคิด 7 Greens และ แนวคิด BCG มาประยุกต์ใช้ควบคู่ไปด้วยเพื่อก่อให้เกิดความยั่งยืนอย่างแท้จริง</p> กัญญาพัชร์ พัฒนาโภคินสกุล , สุภัทรา สังข์ทอง, สิรินทรา สังข์ทอง, นิมิต ซุ้นสั้น Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/272535 Mon, 30 Dec 2024 00:00:00 +0700 ชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพวิถีพุทธของครูสอนพระปริยัติธรรม โดยใช้หลักสาราณียธรรม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/269448 <p>บทความนี้มุ่งสะท้อนถึงแนวทางในการแก้ปัญหาแบบมีส่วนร่วมของครูสอนพระปริยัติธรรมในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมของผู้เรียน คือ สามเณร ที่เติบโตขึ้นท่ามกลางโลกยุคเทคโนโลยีสมัยใหม่จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต การเรียนการสอนแบบเดิมที่ครูต่างคนต่างสอนไม่มีพลังในการรับมือและสร้างสรรค์ให้ผู้เรียนมีทั้งวิชาและจรณะสมกับเป็นศาสนยุวทายาทของพระพุทธศาสนา ชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพวิถีพุทธ จะเป็นแนวทางหนึ่งที่นำพาครูสอนพระปริยัติธรรมไปสู่การค้นหาวิธีการบ่มเพาะพัฒนาผู้เรียนให้ดำเนินตนในวิถีที่ดีงามสมกับเป็นศาสนายุวทายาทที่สืบสานพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืนสืบต่อไป</p> พระมหาพงศธร ธมฺมภาณี คลังสอน, ขันทอง วัฒนะประดิษฐ์ Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/269448 Mon, 30 Dec 2024 00:00:00 +0700