วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace <p><strong>ISSN : 2985-1556 (Online)</strong> </p> <p><strong>วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร</strong> มีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะสนับสนุน ส่งเสริมให้คณาจารย์บุคลากรเจ้าหน้าที่ นิสิต และผู้สนใจ ทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัยได้เสนอและเผยแพร่บทความบทความวิจัย บทความวิชาการ บทวิจารณ์หนังสือ บทความปริทรรศน์ และบทความพิเศษ ที่ได้มาตรฐานสู่สาธารณชน รวมทั้งยกระดับผลงานทางวิชาการให้ได้รับการยอมรับในระดับชาติและนานาชาติ ด้วยหวังให้เป็นตลาดแห่งองค์ความรู้ที่สามารถค้นคว้า ถ่ายถอด และแลกเปลี่ยนความรู้ในด้านต่างๆ อย่างหลากหลาย ทั้งนี้ เปิดรับบทความด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นด้านพระพุทธศาสนา ปรัชญา สันติศึกษา สังคมวิทยา นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ มานุษยวิทยา ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม การพัฒนาชุมชม การศึกษา จิตวิทยา และรวมถึงสหวิทยาการเชิงประยุกต์ด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ปีละ 6 ฉบับ โดยบทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ได้ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิอย่างน้อย 2 ท่าน ทั้งนี้เปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> Master of Arts Program in Peace Studies Mahachulalongkornrajavidyalaya University th-TH วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร 2287-0962 <p>ทัศนะและความคิดเห็นที่ปรากฏในบทความในวารสาร ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความนั้น และไม่ถือเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการ ยินยอมว่าบทความเป็นลิขสิทธิ์ของวารสาร</p> แนวทางการพัฒนาสันติสุขภาวะผู้สูงวัยโดยพุทธสันติวิธี เพื่อส่งเสริมสุขภาพของผู้สูงวัยอย่างยั่งยืน https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/270016 <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการพัฒนาสันติสุขภาวะผู้สูงวัยโดยพุทธสันติวิธี ซึ่งในปัจจุบันสังคมไทยเป็นสังคมผู้สูงวัยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ การเตรียมความพร้อมในการใช้ชีวิตช่วงบั้นปลายของผู้สูงวัย มีความจำเป็นต้องนำความรู้ หลักวิชาการมาดูแลสุขภาพที่ดี ในการขับเคลื่อนในการพัฒนาสันติสุขภาวะผู้สูงวัยโดยพุทธสันติวิธี และการดูแลส่งเสริมสุขภาพผู้สูงวัย ควรมีทักษะการจัดการความรู้เพื่อดูแลส่งเสริมสุขภาพผู้สูงวัยอย่างยั่งยืนในชุมชน รวมถึงมีการเสริมสร้างสุขภาพที่ดีทั้งด้านร่างกายและจิตใจของผู้สูงวัย ทำให้สามารถอยู่อย่างมีคุณค่า ไม่ท้อถอย มีความสุขในชีวิตและเป็นประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม ด้วยการประยุกต์หลักไตรสิกขามาใช้ในการพัฒนาสันติสุขภาวะของผู้สูงวัย อันได้แก่ ศีล สมาธิ และปัญญา โดย 1) ศีล: ผู้สูงวัยสามารถนำศีล 5 หรือ ศีล 8 มาเป็นพื้นฐานในการฝึกพฤติกรรมให้ถูกต้อง ซึ่งหากรักษาศีลให้เป็นปกติแล้ว ย่อมส่งผลถึงสุขภาพกายและใจที่ดี ควรมีอินทรียสังวร โดยการฝึกฝนพฤติกรรมสำรวมการใช้อินทรีย์และพิจารณาการรับประทานอาหารอย่างมีสติ 2) สมาธิ: ช่วยให้ผู้สูงวัยใช้สติ ให้ระลึกรู้ ควบคุมจิตของตนเองด้วยการทำสมาธิ เพื่อสร้างพลังจิตใจให้เข้มแข็ง มั่นคง วางใจ รับการเปลี่ยนแปลงได้ มีจิตเมตตา อารมณ์แจ่มใส ร่าเรงิเบิกบานใจ และ 3) ปัญญา: ผู้สูงวัยสามารถฝึกอบรมในระดับโลกิยปัญญาได้ด้วยการตั้งใจศึกษาเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง รับฟังคำแนะนำจากกัลยาณมิตร ผู้มีความรู้ ผู้ทรงธรรม เพื่อให้คิดวินิจฉัยพิจารณาสิ่งต่างๆ อย่างเป็นระบบตามหลักโยนิโสมนสิการ โดยเฉพาะสิ่งที่บอกกล่าวต่อกันด้านสุขภาพทางสื่อสังคม ผู้สูงวัยควรฝึกพิจารณาด้วยปัญญาว่าสิ่งใดจริงสิ่งไม่จริง สิ่งใดควรเชื่อหรือไม่ควรเชื่อตามหลักแห่งความเป็นเหตุและผล ควรเข้าใจสภาวะธรรมของสังขารที่เสื่อมไป </p> กันยารัตน์ คอนกรีต Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 12 3 1174 1187 พุทธวิธีการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมของนักขายอย่างมืออาชีพ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/270149 <p>การศึกษาพุทธวิธีการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมของนักขายอย่างมืออาชีพ เพื่อมาปรับใช้ในสังคมปัจจุบัน ผู้ค้าขายต้องมีความรู้ มีปัญญาเท่าทันต่อเหตุการณ์มีความรับผิดชอบต่ออาชีพ มีความซื่อสัตย์สุจริตและมีเมตตาต่อลูกค้า คือ ไม่พูดเพ้อเจ้อและมีความโลภ ไม่หลอกลวงลูกค้าหรือผู้มุ่งหวัง โดยหวังผลกำไรเกินไป พูดเกินความเป็นจริงเท่ากับหลอกลวงให้เชื่อโดยมีเจตนาทำให้ผู้ฟังหลงผิดและ เชื่อตามโดยขาดความเข้าใจและไว้ใจกับตัวผู้ค้าขาย เป็นการทำให้ผู้ขายได้ผลกำไรหรือผลตอบแทนกลับมาอย่างไม่บริสุทธิ์ขัดต่อหลักการทางพุทธศาสนาหรือหลักธรรมที่กล่าวมา อันเป็นเหตุของการประพฤติและปฏิบัติที่ผิดกับสัมมาชีพ และก่อเกิดของความไม่เจริญรุ่งเรืองทางการค้าขายและความไม่บริสุทธิ์กับการกล่าวสัมมาวาจา และคำสุภาพอ่อนโยน คำสัตย์จริง เป็นรากฐานของการประกอบอาชีพนักธุรกิจค้าขาย ที่ต้องสร้างความพึงพอใจต่อลูกค้า ฉะนั้น ผู้ค้าขายควรนำหลักธรรมไปใช้และปรับให้เข้ากับการ ประพฤติปฏิบัติอย่างเคร่งครัด โดยไม่ไปพูดความหลอกลวงลูกค้าหรือผู้ม่งหวัง มีความมั่นใจในการกล่าววาจาที่ดีมีคุณธรรมในจิตใจ คือ มีความซื่อสัตย์และจริงใจกับลูกค้า ขายสิ่งที่เป็นประโยชน์เหมาะสม ให้กับผู้ซื้อหรือลูกค้าที่สมควรแก่ฐานะซื้อ ในเวลาที่เหมาะสม สร้างกัลยาณมิตร ยึดในหลักคุณธรรมและพัฒนาอาชีพการค้าของตนเอง เพื่อความเจริญมั่นคงถาวรและความก้าวหน้าสืบไปในอนาคต</p> พิมพ์ชญา บุญญชนะ Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 12 3 1241 1254 “สีกุก” ในสายธารประวัติศาสตร์ไทย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/269264 <p>สีกุก เป็นชุมชนเก่าแก่มาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาและยังได้รับการกล่าวถึงในเอกสารประวัติศาสตร์ของไทยในฐานะค่ายพม่า ครั้งสงครามคราวเสียกรุงศรีอยุธยา พ.ศ. 2310 ด้วยสภาพที่ตั้งชุมชนริมแม่น้ำน้อย หรือ แควสีกุก สามารถเชื่อมการเดินทางไปยังเมืองสุพรรณบุรี ทั้งยังสามารถเดินทางด้วยเรือผ่านคลองบางบาลไปยังเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยาได้ ด้วยเหตุนี้ สีกุก จึงเป็นยุทธศาสตร์ที่เหมาะสมในการตั้งเป็นค่ายเพื่อรับมือกับข้าศึกทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ อย่างไรก็ตาม มีความไม่สอดคล้องของข้อมูล ดังเช่น พระราชพงศาวดารของไทยกล่าวไปในทิศทางเดียวกันว่า ค่ายสีกุกเป็นค่ายใหญ่ของพม่า ในขณะที่มหาราชวงษ์ พงศาวดารพม่า ระบุว่า ค่ายสีกุก มีลักษณะเป็นเมือง มีการก่อกำแพงอิฐล้อมรอบอย่างแน่นหนา ครั้นเมื่อมังมหานรธาแม่ทัพพม่าตีค่ายสีกุกแตกแล้วได้เคลื่อนทัพไปตั้งที่บ้านกันนี ปากคลองบางบาลซึ่งเป็นจุดบรรจบของแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อรั้งทัพรอข่าวจากเนเมียวสีหบดีแม่ทัพฝ่ายเหนือ หรือแม้กระทั่งการมรณกรรมของมังมหานรธา ก็มีเพียงพระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขาฉบับเดียวที่ระบุว่า มังมหานรธาป่วยถึงแก่กรรม ณ วัดสีกุก ซึ่งหลังจากปลงศพแล้ว ให้ก่อพระเจดีย์บรรจุอัฐไว้ นอกจากนี้ สีกุก ยังมีความสำคัญที่ยึดโยงกับการเสด็จประพาสต้นของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ใน พ.ศ. 2449 พระองค์ได้เสด็จประทับแรม ณ วัดสีกุก กลายเป็นความทรงจำทางประวัติศาสตร์อันแข็งแกร่งของชุมชนที่เชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ไทย ปัจจุบันวัดสีกุกเป็นศูนย์กลางของชุมชน มีสิ่งปลูกสร้างที่น่าสนใจ ยกตัวอย่างเช่น ศาลมังมหานรธา ศาลาอนุสรณ์ ร.5 เป็นต้น ส่วนบริเวณอันเป็นค่ายพม่านั้น กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนและกำหนดเขตที่ดินโบราณสถานค่ายสีกุกมาตั้งแต่ พ.ศ. 2542</p> ศุภกาณฑ์ นานรัมย์ Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 12 3 1255 1267 การไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาทโดยพุทธสันติวิธี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/271520 <p>การบูรณาการการไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาทโดยพุทธสันติวิธี เพื่อการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมายและการบังคับคดีนั้น หลักสาราณียธรรมมีสอดคล้องกับหลักการไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาท ซึ่งสามารถนำมาเป็นกรอบหลักการพัฒนา หรือนำออกไปช่วยเสริมกระบวนวิธีในการนำออกไปใช้ในการพัฒนาศักยภาพของผู้ประนีประนอมข้อพิพาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ต้องสร้างบรรยากาศในการเจรจา รู้จักการวางตนที่ดี เพื่อจะรับรู้และรับฟังคู่พิพาท อีกทั้งเสนอแนะเพื่อหาทางออก ปรับความเห็นในความเข้าใจผิด ไม่ว่าจะเป็นด้วยการรับหรือส่งข้อมูล ช่วยให้คู่ความทั้งสองฝ่ายหรือทุกฝ่ายสามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกัน สามารถกลับคืนความสัมพันธ์อันดีต่อกัน และเพื่อช่วยหาทางออกที่ดีที่สุดให้เกิดแก่คู่พิพาท หลักสาราณียธรรม เป็นชุดแนวคิดแห่งพุทธสันติวิธีที่ใช้เพื่อการแก้ไขความขัดแย้ง เป็นช่องทางที่ช่วยเสริมสร้างเกื้อกูลคนในสังคมให้เกิดความรักและสามัคคีกัน สามารถขจัดความขัดแย้งและแก้ปัญหาความขัดแย้งได้ การดำรงตนเป็นผู้มีเหตุผล การยอมรับความแตกต่างหลากหลายทางวัฒนธรรม ความคิด ความเชื่อ พร้อมปรับตัวให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติ เป็นบ่อเกิดแห่งความสุข และเป็นความเจริญแก่สังคม หลักธรรมดังกล่าวจึงเป็นแนวทางที่ดี ที่จะหยุดยั้งปัญหาความขัดแย้งที่มีอยู่เดิมและปัญหาความขัดแย้งอื่นๆ ที่กำลังเกิดขึ้นตามมาภายหลังได้</p> สุทธิธรรม รัตนแสนยานุภาพ Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 12 3 1188 1203 การศึกษาวิเคราะห์เวทนาขันธ์ในฐานะประตูสู่สันติบท https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/272057 <p>เวทนาขันธ์ปรากฏในพระสูตรสำคัญหลายแห่ง โดยเวทนามี 3 ประเภท คือ สุข ทุกข์ และอุเบกขา ซึ่งในบางที่แสดงเป็นเวทนา 5 และเวทนา 9 ซึ่งความสัมพันธ์ของเวทนานั้นสัมพันธ์กับหลักธรรมอื่นๆ หลายเรื่อง เช่น เวทนาเป็นหนึ่งในวงจรของปฏิจจสมุปบาท โดยมีผัสสะเป็นเหตุให้เกิดเวทนา เวทนาเป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวตน เป็นของร้อนเพราะถูกกิเลสทั้ง 3 คือ โลภะ โทสะและโมหะเผาอยู่เป็นนิจ เวทนายังเป็นอารมณ์ของสติปัฏฐานสูตรโดยการพิจารณาเห็นเวทนาว่าไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา และเมื่อเห็นเวทนาเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ย่อมทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิจนเป็นปัจจัยในการบรรลุสันติบทซึ่งแบ่งได้ 2 แบบ คือ สันติภายใน และสันติภายนอก</p> <p>การกำหนดรู้เวทนาขันธ์ด้วยสติทำให้เกิดธรรมะหลายอย่างภายในจิตได้ เช่น ทมะ อุปสมะ เมตตา ขันติ สัมมาทิฏฐิไปจนถึงนิพพาน ธรรมเหล่านี้ทำให้เกิดสันติภายใน คือ ความสงบ ซึ่งจะส่งผลต่อสันติภายนอก คือ การระงับความขัดแย้งและความรุนแรงในด้านต่างๆ ตามที่ปรากฏหลักฐานในสมัยพุทธกาลและสมัยต่อมาว่ามีพระภิกษุมากมายที่กำหนดรู้เวทนาขันธ์จนบรรลุถึงสันติภายในและทำให้เกิดความสงบต่อบุคคลอื่นๆ ด้วยการระงับข้อพิพาทในเรื่องความขัดแย้งและความรุนแรง อันส่งผลต่อสันติภายนอกได้เป็นอย่างดี นับเป็นต้นแบบที่พุทธศาสนิกชนที่แสวงหาแนวทางสันติวิธีสามารถนำมาเป็นแบบอย่างในการเรียนรู้ได้จนถึงปัจจุบัน</p> ดนัย ปรีชาเพิ่มประสิทธิ์ Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 12 3 1204 1215 การพัฒนากรอบความคิดแบบเติบโตเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นทางจิตใจ เมื่อเผชิญปัญหา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/271761 <p>กรอบความคิดแบบเติบโตเป็นตัวแปรที่ถูกพูดถึงมาหลายทศวรรษโดยเฉพาะในประเทศไทยได้นำมาบรรจุเป็นนโยบายในการสร้างความก้าวหน้าให้กับวงการการศึกษา และการพัฒนากรอบความคิดแบบเติบโตสามารถเพิ่มความยืดหยุ่นทางจิตใจเมื่อเผชิญปัญหาได้ โดยอาศัยทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประกอบไปด้วย 1) การเชื่อในตนเองว่าสามารถพัฒนาเพื่อเอาชนะปัญหาได้ 2) การยอมรับต่อปัญหาที่เกิดขึ้น เป็นความเข้าใจว่าอารมณ์เชิงลบเป็นการตอบสนองตามธรรมชาติของมนุษย์เพื่อดำรงชีวิตให้อยู่รอด และ 3) การมีสัมพันธภาพที่ดี ซึ่งเป็นการดำรงอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยกลุ่มคน เพื่อนฝูง หรือครอบครัว โดยอาศัยการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เดิมทีกรอบความคิดแบบเติบโตคือตัวแปรที่สอดคล้องกับสัมฤทธิ์ทางการเรียนหรือการทำงาน แต่บทความนี้แสดงให้เห็นว่าเมื่อสามารถบรรลุตัวแปรทั้งหมดนี้ ย่อมส่งผลให้มีภูมิต้านทานต่อสิ่งกระตุ้นเชิงลบที่เกิดรอบๆ ตัว รวมไปถึงการเข้าใจหรือตระหนักรู้ต่อสิ่งที่เกิดขึ้นจนสามารถฟื้นกลับมาสู่เส้นทางได้อีกครั้งหนึ่ง</p> จิตตินันท์ บุญสถิรกุล คาลอส บุญสุภา Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 12 3 1230 1240 วิกฤตจำนวนศาสนทายาทเพื่อการรักษาพระพุทธศาสนา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/269673 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอภาวะวิกฤตของจำนวนศาสนทายาท ที่มีแนวโน้มว่าจะลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยชี้ให้เห็นว่าผู้ที่จะบรรพชาเข้ามาเป็นศาสนทายาทรายใหม่ก็ลดน้อยลง ส่วนผู้ที่เป็น ศาสนทายาทอยู่แล้วก็ไม่สามารถอยู่ในเพศบรรพชิตได้ยาวนานเพียงพอที่จะเป็นกำลังหลักในการรักษาและเผยแผ่พระพุทธศาสนา</p> <p>จากการวิจัยปริมาณของศาสนทายาทที่ลดลงอย่างต่อเนื่องนั้น เห็นได้ชัดจากจำนวนของนักเรียนโรงเรียนพระปริยัติธรรมแทบจะทุกแห่งลดลงเช่นเดียวกัน มีศาสนทายาทเข้ามาศึกษาในโรงเรียนพระปริยัติธรรมจำนวนน้อยลงอย่างต่อเนื่องอันเป็นการสนับสนุนให้เห็นถึงจำนวนศาสนทายาททั่วประเทศที่ลดลงเช่นเดียวกันการลดลงของศาสนทายาทนั้นเกิดจากทั้งปัญหาทั้งระดับปัจเจกบุคคลและระดับโครงสร้าง โดยระดับปัจเจกบุคคลนั้นเกิดจากความไม่มั่นใจในด้านต่างๆ ดังนี้ 1) ด้านสวัสดิภาพ พบว่าไม่มั่นใจด้านความรุนแรง ความปลอดภัย และความอบอุ่นที่ศาสนทายาทจะได้รับจากคณะสงฆ์ 2) ด้านสวัสดิการ พบว่าไม่มั่นใจด้านการดูแล เช่น โภชนาการ สวัสดิการการรักษาเมื่อยามเจ็บป่วย 3) ด้านการศึกษา พบว่าไม่มั่นใจด้านคุณภาพการศึกษาภายในคณะสงฆ์ ส่วนระดับโครงสร้างพบว่าเกิดความเหลื่อมล้ำทั้งทางสังคมและทางการศึกษา โดยทางสังคมนั้นเกิดความไม่สมดุลระหว่างความต้องการศาสนทายาทกับจำนวนศาสนทายาท ส่วนความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ระบบการศึกษาภายในคณะสงฆ์นั้นมีคุณภาพที่แตกต่างจากโรงเรียนข้างนอก</p> <p>แนวทางการแก้ปัญหาในระดับปัจเจกจะต้องสร้างแรงจูงใจในการบรรพชาให้เกิดขึ้นกับทั้งเด็กและเยาวชนรวมทั้งผู้ปกครอง โดยแรงจูงใจจะเกี่ยวข้องกับองค์ประกอบที่สำคัญ 2 ประการ คือ 1) เป็นกลไกที่ไปกระตุ้นให้เกิดการกระทำ และ 2) เป็นแรงบังคับให้กระทำอย่างมีทิศทาง ซึ่งการสร้างแรงจูงใจจะต้องเริ่มต้นตั้งแต่ระดับสถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา สถาบันศาสนา และภาครัฐ บูรณาการร่วมมือกันสร้างแรงจูงใจขึ้น โดยใช้ระบบสวัสดิภาพ สวัสดิการ และการศึกษา เป็นเครื่องมือในการสร้างแรงจูงใจ เพื่อให้เด็กและเยาวชนและครอบครัวมั่นใจได้ว่าเมื่อเข้ามาบรรพชาเป็นศาสนทายาทแล้วจะไม่ถูกทอดทิ้งให้อยู่ด้านหลัง มีความปลอดภัย มีระบบการศึกษาที่ดีเพียงพอ เมื่อมีเครื่องมือที่ดีเพียงพอที่จะสร้างแรงจูงใจจนสามารถนำแรงจูงใจนั้นไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปริมาณศาสนทายาทจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเป็นกำลังที่จะรักษาและเผยแผ่พระพุทธศาสนาต่อไป</p> ปวีณา อุดมสถาผล พระปราโมทย์ วาทโกวิโท Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 12 3 1216 1229 The Classification and Design of New Tensegrity Structure Based on the Area Coverage Concept https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/271981 <p>This research was conducted to explore, classify and propose design principles for new types of tensegrity structures for area cover applications. Tensegrity structures are widely used in the fields of engineering and architecture to create bridges, domes, and buildings because the structures are flexible, lightweight and can be expanded into a variety of forms. Moreover, the tensegrity structure had a series of continuous cables in tension and another set of discontinuous struts in compression. It was usually flexible, lightweight, and capable of spanning wide ranges but considered complex and challenging to assemble. This practical research involves the classification, development of models, and their application to specific types of work. The research process is divided into six main steps: Classification, Summary, Hypotheses, Experiments, Results, and Deliveries. Experiments with physical models are also conducted to explore potential variations in tensegrity structures. This method helps verify forces, identify form-finding factors, and create efficient designs.</p> <p>The results of this research can be used to guide the development of architecture, product design, and other designs by leveraging the classifications, principles, and methods established in this study. In addition, the research and experimentation process involve an in-depth exploration of the structural forms and properties of each type, leading to the creation of new designs and the ability to apply each structure according to its intended use. The development of such structures introduces numerous possibilities for comprehending Tensegrity structures and acts as a catalyst for advancements across various applications. The primary focus is on investigating the origins and historical evolution of Tensegrity structures, highlighting their advantages and disadvantages. Additionally, the research aims to classify existing types and propose a new Tensegrity structure with controllable width and length expansion. The overarching goal is to provide a comprehensive understanding, facilitate practical applications, and extend the design capabilities of Tensegrity structures.</p> Visuwat Malai Eakachat Joneurairatana Veerawat Sirivesmas Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 12 3 822 835 An Analysis of the Factors and Elements Associated with Parametric Design Method in the Field of Interior Design https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/271977 <p>This research was conducted to explore and analyze the factors associated with the use of the parametric design method in interior design with the main focus on the design and installation processes. Grasshopper parameterization modeling technology was applied to create design, generation, and installation. The adoption of the parametric method was crucial because it offered a potent approach to efficiently generate designs by dynamically adjusting initial parameters and sequencing codes. This method allowed for the rapid creation of forms necessary to achieve an optimal design. The technology has been used widely in different fields, specifically engineering, and architecture, as well as interior, product, and fashion design with several others, due to the advantages of computational and generative design methods. This practical research was used to divide method, thought, design, and manufacturing processes into five parts including data collection and analysis, design and development, experimentation, implementation, and delivery. Moreover, the experiment was used to explore the parametric design process through the design of an interior staircase with due consideration for the conditions, limitations, as well as design and installation processes.</p> <p>The research findings unveiled in this study can serve as a valuable guide for advancing architectural, interior, and product design. By leveraging the conceptual foundations and methodologies established in this study, designers can enhance their approaches within these disciplines. Additionally, the conceptual framework and educational methodology presented an in-depth exploration and analysis of design principles employing parametric design. This research conducts a comprehensive examination of the application of parametric design, providing insights into the development of innovative interior design methods through parametric models. It serves as an illustrative example of seamlessly integrating parametric design across diverse designs through systematic processes and methodologies. This article aims to elucidate the concepts, design processes, and techniques associated with parametric interior design. The focus extends from the initial design phase to the installation process, offering significant advantages for precision and efficiency in a wide range of design projects.</p> Klawkanlayaphon Sawatmongkhonkul Eakachat Joneurairatana Veerawat Sirivesmas Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 12 3 836 850 การพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เรื่อง โลกและการเปลี่ยนแปลง โดยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับ TPACK https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/271940 <p>การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ 1) พัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับ TPACK เรื่อง โลกและการgปลี่ยนแปลง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ก่อนเรียนและหลังเรียน 3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน 4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับ TPACK กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/6 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนเรณูนครวิทยานุกูล สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครพนม จำนวน 32 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับ TPACK 2) แบบทดสอบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบค่าทีแบบกลุ่มที่ไม่เป็นอิสระต่อกัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับ TPACK เรื่อง โลกและการเปลี่ยนแปลง มีประสิทธิภาพเท่ากับ 81.91/81.04 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 2) ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 4) ความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้นร่วมกับ TPACK มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.54 ซึ่งอยู่ในระดับมากที่สุด</p> เจษฎากร บุญแสน อนันต์ ปานศุภวัชร กุลวดี สุวรรณไตรย์ Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 12 3 889 903 กระบวนการพัฒนาการเรียนรู้ที่มีสติเป็นฐาน: ศึกษากรณีนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 6 โรงเรียนจักราชราษฎร์สามัคคี จังหวัดนครราชสีมา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/269681 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ 1) เพื่อศึกษาวิเคราะห์ สภาพปัญหา บริบท ความจำเป็น และแนวคิดทฤษฎี กระบวนการพัฒนาการเรียนรู้ที่มีสติเป็นฐาน ตามศาสตร์ใหม่ 2) เพื่อศึกษาวิเคราะห์หลักพุทธสันติวิธีที่เอื้อต่อ กระบวนการพัฒนาการเรียนรู้ที่มีสติเป็นฐาน 3) เพื่อพัฒนาและนำเสนอกระบวนการพัฒนาการเรียนรู้ที่มีสติเป็นฐาน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนจักราชราษฎร์สามัคคี จังหวัดนครราชสีมา เป็นการวิจัยและพัฒนา (R&amp;D) ตามกรอบของอริยสัจโมเดลตามแนวทางของบันได 9 ขั้น กลุ่มตัวอย่างที่ให้ข้อมูลจำนวน 32 คน/รูป ได้แก่ ผู้บริหารและครูผู้สอน 6 คน ผู้ปกครองและนักเรียน 10 คนผู้ทรงคุณวุฒิการออกแบบกิจกรรม 6 คน/รูป ด้านพระพุทธศาสนาและสันติวิธี 5 รูป โรงเรียนต้นแบบ 5 คน เครื่องมือที่ใช้เก็บข้อมูล แบบสัมภาษณ์ แบบสอบถาม แบบสังเกต แบบทดสอบ โดยผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) บริบทและสภาพปัญหาการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนจักราชราษฎร์สามัคคี จังหวัดนครราชสีมา พบว่า (1) ด้านกายภาพ นักเรียนยังขาดการเรียนรู้ที่มีสติแต่งกาย ไม่เหมาะสม (2) ด้านพฤติภาพ ความประพฤติไม่เรียบร้อย ขาดระเบียบวินัย (3) ด้านจิตภาพ นักเรียนไม่กล้าแสดงออก ขาดจิตอาสาเมตตา ขาดสติจดจ่อการเรียนสั้น (4) ด้านปัญญาภาพ ขาดปัญญาทักษะในการแก้ปัญหาการเรียน 2) หลักพุทธสันติวิธีที่เอื้อต่อการต่อกระบวนการเรียนรู้ที่มีสติเป็นฐาน พบว่า หลักสติปัฏฐาน 4 มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสติ ทั้งเชิงรับและสติเชิงรุก ผ่านกิจกรรมการเรียนรู้ทางกาย ความรู้สึก รู้เท่าทันความคิด 3) กระบวนการการพัฒนาการเรียนรู้ที่มีสติเป็นฐานของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนจักราชราษฎร์สามัคคี จังหวัดนครราชสีมา พบว่า ต้องใช้กระบวนการพัฒนาสติเชิงรุก และสติ เชิงรับ โดยมีขั้นตอนการพัฒนาการฝึกอบรม 4 ขั้นตอน</p> เข็มชาติ ทนกระโทก พระธรรมวัชรบัณฑิต สมจินต์ สมฺมาปญฺโญ พระปราโมทย์ วาทโกวิโท Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 12 3 1138 1149 การพัฒนาอาหารท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในจังหวัดอุบลราชธานี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/270870 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพอาหารท้องถิ่นในจังหวัดอุบลราชธานี และ 2) ศึกษาการพัฒนาอาหารท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในจังหวัดอุบลราชธานี ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปริมาณ เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม กลุ่มตัวอย่างจำนวน 150 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือความถี่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ศึกษาสภาพอาหารท้องถิ่นในจังหวัดอุบลราชธานี พบว่า งบประมาณในการรับประทานอาหารท้องถิ่นคือ 101-200 บาท ต่อคนต่อวัน ช่วงเวลาในการรับประทานอาหารท้องถิ่นคืออาหารกลางวัน รสชาติอาหารท้องถิ่นที่กลุ่มตัวอย่างชื่นชอบคือ รสเค็มและรสเผ็ด ประเภทอาหารท้องถิ่นที่ชื่นชอบมากที่สุดคือลาบ และ 2) ศึกษาการพัฒนาอาหารท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในจังหวัดอุบลราชธานี พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความคิดเห็นเกี่ยวกับการพัฒนาอาหารท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในระดับมากที่สุดทุกด้าน ดังนี้ ด้านแรงจูงใจ (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" /> =4.69, S.D.=0.46) ด้านวัฒนธรรม (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" /> =4.74, S.D.=0.43) ด้านความดั้งเดิมของอาหาร (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" /> =4.76, S.D.=0.42) ด้านการจัดการและการตลาด (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" /> =4.76, S.D.=0.42) และด้านการกำหนดเป้าหมายของพื้นที่ให้ชัดเจน (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" /> =4.76, S.D.=0.42) ดังนั้น การพัฒนาอาหารท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในจังหวัดอุบลราชธานีจึงควรจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับอาหารกลางวัน เน้นอาหารท้องถิ่นประเภทลาบ รูปแบบของกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับอาหารจะต้องสามารถสร้างแรงจูงใจ มีการผสมผสานเอกลักษณ์ วัฒนธรรมของพื้นที่ คงวามดั้งเดิมของอาหาร มีการจัดการและการตลาด และการกำหนดเป้าหมายของพื้นที่ให้ชัดเจน</p> วิภา มะลา มาลี ไชยเสนา กุลวดี ละม้ายจีน Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 12 3 975 989 มังกร “ตำนาน ความเชื่อ เอกลักษณ์” ของจังหวัดราชบุรี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/275257 <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความเป็นมา ตำนาน ความเชื่อ ของมังกรในจังหวัดราชบุรี 2) เพื่อศึกษาพลวัตของมังกรที่เป็นเอกลักษณ์ในจังหวัดราชบุรี เป็นงานวิจัยคุณภาพ นำเสนอในรูปแบบพรรณนาเชิงวิเคราะห์ โดยสังเคราะห์องค์ความรู้ และเอกสาร แนวคิด งานวิจัย ในบริบทของความเป็นมา ตำนาน ความเชื่อ เอกลักษณ์ ตลอดจนพลวัตในมิติต่างๆ ของมังกรในจังหวัดราชบุรี พื้นที่วิจัยจากการศึกษาภาคสนาม คืออำเภอเมืองราชบุรี โพธาราม และบ้านโป่ง กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาและสัมภาษณ์ จำนวน 10 คน ใช้การเลือกแบบเจาะจง คือ ผู้นำชุมชนหรือประธานชุมชน ปราชญ์ชาวบ้านหรือผู้รู้ ชาวบ้านหรือผู้ประกอบการรายย่อย และเจ้าหน้าที่ท่องเที่ยวและกีฬา จังหวัดราชบุรี เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ การสังเกตการณ์ และการสอบถาม เพื่อนำมาวิเคราะห์ประมวลผลข้อมูล และนำมาสังเคราะห์ เป็นองค์ความรู้ใหม่ของการศึกษา</p> <p>จากการศึกษาพบว่า 1) ความเป็นมา ตำนาน ความเชื่อ ของมังกรในจังหวัดราชบุรี โดยชาวจีนอพยพมาตั้งถิ่นฐานและยึดอาชีพการปั้นเครื่องปั้นดินเผาที่เป็นภูมิปัญญาติดตัวมา ตำนาน“โอ่งมังกรราชบุรี” จึงเชื่อมโยงกับความเชื่อของคนในชุมชนในวิถีชีวิตต่างๆ จนกลายมาเป็นเอกลักษณ์ที่มีคุณค่าของจังหวัดราชบุรี 2) พลวัตของมังกรที่เป็นเอกลักษณ์ในจังหวัดราชบุรี เป็นทุนทางวัฒนธรรมของท้องถิ่นทั้งผลิตภัณฑ์ งานศิลปะร่วมสมัย แลนด์มาร์ก เป็นต้น การสร้างสรรค์นี้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยวในจังหวัด ดังนั้นการส่งเสริมพัฒนาจากภูมิปัญญาท้องถิ่นเปรียบจากรากเหง้าที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ได้รับการพัฒนา ดัดแปลง ต่อยอด ในเชิงสร้างสรรค์เพื่อเป็นการสืบทอด อนุรักษ์ เอกลักษณ์ของชุมชนจังหวัดราชบุรีให้ยังคงอยู่ และยังส่งผลต่อยอดองค์ความรู้ด้านภูมิปัญญา สร้างพลังและความเข้มแข็งในชุมชนได้รัก เข้าใจ และภูมิใจในท้องถิ่นของตนเอง</p> จริญญาพร สวยนภานุสรณ์ Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 12 3 865 876 แนวทางการสื่อสารสำหรับบุคลากรต่างวัยในองค์กรตามหลักพุทธสันติวิธี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/269758 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาบริบทและสภาพปัญหาการสื่อสารของบุคลากรที่มีความแตกต่างระหว่างวัยของกองตรวจราชการและหลักพุทธสันติวิธีที่เอื้อต่อการสื่อสารที่มีความแตกต่างระหว่างวัย 2) เพื่อนำเสนอแนวทางสื่อสารสำหรับบุคลากรต่างวัยในองค์กรตามหลักพุทธสันติวิธี รูปแบบการวิจัยเชิงคุณภาพ แบบภาคสนาม เครื่องมือวิจัยใช้แบบสัมภาษณ์เชิงลึก กลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ คือบุคลากรกองตรวจราชการ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ในกลุ่ม Gen B, X, Y, Z จำนวน 14 คน วิเคราะห์ผลด้วยอุปนัยวิธี</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพบริบทและปัญหา คือ มีพื้นที่มีหลายชั้น จึงเกิดความห่างเหินกัน มีบุคลากรหลายช่วงวัย จึงมีประสบการณ์และการรับรู้ที่แตกต่างกัน การสื่อสารทางตรงน้อยลง ทำให้มีปัญหาการสื่อสารระหว่างวัย เกิดความไม่เข้าใจกัน 2) แนวทางสื่อสาร คือ (1) การสื่อสารเพื่อป้องกันความขัดแย้งจากความแตกต่างระหว่างวัย ในฐานะผู้ส่งสาร และผู้รับสาร ด้วยจิตเมตตา อ่อนน้อม ตรงประเด็น และจริงใจ (2) การสื่อสารเมื่อเกิดความขัดแย้ง ด้วยการสื่อสารตรง แบบไม่เป็นทางการ แสดงท่าทีด้วยความเคารพให้เกียรติ มีกิจกรรมสร้างสัมพันธ์ องค์ความรู้จากงานวิจัย ทำให้พบแนวทางในการสื่อสารของบุคลากรในองค์กร ด้วยหลักสัมมาวาจา และหลักการมีส่วนร่วมกันอย่างสันติสุข คือ Attitude การสื่อสารด้วยทัศนคติทางบวก ได้แก่ <strong>A - </strong><strong>Advice</strong> : แนะนำสิ่งมีประโยชน์ <strong>T - Telling</strong> พูดสุภาพ พูดความจริง ไม่พูดยุแยง ไม่พูดเพ้อเจ้อ <strong>T - teaching</strong> การสอนงาน <strong>I - Integrated</strong> การบูรณาการงาน <strong>T - Trust</strong> : มีความจริงใจ ไว้วางใจกัน <strong>U - Understand</strong> การสื่อสารกันด้วยความเข้าใจ <strong>D- Determination</strong> ความตั้งใจ ตั้งมั่น ร่วมกัน <strong>E - Empathy</strong> : การสร้างพลังใจ ด้วยความเมตตา จะกระตุ้นให้เกิดกำลังใจในการทำงาน</p> วาสนา โชติชะวารานนท์ ขันทอง วัฒนะประดิษฐ์ Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 12 3 1098 1109 บทบัญญัติและกฎหมายเกี่ยวกับสถานที่พักสงฆ์สำหรับพระภิกษุที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดอาญาที่เอื้อต่อวิถีพระธรรมวินัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/271005 <p>บทความวิจัยฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัญหาและผลกระทบต่อพระภิกษุอันเกิดจากการดำเนินคดีกับพระภิกษุเมื่อถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดในคดีอาญา 2) ศึกษากระบวนการพัฒนากฎหมายเกี่ยวกับสถานที่พักสงฆ์สำหรับพระภิกษุผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดในคดีอาญาตามหลักกระบวนการยุติธรรมทางอาญาและพุทธสันติวิธี 3) เสนอบทบัญญัติและกฎหมายเกี่ยวกับสถานที่พักสงฆ์สำหรับพระภิกษุ ผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดในคดีอาญาที่สอดคล้องกับหลักกฎหมายและวิถีของพระธรรมวินัย โดยใช้วิธีการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้เทคนิคการวิจัยเอกสาร การสัมภาษณ์เจาะเชิงลึก และการสนทนากลุ่มย่อย จากผู้ทรงคุณวุฒิด้านพระพุทธศาสนา ด้านพุทธสันติวิธี ด้านกฎหมาย ด้านกระบวนการยุติธรรม</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) ปัญหาและผลกระทบต่อพระภิกษุอันเกิดจากการดำเนินคดีกับพระภิกษุ เมื่อถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดในคดีอาญา และไม่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวตาม มาตรา 29 ของพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แต่ในความเป็นจริงยังอยู่ในชั้นของการกล่าวหาต่อพระภิกษุ เพราะยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่ามีการกระทําผิดจริงหรือไม่ ซึ่งเป็นไปตามหลักบทสันนิษฐานความบริสุทธิ์ของจำเลยในคดีอาญา 2) เมื่อบูรณาการหลักพุทธสันติวิธีกับหลักกฎหมายเกี่ยวกับสถานที่พักสงฆ์สำหรับพระภิกษุผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดในคดีอาญาตามหลักกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ทำให้ได้หลักการ “MCU Model” ที่มีองค์ประกอบย่อย 3 ประการ คือ (1) Moral (M) หรือพระวินัย (2) Culture of Lawfulness (C) หรือ มาตรการควบคุมทางสังคม และ (3) Universal (U) หรือ มาตรฐานสากล จึงเห็นควรมีการแก้ไขปรับปรุงบทบัญญัติและกฎหมายที่ให้มีสถานที่ควบคุมเป็นการเฉพาะสำหรับพระภิกษุที่สอดคล้องกับวิถีพระธรรมวินัย อันเป็นกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ของพระภิกษุ เพื่อเป็นการคุ้มครองและธำรงพระพุทธศาสนาต่อไป</p> พงษ์ธร ธัญญสิริ Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 12 3 1043 1053 สันตินวัตกรรมการสื่อสารเพื่อเสริมสร้างความภักดีของลูกค้าสำนักงานสอบบัญชี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/275608 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหา ความต้องการจำเป็น แนวคิดทฤษฎีและ หลักพุทธสันติวิธีในการพัฒนาการสื่อสารเพื่อเสริมสร้างความภักดีของลูกค้าสำนักงานสอบบัญชี 2) เพื่อพัฒนาสันตินวัตกรรมการสื่อสารเพื่อเสริมสร้างความภักดีของลูกค้าสำนักงานสอบบัญชี ใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสาน แบบ exploratory sequential design โดยการการสัมภาษณ์เชิงลึกจำนวน 26 คน สนทนากลุ่มเฉพาะผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 7 คน ใช้เกณฑ์คัดเลือกแบบเจาะจง ทดลองนำร่องด้วยการปฏิบัติการอบรมผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี จำนวน 12 คน วัดผลด้วยแบบประเมินการสื่อสารเพื่อเสริมสร้างความภักดีของลูกค้าสำนักงานสอบบัญชี วิเคราะห์เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยด้วยค่าสถิติ t-test ประกอบกับ การสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วม การสะท้อนความคิดของผู้เข้าร่วมอบรม</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สำนักงานสอบบัญชีมีการแข่งขันทางด้านราคาระหว่างกัน ส่งผลให้สำนักงานสอบบัญชีประสบปัญหาเรื่องการสร้างความภักดีของลูกค้าสำนักงานสอบบัญชี และนำมาประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับแนวคิดทฤษฎีศาสตร์สมัยใหม่ ได้แก่ คุณภาพการสอบบัญชี การสื่อสารที่สร้างความภักดีด้วยการผ่อนคลายและเป็นมิตร โดยนำหลักพุทธสันติวิธีที่เอื้อต่อการสื่อสารเพื่อเสริมสร้างความภักดีของลูกค้าสำนักงานสอบบัญชี คือ หลักสังคหวัตถุ 4 และ หลักวาจาสุภาษิต 2) การสร้างสันตินวัตกรรมการสื่อสาร เพื่อเสริมสร้างความภักดีของลูกค้าสำนักงานสอบบัญชี ด้วยหลักสูตรอบรมเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม 2 วัน และกระบวนการติดตามผล 21 วัน โดยมีเนื้อหาอบรมประกอบด้วย 1) ตระหนักความสำคัญของการสื่อสาร 2) การสื่อสารที่เป็นมิตร 3) เข้าใจความคาดหวังลูกค้า 4) ความเชี่ยวชาญด้านวิชาชีพ 5) การบริหารการสื่อสารระหว่างกัน 6) ความเมตตาในการสื่อสาร ผลการทดลองพบว่า ค่าเฉลี่ยการสื่อสารเพื่อเสริมสร้างความภักดีของลูกค้าสำนักงานสอบบัญชี หลังการทดลองสูงกว่าก่อนทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ค่า t = 2.54 องค์ความรู้ที่ได้ “AUDIT Model”</p> สุทธิศักดิ์ จิวะวิศิษฎ์นนท์ ขันทอง วัฒนะประดิษฐ์ พระครูปลัดอดิศักดิ์ วชิรปญฺโญ Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 12 3 1126 1137 การออกแบบตัวละครจากตำนานเรื่องเล่าผีล้านนาสู่การสร้างสรรค์งานศิลปะมัลติมีเดียเพื่อเผยแพร่อัตลักษณ์ทางศิลปวัฒนธรรม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/267654 <p>การศึกษาการออกแบบตัวละครจากตำนานเรื่องเล่าผีล้านนาสู่การสร้างสรรค์งานศิลปะมัลติมีเดีย เพื่อเผยแพร่อัตลักษณ์ทางศิลปวัฒนธรรม มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาเรื่องราวของวัฒนธรรมความเชื่อเกี่ยวกับผีล้านนาและบทบาทของผีที่ปรากฏในนิทานพื้นบ้านล้านนา 2) นำองค์ความรู้ที่ได้จากการศึกษาค้นคว้า และการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องผีในวัฒนธรรมล้านนา มาพัฒนาสู่การออกแบบตัวละคร นำเสนอในรูปแบบงานสร้างสรรค์สื่อมัลติมีเดีย ในการศึกษาครั้งนี้ มีลักษณะเป็นงานวิจัยเชิงสร้างสรรค์ศิลปะ มีการศึกษาทั้งภาคเอกสาร แนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง และการเก็บข้อมูลเชิงลึกภาคสนาม ในบริบทวัฒนธรรมความเชื่อเกี่ยวกับผีล้านนาและบทบาทของผีที่ปรากฏในนิทานพื้นบ้านล้านนา โดยมีพื้นที่วิจัยคือ จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์ และสังเคราะห์ กำหนดเป็นแนวความคิด และเทคนิคทางคอมพิวเตอร์กราฟิก นำเสนอในรูปแบบพรรณาและเสนอผลงานสร้างสรรรค์ศิลปะ</p> <p>จากการศึกษาพบว่า 1) ความเชื่อและพิธีกรรมเกี่ยวกับผี มีบทบาทสำคัญต่อการดำรงชีวิตของชาวล้านนามาตั้งแต่อดีต ซึ่งแฝงไปด้วยกุศโลบายและแนวทางการใช้ชีวิตให้แก่คนในสังคม ความเชื่อเหล่านี้ ถูกหยิบยกเอาเนื้อหาความเชื่อดั้งเดิมบางประการมาผลิตซ้ำผ่านยุคสมัย โดยสอดแทรกค่านิยมทางสังคม เรื่องราวในเชิงวัฒนธรรมและพิธีกรรม หล่อหลอมเป็นเอกลักษณ์ของชาวล้านนา และถูกถ่ายทอดในรูปแบบนิทานพื้นบ้านในเวลาต่อมา ผ่านกระบวนการปลูกฝังและเรียนรู้ด้วยตนเอง ส่งต่อแก่ชนรุ่นหลังเพื่อใช้เป็นแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องตามประเพณีและความเชื่อที่มีมาแต่อดีต 2) ผู้วิจัยได้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะมัลติมีเดียจากการหยิบยกเอาความเชื่อดั้งเดิมเกี่ยวกับผีล้านนา มาผลิตซ้ำในรูปแบบของการออกแบบตัวละครผ่านการรวบรวมข้อมูลจากวรรณกรรมมุขปาฐะ และวรรณกรรมลายลักษณ์ อันเป็นภูมิปัญญาที่ได้รับสืบทอดกันมาแต่โบราณจากบรรพชน มาทำการเรียบเรียงและบันทึกเสียงเพื่อแปลงข้อมูลดั้งเดิมสู่ความเป็นไฟล์ดิจิทัล และแปลงค่าเป็นรูปทรงผ่านกระบวนการการทำงานด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เพื่อให้ได้ภาพเคลื่อนไหวแบบอิสระภายใต้รูปทรงเลขาคณิต และนำมารสร้างสรรค์เป็นตัวละครผีล้านนา อันเป็นมิติใหม่ของการเรียนรู้เรื่องราวทางวัฒนธรรม ให้ผู้ชมได้เห็นถึงความเป็นรูปธรรมของผีล้านนา โดยอาศัยเทคนิคและทฤษฎีการออกแบบ ตลอดจนสื่อมัลติมีเดีย เป็นสื่อกลางในการสร้างความเข้าใจ และสืบทอดคุณค่าอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม ให้สามารถเข้าถึงผู้คนในยุคปัจจุบันได้ดียิ่งขึ้น จากการสร้างสรรค์งานศิลปะในครั้งนี้สามารถ ต่อยอดเป็นการสร้างรายได้ในรูปแบบ สินค้าวัฒนธรรม ซึ่งเป็นการเผยแพร่อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมผ่านรูปแบบสินค้าและสื่อชนิดอื่นต่อไปในอนาคต</p> สิริวิชย์ พังสุวรรณ ฉลองเดช คูภานุมาต Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 12 3 990 1004 การพัฒนารูปแบบการจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านที่สอดคล้องกับระบบนิเวศการเรียนในโรงเรียน https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/270436 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลรูปแบบการจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านที่สอดคล้องกับระบบนิเวศการเรียนรู้ในโรงเรียน 2) เพื่อพัฒนารูปแบบกิจกรรมส่งเสริม การอ่านที่สอดคล้องกับระบบนิเวศการเรียนรู้ในโรงเรียน 3) เพื่อประเมินความเป็นประโยชน์และความเป็นไปได้ของรูปแบบการจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านที่สอดคล้องกับระบบนิเวศการเรียนรู้ในโรงเรียน กลุ่มตัวอย่าง ที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นผู้บริหารสถานศึกษา 24 คน ครู 24 คนและผู้ทรงคุณวุฒิ 5 คนได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบสัมภาษณ์ และแบบประเมินความเหมาะสม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลรูปแบบกิจกรรมส่งเสริมการอ่านที่สอดคล้องกับระบบนิเวศการเรียนรู้ในโรงเรียน มี 6 องค์ประกอบ ดังนี้ 1.1) ด้านการบริหารจัดการ 1.2) ด้านการสร้างทีมงานเพื่อขับเคลื่อนกิจกรรมส่งเสริมการอ่านในโรงเรียน 1.3) ด้านการจัดพื้นที่การเรียนรู้และระบบนิเวศ การเรียนรู้ในโรงเรียน 1.4) ด้านกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน 1.5) ด้านการพัฒนานวัตกรรมส่งเสริมการอ่าน 1.6) ด้านการกำกับติดตามและประเมินผล 2) รูปแบบการจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านที่สอดคล้องกับระบบนิเวศการเรียนรู้ในโรงเรียน ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบ ได้แก่ 2.1) องค์ประกอบที่ 1 ด้านการบริหารจัดการ มี 3 องค์ประกอบย่อย 2.2) องค์ประกอบที่ 2 ด้านการสร้างทีมงานเพื่อขับเคลื่อนกิจกรรมส่งเสริมการอ่านในโรงเรียนมี 6 องค์ประกอบย่อย 2.3) องค์ประกอบที่ 3 ด้านการจัดพื้นที่การเรียนรู้และระบบนิเวศการเรียนรู้ในโรงเรียน มี 8 องค์ประกอบย่อย 2.4) องค์ประกอบที่ 4 ด้านกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน มี 4 องค์ประกอบย่อย 2.5) องค์ประกอบที่ 5 ด้านการพัฒนานวัตกรรมส่งเสริมการอ่านมี 4 องค์ประกอบย่อย 2.6) องค์ประกอบที่ 6 ด้านการกำกับติดตามและประเมินผลมี 3 องค์ประกอบย่อย 3) ผลการตรวจสอบความเหมาะสมของรูปแบบ พบว่า มีความเป็นประโยชน์อยู่ในระดับมากและ มีความเป็นไปได้ในการปฏิบัติจริงอยู่ในระดับมาก</p> ศศินันท์ เศรษฐวัฒน์บดี กันฤทัย คลังพหล ศศิธร จันทมฤก วัสส์พร จิโรจพันธุ์ คชินทร์ โกกนุทาภรณ์ Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 12 3 947 961 รูปแบบการบริหารงานบุคคลตามหลักคุณธรรมและความโปร่งใส ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/269802 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและความต้องการการบริหารงานบุคคล ตามหลักคุณธรรมและความโปร่งใสของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา 2) สร้างรูปแบบการบริหารงานบุคคลตามหลักคุณธรรมและความโปร่งใสของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารการศึกษาและบุคลากรทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 222 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น และกลุ่มเป้าหมาย จำนวน 4 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง จากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและหน่วยงานที่มีวิธีการปฏิบัติที่ดี โดยการสัมภาษณ์ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาที่ปฏิบัติงานที่มีวิธีการปฏิบัติที่ดี ด้านการบริหารงานบุคคล จำนวน 3 คน และผู้แทนจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประจำจังหวัด จำนวน 1 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.97 แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพปัจจุบันและความต้องการการบริหารงานบุคคลตามหลักคุณธรรมและความโปร่งใสของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) รูปแบบการบริหารงานบุคคลตามหลักคุณธรรมและความโปร่งใสของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ประกอบด้วย 1. หลักการของรูปแบบ ได้แก่ หลักคุณธรรม หลักความโปร่งใส หลักการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ และหลักการสร้างค่านิยมร่วมขององค์กร 2. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ เพื่อเป็นแนวทางการยกระดับการบริหารงานบุคคลตามหลักคุณธรรมและความโปร่งใสให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และเพื่อเป็นแนวทางให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาได้นำรูปแบบการบริหารงานบุคคลตามหลักคุณธรรมและความโปร่งใส ไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของหน่วยงาน 3. วิธีดำเนินการของรูปแบบ ได้แก่ องค์ประกอบหลักที่ 1 ด้านงานวางแผนอัตรากำลัง การกำหนดตำแหน่งและงานวิทยฐานะตามหลักคุณธรรมและความโปร่งใส องค์ประกอบหลักที่ 2 ด้านงานสรรหาและบรรจุแต่งตั้งตามหลักคุณธรรมและความโปร่งใส องค์ประกอบหลักที่ 3 ด้านการธำรงรักษาและบำเหน็จความชอบตามหลักคุณธรรมและความโปร่งใส และองค์ประกอบย่อย ประกอบด้วย 1. ด้านการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ 2. ด้านการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้สะดวก 3. ด้านการประพฤติปฏิบัติตนที่เหมาะสม 4. ด้านการตรวจสอบความถูกต้องชัดเจน 5. ด้านการปรับปรุงกลไกการทำงานให้มีความโปร่งใส 4. การประเมินผลรูปแบบ ได้แก่ การประเมินกระบวนการบริหารงานบุคคล ตามหลักคุณธรรมและความโปร่งใส และการประเมินความพึงพอใจต่อการใช้รูปแบบ และ 5. เงื่อนไขความสำเร็จ ได้แก่ การสร้างจิตสำนึกที่ดีขององค์กร การมีส่วนร่วมและรับผิดชอบร่วมกัน การนำเทคโนโลยี มาใช้ในการสื่อสาร การตรวจสอบข้อมูลและขั้นตอนดำเนินงาน การพัฒนาระบบด้านเทคโนโลยีโดยใช้แพลตฟอร์มที่หลากหลาย ผลการประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของรูปแบบ พบว่า ความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด (<img title="\tilde{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\tilde{x}" /> = 4.91, S.D.= 0.30) และความเป็นไปได้อยู่ในระดับมากที่สุด (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" /> = 4.84, S.D.= 0.36)</p> พงษ์สยาม มาสุข ชวนคิด มะเสนะ นเรศ ขันธะรี Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 12 3 904 917 การพัฒนาสำนักวิปัสสนากรรมฐาน : “สติริมน้ำ อารามตื่นรู้” เพื่อเสริมสร้างชุมชนเมืองสันติสุขโดยพุทธสันวิธี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/271253 <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษา บริบท สภาพปัญหา ความต้องการ วิธีการจัดตั้งสำนักวิปัสสนากรรมฐานของมหาเถรสมาคม 2) วิเคราะห์หลักพุทธสันติวิธี และ 3) เสนอกระบวนการพัฒนาสำนักวิปัสสนากรรมฐาน “สติริมน้ำ อารามตื่นรู้” เพื่อเสริมสร้างชุมชนเมืองสันติสุขโดยพุทธสันติวิธี เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ได้แก่ 1. ลงพื้นที่สังเกตการณ์อย่างมีส่วนร่วมและไม่มีส่วนร่วม 2. สร้างการมีส่วนร่วมในชุมชน 3. ลงมือปฏิบัติการพัฒนาสัปปายะในพื้นที่ 4. ประเมินผลจากการพัฒนา โดยมีกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญทั้ง 3 ด้าน จำนวน 13 ท่าน คือ 1) กลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญในพื้นที่ 7 ท่าน 2) กลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญในหน่วยงานภาครัฐ 3 ท่าน และ 3) กลุ่มผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน 3 ท่าน</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า 1) วัดใหม่ (ยายแป้น) สร้างประมาณ พ.ศ. 2390 ในสมัยรัชกาลที่ 3 ตั้งอยู่ที่เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร มีการสอนวิปัสสนาที่ยังไม่เป็นระบบเนื่องจากสภาพแวดล้อมภายในวัดไม่เอื้ออำนวย และการขอจัดตั้งสำนักวิปัสสนากรรมฐานต้องทำตามขั้นตอนของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ 2) หลักพุทธสันติวิธีที่เอื้อต่อการพัฒนาสำนักวิปัสสนากรรมฐาน คือหลักสัปปายะ 4 และ 3) กระบวนการพัฒนาสำนักวิปัสสนากรรมฐาน “สติริมน้ำ อารามตื่นรู้” มี 4 ด้าน คือ (1) อาวาสสัปปายะ กิจกรรม Big Cleaning Day ทำความสะอาด ทาสีใหม่ เปลี่ยนบานประตูหน้าต่าง ที่ชำรุด (2) อาหารสัปปายะ จัดหาภาชนะใส่อาหาร โต๊ะวางอาหาร ถวายอาหารที่สะอาด (3) บุคคลสัปปายะ ให้ความรู้ จิตอาสามีส่วนร่วมอำนวยความสะดวกแก่ผู้มาปฏิบัติ รวมถึงดูแลสิ่งของต่างๆ (4) ธรรมะสัปปายะ ผ่าน 4 กิจกรรม คือ สังฆทานสติ สวดมนต์ข้ามปี วันมาฆะบูชา และสามเณรช่อสะอาด โดยมีพระวิปัสสนาจารย์สอนปฏิบัติวิปัสสนาตามแนวทางสติปัฏฐาน 4 เกิดองค์ความรู้ใหม่คือ สติริมน้ำ อารามตื่นรู้ โมเดล</p> นวลพรรณ กลั่นเกษร Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 12 3 1110 1125 การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมทักษะภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนต้น https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/270535 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ร่างรูปแบบการเรียนจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมทักษะภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนต้น 2) พัฒนาคุณภาพของรูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมทักษะภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนต้น บทความวิจัยนี้กลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้สอน จำนวน 5 คน คัดเลือกจากผู้มีคุณสมบัติคือเป็นผู้สอนวิชาภาษาอังกฤษในระดับประถมศึกษา มีวุฒิการศึกษาระดับ ปริญญาตรีหรือปริญญาตรีขึ้นไปและมีประสบการณ์สอนอย่างน้อย 5 ปี วิธีการคัดเลือกแบบเจาะจง และเป็นนักเรียนที่กำลังเรียนในวิชาภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร ภาคเรียนที่1 จำนวน 25 คน วิธีการคัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้คือ 1) แบบสัมภาษณ์กึ่งมีโครงสร้างสำหรับผู้สอนเป็นการสัมภาษณ์เชิงลึก 2) แบบสังเกตพฤติกรรมการจัดการเรียนรู้ของผู้สอน 3) แบบสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียน และ 4) แบบสัมภาษณ์ผู้เรียนเกี่ยวกับปัญหาในการเรียนรู้ทักษะภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) รูปแบบการเรียนจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น ได้ใช้รูปแบบการออกแบบการเรียนการสอนของ ADDIE MODEL ที่มีกระบวนการพัฒนารูปแบบการสอนที่มี 5 ขั้น ประกอบด้วย 1. การวิเคราะห์ 2. การออกแบบ ขั้นนี้เป็นขั้นตอนกระบวนการสอน ประกอบด้วย ขั้นที่ 1 Motivation กระตุ้น สร้างแรงจูงใจให้นักเรียน ขั้นที่ 2 Know (สอนบทเรียน) ให้นักเรียนฝึกฟัง อ่าน, ขั้นที่ 3 Think นักเรียนจัดกลุ่มทำกิจกรรม จับคู่ทำแบบฝึก ขั้นที่ 4 : Result นักเรียนแสดงผลงาน/ชิ้นงาน นำเสนองาน ขั้นที่ 5 (S): Self-assessment/ Students reflection เน้นการประเมินตนเอง 3. การพัฒนา 4. การนำไปใช้ 5. การประเมินผล 2) ตรวจสอบคุณภาพของรูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมทักษะภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนต้น โดยการตรวจสอบความตรงภายในจากผู้เชี่ยวชาญจำนวน 8 คน ค่าเฉลี่ยความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่มีต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้ มีค่าเฉลี่ย คือ 3.69 เมื่อเทียบกับเกณฑ์แล้วอยู่ในระดับมีความเหมาะสมมาก และการตรวจสอบความตรงภายนอกพบว่า คะแนนทักษะด้านการฟัง ด้านการพูด ด้านการอ่าน ด้านการเขียน อยู่ในระดับดี ซึ่งพบว่านักเรียนมีการพัฒนาในแต่ละวงจรขึ้นเรื่อยๆ และในวงจรสุดท้าย ซึ่งเป็นวงจรที่ 3 นักเรียนมีคะแนนทั้ง 4 ทักษะ คือ ทักษะด้านการฟัง 7.40 ทักษะด้านการพูด 7.12 ทักษะด้านการอ่าน 7.20 ทักษะด้านการเขียน 7.48 และคะแนนประเมินเมื่อสิ้นสุดวงจร นักเรียนมีคะแนนทั้ง 4 ทักษะอยู่ในระดับดี คือ ทักษะด้านการฟัง 7.44 ทักษะด้านการพูด 7.52 ทักษะด้านการอ่าน 7.36 ทักษะด้านการเขียน 7.68 ด้านการฟังด้านการพูด ด้านการอ่าน ด้านการเขียนอยู่ในระดับดี ซึ่งผ่านเกณฑ์ที่ตั้งไว้คือ ร้อยละ 70</p> วสิตา นีระพันธ์ ปริณ ทนันชัยบุตร องอาจ นามวงศ์ Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 12 3 1005 1018 แนวทางการเสริมสร้างภาวะผู้นำตามวิถีประชาธิปไตยของเยาวชนแบบบูรณาการ ในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/271987 <p>หลักการของประชาธิปไตยจะยึดถือหลักการปกครองที่เหมาะสมกับสภาพสังคม ชีวิต และสิทธิเสรีภาพของประชาชน จนทำให้ระบบการเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตยเป็นที่ยอมรับ และเปลี่ยนแปลงสภาพสังคม บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภาวะผู้นำตามวิถีประชาธิปไตยของเยาวชนแบบบูรณาการในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี และเพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาเสริมสร้างภาวะผู้นำตามวิถีประชาธิปไตยของเยาวชนแบบบูรณาการในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี 3 ด้าน คือ ด้านพลเมืองที่มีความรับผิดชอบ ด้านพลเมืองที่มีส่วนร่วมและด้านพลเมืองที่มุ่งเน้นความเป็นธรรม การวิจัยระยะที่ 1 กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนระดับมัธยมในสถานศึกษาของอำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี 41 แห่ง จำนวน 374 คน ใช้แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์เป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล วิเคราะห์โดยใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิจัยระยะที่ 2 กลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการหาแนวทางการพัฒนาเสริมสร้างภาวะผู้นำตามวิถีประชาธิปไตยของเยาวชนแบบบูรณาการในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งได้จากการเลือกแบบเจาะจง จำนวน 15 คน ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญ ครู อาจารย์ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง และเยาวชน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์โดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา จัดกลุ่มข้อมูล เลือกข้อมูลที่มีความถี่ในการปรากฏซ้ำมากที่สุด แล้วเขียนบรรยายแบบพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ความคิดเห็นเกี่ยวกับผู้นำตามวิถีประชาธิปไตยของเยาวชนแบบบูรณาการในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี รวมรายด้านทั้ง 3 ด้าน โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านโดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย คือ ด้านพลเมืองที่มีความรับผิดชอบ ด้านพลเมืองที่มีส่วนร่วม และด้านพลเมือง ที่มุ่งเน้นความเป็นธรรม ตามลำดับ ส่วนแนวทางการพัฒนา คือ 1) ด้านพลเมืองที่มีความรับผิดชอบ ควรฝึกเยาวชนให้เป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัว โดย การตั้งใจศึกษาเล่าเรียน เชื่อฟังคำสอนของพ่อแม่ เป็นต้น 2) ด้านพลเมืองที่มีส่วนร่วม ควรฝึกให้เยาวชนเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม โดย มีจิตสาธารณะ รู้จักเสียสละประโยชน์ส่วนตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม และ 3) ด้านพลเมืองที่มุ่งเน้นความเป็นธรรม ควรสอนให้เยาวชน มีความซื่อสัตย์ ละเว้นการกระทำในสิ่งไม่ดีทั้งหลาย</p> ปรีดี ทุมเมฆ อรทัย เลียงจินดาถาวร Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 12 3 1019 1031 ข้อพิพาทเกี่ยวกับครอบครัวโดยพุทธสันติวิธี: ศึกษาเฉพาะกรณีศาลเยาวชนและครอบครัว จังหวัดสมุทรสงคราม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/269859 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาบริบทการไกล่เกลี่ยคดีพิพาท สภาพปัญหา สาเหตุ การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเกี่ยวกับคดีครอบครัวของศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดสมุทรสงคราม 2) เพื่อศึกษาการพัฒนากระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเกี่ยวกับ ครอบครัวของศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดสมุทรสงครามตามหลักพุทธสันติวิธี และ 3) นำเสนอกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเกี่ยวกับครอบครัวตามหลักพุทธสันติวิธีของศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดสมุทรสงคราม โดยใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ จากการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 8 รูป/คน และการสนทนากลุ่มเฉพาะกับผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 10 รูป/คน แล้วสรุปข้อมูลโดยการวิเคราะห์ด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) สภาพปัญหา สาเหตุ การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเกี่ยวกับคดีครอบครัวของศาลเยาวชนและครอบครัว คือ คุณสมบัติของผู้ประนีประนอม คู่ความไม่กล้าเปิดเผยข้อมูล ทนายความ บุคลากร ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานไกล่เกลี่ย การประชาสัมพันธ์ในการให้ความรู้ด้านการไกล่เกลี่ย 2) การพัฒนากระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเกี่ยวกับครอบครัวของศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดสมุทรสงครามตามหลักพุทธสันติวิธี คือการนำหลักธรรม สาราณียธรรม 6 มาประยุกต์ในการแก้ไขปัญหาเพื่อนำไปสู่การระงับข้อพิพาทประกอบด้วย 1) เมตตากายกรรม 2) เมตตาวจีกรรม 3) เมตตามโนกรรม 4) สาธารณโภคี 5) สีลสามัญญตา 6) ทิฏฐิสามัญญตา 3) กระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเกี่ยวกับครอบครัวตามหลักพุทธสันติวิธีของศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดสมุทรสงครามตามหลักสาราณียธรรม 6 ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 เตรียมความพร้อม ขั้นตอนที่ 2 การเปิดเผยปัญหาและความคิดเห็น ขั้นตอนที่ 3 เสนอแนวทางแก้ไขปัญหา ขั้นตอนที่ 4 เชื่อมโยงแผนการแก้ไขปัญหาให้เป็นไปอย่างรอบคอบ</p> ประภาวัลย์ บุญญานภาพันธุ์ อดุลย์ ขันทอง Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 12 3 1164 1173 สันตินวัตกรรมการพัฒนาระบบนิเวศองค์กรสุจริตเพื่อยกระดับการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/269361 <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยแนวคิดทฤษฎีและหลักพุทธสันติวิธีที่เอื้อต่อการพัฒนาระบบนิเวศองค์กรสุจริตเพื่อยกระดับการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ 2) เพื่อนำเสนอสันตินวัตกรรมการพัฒนาระบบนิเวศองค์กรสุจริตเพื่อยกระดับการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ใช้วิธีวิจัยแบบผสานวิธี (Mixed Method Research Design) ประกอบด้วยการวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยการศึกษาข้อมูลเชิงเอกสารและเก็บข้อมูลจากสัมภาษณ์เชิงลึก จำนวน 32 คน และการสนทนากลุ่มเฉพาะผู้เชี่ยวชาญจำนวน 8 คน และแบบประเมินความคิดเห็นกลุ่มผู้ใช้เครื่องมือ ITA จำนวน 20 องค์กร วิเคราะห์ผลเชิงคุณภาพด้วยอุปนัยวิธี และเชิงปริมาณด้วยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) ปัจจัยที่เอื้อต่อการพัฒนาระบบนิเวศองค์กรสุจริตประกอบด้วย ภาวะผู้นำ ทิศทางและการกำหนดยุทธศาสตร์ โครงสร้าง การมอบหมายหน่วยงานรับผิดชอบ การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการปฏิบัติงานและการให้บริการ รวมถึงด้านบุคลากร วัฒนธรรมสุจริตในองค์กร และการสื่อสารสร้างการรับรู้ แนวคิดที่ใช้ในการเสริมสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อองค์กรสุจริต ได้แก่ แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการภาครัฐแนวใหม่ การพัฒนาระบบราชการในปัจจุบัน ระบบนิเวศขององค์กร วัฒนธรรมองค์กร หลักพุทธสันติวิธีที่เอื้อต่อการเสริมสร้างให้เกิดองค์กรสุจริต คือ หลักปธาน 4 2) สันตินวัตกรรมการพัฒนาระบบนิเวศองค์กรสุจริตเพื่อยกระดับการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ มีความสัมพันธ์แบบบูรณาการของการจัดการองค์กรทั้งระบบ มีผู้นำในการถ่ายทอดค่านิยมร่วม มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมภายในและภายนอกเพื่อส่งเสริมและสนับสนุน โดยการนำหลักปธาน 4 มาเป็นพื้นฐานในการพัฒนาให้เกิดองค์กรสุจริต ด้วยการปรับโครงสร้างรูปแบบวิธีการทำงานและการให้บริการที่ทันสมัย องค์ความรู้วิจัย คือ 7 หลักการร่วม 3 แนวทางการจัดการ และ 3 เป้าหมาย เรียกว่า Peace Innovation for Integrity Ecosystems Transformation สันตินวัตกรรมการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบนิเวศองค์กรสุจริต</p> <p> </p> ชนิดา อาคมวัฒนะ พระธรรมวัชรบัณฑิต ขันทอง วัฒนะประดิษฐ์ Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 12 3 1054 1068 ความเชื่อ เรื่องเล่า ประวัติศาสตร์ แหล่งท่องเที่ยวชายแดนไทย-ลาว ในจังหวัดอุบลราชธานี: การพัฒนาทุนทางวัฒนธรรมเพื่อเพิ่มมูลค่าการท่องเที่ยว https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/270637 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) รวบรวมข้อมูลความเชื่อ เรื่องเล่า ประวัติศาสตร์ อันเป็นทุนทางวัฒนธรรมในพื้นที่วิจัย 2) เผยแพร่ทุนทางวัฒนธรรมอันเป็นอัตลักษณ์ของพื้นที่ ให้เป็นแนวทาง ในการพัฒนาศักยภาพชุมชนและเป็นการเพิ่มมูลค่าการท่องเที่ยว เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ ทำการสัมภาษณ์เชิงลึกกับกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญโดยการคัดเลือกแบบเจาะจงจากปราชญ์ชาวบ้าน ผู้นำชุมชน ชาวบ้านที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป จำนวนรวมทั้งหมด 92 คน ในพื้นที่ 6 อำเภอ คือ เขมราฐ นาตาล โพธิ์ไทร ศรีเมืองใหม่ โขงเจียม สิรินธร ทำการวิเคราะห์เนื้อหาประกอบบริบทและนำเสนอเชิงพรรณนาวิเคราะห์</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) ความเชื่อ เรื่องเล่า ประวัติศาสตร์ที่ปรากฏในแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งผู้วิจัยได้จำแนกนำเสนอตามลักษณะของแหล่งท่องเที่ยวเป็น 3 ลักษณะ ได้แก่ 1. แหล่งท่องเที่ยวภูมิธรรม ปรากฏเรื่องเล่าและความเชื่อ 4 ลักษณะ คือ เกี่ยวกับพระอริยสงฆ์ พระพุทธรูปสำคัญ พญานาค บุคคลสำคัญ ส่วนประวัติศาสตร์ ปรากฏ 1 ลักษณะ คือ เกี่ยวกับแหล่งโบราณคดี 2. แหล่งท่องเที่ยวภูมิลักษณ์ ปรากฏ เรื่องเล่า 2 ลักษณะ คือ เรื่องเล่าอธิบายรูปลักษณ์ของสถานที่ และเรื่องเล่าที่อธิบายเกี่ยวโยงกับแหล่งท่องเที่ยวบริเวณใกล้เคียงความเชื่อ จำนวน 1 ลักษณะ คือ ความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิที่ปกปักรักษาพื้นที่ประวัติศาสตร์ พบจำนวน 1 ลักษณะ คือ ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับหลักฐานร่องรอยของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ในพื้นที่ 3. แหล่งท่องเที่ยวภูมิปัญญา ปรากฏ 2 ลักษณะ คือ เรื่องเล่าที่สอดแทรกความเชื่อบอกที่มาของภูมิปัญญา และประวัติศาสตร์เชื่อมโยงกับภูมิปัญญา</p> <p>2) การเผยแพร่ทุนทางวัฒนธรรมอันเป็นอัตลักษณ์ของพื้นที่ ให้เป็นแนวทางในการพัฒนาศักยภาพชุมชนและเป็นการเพิ่มมูลค่าการท่องเที่ยว จากการศึกษาแหล่งท่องเที่ยวทั้ง 3 ลักษณะนั้นมีทุนทางวัฒนธรรมอันเป็นอัตลักษณ์ที่สามารถนำมาส่งเสริมการท่องเที่ยวได้ ประกอบด้วย พระพุทธรูปเก่าแก่ที่สำคัญ พระอริยสงฆ์ แหล่งโบราณคดีและแหล่งประวัติศาสตร์ ศิลปะวัตถุ แหล่งหัตถกรรมผ้าทอมือและอาหาร แหล่งธรรมชาติ แหล่งความเชื่อความศรัทธาเกี่ยวกับพญานาค ซึ่งทุนทางวัฒนธรรมเหล่านี้ไม่ได้มีการรวบรวมข้อมูลไว้เป็นลายลักษณ์อักษรและส่งเสริมให้เป็นสิ่งล้ำค่า ดังนั้น ผู้วิจัยจึงได้รวบรวมและนำมาสร้างเป็นองค์ความรู้เพื่อเผยแพร่ 2 รูปแบบ ได้แก่ 1. จัดทำหนังสือเกี่ยวกับความเชื่อ เรื่องเล่า ประวัติศาสตร์ แหล่งท่องเที่ยวชายแดนไทย-ลาว ในจังหวัดอุบลราชธานี เผยแพร่ในโรงเรียนซึ่งอยู่ในพื้นที่ทั้ง 6 อำเภอ จำนวน 10 โรงเรียน เพื่อใช้สอนในหลักสูตรท้องถิ่น จากการสัมภาษณ์ครูและเยาวชนที่ได้อ่านข้อมูลจากหนังสือ พบว่า เยาวชนมีความรู้และรับรู้เรื่องราวของแหล่งท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นสามารถเล่าเรื่องสถานที่ที่ได้จากการอ่านหนังสือและมีการสืบค้นข้อมูลเพื่อศึกษาเพิ่มเติม เยาวชนบางกลุ่มนำข้อมูลไปใช้ในการแนะนำนักท่องเที่ยว 2. เผยแพร่รูปแบบออนไลน์ผ่านช่องยูทูปชื่อ อาสา_พาเที่ยว ซึ่งมีผู้ติดตามเพิ่มขึ้นตามลำดับการเผยแพร่ข้อมูลความเชื่อ เรื่องเล่า ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับแหล่งท่องเที่ยวดังกล่าว จึงเป็นการนำทุนทางวัฒนธรรมมาสร้างคุณค่าเพื่อทำให้เป็นที่รู้จักและเกิดศักยภาพในการท่องเที่ยว อีกทั้งข้อมูลจากการวิจัยสามารถนำไปเป็นแนวทางในการสร้างเส้นทางการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ การท่องเที่ยวเชิงพุทธ และการท่องเที่ยวเชิงธรณีวิทยา</p> ปานรดา วรรณประภา สุนทร วรหาร Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 12 3 918 931 การพัฒนารูปแบบการป้องกันยาเสพติดของนักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/272053 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) สภาพการดำเนินงานการป้องกันยาเสพติดของนักศึกษา ในสถาบันอุดมศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2) พัฒนารูปแบบการป้องกันยาเสพติดของนักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3) ประเมินรูปแบบการป้องกันยาเสพติดของนักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กลุ่มเป้าหมาย ระยะที่ 1 คือ บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการป้องกันยาเสพติดของนักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา 152 คน ระยะที่ 2 คือ ผู้เชี่ยวชาญ 15 คน และระยะที่ 3 คือ ผู้ทรงคุณวุฒิ 18 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์และ แบบสนทนากลุ่ม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการดำเนินงานการป้องกันยาเสพติดของนักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านการสำรวจสภาพปัญหายาเสพติดในสถาบันอุดมศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" /> = 3.45) 2) รูปแบบการป้องกันยาเสพติดของนักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีทั้งหมด 4 องค์ประกอบ ได้แก่ 1. หลักการ คือ การป้องกันยาเสพติดในสถาบัน อุดมศึกษาโดยอาศัยการมีส่วนร่วมทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 2. วัตถุประสงค์ เพื่อป้องกันปัญหายาเสพติดในสถาบันอุดมศึกษาสร้างเสริมความรู้ความเข้าใจสำหรับนักศึกษาและบุคลากรที่มีส่วนเกี่ยวข้อง 3. การดำเนินการ 4. เงื่อนไขความสำเร็จ ได้แก่ สถาบันอุดมศึกษามีแผนยุทธศาสตร์การดำเนินงานการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด มีการจัดสรรงบประมาณเพื่อการขับเคลื่อนกลไกคณะกรรมการและคณะทำงานที่เกี่ยวข้องและสร้างเครือข่ายความร่วมมือกันจากหลายภาคส่วนโดยกระบวนการดูแล เชื่อมโยง ส่งต่อ ติดตาม ความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องและหน่วยงานภาคเอกชน ประชาคมในท้องถิ่น 3) การประเมินการพัฒนารูปแบบการป้องกันยาเสพติดของนักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีความเหมาะสมและมีความเป็นไปได้ในอยู่ในระดับมาก</p> ไวกูณฐ์ ครองยุทธ มาลี ไชยเสนา จุฑามาส ชมผา Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 12 3 1032 1042 การพัฒนาสมรรถนะของอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ต้นแบบด้วยสันตินวัตกรรม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/269895 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหา ความต้องการจำเป็น แนวคิดทฤษฎีและ หลักพุทธสันติวิธีที่เอื้อต่อการการพัฒนาสมรรถนะของอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จังหวัดปทุมธานี 2) นำเสนอสันตินวัตกรรมการพัฒนาสมรรถนะอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ต้นแบบ จังหวัดปทุมธานี ใช้รูปแบบการวิจัยเป็นแบบผสานวิธี แบบทดลองนำร่อง โดยการสัมภาษณ์ เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 27 รูป/คน การสนทนากลุ่มเฉพาะผู้เชี่ยวชาญ 6 ท่าน และกลุ่มทดลองเป็นอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จังหวัดปทุมธานี 14 ท่าน ประเมินผลด้วยแบบวัดสมรรถนะอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ การสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วม การสะท้อนคิด วิเคราะห์ด้วยค่าสถิติ t-test</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) แกนนำอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จังหวัดปทุมธานี ควรได้รับการพัฒนาตนเอง ได้แก่ การมองเห็นคุณค่าในตนเอง การสื่อสารเชิงบวกและใช้สื่อกฎหมายและสิทธิของประชาชน การวิเคราะห์ชุมชน การทำแผนที่ชุมชน การแก้ปัญหากับเครือข่ายและชุมชน แนวคิดการเสริมสร้างสมรรถนะ การพัฒนาจิตอาสา หลักพุทธสันติวิธี ได้แก่ หลักสังคหวัตถุ 4 กับหัวใจผู้ให้ หลักอริยสัจ 4 กับการทำงานคิดวิเคราะห์รอบด้าน ลักวุฑฒิธรรม 4 กับการปรับตัวในยุควิถีชีวิตใหม่ 2) สันตินวัตกรรมการเสริมสร้างสมรรถนะการพัฒนาสมรรถนะของอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคง ได้หลักสูตรพัฒนาสมรรถนะอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ต้นแบบ เป็นการอบรมเชิงปฏิบัติการ 3 วัน และปฏิบัติการภาคสนาม 1 เดือน เนื้อหาอบรมประกอบด้วย 5 Module กลุ่มตัวอย่างหลังทดลองมีคะแนนค่าเฉลี่ยสมรรถนะของอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงสูงกว่าก่อนทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ .05 ค่า t-test = 7.83 ที่สามารถนำองค์ความรู้ไปขยายผลต่อกับอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในพื้นที่ 7 อำเภอ องค์ความรู้วิจัย คืออาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ Spirit Model</p> ยุวดี บำรุงบุตร ขันทอง วัฒนะประดิษฐ์ พระครูปลัดอดิศักดิ์ วชิรปญฺโญ Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 12 3 1084 1097 รูปแบบการพัฒนาสมรรถนะครูศูนย์การศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/271752 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความต้องการและแนวทางการพัฒนาสมรรถนะครูศูนย์การศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ 2) เพื่อสร้างและตรวจสอบรูปแบบการพัฒนาสมรรถนะครูศูนย์การศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ 3) เพื่อประเมินความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์ของรูปแบบการพัฒนาสมรรถนะครูศูนย์การศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ เป็นการวิจัยและพัฒนา 3 ขั้นตอน คือ 1) การศึกษาความต้องการและแนวทางการพัฒนาสมรรถนะครูศูนย์การศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ 2) การสร้างและตรวจสอบความเหมาะสมของรูปแบบโดยการสนทนากลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ 3) การประเมินความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์ของรูปแบบ โดยผู้อำนวยการศูนย์การศึกษาพิเศษ จำนวน 77 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และแปลผลเทียบเกณฑ์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ความต้องการและแนวทางการพัฒนาสมรรถนะครูศูนย์การศึกษาพิเศษ พบว่าผู้บริหารและครูมีความต้องการพัฒนาสมรรถนะด้านการคัดกรองและประเมินความสามารถเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ การวางแผนการพัฒนาผู้เรียนเป็นรายบุคคล รวมทั้งการจัดการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ผลการศึกษาแนวทางการพัฒนาสมรรถนะครูศูนย์การศึกษาพิเศษ ผู้อำนวยการและครูศูนย์การศึกษาพิเศษที่มีแนวปฏิบัติที่ดีมีความคิดเห็นสอดคล้องกับผู้ทรงคุณวุฒิ เกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาสมรรถนะครูศูนย์การศึกษาพิเศษ ควรประกอบด้วยหลักการ วัตถุประสงค์ ปัจจัยสนับสนุน กระบวนการและวิธีการพัฒนาสมรรถนะครู 2) ผลการสร้างรูปแบบการพัฒนาสมรรถนะครูศูนย์การศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ มี 6 องค์ประกอบ ได้แก่ หลักการของรูปแบบ วัตถุประสงค์ของรูปแบบ ปัจจัยสนับสนุน กระบวนการพัฒนาสมรรถนะครู วิธีการพัฒนาสมรรถนะครูและสมรรถนะครู ศูนย์การศึกษาพิเศษ 3) ผลการประเมินประเมินความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์ของรูปแบบการพัฒนาสมรรถนะครูศูนย์การศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ พบว่า ความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์อยู่ในระดับมากที่สุด (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" /> <strong> </strong>= 4.72, S.D. = 0.68), (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" /> <strong> </strong>= 4.71, S.D. = 0.72) ตามลำดับ</p> กาญจนา ฮวดศรี สถิรพร เชาวน์ชัย Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 12 3 962 974 การวิเคราะห์แนวทางการพัฒนาภูมินิเวศธรรมชาติผ่านกระบวนการจัดการความรู้ร่วมกับชุมชนพื้นที่ทุ่งแสลงหลวง จังหวัดพิษณุโลก https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/269485 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาสภาพการจัดการความรู้ภูมินิเวศธรรมชาติในพื้นที่ชุมชนทุ่งแสลงหลวง 2. วิเคราะห์ แนวทางการพัฒนาการจัดการความรู้ภูมินิเวศธรรมชาติ ในพื้นที่ชุมชนทุ่งแสลงหลวง และ 3. เพื่อนำเสนอแนวทางการพัฒนาภูมินิเวศธรรมชาติผ่านกระบวนการจัดการความรู้ร่วมกับชุมชนพื้นที่ทุ่งแสลงหลวง จังหวัดพิษณุโลก ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์ผู้มีบทบาทในพื้นที่ 30 คน รวมถึงการสนทนากลุ่มเฉพาะ 10 คน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ชุมชนพื้นที่ทุ่งแสลงหลวงแบ่งได้เป็น 4 ประเภท คือ ชุมชนที่ตั้งอยู่ในเขต และชุมชนในพื้นที่รอยต่ออุทยานแห่งชาติ, ชุมชนเขตพื้นที่ผ่อนปรน และชุมชนในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ตามมาตรา 16 ชุมชนมีการเคลื่อนไหวทางสังคม ถ่ายทอดและส่งต่อองค์ความรู้ ในการเฝ้าระวัง ป้องกันรักษา และสามารถนำมาพัฒนาเป็นกระบวนการ ในการจัดการความรู้ภูมินิเวศธรรมชาติได้ 2. องค์ประกอบที่สำคัญต่อการพัฒนาฯ คือ จุดแข็งจากด้านเศรษฐกิจชุมชน, ด้านสังคมแห่งการเรียนรู้ รวมถึงด้านความรู้และการ ถ่ายถอดความรู้ 3. จากการวิเคราะห์ SWOT ปัจจัยภายในและภายนอก และสังเคราะห์ TOWS matrix เพื่อกำหนดองค์ประกอบที่สำคัญต่อปัจจัยความสำเร็จเชิงกลยุทธ์ ในการพัฒนาภูมินิเวศธรรมชาติผ่านกระบวนการจัดการความรู้ฯ สามารถนำมาจัดทำเป็นรูปแบบกลยุทธ์ หรือองค์ประกอบที่สำคัญที่เหมาะสมต่อการนำไปปฏิบัติจริง ได้ 7 ด้าน 47 กลยุทธ์การพัฒนา ซึ่งสามารถกำหนดเรียงลำดับที่เหมาะสมในการนำไปปฏิบัติจากผลการวิจัย สอดคล้องกับหลักธรรมที่ค้นพบจากการวิจัย คือ อิทธิบาท 4 และ ปัญญา 3 ได้แก่ ฉันทะ เสริมการบ่งชี้ความรู้, วิริยะ เสริมการสร้างและแสวงหาความรู้, จิตตะ เสริมการจัดความรู้ให้เป็นระบบ, วิมังสา เสริมการประมวลและกลั่นกรองความรู้, จินตามยปัญญา เสริมการเข้าถึงความรู้, สุตมยปัญญา เสริมการแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ และภาวนามยปัญญา เสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตของชุมชนทุ่งแสลงหลวง</p> พระครูปลัดสุวัฒนพุทธิคุณ สุเทพ ดีเยี่ยม พระมหาเทวประภาส มากคล้าย Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 12 3 877 888 ทับศัพท์ภาษาอังกฤษในการเทศนาธรรมของพุทธทาสภิกขุ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/270656 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาวงคำศัพท์ของคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษในการเทศนาธรรมของพุทธทาสภิกขุ และ 2. ศึกษาวิธีการใช้คำทับศัพท์ภาษาอังกฤษในการเทศนาธรรมของพุทธทาสภิกขุ โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ รวบรวมข้อมูลจากธรรมเทศนาของพุทธทาสภิกขุที่ได้รับการถ่ายถอดเป็นหนังสือแล้ว จำนวน 10 เรื่อง โดยใช้แนวคิดเรื่องการสัมผัสภาษาในการวิเคราะห์ข้อมูล</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. วงศัพท์ของคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษ ปรากฏวงศัพท์ทั้งสิ้น 4 วงศัพท์ ได้แก่ ศัพท์เฉพาะสาขาวิชา ศัพท์ที่เกี่ยวกับเครื่องใช้จากเทคโนโลยีสมัยใหม่ ศัพท์เฉพาะที่ใช้เรียกสถานที่และสิ่งของ และศัพท์ทั่วไป 2. วิธีการใช้คำทับศัพท์ภาษาอังกฤษพบ 2 ลักษณะ คือ การใช้คำทับศัพท์อย่างเดียว และการใช้คำทับศัพท์ประกอบคำอธิบายภาษาไทย ซึ่งการใช้คำทับศัพท์ภาษาอังกฤษในการเทศนาของพุทธทาสภิกขุนี้เป็นไปเพื่อให้ผู้ฟังสามารถเข้าใจเนื้อหาธรรมะที่เทศนาได้อย่างชัดเจนและละเอียดลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น</p> สิริมา เชียงเชาว์ไว Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 12 3 932 946 การพัฒนาผู้สูงอายุต้นแบบด้านการสื่อสารเพื่อเสริมพลังอำนาจในตนเอง ด้วยสันตินวัตกรรม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/269896 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) ศึกษาบริบท ปัญหา ความต้องการ และแนวคิดทฤษฎีการสื่อสารและการรับรู้พลังอำนาจในตนเองของผู้สูงอายุในจังหวัดปทุมธานี 2) เพื่อศึกษาพุทธสันติวิธีที่เอื้อต่อการสร้างสันตินวัตกรรมการสื่อสารเพื่อเสริมพลังอำนาจในตนเองของผู้สูงอายุ 3) เพื่อสร้าง ทดลองใช้และนำเสนอผลการพัฒนาการผู้สูงอายุต้นแบบการสื่อสารเพื่อเสริมพลังในตนเองด้วยสันตินวัตกรรม ใช้การวิจัยแบบผสมผสาน ด้วยการทดลองนำร่อง สัมภาษณ์เชิงลึก 11 คน สนทนากลุ่มเฉพาะผู้เชี่ยวชาญ 6 คน ทดลองกับกลุ่มผู้สูงอายุในตำบลบึงยี่โถ จำนวน 15 คน วัดผลด้วยแบบประเมินสมรรถนผู้สูงอายุ สังเกตการณ์ สะท้อนคิด วิเคราะห์ด้วยค่าสถิติ t-test</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) ผลของปัญหาเรื่องความคิดต่างทางการเมืองนำไปสู่ความหวาดระแวงทำให้ผู้คนไม่กล้าสื่อสารกันตรงๆ เท่าที่ควร จนทำให้การแบ่งกลุ่มแบ่งฝ่ายในการออกมาทำกิจกรรม จะสนิทสนมและจับกลุ่มกันแบบหลวมๆ ในการร่วมกิจกรรมที่ตัวเองสนใจ การหวาดระแวงซึ่งกันและกัน ไม่เข้าใจกัน ไม่กล้าเปิดรับเพื่อน กลุ่มคนใหม่ๆ การแข่งขันกันเองในกลุ่มผู้สูงอายุในศูนย์ และต่างศูนย์ การแสดงความเป็นเจ้าของพื้นที่ แนวคิดที่นำมาใช้ในการพัฒนาการสื่อสารของผู้สูงวัย คือ แนวคิดการสื่อสารอย่างสันติและการเสริมสร้างพลังอำนาจในตนเอง 2) หลักพุทธสันติวิธีที่เอื้อต่อการสื่อสารเพื่อเสริมสร้างพลังอำนาจในตนเองของผู้สูงวัย คือ หลักพละ 5 ประกอบด้วยศรัทธา นำมาใช้ในการพัฒนา<strong>ปลุกพลังความศรัทธา</strong>และความเชื่อมั่นในตนเองว่ายังมีคุณค่าและมีศักยภาพ วิริยะ นำมาใช้ในการ<strong>ปลุกศักยภาพ</strong> ความสามารถว่ายังมีคุณค่าต่อการรวมกลุ่ม หรือการเป็นจิตอาสาให้กับส่วนรวม สติ นำมาใช้ในการ<strong>ปลุกความเข้าใจ</strong>การเปลี่ยนแปลงของตนเอง ระลึกรู้ตนเองและอยู่กับปัจจุบันเสมอสมาธิ หรือ ความตั้งจิตมั่น นำมาใช้ใน<strong>ปลุกจิตตั้งมั่น</strong> สงบ แน่วแน่ไม่ฟุ้งซ่าน ต่อการเห็นคุณค่าของตนเอง ปัญญา นำมาใช้ในการ<strong>ปลุกปัญญา </strong>ชี้นำแนวทางการแก้ปัญหาการดำเนินชีวิต การอยู่ร่วมในสังคม เป็นต้นแบบต่อการสื่อสารเพื่อเสริมพลังอำนาจในตนเอง 3) การพัฒนาผู้สูงอายุต้นแบบการสื่อสารเพื่อเสริมพลังอำนาจในตัวเองด้วยสันตินวัตกรรม คือ หลักสูตรอบรมเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม ประกอบด้วย 6 กิจกรรม ได้แก่ (1) รักและศรัทธาตัวเอง (2) เรื่องเล่าเร้าพลัง แบ่งปันอย่างมีสไตล์ (3) สุขแท้สร้างได้ด้วยตัวเอง รู้เพื่อแบ่งปัน (4) รวมพลังแห่งจิตอาสา (5) โชว์แอนด์แชร์สร้างเครือข่าย (6) ปฏิบัติการสร้างพื้นที่พลังสูงวัยยังแจ๋ว โดยอบรม 3 วัน 21 ชั่วโมง และภาคปฏิบัติด้วยตนเอง 1 เดือน ผลการทดลองพบว่า สมรรถนะการสื่อสารเพื่อเสริมสร้างพลังอำนาจในตนเองของผู้สูงวัย หลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ค่า t= 6.69 ผลที่เกิดขึ้นหลังอบรมเกิดการรวมกลุ่มของผู้สูงวัย 4​ โครงการ คือ สภากาแฟ รำไทยสร้างสุข อาหารเป็นยา และขยะเพิ่มมูลค่า องค์ความรู้การวิจัย คือ “5 STRONG MODEL สูงวัยเข้มแข็ง”</p> ณัฐศิษย์ เดชาพิพัฒน์กุล ขันทอง วัฒนะประดิษฐ์ พระครูปลัดอดิศักดิ์ วชิรปญฺโญ Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 12 3 1069 1083 รูปแบบการดูแลสุขภาพด้วยภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ ลาว เขมร ส่วย ในท้องถิ่นอีสานใต้ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/270853 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์1) เพื่อศึกษาสถานการณ์และบริบทการใช้ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมในการดูแลสุขภาพของกลุ่มชาติพันธุ์ ลาว เขมร ส่วย ในท้องถิ่นอีสานใต้ 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการดูแลสุขภาพด้วยภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ ลาว เขมร ส่วย ในท้องถิ่นอีสานใต้ 3) เพื่อประเมินรูปแบบ การดูแลสุขภาพด้วยภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมในการดูแลสุขภาพของกลุ่มชาติพันธุ์ ลาว เขมร ส่วย ในท้องถิ่นอีสานใต้ เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี กลุ่มตัวอย่างคือหมอพื้นบ้านที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป จํานวน 576 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิ การสนทนากลุ่ม จำนวน 16 คนและทดลองใช้รูปแบบ จํานวน 40 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง วิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบที การวิเคราะห์เนื้อหาและการอธิบายเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ชาวบ้านยังมีความเชื่อและยอมรับภูมิปัญญาการแพทย์พื้นบ้านโดยหมอพื้นบ้านมีการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม 2) รูปแบบการดูแลสุขภาพด้วยภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม คือ หมอพื้นบ้าน ต้องปรับบทบาท รูปแบบและวิธีการรักษา โดยมีหน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่นกำหนดนโยบายและจัดให้บริการในชุมชน จัดหายาสมุนไพรที่มีคุณภาพเพียงพอ มีระบบการจัดการความรู้และภูมิปัญญา มีการเรียนรู้ของหมอพื้นบ้านและส่งเสริมให้เกิดการรวมกลุ่มหมอพื้นบ้าน สามารถนำรูปแบบไปใช้ได้จริง โดยมีเงื่อนไขแห่งความสำเร็จคือ มีงบประมาณที่เพียงพอต่อความต้องการ มีการส่งเสริมให้ผู้ที่มีความรู้ทำงานบริการสุขภาพแก่ประชาชนในท้องถิ่นอย่างจริงจัง พัฒนาแนวทางโดยการบูรณาการภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม 3) ผลการประเมินรูปแบบพบว่า มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก มีความเป็นไปได้อยู่ในระดับมาก และมีความเป็นประโยชน์อยู่ในระดับมากที่สุด ข้อเสนอการนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์คือ ส่งเสริมการนำภูมิปัญญาการดูแลสุขภาพด้วยภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมอย่างเหมาะสม</p> อภินันท์ สุขบท นิศานาจ โสภาพล กุลชญา ลอยหา Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 12 3 1150 1163 การใช้ภาษาและเนื้อหาเพื่อสร้างแรงบันดาลใจที่ปรากฏในเครือข่ายสังคมออนไลน์ เฟซบุ๊กแฟนเพจ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/275247 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาการใช้ภาษาที่ปรากฏในเครือข่ายสังคมออนไลน์ เฟซบุ๊กแฟนเพจ 2) เพื่อศึกษาเนื้อหาเพื่อสร้างแรงบันดาลใจที่ปรากฏในเครือข่ายสังคมออนไลน์เฟซบุ๊ก แฟนเพจ การวิจัยนี้เป็นการศึกษาเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญในงานวิจัยนี้คือ เฟซบุ๊กแฟนเพจที่ปรากฏข้อความมีเนื้อหาเกี่ยวกับการสร้างแรงบันดาลใจ จำนวน 4 แฟนเพจ รวม 856 ข้อความ ใช้วิธีการคัดเลือกแบบเจาะจง ผู้วิจัยศึกษาเอกสารทางวิชาการทั้งประเภทหนังสือ ตำรา และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ตามกรอบแนวคิดที่เกี่ยวกับการใช้ภาษา กรอบแนวคิดที่เกี่ยวกับการวิเคราะห์เนื้อหาที่ปรากฏในเครือข่ายสังคมออนไลน์ และกรอบแนวคิดที่เกี่ยวกับแรงบันดาลใจ แล้วบันทึกข้อมูลที่ศึกษาค้นคว้าไว้ ต่อจากนั้นผู้วิจัยได้ประมวลความรู้ทั้งหมดกำหนดเป็นเกณฑ์ที่จะนำมาใช้ในการวิจัย และแสดงผลการวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดด้วยการพรรณนาวิเคราะห์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) การใช้ภาษาที่ปรากฏในเครือข่ายสังคมออนไลน์เฟซบุ๊กแฟนเพจ พบการใช้ภาษา 4 กลวิธีหลัก ได้แก่ ด้านการใช้คำ ด้านการใช้ประโยค ด้านการใช้สำนวน และด้านการใช้ภาพพจน์ 2) เนื้อหาเพื่อสร้างแรงบันดาลใจที่ปรากฏในเครือข่ายสังคมออนไลน์เฟซบุ๊กแฟนเพจ พบเนื้อหาเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ มีจำนวน 5 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ เนื้อหาเกี่ยวกับอารมณ์ สร้างแรงบันดาลใจในการบริหารจัดการตนเองในด้านอารมณ์ให้เกิดความรู้สึกเป็นไปในเชิงบวก มีกำลังใจไม่รู้สึกเผชิญกับความทุกข์อยู่เพียงลำพัง เนื้อหาเกี่ยวกับการดำเนินชีวิต สร้างแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตประจำวันให้มีความสุข เนื้อหาเกี่ยวกับการพัฒนาตนเอง สร้างแรงบันดาลใจในการมองเห็นเป้าหมายในชีวิตเพื่อก้าวไปสู่ความสำเร็จ อีกทั้งกล้าเผชิญต่อสู้กับปัญหา นำไปสู่การปรับปรุงพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น เนื้อหาเกี่ยวกับคู่รัก สร้างแรงบันดาลใจในการรักษาความสัมพันธ์ของคู่รักให้ยืนยาว อีกทั้งเข้าใจ ยอมรับในการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ สามารถดำเนินชีวิตหลังยุติความสัมพันธ์ได้ต่อไป และเนื้อหาเกี่ยวกับเพื่อน สร้างแรงบันดาลใจให้เห็นความสำคัญของคำว่าเพื่อน อีกทั้งรักษามิตรภาพที่ดีต่อกันให้มั่นคงและยาวนาน</p> พรรณษา พลอยงาม Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-30 2024-06-30 12 3 851 864