https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/issue/feed วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร 2024-02-29T19:18:18+07:00 พระเมธีวัชรบัณฑิต, ศ.ดร. (หรรษา ธมฺมหาโส) [email protected] Open Journal Systems <p><strong>ISSN : 2985-1556 (Online)</strong> </p> <p><strong>วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร</strong> มีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะสนับสนุน ส่งเสริมให้คณาจารย์บุคลากรเจ้าหน้าที่ นิสิต และผู้สนใจ ทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัยได้เสนอและเผยแพร่บทความบทความวิจัย บทความวิชาการ บทวิจารณ์หนังสือ บทความปริทรรศน์ และบทความพิเศษ ที่ได้มาตรฐานสู่สาธารณชน รวมทั้งยกระดับผลงานทางวิชาการให้ได้รับการยอมรับในระดับชาติและนานาชาติ ด้วยหวังให้เป็นตลาดแห่งองค์ความรู้ที่สามารถค้นคว้า ถ่ายถอด และแลกเปลี่ยนความรู้ในด้านต่างๆ อย่างหลากหลาย ทั้งนี้ เปิดรับบทความด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นด้านพระพุทธศาสนา ปรัชญา สันติศึกษา สังคมวิทยา นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ มานุษยวิทยา ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม การพัฒนาชุมชม การศึกษา จิตวิทยา และรวมถึงสหวิทยาการเชิงประยุกต์ด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ปีละ 6 ฉบับ โดยบทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ได้ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิอย่างน้อย 2 ท่าน ทั้งนี้เปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/269531 การคิดเชิงระบบแบบพุทธบูรณาการเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ 2023-08-08T14:51:30+07:00 ยุติธรรม สินธุ [email protected] อุทัย สติมั่น [email protected] <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุุประสงค์เพื่อนำเสนอการคิดเชิงระบบแบบพุทธบูรณาการเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ โดยมีการนำแนวคิดของการคิดเชิงระบบตามหลักการทางตะวันตกซี่งเป็นความสามารถของบุคคล ที่มีการคิดและมองสถานการณ์หรือสิ่งต่างๆ แบบองค์รวม มาบูรณาการกับคำสอนทางศาสนาพุทธซึ่งได้แก่หลักโยนิโสมนสิการ คือการทำในใจโดยแยบคาย เริ่มต้นคิดอย่างถูกต้องเป็นระบบ มองสิ่งทั้งหลายด้วยความคิดพิจารณาหา ต้นเหตุ หาเหตุผลประกอบตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง โดยเริ่มต้นมาจากความคิดที่จะไม่ทำให้ตัวเองและผู้อื่นเดือนร้อน ผลลัพธ์ที่ได้จากการเชื่อมประสานแนวคิดจากฝั่งตะวันตกและตะวันออก สิ่งที่ได้คือ “การคิดเชิงระบบแบบพุทธบูรณาการ” ที่อาจถือได้ว่าเป็นความคิดที่เฉียบคม มีคุณภาพ เพื่อให้มีชีวิตที่ดี ที่งาม โดยอยู่บนฐานคิด 3 ประการดังนี้ (1) รู้แจ้งเห็นความจริง (2) แก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน (3) ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เป็นที่เชื่อว่าด้วยวิธีคิดที่เป็นระบบแบบพุทธบูรณาการนี้ จะทำให้ผู้คนไม่ติดอยู่ในกับดักของสิ่งเร้ารอบด้านในสังคมปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความผันผวนไม่แน่นอนอีกทั้งยังซับซ้อนและเข้าใจยาก และก่อให้เกิดความขัดแย้ง ความรุนแรง และส่งผลให้ผู้คนเกิดความเครียดจนมีปัญหาหลายประการตามมา ทั้งในด้านส่วนบุคคล ครอบครัว หรือการอยู่ร่วมกันในชุมชน ดังที่มีการนิยามโลกยุคใหม่นี้ว่าโลกยุค BANI ที่เป็นโลกแห่งความเปราะบางและกระทบอารมณ์ทางลบของผู้คนได้ง่าย ดังนั้น การนำคิดอย่างเป็นระบบ แบบพุทธบูรณาการจะเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนในสังคมยอมรับความจริงตามธรรมชาติและใช้ชีวิตเพื่อเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ และช่วยให้มีการพิจารณา วิเคราะห์ แยกแยะ ข้อมูลต่างๆ ได้ดี ซึ่งจะทำให้มีการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ โดยผู้เขียนได้นำเสนอบันได 5 ขั้นของการคิดเชิงระบบแบบพุทธบูรณาการเพื่อการอยู่รวมกันอย่างสันติในสังคม ดังนี้ (1) เผชิญหน้ากับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น (2) จัดการความคิดจากภายใน (3) จัดการสิ่งแวดล้อมภายนอก (4) สันติวิธี (5) สันติภาพภายนอก ชีวิต ครอบครัว สังคม</p> 2024-02-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/269220 บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ: มุมมองจากเส้นงบประมาณทางเศรษฐศาสตร์ 2023-06-15T09:27:11+07:00 กอบกาญจน์ ปั้นพงษ์ [email protected] ชิราภรณ์ วงศ์แสน [email protected] <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงมุมมองเกี่ยวกับโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐผ่านการวิเคราะห์ด้วยเส้นงบประมาณในทางเศรษฐศาสตร์ ซึ่งเงื่อนไขการใช้จ่ายวงเงินซื้อสินค้าผ่านบัตรโดยไม่สามารถถอนออกมาเป็นเงินสดได้ทำให้เส้นงบประมาณมีลักษณะแตกต่างไปจากปกติ เมื่อพิจารณาในความเป็นจริงที่การตั้งราคามีความแตกต่างกันระหว่างร้านค้า (เปรียบเทียบร้านค้าสวัสดิการแห่งรัฐกับร้านค้าทั่วไปอื่นๆ) และการที่ผู้บริโภคอาจเก็บออมโดยการเปลี่ยนสิทธิที่ได้รับเป็นเงินออม ส่งผลกระทบให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเส้นงบประมาณและอำนาจซื้อของผู้บริโภคในลักษณะที่แตกต่างกันออกไป แต่อย่างไรก็ตาม ผลได้ทางด้านรายได้ยังคงทำให้ผู้บริโภคมีสวัสดิการที่ดีขึ้นกว่ากรณีที่ไม่มีโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ พร้อมกันนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ร้านค้าฉวยโอกาสในการขึ้นราคาสินค้าซึ่งเป็นการเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภคและทำให้ประสิทธิผลของการดำเนินโครงการลดลง หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องอาจอำนวยความสะดวกโดยการจัดทำรายการข้อมูลสินค้าและราคาสินค้าอุปโภคบริโภคแบบเข้าใจง่ายเพื่อประชาสัมพันธ์ไปยังกลุ่มผู้บริโภค และขอความร่วมมือให้ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการติดป้ายแสดงราคา รวมถึงการมอบหมายเจ้าหน้าที่หรืออาสาสมัครในพื้นที่แต่ละชุมชนให้ช่วยกันตรวจตรา</p> 2024-02-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/267530 กฎของธรรมชาติในมุมมองของพระพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์ 2023-06-07T14:10:32+07:00 พระมหามิตร ฐิตปญฺโญ [email protected] จันทร์ศิริ พลอยงาม [email protected] กิตติคุณ แก้วภิรมย์ [email protected] <p>พระพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์นั้นเป็นการทำความเข้าใจในเรื่องเดียวกันคือ 'ธรรมชาติและกฎของธรรมชาติ' ทั้งพระพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์ให้การยอมรับในธรรมชาติและกฎของธรรมชาติ เช่นเดียวกัน แต่พระพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์ให้ความสำคัญและมุ่งเน้นในเรื่องที่แตกต่างกัน ในขณะที่พระพุทธศาสนาให้ความสำคัญและมุ่งเน้นในเรื่องธรรมชาติภายใน [ธรรมชาติของจิต เพื่อนำไปสู่ความรู้และความเข้าใจในเรื่องของชีวิตความทุกข์และการดับทุกข์ ส่วนวิทยาศาสตร์ให้ความสำคัญและมุ่งเน้นในเรื่องธรรมชาติภายนอก (วัตถุสสารพลังงาน จักรวาล และสิ่งที่เป็นรูปธรรมต่างๆ) อย่างไรก็ตามพระพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์นั้น มุ่งการค้นหาความรู้เพื่อนำไปความเข้าใจในธรรมชาติในเรื่องนั้นและการมีอยู่ของสิ่งนั้นๆ หรือนำสิ่งที่มีอยู่นั้นมาใช้ประโยชน์ การยอมรับในธรรมชาติ และกฎของธรรมชาตินั้นเป็นคำสอนที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา คำสอนเกี่ยวกับธรรมชาติทางพระพุทธศาสนามีปรากฏปรากฏชัดว่า พระพุทธเจ้าจะเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตามกฎของธรรมชาติและความเป็นไปตามกฎของธรรมชาตินั้นก็ยังคงมีอยู่ กฎของธรรมชาติที่มีการดำเนินไป พระพุทธเจ้าทรงแนะนำแนวทางในการปฏิบัติให้สอดคล้องกันธรรมชาติ ที่มากกว่านั้น ก็เพื่อให้มนุษยชาติให้เข้าใจในผลของการปฏิบัติต่อธรรมชาติ จึงเห็นว่าการยอมรับในธรรมชาติ และกฎของธรรมชาตินั้นเป็นคำสอนที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา คำสอนเกี่ยวกับธรรมชาติทางพระพุทธศาสนามีปรากฏปรากฏชัดว่า พระพุทธเจ้าจะเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม กฎของธรรมชาติและความเป็นไปตามกฎของธรรมชาตินั้นก็ยังคงมีอยู่ กฎของธรรมชาติที่มีการดำเนินไป ทรงแนะแนวทางในการปฏิบัติให้สอดคล้องกันธรรมที่มากกว่านั้นก็เพื่อให้มนุษยชาติให้เข้าใจในผลของการปฏิบัติต่อธรรมชาติ </p> 2024-02-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/267079 สะเปา: จากศรัทธาสู่การพัฒนาเศรษฐกิจวัฒนธรรมลุ่มแม่น้ำวัง 2023-04-20T13:37:01+07:00 พระครูโสภณวีรบัณฑิต [email protected] พระครูโกวิทอรรถวาที [email protected] <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะนำเสนอประเพณีล่องสะเปาวัฒนธรรมในลุ่มแม่น้ำวังที่มีความเชื่อ ความศรัทธา กลายมาเป็นกิจกรรมทางวัฒนธรรมที่มีลักษณะการจัดกิจกรรมคล้ายๆ กับประเพณีลอยกระทง โดยมีลักษณะเป็นการนำเรือสำเภาไปลอยในแม่น้ำ ซึ่งเป็นการขอขมาต่อแม่น้ำคงคา และอธิษฐานให้หมดทุกข์หมดโศก โรคภัยต่างๆ อีกทั้ง ตลอดจนหนุ่มสาวที่ต้องการจะร่วมชีวิตกันจะอธิษฐานเรื่องความรักสุขสมหวัง หรืออธิษฐานที่ตนปรารถนา จนกลายมาเป็นประเพณีที่หน่วยงานจังหวัดลำปางและคนในพื้นที่จังหวัดลำปาง ร่วมกันขับเคลื่อนผ่านนโยบายของจังหวัดจนนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจเชิงพื้นที่จนเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ สร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจโดยเน้นส่งเสริมการท่องเที่ยว การค้า การลงทุน อีกทั้งได้การสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการสร้างรายได้ ตามโครงการ “เมืองต้องห้าม…พลาด” ภายใต้แนวคิดปีท่องเที่ยววิถีไทย ซึ่งจังหวัดลำปางได้ถูกจัดให้เป็นเมืองท่องเที่ยว เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นการท่องเที่ยวให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาท่องเที่ยวและเปิดประสบการณ์ใหม่ภายใต้ “เมือง…ที่ไม่หมุนตามกาลเวลา” ซึ่งถือเป็นเสน่ห์ของจังหวัดลำปาง ฉะนั้นประเพณีการล่องสะเปาจาวเวียงละกอนจึงเป็นการสร้างมูลค่าของสินค้าและบริการที่เกิดจากภูมิปัญญาเพื่อพัฒนาไปสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์บนพื้นฐานขององค์ความรู้ทางวัฒนธรรม</p> 2024-02-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/267998 Art, Craft and Design as A Soft Power Toward Creative Economy in Thailand 2023-05-09T16:37:13+07:00 Supawinee Charungkiattikul [email protected] Eakachat Joneurairatana [email protected] <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; Art, Craft and Design have been played as well as important role in creative research for a long period of time which nowadays have potential to drive creative economy and also can create sustainability the economy and society in the future. Furthermore, creative research and development of knowledge in Art, Craft and Design plays an important role in driving Thailand's development. It contributes to the integration of knowledge into creative works from quality research. This leads to driving the country through research and innovation. This research consists of three objectives 1) To analyze the key related issues of creative research results in Art, Craft and Design that related creative economy, 2) To implement the design concept and research methods of creative research in Art, Craft and Design fields to driving creative economy, 3) To introduce an integrative process of creative research in Art, Craft and Design according to creative economy as a soft power in developing the nation based on cultural, research knowledge and creativity. This research is based on a qualitative research method, analyzing data from both primary and secondary sources. The data were collected from reference documents and key related issues for examine methods and process of creative research approach, the case studies of doctoral dissertation of Doctor of Philosophy Program in Design Arts (International Program), Faculty of Decorative Arts, Silpakorn University. An analysis method was used to analyze both data, combined with the concepts of creative economy and BCG Economy model, in order to obtain salient points of creative research development guidelines.</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; The research results showed that 1) the key related issues of creative research results in Art, Craft and Design are based on the use of research knowledge, design and creation of inventions and innovations to progress the environment, community, society and the economy. It will contribute to sustainable development goals under a board framework of creative economy. 2) The concept and research methods of creative research output comprised of themes; environmental art, innovation craft and cultural design. Research output considered as soft power that will lead to value-added innovation development in creative economy 3) An integrative process of creative research to support the economy development plan and to exchange the significance of creative research in Thailand by introducing the core values of the practice-based research in the role of Art, Craft and Design in enhancing the environment, community, society and the economy. Finally, the results of this research will provide a possible direction for developing creative economy that built on Thailand’s 4.0 model which contributes to the economic growth of the country, intended to align with the Sustainable Development Goals (SDGs) and conforms with Bio-Circular-Green Economy (BCG) as well as the Sufficiency Economy Philosophy (SEP).</p> 2024-02-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/267042 Guideline for Grassroots Social and Economic Development by Using the Northeastern Way of Life to Integrate Public Participation in Cultural Tourism of Khong River in Central and Northern Areas 2023-06-09T09:52:33+07:00 Pennapa Palapin [email protected] Suwannee Horsaengchai [email protected] <p>The objectives of this research article aimed: 1) to find guidelines for grassroots social and economic development by using the northeastern way of life to integrate public participation in the cultural tourism of Khong River in central and northern areas, and 2) to design guidelines for grassroots social and economic development by using the northeastern way of life to integrate public participation in the cultural tourism of Khong River in central and northern areas. The qualitative data were collected from interviewing with a sample group of 90 persons via semi-structured interview. The key informants and focus groups included representatives of people, government, and private sectors.</p> <p>The results of the study are as follows:</p> <p>1) Guidelines for grassroots social and economic development by using the northeastern way of life to integrate public participation in the cultural tourism of Khong River in central and northern areas reveal that people have been significantly affected by development. For the tourism dimension, development must be a balance between the way of life and tourism development, which must include the ancestors of the villagers, tourism that brings prosperity to the local community through income and other investments, and other creative tourism activities.</p> <p>2) The guidelines for grassroots social and economic development through the utilization of the northeastern way of life must integrate a total of 20 products of a community's local identity, which include social capital, culture and local resource capital. The participation of the people and government sectors can be done by integrating the concept of sustainable social and economic development, i.e. emphasizing joint thinking, planning, acting, following, judging and benefiting.</p> 2024-02-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/270151 Scenarios for the Development of Buddhist International Organization Networks for the Sustainable Propagation of Buddhism 2023-11-02T14:34:05+07:00 Phrakhusamu Sanitwong Vuddhivaṁso [email protected] Phra Dhamvajarabanthid [email protected] Khanthong Wattanapradit [email protected] <p>The research article consisted of the following objectives: 1) To study the investigate the context, problems, concepts, theories, and the Buddhist peaceful means conducive to the propagation of Buddhism by Buddhist international organizations during the year B.E. 2566 - 2575; and 2) To study the present a scenario for the development of Buddhist international organization networks for the sustainable propagation of Buddhism. The study employed Ethnographic Delphi Futures Research (EDFR) through in-depth interviews and a questionnaire. Key informants included experts on Buddhist international organizations in Thailand and other 13 countries, for a total of 25 persons. The obtained data were analyzed by median, mode, and interquartile range.</p> <p>From the study, the following results are found:</p> <p>1) Problems in the development of Buddhist international organization networks for the propagation of Buddhism arise from the Covid-10 situation and war, which lead to economic recession and effect on the propagation of Buddhism. Each organization has to adapt themselves by using technology and social media, as well as collaborating through network. The modern science theories that are used as the guidelines for developing the network include network management, risk management, and human resource management. The Buddhist peaceful means conducive to the development of Buddhist international organizations can be categorized into three Dhamma sections, namely (1) On organizational management including <em>Padh</em><em>ā</em><em>na </em>(effort), <em>Aparih</em><em>ā</em><em>niyadhamma</em> (conditions of welfare), <em>S</em><em>ā</em><em>r</em><em>ā</em><em>n</em><em>ī</em><em>yadhamma</em> (states of conciliation); (2) On the development of propagation work including<em> Ov</em><em>ā</em><em>dap</em><em>āṭ</em><em>imokkha</em> (the fundamental teaching); and (3) On developing the inner peace of personnel including <em>Ariyasacca </em>(the four noble truths), <em>Tisikkh</em><em>ā</em> (the threefold learning), <em>Ghar</em><em>ā</em><em>v</em><em>ā</em><em>sa-dhamma</em> (four virtues for a good household life), <em>Iddhip</em><em>ā</em><em>da</em> (the four noble truths), <em>Sa</em><em>ṅ</em><em>gahavatthu </em>(four bases of social solidarity), and <em>Brahmavih</em><em>ā</em><em>ra</em> (the four sublime states of mind), and</p> <p>2) A scenario for the development of Buddhist international organization networks for the propagation of Buddhism consists of 8 components and 40 points which are identifying proactive vision and mission; Dhamma for proactive propagation; engaged Buddhism; inner peace; personnel potential development; communication, innovation, and technology; Buddhist network collaboration; and network organization development. A body of knowledge from the study is ‘Vision of Buddhist Scenario’.</p> 2024-02-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/266727 แนวทางการจัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์แบบการเล่าเรื่องด้วยสื่อวีล็อก เพื่อส่งเสริมทักษะความเป็นพลเมืองรักษ์ถิ่นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย 2023-04-20T14:31:45+07:00 ชัยวัฒน์ แก้วดำ [email protected] ชรินทร์ มั่งคั่ง [email protected] แสวง แสนบุตร [email protected] <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาวิธีการจัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์แบบการเล่าเรื่องด้วยสื่อวีล็อก เพื่อส่งเสริมทักษะความเป็นพลเมืองรักษ์ถิ่นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย 2. เพื่อศึกษาแนวทาง การจัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์แบบการเล่าเรื่องด้วยสื่อวีล็อก เพื่อส่งเสริมทักษะความเป็นพลเมืองรักษ์ถิ่นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย เป็นการวิจัยปฏิบัติการ ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือกลุ่มผู้เชี่ยวชาญประเมินแนวการจัดกระบวนการเรียนรู้ ได้แก่ คณาจารย์และครูผู้สอนสังคมศึกษา จำนวน 9 คน โดยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วยแบบวิเคราะห์เอกสาร และแบบประเมินแนวทางการจัดการเรียนรู้ วิเคราะห์ข้อมูล เชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยการหาค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>วิธีการจัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์แบบการเล่าเรื่องด้วยสื่อวีล็อกเป็นการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ในรูปแบบกิจกรรมที่ผู้เรียนจะต้องเป็นผู้ที่สร้างเนื้อหา ออกไปค้นคว้าหาข้อมูล ทำความเข้าใจกับบริบทและสัมภาษณ์ชาวบ้านในชุมชน จากนั้นผู้เรียนจึงนำข้อมูลที่ได้กลับมาประมวลผล จัดลำดับความคิด เพื่อนำเสนอเป็นเรื่องราวโดยการเล่าเรื่องด้วยสื่อวีล็อก</li> <li>แนวทางการจัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์แบบการเล่าเรื่องด้วยสื่อวีล็อก เพื่อส่งเสริมทักษะความเป็นพลเมืองรักษ์ถิ่นของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่ผู้วิจัยได้พัฒนาขึ้นเรียกว่า UBTE Model ซึ่งมี 4 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นที่ 1 การสร้างความเข้าใจ (Understanding) ขั้นที่ 2 การสร้างความรู้ (Building knowledge) ขั้นที่ 3 การลงมือปฏิบัติ (Taking Action) และขั้นที่ 4 การประเมินผล (Evaluation) ซึ่งมี ผลการประเมินความเหมาะสมจากผู้เชี่ยวชาญอยู่ในระดับมากที่สุด</li> </ol> 2024-02-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/267675 การพัฒนารูปแบบการฝึกอบรมครูเขียนหลักสูตรรายวิชาชีพระบบการจัดการเรียนรู้ด้วยตนเอง เพื่อพัฒนาคุณภาพหลักสูตรอาชีวศึกษา 2023-06-02T14:05:55+07:00 ศิวาวุธ แสงสวาสดิ์ [email protected] พิสิฐ เมธาภัทร [email protected] วิทวัส ทิพย์สุวรรณ [email protected] <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการในการพัฒนารูปแบบการฝึกอบรมครูเขียนหลักสูตรรายวิชาชีพ ระบบการจัดการเรียนรู้ ด้วยตนเองเพื่อพัฒนาคุณภาพหลักสูตรอาชีวศึกษา 2) พัฒนาและประเมินความเหมาะสมรูปแบบการฝึกอบรมครูเขียนหลักสูตรรายวิชาชีพระบบการจัดการเรียนรู้ด้วยตนเองเพื่อพัฒนาคุณภาพหลักสูตรอาชีวศึกษาเป็นการวิจัยเชิงทดลอง กลุ่มตัวอย่าง ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม ได้แก่ ครูผู้สอนของสถานศึกษาอาชีวศึกษาและผู้บริหารของสถานศึกษาอาชีวศึกษา เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็น (PNI<sub>Modified</sub>)</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1. <span style="font-size: 0.875rem;">สภาพปัญหาในภาพรวม ของผลการวิเคราะห์สภาพปัญหาการเขียนหลักสูตรรายวิชาชีพและความต้องการจำเป็นในการฝึกอบรมครูเขียนหลักสูตรรายวิชาชีพ ระบบการจัดการเรียนรู้</span><span style="font-size: 0.875rem;">ด้วยตนเองเพื่อพัฒนาคุณภาพหลักสูตรอาชีวศึกษา อยู่ในระดับปานกลาง และความรู้ทักษะที่ควรจะมีในภาพรวม พบว่า ความรู้ทักษะที่ควรจะมีอยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนความต้องการจำเป็นในการพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมครูเขียนหลักสูตรรายวิชาชีพระบบการจัดการเรียนรู้ ด้วยตนเอง เพื่อพัฒนาคุณภาพหลักสูตรอาชีวศึกษา ประกอบไปด้วย 1) การกำหนดรหัสวิชา 2) การกำหนดชื่อวิชา 3) การกำหนดหน่วยกิต 4) การเขียนจุดประสงค์รายวิชา 5) การเขียนสมรรถนะรายวิชา 6) การเขียนคำอธิบายรายวิชา เพื่อเป็นข้อมูลในการพัฒนาหลักสูตรฯ </span>2. การพัฒนารูปแบบการฝึกอบรมครูเขียนหลักสูตรรายวิชาชีพระบบการจัดการเรียนรู้ด้วยตนเอง เพื่อพัฒนาคุณภาพหลักสูตรอาชีวศึกษา มีดังนี้ 1) ขั้นการวิเคราะห์ความต้องการ 2) การกำหนดวัตถุประสงค์ของการฝึกอบรม 3) การคัดเลือกและออกแบบการฝึกอบรมระบบการจัดการเรียนรู้ 4) การฝึกอบรมระบบการจัดการเรียนรู้ 5) เกณฑ์สำหรับการประเมินผล 6) ประเมินผล 7) ความแม่นตรงของผลที่ได้รับจากการฝึกอบรมระบบการจัดการเรียนรู้ด้วยตนเอง อยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2024-02-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/267826 ปัจจัยและพฤติกรรมที่ส่งผลต่อการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของนักศึกษา: กรณีศึกษามหาวิทยาลัยแม่โจ้-แพร่ เฉลิมพระเกียรติ 2023-05-18T13:31:36+07:00 ธนันท์ฐิตา สะปู [email protected] อัญชลี รัตนธรรม [email protected] นิติกาญจน์ นาคประสม [email protected] <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษา 1. พฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในอดีต 2. ระดับพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา 3. ผลกระทบจาการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ <br />4. ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กับผลกระทบที่เกิดขึ้น และ 5. ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยกับระดับพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ วิธีการศึกษาเชิงพรรณนา กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษามหาวิทยาลัยแม่โจ้ - แพร่ เฉลิมพระเกียรติ อำเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2553 จำนวน 334 คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถาม และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา ได้แก่ การแจกแจงความถี่ (f) หาค่าร้อยละ (%) ค่าเฉลี่ย (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และสถิติทดสอบไคสแควร์ (Chi- Square)</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1. <span style="font-size: 0.875rem;">กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ เป็นนักศึกษาสายวิทยาศาสตร์ เพศชายเคยดื่มแอลกอฮอล์มากกว่าเพศหญิง และเริ่มดื่มแอลกอฮอล์ครั้งแรกที่อายุน้อยกว่าเพศหญิง โดยครั้งแรกที่อายุ 7 ปี โดยมีอายุเฉลี่ย 16 ปี นิยมดื่มกับเพื่อน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่นิยม คือเบียร์ มีปริมาณมากกว่า 3 แก้วต่อครั้ง เหตุจูงใจในการดื่มคือ การทดลองดื่ม 2. </span><span style="font-size: 0.875rem;">ระดับพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา เพศชายส่วนใหญ่ มีพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในระดับเสี่ยงปานกลาง และเพศหญิงมีพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในระดับเสี่ยงน้อย 3. </span><span style="font-size: 0.875rem;">กลุ่มตัวอย่างยอมรับและผลกระทบจากการดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้เกิดปัญหาทางการเงิน ทำให้มีความรู้สึกผิดหรือเสียใจเมื่อดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และทำให้เกิดผลเสียต่อการเรียนและการทำงาน 4. </span><span style="font-size: 0.875rem;">ความสัมพันธ์ระหว่างระดับพฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์กับระดับการยอมรับผลกระทบจาก การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05 5. </span><span style="font-size: 0.875rem;">ปัจจัยด้านเพศ ชั้นปี และที่อยู่อาศัย มีความสัมพันธ์กับระดับพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ( p-value &lt; .05 ) ผู้ที่มีพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในระดับอันตรายมากเป็นเพศชายมากกว่าเพศหญิง ชั้นปีที่สูงกว่าจะมีผู้ที่มีพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในระดับอันตรายมาก และผู้ที่อยู่หอพักภายนอกมหาวิทยาลัยมีพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในระดับอันตรายมากกว่าผู้ที่พักในมหาวิทยาลัย ส่วนปัจจัยด้าน อายุ สาขาวิชา กลุ่มวิชาและหลักสูตร ไม่มีความสำคัญกับระดับพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์</span></p> 2024-02-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/268410 การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงสำหรับผู้ดูแลเด็กปฐมวัยในโรงเรียนคาทอลิกของอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ ที่ตั้งอยู่จังหวัดกรุงเทพมหานคร 2023-05-18T09:47:51+07:00 ศศิกร ทรวงบูรณกุล [email protected] บุญเรียง ขจรศิลป์ [email protected] ธนีนาฎ ณ สุนทร [email protected] <p>บทความวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงสำหรับผู้ดูแลเด็กปฐมวัยในโรงเรียนคาทอลิก 2. เพื่อทดลองใช้และประเมินหลักสูตร 3. เพื่อปรับปรุงหลักสูตรการวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา วิธีดำเนินการวิจัยแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน 1) การพัฒนาหลักสูตร โดยศึกษาความต้องการจำเป็นจากประชากร คือ ผู้อำนวยการโรงเรียนหรือผู้บริหาร ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายปฐมวัย และ กลุ่มตัวอย่างของครูและพี่เลี้ยงผู้ดูแลเด็กปฐมวัย ในโรงเรียนคาทอลิกสังกัดอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร จำนวนทั้ง 13 โรงเรียน 2) การทดลองใช้หลักสูตรและประเมินผล กับ ผู้อำนวยการหรือผู้บริหาร ครูและพี่เลี้ยงผู้ดูแลเด็กปฐมวัย จากโรงเรียนเซนต์ปีเตอร์ ธนบุรี และ โรงเรียนคาเบรียลอุปถัมภ์ 3) การปรับปรุงหลักสูตร โดยวิเคราะห์ผลที่ได้จากการทดลองใช้หลักสูตร</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. <span style="font-size: 0.875rem;">หลักสูตรฝึกอบรม ประกอบด้วย 7 โมดูล (1) ผู้บริหาร VS ภาวะผู้นำ (2) แนวคิดและองค์ประกอบพฤติกรรมภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง (3) องค์ประกอบด้านการมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ (4) องค์ประกอบด้านการคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล (5) องค์ประกอบด้านการกระตุ้นทางสติปัญญา (6) องค์ประกอบด้านการสร้างแรงบันดาลใจ และ (7) การไตร่ตรอง การตั้งเป้าหมาย การทำข้อตกลงของกลุ่ม 2. </span><span style="font-size: 0.875rem;">ผลการทดลองใช้และประเมินหลักสูตร พบว่า หลักสูตรนี้เป็นหลักสูตรระยะสั้นที่จุดประกาย การตระหนักรู้เรื่องภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงในผู้ดูแลเด็กปฐมวัยได้เป็นอย่างดี นำไปสู่การปรับปรุงที่ดีขึ้นในตัวผู้ดูแลเด็กปฐมวัยต่อการพัฒนาตนเองในเรื่องภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านความรู้และพฤติกรรม 3. </span><span style="font-size: 0.875rem;">การปรับปรุงหลักสูตรส่งผลในการเพิ่มเวลาการอบรมเล็กน้อย โดยให้การอบรมเริ่มเร็วขึ้นทำให้มีเวลามากขึ้น เพื่อครอบคลุมเนื้อหาตามหลักสูตรได้ครบถ้วนสมบูรณ์</span></p> 2024-02-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/267703 การพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาในสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เรื่อง งานและพลังงาน โดยการจัดการเรียนรู้แบบสตีมศึกษา 2023-04-22T22:55:58+07:00 ปฐมวงศ์ เถายะบุตร [email protected] อรุณรัตน์ คำแหงพล [email protected] หรรษกร วรรธนะสาร [email protected] <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างแผนการจัดการเรียนรู้แบบสตีมศึกษา เรื่อง งานและพลังงาน ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน 3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน และ 4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้แบบสตีมศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนดงมะไฟวิทยา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสกลนคร จำนวน 26 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบสตีมศึกษา 2) แบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหา 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบค่าทีแบบกลุ่มตัวอย่างที่ไม่เป็นอิสระต่อกัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบสตีมศึกษา เรื่อง งานและพลังงาน มีประสิทธิภาพเท่ากับ 81.48/80.27 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ 80/80 ที่กำหนดไว้ 2) ความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .01 4) ความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้แบบสตีมศึกษา อยู่ในระดับมากที่สุด (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" /> = 4.70)</p> 2024-02-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/268917 กระบวนการเรียนรู้ผ่านเครือข่ายของเกษตรกรในการพัฒนาตนเอง ให้เป็นเกษตรกรอัจฉริยะ 2023-05-30T10:12:25+07:00 ปัณณิกา งามเจริญ [email protected] หลี่ เหรินเหลียง [email protected] <p>การเรียนรู้จากเครือข่ายเป็นปัจจัยสำคัญและจำเป็นต่อการพัฒนาภาคส่วนของการทำเกษตรกรรม เนื่องจากกระบวนการเรียนรู้ของคนในชุมชนที่ทุกคนมีส่วนร่วมจะนำไปสู่การสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกร โดยเน้นการนำแนวคิดการเรียนรู้ ประสบการณ์ทางเกษตรของสมาชิกในกลุ่มเครือข่ายมาใช้ในการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษากระบวนการเรียนรู้ผ่านเครือข่ายของเกษตรกรในการพัฒนาตนเองให้เป็นเกษตรอัจฉริยะ ในอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา 2) ศึกษาปัญหา อุปสรรค ในกระบวนการเรียนรู้ผ่านเครือข่ายของเกษตรกร ผู้ศึกษาได้ใช้วิธีการศึกษาแบบคุณภาพด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกแบบมีโครงสร้างควบคู่ไปกับการสังเกตการณ์จากกลุ่มตัวอย่าง 3 กลุ่ม คือ กลุ่มเจ้าของฟาร์มผักออแกนิกส์ กลุ่มพนักงานข้าราชการท้องถิ่นและกลุ่มเจ้าหน้าที่หรือพนักงานในสถานศึกษาในท้องถิ่น ที่เกี่ยวข้อง จำนวน12 คน ใช้วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหาและการตีความ โดยการรวบรวม ข้อมูลที่ได้มาจัดแบ่งประเภทหมวดหมู่ จัดระบบของข้อมูลและแยกประเภทของข้อมูลตามประเด็นที่กำหนดไว้และวิเคราะห์ข้อมูล</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) กระบวนการเรียนรู้ผ่านเครือข่ายของเกษตรกรจะเริ่มจาก เกิดปัญหาในตนหรือความต้องการที่จะพัฒนาตนเองของสมาชิกในเครือข่าย ลำดับที่สองคือสมาชิกในเครือข่ายมีการแลกเปลี่ยนปัญหาร่วมกัน ลำดับที่สามคือมีการสร้างพื้นที่สำหรับการแลกเปลี่ยนความรู้ สรุปบทเรียนและนำไปปฏิบัติร่วมกัน ลำดับที่สี่คือ การประเมินผลและปรับปรุงให้เหมาะสมลำดับที่ห้าคือกิจกรรมมีความต่อเนื่องและขยายขอบเขตความร่วมมือเพื่อสร้างความสัมพันธ์และแสวงหาองค์ความรู้ 2) ปัญหาและอุปสรรคที่พบคือกิจกรรมไม่เกิดความต่อเนื่องเมื่อเกิดปัญหาจึงค่อยกลับมารวมกลุ่มหารือกันทำให้การแก้ไขเป็นไปอย่างล่าช้า เช่น ปัญหาศัตรูพืช นอกจากนี้ยังพบปัญหาการทำงานที่ทับซ้อนกันของภาครัฐรวมถึงการขาดการประสานงานอย่างต่อเนื่องในระหว่างองค์กรทำให้การให้ความรู้ไม่ต่อเนื่อง ดังนั้นเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการเรียนรู้ของเกษตรกรภาครัฐจึงมีบทบาทสำคัญในการผลักดันและส่งเสริมการทำกิจกรรมในระดับท้องถิ่นเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ควรใช้การบูรณาการและประสานงานกันในทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ สถานศึกษา รวมถึงกลุ่มความร่วมมือของเกษตรกรเอง ผลลัพธ์ที่ได้จากการเรียนรู้ในกลุ่มเครือข่ายสามารถนำไปปรับปรุงพัฒนาสร้างองค์ความรู้เพื่อนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของเกษตรกรอันจะหมายถึงความมั่นคงในการดำเนินชีวิต ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจและยกระดับคุณภาพการทำเกษตรกรรมให้ดีขึ้น</p> 2024-02-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/267792 องค์ประกอบการบริหารการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีที่รองรับการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 ของสถานศึกษาอาชีวศึกษากลุ่มภาคเหนือ 2023-05-02T10:46:00+07:00 สุวารี แปงณีวงค์ [email protected] สมเกียรติ ตุ่นแก้ว [email protected] <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาองค์ประกอบของการบริหารการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี 2. เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันของการบริหารการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี เป็นการวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาในสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จำนวน 432 คน ผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แก่ นักการศึกษาที่มีความเชี่ยวชาญทางการบริหารการศึกษา จำนวน 24 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันและการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) การศึกษาองค์ประกอบของการบริหารการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีที่รองรับการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 ของสถานศึกษาอาชีวศึกษากลุ่มภาคเหนือ ประกอบด้วย 5 ด้าน ได้แก่ ด้านบุคลากร ด้านหลักสูตร ด้านการวัดผลและประเมินผล ด้านการจัดการเรียนการสอน และด้านความร่วมมือกับสถานประกอบการ ผลการพัฒนารูปแบบการบริหารการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี ประกอบด้วย หลักการบริหารและวัตถุประสงค์ องค์ประกอบการบริหาร กระบวนการการบริหารการจัดการ และประเมินผลการดำเนินการของรูปแบบ รูปแบบมีความเหมาะสมและความเป็นไปได้อยู่ในระดับมากที่สุด 2) ผลการตรวจสอบความตรงของรูปแบบ พบว่า รูปแบบมีความสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์โดยมีค่า Chi-Square = 80.41 ค่า p = 0.20 ค่า df = 71 ค่ารากของค่าเฉลี่ยความคลาดเคลื่อนกำลังสองของการประมาณค่า (RMSEA) = 0.012 ดัชนีวัดระดับความสอดคล้องเหมาะสม (GFI) = .99) แสดงว่ารูปแบบมีความสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ถือเป็นองค์ประกอบที่มีความเหมาะสมเมื่อเทียบกับเกณฑ์การวิจัยทางสังคมศาสตร์</p> 2024-02-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/268774 การจัดการเรียนการสอนด้วยวิธีการสอนแบบเอ๊กซ์พลิซิท เสริมด้วยการตั้งคำถาม 5W1H ต่อความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 2023-05-20T19:48:40+07:00 ศุรดา พรหมโคตร [email protected] จุฬามาศ จันทร์ศรีสุคต [email protected] <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนด้วยการจัดการเรียนการสอนโดยวิธีการสอนแบบเอ๊กซ์พลิซิทเสริมด้วยการ ตั้งคำถาม 5W1H ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน และ 2) เปรียบเทียบความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจวิชาภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนด้วยวิธีการสอนแบบเอ๊กซ์พลิซิท เสริมด้วยการตั้งคำถาม 5W1H ก่อนเรียน-หลังเรียนและการเปรียบเทียบหลังเรียนกับเกณฑ์ ร้อยละ 80 ดำเนินการวิจัยโดยใช้แบบแผนวิจัยแบบกลุ่มเดียว กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 25 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม ดำเนินการวิจัยโดยใช้แผนการวิจัยแบบ Non-equivalent Control Group Pretest-posttest Design เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการสอนแบบเอ๊กซ์พลิซิท เสริมด้วยการตั้งคำถาม 5W1H 2) แบบทดสอบความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจวิชาภาษาไทย การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละ การเปรียบเทียบก่อนและหลังเรียนใช้การทดสอบทีแบบไม่อิสระ และเปรียบเทียบกับเกณฑ์โดยใช้การทดสอบทีแบบกลุ่มเดียว</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. <span style="font-size: 0.875rem;">นักเรียนที่เรียนด้วยวิธีการสอนแบบเอ๊กซ์พลิซิท เสริมด้วยการตั้งคำถาม 5W1H มีคะแนนทดสอบความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 มีคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 2. </span><span style="font-size: 0.875rem;">นักเรียนที่เรียนด้วยวิธีการจากการทดลองความสามารถในการอ่านวิชาภาษาไทยของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 เรียนด้วยวิธีการสอนแบบเอ๊กซ์พลิซิท เสริมด้วยการตั้งคำถาม 5W1H พบว่า มีความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจสูงว่าเกณฑ์ร้อยละ 80</span></p> 2024-02-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/268006 แนวทางการจัดการเรียนรู้โดยใช้แนวคิดประเด็นทางวิทยาศาสตร์และสังคมผสมผสานกับกระบวนการสืบสอบเพื่อส่งเสริมสมรรถนะการอยู่ร่วมกับธรรมชาติและวิทยาการอย่างยั่งยืน เรื่อง ชีวิตในสิ่งแวดล้อม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 2023-05-09T10:08:36+07:00 ณัฐพร แสนอินทร์ [email protected] สุรีย์พร สว่างเมฆ [email protected] <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาแนวทางการจัดการเรียนรู้โดยใช้แนวคิดประเด็นทางวิทยาศาสตร์และสังคมผสมผสานกับกระบวนการสืบสอบเพื่อส่งเสริมสมรรถนะการอยู่ร่วมกับธรรมชาติและวิทยาการอย่างยั่งยืน เรื่อง ชีวิตในสิ่งแวดล้อม และ 2. เพื่อศึกษาผลการส่งเสริมสมรรถนะการอยู่ร่วมกับธรรมชาติและวิทยาการอย่างยั่งยืน เรื่องชีวิตในสิ่งแวดล้อม ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้แนวคิดประเด็น ทางวิทยาศาสตร์และสังคมผสมผสานกับกระบวนการสืบสอบ โดยกลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 22 คน และใช้รูปแบบการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน จำนวน 3 วงจรปฏิบัติการ เครื่องมือที่ใช้ ใน การวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แนวคิดประเด็นทางวิทยาศาสตร์และสังคมผสมผสานกับกระบวนการสืบสอบ เพื่อส่งเสริมสมรรถนะการอยู่ร่วมกับธรรมชาติและวิทยาการอย่างยั่งยืน เรื่อง ชีวิตในสิ่งแวดล้อม 2) แบบสะท้อนการจัดการเรียนรู้ 3) ใบกิจกรรม และ 4) แบบประเมินสมรรถนะการอยู่ร่วมกับธรรมชาติและวิทยาการอย่างยั่งยืน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. แนวทางการจัดการเรียนรู้โดยใช้แนวคิดประเด็นทางวิทยาศาสตร์และสังคมผสมผสานกับกระบวนการสืบสอบ มีขั้นตอนสำคัญ 7 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การให้ประเด็นปัญหาทางวิทยาศาสตร์และสังคม ที่ยากต่อการตัดสินใจ 2) การสร้างความคิดเห็นเบื้องต้น ให้นักเรียนจัดกลุ่มปัญหา และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับประเด็นปัญหา 3) การตั้งคำถาม การจัดกลุ่มนักเรียนตามปัญหาที่สนใจ การรับบทบาทตามกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและออกแบบวิธีการสืบค้นและแนวทางการประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล 4) การสืบสอบ 5) การอภิปรายผล การวิเคราะห์ผลการสืบค้น 6) การตัดสินใจและการปฏิบัติ การออกแบบแนวทางการจัดทำโครงงานการสร้างนวัตกรรมเพื่อแก้ไขปัญหา และแนวทางการประเมินนวัตกรรม และ 7) การสะท้อน เป็นการนำเสนอแนวทางการจัดทำโครงงาน และร่วมกันสรุปแนวทางการแก้ปัญหาของห้องเรียน 2. นักเรียนมีระดับสมรรถนะการอยู่ร่วมกับธรรมชาติและวิทยาการอย่างยั่งยืนก่อนเรียนอยู่ในระดับเริ่มต้น ระหว่างเรียนและหลังเรียนอยู่ในระดับระดับสามารถ เมื่อพิจารณาแต่ละองค์ประกอบ พบว่า ระดับสมรรถนะในแต่ละองค์ประกอบมีการเปลี่ยนแปลงดังนี้ องค์ประกอบที่ 1 การเข้าใจปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลกและในเอกภพก่อนเรียนอยู่ในระดับเริ่มต้น หลังเรียนอยู่ในระดับเหนือความคาดหวัง องค์ประกอบที่ 2 การเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์เพื่อการอยู่ร่วมกันกับธรรมชาติอย่างยั่งยืนก่อนเรียนอยู่ในระดับกำลังพัฒนา หลังเรียนอยู่ในระดับสามารถ องค์ประกอบที่ 3 การสร้าง ใช้และรู้เท่าทันวิทยาการเทคโนโลยี ก่อนเรียนอยู่ในระดับกำลังพัฒนา หลังเรียนอยู่ในระดับสามารถ และ องค์ประกอบที่ 4 การมีคุณลักษณะทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์สำหรับการเข้าใจระบบธรรมชาติและการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนระหว่างเรียนกับหลังเรียนอยู่ในก่อนเรียนอยู่ในระดับเริ่มต้น หลังเรียนอยู่ในระดับสามารถ</p> 2024-02-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/268077 การพัฒนารูปแบบการส่งเสริมกลุ่มผู้เลี้ยงโคขุนวิสาหกิจชุมชนจังหวัดศรีสะเกษ 2023-05-05T16:22:45+07:00 พนม พรมประเสริฐ [email protected] มาลี ไชยเสนา [email protected] รัชตาภรณ์ ลุนสิน [email protected] <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อศึกษาสภาพการส่งเสริมกลุ่มผู้เลี้ยงโคขุนวิสาหกิจชุมชนจังหวัดศรีสะเกษ 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการส่งเสริมกลุ่มผู้เลี้ยงโคขุนวิสาหกิจชุมชนจังหวัดศรีสะเกษ และ 3) เพื่อประเมินรูปแบบการส่งเสริมกลุ่มผู้เลี้ยงโคขุนวิสาหกิจชุมชนจังหวัดศรีสะเกษ เป็นงานวิจัยแบบผสมผสาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาคือผู้เลี้ยงโคขุนวิสาหกิจชุมชนจังหวัดศรีสะเกษจำนวน 305 คน ได้มาโดยใช้การสุ่มอย่างง่าย ผู้เชี่ยวชาญในการพัฒนารูปแบบ จำนวน 12 คน และผู้ทรงคุณวุฒิในการประเมินรูปแบบ จำนวน 17 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถาม แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม และแบบประเมินรูปแบบ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. การส่งเสริมกลุ่มผู้เลี้ยงโคขุนวิสาหกิจชุมชนจังหวัดศรีสะเกษ อยู่ในระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ย 2.76 2. รูปแบบการส่งเสริมกลุ่มผู้เลี้ยงโคขุนวิสาหกิจชุมชนจังหวัดศรีสะเกษ ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ ได้แก่ หลักการ วัตถุประสงค์ วิธีการดำเนินการและเงื่อนไขความสำเร็จ ในส่วนของวิธีการดำเนินการ ประกอบด้วย 1) ด้านความรู้ โดยการส่งเสริมความรู้เรื่องเทคโนโลยีในการผลิตโค การคัดเลือกพันธุ์ การป้องกันและรักษาโรค 2) ด้านการผลิต โดยการส่งเสริมการผลิตโคขุนคุณภาพสูงและได้มาตรฐานการจัดการด้านสุขภาพ การเลี้ยงด้วยอาหารโภชนาการสูงและแร่ธาตุอาหารเสริม 3) ด้านการตลาด โดยการส่งเสริมระบบตลาดในหลากหลายรูปแบบ การสร้างเอกลักษณ์ของโคขุนไทย การแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า และพัฒนาการส่งออกแบบครบวงจร 4) ด้านการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยการส่งเสริมเกษตรกรในด้านเงินทุน การรวมกลุ่มและการพัฒนาศักยภาพ การจัดตั้งศูนย์สารสนเทศและการจัดทำยุทธศาสตร์โค 3. ผลการประเมินรูปแบบ พบว่า รูปแบบมีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด ความเป็นไปได้ในระดับมาก และความเป็นประโยชน์ในระดับมากที่สุด</p> 2024-02-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/267422 แผนกลยุทธ์การเพิ่มขีดความสามารถขององค์กรการศึกษาของชุมชนจังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้กรอบประชาคมอาเซียน ปีที่ 3 2024-02-05T14:10:35+07:00 นฤมล คำปัญญา [email protected] ทัศนีย์ อารมย์เกลี้ยง [email protected] รุ่งทิวา คนการณ์ [email protected] <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาวิธีการเตรียมความพร้อม ปัญหา อุปสรรค และแนวทางแก้ไข 2) เสนอแผนกลยุทธ์การเพิ่มขีดความสามารถขององค์กรการศึกษาของชุมชน จังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้กรอบประชาคมอาเซียน ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ และวิเคราะห์ข้อมูลปฐมภูมิขององค์กรการศึกษาชุมชนที่เข้าร่วมโครงการด้วยความสมัครใจ ทั้งหมด 11 ชุมชน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจงตามวัตถุประสงค์ ใช้วิธีการวิจัยแบบมีส่วนร่วม (PAR) วิเคราะห์ศักยภาพเพื่อให้ได้มาซึ่งแผนกลยุทธ์ด้วย SWOT Analysis เครื่องมือในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง สถิติที่ใช้ ได้แก่ ความถี่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) วิธีการเตรียมความพร้อมขององค์กรการศึกษาของชุมชน ในภาพรวมดำเนินงานในระดับปานกลาง โดยจัดทำข้อมูลเกี่ยวกับอาเซียนและเพิ่มบุคลากรทางการศึกษามีการดำเนินงานในระดับมากที่สุด ปัญหาอุปสรรค ได้แก่ ระบบการจัดการ บุคลากร และงบประมาณ ส่วนแนวทางแก้ไข ได้แก่ ปรับปรุงคุณภาพสถานศึกษา นักเรียน บุคลากร และงบประมาณ 2) แผนกลยุทธ์การเพิ่มขีดความสามารถขององค์กรการศึกษาของชุมชน จังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้กรอบประชาคมอาเซียน จำนวน 4 กลยุทธ์ ได้แก่ กลยุทธ์พลิกฟื้น กลยุทธ์ตัดทอน กลยุทธ์เชิงรุก และกลยุทธ์การรักษาเสถียรภาพ</p> 2024-02-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/268741 รูปแบบการบริหารจัดการความเสี่ยงของสถานศึกษาในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี 2023-05-30T10:00:41+07:00 ณัชธิญา ปัทมทัตตานนท์ [email protected] ศักดิ์ชัย นิรัญทวี [email protected] อัจฉรา วัฒนาณรงค์ [email protected] สมศักดิ์ เอี่ยมคงสี [email protected] <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุของความเสี่ยงในการบริหารจัดการของสถานศึกษาในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี 2. สร้างรูปแบบการบริหารจัดการ ความเสี่ยงของสถานศึกษาในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี 3. ประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของรูปแบบการบริหารจัดการความเสี่ยงของสถานศึกษาในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ และระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ สถานศึกษาในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 และเขต 2 จำนวน 169 โรง กลุ่มตัวอย่างเป็นสถานศึกษา คำนวณโดยการเปิดตารางของเครจซี่และ มอร์แกน ได้กลุ่มตัวอย่าง 118 โรง ในแต่ละโรงกำหนดผู้ให้ข้อมูล เป็นผู้บริหารสถานศึกษามีหน้าที่ในการบริหารความเสี่ยง ครูและหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ที่รับผิดชอบมีและมีความรู้ความสามารถในการบริหารความเสี่ยงของสถานศึกษา รวม 354 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน หาค่าสหสัมพันธ์ วิเคราะห์เส้นทางอิทธิพล และวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ปัจจัยภายในสถานศึกษา ประกอบด้วย 1) ผลผลิตและการบริการ 2) ประสิทธิภาพทางการเงิน 3) บุคลากร 4) การบริหารจัดการ 5) วัสดุอุปกรณ์ และ 6) นโยบายสถานศึกษาเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อความเสี่ยงในการบริหารจัดการของสถานศึกษาอย่างมีนัยสำคัญ 2. รูปแบบการบริหารจัดการความเสี่ยงของสถานศึกษาในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี สอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ในระดับที่ยอมรับได้ 3. รูปแบบการบริหารจัดการความเสี่ยงของสถานศึกษาในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานีที่สร้างขึ้นมีผลการประเมินความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" /> = 4.50, S.D. = .22) และความเป็นไปได้ในการนำรูปแบบไปใช้อยู่ในระดับมากที่สุด (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" /> = 4.54, S.D. = .22)</p> 2024-02-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/269379 พุทธสันติวิธีการสร้างสันติภายในสำหรับ “บุคลากรทางการแพทย์ผู้ให้การดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งแบบประคับประคองด้านจิตวิญญาณ” 2023-10-18T15:09:47+07:00 สุธิดา สุวรรณเวโช [email protected] ขันทอง วัฒนะประดิษฐ์ [email protected] พระครูปลัดอดิศักดิ์ วชิรปญฺโญ [email protected] <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหา ความต้องการจำเป็นและหลักพุทธสันติวิธี (หลักการตามคำสอนของพระพุทธศาสนา ที่นำมาใช้ในการจัดการ ป้องกัน แก้ไข เยียวยาความขัดแย้งเพื่อให้เกิดสันติภายใน และภายนอก) ที่เอื้อต่อการสร้างสันติภายในของบุคลากรทางการแพทย์ผู้ให้การดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งแบบประคับประคองด้านจิตวิญญาณ 2) เพื่อนำเสนอพุทธสันติวิธีการสร้างสันติภายในสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ผู้ให้การดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งแบบประคับประคองด้านจิตวิญญาณ ใช้การวิจัยแบบผสานวิธี แบบ Exploratory sequential design ด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 20 ท่าน คือบุคลากรทางการแพทย์ชาวพุทธผู้ให้การดูแลแบบประคับประคอง นักบวชและอาสาสมัครชาวพุทธ คริสต์ และมุสลิม ผู้ให้การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย จนข้อมูลมีความอิ่มตัว และสนทนากลุ่มเฉพาะผู้เชี่ยวชาญ 5 ท่าน จึงนำข้อมูลมาใช้สร้างหลักสูตรการอบรมการสร้างสันติภายในด้วยพุทธสันติวิธี และนำมาทดลองนำร่อง (Pre-experimental design)กับกลุ่มบุคลากรแพทย์ 16 ท่าน โดยใช้การคัดเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) วัดผลด้วยแบบประเมินสันติภายในของบุคลากรแพทย์ การสะท้อนคิด วิเคราะห์ประเมินเชิงคุณภาพ และเชิงปริมาณด้วยค่าสถิติ t-test</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) บุคลากรทางการแพทย์มีความกังวลใจถึง วิธีการช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความรู้สึกกลัวการตายของผู้ป่วย การค้นหาความต้องการที่แท้จริง การสร้างสัมพันธภาพที่ดี วิธีการช่วยเหลือที่ไม่ขัดต่อความเชื่อของตนและผู้ป่วย เพราะเหตุจากการนำจิตวิญญาณทางการแพทย์ไปยึดติดกับศาสนาจึงทำให้กังวลถึง และพุทธสันติวิธีที่เอื้อต่อการสร้างสันติภายใน คือ (1) สติปัฏฐาน 4 (2) พรหมวิหาร 4 (3) สังคหวัตถุ 4 2) การนำหลักพุทธสันติวิธีที่ค้นคว้าได้ มาช่วยสร้างสันติภายในสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ผู้ให้การดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งแบบประคับประคองด้านจิตวิญญาณ ผู้วิจัยได้สร้างหลักสูตรอบรมเพื่อพัฒนาสันติภายในโดยผ่านการสนทนากลุ่มย่อยเพื่อประเมินหลักสูตรโดยผู้เชี่ยวชาญทางพุทธศาสนา ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลแบบประคับประคอง นักจิตวิทยา ผู้ฝึกสอนการฝึกอบรมสติ(Mindfulness Training Program) และ ด้านการสร้างหลักสูตรและหลักสูตรออนไลน์ โดยเป็นหลักสูตรแบบ Hybrid ด้วย ออนไลน์ 7 วัน และออนไซต์ 1 วัน เป็นการฝึกด้วยตนเองในชีวิตประจำวัน และ การปฏิบัติร่วมกับกลุ่มทุกวัน หลังทดลองพบว่า กลุ่มตัวอย่างสามารถมีสติในการจัดการอารมณ์ตนเองให้มีความสงบ มีเมตตาต่อตนเองและผู้ป่วย การฟังอย่างลึกซึ้งในการดูแลผู้ป่วยที่มีความเชื่อที่แตกต่าง ปล่อยวางตนเองได้เมื่อมีความทุกข์ และมีเครือข่ายกัลยาณมิตร กลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉลี่ยสันติภายในสูงกว่าก่อนทดลองอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05</p> 2024-02-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/268041 รูปแบบการจัดการศึกษาเพื่อส่งเสริมทักษะที่จำเป็นของนักเรียน ในสถานศึกษาบนพื้นที่สูงในถิ่นทุรกันดาร 2023-05-18T09:44:38+07:00 เจษฏาภรณ์ สอนทะ [email protected] จิติมา วรรณศรี [email protected] <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการศึกษาเพื่อส่งเสริมทักษะที่จำเป็น ของนักเรียนในสถานศึกษาบนพื้นที่สูงในถิ่นทุรกันดาร โดยมีวัตถุประสงค์เฉพาะเพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบและแนวทางการจัดการศึกษา 2) สร้างและตรวจสอบรูปแบบการจัดการศึกษา และ 3) ประเมินความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์ของรูปแบบการจัดการศึกษาเพื่อส่งเสริมทักษะที่จำเป็นของนักเรียนในสถานศึกษาบนพื้นที่สูงในถิ่นทุรกันดาร โดยมีรูปแบบการวิจัยแบบผสานวิธี ดำเนินการวิจัย 3 ขั้นตอนดังนี้ 1) การศึกษาองค์ประกอบและแนวทางการจัดการศึกษา โดยการสังเคราะห์เอกสาร สัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ 5 คน และสัมภาษณ์ผู้บริหารสถานศึกษาของโรงเรียนที่มีแนวปฏิบัติที่ดี 3 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง และวิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา 2) การสร้างและตรวจสอบรูปแบบการจัดการศึกษา โดยการจัดสนทนากลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 9 คน 3) การประเมินความเป็นไปได้และเป็นประโยชน์ของรูปแบบ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารสถานศึกษาบนพื้นที่สูงในถิ่นทุรกันดารใน 9 จังหวัดภาคเหนือตอนบน 90 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ สถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. องค์ประกอบและแนวทางการจัดการศึกษาเพื่อส่งเสริมทักษะที่จำเป็นของนักเรียนในสถานศึกษาบนพื้นที่สูงในถิ่นทุรกันดาร ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบ คือ 1) ปัจจัยนำเข้าของการจัดการศึกษา 2) กระบวนการการจัดการศึกษา 3) ทักษะที่จำเป็นของนักเรียน 2. ผลการสร้างและตรวจสอบรูปแบบ พบว่า รูปแบบการจัดการศึกษาเพื่อส่งเสริมทักษะที่จำเป็นของนักเรียนในสถานศึกษาบนพื้นที่สูงในถิ่นทุรกันดาร ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบ 1 เงื่อนไขความสำเร็จ คือ 1) ปัจจัยนำเข้าของการจัดการศึกษา 2) กระบวนการการจัดการศึกษา 3) ทักษะที่จำเป็นของนักเรียน และเงื่อนไขความสำเร็จ ได้แก่ นโยบายการจัดการศึกษา 3. ผลการประเมินความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์ของรูปแบบการจัดการศึกษาเพื่อส่งเสริมทักษะที่จำเป็นของนักเรียนในสถานศึกษาบนพื้นที่สูงในถิ่นทุรกันดาร โดยภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2024-02-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/269092 การพัฒนาระบบประเมินการสอนด้วยตนเอง เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนอาชีวศึกษา 2023-06-07T13:31:26+07:00 กุลิสรา สุวรรณ [email protected] ไพโรจน์ สถิรยากร [email protected] พิสิฐ เมธาภัทร [email protected] <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาการประเมินการสอนด้วยตนเองและความต้องการจำเป็นในการพัฒนาระบบประเมินการสอนด้วยตนเอง เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนอาชีวศึกษา 2) เพื่อพัฒนาและประเมินความเหมาะสมของระบบประเมินการสอนด้วยตนเอง เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนอาชีวศึกษา โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการจำเป็นในการพัฒนาระบบประเมินการสอนด้วยตนเอง ได้แก่ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ หัวหน้าแผนกวิชา และครูผู้สอน จากสถานศึกษารัฐ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จำนวนทั้งสิ้น 1,767 คน และกลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการประเมินความเหมาะสมของระบบประเมินการสอนด้วยตนเอง ได้แก่ ศึกษานิเทศก์ ครูสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และนักวิชาการสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา จำนวนทั้งสิ้น 9 คน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัญหาการประเมินการสอนด้วยตนเองและความต้องการจำเป็นในการพัฒนาระบบประเมินการสอนด้วยตนเอง เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนอาชีวศึกษา ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด จัดลำดับความสำคัญของสภาพปัญหาจากกลุ่มตัวอย่าง โดยมีผลการวิจัยจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านความต้องการพัฒนา ด้านหัวข้อที่ต้องการในการพัฒนาระบบประเมินการสอนด้วยตนเอง เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนอาชีวศึกษา และด้านสภาพปัญหาการประเมินการสอนด้วยตนเองส่วนความต้องการจำเป็นจาก 2 กลุ่มที่เกี่ยวข้อง พบว่า การประเมินคุณภาพการเตรียมการสอน มีความต้องการจำเป็นมากที่สุด PNI<sub>Modified</sub> เท่ากับ 0.41 2) ระบบการประเมินการสอนด้วยตนเองประกอบด้วย 1) การประเมินคุณภาพการเตรียมการสอน ได้แก่ 1.1) การวิเคราะห์หลักสูตรรายวิชา 1.2) การวิเคราะห์หน่วยการเรียนรู้ 1.3) การเขียนวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม 1.4) การสร้างใบเนื้อหา 1.5) การออกแบบและสร้างสื่อการสอน 1.6) การสร้างแบบฝึกหัดและแบบทดสอบ และ1.7) การวางแผนและเขียนแผนการสอนทฤษฎี 2) การประเมินคุณภาพการสอน ได้แก่ 2.1) เทคนิควิธีการสอน 2.2) กระบวนการเรียนรู้และกระบวนการสอน และ2.3) การสร้างบรรยากาศส่งเสริมการเรียนรู้ 3) การปรับปรุงคุณภาพการสอน ได้แก่ 3.1) ปรับปรุงแผนการจัดการเรียนรู้ และ 3.2) ปรับปรุงวิธีการสอน</p> 2024-02-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/269389 การพัฒนาสัปปายะสถานที่เอื้อต่อการพัฒนายุวชนโดยพุทธสันติวิธี 2023-09-12T10:43:25+07:00 ศิริขวัญ แววนิลานนท์ [email protected] พระมหาวีรศักดิ์ อภินนฺทเวที [email protected] ขันทอง วัฒนะประดิษฐ์ [email protected] <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหา ความต้องการจำเป็น แนวคิดทฤษฎีและ หลักพุทธสันติวิธีในการพัฒนาสัปปายะสถานที่เอื้อต่อการพัฒนายุวชน 2) เพื่อนำเสนอการพัฒนาสัปปายะสถานที่เอื้อต่อการพัฒนายุวชนโดยพุทธสันติวิธี ใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสาน ใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก 30 คน การสนทนากลุ่มเฉพาะจำนวน 16 คน และทำแบบสำรวจความพอใจจากยุวชนจำนวน 340 คน วัดผลด้วยการประมาณค่า 3 ระดับ วิเคราะห์ผลเชิงปริมาณด้วยสถิติร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เชิงคุณภาพด้วยอุปนัยวิธี</p> <p>ผลการพบวิจัยพบว่า 1) สถานที่ที่เอื้อต่อการอบรมยุวชนในปัจจุบันมีจำนวนน้อย เจ้าของโครงการสามารถพัฒนาสถานที่ได้โดยประยุกต์แนวคิด หลักการออกแบบสถาปัตยกรรม ร่วมกับหลักสัปปายะ 7 2) การพัฒนาสัปปายะสถานที่เอื้อต่อการพัฒนายุวชนโดยพุทธสันติวิธี ทำได้โดยพัฒนาสถานที่ให้มีลักษณะดังนี้ 1) วางผังแม่บทให้เป็นไปตามธรรมวินัย วางภูมิสถาปัตย์ให้ร่มรื่น พื้นที่ใช้สอยเพียงพอ เหมาะกับช่วงวัย ถูกกฎหมาย สะอาด ปลอดภัย 2) แก้ไขผลกระทบที่เกิดจากสถานที่ตั้งโครงการ การสัญจรเหมาะสม 3) มีโสตสื่อดี มีเสียงตามสาย มีสถาปัตยกรรมเป็นสื่อสอนธรรม 4) มีพื้นที่ทำงานและพื้นที่พักผ่อนรองรับบุคคลทุกกลุ่ม 5) มีโรงครัวเพื่อให้มีอาหารที่ถูกสุขลักษณะ รสชาติดี 6) อากาศเย็นสบาย และ 7) มีพื้นที่รองรับกิจกรรมแบบนั่งสมาธิ และกิจกรรมเรียนรู้ด้วยตนเอง ผลของความพอใจของยุวชนที่มีต่อแบบจำลองสัปปายะที่เอื้อต่อการพัฒนายุวชน พบว่า ยุวชนมีความพึงพอใจตามลำดับดังนี้ พื้นที่กายภาพ (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" /> = 2.93; S.D. = 0.28) พื้นที่ปัญญา (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" /> = 2.84; S.D. = 0.39) พื้นที่การเรียนรู้ (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" /> = 2.77; S.D. = 0.45) มีค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />) = 2.93, 2.84 และ 2.77, S.D. = 0.28, 0.39 และ 0.45 องค์ความรู้ที่ได้ คือ 7S Plus 3 Model</p> 2024-02-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/268615 รูปแบบการบริหารงานบุคคลยุคใหม่ของวิทยาลัยครูสงฆ์ ในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว 2023-05-24T10:41:50+07:00 พระมูนทะวี วงวิจิดดี [email protected] ชวนคิด มะเสนะ [email protected] พงษ์ธร สิงห์พันธ์ [email protected] <p>บทความวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพ ปัญหา และแนวทางการบริหารงานบุคคลยุคใหม่ของวิทยาลัยครูสงฆ์ ในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว 2) เพื่อสร้างรูปแบบการบริหารงานบุคคลยุคใหม่ของวิทยาลัยครูสงฆ์ ในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว 3) เพื่อทดลองใช้รูปแบบการบริหารงานบุคคลยุคใหม่ของวิทยาลัยครูสงฆ์ ในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว 4) เพื่อประเมินรูปแบบรูปแบบการบริหารงานบุคคลยุคใหม่ของวิทยาลัยครูสงฆ์ ในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งเป็นการวิจัยแบบผสานวิธี กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลัก ได้แก่ 1) ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน จำนวน 130 คน และ 2) ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 9 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ 1) แบบสอบถามเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ และ 2) แบบประเมินรูปแบบ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ 1) ค่าเฉลี่ย และ 2) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) สภาพปัจจุบันโดยรวมและรายด้านทุกด้านมีการปฏิบัติอยู่ในระดับปานกลางและ ทุกด้าน อยู่ในระดับปานกลาง</p> <p>2) การสร้างรูปแบบการบริหารงานบุคคลยุคใหม่ของวิทยาลัยครูสงฆ์ในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ที่พัฒนาขึ้นมี 5 องค์ประกอบ คือ 2.1) หลักการ 2.2) วัตถุประสงค์ 2.3) วิธีดำเนินการ 2.4) การประเมินผล และ 2.5) เงื่อนไขความสำเร็จ ซึ่งรูปแบบมีความเหมาะสมโดยรวม อยู่ในระดับมาก และมีความเป็นไปได้โดยรวมอยู่ในระดับมาก</p> <p>3) การทดลองใช้รูปแบบในวิทยาลัยครูสงฆ์จำปาสักพบว่า ก่อนการทดลองใช้รูปแบบอยู่ในระดับพอใช้ หลังการทดลองอยู่ในระดับดี</p> <p>4) การประเมินรูปแบบการบริหารงานบุคคลยุคใหม่ของวิทยาลัยครูสงฆ์ ในประเทศสาธารณรัฐ ประชาธิปไตย ประชาชนลาว โดยรวมอยู่ในระดับมาก มีความเหมาะสมในระดับมาก ความเป็นไปได้ในระดับมาก และความเป็นประโยชน์ในระดับมาก</p> 2024-02-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/272883 แนวทางการปรับตัวของเกษตรกรกลุ่มวิสาหกิจชุมชนในจังหวัดเลย 2024-02-07T13:56:16+07:00 นริศรา ธรรมรักษา [email protected] <h2>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) เพื่อศึกษาผลกระทบของเกษตรกรกลุ่มวิสาหกิจชุมชนในเขตจังหวัดเลย ในสถานการณ์โควิด-19 2) เพื่อศึกษาการปรับตัวของเกษตรกรกลุ่มวิสาหกิจชุมชนในจังหวัดเลย ในสถานการณ์โควิด-19 3) เพื่อหาแนวทางการปรับตัวตามรูปแบบของเกษตรกรกลุ่มวิสาหกิจชุมชนในจังหวัดเลย ในสถานการณ์โควิด-19 แนวทางการปรับตัวของเกษตรกรกลุ่มวิสาหกิจชุมชนในจังหวัดเลย ประชากรที่ใช้ในการศึกษาในครั้งนี้ คือ หัวหน้ากลุ่มเกษตรกรวิสาหกิจชุมชนในเขตจังหวัดเลย จำนวน 231 คน โดยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง และใช้แบบสัมภาษณ์และแบบสอบถามเป็นเครื่องมือ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ t-test F-test (ANOVA) การวิเคราะห์สหสัมพันธ์แบบพหุคูณ และการวิเคราะห์การถดถอยแบบพหุคูณ</h2> <h2>ผลการวิจัยพบว่า 1) เกษตรกรวิสาหกิจชุมชนในเขตจังหวัดเลยมีความคิดเห็นเกี่ยวกับผลกระทบของเกษตรกรวิสาหกิจชุมชนในเขตจังหวัดเลยโดยรวมและเป็นรายด้านอยู่ในระดับมาก ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม และด้านสิ่งแวดล้อม 2) เกษตรกรวิสาหกิจชุมชนในเขตจังหวัดเลยมีความคิดเห็นเกี่ยวกับการมีการปรับตัวของเกษตรกรวิสาหกิจชุมชนในเขตจังหวัดเลยโดยรวมและเป็นรายด้านอยู่ในระดับมาก ด้านการผลิต ด้านการตลาด ด้านการบริหารจัดการ ด้านการเงิน และด้านการมีส่วนร่วมในกลุ่มวิสาหกิจชุมชน 3) แนวทางในการปรับตัวตามรูปแบบของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนในจังหวัดเลย ในสถานการณ์ โควิด-19 ควรปรับตัวเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ ในปัจจุบันในทุกๆ ด้านเพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอผลิตภัณฑ์มาตรฐานและมีลักษณะเฉพาะโดดเด่น และตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค มีการนำเสนอสิ่งใหม่ๆ สู่ตลาดอยู่เสมอ</h2> 2024-02-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/269369 กระบวนการพัฒนาพ่อแม่ เพื่อนที่ปรึกษาสำหรับวัยรุ่น เพื่อเสริมสร้างครอบครัวสันติสุขโดยพุทธสันติวิธี 2023-10-05T14:01:06+07:00 อรรณพ ชนินทร์วงศ์ศิริ [email protected] ขันทอง วัฒนะประดิษฐ์ [email protected] พระครูปลัดอดิศักดิ์ วชิรปญฺโญ [email protected] <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหา ความต้องการจำเป็น แนวคิดทฤษฎี และหลักพุทธสันติวิธีการพัฒนาพ่อแม่ให้เป็นเพื่อนที่ปรึกษา 2) เพื่อพัฒนากระบวนการพัฒนาพ่อแม่ให้เป็นเพื่อน ที่ปรึกษาสำหรับวัยรุ่นเพื่อเสริมสร้างครอบครัวสันติสุขโดยพุทธสันติวิธี ใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสาน ด้วยการทดลองนำร่อง ใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก 11 คน สนทนากลุ่มเฉพาะผู้เชี่ยวชาญ 6 คน ทดลองกับกลุ่มพ่อและแม่ จำนวน 13 คน และวัดผลด้วยแบบประเมินสมรรถนะพ่อแม่ เพื่อนที่ปรึกษา การสังเกตการณ์ การสะท้อนคิด วิเคราะห์ด้วยค่าสถิติ t-test โดยมีระยะเวลาในการทดลองระหว่างเดือน กันยายน 2565 ถึงเดือนเมษายน 2566</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า </p> <p>1) ปัญหาสาเหตุ และอุปสรรค ของพ่อแม่ที่ไม่สามารถเป็นเพื่อนที่ปรึกษาสำหรับลูกวัยรุ่น คือ การขาดความรู้ความเข้าใจในการให้คำปรึกษา ทักษะการสื่อสารเพื่อเข้าถึงความสัมพันธ์สำหรับลูกวัยรุ่นที่มีความเปราะบางด้านความคิด ภาวะอารมณ์ และจิตใจ พ่อแม่มีความจำเป็นต้องพัฒนาเป็นเพื่อนที่ปรึกษาสำหรับลูกวัยรุ่น ด้วยแนวคิดการสื่อสารอย่างสันติ การเป็นที่ปรึกษา และ จิตวิทยาวัยรุ่น หลักพุทธสันติวิธีที่เอื้อต่อพัฒนาทักษะของพ่อแม่ในการสื่อสารกับบุตรที่เป็นวัยรุ่น คือ สติ ไตรสิกขา และพรหมวิหารธรรม </p> <p>2) กระบวนการพัฒนาพ่อแม่ เพื่อนที่ปรึกษาสำหรับวัยรุ่นเพื่อเสริมสร้างครอบครัวสันติสุขโดยพุทธสันติวิธี ด้วยหลักสูตรอบรมเชิงปฏิบัติการ 2 วัน และปฏิบัติการเปลี่ยนแปลงตนเอง 21 วัน ด้วยการเรียนรู้แบบกลุ่ม ประกอบด้วย 4 Module คือ 1) จุดพลังความคิดสู่ทัศนคติที่ถูกต้องของการเป็นพ่อแม่ 2) การสร้างความเข้าใจในบทบาทการเป็นพ่อแม่ 3) การจัดการอารมณ์เชิงบวกอย่างสร้างสรรค์ 4) การสื่อสารในการเป็นพ่อแม่ เพื่อนที่ปรึกษาวัยรุ่น พบว่า ค่าเฉลี่ยแบบวัดสมรรถนะพ่อแม่ เพื่อนที่ปรึกษา หลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 องค์ความรู้ที่ได้ “3A Model” หรือ “โมเดลพ่อแม่พลัง 3 เอ” กับสี่ทักษะ ในการพัฒนาเป็นพ่อแม่ เพื่อนที่ปรึกษาวัยรุ่น</p> 2024-02-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/269370 สันตินวัตกรรมการเสริมสร้างศักยภาพผู้ให้คำปรึกษาเพื่อนครอบครัว ของกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว 2023-09-12T10:09:41+07:00 กมลทิพย์ โมกขาว [email protected] ขันทอง วัฒนะประดิษฐ์ [email protected] พระปราโมทย์ วาทโกวิโท [email protected] <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหา ความต้องการ แนวคิดทฤษฎี และพุทธสันติวิธีการเสริมสร้างศักยภาพผู้ให้คำปรึกษาเพื่อนครอบครัว 2) เพื่อเสนอสันตินวัตกรรมการเสริมสร้างศักยภาพผู้ให้คำปรึกษาเพื่อนครอบครัวของกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว ใช้การวิจัยแบบผสานวิธี แบบทดลองนำร่อง สัมภาษณ์เชิงลึก ดังนี้ 1) ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว 2) ผู้เชี่ยวชาญให้คำปรึกษาเพื่อนครอบครัว 3) ผู้เชี่ยวชาญด้านพุทธศาสนาและพุทธสันติวิธี 4) ผู้เชี่ยวชาญให้คำปรึกษาเชิงจิตวิทยาการ 5) ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบพัฒนาหลักสูตร 6) ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาศักยภาพ 7) ผู้ขอรับคำปรึกษา รวม 65 คน สนทนากลุ่มผู้เชี่ยวชาญ 6 คน กลุ่มตัวอย่างทดลอง 15 คน ใช้แบบประเมินผล การสังเกตการณ์ การสะท้อนผลระหว่างอบรม สถิติวิเคราะห์เปรียบเทียบด้วยค่า t-test สรุปผลแบบพรรณนาโวหาร</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัญหาการเสริมศักยภาพผู้ให้คำปรึกษาเพื่อนครอบครัว คือ รูปแบบ วิธีการ เครื่องมือ ส่งเสริมศักยภาพผู้ให้คำปรึกษา ศักยภาพที่ต้องการยกระดับ คือ สติตื่นรู้ สันติภายใน การให้คำปรึกษาผ่านออนไลน์ การแก้ปัญหาความสัมพันธ์ ทฤษฎีสมัยใหม่ที่ใช้ คือ จิตวิทยาให้คำปรึกษาครอบครัวตามแนวคิดซาเทียร์ การเรียนรู้เพื่อความเปลี่ยนแปลง และการโค้ช พุทธสันติวิธีที่ใช้ คือ พรหมวิหาร 4 สติปัฏฐาน 4 หลักอริยสัจ 4 2) หลักสูตรสันตินวัตกรรมการเสริมสร้างศักยภาพผู้ให้คำปรึกษาเพื่อนครอบครัวของกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว มี 9 หน่วย คือ ตื่นรู้ในตน ในคน ในต้นแบบ การปรึกษา การคิด การสื่อสารอารมณ์ ในระบบและเครือข่าย รูปแบบการจัดการเรียนรู้ เป็นแบบผสมผสาน Online และ Onsite ที่มีสติเป็นฐานในการเรียนรู้ ทำการฝึกอบรมรวม 5 วัน และฝึกปฏิบัติ 29 วัน ใช้หลักการพัฒนาศักยภาพ ที่เรียกว่า 6 ป. (ปลุก เปิด ปัก ปิด เปลี่ยน ปัน) ใช้กระบวนการให้คำปรึกษา 11 ขั้น เรียกว่า Love and Peace Space Process และมีชุดเครื่องมือในการพัฒนาศักยภาพตนและให้คำปรึกษา ผลคะแนนเฉลี่ยศักยภาพผู้ให้คำปรึกษาหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองทุกด้านอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 และค่า t = 6.47</p> <p>องค์ความรู้วิจัย Hybrid Mindfulness based learning for Peace Counselor มี 5 หน่วยคือ รัก ตื่นรู้ การให้คำปรึกษา การวิเคราะห์ปัญหาครอบครัว และเครื่องมือช่วยยกระดับสติ สันติสุขให้กับตัวผู้ให้คำปรึกษา และช่วยให้ผู้ขอรับคำปรึกษาเกิดความเข้าใจตนเองและผู้อื่น ตลอดจนช่วยแก้ปัญหาสัมพันธภาพในครอบครัวได้อย่างสันติวิธีมากขึ้น</p> 2024-02-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/269363 สันตินวัตกรรมการเสริมสร้างศักยภาพผู้สูงอายุให้เป็นผู้นำทางเศรษฐกิจชุมชน 2023-10-04T07:59:08+07:00 ชาญเดช จันทร์สงวน [email protected] ขันทอง วัฒนะประดิษฐ์ [email protected] พระครูปลัดอดิศักดิ์ วชิรปฺญฺโญ [email protected] <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหา ความต้องการจำเป็น แนวคิดทฤษฎีและ หลักพุทธสันติวิธีในการเสริมสร้างศักยภาพผู้สูงอายุให้เป็นผู้นำทางเศรษฐกิจชุมชน ตำบลปากจั่น อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 2) เพื่อพัฒนาสันตินวัตกรรมการเสริมสร้างศักยภาพผู้สูงอายุให้เป็นผู้นำทางเศรษฐกิจชุมชน ใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสาน แบบ exploratory sequential design โดยการสัมภาษณ์เชิงลึก 10 คน สนทนากลุ่มเฉพาะผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 6 คน ใช้เกณฑ์คัดเลือกแบบเจาะจง ทดลองนำร่องด้วยการปฏิบัติการอบรมผู้สูงอายุ จำนวน 12 คน วัดผลด้วยแบบประเมินศักยภาพของผู้สูงอายุ วิเคราะห์เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยด้วยค่าสถิติ t-test ประกอบกับ การสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วม การสะท้อนคิด</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ผู้สูงอายุในพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุที่ติดสังคม ต้องการพัฒนาตนเอง พร้อม ที่จะเรียนรู้ และนำประสบการณ์มาประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับแนวคิดทฤษฎีศาสตร์สมัยใหม่ ได้แก่ แนวคิดแบบเติบโต การเสริมสร้างพลังผู้นำ การเรียนรู้ตลอดชีวิต การมีส่วนร่วมและการบริหารจัดการ โดยนำหลักพุทธสันติวิธีที่เอื้อต่อการพัฒนาผู้สูงอายุให้เป็นผู้นำเศรษฐกิจชุมชน คือ พละ 5 ได้แก่ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา 2) การพัฒนาสันตินวัตกรรมการเสริมสร้างศักยภาพผู้สูงอายุให้เป็นผู้นำทางเศรษฐกิจชุมชน ด้วยหลักสูตรอบรมเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม 3 วัน และปฏิบัติการพัฒนาศักยภาพผู้สูงอายุรักษ์ถิ่น 1 เดือน โดยมีเนื้อหาอบรมประกอบด้วย 1) พลังความคิดบวก 2) การสื่อสารและใช้เทคโนโลยีอย่างมีสติและสร้างคุณค่า 3) การมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ และ4) การมีวิสัยทัศน์ที่ดีในการเป็นผู้นำเศรษฐกิจชุมชน ผลการทดลองพบว่า กลุ่มผู้สูงอายุที่เข้าร่วมกิจกรรมมีค่าเฉลี่ยแบบวัดการเสริมสร้างศักยภาพผู้สูงอายุให้เป็นผู้นำทางเศรษฐกิจชุมชนหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ค่า t = 7.83 องค์ความรู้ที่ได้ “Aging 4G Plus Model” สี่คุณลักษณะเติบโตแห่งการ เสริมสร้างผู้สูงอายุให้เป็นผู้นำทางเศรษฐกิจชุมชน</p> 2024-02-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/269360 สันตินวัตกรรมเพื่อการเสริมสร้างความศรัทธาในการศึกษาบาลีของสามเณร สำนักเรียนวัดนิมมานรดี 2023-10-04T07:57:27+07:00 พระมหาสุนทร ธมฺมสุนฺทโร (เฉลยชัย) [email protected] พระธรรมวัชรบัณฑิต [email protected] ขันทอง วัฒนะประดิษฐ์ [email protected] <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหา ความต้องการจำเป็น แนวคิดศาสตร์สมัยใหม่และหลักพุทธสันติวิธีที่เอื้อต่อการเสริมสร้างความศรัทธาต่อการเรียนภาษาบาลีของสามเณร สำนักเรียนวัดนิมมานรดี 2) เพื่อพัฒนาสันตินวัตกรรมการเสริมสร้างความศรัทธาในการศึกษาบาลีของสามเณร สำนักเรียนวัดนิมมานรดี ใช้รูปแบบการวิจัยแบบผสานวิธี โดยการทดลองนำร่อง ใช้สัมภาษณ์เชิงลึก จำนวน 22 รูป/คน สนทนากลุ่มเฉพาะผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 6 คน ทดลองกับกลุ่มสามเณรวัดนิมมานรดี 15 รูป วัดผลด้วยแบบประเมินแรงจูงใจในการเสริมสร้างศรัทธา การสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วม การสะท้อนคิด วิเคราะห์ด้วยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและค่าสถิติ t-test</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) สามเณรยังไม่มีเป้าหมายการเรียนภาษาบาลีเพื่ออะไร เรียนเพราะเป็นการศึกษาภาคบังคับของสำนักเรียน จึงขาดศรัทธาในการเรียน ประกอบกับภาษาบาลีมีความยากและซับซ้อนเมื่อเรียนในระดับที่สูงขึ้น ในขณะที่การจัดการเรียนการสอนที่เน้นแต่ท่องจำ จึงทำให้สามเณรเกิดความท้อ แนวคิดการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 แนวคิดจิตวิทยาวัยรุ่น และแนวคิดครูพันธุ์ C โดยมีอิทธิบาท 4 เป็นหลักพุทธสันติวิธีที่เสริมสร้างให้สามเณรมีความรักในการเรียนภาษาบาลีด้วยมีจุดหมายในการดำเนินชีวิต</p> <p>2) การพัฒนาสันตินวัตกรรมเพื่อเสริมสร้างความศรัทธาในการศึกษาบาลี ด้วยการจัดกิจกรรมเรียนรู้เชิงปฏิบัติการ จำนวน 3 วัน และปฏิบัติการเรียนรู้เสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเอง 21 วัน เนื้อหาอบรมมี 6 โมดูล กลุ่มสามเณรที่เข้าร่วมกิจกรรมจำนวน 15 รูป มีค่าเฉลี่ยนแบบวัดศรัทธาการเรียนภาษาบาลีตามหลักอิทธิบาท 4 ภายหลังการทดลองสูงกว่าก่อนทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ค่า ค่า t = 2.26 สามเณรเห็นประโยชน์และความสำคัญของการเรียนภาษาบาลี องค์ความรู้วิจัย คือ “WE LOVE PALI Model”</p> 2024-02-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/269362 การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเพื่อยกระดับเศรษฐกิจฐานราก โดยการมีส่วนร่วมของชุมชนตามหลักพุทธสันติวิธี ตำบลหันตรา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 2023-10-05T14:22:39+07:00 กนกพร เชื่อมสุข [email protected] ขันทอง วัฒนะประดิษฐ์ [email protected] พระครูปลัดอดิศักดิ์ วชิรปญฺโญ [email protected] <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหา ความต้องการจำเป็นและหลักพุทธสันติวิธีในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเพื่อยกระดับเศรษฐกิจฐานรากของชุมชน ตำบลหันตรา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 2) เพื่อพัฒนากระบวนการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเพื่อยกระดับเศรษฐกิจฐานรากโดยการมีส่วนร่วมของชุมชนตามหลักพุทธสันติวิธี ตำบลหันตรา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา รูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (PAR) เครื่องมือวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์เชิงลึก และชุดปฏิบัติการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวอย่างเป็นระบบตามวงจร P-A-O-R ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 27 ท่าน และกลุ่มนักวิจัยท้องถิ่น 15 ท่าน วิเคราะห์ผลด้วยอุปนัยวิธี สรุปผลแบบพรรณนาโวหาร</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) ตำบลหันตรา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีทรัพยากรทางชุมชน และมีภูมิปัญญาชาวบ้านที่มีเอกลักษณ์ประจำท้องถิ่น สมาชิกชุมชนตำบลหันตรามีความต้องการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวหันตราให้เป็นที่รู้จักปัญหาและจุดอ่อนที่ควรเสริมให้เกิดการพัฒนา คือ การสร้างจิตสำนึกในการเป็นเจ้าของร่วม การพัฒนาแหล่งสถานที่ที่มีจุดเน้นและดึงดูดนักท่องเที่ยว พร้อมกับรูปแบบการจัดกิจกรรม การประชาสัมพันธ์ให้เป็นที่รู้จัก หลักพุทธสันติวิธีที่เอื้อต่อการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเพื่อยกระดับเศรษฐกิจฐานรากของชุมชน คือ หลักสาราณียธรรม 6 ร่วมกับการใช้หลักอปริหานิยธรรม 7 และวัดผลการพัฒนาด้วยหลักภาวนา 4</p> <p> 2) การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเพื่อยกระดับเศรษฐกิจฐานรากโดยการมีส่วนร่วมของชุมชนตามหลักพุทธสันติวิธี ตำบลหันตรา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ด้วยชุดปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมอย่างเป็นระบบ ตามวงจร P-A-O-R 9 วงรอบ แบ่งเป็น ระยะต้นน้ำ คือ ร่วมวิเคราะห์วางแผนเพื่อพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวตำบลหันตรา ระยะกลางน้ำ คือ การลงมือปฏิบัติร่วมกัน ระยะปลายน้ำ คือ การนำแนวปฏิบัติมาปรับใช้ด้วยความตื่นรู้ องค์ความรู้การวิจัย คือ “WE ARE TOGETHER MODEL”</p> 2024-02-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/269375 การสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของครูสอนพระปริยัติธรรม เพื่อพัฒนาสันติวัฒนธรรมในชั้นเรียน 2023-10-25T13:17:01+07:00 พระมหาพงศธร ธมฺมภาณี (คลังสอน) [email protected] ขันทอง วัฒนะประดิษฐ์ [email protected] <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาความต้องการจำเป็นและแนวคิดทฤษฎีและหลักพุทธสันติวิธีที่เกี่ยวกับการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพสำหรับครูสอนพระปริยัติธรรมเพื่อพัฒนาสันติวัฒนธรรมในชั้นเรียน โรงเรียนพระปริยัติธรรมวัดกฤษณเวฬุพุทธาราม (ไผ่ดำ) 2) เพื่อพัฒนาการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพเพื่อพัฒนาสันติวัฒนธรรมในชั้นเรียนตามหลักพุทธสันติวิธี สำหรับครูสอน พระปริยัติธรรมโรงเรียนพระปริยัติธรรมวัดกฤษณเวฬุพุทธาราม (ไผ่ดำ) ใช้วิธีการวิจัยแบบปฏิบัติการ โดยการสัมภาษณ์เชิงลึก จำนวน 37 รูป / คน การสนทนากลุ่มเฉพาะผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 6 รูป/คน ชุดปฏิบัติการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมด้วยเทคนิค AIC การสะท้อนผลด้วยเทคนิค AAR การกับกลุ่มครู ผู้บริหาร จำนวน 12 รูป/คน วิเคราะห์ผลด้วยอุปนัยวิธี</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) ปัญหาในการจัดการเรียนการสอนอย่างโดดเดี่ยวในมิติปัญหาที่หลากหลายและซับซ้อน การบริหารจัดการห้องเรียนแบบการสอนเดิมๆ ไม่ตอบสนองความต้องการเรียนรู้และการเปลี่ยนแปลงของผู้เรียนในยุคใหม่ แนวคิดทฤษฎีที่ใช้ในการแก้ปัญหา ด้วยการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพที่คำนึงถึงผู้เรียนเป็นสำคัญแบบองค์รวม โดยนำหลักพุทธสันติวิธีที่เอื้อต่อการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ คือ สาราณียธรรม, หลักอปริหานิยธรรม, หลักไตรสิกขา, หลักกัลยาณมิตร 2) ในการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพสำหรับครูสอนพระปริยัติธรรมเพื่อพัฒนาสันติวัฒนธรรมในชั้นเรียน ได้ชุดปฏิบัติการที่มีรูปแบบเป็นไปตามหลักสาราณียธรรม และหลักอปริหานิยธรรม ด้วยกระบวนการเรียนรู้ผ่านการลงมือปฏิบัติสร้างการมีส่วนร่วม โดยจัดกิจกรรม 2 วัน การจัดกิจกรรม 2 วัน ประกอบด้วย 3 กิจกรรม ติดตามประเมินผล 1 เดือน องค์ความรู้ที่ได้ “A.S.,K.T. 4P: MODEL”</p> 2024-02-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/270279 การพัฒนาภาวะผู้นำโดยพุทธสันติวิธีของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน จังหวัดกาญจนบุรี 2023-08-11T12:17:14+07:00 วัชรี วัฒนาสุทธิวงศ์ [email protected] <p>การศึกษาวิจัย มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาวิเคราะห์บริบทการปฏิบัติหน้าที่ในภาวะผู้นำของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) จังหวัดกาญจนบุรี และแนวคิด ทฤษฎีการพัฒนาภาวะผู้นำตามวิทยาการสมัยใหม่ 2) เพื่อศึกษาหลักพุทธธรรมที่เอื้อต่อการพัฒนาภาวะผู้นำแนวพุทธสันติวิธีในการปฏิบัติหน้าที่ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) จังหวัดกาญจนบุรี 3) เพื่อพัฒนาและนำเสนอกระบวนการพัฒนาภาวะผู้นำโดยพุทธสันติวิธี ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) จังหวัดกาญจนบุรี การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการอริยสัจจ์โมเดล เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์เชิงลึก และกระบวนการวิพากษ์ แบ่งเป็น 6 กลุ่ม จำนวน 24 รูป/คน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ประชาชนไม่ให้ความร่วมมือ ไม่เชื่อมั่นในตัว อสม. เนื่องจากผู้เป็น อสม. ยังขาดภาวะการเป็นผู้นำ เช่นขาดภาวะการสั่งการ การสื่อสาร การมีวิสัยทัศน์ การมีส่วนร่วม การสร้างสันติภาพ ขาดทักษะการสอน ส่วนแนวคิดทฤษฎีการพัฒนาภาวะผู้นำตามวิทยาการสมัยใหม่ 5 ด้าน คือ ด้านการสั่งการ สั่งด้วยความชอบธรรม เป็นการขอความร่วมมือ ด้านการมีวิสัยทัศน์ ตั้งเป้าพัฒนาสุขภาพประชาชน นำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ ด้านการมีส่วนร่วม ร่วมกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพชุมชน ด้านการสร้างสันติภาพ ไม่สร้างความขัดแย้ง พูดสิ่งที่สร้างสรรค์ ด้านการสอน สิ่งที่แนะนำถูกต้อง เป็นผู้ฟังที่ดี 2) พุทธธรรมที่เอื้อต่อการพัฒนาภาวะผู้นำ คือหลักธรรมสังคหวัตถุ 4 ได้แก่ ทาน (การให้) แบ่งปันสิ่งของ ให้ความช่วยเหลือ ให้คำแนะนำ ปิยะวาจา พูดสุภาพ-ไพเราะ-อ่อนหวาน พูดสร้างสรรค์ อัตถจริยา ทำตนให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ต่อส่วนรวม สมานัตตตา วางตนเสมอต้นเสมอปลาย ออกเยี่ยมชุมชนอย่างต่อเนื่อง และหลักภาวนา 4 คือ ด้านกายภาพ ด้านพฤติภาพ ด้านจิตภาพ และด้านปัญญาภาพ 3) กระบวนการพัฒนาภาวะผู้นำโดยพุทธสันติวิธีของ อสม. คือการบูรณาการหลักธรรมสังคหวัตถุ 4 กับทฤษฎีภาวะผู้นำ 5 มิติ สังเคราะห์เป็น 5D<sup>2</sup> Plus Model ผ่านการอบรมพัฒนาตามหลักภาวนา 4 คือ ด้านกายภาพ ด้านพฤติภาพ ด้านจิตภาพ และด้านปัญญาภาพ ได้องค์ความรู้ใหม่ที่เรียกว่า <strong>5D<sup>2 </sup>&amp; Plus<sup>2 </sup>Model</strong> มีความหมายดังนี้ 5D แรกคือ 5D Leadership ภาวะมิติผู้นำ 5 ด้าน ส่วน 5D ที่สองหมายถึง 5D ที่ได้จากการสังเคราะห์งานวิจัย คือ 1. Delivering knowledge การส่งมอบความรู้สู่ชาวบ้าน 2. Declare rewards การสร้างแรงจูงใจ 3. Desire health leader สร้าง อสม.ให้เป็นผู้นำด้านสุขภาพ 4. Diamond VHV. สร้าง อสม.ต้นแบบดุจเพชรที่ได้รับการเจียระไนอย่างดี 5. Digital skill การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล คำว่า Plus<sup>2</sup> คือ Plus ตัวที่ 1 หมายถึงหลักธรรมสังคหวัตถุ 4 ส่วน Plus ตัวที่ 2 หมายถึงภาวนา 4 ดังนั้น <strong>5D<sup>2 </sup>&amp; Plus<sup>2 </sup>Model</strong> จึงเป็นกุญแจสู่การพัฒนาภาวะผู้นำโดยพุทธสันติวิธีของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) จังหวัดกาญจนบุรี</p> 2024-02-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/271376 การออกแบบและพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้เครื่องมือการคิดกับนักศึกษาวิชาชีพครู 2024-02-22T10:12:47+07:00 ชาญณรงค์ วิเศษสัตย์ [email protected] ประสาท เนืองเฉลิม [email protected] วาสนาไทย วิเศษสัตย์ [email protected] <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาการจัดการเรียนรู้โดยใช้เครื่องมือการคิดกับนักศึกษาวิชาชีพครู 2) เพื่อศึกษาดัชนีประสิทธิผลของการจัดการเรียนรู้โดยใช้เครื่องมือการคิดกับนักศึกษาวิชาชีพครู และ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาวิชาชีพครูที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้เครื่องมือการคิด กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาระดับปริญญาตรีชั้นปีที่ 3 ภาคปกติ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ใช้วิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (Custer Random Sampling) โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้เครื่องมือคิดจำนวน 10 แผน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์เป็นแบบปรนัยมีค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ 0.28 ถึง 0.96 มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.88 แบบวัดความพึงพอใจเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่ามีค่าอำนาจจำแนก (r<sub>xy</sub>) ตั้งแต่ 0.47 ถึง 0.76 มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.90</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) ผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้เครื่องมือการคิดกับนักศึกษาวิชาชีพครู พบว่าหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทั้ง 10 แผน นักศึกษาได้เรียนรู้เครื่องมือคิด 10 ชนิด ได้แก่ Key Question, Walk and talk, Think pair share, Round Robin, Mind Mapping, Jigsaw, Tug of war, Place Mats, Card add Chart และ Hot Ball เครื่องมือคิดเหล่านี้นักศึกษาให้ความสนใจกิจกรรมเป็นอย่างมาก บางคนมีข้อสงสัยและตั้งคำถามถามครูนอกเหนือจากแผนที่เขียนไว้ ซึ่งก่อนที่ครูจะตอบก็ใช้วิธีการถามกลับให้คิดก่อน แล้วค่อยๆเชื่อมโยงคำตอบให้เข้าใจ เมื่อเรียนรู้ครบทั้งทุกแผนนักศึกษาได้ข้อสรุปว่าควรนำเครื่องมือคิดไปใช้ในการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้สำหรับพัฒนานักเรียนในอนาคต โดยเฉพาะการพัฒนากระบวนการคิดของนักเรียนทั้งคิดคนเดียว คิดเป็นคู่ หรือ คิดเป็นกลุ่ม 2) ดัชนีประสิทธิผลของการจัดการเรียนรู้โดยใช้เครื่องมือการคิดกับนักศึกษาวิชาชีพครูมีเท่ากับ 0.84 3) ความพึงพอใจของนักศึกษาวิชาชีพครูที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้เครื่องมือการคิดอยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2024-02-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร