https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-la/issue/feed วารสารศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 2025-08-04T00:00:00+07:00 Ornuma Chingchit, Ph.D. ornuma.c@psu.ac.th Open Journal Systems <p><strong>ขอบข่ายวารสาร</strong></p> <p>วารสารศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เผยแพร่ต้นฉบับในประเด็นวิจัยที่เป็นปัจจุบันภายใต้ขอบข่าย ภาษาและการจัดการศึกษาภาษา วัฒนธรรมศึกษา และสังคมศาสตร์</p> <p><strong>บรรณาธิการ:</strong> ดร.อรอุมา จริงจิตร</p> https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-la/article/view/278487 การใช้นิทานโบราณสถานขอมเป็นแนวทางพัฒนาท้องถิ่นไทย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: กรณีศึกษานครราชสีมาและบุรีรัมย์ 2024-06-14T08:41:05+07:00 ดวงเด่น บุญปก duangden@g.swu.ac.th สาธิต ทรงทรัพย์ duangden@g.swu.ac.th ปฐิมา พจนสุนทร duangden@g.swu.ac.th กฤษดา ทานะคุณ duangden@g.swu.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเรื่องเล่าชาวบ้านเกี่ยวกับปราสาทขอมในจังหวัดนครราชสีมาและบุรีรัมย์ เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลและเสนอแนวทางการพัฒนาชุมชนจากฐานมรดกทางวัฒนธรรมของท้องถิ่น โครงการวิจัยเก็บข้อมูลภาคสนาม โดยใช้เทคนิคสโนว์บอล และวิธีการคัดเลือกแบบเจาะจงเพื่อติดต่อคนในท้องถิ่น เก็บข้อมูลโดยวิธีสัมภาษณ์ การสังเกต และการเข้าร่วมพิธีกรรมและเทศกาลในท้องถิ่น ผลการวิจัยพบว่าเรื่อง “ปาจิต-อรพิม” ได้รับความนิยมอย่างมากและแพร่หลายในพื้นที่ เรื่องปาจิตอรพิมถ่ายทอดเรื่องราวความรักสมัยใหม่ที่ตัวเอกตกหลุมรักอรพิม และส่งเสริมบทบาทของผู้หญิงที่มีความสามารถ นิทานพื้นบ้านเรื่องอื่นที่เกี่ยวกับผู้หญิงและผู้ชายที่แข่งขันกันเพื่อสร้างปราสาทหินสะท้อนพลังผู้หญิงที่ต่อสู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมและประเพณี แสดงให้เห็นถึงศักยภาพผู้หญิง เรื่องพระนารายณ์ที่ปราสาทพนมรุ้งทำให้ทราบถึงความเชื่อและความเข้าใจของชาวบ้านเกี่ยวกับพระนารายณ์และฤาษีนารายณ์ เรื่องท้องถิ่นของหมู่บ้านละโว้คือการขุดพบรูปเคารพสตรี ชาวบ้านเรียกชื่อว่า “นางละโว้” และต่อมาเชื่อกันว่านางละโว้คือพระโพธิสัตว์ปรัชญาปารมิตา เรื่องนางละโว้ทำให้ทราบว่าชาวบ้านเคารพนางละโว้ในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธ์ที่ปกป้องคุ้มครองหมู่บ้าน ผลการศึกษาจากการอภิปรายกลุ่มย่อยพบว่าชุมชนควรพิจารณาปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อประโยชน์ใช้สอยในชีวิตประจำวันของประชาชน นอกจากนี้ การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมผ่านกิจกรรมต่าง ๆ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ชุมชนต้องสร้างตราสินค้าของท้องถิ่นเพื่อการตลาด การโฆษณา และการประชาสัมพันธ์</p> 2025-11-04T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Duangden Boonpok, Sathit Songsup, Pathima Pojanasunthorn, Kritsada Thanakun https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-la/article/view/284958 โมเดลการรู้สารสนเทศเชิงอภิปัญญาเพื่อส่งเสริมทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณของนักศึกษาไทยที่เรียนวิชาภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศโดยใช้การวิจัยกึ่งทดลอง 2025-02-17T13:51:14+07:00 ชนิดา พงศ์นภารักษ์ chanida.pho@mfu.ac.th เพียรศิลป์ ปินชัย piansin.pin@mfu.ac.th <p><span class="fontstyle0">งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินประสิทธิผลของโมเดลการรู้สารสนเทศเชิงอภิปัญญา (Metacognitive Information Literacy: MIL) ในการส่งเสริมทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณของผู้เรียน รวมถึงประเมินความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อการใช้โมเดลดังกล่าวเมื่อถูกนำไปประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนรู้ งานวิจัยนี้ใช้รูปแบบการทดลองแบบกลุ่มเดียววัดผลก่อนและหลัง (One-Group Pretest–Posttest Design) โดยใช้การสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) กลุ่มเป้าหมายคือนักศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาภาษาอังกฤษจำนวน 83 คน ที่ลงทะเบียนเรียนในรายวิชาความรู้เท่าทันสื่อดิจิทัล การวิจัยนี้มีการวัดผลทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณก่อนและหลังการใช้โมเดล MIL โดยวิเคราะห์ค่าคะแนนเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าระดับนัยสำคัญทางสถิติ (p-value) นอกจากนี้ ยังมีการสำรวจความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อการจัดการเรียนการสอน การมีส่วนร่วมของผู้เรียน และกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ โดยใช้มาตรวัดห้าระดับ ผลการวิเคราะห์ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณก่อนและหลังการใช้โมเดล MIL พบว่าคะแนนทดสอบก่อนเรียน (M = 40.41, SD = 10.9) และคะแนนหลังเรียน (M = 52.77, SD = 8.73) มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;.00) แสดงให้เห็นว่าโมเดล MIL สามารถเสริมสร้างทักษะการคิด อย่างมีวิจารณญาณได้อย่างมีประสิทธิผล นอกจากนี้ ผลการประเมินความพึงพอใจแสดงให้เห็นว่าผู้เรียนมีความพึงพอใจในระดับสูงต่อกลยุทธ์ของโมเดลในการส่งเสริมการเรียนรู้แบบร่วมมือ (M = 4.25) การส่งเสริมการรู้คิด (M = 4.41) และการพัฒนาทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ (M = 4.33) ผลการวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่า โมเดลนี้สามารถส่งเสริมให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะการประเมินแหล่งข้อมูลออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นทักษะสำคัญในการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยและการเรียนรู้ตลอดชีวิต</span> </p> 2025-08-04T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Chanida Phongnapharuk, Piansin Pinchai https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-la/article/view/286169 การศึกษาความเป็นปรปักษ์ต่อผู้ป่วยโควิด-19 จากการติดเชื้อโควิด-19 แบบกลุ่มก้อนในประเทศไทยบนเพจเฟซบุ๊กสำนักข่าว 2025-03-04T15:21:01+07:00 ณัฏฐเกียรติ นกน้อย natthakieat.nok@gmail.com ปัทมา พัฒน์พงษ์ pattama.pat@mahidol.ac.th <p>การประกาศให้มีการกักตัวในช่วงที่มีการระบาดใหญ่โควิด-19 ทำให้เกิดการใช้โซเชียลมีเดียในการติดตามระดับการติดเชื้อมากขึ้น และมีการรายงานว่ามีการแพร่ระบาด จากการติดเชื้อโควิด-19 แบบกลุ่มก้อน (คลัสเตอร์) อันสืบเนื่องมาจากการฝ่าฝืนการกักตัวจึงทำให้เกิดการแสดงความรู้สึกที่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียมีต่อกลุ่มผู้ติดเชื้อจากคลัสเตอร์ดังกล่าวผ่านการใช้ภาษาที่แสดงถึงการบอกความรู้สึก บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาการแสดงออกถึงความรุนแรงต่อผู้ติดเชื้อจากคลัสเตอร์ ที่แสดงออกผ่านการใช้ภาษา ข้อมูลประกอบด้วย 44 อนุประโยค จากคอมเม้นต์ของโพสต์ในเพจเฟซบุ๊ก “เรื่องเล่าเช้านี้” ที่โพสต์ข่าวการติดเชื้อโควิด-19 แบบกลุ่มก้อน (คลัสเตอร์)ในประเทศไทย ช่วงปี พ.ศ. 2563-2564 ทั้งหมด 11 โพสต์ วิเคราะห์โดยใช้กรอบแนวคิด ระบบแอตติจูด (ATTITUDE system) ในทฤษฎีการประเมินค่า (Appraisal theory) ของ มาร์ตินและไวท์ (2005) ผลการวิจัยพบว่ามีการปรากฏร่วมระหว่างความเป็นปรปักษ์และความพึงพอใจผ่านคอมเม้นต์ มุ่งเป้าไปที่ผู้ติดเชื้อจากคลัสเตอร์ที่ฝ่าฝืนข้อบังคับของภาครัฐ ผู้ใช้เฟซบุ๊กแสดงความเป็นปรปักษ์ผ่านการใช้ข้อความที่ส่อถึงการใช้ความรุนแรง และพบความพึงพอใจแฝงไว้ผ่านการเสนอดังกล่าวซึ่งเกิดจากความเชื่อที่ว่าหากผู้ติดเชื้อจากคลัสเตอร์ถูกกำจัดด้วยการใช้ความรุนแรง ระดับการติดเชื้อในประเทศจะลดลง ผลวิจัยของงานชิ้นนี้จะเป็นประโยชน์ในการออกแบบเนื้อหาในการสื่อสารในยุคดิจิทัลที่ดีขึ้น สำหรับวิกฤติการระบาดใหญ่ในอนาคต เพื่อป้องกันการตีตรา และการใช้ถ้อยคำแสดงความเกลียดชังต่อผู้ป่วยจากโรคระบาด</p> 2025-09-16T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ณัฏฐเกียรติ นกน้อย, ปัทมา พัฒน์พงษ์