https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmspsru/issue/feed
วารสารวิทยาการจัดการมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม
2024-08-30T00:00:00+07:00
รองศาสตราจารย์ ดร.ประสิทธิชัย นรากรณ์
prasittichai@psru.ac.th
Open Journal Systems
<p>วารสารวิทยาการจัดการมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม เป็นวารสารที่เน้นการวิจัย ด้านการจัดการครอบคลุมทั้งสาขาวิชาสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ เช่น บริหารธุรกิจ การตลาด เศรษฐศาสตร์ การบริหารธุรกิจ เป็นต้น มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอบทความวิชาการและบทความที่มีคุณภาพ ที่มีประโยชน์ทั้งในเชิงทฤษฎี (Theoretical contribution) ที่ช่วยให้นักวิจัยสามารถพัฒนาและสร้างความรู้ และประโยชน์ในเชิงปฏิบัติ (Managerial contribution) ช่วยให้ผู้ประกอบการในท้องถิ่นนำไปประยุกต์ใช้ในการบริหารธุรกิจ และเพื่อให้บริการทางวิชาการแก่สังคมในรูปแบบต่างๆ อันเป็นศูนย์กลางในการเผยแพร่เรื่องราวในเชิงวิทยาการจัดการในแขนงต่างๆ รวมทั้งเป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยนความรู้ระว่าง คณาจารย์ นักวิชาการ ผู้บริหาร นักธุรกิจ นักศึกษา และประชาชนทั่วไป</p>
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmspsru/article/view/267899
การพัฒนาศักยภาพการจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชนท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงในบริบททุนทางวัฒนธรรม : กรณีศึกษาชุมชนบ้านหาดเสลา ตำบลเขาดิน อำเภอเก้าเลี้ยว จังหวัดนครสวรรค์
2023-06-14T16:15:37+07:00
เจนจิรา เงินจันทร์
Janejira.ngo@gmail.com
ปัญจมาพร ตํานานวัน
Janejira.ngo@gmail.com
สิริกาญจน์ ทวีพิธานันท์
p_phoo@hotmail.com
สุวรรณา เขียวภักดี
Janejira.ngo@gmail.com
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบริบททุนทางวัฒนธรรมของชุมชนบ้านหาดเสลาศักยภาพการจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชน เพื่อนำไปสู่การจัดทำแนวทางการพัฒนาศักยภาพการจัดการการท่องเที่ยวโดยชุมชนบ้านหาดเสลา ตำบลเขาดิน จังหวัดนครสวรรค์ ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ เครื่องมือที่ใช้คือแบบสัมภาษณ์และการบันทึกภาคสนาม กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลัก ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานภาครัฐ ผู้ประกอบการร้านค้า ผู้นำชุมชน และผู้ดูแลจัดการชุมชนบ้านหาดเสลา จำนวน 15 คน ผลการวิจัย พบว่า บริบททุนทางวัฒนธรรมของชุมชนบ้านหาดเสลา มีทุนวัฒนธรรมของชุมชนที่สัมผัสได้ และไม่สามารถสัมผัสได้ ชุมชนอยู่ติดริมแม่น้ำปิง มีวัฒนธรรมไทย ญวน มอญ ไทยทรงดำ คริสต์และจีน ที่อยู่รวมกันบนวิถีของความเรียบง่ายและการรวมกันของหกวัฒนธรรม ด้านการพัฒนาศักยภาพการจัดการการท่องเที่ยวโดยชุมชนมีการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวของชุมชน โดยการนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และ BCG Model เป็นแนวทางในการพัฒนากิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ โดยนำทุนทางวัฒนธรรมมาต่อยอดให้สอดคล้องกับความต้องการของนักท่องเที่ยว โดยสร้างคุณค่าและมูลค่าให้กับวัฒนธรรมของชุมชนได้ ซึ่งชุมชนมีจุดแข็งใน ด้านแหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลาย ทั้งด้านวัฒนธรรม ด้านการเกษตร มีการรวมตัวของคนในชุมชนและ หน่วยงานภาคี มีจุดอ่อนด้านการบริหารจัดการ ด้านโครงสร้างการบริหารงานด้านการท่องเที่ยวที่ขาดความชัดเจน แนวทางการพัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยวการจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชนบ้านหาดเสลาจึงต้องกำหนดผู้รับผิดชอบด้านการท่องเที่ยวให้ชัดเจนและเป็นรูปธรรม เน้นการบูรณาการการทำงาน ระหว่างชุมชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาการท่องเที่ยวให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ผ่านการสร้างความเข้าใจและการถ่ายทอดจากระดับนโยบาย สร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาคีเครือข่าย และส่งเสริมให้นำทุนทางวัฒนธรรมของชุมชนบ้านหาดเสลา มาสร้างสรรค์ต่อยอด ให้เกิดเป็นกิจกรรมการท่องเที่ยวที่สร้างคุณค่าและมูลค่าทางเศรษฐกิจสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนของชุมชน</p>
2024-08-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฎพิบูลสงคราม
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmspsru/article/view/268028
การยอมรับการท่องเที่ยวทางเพศในประเทศไทย
2023-06-11T14:35:18+07:00
คมสิทธิ์ เกียนวัฒนา
Saowanee.min@g.swu.ac.th
เสาวนีย์ รัตนาภิบาล
saowanee.min@g.swu.ac.th
Hannah Elliott
Saowanee.min@g.swu.ac.th
พุทธิดา พันธ์ครุฑ
Saowanee.min@g.swu.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการยอมรับการท่องเที่ยวทางเพศในประเทศไทยและศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อกระบวนการยอมรับการท่องเที่ยวทางเพศในประเทศไทย กลุ่มตัวอย่างคือ ประชาชนชาวไทยในกรุงเทพมหานครที่มีสัญชาติไทย มีอายุ 20 ปีขึ้นไป จำนวน 400 คน ใช้การเลือกสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบสองขั้นตอน และแบบโควตา ซึ่งแบ่งกลุ่มตัวอย่างออกเป็นกลุ่มตามเขตพื้นที่ในกรุงเทพมหานคร เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ การวิเคราะห์ความแปรปรวนทาง และการวิเคราะห์ความถดถอยเชิง ด้วยวิธี Enter ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยด้านอายุและระดับการศึกษาที่แตกต่างกันส่งผลต่อองค์ประกอบการยอมรับการท่องเที่ยวทางเพศแตกต่างกันที่นัยสำคัญทางสถิติ 0.05 โดยกลุ่มตัวอย่างช่วงอายุใน Generation Z (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=3.761, S.D.=0.479) ยอมรับการท่องเที่ยวทางเพศมากกว่า Generation X (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=3.705, S.D.=0.449) และ Baby boomer (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=3.391, S.D.=0.602) กลุ่มตัวอย่างที่มีระดับการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=3.509, S.D.=0.558) ยอมรับการท่องเที่ยวทางเพศน้อยกว่าระดับการศึกษาปริญญาตรีหรือเทียบเท่า (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=3.692, S.D.=0.543) และบรรทัดฐานของระบบสังคม (Beta=0.406) คุณลักษณะของสิ่งใหม่ (Beta=0.225) และโครงสร้างทางสังคม (Beta=0.147) ส่งผลต่อการยอมรับการท่องเที่ยวทางเพศในประเทศไทย</p>
2024-08-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฎพิบูลสงคราม
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmspsru/article/view/268052
ความสัมพันธ์ระหว่างการสร้างเนื้อหาโดยผู้ใช้กับการมีส่วนร่วมในตราสินค้า ในการซื้อสินค้าผ่านอีมาร์เก็ตเพลส
2023-06-23T09:46:24+07:00
ฉัตรชัย สุพรรณบรรจง
chatchai@gmail.com
จำเนียร บุญมาก
chatchai@gmail.com
ศิริกุล ตุลาสมบัติ
chatchai@gmail.com
ทัดพงศ์ อวิโรธนานนท์
chatchai@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยการสร้างเนื้อหาโดยผู้ใช้ และปัจจัยการมีส่วนร่วมในตราสินค้าของผู้บริโภค และเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการสร้างเนื้อหาโดยผู้ใช้ และการมีส่วนร่วมในตราสินค้าของผู้บริโภคในการซื้อสินค้าผ่านอีมาร์เก็ตเพลส เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามกับผู้บริโภคที่เคยซื้อสินค้าและสร้างเนื้อหาผ่าน Lazada และ Shopee จำนวน 423 คน สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์แบบจำลองสมการโครงสร้าง (SEM) ผลการศึกษา พบว่า 1) แบบจำลองมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยพิจารณาจากค่าสถิติที่สำคัญ เป็นไปตามเกณฑ์ โดยมีค่าเฉลี่ยด้านสร้างเนื้อหาโดยผู้ใช้ อยู่ในระดับมากทุกปัจจัย และการมีส่วนร่วมใน ตราสินค้าของผู้บริโภคมีค่าเฉลี่ยในระดับมากทุกปัจจัย เช่นกัน 2) ในมิติจำนวนการสร้างเนื้อหาโดยผู้ใช้ ลักษณะของการแสดงความคิดเห็น และการให้คะแนน มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับ การมีส่วนร่วมในตราสินค้าของผู้บริโภค ในมิติการรับรู้ อารมณ์ และพฤติกรรม โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์อยู่ระหว่าง 0.215 ถึง 0.673 โมเดลองค์ประกอบที่เป็นสมมติฐานวิจัยจึงมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ และมีค่าน้ำหนักความสัมพันธ์ทุกปัจจัยมากกว่า 0.40</p>
2024-08-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฎพิบูลสงคราม
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmspsru/article/view/272500
กลยุทธ์ส่วนประสมทางการตลาดบริการที่ส่งผลต่อผลการดำเนินธุรกิจของร้านค้าโชห่วยในเขตอำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร ในช่วงวิกฤต COVID-19
2023-12-01T08:41:44+07:00
ปาณิสรา จรัสวิญญู
panissra9959@gmail.com
ธนพล แป้นแก้ว
nackpd2623@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากลยุทธ์ส่วนประสมทางการตลาดบริการ ผลการดำเนินธุรกิจ และกลยุทธ์ส่วนประสมทางการตลาดบริการที่ส่งผลต่อผลการดำเนินธุรกิจของร้านค้าโชห่วยในเขตอำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร ในช่วงวิกฤต COVID-19 โดยใช้กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ประกอบการร้านค้าโชห่วยจำนวน 385 ราย เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุเฉลี่ย 43.58 ปี จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายหรือประกาศนียบัตรวิชาชีพมากที่สุด โดยมีระยะเวลาในการดำเนินธุรกิจเฉลี่ย 11.13 ปี และมีพนักงานในกิจการโดยเฉลี่ย 2 คน ผู้ตอบแบบสอบถามมีความคิดเห็นเกี่ยวกับกลยุทธ์ส่วนประสมทางการตลาดบริการและผลการดำเนินธุรกิจโดยรวมอยู่ในระดับมาก ส่วนผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า กลยุทธ์ส่วนประสมทางการตลาดบริการส่งผลต่อผลการดำเนินธุรกิจของร้านค้าโชห่วยในเขตอำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร อย่างนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยมีค่าสัมประสิทธิ์การพยากรณ์ (R<sup>2</sup>) เท่ากับ 0.392 และกลยุทธ์ด้านราคาเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อผลการดำเนินธุรกิจของร้านค้าโชห่วยมากที่สุด</p>
2024-08-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฎพิบูลสงคราม
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmspsru/article/view/270197
การตลาดดิจิทัลและส่วนประสมทางการตลาดบริการที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อสมาร์ทโฟนของผู้บริโภคในเขตอำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก
2023-10-18T08:58:42+07:00
คัมภีวัฒน์ คำถาเครือ
kampeewat@psru.ac.th
ธัมมะทินนา ศรีสุพรรณ
kampeewat@psru.ac.th
ประสิทธิชัย นรากรณ์
kampeewat@psru.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาการตลาดดิจิทัลและส่วนประสมทางการตลาดบริการที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อสมาร์ทโฟนของผู้บริโภคในเขตอำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก 2) เพื่อศึกษาส่วนประสมทางการตลาดบริการที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อสมาร์ทโฟนของผู้บริโภคในเขตอำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก 3) เพื่อศึกษาระดับความคิดเห็นการตลาดดิจิทัล ส่วนประสมทางการตลาดบริการและการตัดสินใจซื้อสมาร์ทโฟนของผู้บริโภคในเขตอำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก กลุ่มตัวอย่างคือผู้ใช้สมาร์ทโฟน จำนวน 385 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการวิจัยและวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติค่าร้อยละ ความถี่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและวิเคราะห์การถดถอยแบบพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า การตลาดดิจิทัลด้านเว็บไซต์ การครองหน้าแรก และสื่อสังคมออนไลน์ มีผลต่อการตัดสินใจซื้อสมาร์ทโฟน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ส่วนประสมทางการตลาดบริการด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ด้านกระบวนการ และด้านลักษณะทางกายภาพ มีผลต่อการตัดสินใจซื้อสมาร์ทโฟนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งสามารถร่วมกันพยากรณ์การตัดสินใจซื้อสมาร์ทโฟนได้ ในส่วนของระดับความคิดเห็นของเครื่องมือการตลาดดิจิทัลในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ระดับความคิดเห็นปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด (7Ps) ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก และระดับความคิดเห็นต่อการตัดสินใจซื้อสมาร์ทโฟนในภาพรวมอยู่ในระดับมากประโยชน์ที่ได้จากการวิจัย 1) เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้ดำเนินธุรกิจด้านสมาร์ทโฟน สามารถนำผลวิจัยไปปรับใช้การทำการตลาดแบบดิจิทัลและส่วนประสมทางการตลาดบริการให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากขึ้นมีความแม่นยำและตรงใจผู้บริโภค 2) เพิ่มเติมองค์ความรู้ทางวิชาการ และผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง</p>
2024-08-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฎพิบูลสงคราม
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmspsru/article/view/273494
การสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์ พลังงานไฟฟ้า ของผู้บริโภคในจังหวัดพิษณุโลก
2024-01-02T15:27:10+07:00
บุญศิริ สุทธิกาญจน์กุล
boonsiri.s@psru.ac.th
ลัสดา ยาวิละ
boonsiri.s@psru.ac.th
รัตนา สิทธิอ่วม
boonsiri.s@psru.ac.th
<p>วัตถุประสงค์งานวิจัยนี้คือ 1) เพื่อศึกษาระดับการตัดสินใจซื้อรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) ของผู้บริโภคในจังหวัดพิษณุโลกจำแนกตามข้อมูลส่วนบุคคล 2) เพื่อศึกษาการสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการ (IMC) ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) ของผู้บริโภคในจังหวัดพิษณุโลก เป็นงานวิจัยเชิงสำรวจ โดยเก็บข้อมูลจากบุคคลที่มีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป จำนวน 400 คน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 ผลการวิจัย พบว่า ระดับการตัดสินใจซื้อรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) ของผู้บริโภคในจังหวัดพิษณุโลก ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เรียงลำดับจากมากไปน้อย ได้แก่ ด้านการประเมินทางเลือก ด้านการตระหนักถึงความต้องการ ด้านการเสาะแสวงหาข้อมูลด้านพฤติกรรมหลังการซื้อ ด้านการตัดสินใจซื้อ และระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับการสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ของผู้บริโภคในจังหวัดพิษณุโลก อยู่ในระดับมาก เรียงลำดับจากมากไปน้อย ได้แก่ ด้านการโฆษณา ด้านการขายโดยพนักงานขาย ด้านการประชาสัมพันธ์ ด้านการตลาดทางตรง ด้านการส่งเสริมการขาย ส่วนปัจจัยส่วนบุคคลด้านอายุ สถานภาพ อาชีพ รายได้ต่อเดือนที่แตกต่างกัน มีการตัดสินใจซื้อรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และการสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของผู้บริโภคในจังหวัดพิษณุโลก ได้ร้อยละ 57.90 โดยด้านการโฆษณาส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อมากที่สุด รองลงมา ด้านการตลาดทางตรง ด้านการประชาสัมพันธ์ และด้านการส่งเสริมการขาย ตามลำดับ</p>
2024-08-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฎพิบูลสงคราม
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmspsru/article/view/272693
แนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพชุมชนบ้านผารังหมี ตำบลไทรย้อย อำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก
2023-11-06T16:21:02+07:00
รพีพงศ์ อินต๊ะสืบ
ramrapeepong@gmail.com
<p>การวิจัยเชิงผสมผสานนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบและศักยภาพทรัพยากรการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพชุมชนบ้านผารังหมี ตำบลไทรย้อย อำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก 2) ศึกษาแนวทางการจัดการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ชุมชนบ้านผารังหมี ตำบลไทรย้อย อำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก เก็บรวบรวมข้อมูลจากการศึกษาบริบทพื้นที่และผู้ให้ข้อมูลหลักในพื้นที่ ด้วยการใช้แบบสำรวจ แบบสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง แบบบันทึกการสังเกต แบบประเมินศักยภาพทรัพยากรการท่องเที่ยวตามองค์ประกอบการท่องเที่ยวชุมชน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร่วมกับการพรรณนาวิเคราะห์ ผลการวิจัยพบว่า 1) องค์ประกอบการท่องเที่ยวด้านการท่องเที่ยวมี 10 ด้าน ได้แก่ ด้านคุณค่าของแหล่งท่องเที่ยว ด้านความสะดวกในการเข้าถึง ด้านระบบบริหารจัดการท่องเที่ยว ด้านสิ่งอำนวยความสะดวก ด้านความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยว ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านความมีชื่อเสียงในปัจจุบัน ด้านกิจกรรมท่องเที่ยว ด้านการมีส่วนร่วมของชุมชน ด้านการสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจ โดยมีศักยภาพทรัพยากรการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพอยู่ในระดับมาก 2) แนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพชุมชน ได้แก่ ควรนำคุณค่าและศักยภาพของแหล่งท่องเที่ยวมาพัฒนาให้เป็นสิ่งดึงดูดใจด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเพื่อเป็นเพิ่มทางเลือกด้านการท่องเที่ยวให้กับชุมชนและนักท่องเที่ยว ควรพัฒนากิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพบนฐานคุณค่าและศักยภาพของพื้นที่ ควรพัฒนาโฮมสเตย์ของชุมชนให้มีมาตรฐาน และควรให้ความรู้ด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพแก่ชุมชนรวมถึงพัฒนาปรับปรุงช่องทางการสื่อสารกับนักท่องเที่ยวและผู้ที่สนใจทั่วไป</p>
2024-08-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฎพิบูลสงคราม
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmspsru/article/view/273122
อิทธิพลของการตลาดเชิงประสบการณ์ และคุณภาพการบริการ ที่มีต่อความตั้งใจซื้อซ้ำของผู้รับบริการร้านยาในจังหวัดเชียงราย
2023-11-20T13:33:13+07:00
นุจี สมอ
snugee@gmail.com
คมสัน รัตนะสิมากูล
komsan.crru@gmail.com
ณภัทร ทิพย์ศรี
naphat6473@gmail.com
<p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาอิทธิพลของการตลาดเชิงประสบการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อความตั้งใจซื้อซ้ำของผู้มารับบริการร้านยาในจังหวัดเชียงราย และ 2) เพื่อศึกษาอิทธิพลของคุณภาพการบริการที่ส่งผลกระทบต่อความตั้งใจซื้อซ้ำของผู้มารับบริการร้านยาในจังหวัดเชียงราย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาคือผู้รับบริการร้านยาในจังหวัดเชียงรายจำนวน 400 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน คือการวิเคราะห์การถดถอยแบบพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่าการตลาดเชิงประสบการณ์ด้านการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ด้านการเข้าถึง และด้านกระบวนการสนับสนุน ส่งผลกระทบทางบวกต่อความตั้งใจซื้อซ้ำ สำหรับคุณภาพการบริการด้านความเชื่อมั่น และด้านความเอาใจใส่มีผลกระทบทางบวกต่อความตั้งใจซื้อซ้ำของผู้รับบริการร้านยาในจังหวัดเชียงรายเช่นกัน ดังนั้นผลการศึกษาดังกล่าวสามารถนำไปเป็นแนวทางในการพัฒนาร้านยาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้รับบริการ และส่งผลให้เกิดความปลอดภัยในการใช้ยาตามมาตรฐานวิชาชีพเภสัชกรรมต่อไป</p>
2024-08-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฎพิบูลสงคราม
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmspsru/article/view/273267
คุณลักษณะของผู้นำปฏิรูปที่มีอิทธิพลต่อผลประกอบการของวิสาหกิจชุมชน ในประเทศไทย
2023-11-28T13:59:42+07:00
พิชาภพ พันธุ์แพ
pichaphob.pla@gmail.com
ลัดดา ปินตา
lemon-larn@hotmail.com
จงกลบดินทร์ แสงอาสภวิริยะ
drpaipan@gmail.com
สุวรรณา พลอยศรี
kob_suwanna@hotmail.com
<p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์คือ ศึกษาระดับคุณลักษณะของผู้นำปฏิรูปในองค์การวิสาหกิจชุมชนในประเทศไทย ศึกษาผลประกอบการของวิสาหกิจชุมชนในประเทศไทย และเปรียบเทียบปัจจัยด้านคุณลักษณะของผู้นำปฏิรูปที่ส่งผลต่อผลประกอบการของวิสาหกิจชุมชนในประเทศไทย โดยสังเกตุตัวแปรที่ส่งผลมากที่สุดต่อผลประกอบการซึ่งจะถูกนำมาประยุกต์ใช้กับการจัดการวิสาหกิจชุมชนที่ทำการศึกษา โดยมีการการวิจัยเชิงปริมาณ และการวิจัยเชิงคุณภาพในการวิจัยเชิงปริมาณ มีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน ตามสัดส่วนประชากรจากผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนในประเทศไทยในแต่ละจังหวัด จำนวน 433 ราย จากนั้น เลือกกลุ่มผู้ให้ข้อมูลในการวิจัยเชิงคุณภาพโดยวิธีการสุ่มแบบเจาะจง โดยการสัมภาษณ์แบบเจาะลึกจากผู้จัดการทั่วไปหรือผู้บริหารที่รับผิดชอบในวิสาหกิจชุมชนที่เป็นกลุ่มตัวอย่างใน 4 ภาคของประเทศคือ เหนือ อีสาน กลาง และใต้ จากคำแนะนำของหอการค้า หรือวิสาหกิจชุมชนในจังหวัดที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง รวมทั้งหมด 8 ราย ผลการวิจัยจากการทดสอบสมมติฐานเกี่ยวกับผู้นำปฏิรูป 4 ด้านที่ส่งผลต่อผลประกอบการของวิสาหกิจชุมชนในประเทศไทย ด้วยการวิเคราะห์สถิติถดถอยเชิงพหุคูณ พบว่า คุณลักษณะของผู้นำปฏิรูปที่ส่งผลต่อผลการประกอบการของวิสาหกิจชุมชนคือการคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคลมีอิทธิพลต่อผลประกอบการมากที่สุด รองลงมาคือ การสร้างแรงบันดาลใจ การมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ และการกระตุ้นทางปัญญา ตามลำดับ สอดคล้องกับผลการศึกษาข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยสามารถสรุปว่า การคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคลมีอิทธิพลทางตรงต่อผลประกอบการ เนื่องจากผู้นำที่คำนึงถึงความต้องการส่วนบุคคลนั้น จะทำตัวเป็นผู้ฝึกสอนและผู้ให้คำแนะนำในขณะที่ช่วยให้แต่ละคนเป็นตัวของตัวเอง ผู้นำแบบนี้จะใช้การมอบหมายอำนาจหน้าที่ซึ่งเป็นหนทางที่จะช่วยให้ผู้ตามเจริญเติบโตและท้าทาย โดยที่ผู้นำอาจแสดงความรักความชอบพอ หรืออาจใช้คำสั่งและกฎระเบียบอย่างเข้มงวดกับผู้ตามบางคนแตกต่างกันไปโดยการบูรณาการ ทรัพยากรและภูมิปัญญาท้องถิ่นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ ปัจจัยด้านการสร้างแรงบันดาลใจ ผู้ประกอบวิสาหกิจชุมชนให้ความสำคัญในระดับมากเช่นกัน เนื่องจากช่วยสนับสนุนส่งเสริมสมาชิก เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ โดยการทำให้เกิดบรรยากาศของการมีนวัตกรรม ให้สมาชิกในกลุ่มมีวิสัยทัศน์ร่วมกันเพื่อสรรค์สร้างผลิตภัณฑ์ ที่ประทับใจลูกค้า อันเป็นการเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ ด้านการมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ โดยผู้นำของชุมชน ต้องมีคุณลักษณะที่ทำให้เกิดความศรัทธาต่อสมาชิกชุมชน และชักนำสมาชิกให้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาวิสาหกิจชุมชน รวมทั้งมีการจัดให้ชุมชนเข้าร่วมประชุมพูดคุยถึงปัญหาต่าง ๆ ที่มีผลกระทบต่อชุมชนนอกจากนี้ชุมชน ยังต้องอาศัยบทบาทของผู้นำท้องถิ่นในการหางบประมาณมาพัฒนาตลาดชุมชน ปัจจัยด้านการกระตุ้นทางปัญญา ที่ผู้ประกอบการให้ความสำคัญในระดับมากเช่นกัน เนื่องมาจากผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชน มีความต้องการจำหน่ายสินค้าของตนให้มากๆ ที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์ของตนเองมีความโดดเด่น มีความพิเศษ แตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่นๆอีกทั้ง หน่วยงานภาครัฐให้การสนับสนุนแนวความคิดเหล่านี้ ในการสร้างนวัตกรรมเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ ด้วยการผสมผสานวัฒนธรรม อัตลักษณ์ของชุมชน หรือสร้างความมีลักษณะพิเศษเฉพาะให้กับผลิตภัณฑ์</p>
2024-08-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฎพิบูลสงคราม
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmspsru/article/view/268727
แนวทางการพัฒนาคุณภาพการท่องเที่ยวโดยชุมชนภูป่าเปาะ ตำบลปวนพุ อำเภอหนองหิน จังหวัดเลย
2023-06-07T15:46:52+07:00
สุนีย์ แซ่เต๋ง
b_saiteng@hotmail.com
อังค์วรา ณ สุนทร
B_saiteng@hotmail.com
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาคุณภาพบริการการท่องเที่ยวโดยชุมชนภูป่าเปาะ ตำบลปวนพุ อำเภอหนองหิน จังหวัดเลย 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวต่อการให้บริการการท่องเที่ยวโดยชุมชนภูป่าเปาะ ตำบลปวนพุ อำเภอหนองหิน จังหวัดเลย 3) เพื่อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาคุณภาพการท่องเที่ยวโดยชุมชนภูป่าเปาะให้เหมาะสมกับบริบทของชุมชน เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูล1) กลุ่มรถแต๊ก ๆ จำนวน 5 คน 2) นักท่องเที่ยวชาวไทย จำนวน 10 คน 3) คณะกรรมการชมรมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ภูป่าเปาะ/ผู้นำชุมชน จำนวน 5 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสัมภาษณ์ ผลการวิจัย ด้านผู้ให้บริการ พบว่า 1) ด้านความเป็นรูปธรรม มีการให้บริการเป็นระบบมีขั้นตอนที่ดี 2) ด้านการตอบสนอง มีความพร้อมต่อการให้บริการเป็นอย่างดี 3) ด้านความน่าเชื่อถือ ได้รับข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวอย่างถูกต้อง 4) ด้านการให้ความมั่นใจ มีการไว้วางใจในบริการ และ 5) ด้านความใส่ใจ ได้ให้ความสำคัญกับคุณภาพการบริการเป็นอย่างมากซึ่งจะเน้นไปที่ด้านการให้บริการรถแต๊ก ๆ และคอยแนะนำขั้นตอนการใช้บริการ ด้านนักท่องเที่ยว พบว่า 1) ด้านความเป็นรูปธรรม มีเส้นทางการเดินทางที่สะดวก มีป้ายบอกระยะทางที่ชัดเจน 2) ด้านการตอบสนองมีบริการที่ดี และเต็มใจให้บริการ 3) ด้านความน่าเชื่อถือ มีการให้บริการที่คำนึงถึงความปลอดภัยตลอดระยะการเดินทาง 4) ด้านการให้ความมั่นใจ มีการติดป้ายแสดงอัตราค่าบริการที่ชัดเจน แสดงให้เห็นว่ามีความน่าเชื่อถือ โปร่งใส และการให้บริการของคนขับรถแต๊ก ๆ มีความเชี่ยวชาญ มีทักษะที่ดี และมีไหวพริบในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที และ 5) ด้านความใส่ใจ มีความกระตือรือร้น ในการให้บริการด้านความพึงพอใจ นักท่องเที่ยวมีความพึงพอใจเป็นอย่างมาก และคุณภาพการบริการมีความสัมพันธ์กันไปในทิศทางเดียวกันทุกด้าน การท่องเที่ยวโดยชุมชนภูป่าเปาะ ควรให้คนในชุมชนมีบทบาทในการส่งเสริมด้านการท่องเที่ยว มีการสร้างเอกลักษณ์ และความโดดเด่นของชุมชน ด้วยการให้บริการที่ดี และควรเพิ่มกิจกรรมที่ทำร่วมกันกับนักท่องเที่ยว เพื่อให้เกิดความประทับใจ และดึงดูดใจในการมาท่องเที่ยว</p>
2024-08-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฎพิบูลสงคราม