วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmscrru <p>วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เป็นวารสารวิชาการที่จัดพิมพ์เพื่อเป็นสื่อกลางในการแสดงความคิดเห็นและเผยแพร่ผลงานทางวิชาการในสาขาการบริหารธุรกิจ การจัดการ เศรษฐศาสตร์ และนิเทศศาสตร์ หรือสาขาอื่นที่มีความเกี่ยวข้อง ซึ่งพิมพ์ออกเผยแพร่ปีละ 2 ฉบับ (มกราคม-มิถุนายน และ กรกฎาคม-ธันวาคม) บทความทุกเรื่องจะต้องผ่านการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญ 3 ท่าน แบบผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แต่งไม่ทราบชื่อกันและกัน (Double-Blind Review)</p> คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย en-US วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย 1906-2397 <p>ทัศนะและข้อคิดเห็นของบทความที่ปรากฏในวารสารฉบับนี้เป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน ไม่ถือว่าเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการ</p> ความเสถียรภาพคุณภาพกำไรของบริษัทจดทะเบียน ในกลุ่มดัชนี SET 100 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmscrru/article/view/282745 <p> งานวิจัยนี้นำเสนอความเสถียรภาพคุณภาพกำไรของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มดัชนี SET 100 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาวิเคราะห์ระดับความเสถียรภาพคุณภาพกำไร 2) เพื่อศึกษาวิเคราะห์ความแตกต่างความเสถียรภาพคุณภาพกำไร <br />3) วิเคราะห์และทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างความเสถียรภาพคุณภาพกำไรกับมูลค่าหลักทรัพย์<strong> </strong>จัดเก็บรวบรวมข้อมูลทุติยภูมิงบการเงินรวมของบริษัททุกกลุ่มอุตสาหกรรมในกลุ่มดัชนี SET100 ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 ถึงปี พ.ศ. 2566 วิเคราะห์ข้อมูลสถิติเชิงพรรณนาใช้ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติเชิงอนุมานใช้การวิเคราะห์ความแตกต่างและวิเคราะห์ความสัมพันธ์ใช้วิธีวิเคราะห์ความถดถอยเชิงพหุในการทดสอบสมมติฐาน ผลลัพธ์ของงานวิจัย พบว่า มีระดับความเสถียรภาพคุณภาพกำไรอยู่ในระดับน้อยมากจำนวน 3 บริษัทคิดเป็นร้อยละ 3.20 มีระดับความเสถียรภาพคุณภาพกำไรอยู่ในระดับน้อยจำนวน 23 บริษัทคิดเป็นร้อยละ 24.70 มีระดับความเสถียรภาพคุณภาพกำไรอยู่ในระดับปานกลางจำนวน 61 บริษัทคิดเป็นร้อยละ 65.60 มีระดับความเสถียรภาพคุณภาพกำไรอยู่ในระดับดีจำนวน 6 บริษัทคิดเป็นร้อยละ 6.50 และไม่พบบริษัทที่มีระดับความเสถียรภาพคุณภาพกำไรอยู่ในระดับดีมาก ความเสถียรภาพคุณภาพกำไร<br />มีความแตกต่างกันของกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุตสาหกรรม กลุ่มอุตสาหกรรมธุรกิจการเงิน <br />กลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง กลุ่มอุตสาหกรรมทรัพยากร กลุ่มอุตสาหกรรมบริการ และกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05 และความสัมพันธ์ระหว่างความเสถียรภาพคุณภาพกำไรกับมูลค่าหลักทรัพย์มีความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างอัตราส่วนราคาต่อมูลค่าตามบัญชีกับมูลค่าหลักทรัพย์ ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .003 และมีความสัมพันธ์<br />เชิงบวกระหว่างมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้นกับมูลค่าหลักทรัพย์ ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .002</p> ไพโรจน์ พรเจริญ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-07-15 2025-07-15 20 1 1 22 ปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อการรับรู้คุณค่าแบรนด์จังหวัดเชียงราย ในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยว https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmscrru/article/view/285314 <p> การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการสื่อสารแบบปากต่อปากทางอิเล็กทรอนิกส์ การสื่อสารการตลาดเชิงบูรณาการ ปัจจัยด้านองค์กรต่อการรับรู้คุณค่าแบรนด์จังหวัดเชียงรายในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยว และ (2) เพื่อตรวจสอบปัจจัยด้านองค์กรในฐานะตัวแปรส่งผ่านที่เชื่อมโยงระหว่างการสื่อสารการตลาดเชิงบูรณาการ และการรับรู้คุณค่าแบรนด์ เป็นการวิจัยเชิงประมาณ โดยศึกษาจากนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย จำนวน 400 คน ใช้สถิติเชิงพรรณนาวิเคราะห์ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ และสถิติอนุมานวิเคราะห์ตัวแบบสมการโครงสร้าง ผลการศึกษา พบว่า (1) บุพปัจจัยทั้งหมดที่ส่งผลต่อการรับรู้คุณค่าแบรนด์จังหวัดเชียงรายในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยว คือ ปัจจัยด้านองค์กร (TE = 0.517) รองลงมาคือ การสื่อสารการตลาดเชิงบูรณาการ (TE = 0.494) และการสื่อสารแบบปากต่อปากทางอิเล็กทรอนิกส์ (TE = 0.271) ตามลำดับ โดยตัวแปรแฝงทั้ง 3 ปัจจัย ร่วมกันพยากรณ์การรับรู้คุณค่าแบรนด์จังหวัดเชียงรายในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวได้ร้อยละ 68.8 และ <br />(2) ปัจจัยด้านองค์กรเป็นตัวแปรส่งผ่านแบบบางส่วน (Partial Mediation) ที่เชื่อมโยงระหว่างการสื่อสารการตลาดเชิงบูรณาการ และการรับรู้คุณค่าแบรนด์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (Indirect Effect = 0.088)</p> ทัตพงศ์ นามวัฒน์ ธนพร สินไชย ประภาพรรณ ไชยานนท์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-07-16 2025-07-16 20 1 23 49 อิทธิพลกำกับของการมีสติต่อความสัมพันธ์ระหว่างภาวะเครียดจากเทคโนโลยี และความขัดแย้งของวัยทำงานแต่ละเจเนอเรชัน https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmscrru/article/view/287815 <p> การศึกษาวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะเครียดจากเทคโนโลยีกับความขัดแย้งของวัยทำงานแต่ละเจเนอเรชัน และ 2) ศึกษาอิทธิพลกำกับของการ<br />มีสติที่จะส่งผลต่อระดับความสัมพันธ์ระหว่างภาวะเครียดจากเทคโนโลยีกับความขัดแย้งของวัยทำงานแต่ละเจเนอเรชัน กลุ่มตัวอย่างคือพนักงานทั้งภาครัฐ เอกชน ดำเนินการวิจัยใน<br />เชิงปริมาณ โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบสะดวก ด้วยการเก็บแบบสอบถามในรูปแบบกระดาษและออนไลน์ จำนวน 412 ชุด โดยได้ทดสอบคุณภาพเครื่องมือด้วยการทดสอบความน่าเชื่อถือ พบว่าค่าที่ได้อยู่ระหว่าง 0.714 - 0.916 และใช้สถิติเชิงพรรณนาเพื่อแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมานในการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ <br />ผลการศึกษาพบว่าภาวะเครียดจากเทคโนโลยีด้านการรุกล้ำความเป็นส่วนตัว ด้านความรู้สึก<br />ไม่มั่นคงในงาน และด้านความไม่แน่นอนทางเทคโนโลยี มีความสัมพันธ์ในเชิงบวกกับความขัดแย้งภายในองค์กรอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในทุกช่วงอายุ อย่างไรก็ตาม การศึกษาพบว่าการมีสติจะช่วยให้ระดับความสัมพันธ์ของภาวะเครียดจากเทคโนโลยีและความขัดแย้งในบางด้านลดลง ซึ่งผลการศึกษาสามารถใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและปรับปรุงนโยบายด้านเทคโนโลยีขององค์กร รวมทั้งส่งเสริมการมีสติและการจัดการความเครียดของพนักงาน เพื่อป้องกันหรือลดความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นภายในองค์กร</p> ธนโชติ วงศ์ศรีพิสันต์ จุล ธนศรีวนิชชัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-07-27 2025-07-27 20 1 50 81 ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด (7Ps) ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการ คาเฟ่ของผู้บริโภคเจเนอเรชัน Z ในจังหวัดมหาสารคาม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmscrru/article/view/288966 <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับส่วนประสม<br />ทางการตลาดบริการ 2) เพื่อศึกษาระดับความคิดเห็นต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการคาเฟ่ 3) เพื่อศึกษาส่วนประสมทางการตลาดบริการที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการคาเฟ่ การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณโดยเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างผู้บริโภคเจเนอเรชัน Z (ช่วงอายุ 18–28 ปี) ที่เคยใช้บริการคาเฟ่ ในจังหวัดมหาสารคาม จำนวน 400 คน โดยวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ<br />เชิงพรรณา ได้แก่ ค่าความถี่ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐาน<br />ด้วยการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ผู้บริโภคกลุ่มเจเนอชัน Z มีความคิดเห็นเกี่ยวกับส่วนประสม<br />ทางการตลาดบริการในภาพรวมในระดับมาก 2) มีความคิดเห็นเกี่ยวกับการตัดสินใจเลือกใช้บริการคาเฟ่ในระดับมาก 3) ส่วนประสมทางการตลาดบริการที่มีอิทธิพลทางบวกต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการคาเฟ่ อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ประกอบด้วย ด้านช่องทางการ<br />จัดจําหน่าย ด้านการส่งเสริมการตลาด ด้านลักษณะทางกายภาพ ส่วนด้านราคา ด้านกระบวนการให้บริการมีอิทธิพลทางตรงข้ามต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการคาเฟ่ของผู้บริโภคเจเนอเรชัน Z และด้านผลิตภัณฑ์ ด้านบุคคลไม่มีอิทธิพลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติต่อการการตัดสินใจเลือกใช้บริการคาเฟ่</p> ศิวดล ภาภิรมย์ ภัทรภร เสนไกรกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-07-27 2025-07-27 20 1 82 111 รูปแบบการเพิ่มมูลค่าผลผลิตการเกษตรประเภทผักและผลไม้เข้าสู่ตลาดโมเดิร์นเทรดด้วยระบบโลจิสติกส์ห่วงโซ่ความเย็น ภายใต้แนวคิดบีซีจีโมเดล จังหวัดนครราชสีมาในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmscrru/article/view/285751 <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างรูปแบบการเพิ่มมูลค่าผลผลิตการเกษตรประเภทผักและผลไม้เข้าสู่ตลาดโมเดิร์นเทรดด้วยระบบโลจิสติกส์ห่วงโซ่ความเย็น ภายใต้แนวคิดบีซีจีโมเดล จังหวัดนครราชสีมาในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กลุ่มเป้าหมาย คือ กลุ่มเกษตรกรปลูกผักและผลไม้ กลุ่มผู้บริโภคผักและผลไม้ และกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ใช้วิธีวิจัยแบบผสมผสาน ในการวิจัยเชิงปริมาณได้ศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างผู้บริโภคผักและผลไม้จังหวัดนครราชสีมา จำนวน 400 คน และวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ ได้ใช้วิธีการสนทนากลุ่มกับ เกษตรกรปลูกผักและผลไม้และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจังหวัดนครราชสีมา จำนวน 20 คน ผลการวิจัย พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมดที่เป็นเกษตรกรผู้ปลูกผักและผลไม้ มีความต้องการยกระดับผักผลไม้เข้าสู่ตลาดโมเดิร์นเทรดโดยจำหน่ายในห้างสรรพสินค้ามากที่สุด ร้อยละ 55.00 เพื่อเพิ่มช่องทางการจำหน่าย มากที่สุด ร้อยละ 30.00 รวมถึงมีความประสงค์ทำสัญญากับโมเดิร์นเทรดที่ต้องการระบุเงื่อนไข มากที่สุด ร้อยละ 55.00 และมีความต้องการพัฒนามาตรฐาน GAP <br />มากที่สุด ร้อยละ 60.00 ทั้งนี้ สินค้ามีคุณภาพอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.29 และต้องการสื่อสารการตลาดด้วยการส่งเสริมการขายสั่งซื้อผ่านระบบออนไลน์ส่งตรงถึงบ้าน มากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.80 และได้พัฒนารูปแบบการเพิ่มมูลค่าผลผลิตการเกษตรประเภทผักและผลไม้เข้าสู่ตลาดโมเดิร์นเทรดด้วยระบบโลจิสติกส์ห่วงโซ่ความเย็น (Cold Chain Logistics) ภายใต้แนวคิดบีซีจีโมเดล จังหวัดนครราชสีมา ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 1 รูปแบบ</p> ชยพล ผู้พัฒน์ เนตรชนก บัวนาค เอกรัตน์ เอกศาสตร์ จิรพัฒน์ โทพล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-07-27 2025-07-27 20 1 112 148 การสื่อสารเทศกาลชุมชนงานประเพณีสามเป็ง เพ็ญเดือนสามล้านนา บูชาพระธาตุแสงจันทร์ เพื่อยกระดับและสร้างสรรค์อัตลักษณ์ท้องถิ่นสำหรับการส่งเสริม การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmscrru/article/view/285748 <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาศักยภาพของตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 2) ศึกษาแนวทางการสื่อสารเทศกาลชุมชน 3) ผลิตสื่อสำหรับการสื่อสารเทศกาลชุมชน และ 4) ประเมินผลการสื่อสารเทศกาลชุมชนงานประเพณีสามเป็ง เพ็ญเดือนสามล้านนา บูชาพระธาตุแสงจันทร์ เพื่อยกระดับและสร้างสรรค์อัตลักษณ์ท้องถิ่นสำหรับการส่งเสริมการท่องเที่ยว<br />เชิงวัฒนธรรม การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน ประกอบด้วย การวิจัยเชิงคุณภาพและ<br />การวิจัยเชิงปริมาณ โดยการวิจัยเชิงคุณภาพดำเนินการร่วมกับการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ได้แก่ ผู้นำชุมชน ผู้ประกอบการชุมชน นักท่องเที่ยว นักวิชาการ และสื่อมวลชน รวมจำนวน 75 คน ใช้วิธีการสนทนากลุ่มด้วยแบบสนทนา และทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ส่วนการวิจัยเชิงปริมาณ เก็บข้อมูลจากนักท่องเที่ยวที่สะดวกในการให้ข้อมูล ณ บริเวณพื้นที่จัดงาน จำนวน 100 คน ด้วยแบบสอบถาม เพื่อสำรวจความพึงพอใจต่อการสื่อสารเทศกาลชุมชน <br />โดยวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ตำบลสุเทพมีศักยภาพด้านทรัพยากรธรรมชาติ วัฒนธรรม และประเพณีที่เหมาะสมสำหรับการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม 2) แนวทางการสื่อสารเทศกาลชุมชนควรมุ่งเน้นการบูรณาการอัตลักษณ์ท้องถิ่นผ่านสื่อออฟไลน์และออนไลน์ 3) การออกแบบและผลิตสื่อเพื่อการสื่อสารเทศกาลชุมชน ประกอบด้วยสื่อออนไลน์และสื่อออฟไลน์ โดยการใช้เนื้อหาและรูปแบบที่สะท้อนเอกลักษณ์ของชุมชน และ 4) ผลการประเมินความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวด้านประโยชน์ของสื่อประชาสัมพันธ์ มีค่าเฉลี่ย 4.46 (x̄ = 4.46, S.D. = 0.56) อยู่ในระดับ มาก</p> พีรวิชญ์ คำเจริญ จารุวรรณ พนมจีระสวัสดิ์ เจนจีรา อักษรพิมพ์ ผจญ พีบุ้ง ณัฏฐินี ทองดี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-07-27 2025-07-27 20 1 149 195 ความรู้ทางการเงินและพฤติกรรมทางการเงินที่ส่งผลต่อการวางแผนการเงิน เพื่อการเกษียณอายุ กรณีศึกษากลุ่มคนวัยทำงานในเขต อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmscrru/article/view/287694 <p> งานวิจัยนี้ ศึกษาเรื่องความรู้ทางการเงินและพฤติกรรมทางการเงินที่ส่งผลต่อการวางแผนการเงินเพื่อการเกษียณอายุ กรณีศึกษา กลุ่มคนวัยทำงานในเขตอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา มีวัตถุประสงค์เพื่อวัดระดับความรู้ทางการเงินและพฤติกรรมทางการเงินของคนวัยทำงานในเขตอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา และทดสอบความแตกต่างของปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ อายุ สถานภาพสมรส จำนวนสมาชิกในครอบครัว ระดับการศึกษา รายได้เฉลี่ยต่อเดือน และอาชีพต่อการวางแผนทางการเงินเพื่อการเกษียณอายุ ทดสอบระดับความรู้ที่แตกต่างกันต่อการวางแผนการเงินเพื่อการเกษียณอายุ และทดสอบพฤติกรรมทางการเงินที่ส่งผลต่อการวางแผนการเงินเพื่อการเกษียณอายุของกลุ่มคนวัยทำงานในเขตอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ผู้วิจัยใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูล จากการสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย จำนวน 385 ตัวอย่าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ<br />เชิงพรรณนา (Descriptive Statistic) ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์สถิติเชิงอนุมาน (Inferential Statistic) ได้แก่ การวิเคราะห์ T-test การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) และการวิเคราะห์การถดถอยอย่างง่าย (Simple Regression Analysis) โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05</p> <p> ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุ 31-40 ปี สถานภาพสมรส และจำนวนสมาชิกในครอบครัว 3-4 คน โดยส่วนใหญ่จบการศึกษาระดับปริญญาตรี <br />มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 40,001 บาทขึ้นไป ประกอบอาชีพพนักงานบริษัทเอกชน ทั้งนี้พบว่า<br />กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีระดับความรู้ในระดับมาก มีความคิดเห็นว่าพฤติกรรมทางการเงินและ<br />การวางแผนการเงินเพื่อเกษียณอายุตรงกับตนเองมาก ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่าระดับการศึกษา ระดับรายได้ และความรู้ทางการเงินที่ต่างกันมีผลต่อการวางแผนการเงินเพื่อการเกษียณอายุแตกต่างกัน และพฤติกรรมทางการเงิน มีต่อการวางแผนการเงินเพื่อการเกษียณอายุอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05</p> ณัฐสรณ์ พิจิตตโร กลางใจ แสงวิจิตร ธนาวุธ แสงกาศนีย์ จิตติมา วิเชียรรักษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-07-30 2025-07-30 20 1 196 232 แนวทางพัฒนาการมีส่วนร่วมในแบบปฏิบัติด้านการจัดการความรู้ของบุคลากร ในสถาบันการศึกษา กรณีศึกษา คณะศิลปศาสตร์และวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmscrru/article/view/283995 <p> งานวิจัยเรื่องแนวทางพัฒนาการมีส่วนร่วมในแบบปฏิบัติด้านการจัดการความรู้ของบุคลากรในสถาบันการศึกษา กรณีศึกษา คณะศิลปศาสตร์และวิทยาการจัดการมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมในแบบปฏิบัติด้านการจัดการความรู้ของบุคลากร ศึกษาปัญหาและอุปสรรค และเสนอแนะแนวทางการพัฒนาการมีส่วนร่วมของบุคลากร การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน เก็บรวบรวมข้อมูลประชากร จากบุคลากรทั้งหมดของคณะ จำนวน 80 คน และผู้ให้ข้อมูลหลัก คือ คณะกรรมการฝ่ายบริหารยุทธศาสตร์องค์การทั้งหมดของคณะ จำนวน 19 คน โดยใช้แบบสอบถามออนไลน์และการประชุมกลุ่มย่อย สถิติที่ใช้สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ สถิติเชิงพรรณนา ประกอบด้วย ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การวิเคราะห์ความแตกต่าง ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ตามวิธีของเพียร์สัน และวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ ประเภทพนักงาน มีความแตกต่างของการมีส่วนร่วมในแบบปฏิบัติด้านการจัดการความรู้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 และปัจจัยด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมในแบบปฏิบัติด้านการจัดการความรู้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 นอกจากนี้ การไม่เข้าใจนโยบายและแผนงานด้านการจัดการความรู้ กลายเป็นปัญหาและอุปสรรคที่บุคลากรพบมากที่สุด</p> ทิพวัลย์ พันธ์จันทึก ลัดดาพร กุลแก้ว วรสิทธิ์ วงศ์อดิศัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-19 2025-08-19 20 1 233 261