วารสารบริหารศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jms_ubu <p>ISSN 2286-6809 (Print)<br />ISSN 2651-1819 (Online)</p> <p>วารสารบริหารศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี เป็นวารสารที่ตีพิมพ์บทความภาษาไทย/ภาษาอังกฤษ <strong>โดยเปิดรับบทความวิจัย (Research paper) บทความวิชาการ (Review article)</strong> โดยมีวัตถุประสงค์การตีพิมพ์ ดังนี้<br /> 1. เพื่อเผยแพร่ผลงานทางวิชาการและผลงานวิจัยของอาจารย์ นักวิชาการ นักศึกษา และผู้สนใจ ทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย <br /> 2. เพื่อส่งเสริม เผยแพร่การศึกษา ค้นคว้าวิจัยที่มีประโยชน์ มีคุณค่าต่อการพัฒนาองค์ความรู้วิชาการ ในสาขาวิชาต่างๆ</p> <h3> </h3> <h3>Focus and Scope</h3> <p>โดยมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องครอบคลุมศาสตร์ทางด้านการบริหารและการจัดการ ทั้งภาครัฐและเอกชน ได้แก่ การบัญชี การเงินและการธนาคาร การตลาด การจัดการและการจัดการเชิงกลยุทธ์ พฤติกรรมองค์กรและการจัดการทรัพยากรมนุษย์ การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ธุรกิจระหว่างประเทศ เศรษฐศาสตร์ การจัดการโรงแรมและการท่องเที่ยว รวมทั้งหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อดังกล่าว</p> <h3> </h3> <h3>Peer Review Process</h3> <p>** บทความที่จะลงตีพิมพ์ในวารสารบริหารศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ทุกเรื่องต้องผ่านการพิจารณาเห็นชอบจากผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาที่เกี่ยวข้อง<strong> บทความละ 3 ท่าน ในรูปแบบ Double-Blind </strong> และจะต้องเป็นบทความที่ไม่เคยได้รับการตีพิมพ์ เผยแพร่ หรืออยู่ระหว่างการพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารอื่นๆ การละเมิดลิขสิทธิ์ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้ส่งบทความโดยตรง </p> <p>**ผู้สนใจสามารถส่งบทความตีพิมพ์ผ่านระบบ Submission Online <strong>โดยไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ในทุกขั้นตอน</strong></p> <p> </p> <h3>Publication Frequency</h3> <p>วารสารบริหารศาสตร์มีกำหนดการตีพิมพ์ปีละ 3 ครั้ง (เริ่มตั้งแต่ฉบับปีที่ 13 ฉบับที่ 1 มกราคม-เมษายน 2567 เป็นต้นไป)</p> <p>- ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม-เมษายน</p> <p>- ฉบับที่ 2 เดือนพฤษภาคม-สิงหาคม</p> <p>- ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน-ธันวาคม </p> <p> </p> <p>- <a href="https://docs.google.com/document/d/1xjS_1WZP_CIwoQObd2cIM78Mp8Wkkd_k/edit?usp=sharing&amp;ouid=112051766367499053711&amp;rtpof=true&amp;sd=true">Template การเขียนบทความวิจัย</a></p> <p>- <a href="https://drive.google.com/file/d/1hmMGhx_65mSKVNnFzNWv4MR5WEkF1FFz/view?usp=sharing">แบบเสนอต้นฉบับ (ไทย)</a></p> <p>- <a title="Manuscript submission form" href="https://docs.google.com/document/d/1gNWwCSfK5WW37J2YKgfS7997ID281_s7/edit?usp=sharing&amp;ouid=112051766367499053711&amp;rtpof=true&amp;sd=true">Manuscript submission form</a></p> <p>- <a href="https://drive.google.com/file/d/1duNRQj5-QKDER3BEHImKznax6j13gi9A/view?usp=sharing">คำแนะนำและการจัดเตรียมต้นฉบับและการอ้างอิง (อ้างอิงแบบ APA Style)</a></p> <p>- <a href="https://drive.google.com/file/d/12999q0Q3hbeMAAyW_BJpspWtVTzM93XV/view?usp=sharing">คู่มือการใช้งานงานระบบ ThaiJO (สำหรับผู้แต่ง)</a></p> <p><strong>*** ผู้ส่งบทความกรุณาจั</strong><strong>ดทำแบบเสนอต้นฉบับ และจัดทำบทความตามรูปแบบที่กำหนด</strong></p> คณะบริหารศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี th-TH วารสารบริหารศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 2286-6809 Critical Success Factors of ERP Implementation: Literature Review https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jms_ubu/article/view/278273 <p> Enterprise Resource Planning (ERP) systems are regarded as critical tools for enhancing business competitive advantage. However, adopting a new ERP system requires significant attention and effort, as the failure rates of ERP implementations remain high due to their complexity. This study aims to review existing literature published between 2016 and 2023 to identify the key factors contributing to successful ERP project implementation. By analyzing 38 research studies retrieved through a computer search engine using tabular format and content analysis methods, the study identified seven key success factors frequently cited for ERP project success: top management support, user training and education, project management, change management, communication, business process reengineering, and user involvement. These factors are critical for achieving successful ERP project outcomes.</p> Panadda Chanphet* Kornwipa Tianpasakorn Suchada Wuttipanyarattanakul Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-31 2024-12-31 13 3 94 112 การสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการ และปัจจัยด้านความเชื่อมั่นต่อการเลือกใช้บริการสินเชื่อที่พักอาศัยในกลุ่มผู้บริโภคที่มีความหลากหลายทางเพศ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jms_ubu/article/view/277962 <p> จากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมทั้งในด้านวัฒนธรรม การยอมรับที่มีต่อกลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศนำมาซึ่งกฎหมายว่าด้วยเรื่องการสมรสในกลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ โดยเฉพาะในประเทศไทยที่ยังคงเป็นเรื่องใหม่ในด้านกฎหมายเพื่อเข้ามาแก้ไขปัญหาการขาดความสะดวกในด้านธุรกรรมในด้านต่างๆ ของกลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศในประเทศไทย เช่น การเงิน สุขภาพ ฯลฯ โดยการศึกษาวิจัยเรื่องนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่พักอาศัยของกลุ่มผู้ที่มีความหลากลายทางเพศ โดยใช้วิธีการศึกษาแบบผสมผสาน โดยในการวิจัยเชิงคุณภาพใช้วิธีการสัมภาษณ์กับนักการตลาดจากธนาคารขนาดใหญ่ผู้ให้บริการสินเชื่อที่พักอาศัยในประเทศไทยจำนวน 5 คนที่ปฏิบัติงานในธนาคารที่แตกต่างกัน เพื่อนำมาวิเคราะห์ข้อมูลจากการถอดเทปการสัมภาษณ์เพื่อมาประกอบกับการรายงานผลกับข้อมูลเชิงปริมาณที่ได้มาจากการใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่อยู่ในกลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศที่มีประสบการณ์การขออนุมัติสินเชื่อที่พักอาศัยจากธนาคารในประเทศไทย จำนวน 400 คน เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนาเพื่อทราบถึงสัดส่วนประชากร ระดับและความถี่ในด้านต่างๆ ไปจนถึงการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน และวิเคราะห์สมการเชิงโครงสร้าง</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า การสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการและทัศนคติของกลุ่มตัวอย่างที่อิทธิพลต่อความเชื่อมั่นต่อผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่พักอาศัยโดยจากการศึกษากลับพบว่าแม้ว่ากลุ่มตัวอย่างจะเกิดความเชื่อมั่นแต่กลับไม่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่พักอาศัยซึ่งสอดคล้องกับทัศนคติที่การศึกษาพบว่าไม่มีอิทธิพลให้เกิดการตัดสินใจ แต่สิ่งที่ทำให้เกิดการตัดสินใจเกิดจากการสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการในด้านของการเสนอดอกเบี้ยอัตราพิเศษ เงื่อนไขของสินเชื่อสำหรับผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศที่เหมือนกับบุคคลทั่วไปที่พบได้หลากหลายช่องทางไปจนถึงการตอบข้อสงสัยของสินเชื่อจากเจ้าหน้าที่ธนาคารที่มีความเชี่ยวชาญผ่านช่องทางออนไลน์ และออฟไลน์</p> นฤดม ต่อเทียนชัย Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-31 2024-12-31 13 3 1 22 ความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพชีวิตการทำงานกับความผูกพันต่อองค์กร ของบุคลากรสายสนับสนุนในมหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jms_ubu/article/view/275056 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพชีวิตการทำงานในด้านการทำงาน ด้านเศรษฐกิจ ด้านส่วนตัว และด้านสังคม กับความผูกพันต่อองค์กรของบุคลากรสายสนับสนุนมหาวิทยาลัยมหาสารคาม และ 2) เพื่อศึกษาผลกระทบระหว่างคุณภาพชีวิตการทำงานที่มีต่อความผูกพันต่อองค์กรของบุคลากรสายสนับสนุนมหาวิทยาลัยมหาสารคาม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ บุคลากรสายสนับสนุนในมหาวิทยาลัยมหาสารคาม จำนวน 248 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ <br />การวิเคราะห์สหสัมพันธ์แบบพหุคูณและการวิเคราะห์การถดถอยแบบพหุคูณ ผลการวิจัย พบว่า คุณภาพชีวิตการทำงานด้านเศรษฐกิจ ด้านส่วนตัว และด้านสังคม มีความสัมพันธ์และผลกระทบเชิงบวกกับความผูกพันต่อองค์กรโดยรวม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 แต่คุณภาพชีวิตการทำงานด้านการทำงานไม่มีความสัมพันธ์และผลกระทบต่อความผูกพันองค์กร ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่าการพัฒนาคุณภาพชีวิตการทำงาน โดยเฉพาะในมิติด้านเศรษฐกิจ ส่วนตัว และสังคม จะช่วยส่งเสริมให้บุคลากรมีความผูกพันต่อองค์กรสูงขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่ประสิทธิภาพและความสำเร็จขององค์กร </p> ณัฐธกานต์ จันดาโชติ Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-31 2024-12-31 13 3 23 34 แนวทางพัฒนาการบริหารจัดการ หลักสูตรฝึกอบรมด้านความรับผิดชอบ ต่อสังคม (CSR) ของวิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jms_ubu/article/view/280521 <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ปัญหาและอุปสรรคการดำเนินแนวทางพัฒนาการบริหารจัดการหลักสูตรฝึกอบรมด้านความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) ของวิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ ในช่วงปี พ.ศ. 2561–2565 และสังเคราะห์แนวทางพัฒนาการบริหารจัดการหลักสูตรดังกล่าว การวิจัยใช้วิธีเชิงคุณภาพ โดยศึกษาข้อมูลจากเอกสารที่เกี่ยวข้องและเก็บข้อมูลจากผู้บริหาร หัวหน้างาน และผู้ปฏิบัติงาน ผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึกและการประชุมกลุ่มย่อย (Focus Group) จากนั้นวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการพรรณนา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ปัญหาและอุปสรรคสามารถแบ่งออกเป็น 2 ปัจจัย ได้แก่ (1) ปัจจัยภายใน เช่น การจัดสรรงบประมาณที่ไม่เพียงพอและความไม่ต่อเนื่องในการจัดลำดับความสำคัญของงาน และ (2) ปัจจัยภายนอก เช่น ความล่าช้าในการส่งเอกสารสมัครอบรม การชำระเงินไม่ครบถ้วน สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 และภัยธรรมชาติ แนวทางพัฒนาได้รับการสังเคราะห์ตามวงจรคุณภาพ PDCA และได้แผนการดำเนินงานระหว่างปี พ.ศ. 2566–2567 โดยมีข้อเสนอแนะในด้านการบริหารจัดการงบประมาณ การปรับปรุงกระบวนการจัดส่งเอกสาร การอบรมออนไลน์ และการจัดการความเสี่ยง แนวทางดังกล่าวมีศักยภาพในการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ลดปัญหาที่เกิดขึ้น และตอบสนองต่อความท้าทายในการบริหารจัดการหลักสูตร CSR ได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> เพ็ญจันทร์ บัวซาว Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-31 2024-12-31 13 3 35 54 The Effect of Marketing Mix Components on the Image of a Private School and Parental Loyalty in Battambang Province, Cambodia https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jms_ubu/article/view/276861 <p> This study contributes to the growing body of knowledge on educational marketing practices by examining the impact of marketing mix components on the image of a private school and parental loyalty in Battambang Province, Cambodia. The research objective was to investigate the effects of the 7Ps marketing mix components (product, place, price, promotion, people, physical evidence, parent-teacher communication) on school image and parental loyalty. A survey was administered to a sample of 351 parents to understand their perceptions of the school’s image and how this affected their loyalty to it. The data were analyzed using descriptive statistics, correlation, and simple/multiple regression. A positive correlation was found between all marketing mix factors and the school’s image. Furthermore, school image was found to mediate the relationship between the marketing mix components and parental loyalty, indicating that image plays a crucial role in translating marketing efforts into parental loyalty. The study also found a direct link between the overall marketing mix and parental loyalty. These findings suggest that the school has been successful in leveraging its marketing mix to create a favorable image and foster parental loyalty. However, the study’s cross-sectional design and data collection from a single site limit the generalizability of the findings. Future research studies could explore additional factors influencing parental loyalty or collect data from multiple schools to examine the extent to which these findings may apply in other settings.</p> David Horng Damrong Sattayawaksakul* Wayne Hamra Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-31 2024-12-31 13 3 55 73 Digital Content Marketing Strategy and Good Attitude toward the Brand: Evidence from Online Shopping in Four Northern Provinces of Thailand https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jms_ubu/article/view/277965 <p> The objective of this study was to investigate the influence of digital content marketing strategy on a positive attitude toward the brand. The digital content marketing strategy consisted of three dimensions: digital channel diversity, digital form identification, and providing valuable information and experiences. Data for analysis were collected through a survey of 554 consumers who regularly shopped online in the upper northern region of Thailand, specifically in the four provinces of Chiang Mai, Chiang Rai, Lampang, and Phayao. Multiple regression analysis was employed for hypothesis testing. The results indicated that the three dimensions of digital content marketing strategy were significantly and positively related to a positive attitude toward the brand. Theoretical and managerial contributions, along with recommendations for future research, were also discussed.</p> Nattawut Panya Copyright (c) 2024 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-31 2024-12-31 13 3 74 93