https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jms_ubu/issue/feed
วารสารบริหารศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
2025-08-31T22:34:24+07:00
ดร.กนกกานต์ เทวาพิทักษ์ คุคค์
jmsubu@gmail.com
Open Journal Systems
<p>ISSN 2286-6809 (Print)<br />ISSN 2651-1819 (Online)</p> <p>วารสารบริหารศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี เป็นวารสารที่ตีพิมพ์บทความภาษาไทย/ภาษาอังกฤษ <strong>โดยเปิดรับบทความวิจัย (Research paper) บทความวิชาการ (Review article)</strong> โดยมีวัตถุประสงค์การตีพิมพ์ ดังนี้<br /> 1. เพื่อเผยแพร่ผลงานทางวิชาการและผลงานวิจัยของอาจารย์ นักวิชาการ นักศึกษา และผู้สนใจ ทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย <br /> 2. เพื่อส่งเสริม เผยแพร่การศึกษา ค้นคว้าวิจัยที่มีประโยชน์ มีคุณค่าต่อการพัฒนาองค์ความรู้วิชาการ ในสาขาวิชาต่างๆ</p> <h3> </h3> <h3>Focus and Scope</h3> <p>โดยมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องครอบคลุมศาสตร์ทางด้านการบริหารและการจัดการ ทั้งภาครัฐและเอกชน ได้แก่ การบัญชี การเงินและการธนาคาร การตลาด การจัดการและการจัดการเชิงกลยุทธ์ พฤติกรรมองค์กรและการจัดการทรัพยากรมนุษย์ การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ธุรกิจระหว่างประเทศ เศรษฐศาสตร์ การจัดการโรงแรมและการท่องเที่ยว รวมทั้งหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อดังกล่าว</p> <h3> </h3> <h3>Peer Review Process</h3> <p>** บทความที่จะลงตีพิมพ์ในวารสารบริหารศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ทุกเรื่องต้องผ่านการพิจารณาเห็นชอบจากผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาที่เกี่ยวข้อง<strong> บทความละ 3 ท่าน ในรูปแบบ Double-Blind </strong> และจะต้องเป็นบทความที่ไม่เคยได้รับการตีพิมพ์ เผยแพร่ หรืออยู่ระหว่างการพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารอื่นๆ การละเมิดลิขสิทธิ์ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้ส่งบทความโดยตรง </p> <p>**ผู้สนใจสามารถส่งบทความตีพิมพ์ผ่านระบบ Submission Online </p> <p> </p> <h3>Publication Frequency</h3> <p>วารสารบริหารศาสตร์มีกำหนดการตีพิมพ์ปีละ 3 ครั้ง (เริ่มตั้งแต่ฉบับปีที่ 13 ฉบับที่ 1 มกราคม-เมษายน 2567 เป็นต้นไป)</p> <p>- ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม-เมษายน</p> <p>- ฉบับที่ 2 เดือนพฤษภาคม-สิงหาคม</p> <p>- ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน-ธันวาคม </p> <p> </p> <p>- <a href="https://docs.google.com/document/d/1xjS_1WZP_CIwoQObd2cIM78Mp8Wkkd_k/edit?usp=sharing&ouid=112051766367499053711&rtpof=true&sd=true">Template การเขียนบทความวิจัย</a></p> <p>- <a href="https://docs.google.com/document/d/1xPfLXeqlCEDMbtN--1JqUnrXK1v2Frkc/edit?usp=sharing&ouid=112051766367499053711&rtpof=true&sd=true">แบบเสนอต้นฉบับ (ไทย)</a></p> <p>- <a title="Manuscript submission form" href="https://docs.google.com/document/d/1gNWwCSfK5WW37J2YKgfS7997ID281_s7/edit?usp=sharing&ouid=112051766367499053711&rtpof=true&sd=true">Manuscript submission form</a></p> <p>- <a href="https://drive.google.com/file/d/1beykC3sAWHephEpoKa0LTo6-qaiVcf3D/view?usp=sharing">คำแนะนำและการจัดเตรียมต้นฉบับและการอ้างอิง (อ้างอิงแบบ APA Style)</a></p> <p>- <a href="https://drive.google.com/file/d/12999q0Q3hbeMAAyW_BJpspWtVTzM93XV/view?usp=sharing">คู่มือการใช้งานงานระบบ ThaiJO (สำหรับผู้แต่ง)</a></p> <p><strong>*** ผู้ส่งบทความกรุณาจั</strong><strong>ดทำแบบเสนอต้นฉบับ และจัดทำบทความตามรูปแบบที่กำหนด</strong></p> <p> </p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์บทความ</strong></p> <p> ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป ผู้ส่งบทความเพื่อตีพิมพ์ในวารสารบริหารศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี จะต้องชำระค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ จำนวน 4,000 บาท (สี่พันบาทถ้วน) โดยมีรายละเอียด ดังนี้</p> <p>1. ชำระเงินค่าธรรมเนียมจำนวน 1,000 บาท (หนึ่งพันบาทถ้วน) ต่อหนึ่งบทความ ภายใน 5 วันทำการ นับแต่วันที่ได้ส่งต้นฉบับต่อบรรณาธิการ</p> <p> กรณีบทความนั้นไม่ผ่านการพิจารณาคัดเลือกจากบรรณาธิการหรือผู้ทรงคุณวุฒิ วารสารขอสงวนสิทธิ์ไม่คืนเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวในทุกกรณี</p> <p>2. เมื่อบรรณาธิการคัดเลือกบทความเข้าสู่กระบวนการอ่าน ตรวจ และประเมินบทความของผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer-review) ในสาขาที่เกี่ยวข้อง และบรรณาธิการได้ตอบรับบทความให้ตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารบริหารศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ผู้ส่งบทความจะต้องชำระเงินค่าธรรมเนียมตีพิมพ์เพิ่ม จำนวน 3,000 บาท (สามพันบาทถ้วน) ต่อหนึ่งบทความ ภายใน 5 วันทำการ นับตั้งแต่วันที่ได้รับแจ้งจากบรรณาธิการ หากไม่สามารถชำระได้ตามระยะเวลา ให้ผู้ส่งบทความยื่นคำขอขยายเวลาชำระเงินต่อบรรณาธิการ ทั้งนี้ การขอขยายเวลาชำระเงิน บรรณาธิการจะนำเสนอต่อคณบดีพิจารณาในกรณีที่มีเหตุอันจำเป็น และขยายเวลาเพิ่มได้อีกไม่เกิน 3 วัน</p> <p>3. ให้ผู้ส่งบทความชำระเงินโดยการโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) บัญชีออมทรัพย์ ชื่อบัญชี “มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี (คณะบริหารศาสตร์)” เลขที่บัญชี 869-300-131-6</p> <p>4. เมื่อผู้ส่งบทความดำเนินการโอนเงินค่าธรรมเนียมแล้ว ให้ส่งหลักฐานการชำระค่าธรรมเนียมผ่านทางระบบ ThaiJO (Add Discussion) หรือส่งทางอีเมล jmsubu@gmail.com เพื่อกองบรรณาธิการจะดำเนินการในขั้นตอนต่อไป</p>
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jms_ubu/article/view/284549
การบริโภคอย่างยั่งยืน: แนวคิด นโยบายและแนวทางปฏิบัติเพื่อการพัฒนา อย่างยั่งยืน
2025-02-08T23:44:59+07:00
สรายุธ รัศมี
Sarayoot.r@kku.ac.th
<p> การบริโภคอย่างยั่งยืนถือเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืนทั้งในระดับโลกและระดับประเทศ บทความนี้มุ่งสำรวจแนวคิด ทฤษฎี และองค์ความรู้ใหม่เกี่ยวกับการบริโภคอย่างยั่งยืน มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์การบริโภคของประเทศไทย วิเคราะห์นโยบายและมาตรการส่งเสริมการบริโภคอย่างยั่งยืนจากต่างประเทศ และนำเสนอแนวทางกลยุทธ์ที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทย โดยเชื่อมโยงแนวคิดการบริโภคกับการจัดการทรัพยากรที่กำหนดรูปแบบและพฤติกรรมการบริโภค ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อเสถียรภาพของเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมในระยะยาว ตามกรอบการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ ผลการศึกษาพบว่า ในปัจจุบันประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายในการพัฒนาประเทศหลากหลายด้าน เช่น มีการพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติอย่างมาก การใช้พลังงานอย่างไม่มีประสิทธิภาพ และการผลิตขยะในปริมาณสูง ประเทศไทยสามารถเรียนรู้จากกรณีศึกษาของประเทศที่ประสบความสำเร็จ เช่น ญี่ปุ่นและกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย ซึ่งเน้นการพัฒนากลยุทธ์ที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน แนวทางสำคัญ ได้แก่ การสนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียน การลดการใช้พลาสติก และการพัฒนาพลังงานทดแทน ซึ่งแนวทางเหล่านี้สามารถนำมาปรับใช้ในบริบทของประเทศไทยผ่านการวิเคราะห์ความเหมาะสมของนโยบายและมาตรการที่เอื้อต่อการบริโภคอย่างยั่งยืน แม้ว่าประเทศไทยจะมีการส่งเสริมปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาอย่างต่อเนื่อง แต่มาตรการที่ใช้ในปัจจุบันยังคงมุ่งเน้นในระดับท้องถิ่นและภาคเกษตรกรรมเป็นหลัก ขณะที่แนวทางใหม่ เช่น การจัดการทรัพยากรหมุนเวียนในภาคอุตสาหกรรม และการพัฒนาเทคโนโลยีที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จำเป็นต้องได้รับการผลักดันมากขึ้นในระดับนโยบายและการปฏิบัติจริง เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมในการขับเคลื่อนความยั่งยืนของประเทศ ผ่านข้อเสนอ<br />เชิงนโยบายที่เน้นการเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อม การสนับสนุนภาคธุรกิจและประชาชนผ่านมาตรการ<br />จูงใจ ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ในการเปลี่ยนผ่านสู่พฤติกรรมการบริโภคที่มีความรับผิดชอบ การเปลี่ยนผ่านนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการ บูรณาการความร่วมมือทุกภาคส่วนอย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ทุกภาคส่วนต้องมีส่วนร่วมในการปฏิบัติตามแนวทางที่ยั่งยืนเพื่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกต่ออนาคต </p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jms_ubu/article/view/284796
พลังข้ามรุ่น: บทเรียนจากงานบริการวิชาการผ่านโครงการอาสาสมัคร เพื่อการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน
2025-01-01T20:13:51+07:00
ศรีสุข มงกุฎวิสุทธิ์
srisuk.m@psds.tu.ac.th
<p> บทความวิชาการนี้นำเสนอแนวคิด “พลังข้ามรุ่น” ซึ่งบูรณาการการเรียนรู้ระหว่างวัย ทุนทางสังคม และการพัฒนาชุมชนแบบมีส่วนร่วม ผ่านโครงการอาสาสมัครในพื้นที่คุ้งบางกระเจ้า โดยผู้สูงวัยและนักศึกษาได้ร่วมกิจกรรมฐานเรียนรู้ 5 ด้าน ที่เกิดจากการใช้ทรัพยากรในชุมชน โดยมีผู้สูงอายุถ่ายทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นและสร้างนวัตกรรมร่วม กระบวนการดังกล่าวส่งเสริมการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ความไว้วางใจ และความร่วมมือข้ามวัย นำไปสู่การลดช่องว่างระหว่างวัยและเสริมสร้างทุนทางสังคมที่เข้มแข็ง</p> <p> ผลลัพธ์สะท้อนการพัฒนาชุมชนยั่งยืนใน 3 มิติ ได้แก่ เศรษฐกิจ (สร้างผลิตภัณฑ์ชุมชนและกิจกรรมท่องเที่ยวรายได้หมุนเวียน) สังคม (สร้างเครือข่ายข้ามรุ่นและระบบถ่ายทอดความรู้) และสิ่งแวดล้อม (ตระหนักถึงการอนุรักษ์ผ่านการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า) ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยมีบทบาทสำคัญในการเป็นพื้นที่กลางเชื่อมโยงคนต่างวัย พัฒนาหลักสูตรที่ตอบโจทย์การเรียนรู้ตลอดชีวิต รวมถึงการส่งเสริมให้การเรียนรู้ข้ามรุ่นเป็นพันธกิจเชิงรุกด้านบริการวิชาการของสถาบันอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง </p> <p> ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ได้แก่ การจัดตั้งศูนย์เรียนรู้ข้ามรุ่นในชุมชน การพัฒนาหลักสูตรมัคคุเทศก์ข้ามรุ่น และการผลักดันแนวคิดพลังข้ามรุ่นเป็นแนวนโยบายระดับประเทศ เพื่อรองรับสังคมสูงวัยอย่างมีพลังและยั่งยืน ซึ่งจะเป็นรากฐานของสังคมที่เกื้อกูล เข้าใจ และอยู่ร่วมกันได้อย่างสมดุลในทุกช่วงวัย</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jms_ubu/article/view/278681
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความตั้งใจในการมาท่องเที่ยวเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี
2024-08-23T05:56:28+07:00
สิริภัทร์ โชติช่วง*
Siripat.c@psu.ac.th
เจษฎา ชิตไทย
bm6440410167@gmail.com
นภัสวรรณ นาคพิน
bm6440410119@gmail.com
ฟารอบี ร่าหมาน ร่าหมาน
bm6440410134@gmail.com
รัชนีวรรณ ดวงจันทร์
bm6440410150@gmail.com
อรณิชา ใจกว้าง
bm6440410161@gmail.com
<p> การศึกษาเรื่องปัจจัยที่ส่งผลต่อความตั้งใจในการมาท่องเที่ยวเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาทัศนคติที่มีต่อพฤติกรรม การคล้อยตามกลุ่มอ้างอิง การรู้ความสามารถในการควบคุมพฤติกรรม และประสบการณ์การบริการ ที่ส่งผลต่อความตั้งใจในการมาท่องเที่ยวเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาคือ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยวเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี จำนวน 400 คน ด้วยวิธีการสุ่มตามความสะดวก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม ประกอบด้วย 1) สถิติเชิงพรรณนา คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2) สถิติเชิงอนุมาน คือ วิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ ผลการวิจัย พบว่า ปัจจัยด้านทัศนคติที่มีต่อพฤติกรรมจัดอยู่ในระดับมากที่สุด (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 4.25) ปัจจัยด้านประสบการณ์การบริการจัดอยู่ในระดับมากที่สุด (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 4.21) ปัจจัยด้านการรับรู้ความสามารถในการควบคุมพฤติกรรม (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 4.19) และปัจจัยด้านการคล้อยตามกลุ่มอ้างอิงจัดอยู่ในระดับมาก (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 4.15) โดยปัจจัยทั้ง 4 ส่งผลต่อความตั้งใจในการเดินทางมาท่องเที่ยวเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานีอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ลำดับอิทธิพลของตัวแปรที่สูงที่สุด คือ ปัจจัยด้านการรับรู้ความสามารถในการควบคุมพฤติกรรม (β = 0.43) รองลงตามลำดับ คือ ปัจจัยด้านการคล้อยตามกลุ่มอ้างอิง (β = 0.24) ปัจจัยด้านประสบการณ์การบริการ (β = 0.20) และปัจจัยด้านทัศนคติที่มีต่อพฤติกรรม (β = 0.11) ตามลำดับ </p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jms_ubu/article/view/284274
Application of Gunning Method to Analyze Communication Efficiency of Thai Technology Startup Companies via Mission Statement
2025-02-08T19:09:03+07:00
Watcharee Ariyamang
Watcharee.a@mail.rmutk.ac.th
Thikamporn Thaweedech*
thikamporn.t@mail.rmutk.ac.th
<p> A mission statement is an important tool for effective communication between business organizations and their stakeholders. Communication effectiveness depends on characteristics of the mission statement, such as the number of sentences, the number of words used to convey the message, and its readability. The research question is: Do the mission statements of Thai technology startup companies demonstrate effective communication? Accordingly, this study aims to: (1) survey the number of sentences and words to measure the communication effectiveness of mission statements, and (2) examine readability levels to assess their communication effectiveness. Gunning’s approach was applied to mission statements from eighteen Thai technology startup companies listed on the Stock Exchange of Thailand. Counting techniques were used in the analysis, along with frequency, percentage, mean, standard deviation, and the Fox Index.</p> <p> The results revealed that: (1) the mission statements of Thai companies were effective in communication, with an average of 3.28 sentences and 72.28 words, which met the specified criteria; and (2) the average readability level was 11.62, indicating an acceptable level. This suggests that the mission statements of most Thai companies are effective in communication, with only two companies having readability at a difficult level. Therefore, to improve efficiency in communication between companies and stakeholders, organizations should periodically review and refine the writing of their mission statements.</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jms_ubu/article/view/284052
ความพึงพอใจและความไว้วางใจที่ส่งผลต่อความภักดีในการใช้บริการ ตัวแทนออกของ
2025-02-22T19:52:25+07:00
ขวัญชนก ศิริโชคชัยสกุล*
s6641410003@live.sau.ac.th
ฉัตรพล มณีกูล
chatrpolm@sau.ac.th
<p> การแข่งขันธุรกิจบริการตัวแทนออกของเพื่อผ่านพิธีการศุลกากรในการนำเข้าและส่งออกของไทยมีความรุนแรง การสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับลูกค้าเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยส่งเสริมความได้เปรียบทางการแข่งขัน การวิจัยเชิงปริมาณครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความพึงพอใจและความไว้วางใจที่ส่งผลต่อความภักดีในใช้บริการของลูกค้า เก็บตัวอย่างโดยใช้แบบสอบถามออนไลน์กับสมาชิกของสมาคมนำเข้าและส่งออกในประเทศไทยจำนวน 400 ราย วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์ความถดถอยพหุคูณ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ความพึงพอใจและความไว้วางใจมีผลเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญต่อความภักดีในการใช้บริการโดยรวม ซึ่งอยู่ในระดับมากที่สุด โดยตัวแปรที่ส่งผลต่อความภักดีในการใช้บริการของตัวแทนออกของ ได้แก่ ความพึงพอใจต่ออัธยาศัย ความไว้วางใจด้านความสัมพันธ์ ความไว้วางใจด้านความปลอดภัย และความไว้วางใจด้านความโปร่งใส ทั้งนี้พบว่ามีบางตัวแปรที่ไม่ส่งผลต่อความภักดีในการใช้บริการ ได้แก่ ความพึงพอใจต่อความสะดวกที่ได้รับจากบริการ ความพึงพอใจต่อการประสานงานของบริการ ความพึงพอใจต่อข้อมูลที่ได้รับจากบริการ ความพึงพอใจต่อคุณภาพการบริการ และความพึงพอใจต่อค่าใช้จ่ายเมื่อใช้บริการ จากผลการศึกษานี้ อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการเช่น ตัวแทนออกของหรือธุรกิจที่ต้องการสร้างความภักดีจากลูกค้าควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาความสัมพันธ์และความไว้วางใจจากลูกค้า โดยเฉพาะในด้านการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและการสร้างความโปร่งใสในการให้บริการ นอกจากนี้ การสร้างประสบการณ์ที่ดีในการปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า เช่น การบริการที่มีอัธยาศัยดี สามารถช่วยเสริมสร้างความพึงพอใจและความภักดีได้มากขึ้น ในแง่ของการตลาดและการพัฒนาองค์กร ผู้ให้บริการควรพัฒนาความสามารถในการสร้างความไว้วางใจจากลูกค้า โดยการให้ข้อมูลที่โปร่งใสและชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายด้านความปลอดภัยและการทำงานขององค์กร และเน้นการสร้างความสัมพันธ์ที่ยาวนานกับลูกค้า ผ่านการปฏิสัมพันธ์ที่ดีและมีความจริงใจในการบริการ</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jms_ubu/article/view/282470
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสามารถในการได้งาน: การศึกษาจากมุมมอง ของบัณฑิตบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
2025-03-17T19:45:39+07:00
ชมพูนุท ด้วงจันทร์*
chompunoot.d@psu.ac.th
สุรินทร์ ชุมแก้ว
surin.c@psu.ac.th
กรุณา พุ่มเอี่ยม
Karuna385@gmail.com
ชนน พ่วงจินดา
Chanon.puangjinda@gmail.com
ชนภัทร เขาทอง
Chanaphat669@gmail.com
ปรีดา พรมน้อย
Preeda17077@gmail.com
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความสามารถในการได้งานของมุมมองบัณฑิตบริหารธุรกิจ โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามออนไลน์จากกลุ่มตัวอย่างบัณฑิตบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จำนวน 185 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า บัณฑิตมีความคิดเห็นต่อปัจจัยที่ศึกษาในระดับมากที่สุด 3 ด้าน ได้แก่ ทักษะทางเทคนิค (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 4.58, S.D.=0.83) ทักษะทางอารมณ์และสังคม (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 4.53, S.D.=0.40) และประสบการณ์ (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 4.52, S.D.=0.36) ส่วนด้านการเลื่อนชั้นทางสังคม (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 4.20, S.D.=0.62) และความสามารถในการได้งาน (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 3.54, S.D.=0.83) อยู่ในระดับมาก ผลการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอนพบว่า มีเพียง 2 ปัจจัยที่สามารถพยากรณ์ความสามารถในการได้งานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.05) ได้แก่ ทักษะทางเทคนิค (β = 0.466) ซึ่งมีความสัมพันธ์เชิงบวก และการเลื่อนชั้นทางสังคม (β = -0.231) ซึ่งมีความสัมพันธ์เชิงลบ โดยผลการวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่า การพัฒนาทักษะทางเทคนิคเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมความสามารถในการได้งานของบัณฑิต ในขณะที่การมุ่งเน้นการเลื่อนชั้นทางสังคมอาจส่งผลในทางตรงกันข้ามในมุมมองของบัณฑิตบริหารธุรกิจ อย่างไรก็ตาม ควรมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจส่งผลต่อความสามารถในการได้งาน เนื่องจากโมเดลการวิจัยนี้สามารถอธิบายความแปรปรวนได้เพียงส่วนน้อย</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jms_ubu/article/view/285449
อิทธิพลของความสุขในการทำงาน ความผูกพันต่อองค์กร และองค์กรแห่งการเรียนรู้ต่อประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานโรงแรมในเขตกรุงเทพมหานคร
2025-03-02T19:25:33+07:00
นันทวัฒน์ พรเลิศกชกร*
Nantawat.po@dtc.ac.th
อัจฉราภรณ์ อมรสิทธินนท์
Aucharaporn.am@dtc.ac.th
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับของความสุขในการทำงาน ความผูกพันต่อองค์กร องค์กรแห่งการเรียนรู้ และประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานโรงแรมในเขตกรุงเทพมหานคร รวมถึง 2) เพื่อวิเคราะห์อิทธิพลของปัจจัยความสุขในการทำงาน ความผูกพันต่อองค์กร และองค์กรแห่งการเรียนรู้ต่อประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานโรงแรมในเขตกรุงเทพมหานคร โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณผ่านการเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 คน เครื่องมือวิจัยผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา และความเชื่อมั่นค่าสัมประสิทธิ์อัลฟาของครอนบาคอยู่ในช่วง 0.942 ถึง 0.946</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ระดับความสุขในการทำงานโดยรวมอยู่ในระดับสูงมาก ในขณะที่ระดับของความผูกพันต่อองค์กร องค์กรแห่งการเรียนรู้ และประสิทธิภาพการทำงานอยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ยังพบว่า ความสุขในการทำงานและองค์กรแห่งการเรียนรู้มีอิทธิพลเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติต่อประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานโรงแรม (R² = 73.70%) ขณะที่ความผูกพันต่อองค์กรไม่มีอิทธิพลอย่างมีนัยสำคัญ ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า การส่งเสริมความสุขในการทำงาน และการพัฒนาองค์กรให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้มีความสำคัญต่อการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน และช่วยลดอัตราการลาออกของพนักงานในอุตสาหกรรมโรงแรม</p> <p> </p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025