https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jms_ubu/issue/feed วารสารบริหารศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 2024-04-29T16:13:18+07:00 ดร.กนกกานต์ เทวาพิทักษ์ คุคค์ jmsubu@gmail.com Open Journal Systems <p>ISSN 2286-6809 (Print)<br />ISSN 2651-1819 (Online)</p> <p>วารสารบริหารศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี เป็นวารสารที่ตีพิมพ์บทความภาษาไทย/ภาษาอังกฤษ <strong>โดยเปิดรับบทความวิจัย (Research paper) บทความวิชาการ (Review article)</strong> โดยมีวัตถุประสงค์การตีพิมพ์ ดังนี้<br /> 1. เพื่อเผยแพร่ผลงานทางวิชาการและผลงานวิจัยของอาจารย์ นักวิชาการ นักศึกษา และผู้สนใจ ทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย <br /> 2. เพื่อส่งเสริม เผยแพร่การศึกษา ค้นคว้าวิจัยที่มีประโยชน์ มีคุณค่าต่อการพัฒนาองค์ความรู้วิชาการ ในสาขาวิชาต่างๆ</p> <h3> </h3> <h3>Focus and Scope</h3> <p>โดยมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องครอบคลุมศาสตร์ทางด้านการบริหารและการจัดการ ทั้งภาครัฐและเอกชน ได้แก่ การบัญชี การเงินและการธนาคาร การตลาด การจัดการและการจัดการเชิงกลยุทธ์ พฤติกรรมองค์กรและการจัดการทรัพยากรมนุษย์ การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ธุรกิจระหว่างประเทศ เศรษฐศาสตร์ การจัดการโรงแรมและการท่องเที่ยว รวมทั้งหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อดังกล่าว</p> <h3> </h3> <h3>Peer Review Process</h3> <p>** บทความที่จะลงตีพิมพ์ในวารสารบริหารศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ทุกเรื่องต้องผ่านการพิจารณาเห็นชอบจากผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาที่เกี่ยวข้อง<strong> บทความละ 3 ท่าน ในรูปแบบ Double-Blind </strong> และจะต้องเป็นบทความที่ไม่เคยได้รับการตีพิมพ์ เผยแพร่ หรืออยู่ระหว่างการพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารอื่นๆ การละเมิดลิขสิทธิ์ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้ส่งบทความโดยตรง </p> <p>**ผู้สนใจสามารถส่งบทความตีพิมพ์ผ่านระบบ Submission Online <strong>โดยไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ในทุกขั้นตอน</strong></p> <p> </p> <h3>Publication Frequency</h3> <p>วารสารบริหารศาสตร์มีกำหนดการตีพิมพ์ปีละ 3 ครั้ง (เริ่มตั้งแต่ฉบับปีที่ 13 ฉบับที่ 1 มกราคม-เมษายน 2567 เป็นต้นไป)</p> <p>- ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม-เมษายน</p> <p>- ฉบับที่ 2 เดือนพฤษภาคม-สิงหาคม</p> <p>- ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน-ธันวาคม </p> <p> </p> <p>- <a href="https://docs.google.com/document/d/1xjS_1WZP_CIwoQObd2cIM78Mp8Wkkd_k/edit?usp=sharing&amp;ouid=112051766367499053711&amp;rtpof=true&amp;sd=true">Template การเขียนบทความวิจัย</a></p> <p>- <a href="https://drive.google.com/file/d/1hmMGhx_65mSKVNnFzNWv4MR5WEkF1FFz/view?usp=sharing">แบบเสนอต้นฉบับ (ไทย)</a></p> <p>- <a title="Manuscript submission form" href="https://docs.google.com/document/d/1gNWwCSfK5WW37J2YKgfS7997ID281_s7/edit?usp=sharing&amp;ouid=112051766367499053711&amp;rtpof=true&amp;sd=true">Manuscript submission form</a></p> <p>- <a href="https://drive.google.com/file/d/1MrOmObos36SUSzxi7clNT_PJa0cfQYYW/view?usp=sharing">คำแนะนำและการจัดเตรียมต้นฉบับและการอ้างอิง (อ้างอิงแบบ APA Style)</a></p> <p>- <a href="https://drive.google.com/file/d/12999q0Q3hbeMAAyW_BJpspWtVTzM93XV/view?usp=sharing">คู่มือการใช้งานงานระบบ ThaiJO (สำหรับผู้แต่ง)</a></p> <p><strong>*** ผู้ส่งบทความกรุณาจั</strong><strong>ดทำแบบเสนอต้นฉบับ และจัดทำบทความตามรูปแบบที่กำหนด</strong></p> https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jms_ubu/article/view/265737 การสื่อสารการตลาดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์ของผู้สูงอายุ ในเขตกรุงเทพมหานคร 2023-02-08T06:03:58+07:00 ณัฏฐ์พิฌา ราษฎรดีเตชะกุล nutpicha60@gmail.com <p> </p> <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์ของผู้สูงอายุ ในเขตกรุงเทพมหานคร และ 2) ศึกษาการสื่อสารการตลาดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจสินค้าออนไลน์ของผู้สูงอายุ ในเขตกรุงเทพมหานคร เป็นการวิจัยเชิงปริมาณดำเนินการศึกษากลุ่มผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) ที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร มีพฤติกรรมในการซื้อสินค้าออนไลน์อย่างน้อยหนึ่งครั้งต่อสัปดาห์ ด้วยเครื่องมือแบบสอบถาม ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติและการทดสอบสมมติฐาน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่าประชากรส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ประกอบอาชีพค้าขาย การศึกษาระดับต่ำกว่าปริญญาตรี สถานภาพโสด มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ต่ำกว่า 25,000 บาทต่อเดือน ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่าลักษณะทางประชากรศาสตร์ด้านเพศ ระดับการศึกษา สถานภาพและรายได้เฉลี่ยต่อเดือน ไม่มีความแตกต่างในการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์ ในขณะที่ลักษณะทางประชากรศาสตร์ด้านอาชีพมีความแตกต่างในการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์ ผลการศึกษา พบว่า ภาพรวมการสื่อสารการตลาดมีความสำคัญในระดับปานกลางต่อการทำให้เกิดการตัดสินใจของร้านค้าออนไลน์ โดยปัจจัยสื่อสารการตลาดด้านโฆษณาออนไลน์ มีความสำคัญในระดับสูงต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์ ผลการหาความสัมพันธ์ระหว่างการสื่อสารการตลาดต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์พบว่าปัจจัยด้านกลุ่มอิทธิพลทางความคิดและการจัดกิจกรรมส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์ทั้งหมด โดยปัจจัยกลุ่มที่มีอิทธิพลทางความคิดมีความสัมพันธ์มากที่สุด และปัจจัยด้านการจัดกิจกรรมมีความสัมพันธ์น้อยที่สุด</p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jms_ubu/article/view/271788 แนวทางการสร้างความภักดีของลูกค้าในการซื้อสินค้าในร้านค้ายกธงฟ้า จังหวัดร้อยเอ็ด 2023-10-01T08:27:52+07:00 สวรส ศรีสุตโต drsawarosu@gmail.com กนกพร นาก้อนทอง* ssawatpanich@gmail.com <p> การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เพื่อหาสาเหตุที่ลูกค้าไม่ภักดีในการซื้อสินค้าของร้านยกธงฟ้า (2) เพื่อศึกษาพฤติกรรมการซื้อสินค้าของลูกค้าในร้านค้า (3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจด้านส่วนประสมทางการตลาดค้าปลีกของลูกค้าที่มีผลต่อความภักดีของลูกค้า (4) เพื่อศึกษาปัจจัยด้านการบริหารลูกค้าสัมพันธ์ที่ส่งผลต่อความภักดีของลูกค้าในการซื้อสินค้าในร้านค้า และ (5) เพื่อหาแนวทางสร้างความภักดีของลูกค้าในการซื้อสินค้าในร้านค้า โดยทำการวิจัยทั้งเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ การเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพโดยทำการสัมภาษณ์ลูกค้าที่ไม่ได้สมัครสมาชิกจำนวน 10 ราย จากการที่ไม่ซื้อสินค้าร้านยกธงฟ้าต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 1 ปีและการเก็บข้อมูลเชิงปริมาณจากการใช้แบบสอบถามออนไลน์จำนวน 320 ราย โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างจำนวนจากจำนวนลูกค้าที่มีการสมัครสมาชิกกับร้านยกธงฟ้าจำนวน 1,575 ราย รายผลการศึกษาพบว่าปัจจัยด้านการวางผังร้านค้ามีผลต่อความภักดีของลูกค้า และการรักษาลูกค้าสัมพันธ์ด้านการสร้างความสัมพันธภาพกับลูกค้า การเข้าใจความคาดหวังของลูกค้าและการสร้างความเฉพาะเจาะจงของลูกค้ามีผลต่อความภักดีของลูกค้าในการซื้อสินค้าในร้านค้าแห่งนี้ ณ ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ดังนั้นผู้บริหารร้านค้าต้องคำนึงถึงปัจจัยในวางผังร้านค้า และต้องทำการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ที่ดี โดยมีสัมพันธภาพกับลูกค้าและเข้าใจในความคาดหวังของลูกค้ารวมถึงการให้บริการลูกค้าตามรายบุคคล</p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jms_ubu/article/view/265644 คุณลักษณะของพื้นที่ที่สามที่มีผลต่อความพึงพอใจของผู้บริโภคที่มาใช้บริการ ร้านกาแฟอำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี 2023-11-11T00:27:38+07:00 สิริภัทร์ โชติช่วง* Siripat.c@psu.ac.th ธนวรรณ ศรีไทย 6240410121@psu.ac.th ธิญาดา พรหมชัยศรี 6240410124@psu.ac.th เนตรนภา เข็มทอง 6240410128@psu.ac.th เมธาพร พยุงพันธุ์ 6240410138@psu.ac.th ศิริพร เพชรา 6240410143@psu.ac.th สมฤดี บ่อน้ำร้อน 6240410146@psu.ac.th สุภาวรรณ อินทรวิเชียร 6240410149@psu.ac.th <p> ความนิยมและพฤติกรรมในการบริโภคเครื่องดื่มประเภทกาแฟมีเพิ่มมากขึ้น จึงทำให้ธุรกิจร้านกาแฟเติบโตอยากรวดเร็วและมีการแข่งขันสูง ดังนั้น ร้านกาแฟจึงจำเป็นต้องสร้างความพึงพอใจของผู้บริโภค โดยการศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคุณลักษณะพื้นที่ที่สามมีผลต่อความพึงพอใจของผู้บริโภคที่มาใช้บริการร้านกาแฟในอำเภอเมืองจังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยกลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริโภคที่ใช้บริการร้านกาแฟในอำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี จำนวน 390 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม การสุ่มตัวอย่างด้วยวิธีตามความสะดวก สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย 1) สถิติเชิงพรรณนา คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2) สถิติเชิงอนุมาน คือ วิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ ผลการวิจัย พบว่า คุณลักษณะพื้นที่ที่มีบรรยากาศอารมณ์สนุกสนานจัดอยู่ในระดับมากที่สุด (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=4.58) คุณลักษณะของพื้นที่ที่มีการเข้าถึงได้ง่ายและสะดวกจัดอยู่ในระดับมากที่สุด (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=4.48) และคุณลักษณะของพื้นที่ที่เป็นเหมือนบ้านที่อยู่นอกบ้านจัดอยู่ในระดับมากที่สุด (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=4.48) โดยคุณลักษณะที่มีผลต่อความพึงพอใจของผู้บริโภคที่มาใช้บริการร้านกาแฟในอำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีจำนวน 6 คุณลักษณะ เรียงลำดับตามความสำคัญ คือ คุณลักษณะพื้นที่ที่มีการเข้าถึงได้ง่ายและสะดวก คุณลักษณะพื้นที่ตรงกลาง คุณลักษณะพื้นที่ที่มีรูปลักษณ์ที่ธรรมดา คุณลักษณะพื้นที่ที่มีบรรยากาศอารมณ์สนุกสนาน คุณลักษณะพื้นที่ที่เป็นเหมือนบ้านที่อยู่นอกบ้าน และคุณลักษณะพื้นที่ที่มีกิจกรรมหลักเพื่อการสนทนา</p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jms_ubu/article/view/272366 ความสัมพันธ์ของปัจจัยความพึงพอใจในภาวะการเงินของตนเอง ต่อความมั่นคงทางการเงินของผู้สูงอายุในประเทศไทย: ช่วงระหว่างสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 2023-11-10T23:00:10+07:00 วรชาติ โชครัศมีดาว* vorachat.art@gmail.com ยศ อมรกิจวิกัย yot.a@chula.ac.th <p> ในปัจจุบันผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยส่วนใหญ่ยังคงต้องทำงานเพื่อหารายได้มาเลี้ยงดูตนเอง หรือเพื่อเลี้ยงดูสมาชิกคนอื่น ๆ ในครอบครัว เนื่องจากรายได้จากการทำงานของผู้สูงอายุจึงถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญและจำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวันของผู้สูงอายุส่วนใหญ่ การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 นั้น ได้ส่งผลกระทบต่อผู้สูงอายุ โดยพบว่ามีจำนวนผู้สูงอายุที่ตกงานเพิ่มมากขึ้นในช่วงระหว่างสถานการณ์การแพร่ระบาดดังกล่าว การตกงานนั้นย่อมส่งผลกระทบต่อภาวะทางการเงินของผู้สูงอายุเนื่องจากเป็นการทำให้ผู้สูงอายุขาดรายได้จากการทำงาน ซึ่งอาจจะทำให้ผู้สูงอายุมีความมั่นคงทางการเงินลดลง การวิจัยเรื่องความสัมพันธ์ของปัจจัยความพึงพอใจในภาวะการเงินของตนเอง ต่อความมั่นคงทางการเงินของผู้สูงอายุในประเทศไทย : ช่วงระหว่างสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยความพึงพอใจในภาวะการเงินของตนเอง และปัจจัยด้านต่าง ๆ ของผู้สูงอายุในประเทศไทยที่มีต่อความมั่นคงทางการเงินของผู้สูงอายุในประเทศไทย ด้วยแบบจําลองการถดถอยโลจิสติคทวิ (Binary Logit Model) ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 โดยใช้ข้อมูลจากการสำรวจประชากรผู้สูงอายุในประเทศไทย ปี พ.ศ. 2564 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ จำนวนทั้งสิ้น 44,179 ตัวอย่าง จากการทดสอบสมมติฐานพบว่าปัจจัยผู้สูงอายุที่มีความพึงพอใจในภาวะการเงินของตนเองมีความมั่นคงทางการเงินมากกว่าผู้สูงอายุที่ ไม่มีความพึงพอใจในภาวะการเงินของตนเองสูงถึง 2.88 เท่า</p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jms_ubu/article/view/272020 การเพิ่มขีดความสามารถทางบัญชีของคนในชุมชนเพื่อยกระดับเป็นผู้ประกอบการชุมชนผ่านกระบวนการส่งเสริมอาชีพ สู่การลดต้นทุนบัญชีในการประกอบอาชีพ 2023-10-03T06:17:44+07:00 ลลิตา พิมทา lalitapimta@hotmail.com <p> </p> <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหาและความต้องการด้านอาชีพและการจัดทำบัญชี และความรู้ความเข้าใจด้านการบริหารจัดการธุรกิจชุมชน และเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางบัญชีและการบริหารจัดการธุรกิจชุมชน สู่ความเป็นผู้ประกอบการชุมชน งานวิจัยนี้ช่วยให้กลุ่มอาชีพในชุมชนได้เรียนรู้การบริหารจัดการธุรกิจชุมชนและการจัดทำบัญชี ยกระดับเป็นผู้ประกอบการชุมชน ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างคือ กลุ่มเพาะเห็ดหมู่ที่ 3 และหมู่ที่ 4 จำนวน 30 คน เครื่องมือวิจัย ได้แก่ การสนทนากลุ่ม การสัมภาษณ์เชิงลึก แบบสอบถาม การทดลอง การถ่ายทอดองค์ความรู้ ใช้ระยะเวลาการทดลอง 6 เดือน สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า ปัญหาของชุมชนด้านอาชีพคือ อาชีพมีความคล้ายคลึงกัน กลุ่มอาชีพขาดระบบการบริหารจัดการ สมาชิกขาดการมีส่วนร่วม ทักษะและความชำนาญ ด้านการจัดทำบัญชีคือ ขาดองค์ความรู้การจัดทำบัญชีที่ถูกต้อง โดยชุมชนมีความต้องการให้ส่งเสริมอาชีพต้นแบบคือ การเพาะเห็ดนางฟ้า และส่งเสริมความรู้ในการจัดทำบัญชี ซึ่งชุมชนได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้เรื่องการเพาะเห็ดนางฟ้า การบริหารจัดการธุรกิจชุมชนและการจัดทำบัญชี และหลังการทดลองฝึกปฏิบัติการในภาพรวมสมาชิกกลุ่มมีความรู้ความเข้าใจด้านการบริหารจัดการธุรกิจชุมชนเพิ่มมากขึ้น คิดเป็นร้อยละ 19.22 สามารถบันทึกบัญชีรายรับ–รายจ่าย แยกประเภทต้นทุน คำนวณผลกำไร-ขาดทุนได้ถูกต้องและสามารถลดต้นทุนการผลิตโดยการผลิตก้อนเห็ดนางฟ้าซึ่งลดต้นทุนได้ 8.25 บาทต่อก้อน สั่งซื้อขี้เลื่อยในปริมาณที่ประหยัดที่สุดคือ 3,000 กิโลกรัม ต่อรอบ ทำให้ลดต้นทุนการสั่งซื้อได้ 1,500 บาทต่อรอบ</p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jms_ubu/article/view/271850 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนบ้านท่าดีหมี อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย 2023-10-13T10:41:44+07:00 เมทยา อิ่มเอิบ methaya.ime@lru.ac.th <p> กระบวนการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนมาจากแนวคิดการพัฒนารากฐาน เนื่องจากชุมชนเป็นรากฐานทางสังคมที่สำคัญ ความเข้มแข็งของชุมชนจึงควรได้รับการพัฒนาโดยการสร้างองค์ความรู้ใหม่จากการถ่ายทอด แลกเปลี่ยน และเรียนรู้ระหว่างคนในชุมชน การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพและปัญหาที่ส่งผลต่อความเข้มแข็งของชุมชนบ้านท่าดีหมี อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย 2) ศึกษาระดับปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนบ้านท่าดีหมี อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย และ 3) ศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนบ้านท่าดีหมี อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย โดยเป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Method) กลุ่มตัวอย่างจำนวน 285 คน ใช้แบบสอบถามเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่และร้อยละตามตัวแปร หาค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) โดยทดสอบที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนบ้านท่าดีหมี อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย โดยรวมอยู่ในระดับมาก จำแนกเป็นรายด้าน ดังนี้ ระดับความคิดเห็นของปัจจัย การจัดการความรู้และการสร้างความเข้มแข็งของชุมชน โดยรวมอยู่ในระดับมาก ผลการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณสำหรับตัวแปรผลกระทบปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความเข้มแข็งของชุมชน พบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างการจัดการความรู้ส่งผลต่อการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนได้ค่า Adj R<sup>2</sup> เท่ากับ 0.649 แสดงว่า ตัวแปรอิสระสามารถพยากรณ์ ประสิทธิภาพได้ร้อยละ 64.90 ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 ทั้งนี้ในการกำหนดนโยบายด้านการสร้างความเข้มแข็งของชุมชน ควรให้ชุมชนได้มีส่วนร่วมในด้านการวางแผนการ และมีหน่วยงานท้องถิ่นสนับสนุนการนำเทคโนโลยีประเภทต่างๆมาใช้ในการพัฒนาการสร้างความเข้มแข็งในชุมชน</p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jms_ubu/article/view/272014 การพัฒนาการจัดทำบัญชีของกลุ่มธุรกิจชุมชนแบบมีส่วนร่วม ชุมชนบ้านท่าดีหมี ตำบลปากตม อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย 2023-10-13T06:23:43+07:00 อำภาภัทร์ วสันต์สกุล Amphapath.was@lru.ac.th <p> </p> <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาลักษณะแนวทางการจัดทำบัญชี ลักษณะการประกอบการ และสภาพปัญหาของกลุ่มธุรกิจชุมชนบ้านท่าดีหมี ตำบลปากตม อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย และ 2) เพื่อพัฒนาและเสนอรูปแบบแนวทางการจัดทำบัญชีที่เหมาะสม สำหรับการบริหารจัดการกลุ่มธุรกิจชุมชนบ้านท่าดีหมี ตำบลปากตม อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์และแบบสอบถามความคิดเห็นจากประธานกลุ่ม หรือผู้รับผิดชอบด้านบัญชีและการเงิน รวมทั้งสิ้น 30 คน และนำข้อมูลที่รวบรวมได้มาวิเคราะห์เชิงคุณภาพและรายงานผล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ สถิติเชิงพรรณนาด้วยค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) สถานการณ์การจัดทำบัญชีในปัจจุบันของกลุ่มธุรกิจชุมชนบ้านท่าดีหมี ตำบลปากตม อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ใช้การจดบันทึกรายการค้าที่เกิดขึ้นในรูปของสมุดบัญชีรายรับ-รายจ่ายเพียงอย่างเดียว โดย<br />ไม่มีการจัดทำรายงานการเงิน และในการดำเนินงานมีเพียงประธานกลุ่มเป็นผู้รับผิดชอบหน้าที่งานต่างๆ แต่เพียงผู้เดียว อีกทั้งยังพบว่า สมาชิกในกลุ่มธุรกิจชุมชนนั้นขาดความรู้ ความเข้าใจในด้านการจัดทำบัญชี จึงทำให้เกิดปัญหา เนื่องจากการปฏิบัติงานที่ไม่เป็นระบบ 2) การพัฒนาการจัดทำบัญชีของกลุ่มธุรกิจชุมชนบ้านท่าดีหมี ตำบลปากตม อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย โดยใช้รูปแบบการจัดทำบัญชีที่พัฒนาขึ้น ซึ่งเกิดจากการมีส่วนร่วมของกลุ่มธุรกิจชุมชนบ้านท่าดีหมี เป็นการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน และสามารถนำไปใช้ปฏิบัติได้จริงอย่างต่อเนื่อง จากรายงานงบต้นทุนผลิต และงบรายได้และค่าใช้จ่าย แสดงให้เห็นต้นทุนและผลการดำเนินงานที่ผ่านมา ซึ่งนำไปใช้ในการวางแผนการบริหารงาน และความได้เปรียบทางการแข่งขันต่อไปในอนาคต 3) ความคิดเห็นที่มีต่อการพัฒนารูปแบบการจัดทำบัญชี เพื่อเพิ่มศักยภาพของกลุ่มธุรกิจชุมชนบ้านท่าดีหมี ตำบลปากตม อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ผู้ตอบแบบสอบถามมีระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์การจัดทำบัญชีของกลุ่ม โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" /> = 3.73, S.D. = 0.512) และมีระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับการพัฒนารูปแบบการจัดทำบัญชีของกลุ่ม ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" /> = 4.12, S.D. = 0.251)</p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jms_ubu/article/view/271744 การวิเคราะห์ความสมนัยระหว่างช่วงวัยกับการรับรู้คุณค่าของผู้บริโภคเครื่องดื่ม ผสมกัญชา ในเขตกรุงเทพมหานคร 2024-01-06T16:24:00+07:00 อภิชญา พิภวากร pipawakorn.a@gmail.com <p> บทความนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความสมนัยของช่วงวัยกับการรับรู้คุณค่าของผู้บริโภคเครื่องดื่มผสมกัญชา ในเขตกรุงเทพมหานคร จากจำนวนประชากรในกรุงเทพมหานครที่มีอยู่จำนวนมากและเข้าถึงผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มผสมกัญชาได้หลากหลายมุมมอง การรับรู้คุณค่าของผู้บริโภคต่อผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเป็นสิ่งสำคัญทางด้านธุรกิจ โดยใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล กลุ่มตัวอย่างคือ ประชากรที่มีอายุระหว่าง 21-76 ปี ในเขตกรุงเทพมหานคร ผู้บริโภคที่เคยซื้อเครื่องดื่มผสมกัญชาในประเทศไทย วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบโควตา (Quota Sampling Design) โดยแบ่งกลุ่มตัวอย่างเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ 1) ช่วงวัยเบบี้บูมส์ (Generation Baby boomers) 2) ช่วงวัยเจเนอเรชั่นเอกซ์ (Generation X) 3) ช่วงวัยเจเนอเรชั่นวาย (Generation Y) 4) และช่วงวัยเจเนอเรชั่นซี (Generation Z) เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างกลุ่มละ 100 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ ไคสแควร์ โดยผู้วิจัยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป SPSS เพื่อการวิเคราะห์การสมนัย</p> <p> ผลการวิจัย ช่วงวัยของผู้บริโภคมีผลต่อความสัมพันธ์กับการรับรู้คุณค่าต่อเครื่องดื่มผสมกัญชาของผู้บริโภคเครื่องดื่มผสมกัญชา ในเขตกรุงเทพมหานคร พบว่า ช่วงวัย Gen Z (21 - 26 ปี) คือ กลุ่มช่วงวัยที่มีการรับรู้คุณค่าระดับมากทั้ง 5 ด้าน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001</p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024