วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr <p><strong><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"> ISSN : 2465-5503 (พิมพ์) </span></span></strong><br /><strong><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"> ISSN : 2630-0524 (ออนไลน์</span></span></strong><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"> )</span></span></p> <p><strong>วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์ </strong><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการศึกษาค้นคว้าเผยแพร่บทความวิจัยและบทความวิชาการแก่นักวิจัย นักวิชาการ คณาจารย์ และนักศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษา ในมิติทางด้านพระพุทธศาสนา ศิลปศาสตร์ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ นิติรัฐศาสตร์ สหวิทยาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สหวิทยาด้านการพัฒนาสังคมและชุมชน และสหวิทยาการด้านการศึกษา โดยเปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</span></span><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"> วารสารมีกระบวนการประเมินคุณภาพจากผู้ทรงคุณวุฒิก่อนตีพิมพ์ โดยบทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารต้องผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ อย่างน้อย 3 ท่าน ในลักษณะปกปิดรายชื่อ (Double blind peer-reviewed) ทั้งนี้บทความจากผู้นิพนธ์ภายในจะได้รับการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกหน่วยงานที่จัดทำวารสาร ส่วนบทความจากผู้นิพนธ์ภายนอกจะได้รับการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิภายใน หรือนอกหน่วยงานที่จัดทำวารสารที่มีความเชี่ยวชาญในสาขา และไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับผู้นิพนธ์ ทั้งนี้ บทความทีได้รับการตอบรับให้ตีพิมพ์เผยแพร่ต้องมีค่าความซ้ำของผลงานด้วยโปรแกรม CopyCat จากระบบ Thaijo ในระดับไม่เกิน 20% ตั้งแต่ปี 2566 จะทำการเผยแพร่จำนวน 6 ฉบับต่อปี<br /></span></span></p> <p> </p> th-TH [email protected] (พระมหาประกาศิต สิริเมโธ,ผศ.ดร.) [email protected] (ฉัตรระวี มณีขัติย์) Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 THE ANALYSIS OF INTERLINGUAL AND INTRALINGUAL ERRORS IN THE WRITINGS OF THAI UNIVERSITY STUDENTS https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/272975 <p>The primary objective of this study was to investigate the occurrence of interlingual and intralingual errors in the written compositions of Thai university students. The study also identified the types of errors Thai students struggled with most. The study included 41 Suratthani Rajabhat University third-year English majors. The research instrument utilized in this study was a form of unstructured writing known as free writing. Every individual was required to fulfill the task entitled "My Dream." The analysis and categorization of students' writing was conducted through the utilization of James' error taxonomy. The identification of error sources was conducted using a diagnosis-based analysis. The findings revealed that within the Common European Framework of Reference for Languages (CEFR), intralingual errors, particularly those related to grammar, presented the most significant difficulty across all proficiency levels. Of all 6,104 words written by all levels, a total of 1,521 errors were detected, with the majority (1,440 errors) falling under the classification of intralingual errors, while a considerably smaller proportion (81 errors) were identified as interlingual errors. Notably, students at the A2 level demonstrated the highest occurrence of grammar errors, constituting 18.99% of the total words written. The subsequent distribution consisted of B2 level students comprising 17.42%, C1 level students comprising 14.08%, A1 level students comprising 13.09%, and B1 level students comprising 12.05%. The results also showed that CEFR levels did not statistically affect English writing proficiency. This suggested that higher CEFR levels did not necessarily improve English writing.<strong> </strong></p> Benjawan Tipprachaban Copyright (c) 2024 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/272975 Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700 กลวิธีการนำเสนอเนื้อหาที่ปรากฏในหนังสือเสริมกำลังใจของวินทร์ เลียววาริณ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/262728 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากลวิธีการนำเสนอเนื้อหาที่ปรากฏในหนังสือเสริมกำลังใจของวินทร์ เลียววาริณ เป็นการวิจัยเอกสารเชิงคุณภาพ โดยใช้กรอบแนวคิดของศิริลักษณ์ บัตรประโคน (2548) พิมพ์พรรณ รัชนีกร (2553) และบุณฑริกา ขุนวิมล (2557) มาปรับเป็นกรอบในการวิเคราะห์หนังสือเสริมกำลังใจจำนวน 16 ชุด และนำเสนอแบบพรรณนาวิเคราะห์</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า หนังสือเสริมกำลังใจของ วินทร์ เลียววาริณ ปรากฏกลวิธีการนำเสนอเนื้อหาทั้งสิ้น 14 แบบ ได้แก่ 1) การตั้งชื่อเรื่อง 2) การใช้ภาพประกอบบทความ 3) การใช้เรื่องเล่า 4) การใช้คำโปรย 5) การยกตัวอย่างคำพูดของบุคคลมาสนับสนุนแนวคิด 6) การใช้สัญลักษณ์ 7) การแทรกอุทาหรณ์ สำนวน หรือเกร็ดความรู้ต่าง ๆ 8) การแบ่งเนื้อหาออกเป็นตอน ๆ 9) การตั้งคำถามหรือปัญหาที่น่าสนใจแล้วเฉลยภายหลัง 10) การใช้แบบสอบถาม 11) การเปลี่ยนวิธีการเล่าเรื่องธรรมดาให้เป็นบทสนทนา 12) การแบ่งเป็นจำนวนข้อ 13) การใช้เครื่องหมายคั่นระหว่างคำ และ 14) การใช้ข้อความขนาดสั้น</p> <p> องค์ความรู้จากการศึกษาในครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า วินทร์ เลียววาริณ มีความสามารถในการใช้กลวิธีการนำเสนอเนื้อหาที่หลากหลายรูปแบบ สร้างความน่าสนใจและเอื้อต่อผู้อ่านในการทำความเข้าใจแนวคิดที่ผู้เขียนต้องการเสนอได้เป็นอย่างดี โดยการใช้กลวิธีการนำเสนอที่ปรากฏมากที่สุดนั้นจะมีลักษณะของการใช้กลวิธีหลายแบบร่วมกัน ซึ่งกลวิธีที่นำมาใช้จะมีความสอดคล้องกันเพื่อช่วยทำให้ผู้อ่านเข้าใจแนวคิดที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอได้ง่ายและชัดเจนมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นแนวทางให้ผู้อ่านเรียนรู้และนำมาปรับประยุกต์ใช้ในการสร้างสรรค์ผลงานของตนเองอีกด้วย</p> ชนิกานต์ กู้เกียรติ, จุฑามาศ ศรีระษา Copyright (c) 2024 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/262728 Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700 รูปแบบการจัดประสบการณ์การเรียนรู้เสริมสร้างความสามารถในการสื่อสารและความฉลาดทางอารมณ์ของเด็กปฐมวัยตามแนวคิดสืบเสาะหาความรู้ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/267991 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาผลการร่างรูปแบบการจัดประสบการณ์การเรียนรู้เสริมสร้างความสามารถในการสื่อสารและความฉลาดทางอารมณ์ของเด็กปฐมวัย ตามแนวคิดความสามารถการคิดเชิงบริหาร และการสืบเสาะหาความรู้ และ 2) ศึกษาผลการทดลองใช้ร่างรูปแบบการจัดประสบการณ์การเรียนรู้กับผู้เรียน การวิจัยครั้งนี้ใช้กระบวนการวิจัยและพัฒนา ระยะแรก ประกอบด้วย การร่างรูปแบบและทดลองใช้ร่างการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ กับกลุ่มเป้าหมาย นักเรียนโรงเรียนชุมชนบ้านป่าแดง จำนวน 30 คน ที่ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง โดยศึกษาผลการทดลองใช้ร่างรูปแบบการจัดประสบการณ์การเรียนรู้กับนักเรียน ในภาคเรียนที่ 1/2565 เครื่องมือที่ใช้ ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ 24 แผน แบบประเมินความสามารถในการสื่อสาร 15 ข้อ และแบบประเมินความฉลาดทางอารมณ์ 15 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า</p> <ol> <li>ผลการร่างรูปแบบการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นพบว่า ร่างรูปแบบการจัดประสบการณ์การเรียนรู้เสริมสร้างความสามารถในการสื่อสารและความฉลาดทางอารมณ์ของเด็กปฐมวัย ตามแนวคิดความสามารถการคิดเชิงบริหาร และการสืบเสาะหาความรู้ มี 6 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) หลักการของรูปแบบ 2) วัตถุประสงค์รูปแบบ 3) สาระการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ 4) กิจกรรมการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ 5) สื่อและแหล่งการเรียนรู้ 6) การวัดและประเมินผล และมีผลการประเมินคุณภาพและความหมาะสมของรูปแบบ ของผู้เชี่ยวชาญโดยรวมอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย 4.20</li> <li>ผลการทดลองใช้ร่างรูปแบบการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ พบว่า นักเรียนที่รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามรูปแบบ มีความสามารถในการสื่อสารและความฉลาดทางอารมณ์หลังเรียนอยู่ในระดับมาก เมื่อเทียบกับคะแนนเต็มด้านละ 75 คะแนน ซึ่งมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 67.26 และ 64.20 ตามลำดับ</li> </ol> นาตยา หกพันนา, สฤษดิ์ ศรีขาว, นิราศ จันทรจิตร Copyright (c) 2024 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/267991 Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700 ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา ตามการรับรู้ของครู สังกัดสำนักงานเขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/266750 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา ตามการรับรู้ของครู สังกัดสำนักงานเขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร และ 2) เพื่อเปรียบเทียบภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา ตามการรับรู้ของครู สังกัดสำนักงานเขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร จำแนกตามเพศ ระดับการศึกษา และประสบการณ์ในการปฏิบัติงาน เป็นงานวิจัยเชิงปริมาณ ได้ศึกษาแนวคิด Hallinger and Murphy เป็นกรอบการวิจัย กลุ่มตัวอย่าง คือ ข้าราชการครูในสังกัดสำนักงานเขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร ปีการศึกษา 2565 จำนวน 336 คน ใช้วิธีคัดเลือกโดยการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ ชนิดมีสัดส่วน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอ้างอิง คือ การทดสอบค่าที (t-test) การทดสอบความแปรปรวนทางเดียว (One way ANOVA)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา ตามการรับรู้ของครู สังกัดสำนักงานเขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และ 2) ผลการเปรียบเทียบภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา ตามการรับรู้ของครู สังกัดสำนักงานเขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร เมื่อจำแนกตามเพศ ระดับการศึกษา และประสบการณ์ในการปฏิบัติงาน พบว่า โดยภาพรวมและรายองค์ประกอบ แตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p> ข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้ จะเป็นข้อมูลสารสนเทศที่เป็นประโยชน์ต่อผู้บริหารสถานศึกษาเพื่อเสริมสร้างและพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของตนเอง นำไปใช้เป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายและวางแผนพัฒนาสถานศึกษา เพื่อพัฒนาการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา รวมทั้งการพัฒนาบุคลากร เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้บรรลุตามเป้าหมายต่อไป</p> ทศพล ศศิธร, พิมพ์ประภา อมรกิจภิญโญ, ธัญธรณ์ อมรกิจภิญโญ Copyright (c) 2024 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/266750 Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาโมบายแอปพลิเคชันสำหรับคัดกรองเด็กอนุบาล ที่เสี่ยงบกพร่องทางสติปัญญา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/266491 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาโมบายแอปพลิเคชันสำหรับคัดกรองเด็กอนุบาลที่เสี่ยงบกพร่องทางสติปัญญา และ2) เพื่อศึกษาผลการใช้โมบายแอปพลิเคชันสำหรับคัดกรองเด็กอนุบาลที่เสี่ยงบกพร่องทางสติปัญญา เป็นการวิจัยและพัฒนา กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูปฐมวัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำนวน 34 คน ใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามสภาพปัญหาและความต้องการเกี่ยวกับการคัดกรอง แบบคัดกรองเด็กที่มีภาวะเสี่ยงบกพร่องทางสติปัญญา แบบประเมินประสิทธิภาพด้านการทำงานของโมบายแอปพลิเคชัน แบบสอบถามความพึงพอใจ และแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงการสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>1. ผลการพัฒนาโมบายแอปพลิเคชันสำหรับคัดกรองเด็กอนุบาลที่เสี่ยงบกพร่องทางสติปัญญา พบว่า ในภาพรวมด้านเทคนิคการออกแบบโมบายแอปพลิเคชัน และด้านการทำงานของโมบายแอปพลิเคชัน กลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด</li> <li>ผลการใช้โมบายแอปพลิเคชันสำหรับคัดกรองเด็กอนุบาลที่เสี่ยงบกพร่องทางสติปัญญา พบว่า ในภาพรวมครูมีความพึงพอใจต่อการใช้โมบายแอปพลิเคชันสำหรับคัดกรองเด็กอนุบาลที่เสี่ยงบกพร่องทางสติปัญญาในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ครูมีความพึงพอใจในระดับมากที่สุดทุกด้าน ได้แก่ ด้านการนำไปใช้ประโยชน์ ด้านเนื้อหา ด้านการแสดงผล ด้านการจัดการแอปพลิเคชัน และด้านการออกแบบ ตามลำดับ</li> </ol> <p>ข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้ ได้โมบายแอปพลิเคชัน i-TEAM เป็นเครื่องมือของครูผู้สอนในระดับปฐมวัย หรือผู้ที่สนใจ สามารถใช้คัดกรองเด็กอนุบาลที่มีความเสี่ยงต่อการบกพร่องทางสติปัญญา เพื่อช่วยเหลืออย่างเหมาะสมต่อไป</p> อิศรา รุ่งทวีชัย, อัจฉราพรรณ กันสุยะ Copyright (c) 2024 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/266491 Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700 “น้ำใจ” : การศึกษาอุปลักษณ์เชิงมโนทัศน์ในภาษาไทย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/266419 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถ้อยคำอุปลักษณ์ที่สะท้อนมโนทัศน์ของคำว่า <strong>“</strong>น้ำใจ<strong>” </strong><br />ในภาษาไทย ตามแนวอรรถศาสตร์ปริชาน ของ Lakoff and Johnson (1980) Gibbs (1994) และ Kövecses (2010) เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ นำเสนอผลการวิจัยแบบพรรณนาวิเคราะห์ใช้ข้อมูลเชิงปริมาณประกอบ <br />โดยเก็บข้อมูลจากงานเขียนทางวิชาการ งานเขียนกึ่งวิชาการ เรื่องแต่ง หนังสือพิมพ์ กฎหมาย และเบ็ดเตล็ด ในคลังข้อมูลภาษาไทยแห่งชาติ (Thai National Corpus : TNC) ของภาควิชาภาษาศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จำนวน 1,245 ข้อความ</p> <p><strong> </strong>ผลการวิจัย พบถ้อยคำอุปลักษณ์ที่สะท้อนมโนทัศน์ของคำว่า “น้ำใจ” ในภาษาไทย จำนวน 404 ถ้อยคำอุปลักษณ์ จัดกลุ่มได้ 5 มโนอุปลักษณ์ เรียงลำดับตามที่ปรากฏถ้อยคำอุปลักษณ์มากที่สุดไปน้อยที่สุด ได้แก่ [น้ำใจ คือ มนุษย์] [น้ำใจ คือ น้ำ] [น้ำใจ คือ วัตถุสิ่งของ] [น้ำใจ คือ พื้นที่] และ [น้ำใจ คือ เงิน/ทรัพย์สิน] มโนอุปลักษณ์ดังกล่าวสะท้อนมโนทัศน์ของคำว่า “น้ำใจ” ได้ว่า วิถีชีวิตของคนในสังคมไทยให้ความสำคัญกับการมีน้ำใจหรือการแสดงน้ำใจ จึงสะท้อนผ่านการใช้ภาษาของผู้ใช้ภาษาในปัจจุบัน ความมีน้ำใจเป็นเรื่องที่ทุกคนทำได้ เพียงแสดงความมีจิตเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์โดยการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน องค์ความรู้ที่ได้จากการศึกษาครั้งนี้จึงแสดงให้เห็นว่าน้ำใจเป็นสิ่งที่ทุกคนพึงมีเพื่อสร้างสัมพันธ์ที่ดีต่อคนรอบข้าง ทุกคนควรเรียนรู้ที่จะมีน้ำใจต่อผู้อื่น และรักษาน้ำใจซึ่งกันและกันเพื่อการอยู่ร่วมกันที่ดีในสังคม</p> วิริยวิศศ์ มงคลยศ, สิริวรรณ นันทจันทูล Copyright (c) 2024 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/266419 Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700 ความพึงพอใจของผู้ปกครองที่มีต่อกระบวนการการให้บริการช่วยเหลือ ระยะแรกเริ่มของศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดเพชรบุรี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/266520 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้ปกครองที่มีต่อกระบวนการ การให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มของศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดเพชรบุรี และ 2) เพื่อเปรียบเทียบความพึงพอใจของผู้ปกครองที่มีต่อกระบวนการการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มของศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดเพชรบุรี จำแนกตามอายุและอาชีพ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ได้ศึกษาแนวคิดกระบวนการการให้บริการช่วยเหลือ ระยะแรกเริ่มของสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษเป็นกรอบในการวิจัย ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้ปกครองของเด็กพิการของศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดเพชรบุรี ปีการศึกษา 2565 จำนวน 165 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 1 ชนิด คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ สถิติพื้นฐาน คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติอ้างอิง คือ การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว </p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ผู้ปกครองมีความพึงพอใจที่มีต่อกระบวนการการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านให้บริการเตรียมความพร้อมและจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแผนการสอนรายบุคคล (IIP) และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านคัดกรองประเภทความพิการทางการศึกษา/ส่งต่อ 2. ผู้ปกครองที่มีอายุต่างกันมีความพึงพอใจต่อกระบวนการการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3. ผู้ปกครองที่มีอาชีพต่างกันมีความพึงพอใจต่อกระบวนการการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้ ศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดต่าง ๆ ควรให้ความสำคัญกับกระบวนการการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มให้มากขึ้น เพราะจะทำให้ผู้ปกครองพาเด็กพิการมารับบริการการเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้เด็กพิการได้รับการพัฒนาศักยภาพทุกด้านตามความเหมาะสม</p> นนทสิทธิ์ ตู้จินดา, รวีวรรณ กลิ่นหอม, พิมพ์ประภา อมรกิจภิญโญ Copyright (c) 2024 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/266520 Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบนวัตกรรมการบริหารจัดการสถานศึกษาเชิงสร้างสรรค์ เพื่อส่งเสริมพัฒนาผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 สำหรับสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/274119 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบนวัตกรรมการบริหารจัดการสถานศึกษาเพื่อส่งเสริมพัฒนาผู้เรียน และสร้างรูปแบบนวัตกรรมการบริหารจัดการสถานศึกษาเชิงสร้างสรรค์เพื่อส่งเสริมพัฒนาผู้เรียนในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน รวมทั้งประเมินและรับรองรูปแบบนวัตกรรมการบริหารจัดการสถานศึกษาเชิงสร้างสรรค์เพื่อส่งเสริมพัฒนาผู้เรียนในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ใช้ระเบียบวิธีวิจัยผสานวิธีแบบหลายขั้นตอนโดยใช้เทคนิคเดลฟาย และการวิจัยเชิงสำรวจ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้เป็นผู้บริหารสถานศึกษาที่อยู่ในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาตาม พระราชบัญญัติพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พ.ศ. 2562 จำนวน 350 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามเกี่ยวกับความคิดเห็นที่มีต่อความถูกต้องและความเหมาะสม การวิเคราะห์ข้อมูลใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ สถิติที่ใช้ คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย (X) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่าการบริหารสถานศึกษา สิ่งสำคัญคือระบบในทำงาน ซึ่งต้องประกอบด้วย 1) ปัจจัยนำเข้าเป็นองค์ประกอบแรกจะนำไปสู่การดำเนินงาน โดยครอบคลุมถึงสภาพแวดล้อม ประกอบด้วย ภาวะผู้นำ บุคคลาทางการศึกษา โครงสร้างองค์กร แหล่งเรียนรู้ในสถานศึกษา และวัฒนธรรมองค์กร 2) กระบวนการ ประกอบด้วย การศึกษาและวิเคราะห์ปัญหา การวางแผนและออกแบบ การใช้นวัตกรรม และการประเมินผล 3) ผลผลิต ประกอบด้วย นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ นวัตกรรมกระบวนการ และนวัตกรรมรูปแบบการบริหาร ทั้งนี้ผลการตรวจสอบความเหมาะสมของรูปแบบนวัตกรรมการบริหารจัดการสถานศึกษาเชิงสร้างสรรค์เพื่อส่งเสริมพัฒนาผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 สำหรับสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ผู้เชี่ยวชาญมีความเห็นว่าเหมาะสม ส่วนผลการประเมินความถูกต้องและความเหมาะสมของรูปแบบนวัตกรรมการบริหารจัดการสถานศึกษาเชิงสร้างสรรค์เพื่อส่งเสริมพัฒนาผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 สำหรับสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ผู้บริหารสถานศึกษามีความเห็นว่า มีความถูกต้องระดับมากที่สุด และความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุดเช่นกัน</p> ภูมิภควัธจ์ ภูมพงศ์คชศร Copyright (c) 2024 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/274119 Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงานด้านการคลังตามระบบบัญชีคอมพิวเตอร์ e-LAAS ของเทศบาลในจังหวัดสุราษฎร์ธานี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/265618 <p>บทความวิจัยนี้เป็นการศึกษาวิจัยแบบผสมผสาน มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงานและพัฒนาแนวทางการปฏิบัติงานด้านการคลังตามระบบบัญชีคอมพิวเตอร์ e-LAAS ของเทศบาลในจังหวัดสุราษฎร์ธานี กลุ่มตัวอย่างเชิงปริมาณ จำนวน 128 คน กลุ่มตัวอย่างเชิงคุณภาพ จำนวน 32 คน รวมทั้งหมด 160 คน การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณใช้ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าความถี่ การทดสอบสมมติฐานใช้ค่า T-test และ F – Test และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน ที่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญที่ 0.05 (ค่า sig.) การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้โปรแกรม Nvivo10 นำมาสนับสนุนการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนาในลักษณะการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า การทดสอบสมมติฐานที่ 1 ใช้ t-test, f-test กับลักษณะประชากรศาสตร์ที่แตกต่างกันไม่มีผลต่อการปฏิบัติงานด้านการคลัง การทดสอบสมมติฐานที่ 2 ใช้สหสัมประสิทธิ์สัมพันธ์กับปัจจัยการนำเข้าข้อมูลมีผลต่อการปฏิบัติงานด้านการคลัง ปัจจัยที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงานด้านการคลัง มีความโดดเด่นในด้านความถูกต้องของระเบียบ รองลงมา ด้านบุคลากร ด้านความเหมาะสมของระบบ ด้านเทคโนโลยี ด้านการควบคุม และด้านการสนับสนุนความช่วยเหลือจากกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น แนวทางการพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากร เทคโนโลยี รวมถึงการควบคุมระบบคอมพิวเตอร์ให้มีความทันสมัย ในระดับท้องถิ่นควรให้ความสำคัญกับการสนับสนุนให้บุคลากรได้รับการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาความรู้ในการใช้โปรแกรมระบบบัญชีคอมพิวเตอร์อย่างต่อเนื่องควบคู่ไปกับการควบคุมการปฏิบัติงานให้มีมาตรฐานสอดคล้องกับแนวนโยบายจากรัฐบาลส่วนกลางยกระดับให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น</p> บดินทร์ธร บัวรอด Copyright (c) 2024 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/265618 Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700 การวางแผนการเงินส่วนบุคคลของประชาชนในจังหวัดอุดรธานี หลังสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/275649 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับการวางแผนการเงินส่วนบุคคล เปรียบเทียบพฤติกรรมการวางแผนการเงินส่วนบุคคล จำแนกตามปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ และศึกษาปัจจัยการวางแผนการเงินที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการวางแผนการเงินส่วนบุคคล ของประชาชนในจังหวัดอุดรธานี หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ประชาชนที่มีงานทำในจังหวัดอุดรธานี จำนวน 400 คน โดยการคำนวณสูตรทาโร ยามาเน่ และการสุ่มตัวอย่างแบบไม่อาศัยความน่าจะเป็นด้วยวิธีแบบบังเอิญ เครื่องมือการวิจัยครั้งนี้ คือ แบบสอบถาม และสถิติที่ใช้สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบความแปรปรวนทางเดียว และการวิเคราะห์สมการการถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ประชาชนที่มีงานทำในจังหวัดอุดรธานีมีความคิดเห็นเกี่ยวกับการวางแผนทางการเงินส่วนบุคคลอยู่ในระดับมาก ปัจจัยทางประชากรศาสตร์ ประกอบด้วย เพศ อายุ การศึกษา สถานภาพ และรายได้เฉลี่ยต่อเดือนที่ต่างกัน ส่งผลต่อพฤติกรรมการวางแผนทางการเงินส่วนบุคคลต่างกันด้วย และปัจจัยด้านทัศนคติทางการเงิน การรับรู้ข้อมูลข่าวสาร และองค์ความรู้เกี่ยวกับการวางแผนทางการเงิน มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการวางแผนทางการเงินส่วนบุคคล เชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญ 0.01 ผลที่ได้สามารถนำไปกำหนดเป้าหมายทางการเงินที่ชัดเจน การเพิ่มรายได้และควบคุมรายจ่ายให้มีประสิทธิภาพ มีการออมและการลงทุนเพิ่มเพื่อใช้จ่ายในวัยเกษียณอย่างราบรื่น และลดความเสี่ยงกับปัญหาต่าง ๆ ที่ไม่สามารถควบคุมได้ในอนาคต</p> กัลยารัตน์ หัสโรค์ Copyright (c) 2024 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/275649 Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700 มาตรการสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันยาเสพติดในสถานศึกษา ของโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/273409 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1)ศึกษาระดับมาตรการสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันยาเสพติดในสถานศึกษา ของโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร 2)ศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อมาตรการสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันยาเสพติดในสถานศึกษาของโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร 3)ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างนโยบายของรัฐและมาตรการสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันยาเสพติดในสถานศึกษาของโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้จากประชากรผู้ปกครองนักเรียน ผู้บริหารสถานศึกษา ครูและบุคลากรทางการศึกษา และคณะกรรมการสถานศึกษาของโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครเป็นกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 2,313 คน แบบเจาะจง โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย เป็นการวิจัยเชิงสำรวจเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถาม และมาวิเคราะห์ด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์สหสัมพันธ์คาโนนิคอล</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1)ระดับมาตรการสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันยาเสพติดในสถานศึกษา ด้านประสิทธิภาพในการวางแผนและควบคุมด้านสมรรถนะขององค์การหรือหน่วยงานด้านภาวะผู้นำและความร่วมมือ และด้านการเมืองและการบริหารสภาพแวดล้อมภายนอกอยู่ในระดับมาก 2)ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อมาตรการสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันยาเสพติดในสถานศึกษาตามนโยบายของรัฐ วัตถุประสงค์ของนโยบายการป้องกันยาเสพติดในสถานศึกษา มีความเป็นไปได้ชัดเจนมากที่สุด รองลงมาโรงเรียนปฏิบัติงานตามนโยบาย แผนงานและโครงการป้องกันและแก้ปัญหายาเสพติดอย่างเป็นระบบชัดเจนเหมาะสมต่อการกำกับ ติดตามประเมินผล องค์การมีส่วนร่วมในการปฏิบัติงานและผู้นำองค์การแก้ปัญหายาเสพติดเป็นเอกภาพ เกิดประสิทธิภาพน้อยที่สุด 3)ความสัมพันธ์ระหว่างนโยบายของรัฐและมาตรการสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันยาเสพติดในสถานศึกษาส่งผลไปในทิศทางเดียวกัน</p> ประดิษฐ์ ดีวัฒนกุล Copyright (c) 2024 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/273409 Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700 การจัดการความปลอดภัยในสถานศึกษา โรงเรียนวัดจันทร์ประดิษฐาราม สำนักงานเขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/265060 <p>การวิจัยครั้งนี้มุ่งศึกษา 1) สภาพการดำเนินการจัดการความปลอดภัยในสถานศึกษา โรงเรียนวัดจันทร์ประดิษฐาราม สำนักงานเขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร 2) ปัจจัยด้านความปลอดภัยภายในสถานศึกษา โรงเรียนวัดจันทร์ประดิษฐาราม สำนักงานเขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา 5 คน ครู 80 คน คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน 14 คน และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 – 3 237 คน รวมกลุ่มตัวอย่างที่นับได้แน่นอนจำนวนน 336 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถามฉบับที่ 1 แบบสอบถามสภาพการดำเนินการจัดการความปลอดภัยในสถานศึกษา ฉบับที่ 2 แบบสอบถามปัจจัยด้านความปลอดภัยในสถานศึกษา สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) สภาพการดำเนินการจัดการความปลอดภัยในสถานศึกษา โรงเรียนวัดจันทร์ประดิษฐาราม สำนักงานเขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ตามความคิดเห็นของผู้บริหาร ครู คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 – 3 พบว่า โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2) ปัจจัยด้านความปลอดภัยภายในสถานศึกษา โรงเรียนวัดจันทร์ประดิษฐาราม สำนักงานเขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ตามความคิดเห็นของผู้บริหาร ครู คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 – 3 ต่อปัจจัยด้านความปลอดภัยภายในสถานศึกษา โรงเรียนวัดจันทร์ประดิษฐาราม สำนักงานเขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร โดยรวมอยู่ในระดับมาก ข้อเสนอแนะที่ได้จากการวิจัย สภาพการดำเนินการจัดการความปลอดภัยในสถานศึกษาโรงเรียนวัดจันทร์ประดิษฐารามในเรื่องการจัดระบบการดูแลคุ้มครองเด็กที่ดี กำหนดให้มีโครงการป้องกันยาเสพติด โรงเรียนควรให้ความสนใจเป็นพิเศษ มีการคัดกรอง สังเกตพฤติกรรมนักเรียนกลุ่มเสี่ยง มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมพัฒนาจิตใจ พัฒนาศักยภาพนักเรียนอย่างหลากหลาย และโรงเรียนควรมีการบูรณาการความร่วมมือจากผู้ปกครอง ชุมชน ตำรวจท้องที่ เจ้าหน้าที่เทศกิจ เพื่อช่วยกันป้องกัน แก้ไขอุบัติเหตุ อุบัติภัยได้ทันต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น</p> ศุภณัฐ วรคุณพินิจ Copyright (c) 2024 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/265060 Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาศักยภาพวิสาหกิจชุมชนจังหวัดปัตตานี ด้านห่วงโซ่คุณค่าสู่ความเป็นมืออาชีพเพื่อความยั่งยืน https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/273185 <p>บทความวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางพัฒนาศักยภาพวิสาหกิจชุมชน จังหวัดปัตตานี ด้านห่วงโซ่คุณค่าสู่ความเป็นมืออาชีพเพื่อความยั่งยืน เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ทำการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 4 กลุ่ม โดยแบบเจาะจง คือ กลุ่มนักวิชาการ กลุ่มข้าราชการ กลุ่มนักธุรกิจในพื้นที่และผู้นำกลุ่มวิสาหกิจชุมชน รวม 17 คน วิเคราะห์ด้วยเทคนิคเดลฟาย (Delphi Technique)</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า แนวทางพัฒนาศักยภาพวิสาหกิจชุมชน จังหวัดปัตตานี ควรส่งเสริมการพัฒนาทรัพยากรการบริหารจัดการ 4M’s ได้แก่ ด้านคน (Man) คือ ควรมีการพัฒนาองค์ความรู้และทักษะในการผลิตและบริการ ด้านเงิน (Money) ควรมีการนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและหลักการพึ่งตนเองมาใช้ ด้านเครื่องมือและอุปกรณ์ (Material) ควรนำนวัตกรรมจากผลการศึกษาของสถาบันการศึกษาในพื้นที่มาปรับใช้ และด้านการบริหารจัดการ (Management) ควรนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง หลักการพึ่งตนเองมาใช้ ในการวิเคราะห์ห่วงโซ่คุณค่าในกิจกรรมหลัก ในด้าน Inbound Logistics มีการจัดทำระบบสั่งซื้อล่วงหน้า วางแผนการผลิตและการจัดหาผู้จำหน่าย มีระบบการสั่งซื้อ จัดเก็บและเบิกใช้วัตถุดิบที่มีประสิทธิภาพ ด้าน Operation (Manufacturing) มีการพัฒนาความรู้และทักษะการแปรรูปที่ได้มาตรฐาน ด้าน Outbound Logistics จัดส่งสินค้าที่รวดเร็วเชื่อมโยงเครือข่ายในพื้นที่และร่วมมือกับบริษัทประชารัฐรักสามัคคีปัตตานีวิสาหกิจเพื่อสังคมในการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ่านร้าน Farm Outlet Pattani ด้าน Marketing and Sales มีการสร้างตราสินค้าที่สื่อสารถึงเอกลักษณ์ของสินค้า และด้าน Service มีระบบสมาชิก และนำเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาช่วยในการให้บริการ ส่วนการวิเคราะห์ห่วงโซ่คุณค่าในกิจกรรมสนับสนุน ด้าน Procurement ต้องสร้างเครือข่ายในการจัดหาวัตถุดิบที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน ด้าน Technology Development ควรจัดสรรงบประมาณในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคมากขึ้น ด้าน Human Resource Management ควรนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาปฏิบัติ และ ด้าน Firm Infrastructure กำหนดระบบงาน แบ่งความรับผิดชอบให้ชัดเจน ส่งเสริมสังคมแห่งการแบ่งปันและช่วยเหลือกัน</p> ทักษญา สง่าโยธิน Copyright (c) 2024 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/273185 Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ระหว่างทัศนคติการเลือกซื้อและการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์ของผู้บริโภค ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/275665 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1)ศึกษาพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์ 2)ศึกษาระดับของทัศนคติการเลือกซื้อและการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์ 3)เปรียบเทียบการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์ จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 4)ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างทัศนคติการเลือกซื้อและการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณได้ศึกษาแนวคิดของทัศนคติการเลือกซื้อและแนวคิดของการตัดสินใจซื้อเป็นกรอบการวิจัย กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้บริโภคที่เคยซื้อสินค้าออนไลน์ ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี จำนวน 400 คน ใช้วิธีการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง และสุ่มตัวอย่างแบบสะดวก ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการวิจัย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test และ Anova</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) พฤติกรรมการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์ของผู้บริโภคส่วนใหญ่ซื้อบริการผ่านทาง Lazada Facebook TikTok Shoppee และ Instagram ซื้อเสื้อผ้า/เครื่องแต่งกาย ใช้บริการ 1 - 2 ครั้ง/เดือน ค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าแต่ละครั้งต่ำกว่า 1<strong>,</strong>000 บาท และส่วนใหญ่ชำระค่าสินค้าและบริการโดยโอนเงินผ่านบัญชีธนาคาร 2) ระดับทัศนคติการเลือกซื้อของผู้บริโภคโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.19) ระดับความสำคัญของการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.21) 3) เปรียบเทียบการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์ของผู้บริโภคเพศที่ต่างกัน ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์ โดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์ของผู้บริโภค จำแนก อายุ ระดับการศึกษา สถานภาพ อาชีพและรายได้เฉลี่ยต่อเดือน ที่ต่างกันส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์ โดยรวมไม่แตกต่างกัน 4) ความสัมพันธ์ระหว่างทัศนคติการเลือกซื้อและการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์ของผู้บริโภค มีความสัมพันธ์กันในทิศทางเดียวกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p> จินตนา สุริยะศรี Copyright (c) 2024 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/275665 Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700 พฤติกรรม และความต้องการของนักท่องเที่ยวชาวไทยศักยภาพสูง ที่มีต่อการจัดการฟาร์มเกษตรโคนมเพื่อการท่องเที่ยว https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/261467 <p>พฤติกรรม และความต้องการของนักท่องเที่ยวชาวไทยศักยภาพสูงที่มีต่อการจัดการฟาร์มเกษตรโคนมเพื่อการท่องเที่ยว เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน ด้วยการ<em>สัมภาษณ์เชิงลึก</em> แบบสัมภาษณ์กึ่ง วิเคราะห์ข้อมูลด้วย Content Analysis ภายใต้ปรากฏการณ์วิทยา โดยการใช้โปรแกรมการวิจัยเชิงคุณภาพ NVivo ดำเนินการตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้าด้านข้อมูล ในกลุ่มตัวอย่างนักท่องเที่ยวชาวไทยศักยภาพสูง 10 ท่านที่มีรายได้รายได้ส่วนตัวระหว่าง 45,000 - 74,999 บาท/เดือน อีกส่วนหนึ่ง คือ การศึกษาการตัดสินใจท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวไทยศักยภาพสูง โดยการวิเคราะห์โมเดลการถดถอยโลจิสติก (Logictic Regression Model) สุ่มตัวอย่างเป็นแบบเจาะจง จำนวน 400 ด้วยแบบสอบถาม ผู้วิจัยพบว่า สามารถถอดรหัส (Decoding) เป็น Nodes หรือ องค์ประกอบหลัก ทั้ง 3 องค์ประกอบหลัก และ 11 องค์ประกอบย่อย ที่สะท้อนถึงพฤติกรรม และความต้องการของนักท่องเที่ยวชาวไทยศักยภาพสูง ที่มีต่อการจัดการการท่องเที่ยวเชิงฟาร์มเกษตรโคนม รวมถึงการนิยามความหมายพฤติกรรม และความต้องการ ด้านพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวชาวไทยศักยภาพสูง ผ่านลำดับขั้นก่อนการท่องเที่ยว ลำดับขั้นระหว่างการท่องเที่ยว และลำดับขั้นหลังการท่องเที่ยว ด้านความต้องการของนักท่องเที่ยวชาวไทยศักยภาพสูง คือ เกิดจากความต้องการจากเพื่อน เกิดจากความต้องการจากลูกหลาน เกิดจากความต้องการจากครอบครัว และ เกิดจากความต้องการจากตนเองเป็นสำคัญ ในส่วนการวิจัยเชิงปริมาณ พบว่า สมการพยากรณ์ Logistic Regression : Ŷ(Travel Decision-Making) = 8.977 + 3.282 PRS + 6.967 PUS - 5.998 POS ภายใต้สมมติฐานงานวิจัย ผู้วิจัยสามารถพยากรณ์การตัดสินใจเดินทางของนักท่องเที่ยวชาวไทยศักยภาพสูง โดยที่ลำดับขั้นการท่องเที่ยว (Purchase Stage) เพิ่มขึ้น 1 ระดับ โอกาสการตัดสินใจเดินทางไปท่องเที่ยวยังฟาร์มเกษตรโคนมของนักท่องเที่ยวชาวไทยศักยภาพสูง จะเพิ่มขึ้น 201.115 เท่า ในส่วนของ ลำดับขั้นก่อนการท่องเที่ยว เพิ่มขึ้น 1 ระดับ โอกาสการตัดสินใจเดินทางไปท่องเที่ยวยังฟาร์มเกษตรโคนมของนักท่องเที่ยวชาวไทยศักยภาพสูง จะเพิ่มขึ้น 182.066 เท่า และลำดับขั้นหลังการท่องเที่ยว (Post purchase Stage) ลดลง 1 ระดับ (ข้อจำกัด และ/ หรือ ความกังวล) โอกาสการตัดสินใจเดินทางไปท่องเที่ยวยังฟาร์มเกษตรโคนมของนักท่องเที่ยวชาวไทยศักยภาพสูง จะเพิ่มขึ้น 108.191 เท่า ตามลำดับ</p> ญาณวิธ นราแย้ม, สันติธร ภูริภักดี Copyright (c) 2024 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/261467 Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700 การจัดการการท่องเที่ยวโดยชุมชน OTOP นวัตวิถีเพื่อการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/261377 <p>การจัดการการท่องเที่ยวโดยชุมชน OTOP นวัตวิถีเพื่อการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน มีวัตถุประสงค์ในการทำวิจัยครั้งนี้ คือ 1. เพื่อศึกษาการจัดการการท่องเที่ยวโดยชุมชน OTOP นวัตวิถีที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน 2. เพื่อศึกษาการจัดการการท่องเที่ยวโดยชุมชน OTOP นวัตวิถีที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืนผ่านการมีส่วนร่วมของชุมชน 3. เพื่อศึกษาการจัดการการท่องเที่ยวโดยชุมชน OTOP นวัตวิถีที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืนผ่านทุนวัฒนธรรม โดยผู้วิจัยได้กำหนดแนวทางการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) ซึ่งใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูล กลุ่มตัวอย่างของงานวิจัยเล่มนี้ คือตัวแทนชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี (ประธาน/รองประธานชุมชน) จำนวน 400 ชุมชนทั่วประเทศ โดยผู้วิจัยแบ่งกลุ่มตัวอย่างตามศักยภาพของชุมชน สามารถแบ่งชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ 1.ชุมชนท่องเที่ยวดาวเด่น (Attractive: A) 2.ชุมชนท่องเที่ยวดาวรุ่ง (Brighten: B) 3.ชุมชนโดดเด่นเฉพาะด้าน (Case Study: C) 4.ชุมชนสินค้า OTOP (Delivery Products: D)</p> <p>ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์การวิจัย พบว่า 1.การจัดการการท่องเที่ยวโดยชุมชน OTOP นวัตวิถีมีอิทธิพลต่อการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืนอย่าง อย่างมีนัยสำคัญ โดยมีค่าพยากรณ์ร้อยละ 58.80 &nbsp;2.การมีส่วนร่วมของชุมชน เป็นตัวแปรกลางแบบบางส่วนของการจัดการการท่องเที่ยวโดยชุมชน OTOP นวัตวิถีมีอิทธิพลต่อการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน 3.ทุนวัฒนธรรม เป็นตัวแปรกลางแบบบางส่วนของการจัดการการท่องเที่ยวโดยชุมชน OTOP นวัตวิถีที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน องค์ความรู้ที่ได้จากงานวิจัยนี้ทำให้ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีเห็นถึงความสำคัญของทรัยากรที่มีอยู่ในชุมชนและการมีส่วนร่วมของชุมชนจะช่วยพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืนได้</p> วัลลภ วรรณโอสถ, สันติธร ภูริภักดี Copyright (c) 2024 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/261377 Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700 การบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษา สำนักงานเขตสายไหม สังกัดสำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/266848 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1)ศึกษาระดับการบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของครู 2)เปรียบเทียบการบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็น ของครู จำแนกตาม เพศ ระดับการศึกษา ประสบการณ์ในการสอน และ ขนาดของสถานศึกษา เป็นงานวิจัยเชิงสำรวจ ได้ศึกษาทฤษฏีการบริหารความขัดแย้งของ Thomas &amp; Kilmann (1987) เป็นกรอบการวิจัย กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูในสถานศึกษา สำนักงานเขตสายไหม สังกัดสำนักการศึกษากรุงเทพมหานคร ประจำปีการศึกษา 2565 จำนวน 300 คน โดยใช้การสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิแบบมีสัดส่วน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถิติพื้นฐาน คือ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตราฐาน และสถิติอ้างอิง คือ Independent t-test และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ครูในสถานศึกษา สำนักงานเขตสายไหม สังกัดสำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร มีความคิดเห็นต่อการบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษา สำนักงานเขตสายไหม สังกัดสำนักการศึกษากรุงเทพมหานคร รายด้านอยู่ในระดับมาก พบว่า ด้านการร่วมมือ มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดได้แก่ ด้านการแข่งขัน 2) ผลการเปรียบเทียบพบว่าครูในสถานศึกษา สำนักงานเขตสายไหม สังกัดสำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร ที่มีเพศ ระดับการศึกษา และขนาดของสถานศึกษา ต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษา สำนักงานเขตสายไหม สังกัดสำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร ไม่แตกต่างกัน ส่วนครูที่มีประสบการณ์ ในการสอนต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษา สำนักงานเขตสายไหม สังกัดสำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร ด้านการแข่งขันแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p>องค์ความรู้จากงานวิจัยนี้ ใช้เป็นข้อมูลให้ผู้บริหารสถานศึกษานำไปกำหนดนโยบาย วางแผนในการบริหารงานบุคคล เพื่อลดความขัดแย้งในสถานศึกษา และพัฒนาระบบการบริหารจัดการภายในสถานศึกษาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น</p> ณัฏฐชัย ธีระวริทธิ์กุล, พิมพ์ประภา อมรกิจภิญโญ, สมสมร วงศ์รจิต Copyright (c) 2024 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/266848 Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700 ผลของการใช้นวัตกรรมการอ่านภาษาอังกฤษ แบบแจกลูกสะกดคำ เทียบเสียงแบบ Phonics โดยใช้สีเป็นตัวกำหนด ของโรงเรียนบ้านหนองแก จังหวัดสระแก้ว https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/267041 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความพึงพอใจในการใช้นวัตกรรมการอ่านภาษาอังกฤษ 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากการใช้นวัตกรรมการอ่านภาษาอังกฤษ จำแนกตามสังกัดโรงเรียน และ 3) เพื่อเสนอข้อมูลในการปรับปรุงคู่มือการใช้นวัตกรรมการอ่านภาษาอังกฤษ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ ซึ่งได้ศึกษาแนวคิดของ Kulpawee SamanThong and Thepnarintra Praphanphat (2015), Jittraporn Chunggis (2016), Kanjana Dongsongkram et al. (2017) และ Boonsri Prommapun and Thitikorn Yawichai Jarueksil (2020) เป็นกรอบในการสร้างเครื่องมือ กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ของโรงเรียนที่ใช้นวัตกรรมการอ่านภาษาอังกฤษ จำนวน 375 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ สถิติพื้นฐาน คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติอ้างอิง คือ การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ความพึงพอใจต่อคู่มือการใช้นวัตกรรมการอ่านภาษาอังกฤษ ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 2) โรงเรียนที่มีสังกัดแตกต่างกันมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากการใช้นวัตกรรมการอ่านภาษาอังกฤษ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 3) ผู้ใช้นวัตกรรมการอ่านภาษาอังกฤษ เสนอให้มีการปรับปรุงความแข็งแรงของรูปเล่ม มีการเพิ่มคำศัพท์บางคำที่นอกเหนือจากคำศัพท์ ในบัญชีพื้นฐาน ของโรงเรียนในสังกัด สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ที่ออกเสียงไม่ตรงตามตัวสะกด ปรับนวัตกรรมจากรูปเล่มเป็นคลิปสอนการอ่าน เป็น Application และจัดทำเป็นแผนการสอนเป็นรายหน่วย</p> <p>ข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้จะเป็นข้อมูลให้กับผู้ผลิตนวัตกรรมการอ่านภาษาอังกฤษนำไปใช้วางแผน การปรับปรุงและพัฒนานวัตกรรมการอ่านภาษาอังกฤษ ให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น</p> แก้วนิมิต ธนะพันธ์, พิมพ์ประภา อมรกิจภิญโญ, สมสมร วงศ์รจิต Copyright (c) 2024 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/267041 Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700 รูปแบบการเรียนรู้เพื่อการสืบสานภูมิปัญญาของผู้ประกอบการเซรามิกชุมชนจังหวัดลำปาง https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/267316 <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันของกระบวนการสืบสานภูมิปัญญาของผู้ประกอบการเซรามิกชุมชนจังหวัดลำปาง 2) เพื่อสร้างรูปแบบการเรียนรู้เพื่อการสืบสานภูมิปัญญาของผู้ประกอบการเซรามิกชุมชนจังหวัดลำปาง พื้นที่วิจัย คือ หมู่บ้านศาลาเม็ง ตำบลท่าผา อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง เป็นการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ Qualitative Research โดยมีผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 13 คน ได้มาจากการการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แนวคำถามในการสัมภาษณ์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า สภาพปัจจุบันของกระบวนการสืบสานภูมิปัญญาของผู้ประกอบการเซรามิกชุมชนจังหวัดลำปาง ผู้ถ่ายทอดองค์ความรู้จะใช้จะถ่ายทอดกระบวนการผลิตเซรามิก ให้กับบุคคลที่ครอบครัวเดียวกันเท่านั้น ขาดการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย ยังใช้วิธีการสาธิตและลงมือปฏิบัติจริงเพื่อฝึกความชำนาญ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่เห็นกระบวนการผลิตอย่างชัดเจน ซึ่งวิธีการนี้จะทำให้ผู้รับการถ่ายทอดได้ใช้ความคิดของตนเองเพียงอย่างเดียว ผู้วิจัยจึงได้พัฒนารูปแบบการเรียนรู้เพื่อการสืบสานภูมิปัญญาของผู้ประกอบการเซรามิกชุมชนจังหวัดลำปาง โดยการนำวิธีการสืบสานภูมิปัญญาในอดีตมาปรับประยุกต์ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคปัจจุบัน ด้วยรูปแบบการเรียนรู้ EWC <strong>Learning</strong> Model ภายใต้มิติการสืบสานภูมิปัญญาที่สำคัญ 2 มิติ ได้แก่ <strong>มิติการเรียนรู้จากประสบการณ์ </strong>และ มิติการถ่ายทอด<strong>การเรียนรู้</strong> เพื่อสืบทอด สืบสาน รักษา ต่อยอด และปรับประยุกต์ สู่การเสริมสร้างสมรรถนะการเป็นผู้ประกอบการในยุคดิจิทัลต่อไป</p> อรรฆรัตน์ ตาเมืองมูล, อัจฉรา ศรีพันธ์ Copyright (c) 2024 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/267316 Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700 แนวทางการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงบ้านแก้วฟ้า ตำบลแก้วฟ้า อำเภอบางซ้าย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/268021 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) ศึกษาระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง 2) เสนอแนวทางการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี ได้ศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับลักษณะการมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นกรอบการวิจัย การวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ ประชากรที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแก้วฟ้า หมู่ที่ 1 ตำบลแก้วฟ้า อำเภอบางซ้าย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำนวน 175 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 2 ชนิด คือ 1) แบบสอบถาม 2) แบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยส่วนการวิจัยเชิงปริมาณ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วยค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการทดสอบแอลเอสดี การวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ คือ ผู้นำชุมชน บุคลากรหน่วยงานของรัฐ ตัวแทนประชาชน จำนวน 11 คน ซึ่งได้มาด้วยวิธีการเลือกแบบเจาะจง&nbsp; ใช้วิเคราะห์เนื้อหาแล้วเขียนบรรยายเชิงพรรณนา</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ด้านการรับผลประโยชน์ และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด คือ ด้านการประเมินผล 2) แนวทางการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง ได้แก่ ควรมีการประชาสัมพันธ์ให้เข้าร่วมกิจกรรมอย่างทั่วถึง มีการแจ้งข่าวกิจกรรมโครงการ&nbsp; ผ่านช่องทางต่าง ๆ ของหมู่บ้าน ควรมีการส่งเสริมให้มีการร่วมกลุ่มกันภายในหมู่บ้าน เช่น กลุ่มอาชีพ กลุ่มสตรี&nbsp; ควรมีการประชาสัมพันธ์ เชิญชวน ชี้แจงถึงประโยชน์ของกิจกรรมโครงการ ที่ประชาชนและหมู่บ้านจะได้รับให้ทราบ และควรมีการประชุม ชี้แจงผลการดำเนินงานโครงการของหมู่บ้าน ให้ประชาชนรับรู้</p> ศจี สว่างอัมพร, อภิชาติ พานสุวรรณ Copyright (c) 2024 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/268021 Wed, 06 Mar 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาองค์ประกอบและตัวบ่งชี้สมรรถนะการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของครูอาจารย์โรงเรียนเหล่าสายวิทยาการกองทัพบก https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/269775 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาองค์ประกอบและตัวบ่งชี้สมรรถนะการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของครูอาจารย์โรงเรียนเหล่าสายวิทยาการกองทัพบก 2) เพื่อประเมินความเหมาะสมขององค์ประกอบและตัวบ่งชี้สมรรถนะการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของครูอาจารย์โรงเรียนเหล่าสายวิทยาการกองทัพบก กลุ่มเป้าหมายในการวิจัย คือผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญด้านการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ การจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนเหล่าสายวิทยาการกองทัพ และการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 จำนวน 9 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) โดยเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ 1) แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง (Semi-structured Interview) และ 2) แบบประเมินความเหมาะสมและความสอดคล้องของสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของครูอาจารย์โรงเรียนเหล่าสายวิทยาการกองทัพบก</p> <p>ผลการวิจัยพบว่าองค์ประกอบและตัวบ่งชี้สมรรถนะการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของครูอาจารย์โรงเรียนเหล่าสายวิทยาการกองทัพบกประกอบไปด้วย 2 สมรรถนะ 9 องค์ประกอบ 65 ตัวบ่งชี้ ดังนี้ 1) สมรรถนะหลัก (Core competency) มี 4 องค์ประกอบ 28 ตัวบ่งชี้ 2) สมรรถนะด้านหน้าที่ (Functional competency) มี 4 องค์ประกอบ 37 ตัวบ่งชี้ และองค์ประกอบและตัวบ่งชี้ของสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของครูอาจารย์โรงเรียนเหล่าสายวิทยาการกองทัพบกมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากถึงมากที่สุดและองค์ประกอบและตัวบ่งชี้มีความสอดคล้องกัน</p> วสันต์ เต็งกวน, รุ่งทิวา แย้มรุ่ง , กิตติชัย สุธาสิโนบล Copyright (c) 2024 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/269775 Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700 กลยุทธ์การระดมทุนเพื่อสาธารณกุศลผ่านการจัดงานประจำปีของวัดพระอารามหลวง ในเขตจังหวัดนครปฐม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/261312 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการระดมทุน เพื่อวิเคราะห์กลยุทธ์และนำเสนอกลยุทธ์การระดมทุนเพื่อสาธารณกุศลผ่านการจัดงานประจำปีของวัดพระอารามหลวงในเขตจังหวัดนครปฐมเป็นการศึกษาวิจัยแบบผสานวิธี ระหว่างการวิจัยเชิงคุณภาพและการวิจัยเชิงปริมาณ พื้นที่วิจัย คือ วัดพระอารามหลวง ในเขตจังหวัดนครปฐม กลุ่มตัวอย่าง พระภิกษุสังกัดวัดพระอารามหลวงในจังหวัดนครปฐม จำนวน 240 รูป เครื่องมือการวิจัยใช้แบบสอบถาม และนำข้อมูลเชิงคุณภาพมาสังเคราะห์สรุปความตามตัวแปร สถิติในการวิจัย ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) ประสิทธิภาพการบริหารการจัดงานประจำปีของวัดพระอารามหลวง ในจังหวัดนครปฐม โดยภาพรวมมีความคิดเห็นในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย 4.39 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด คือ การจัดวางทิศทางของงานประจำปี มีค่าเฉลี่ย 4.82 รองลงมา คือ การปฏิบัติตามกลยุทธ์ มีค่าเฉลี่ย 4.49และด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ การควบคุมเชิงกลยุทธ์ มีค่าเฉลี่ย 4.10 เนื่องจากการจะจัดงานประจำปีต้องมีการประชุมวางแผนร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อเตรียมความพร้อม อีกทั้งการมีบุคลากรที่มีศักยภาพ มีความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ การบริหารจัดการจึงมีประสิทธิภาพ</p> <p>2) กลยุทธ์การระดมทุนเพื่อสาธารณกุศลผ่านการจัดงานประจำปีของวัดพระอารามหลวง ในจังหวัดนครปฐม โดยภาพรวมมีความคิดเห็นในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย 3.98 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าด้านที่ค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ การจัดสวัสดิการดูแลผู้มาเที่ยวงาน มีค่าเฉลี่ย 4.49 รองลงมา คือ การจัดแผนกรับผิดชอบงาน มีค่าเฉลี่ย 4.40 และด้านการส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มีค่าเฉลี่ย 3.31 ทั้งนี้อาจเป็นเพราะการมีหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องร่วมรับผิดชอบในการจัดการ การดูแลสวัสดิการต่าง ๆ ที่มีประสิทธิภาพ มีการชี้แจงวัตถุประสงค์การจัดงานที่ชัดเจน มีความโปรงใสด้านรายได้ที่ได้รับและการใช้ประโยชน์สาธารณะที่ชัดเจน ทั้งมีการแสดงศิลปวัฒนธรรม</p> พระครูปลัดโพธิวรวัฒน์ Copyright (c) 2024 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/261312 Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในจังหวัดพิษณุโลก https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/261623 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1)ศึกษาระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน 2)วิเคราะห์ปัจจัยการมีส่วนร่วมทางการเมือง ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนและ 3)เสนอแนวทางในการส่งเสริมและพัฒนาการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในจังหวัดพิษณุโลก เป็นงานวิจัยแบบผสมวิธี ประชากรได้แก่ประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในจังหวัดพิษณุโลก จำนวน 689,069 คน หาขนาดกลุ่มตัวอย่างตามสูตรของ ทาโร ยามาเน่ ได้จำนวน 400 คน สัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้อง จำนวน 17 คนได้แก่ 1)ผู้นำท้องถิ่น/ชุมชน จำนวน 4 คน 2)นักวิชากร จำนวน 4 คน 3)เจ้าหน้าที่รัฐ จำนวน 3 คน 4)นักการเมือง จำนวน 3 คน 5)สื่อมวลชน จำนวน 3 คน เครื่องมือได้แก่แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ นำข้อมูลคุณภาพมาวิเคราะห์สรุปความตามตัวแปร สถิติที่ใช้ได้แก่ แจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ</p> <p><strong> </strong>ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนโดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าอยู่ในระดับปานกลางทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ ด้านการติดต่อเจ้าหน้าที่รัฐและมีค่าเฉลี่ยมากสุด รองลงมาคือ ด้านการใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ด้านการติดตามข่าวสารการเมือง ด้านการเข้าร่วมกิจกรรมสาธารณะและกิจกรรมของพรรคการเมือง มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด 2) ปัจจัยการมีส่วนร่วมทางการเมือง ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน พบว่า ปัจจัย 3 ด้านได้แก่ ด้านจิตวิทยาทางการเมือง ด้านสิ่งแวดล้อมทางการเมือง และด้านสิ่งแวดล้อมทางสังคม ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนจังหวัดพิษณุโลกได้ ร้อยละ 76.8 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3แนวทางในการส่งเสริมและพัฒนาการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในจังหวัดพิษณุโลก ต้องดำเนินการดังนี้ 1)ส่งเสริมความรู้การมีส่วนร่วมทางการเมืองกับประชาชน 2)ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการปกครองประชาธิปไตย 3)ต้องใช้วิถีชุมชนปลูกฝั่งวัฒนธรรมประเพณี และ 4)สร้างพลังชุมชนในการขับเคลื่อนการมีส่วนร่วม</p> อุไรวรรณ เพชรแอน Copyright (c) 2024 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/261623 Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700 การศึกษาสภาพปัจจุบันของการเรียนรู้เรื่องอุทกภัย เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ภูมิสารสนเทศของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/265958 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันในด้านความรู้ ความเข้าใจ เพื่อพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้สาระภูมิศาสตร์ และเพื่อเสริมสร้างทักษะการรับมือกับอุทกภัยของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มเป้าหมายนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนทรัพย์ไพรวัลย์วิทยาคม จังหวัดพิษณุโลก ปีการศึกษา 2565 กลุ่มผู้ให้ข้อมูลที่สำคัญ ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูลอุทกภัย ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิสารสนเทศ และบุคลากรครูด้านการสอนวิชาสังคมศึกษาของระดับชั้นมัธยมศึกษา โดยใช้การเลือกแบบเจาะจง (Criterion Based Selection) เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย มี 3 ชนิด คือ 1) แบบสัมภาษณ์เชิงลึก 2) คู่มือกิจกรรมการเรียนรู้ 3) โปรแกรมสำหรับภูมิสารสนเทศ Quantum-GIS (Q-GIS) วิเคราะห์ข้อมูลเนื้อหา เขียนบรรยายเชิงพรรณนาและตรวจสอบความน่าเชื่อถือแบบสามเส้า</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า ในสภาพปัจจุบันครูผู้สอนมีการใช้สื่อการเรียนรู้รูปแบบการบรรยายจากหนังสือเรียน ทั้งนี้ครูผู้สอนยังขาดองค์ความรู้ลักษณะเฉพาะด้านภูมิสารสนเทศ และนักเรียนยังขาดความรู้ในเรื่องของภูมิสารสนเทศเป็นอย่างมาก และผลการสร้างกิจกรรมการเรียนรู้พบว่าผู้เรียนสามารถปรับใช้โปรแกรม Quantum-GIS (Q-GIS) ต่อการเรียนรู้เรื่องอุทกภัยได้เกิดองค์ความรู้ด้านการเรียนรู้ทักษะภูมิสารสนเทศ ทักษะการรับมืออุทกภัย สามารถนำไปปรับใช้กับชีวิตประจำวันได้ และครูผู้สอนสามารถนำองค์ความรู้เพื่อพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ได้</p> มนตรี คงคา, ณัฐเชษฐ์ พูลเจริญ Copyright (c) 2024 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/265958 Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700 การนำวิถีวัฒนธรรมไปประยุกต์ใช้ในการดำรงชีวิตของประชาชน กลุ่มชาติพันธุ์ลาวครั่งจังหวัดนครปฐม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/257253 <p>ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ มุ่งศึกษาการนำวิถีวัฒนธรรมไปประยุกต์ใช้ในการดำรงชีวิตของประชาชนกลุ่มชาติพันธุ์ลาวครั่ง จังหวัดนครปฐม โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้วิจัยได้ใช้วิธีการศึกษาเอกสารและแนวคิดเกี่ยวกับงานวิจัย&nbsp; การสัมภาษณ์เชิงลึก จำนวน 15 รูป/คน และการสนทนากลุ่ม 7 รูป/คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์ การสัมภาษณ์เชิงลึก และการสนทนากลุ่ม ใช้วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลแบบอรรถาธิบายและพรรณนาความ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>วิถีวัฒนธรรมกับการดำรงชีวิตของประชาชนกลุ่มชาติพันธุ์ลาวครั่งจังหวัดนครปฐม ได้พบองค์ประกอบที่เป็นศักยภาพชุมชนที่เหมาะสมในการส่งเสริมวิถีวัฒนธรรมกับการดำรงชีวิตของประชาชนกลุ่มชาติพันธุ์ลาวครั่ง 4 ด้าน คือ 1) ด้านทรัพยากรชุมชน ชุมชนมีทรัพยากรเชิงวัฒนธรรมที่ผูกพันอยู่กับวิถีชีวิตชุมชน ชุมชนองมีความต้องการสร้างคุณค่า มูลค่าจากวัฒนธรรมของตน อีกทั้งต้องการส่งเสริมการอนุรักษ์สืบสานวัฒนธรรมอย่างแท้จริง ในแง่การจัดการความพร้อมของชุมชน 2) ด้านองค์กรชุมชนและผู้นำ ชุมชนมีผู้นำที่อาจะเป็นผู้นำที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการที่คนในชุมชนต่างให้ความเคารพ เช่น ผู้ใหญ่บ้าน พระสงฆ์ ปราชญ์ชาวบ้าน ผู้นำต่างมีจิตใจที่มุ่งหวังประโยชน์และความเข็มแข็งของชุมชน และหาแนวทางส่งเสริมจากภายนอกชุมชน 3) ด้านการจัดการตนเองและการมีส่วนร่วม ชุมชนมีการจัดการตนเองด้วยองค์ประกอบสำคัญ คือ การมีส่วนร่วมของชุมชน โดยสมาชิกในชุมชนได้มีส่วนร่วมในการคิด การวางแผน การทำกิจกรรม การติดตามปรับปรุง และการเรียนรู้ประเมินผล รับประโยชน์ร่วมกัน ที่ชุมชนสามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ 4) ด้านเครือข่ายและการประสานงาน ชุมชนมีการรวมกันเป็นกลุ่ม เป็นชมรมหรือองค์กรชุมชน รวมถึงเครือข่ายการพัฒนาชุม</p> พระครูโกศลธรรมรัตน์ Copyright (c) 2024 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/257253 Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาการท่องเที่ยวเพื่อคนทั้งมวลในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC.) https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/265972 <p>การวิจัยเชิงคุณภาพนี้มีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อการพัฒนาแนวทางการท่องเที่ยวเพื่อคนทั้งมวลของโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC.) ลำดับขั้นตอนการนำเสนอการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยใช้การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยทฤษฎีปรากฎการณ์นิยม (Phenomenology) ด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) ซึ่งผู้วิจัยได้เลือกกลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลักแบบลูกโซ่ จากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการจัดการการท่องเที่ยวของโครงการ (EEC.) นักวิชาการด้านการท่องเที่ยว ตัวแทนผู้บกพร่องทางการเคลื่อนไหว ตัวแทนผู้บกพร่องทางการได้ยิน ตัวแทนผู้บกพร่องทางสายตา และตัวแทนผู้สูงอายุ จำนวนสิ้น 34 ท่าน วิเคราะห์เนื้อหาประกอบบริบทนำเสนอเชิงพรรณนา</p> <p> ผลวิจัยพบว่า แนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวเพื่อคนทั้งมวลของโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC.) ประกอบด้วย 4 แนวทางเชิงนโยบาย ประกอบไปด้วย 1) การพัฒนาการท่องเที่ยวเพื่อการสร้างภาพลักษณ์ท่องเที่ยวเพื่อคนทั้งมวล 2) การพัฒนาการท่องเที่ยวเพื่อการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนเพื่อนำไปสู่การเป็นเมืองท่องเที่ยวของคนทั้งมวล 3) การพัฒนาการท่องเที่ยวเพื่อการยกระดับมาตรฐานคุณภาพการบริการด้านการท่องเที่ยวเพื่อคนทั้งมวลรองรับการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวผู้พิการและนักท่องเที่ยวผู้สูงอายุ และ 4) การพัฒนาการท่องเที่ยวเพื่อการยกระดับมาตรฐานแหล่งท่องเที่ยวเพื่อคนทั้งมวลของโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก</p> ประกาศ ปาวา ทองสว่าง, สันติธร ภูริภักดี Copyright (c) 2024 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/265972 Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700 แนวทางการยกระดับการส่งเสริมการเรียนรู้ชุมชนย่านกะดีจีน https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/265669 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแหล่งเรียนรู้ท้องถิ่นในชุมชนย่านกะดีจีน เพื่อศึกษารูปแบบการจัดการแหล่งเรียนรู้ผ่านการจัดการโดยภาคเอกชน และเพื่อเสนอแนวทางการยกระดับการส่งเสริมการเรียนรู้ของชุมชนย่านกะดีจีน เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพที่ใช้เครื่องมือการวิจัยที่สำคัญประกอบด้วย การสัมภาษณ์เชิงลึก และใช้วิธีการบันทึกรายการอย่างอิสระ มีกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 25 คน ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลแบบเนื้อหา พื้นที่การศึกษาวิจัยคือ ชุมชนย่านกะดีจีน แขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า แหล่งเรียนรู้ในชุมชนย่านกะดีจีน เป็นแหล่งเรียนรู้ตามอัธยาศัย ไม่มีรูปแบบตายตัว มีวัตถุประสงค์ในการก่อตั้งเพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ของชุมชนย่านกะดีจีน มีรูปแบบการบริหารจัดการเชิงเครือข่ายที่อาศัยกระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง แต่ยังไม่มีแผนนโยบายในการบริหารจัดการที่ชัดเจน ทำให้การบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้ไม่ประสบความสำเร็จได้ดีเท่าที่ควร สำหรับการเสนอแนวทางการยกระดับการส่งเสริมการเรียนรู้ มีดังนี้ 1) สมาชิกในชุมชนต้องตระหนักเห็นถึงคุณค่าของแหล่งเรียนรู้ภายในชุมชน 2) แหล่งเรียนรู้ควรกำหนดแผนนโยบายในการบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ 3) แหล่งเรียนรู้ควรร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่จัดเก็บข้อมูล หรือจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการด้านการออกแบบการเรียนรู้ 4) สร้างแพลตฟอร์มความรู้ภายในชุมชน เพื่อเป็นพื้นที่กลางในการบริหารจัดการองค์ความรู้ 5) จัดตั้งกองทุนการอนุรักษ์ซ่อมแซมแหล่งเรียนรู้ภายในชุมชน เพื่ออนุรักษ์แหล่งเรียนรู้ให้เป็นสถานที่ถ่ายทอดองค์ความรู้สู่อนุชนรุ่นต่อไป 6) แหล่งเรียนรู้ควรร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาสื่อประชาสัมพันธ์เพื่อขยายเครือข่ายความร่วมมือและทำให้แหล่งเรียนรู้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง</p> อวิกา สุปินะ, ธันนิกานต์ สูญสิ้นภัย, สายชล ปัญญชิต Copyright (c) 2024 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/265669 Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาธรรมนูญตำบลเพื่อพัฒนาประชาธิปไตยชุมชน ในจังหวัดชัยภูมิ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/274530 <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1)วิเคราะห์สภาพโครงสร้างพื้นฐานและความต้องการเพื่อการพัฒนาธรรมนูญตำบลเพื่อพัฒนาประชาธิปไตยชุมชน 2)พัฒนาธรรมนูญตำบลเพื่อพัฒนาประชาธิปไตยชุมชนอย่างมีส่วนร่วม 3)พัฒนาเครือข่ายการเรียนรู้ธรรมนูญตำบลเพื่อขับเคลื่อนประชาธิปไตยชุมชน ในจังหวัดชัยภูมิ เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ประชาชน จำนวน 1,200 คน โดยใช้แบบสอบถาม, ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ ผู้นำท้องถิ่น ผู้ทรงคุณวุฒิ ปราชญ์ชาวบ้าน จำนวน 70 คน และจัดสนทนากลุ่มเฉพาะในพื้นที่ และทำวิจัยเชิงปฏิบัติการพัฒนาธรรมนูญตำบลขึ้นในพื้นที่ 3 ตำบล จาก 3 อำเภอของจังหวัดชัยภูมิ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติจำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>1<strong>. </strong>จังหวัดชัยภูมิส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ทำการเกษตร มีเส้นทางคมนาคม ไฟฟ้า และสาธารณสุขทั่วถึง ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจในการปกครองระบอบประชาธิปไตยและการปกครองส่วนท้องถิ่น มีรายได้อยู่ในระดับปานกลาง ประกอบอาชีพเชิงเดี่ยว มีวิถีชีวิตที่เรียบง่ายแบบปกติ และความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินส่วนใหญ่มาจากการดื่มสุราและยาเสพติด และมีความต้องการให้มีการพัฒนาธรรมนูญตำบลขึ้น</li> </ol> <p><strong> </strong>2<strong>.</strong>การพัฒนาธรรมนูญตำบลในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ 3 พื้นที่ได้สร้างขึ้นโดยใช้กระบวนการชุมชนเทคนิค<strong> AIC </strong>คือ 1) สร้างความรู้ (A) 2) สร้างแนวทางการพัฒนา (I) 3) สร้างแนวทางปฏิบัติ (C) ยกร่างธรรมนูญตำบลให้เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ จึงทำการบันทึกข้อตกลงร่วมกันทุกภาคส่วนในแต่ละตำบล</p> <ol start="3"> <li>3<strong>. </strong>การเผยแพร่ธรรมนูญได้พัฒนาขึ้นในรูปแบบเครือข่ายการจัดการเรียนรู้ร่วมกันผ่านหน่วยงานในตำบลผ่านหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในธรรมนูญตำบลและนำไปสู่การพัฒนาเชิงพื้นที่ที่เหมาะสมและยั่งยืน</li> </ol> <p> ผลการวิจัยทำให้สามารถพัฒนาธรรมนูญตำบลสำหรับประชาชนใน 3 พื้นที่การวิจัย นำไปใช้เป็นกรอบแนวทางการพัฒนาในพื้นที่และสร้างเครือข่ายให้เกิดการเรียนรู้ต่อไป</p> ปัญญา คล้ายเดช, ทักษิณ ประชามอญ Copyright (c) 2024 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/274530 Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700 THE MANAGEMENT PROCESS AND THE ADDED VALUE OF THE SPORTS INDUSTRY https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/265977 <p>The management process of sports competition events acts as an intermediary in driving the supply chain in the sporting industry because it involves the process of hiring sports personnel and purchasing equipment from other businesses in the sports industry. This leads to the expansion of the sports industry and groups sports competition management which is an added value for the entire sports industry. It is the beginning of the value of sports management. The competition must have a clear competition management process; additionally, it must pay attention to the management of sports resources which is in line with the management of sports competitions in order to add value to the sports industry.</p> <p> This article explains the relationship between sports resources. It focuses on sporting fame, technology and innovation in sports, sports project management skills and national sports competition management guidelines. The guidelines lead to the process of assessing the sports competition environment and the results of sports competition events that add long-term value to sports industry in Thailand.</p> <p>The finding found that the sports resources and national sporting events management approaches influence adding value to the sporting industry, which will present an approach that businesses in the sporting industry can apply to achieve efficiency in the management of total sporting resources. To have clear indicators of success in business operations, including assessing projects after organizing the competition and moving towards the goal of creating added value that brings results that will create stability for the business.</p> Niwat Chantharat, Sumana Chantharat Copyright (c) 2024 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/265977 Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700 มาตรการทางกฎหมายในการป้องกันการกระทำผิดซ้ำของผู้ต้องขัง https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/271466 <p>มาตรการทางกฎหมายในป้องกันการกระทำผิดซ้ำของผู้ต้องขังที่พ้นโทษทั้งที่มีการติดตามพฤติกรรม&nbsp; และไม่มีการติดตามพฤติกรรม&nbsp; ถือได้ว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมากในการป้องกันโอกาสกลับไปกระทำผิดซ้ำในความผิดอาญาที่เกี่ยวกับเพศและที่ใช้ความรุนแรงในอนาคตได้อีก&nbsp; ยกตัวอย่างเช่น&nbsp; การข่มขืนกระทำชำเรา การกระทำความผิดทางเพศกับเด็ก&nbsp; การทำร้ายจนถึงแก่ความตาย&nbsp; การฆาตกรรม&nbsp; รวมไปถึงการเรียกค่าไถ่&nbsp; การมีพระราชบัญญัติป้องกันการกระทำผิดซ้ำจะช่วยให้ป้องกันและสร้างความปลอดภัยให้แก่สังคม&nbsp; และลดอัตราการกระทำผิดซ้ำได้&nbsp; บทความปริทรรศน์นี้จะกล่าวถึงมาตรการทางกฎหมายในป้องกันการกระทำผิดซ้ำทั้งในต่างประเทศและประเทศไทย&nbsp; พร้อมทั้งให้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับพระราชบัญญัติมาตรการป้องกันการกระทำผิดซ้ำในความผิดเกี่ยวกับเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง พ.ศ.2565&nbsp;</p> พรกมล ยังดี, นพรุจ ศักดิ์ศิริ , ศิริพร นุชสำเนียง Copyright (c) 2024 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/271466 Thu, 29 Feb 2024 00:00:00 +0700