วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr
<p><strong><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"> ISSN : 2465-5503 (พิมพ์) </span></span></strong><br /><strong><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"> ISSN : 2630-0524 (ออนไลน์</span></span></strong><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"> )</span></span></p> <p><strong> วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์ </strong>เป็นวารสารด้านสังคมศาสตร์ <span style="vertical-align: inherit;">มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการศึกษา ค้นคว้า และเผยแพร่ผลงานวิชาการของนักวิจัย นักวิชาการ อาจารย์ นิสิต นักศึกษาและผู้สนใจทั่วไป </span>เปิดรับผลงานที่เป็นบทความวิชาการและบทความวิจัยในมิติด้านพระพุทธศาสนา ด้านศาสนศึกษา ด้านการศึกษา ด้านวัฒนธรรมศึกษา ด้านรัฐประศาสนศาสตร์ ด้านสังคมวิทยาและรัฐศาสตร์ <span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">โดยเปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</span></span><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"> <br /> วารสารมีกระบวนการประเมินคุณภาพจากผู้ทรงคุณวุฒิก่อนตีพิมพ์ โดยบทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารต้องผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ อย่างน้อย 3 ท่าน ในลักษณะปกปิดรายชื่อ (Double blind peer-reviewed) ทั้งนี้บทความจากผู้นิพนธ์ภายในจะได้รับการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกหน่วยงานที่จัดทำวารสาร ส่วนบทความจากผู้นิพนธ์ภายนอกจะได้รับการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิภายใน หรือนอกหน่วยงานที่จัดทำวารสารที่มีความเชี่ยวชาญในสาขา และไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับผู้นิพนธ์ ทั้งนี้ บทความทีได้รับการตอบรับให้ตีพิมพ์เผยแพร่ต้องมีค่าความซ้ำของผลงานด้วยโปรแกรม CopyCat ในระบบ Thaijo ไม่เกิน 20% <br /></span></span></p> <p> </p>
วิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญาศรีทวารวดี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
th-TH
วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
2465-5503
-
การพัฒนาวิธีปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาในสังคมไทย เพื่อนำสู่ผลสัมฤทธิ์แบบซอฟพาวเวอร์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/279151
<p>บทความวิจัยเรื่อง “การพัฒนาวิธีปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาในสังคมไทยเพื่อนำสู่ผลสัมฤทธิ์แบบซอฟพาวเวอร์” นี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาวิธีการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาตามหลักพระพุทธศาสนา เพื่อวิเคราะห์วิธีการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาในสังคมไทย และเพื่อพัฒนาวิธีการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาในสังคมไทยเพื่อนำสู่ผลสัมฤทธิ์แบบซอฟพาวเวอร์ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลด้วยเอกสารด้วยเทคนิค 6’Cs และวิจัยภาคสนาม (Field Research) ด้วยการลงพื้นที่สัมภาษณ์เชิงลึก (Individual depth interview) กับพระวิปัสสนาจารย์พร้อมนักวิชาการด้านพระพุทธศาสนา จำนวน 8 รูป/ท่าน แล้ววิเคราะห์ข้อมูลแบบสามเส้า <br />ผลการวิจัยพบว่า<br />1) วิธีการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาที่ปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนา คือ การเจริญสติตามฐานทั้ง 4 ได้แก่ (1) ฐานกาย (2) ฐานเวทนา (3) ฐานจิตตา และ (4) ฐานธรรม จนเห็นความเกิดขึ้น และเสื่อมไป ได้<br />2) วิธีการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาในสังคมไทย คือ 1. ใชัคำบริกรรมพุทโธ ควบคู่ไปลมหายใจ 2. ใช้สติที่อาการพองยุบของท้อง 3. ใช้สติตามดู ตามรู้ลักษณะอาการต่างๆ 4. ใช้การเพ่งแสงสว่างและภาพนิมิต และ 5. ใช้การเจริญสติที่ลมหายใจเข้าออก <br />3) การพัฒนาวิธีปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาของสำนักปฏิบัติธรรมในสังคมไทยทั้ง 5 สาย ด้วยการพัฒนาสติให้มีกำลัง ดังนี้ 1.เว้นจากความเผลอ ความหลง ความเหม่อลอย 2.มีสติในทุกๆ อิริยาบถ 3.กำจัดความประมาท 4.ไม่ลืมเจริญสติปัฏฐาน 5.เป็นผู้อยู่โดยไม่ปราศจากสติ 6.ฝึกสติในรูปแบบให้ชำนาญ 7.เป็นผู้รู้สึกตัวได้ทันที และ 8.เป็นผู้เจริญสติอย่างต่อเนื่องจนเกิดวิปัสสนาปัญญาจนถึงขั้นบรรลุมรรค ผล นิพพาน</p>
พระครูปลัดสัมพิพัฒนธรรมาจารย์
พระภาวนาพิศาลเมธี
พระครูพิบูลกิจจารักษ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-25
2025-04-25
10 2
1
14
-
การพัฒนาธรรมนูญตําบลเพื่อพัฒนาประชาธิปไตยชุมชนในอําเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/271478
<p>งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อวิเคราะห์ความต้องการของประชาชนต่อการพัฒนาธรรมนูญตำบลเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ในการพัฒนาประชาธิปไตยชุมชน ในอำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ 2) เพื่อศึกษากระบวนการพัฒนาธรรมนูญตำบลเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ในการพัฒนาประชาธิปไตยชุมชนอย่างมีส่วนร่วมในอำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ 3) เพื่อพัฒนาเครือข่ายการจัดการเรียนรู้และสารสนเทศธรรมนูญตำบลเพื่อขับเคลื่อนประชาธิปไตยชุมชน ในอำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี ระหว่างวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ มีเครื่องมือวิจัย คือ จากแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ โดยมีกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 400 คน ที่มาจากการคำนวนขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรของทาโร่ ยามาเน่ (1973) และกลุ่มเป้าหมาย จำนวน 30 คน ที่มาจากการเลือกแบบเจาะจง โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ประกอบด้วย ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ และเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องมาวิเคราะห์แบบเชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) ระดับความคิดเห็นของประชาชนต่อความต้องการพัฒนาธรรมนูญตำบลเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ในการพัฒนาประชาธิปไตยชุมชน โดยรวมอยู่ในระดับมาก (=3.67) 2)กระบวนการพัฒนาธรรมนูญตำบลเพื่อพัฒนาประชาธิปไตยชุมชนอย่างมีส่วนร่วมในอำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ ได้แก่ สร้างการรับรู้แบบมีส่วนร่วมในการพัฒนาธรรมนูญตำบล เปิดโอกาสให้มีการเสนอปัญหาและความต้องการของชุมชน การวิเคราะห์ปัญหาและความต้องการของชุมชน กำหนดประเด็นในการยกร่างธรรมนูญตำบล กำหนดแนวทางการยกร่างธรรมนูญตำบล การจัดทำบันทึกข้อตกลงร่วมกันและการยกร่างธรรมนูญตำบล 3) การพัฒนาธรรมนูญตำบลเพื่อขับเคลื่อนประชาธิปไตยชุมชน ทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคประชาชนและหน่วยงานต่างๆ มีการบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและชุมชน และมีการบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงาน เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมและข้อปฏิบัติในการอยู่ร่วมกัน</p>
สุเนตร ธนศิลปพิชิต
ไพทูรย์ มาเมือง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-27
2025-04-27
10 2
15
28
-
แนวทางการบูรณาการทุนทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ในการออกแบบ ภูมิทัศน์วัฒนธรรมร่วมสมัยของชนกลุ่มน้อยในกวางสี สาธารณรัฐประชาชนจีน
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/276878
<p>การวิจัยเรื่อง แนวทางการบูรณาการทุนทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ในการออกแบบภูมิทัศน์วัฒนธรรมร่วมสมัยของชนกลุ่มน้อยในกวางสี สาธารณรัฐประชาชนจีน มีวัตถุประสงค์เพื่อ1) ศึกษาวิเคราะห์ลักษณะของทุนวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของชนกลุ่มน้อยในกวางสี สาธารณรัฐประชาชนจีน (2) วิเคราะห์แนวทางการบูรณาการทุนทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของชนกลุ่มน้อยกวางสีในการออกแบบภูมิทัศน์วัฒนธรรมร่วมสมัย การศึกษา วิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้วิธีการวิจัยวรรณกรรมจากเอกสารบทความและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษาวิเคราะห์ลักษณะของทุนทางวัฒนธรรมและการออกแบบภูมิทัศน์ วิเคราะห์แนวทางการบูรณาการของทุนวัฒนธรรมในการออกแบบภูมิทัศน์วัฒนธรรมร่วมสมัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสัมภาษณ์เชิงลึก โดยการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 คน เพื่อวิเคราะห์ความเชื่อมโยงการบูรณาการภูมิทัศน์วัฒนธรรมร่วมสมัยในการออกแบบภูมิทัศน์วัฒนธรรมร่วมสมัย จากการวิจัยได้ผลการวิจัยดังนี้ (1) ทุนทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของชนกลุ่มน้อยกวางสี มีคุณลักษณะของทุนทางวัฒนธรรม 3 ประการ คือ 1) ความหลากหลายและการไม่แบ่งแยก 2) การบูรณาการและการสืบทอด และ 3) การอยู่ร่วมกันและการตอบแทนซึ่งกันและกัน และแนวปฏิบัติในออกแบบภูมิวัฒนธรรม มุ่งเน้นที่การคุ้มครองวัฒนธรรม และการบูรณาการเข้ากับสังคมใหม่ การมีส่วนร่วมและความร่วมมือด้านการศึกษา การฝึกอบรมจากสังคม องค์กรที่เกี่ยวข้อง (2) การสร้างแนวทางการบูรณาการทุนทางวัฒนธรรมในการออกแบบภูมิทัศน์วัฒนธรรมร่วมสมัยเป็นการจัดการที่เป็นระบบที่ต้องการการดำเนินการสร้างรูปแบบการบูรณาการ 3 ประการ คือ 1) การเปลี่ยนแปลงเชิงป้องกันวัฒนธรรม 2) การเปลี่ยนแปลงเชิงนวัตกรรมการผสมผสานวัฒนธรรมกับแนวคิดการออกแบบและเทคโนโลยีในการออกแบบภูมิทัศน์วัฒนธรรมร่วมสมัย 3) ความร่วมมือข้ามวัฒนธรรม ด้วยการผสมผสานวัฒนธรรมเชิงสหวิทยาการกับศิลปะและเทคโนโลยี มรดกวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวอุตสาหกรรม การศึกษาและวัฒนธรรม</p>
ลู ซี่เวน
ชัยยศ วนิชวัฒนานุวัต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-28
2025-04-28
10 2
29
40
-
THE DEVELOPMENT TREND OF INTERNATIONAL EDUCATION IN CHINA AND THAILAND
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/276775
<p>The concept of international education has gained significant attention in recent years as the world becomes more interconnected and globalized. China and Thailand have both made significant investments in their education systems, including a focus on internationalizing their education systems. This dissertation aims to explore the development trends of international education in China and Thailand, with a focus on the drivers, challenges, and strategies for developing international education in both countries. The study is based on a literature review of research studies, reports, and data on international education in both countries, as well as interviews with experts, policymakers, and practitioners in the field of international education. The findings of this study provide insights into the current state and future trends of international education in China and Thailand, and highlight the importance of comprehensive policies and effective strategies to overcome the challenges facing international education in both countries. In conclusion, this research provides a comprehensive comparative analysis of the development trends of international education in China and Thailand, shedding light on the similarities and differences in their international education landscape and offering valuable insights for policymakers, educators, and researchers. The findings have important theoretical and practical implications, as well as providing direction for future research and policy development in international education.</p>
shaoyuan Zhao
Kumron Sirathanakul
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-28
2025-04-28
10 2
41
55
-
ปัจจัยเชิงสาเหตุของความพร้อมทางการเงินที่ส่งผลต่อผลการดำเนินงาน ของวิสาหกิจเพื่อสังคมและกลุ่มกิจการเพื่อสังคมในประเทศไทย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/279268
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ได้แก่ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อผลการดำเนินงานของวิสาหกิจเพื่อสังคมและกลุ่มกิจการเพื่อสังคมในประเทศไทย 2) เพื่อศึกษาอิทธิพลของปัจจัยเชิงสาเหตุของความพร้อมทางการเงินที่ส่งผลต่อผลการดำเนินงานของวิสาหกิจเพื่อสังคมและกลุ่มกิจการเพื่อสังคมในประเทศไทย 3) เพื่อสร้างแบบจำลองของปัจจัยเชิงสาเหตุของความพร้อมทางการเงินที่ส่งผลต่อผลการดำเนินงานของวิสาหกิจเพื่อสังคมและกลุ่มกิจการเพื่อสังคมในประเทศไทย ผู้วิจัยได้ออกแบบการวิจัยแบบผสมผสาน ได้แก่การวิจัยเชิงปริมาณ และการวิจัยเชิงคุณภาพ ทั้งนี้ได้ดำเนินการทบทวนวรรณกรรมหรือแนวคิดทฤษฎีเพื่อสร้างแบบจำลองหรือกรอบแนวคิดก่อนที่จะดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีสำรวจ และวิเคราะห์ทางสถิติด้วยสมการโครงสร้าง (Structural Equation Model: SEM)<br />ผลการศึกษา 1) ระดับความรอบรู้ทางการเงิน ภาวะผู้นำ โครงสร้างองค์กรมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อความพร้อมทางการเงินขององค์กรอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ระดับความรอบรู้ทางการเงิน ภาวะผู้นำ โครงสร้างองค์กร และความพร้อมทางการเงินมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อผลการดำเนินงานขององค์กรอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 2) อิทธิพลของปัจจัยเชิงสาเหตุของความพร้อมทางการเงินที่ส่งผลต่อผลการดำเนินงานของวิสาหกิจเพื่อสังคมและกลุ่มกิจการเพื่อสังคมในประเทศไทย พบว่า (1) ระดับความรอบรู้ทางการเงินมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อความพร้อมทางการเงินขององค์กรโดยมีขนาดอิทธิพลทางตรงเท่ากับ 0.76 (2) ระดับความรอบรู้ทางการเงิน มีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อผลการดำเนินงานขององค์กร โดยมีขนาดอิทธิพลทางตรงเท่ากับ 0.31 (3) ภาวะผู้นำมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อความพร้อมทางการเงินขององค์กรโดยมีขนาดอิทธิพลทางตรงเท่ากับ 0.71 (4) ภาวะผู้นำมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อผลการดำเนินงานขององค์กร โดยมีขนาดอิทธิพลทางตรงเท่ากับ 1.09 (5) โครงสร้างองค์กรมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อความพร้อมทางการเงินขององค์กรโดยมีขนาดอิทธิพลทางตรงเท่ากับ 0.76 (6) โครงสร้างองค์กรมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อผลการดำเนินงานขององค์กร โดยมีขนาดอิทธิพลทางตรงเท่ากับ 1.12 (7) ความพร้อมทางการเงินขององค์กรมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อผลการดำเนินงานขององค์กร โดยมีขนาดอิทธิพลทางตรงเท่ากับ 0.84 3) แบบจำลองของปัจจัยเชิงสาเหตุของความพร้อมทางการเงินที่ส่งผลต่อผลการดำเนินงานของวิสาหกิจเพื่อสังคมและกลุ่มกิจการเพื่อสังคมในประเทศไทยมีความสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์โดย x2/df = 1.425, CFI = 0.98, GFI = 0.97, AGFI = 0.90, RMSEA = 0.04 </p>
อรวิภา มากมิ่ง
สุพิน ฉายศิริไพบูลย์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-29
2025-04-29
10 2
56
69
-
แนวทางการพัฒนาธุรกิจโรงเรียนสอนขับรถในประเทศไทยเพื่อความสำเร็จอย่างยั่งยืนตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/272488
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพแวดล้อมทางธุรกิจโรงเรียนสอนขับรถในประเทศไทยเพื่อความสำเร็จอย่างยั่งยืนตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 2) ศึกษาปัจจัยความสำเร็จในการพัฒนาธุรกิจโรงเรียนสอนขับรถในประเทศไทยเพื่อความสำเร็จอย่างยั่งยืนตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 3) ศึกษาภาวะผู้นำในการพัฒนาธุรกิจโรงเรียนสอนขับรถในประเทศไทยเพื่อความสำเร็จอย่างยั่งยืนตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 4) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ ปัจจัยความสำเร็จ และภาวะผู้นำ ที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาธุรกิจโรงเรียนสอนขับรถในประเทศไทยเพื่อความสำเร็จอย่างยั่งยืนตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และ 5) นำเสนอแนวทางการพัฒนาธุรกิจโรงเรียนสอนขับรถในประเทศไทยเพื่อความสำเร็จอย่างยั่งยืนตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบการผสานวิธีโดยวิธีวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย เชิงปริมาณ จำนวน 651 คน ผู้ให้ข้อมูลสำคัญในการวิจัย เชิงคุณภาพ ได้แก่ เจ้าของ ผู้บริหาร หรือครูผู้ฝึกสอนโรงเรียนสอนขับรถ เจ้าหน้าที่กรมการขนส่งทางบก และผู้ใช้บริการ จำนวน 24 คน และผู้เข้าร่วมสนทนากลุ่ม จำนวน 9 คน รวมทั้งสิ้น 684 คน<br />ผลการวิจัยเชิงปริมาณ พบว่า สภาพแวดล้อมทางธุรกิจ ปัจจัยความสำเร็จ และภาวะผู้นำ ส่งผลต่อการพัฒนาธุรกิจโรงเรียนสอนขับรถในประเทศไทยเพื่อความสำเร็จอย่างยั่งยืนตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05<br />ผลการวิจัยเชิงคุณภาพ พบว่า แนวทางการพัฒนาธุรกิจโรงเรียนสอนขับรถในประเทศไทย เพื่อความสำเร็จอย่างยั่งยืนตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ประกอบด้วยแนวทาง 4 ด้าน ได้แก่ 1) ตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคมทั้งภายในและภายนอก 2) การตระหนักถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม 3) การใช้คุณธรรมในการบริหารจัดการ และ 4) การสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ</p>
ธนเดช สงวนพันธุ์
ทักษญา สง่าโยธิน
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
70
94
-
แนวทางการพัฒนาคุณค่าตราสินค้าของอาคารชุดที่อยู่อาศัยด้วยกลยุทธ์การตลาด การรับรู้คุณค่าตราสินค้าที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้ออาคารชุดที่อยู่อาศัยตามแนวรถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/273930
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับกลยุทธ์การตลาด การรับรู้คุณค่าตราสินค้า คุณค่าตราสินค้าและการตัดสินใจซื้ออาคารชุดที่อยู่อาศัยแนวรถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของกลยุทธ์การตลาด การรับรู้คุณค่าตราสินค้า และคุณค่าตราสินค้าของอาคารชุดที่อยู่อาศัยตามแนวรถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 3) เพื่อศึกษาอิทธิพลคุณค่าตราสินค้าต่อการตัดสินใจเลือกซื้ออาคารชุดที่อยู่อาศัยแนวรถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และ 4) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาคุณค่าตราสินค้าของอาคารชุดที่อยู่อาศัยแนวรถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ผู้วิจัยดำเนินการวิจัยโดยการวิจัยผสมผสาน โดยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล จำนวน 500 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพโดยผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 16 คน <br />ผลการวิจัยเชิงปริมาณแสดงว่า โมเดลสมการเชิงโครงสร้างแบบจำลองอิทธิพลกลยุทธ์การตลาด การรับรู้คุณค่าตราสินค้าของผู้บริโภคที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้ออาคารชุดที่อยู่อาศัยตามแนวรถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยมีค่าไค-สแควร์ เท่ากับ 83.313 ที่องศาอิสระเท่ากับ 64 ค่าความน่าจะเป็นเท่ากับ0.053 ค่าไค-สแควร์สัมพัทธ์เท่ากับ1.302 ค่าดัชนีวัดระดับความกลมกลืนเท่ากับ0.984 ค่าดัชนีวัดระดับความกลมกลืนที่ปรับแก้ (AGFI)เท่ากับ 0.944 ค่าดัชนีค่าความคลาดเคลื่อนในการประมาณค่าพารามิเตอร์เท่ากับ 0.025 <br />ผลการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญทุกท่านมีความเห็นตรงกันว่า 1) กลยุทธ์การตลาดส่งผลต่อการรับรู้คุณค่าตราสินค้าอาคารชุดที่อยู่อาศัยแนวรถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 2) กลยุทธ์การตลาดส่งผลต่อคุณค่าตราสินค้าอาคารชุดที่อยู่อาศัยแนวรถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 3) การรับรู้คุณค่าตราสินค้าส่งผลต่อคุณค่าตราสินค้าอาคารชุดที่อยู่อาศัยแนวรถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และ 4) คุณค่าตราสินค้าส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้ออาคารชุดที่อยู่อาศัยแนวรถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยมีแนวทางการพัฒนาคุณค่าตราสินค้าของอาคารชุดที่อยู่อาศัยแนวรถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ดังนี้ 1) ผู้ประกอบการต้องปรับกลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ และ 2) การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในด้านของเทคโนโลยีและวิถีใหม่ในการเดินทางของผู้บริโภค เครื่องมือในการตลาดดิจิทัลจึงมีความสำคัญ ผู้ประกอบการควรนำการสื่อสารการตลาดดิจิทัลมาใช้เป็นแนวทางในด้านการพัฒนากลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ เพื่อเป็นการสื่อสารในการพัฒนากลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ให้มีภาพลักษณ์ที่ดี และเป็นแบบแผนในการดำเนินธุรกิจต่อไป</p>
เสฎฐวุฒิ มัชฌิมารัตน์
ภัครดา เกิดประทุม
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
95
115
-
การพัฒนาบ้านธิสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะ
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/273184
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการพัฒนาบ้านธิสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะ 2) ศึกษาปัจจัยที่ส่งเสริมการพัฒนาบ้านธิสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะ และ 3) นำเสนอแนวทางการพัฒนา บ้านธิสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวนทั้งสิ้น 67 คน ได้แก่ 1) ผู้บริหารระดับสูงในจังหวัดลำพูน จำนวน 20 คน 2) ผู้มีส่วนได้เสีย จำนวน 20 คน และ 3) ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 27 คน รวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก การสนทนากลุ่ม และการประชุมเชิงนโยบาย ข้อมูลที่รวบรวมได้นำไปวิเคราะห์เนื้อหา <br />ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการพัฒนาบ้านธิสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะ มีศักยภาพและความพร้อมในการ ขับเคลื่อนภารกิจไปสู่เป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม และการพัฒนาคุณภาพชีวิต โดยการนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและนวัตกรรมเข้ามาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และการเข้าถึงโครงสร้างสาธารณะต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2) ปัจจัยที่ส่งเสริมการพัฒนาบ้านธิสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะ ได้แก่ การกำหนดทิศทางขับเคลื่อนนโยบายเมืองอัจฉริยะที่ชัดเจน การพัฒนาบุคลากรที่มีประสิทธิภาพ การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ การมีส่วนร่วมของประชาชนและการบูรณาการทุกภาคส่วน และ 3) แนวทางการพัฒนาบ้านธิสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะ ดังนี้ 1) ด้านการสร้างการเรียนรู้ให้กับประชาชน 2) ด้านการมีส่วนร่วมของประชาชนและการบูรณาการทุกภาคส่วนเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีให้มีประสิทธิภาพและประชาชนสามารถเข้าถึงได้โดยสะดวก 3) ด้านการพัฒนาประสิทธิภาพทรัพยากรมนุษย์เพื่อมีทักษะสอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี 4) การสื่อสารกับประชาชนเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเพื่อนำไปสู่ความอัจฉริยะในวิถีชีวิตของประชาชน และ 5) ด้านการดำเนินการของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่จะต้องร่วมมือกัน เพื่อให้การพัฒนาบ้านธิสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะอยู่บนพื้นฐานความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง</p>
ธนวัฒน์ สิทธิใหญ่
สมเดช มุงเมือง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
116
130
-
การถอดรหัสคำสำคัญมหาสติปัฏฐานสูตร
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/272449
<p>งานวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์และสังเคราะห์คำสำคัญจากวรรณกรรมปัจจุบันเกี่ยวกับเรื่องมหาสติปัฏฐาน 4 และเพื่อขยายความองค์ความรู้จากพระสูตรมหาสติปัฏฐาน 4 โดยอาศัยคำสำคัญ ระเบียบวิธีวิจัย โดยศึกษาจากผลงานวิจัยการสังเคราะห์งานเขียนทางพระพุทธศาสนา 100 เล่ม กลุ่มตัวอย่างเป็นคำ 1,600 คำ โดยแจงนับกลุ่มคำสำคัญได้ 77 คำสำคัญ ผลการศึกษาพบว่า การถอดรหัสคำสำคัญ 1) ด้านกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ประกอบร่วม 4 คำสำคัญ “สติ” “อานาปานสติ”“รูป” “กรรมฐาน” การพิจารณาฐานกาย “สติ” สำคัญที่สุด เป็นตัวนำไป เป็นกระบวนการปฏิบัติ อาศัยลมหายใจเข้าออกเป็นวัตถุพิจารณารูปกาย สู่ความรู้ตัวชัดตามอิริยาบถเพื่อสร้างสัมปชัญญะ การฝึกเป็นกรรมฐาน 2) ด้านเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ประกอบร่วม 4 คำสำคัญ “อายตนะ” “เวทนา” “ทุกขเวทนา” และ “สภาวธรรม” การพิจารณาฐานเวทนา คือ “อายตนะ” สำคัญที่สุด เป็นแดนเกิดเวทนา ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส และกายสัมผัส ใจกระทบอารมณ์ เกิดเป็นผัสสะ สัญญา และสังขาร ฝึกสติเห็นสภาวธรรม เพื่อออกจากอารมณ์จากทุกขเวทนา โดยวิธีการฝึกอุเบกขา 3) ด้านจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ประกอบร่วม 4 คำสำคัญ “จิตตภาวนา” “จิต” “จิตผู้รู้” “เจตสิก” การพิจารณาฐานจิต คือ “จิตภาวนา”สำคัญที่สุด เป็นตัวกำหนดจิต ให้จิตตั้งมั่นและมีพลังจิต โดยรับรู้เข้าใจอาการจิต ธรรมชาติจิต ตามเจตสิก เพื่อไปเป็นจิตผู้รู้ 4) ด้านธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ประกอบร่วม 4 คำสำคัญ “ไตรลักษณ์” “ธรรม” “ปัญญา” “นิพพาน” การพิจารณาฐานธรรม คือ “ไตรลักษณ์” สำคัญที่สุด นำเป็นธรรมเชื่อมโยง อาศัยโยนิโสมนสิการไปพิจารณาหลักธรรม อริยสัจ 4 และ มรรค 8 เพื่อได้ภาวนามยปัญญาจากการภาวนาทั้งสมถะและวิปัสสนา มุ่งให้สู่นิพพาน</p>
สรัญญา โชติรัตน์
วิลาสีนี บุญธรรม
วัชรี เลขะวิพัฒน์
อลิษา อินจันทร์
ประไพพรรณ กิ้วเกษม
พระครูโสภณกิตติบัณฑิต (บุญเสริม ศรีทา)
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
131
144
-
แนวทางการพัฒนาสมรรถนะทางเทคโนโลยีสารสนเทศของผู้บริหารสถานศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/276561
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจำเป็นของสมรรถนะทางเทคโนโลยีสารสนเทศของผู้บริหารสถานศึกษา และ 2) สร้างและประเมินแนวทางการพัฒนาสมรรถนะทางเทคโนโลยีสารสนเทศของผู้บริหารสถานศึกษา แบ่งเป็น 2 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจำเป็น กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา 9 คน และครู 311 คน รวม 320 คน โดยวิธีการการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ เครื่องมือ คือ แบบสอบถามแบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าดัชนีความสอดคล้อง 0.80-1.00 สภาพปัจจุบันมีค่าอำนาจจำแนก 0.32–0.78 ค่าความเชื่อมั่น 0.92 สภาพที่พึงประสงค์มีค่าอำนาจจำแนก 0.51–0.88 ค่าความเชื่อมั่น 0.96 สถิติ คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและค่าดัชนีลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็น ระยะที่ 2 สร้างและประเมินแนวทางการพัฒนาสมรรถนะทางเทคโนโลยีสารสนเทศของผู้บริหารสถานศึกษา ประกอบด้วย 2 ขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 กลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ 9 คน เครื่องมือ คือ แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เชิงพรรณนา ขั้นตอนที่ 2 กลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ 7 คน เครื่องมือ คือ แบบประเมิน สถิติ คือ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันสมรรถนะทางเทคโนโลยีสารสนเทศของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับปานกลาง สภาพที่พึงประสงค์ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ความต้องการจำเป็น มีค่าดัชนีลำดับความต้องการจำเป็นอยู่ระหว่าง 0.47 – 0.53 2) แนวทางการพัฒนาสมรรถนะเทคโนโลยีสารสนเทศของผู้บริหารสถานศึกษา ประกอบด้วย 3 หน่วย ได้แก่ สมรรถนะการใช้และบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศแนวทางการพัฒนา 6 แนวทาง สมรรถนะการส่งเสริมสนับสนุนเทคโนโลยีสารสนเทศมีแนวทางการพัฒนา 5 แนวทาง สมรรถนะการประเมินการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ 4 แนวทาง โดยมีองค์ประกอบ 5 องค์ประกอบ ได้แก่ หลักการและเหตุผล วัตถุประสงค์ เนื้อหาสาระ กระบวนการพัฒนา มี 3 วิธี ได้แก่ การฝึกอบรม การศึกษาดูงาน และการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง การวัดและประเมินผล และผลการประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของแนวทางการพัฒนาสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด</p>
ปิยะนันท์ ศรีทา
ชยากานต์ เรืองสุวรรณ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
145
158
-
การพัฒนารูปแบบการนิเทศแบบเสริมพลังเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูภาษาไทย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/276795
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นในการเสริมสร้างสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูภาษาไทย 2) เพื่อสร้างรูปแบบการนิเทศแบบเสริมพลัง ในการเสริมสร้างสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูภาษาไทย 3) เพื่อศึกษาผลการใช้รูปแบบการนิเทศแบบเสริมพลัง เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูภาษาไทย เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี ได้ศึกษาแนวคิดแนวคิดที่เกี่ยวกับการพัฒนาสมรรถนะครู แนวคิดการจัดการเรียนรู้และเทคนิคการจัดการเรียนรู้ภาษาไทยเชิงรุกเป็นกรอบการวิจัย กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูผู้สอนวิชาภาษาไทย จำนวน 8 โรงเรียน ในกลุ่มโรงเรียนเครือข่ายอุเทนโนนตาล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 56 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 2 ชนิด คือ 1) แบบ สอบถาม 2) แบบประเมินความเหมาะสมของรูปแบบ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐานได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ( ) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการประเมินความต้องการจำเป็นในการพัฒนาสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูภาษาไทย พบว่า ดัชนีความต้องการจำเป็น (PNImodifies) ในภาพรวมทั้ง 3 ด้านคือ 1) ด้านเจตคติที่มีต่อการจัดการเรียนรู้เชิงรุก 2) ด้านทักษะการออกแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุก และ 3) ด้านความรู้เกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้เชิงรุก มีค่าเท่ากับ 0.58 2. รูปแบบการนิเทศแบบเสริมพลังที่พัฒนาขึ้น ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) หลักการ 2) วัตถุประสงค์ 3) กระบวนการนิเทศ และ 4) การวัดและประเมินผล และ 3. ผลการประเมินรูปแบบการนิเทศแบบเสริมพลังเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูภาษาไทย พบว่า 1) สมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูภาษาไทยทั้ง 3 ด้าน หลังทดลองสูงกว่าก่อนทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2) ความพึงพอใจของครูที่มีต่อมีต่อการจัดกิจกรรมตามรูปแบบการนิเทศ มีคะแนนเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด</p>
รุ่งฤดี บุญจันทร์
พจมาน ชำนาญกิจ
ธนานันต์ กุลไพบุตร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
159
172
-
ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงาน บริษัทผลิตอาหารแห่งหนึ่ง ในจังหวัดชลบุรี
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/278293
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาระดับความคิดเห็นของปัจจัยจูงใจ ปัจจัยค้ำจุน ปัจจัยความผูกพันองค์กร และประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานบริษัทผลิตอาหารในจังหวัดชลบุรี และ (2) ศึกษาปัจจัยปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานบริษัทผลิตอาหารในจังหวัดชลบุรี เก็บข้อมูลจากพนักงานบริษัทผลิตอาหารในจังหวัดชลบุรี จำนวน 333 ราย โดยใช้แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน<br />ผลการวิจัย พบว่า ระดับความคิดเห็นของปัจจัยจูงใจ ปัจจัยค้ำจุน ปัจจัยความผูกพันต่อองค์กร และประสิทธิภาพในการการปฏิบัติงานของพนักงานบริษัทผลิตอาหารในจังหวัดชลบุรี ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ผลการทดสอบสมมุติฐานยังพบว่า (1) ปัจจัยจูงใจ ได้แก่ ด้านความสำเร็จในงาน ด้านการยอมรับนับถือ และด้านความรับผิดชอบ (2) ปัจจัยค้ำจุน ได้แก่ ด้านนโยบายและการบริหาร ด้านการบังคับบัญชา ด้านความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ด้านเงินเดือนและค่าตอบแทน และด้านสภาพแวดล้อม (3) ปัจจัยความผูกพันต่อองค์กรได้แก่ ด้านความรู้สึกที่ดีต่อองค์กร และด้านบรรทัดฐาน ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานบริษัทผลิตอาหารในจังหวัดชลบุรี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ผลการศึกษานี้ผู้บริหารสามารถนําไปใช้เป็นแนวทางในการกำหนดนโยบาย เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานให้สูงขึ้นต่อไป</p>
พัชณี เชื้อตาหมื่น
ลัดดาวัลย์ สำราญ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
173
192
-
A PROCESS WRITING APPROACH MODEL COMBINED WITH THE EXIT TICKET CONCEPT TO FOSTER WRITING ABILITIES FOR GRADE 6 STUDENTS
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/283019
<p>Writing is an essential communication skill that requires continuous development, particularly in educational settings where effective teaching strategies are crucial for supporting student learning. This study aimed to enhance the writing abilities of Grade 6 students by integrating the Process Writing Approach with Exit Tickets as a formative assessment tool. A total of 28 students, selected through cluster random sampling, participated in the study. Data were collected using writing lesson plans, pre-and post-tests, and interviews to gather insights into students' opinions. The results revealed a statistically significant improvement in students' writing skills (p < .01) following the implementation of this approach. Exit Tickets provided real-time insights into student progress, enabling teachers to deliver timely and personalized feedback on key aspects of writing, such as topic selection, introductions, conclusions, and outlining. This method facilitated a systematic and effective development of students’ writing skills. Furthermore, most students described the approach as creative, practical, and easy to implement. However, challenges like internet connectivity issues and equipment limitations in online learning were noted. This study offers valuable insights for educators on integrating formative assessment tools like Exit Tickets into writing instruction. It also highlights the adaptability of this approach across diverse educational contexts to systematically and effectively enhance students' writing proficiency.</p>
Rapin Chuchuen
Kobkul Jaikwang
Kanit Kongthong
Waree Wongkhunnen
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
193
206
-
ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีของพนักงาน บริษัทผลิตอาหารแห่งหนึ่งในจังหวัดชลบุรี
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/285251
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาระดับความคิดเห็นของปัจจัยภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง ปัจจัยวัฒนธรรมองค์กร ปัจจัยคุณภาพชีวิตในการทำงาน และพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดี ของพนักงานบริษัทผลิตอาหารในจังหวัดชลบุรี และ (2) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีของพนักงานบริษัทผลิตอาหารในจังหวัดชลบุรี เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามจากพนักงานในบริษัทผลิตอาหารในจังหวัดชลบุรี จำนวน 333 ราย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ภาพรวมของระดับความคิดเห็นของปัจจัยภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง ปัจจัยวัฒนธรรมองค์กร ปัจจัยคุณภาพชีวิตในการทำงาน และพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดี อยู่ในระดับมาก นอกจากนั้น ผลการทดสอบสมมุติฐานยังพบว่า (1) ปัจจัยภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง ได้แก่ ด้านการใช้อิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ ด้านการสร้างแรงบันดาลใจ และด้านการกระตุ้นการใช้ปัญญา (2) ปัจจัยวัฒนธรรมองค์กร ได้แก่ ด้านการมีส่วนร่วม ด้านโครงสร้างและกฎระเบียบ และด้านพันธกิจ (3) ปัจจัยคุณภาพชีวิตในการทำงาน ได้แก่ ด้านค่าตอบแทนที่เพียงพอและเป็นธรรม ด้านพัฒนาความสามารถของบุคลากร ด้านบูรณาการทางสังคม และด้านความสมดุลระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัว ส่งผลต่อพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีของพนักงานบริษัทผลิตอาหารในจังหวัดชลบุรี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ผลการศึกษานี้ผู้บริหารสามารถใช้เป็นแนวทางในการสร้างพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีของพนักงานบริษัทผลิตอาหารในจังหวัดชลบุรีให้มีพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีต่อไป</p>
ธนาพร อรุณสวัสดิ์
ลัดดาวัลย์ สำราญ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
207
225
-
แนวทางการพัฒนาสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 1
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/276560
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษา และ 2) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษา เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาระดับสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษา กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรของทาโร่ ยามาเน่ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารสถานศึกษา 38 คน และครู 293 คน รวม 331 คน เครื่องมือวิจัย คือ แบบสอบถามแบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็น ระยะที่ 2 ศึกษาแนวทางการพัฒนาสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษา ประกอบด้วย 2 ขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาแนวทางการพัฒนาสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ 9 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง โดยใช้วิธีการวิเคราะห์เชิงพรรณนา ขั้นตอนที่ 2 เพื่อประเมินแนวทางการพัฒนาสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ 7 คน เครื่องมือวิจัย คือ แบบประเมินแบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ คือ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li class="show">สภาพปัจจุบันสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาโดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับปานกลาง สภาพที่พึงประสงค์โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด ความต้องการจำเป็นในการพัฒนาสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษา มีค่าดัชนีลำดับความต้องการจำเป็นอยู่ระหว่าง 0.46 – 0.59</li> <li class="show">แนวทางการพัฒนาสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษา 17 แนวทาง ได้แก่ 1) การทำงานเป็นทีม 5 แนวทาง 2) การบริการที่ดี 4 แนวทาง 3) การมุ่งผลสัมฤทธิ์ 4 แนวทาง และ 4) การพัฒนาตนเอง 4 แนวทาง ความเหมาะสมและความเป็นไปได้ โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด</li> </ol>
นฤมล ประเสริฐสังข์
ชยากานต์ เรืองสุวรรณ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
226
237
-
การวิเคราะห์ภาพยนตร์แนวชีวประวัติบุคคลสำคัญทางพระพุทธศาสนา
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/278320
<p>การศึกษาเรื่อง “การวิเคราะห์ภาพยนตร์แนวชีวประวัติบุคคลสำคัญทางพระพุทธศาสนา” มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์การเล่าเรื่องในภาพยนตร์แนวชีวประวัติบุคคลสำคัญทางพระพุทธศาสนา “ขรัวโต อมตะเถระกรุงรัตนโกสินทร์ (2015)”และ ขรัวโต อมตะเถระกรุงรัตนโกสินทร์ สิ้นชีพิตักษัย (2016) โดยใช้ระเบียบวิจัยเชิงคุณภาพ ผ่านการวิเคราะห์ตัวบท ผลการศึกษาวิจัยพบว่า 1) การเล่าเรื่อง มีลำดับการพัฒนาเรื่อง แบ่งออกเป็น 5 ขั้นตอน คือ การเริ่มเรื่อง, การพัฒนาเหตุการณ์, ภาวะวิกฤต, การผ่านพ้นภาวะวิกฤต และการยุติเรื่องราว 2) แก่นความคิด คือ ความรักที่บริสุทธิ์ของครอบครัว, สัจธรรมความรักของหนุ่มสาว, อนิจจัง ความไม่เที่ยงแท้, ความเชื่อ ความศรัทธาในพระพุทธศาสนา และความเป็นครู 3) ตัวละคร ใช้ตัวละครหลักในการดำเนินเรื่องได้แก่ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี โดยมีตัวละครรองมีบทบาทเสริมในการดำเนินเรื่อง 4) ความขัดแย้ง มีการนำเสนอความขัดแย้งระหว่างบุคคลกับบุคคลเป็นหลัก 5) มุมมองการเล่าเรื่อง ใช้มุมมองการเล่าเรื่องจากมุมมองที่เป็นกลาง 6) ฉากในภาพยนตร์ประกอบด้วยฉากที่เป็นธรรมชาติ ฉากที่เป็นสิ่งประดิษฐ์ และฉากที่เป็นการดำเนินชีวิตของตัวละคร</p>
พระวุฒิไกร นิลดาศรี
ฉลองรัฐ เฌอมาลย์ชลมารค
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
238
249
-
รูปแบบการบริหารงานวิชาการในยุคปกติใหม่ หลังวิกฤตโควิด 19 ของโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/278252
<p>การระบาดของโรคโควิด 19 ที่ผ่านมาทำให้การศึกษาทั่วโลกต้องปรับตัวครั้งใหญ่เพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชน เพื่อให้การศึกษาดำเนินไปได้ ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะศึกษา โดยการวิจัยครั้งนี้เป็นแบบผสมผสานระหว่างเชิงปริมาณและคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบ 2) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจำเป็น 3) สร้างและพัฒนา 4) ประเมินรับรอง การดำเนินการวิจัยมี 4 ระยะ กลุ่มตัวอย่าง 596 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม และแบบประเมิน สถิติที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีความต้องการจำเป็น วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยวิธีพรรณนาวิเคราะห์</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ระยะที่ 1 ได้องค์ประกอบ 1) การพัฒนาหลักสูตร 2) สื่อการเรียนการสอน 3) กระบวนการเรียนรู้ 4) การวัดผลและประเมินผล 5) การนิเทศ 6) แหล่งเรียนรู้ 7) ระบบประกันคุณภาพ 8) การวิจัยและพัฒนา และ 9) การวางแผนงานด้านวิชาการ ระยะที่ 2 การศึกษาสภาพปัจจุบัน และสภาพที่พึงประสงค์ โดยภาพรวม อยู่ในระดับปานกลาง ส่วนค่าดัชนีความต้องการจำเป็นลำดับที่ 1 คือ ด้านการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ ระยะที่ 3 การสร้าง และพัฒนารูปแบบ ได้องค์ประกอบ 1) ชื่อรูปแบบ 2) หลักการของรูปแบบ 3) วัตถุประสงค์ของรูปแบบ 4) วิธีดำเนินการ 5) เงื่อนไขการนำรูปแบบไปใช้ 6) แนวทางการประเมิน และ 7) ระบบงานและกลไก ระยะที่ 4 ประเมินรับรองคู่มือรูปแบบการบริหารงานวิชาการ พบว่าโดยภาพรวม มีความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์ อยู่ในระดับมากที่สุด โดยสรุปการบริหารงานวิชาการในยุคปกติใหม่หลังวิกฤตโควิด 19 ให้มีประสิทธิภาพ ผู้บริหารควรให้การสนับสนุนครู บุคลากร งบประมาณ วัสดุอุปกรณ์และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง และมีการบริหารจัดการผ่านกระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการ โดยใช้กระบวนการ PAOR </p>
พระครูปลัดยง เวียงอินทร์
สุชาติ บางวิเศษ
สุขุม พรมเมืองคุณ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
250
264
-
การปฏิบัติงานในการพัฒนาโรงเรียนทั้งระบบเพื่อส่งเสริมความเป็นตัวเองและทักษะสมองสำหรับเด็กในโรงเรียนขยายโอกาส
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/280268
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพี่อ 1) เพื่อศึกษาสภาพการปฏิบัติงานในการพัฒนาโรงเรียนทั้งระบบเพื่อส่งเสริมความเป็นตัวเอง และทักษะสมองสำหรับเด็กในโรงเรียนขยายโอกาส 2) เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นในการพัฒนาโรงเรียนทั้งระบบเพื่อส่งเสริมความเป็นตัวเองและทักษะสมองสำหรับเด็กในโรงเรียนขยายโอกาส</p> <p>กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอนระดับปฐมวัย ประถมศึกษา และมัธยมศึกษาตอนต้น ที่เข้าร่วมโครงการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนทั้งระบบ (Teacher & School Quality Program: TSQP) ทุกภูมิภาค จำนวน 375 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลวิจัย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ความถี่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเทคนิค PNI modified ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>สภาพการปฏิบัติงานในการพัฒนาโรงเรียนทั้งระบบเพื่อส่งเสริมความเป็นตัวเองและทักษะสมองสำหรับเด็กในโรงเรียนขยายโอกาส โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า สภาพการปฏิบัติงานสูงสุด คือ ด้านการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา อยู่ในระดับมาก และสภาพการปฏิบัติงานต่ำสุด คือ ด้านกระบวนการจัดการเรียนรู้และการวัดผล อยู่ในระดับมาก</li> <li>ความต้องการจำเป็นในการพัฒนาโรงเรียนทั้งระบบเพื่อส่งเสริมความเป็นตัวเองและทักษะสมองสำหรับเด็กในโรงเรียนขยายโอกาส โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ความต้องการพัฒนาโรงเรียนทั้งระบบสูงสุด คือ ด้านการบริหารจัดการโรงเรียนทั้งระบบ อยู่ในระดับมากที่สุด และความต้องการพัฒนาโรงเรียนทั้งระบบต่ำสุด คือ การสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพอยู่ในระดับมากที่สุด</li> </ol>
วงเดือน จันทร์เทศ
พิทยา แสงสว่าง
วารีรัตน์ แก้วอุไร
อนุชา กอนพ่วง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
265
277
-
แนวทางการส่งเสริมธุรกิจโรงแรมขนาดเล็กในเขตพื้นที่เมืองรองภาคกลางตอนบน เพื่อเพิ่มศักยภาพทางการแข่งขัน
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/281356
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัญหาและอุปสรรคของการดำเนินธุรกิจโรงแรมขนาดเล็กในเขตพื้นที่เมืองรองภาคกลางตอนบน การส่งเสริมธุรกิจ องค์ประกอบในการเพิ่มศักยภาพทางการแข่งขันของธุรกิจ และ เสนอแนวทางการส่งเสริมธุรกิจโรงแรมขนาดเล็ก เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก โดยคัดเลือกแบบเจาะจง ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 11 คน ประกอบด้วย ผู้ประกอบการโรงแรมและรีสอร์ทขนาดเล็กใน 3 จังหวัด คือ ชัยนาท สิงห์บุรี และอ่างทอง ผู้ใช้บริการที่เคยพักในโรงแรมขนาดเล็ก และผู้บริหารสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬา และการสนทนากลุ่มเฉพาะ 9 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปสำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ ผลการวิจัยพบว่า ปัญหาและอุปสรรคของการดำเนินธุรกิจโรงแรมขนาดเล็กในเขตพื้นที่เมืองรองภาคกลางตอนบน คือ การแข่งขันสูงจากโรงแรมขนาดใหญ่ ข้อกำหนดและระเบียบข้อบังคับที่มีความซับซ้อน การขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ ปัญหาการจัดการทรัพยากรมนุษย์ ปัญหาด้านการเงินและการเข้าถึงแหล่งเงินทุน การเปลี่ยนแปลงในวัฒนธรรมและเทคโนโลยีซึ่งต้องมีการปรับตัวเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการ ข้อจำกัดด้านสถานที่และการเข้าถึงของนักท่องเที่ยว และความผันผวนของตลาดท่องเที่ยว ในส่วนการส่งเสริมธุรกิจโรงแรมขนาดเล็กเพื่อเพิ่มศักยภาพทางการแข่งขันนั้น จะต้องให้ความสำคัญกับการสร้างเครือข่ายในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการพัฒนาท้องถิ่น องค์ประกอบในการเพิ่มศักยภาพทางการแข่งขัน ประกอบด้วย กลยุทธ์การแข่งขัน การสร้างมาตรฐานในการดำเนินธุรกิจที่มีต้นทุนต่ำ การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน การสร้างประสบการณ์ที่หลากหลายที่เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมท้องถิ่น สำหรับแนวทางในการส่งเสริมธุรกิจโรงแรมขนาดเล็กในเขตพื้นที่เมืองรองภาคกลางตอนบนได้สรุปเป็นรูปแบบ คือ “WE CARE” ได้แก่ การทำงานร่วมกัน Work Together and Training (W), ความยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อม Environmental Sustainability Programs (E), การพัฒนาประสบการณ์ลูกค้า Customer Experience Enhancement (C), การสร้างเครือข่ายพันธมิตร Alliances and Partnerships (A), การสร้างความสัมพันธ์กับชุมชนท้องถิ่น Relationship Building with Local Community (R) และการปฏิบัติงานด้วยจริยธรรม Ethical Practices (E)</p>
อัครวินท์ ขำขุด
ทักษญา สง่าโยธิน
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
278
300
-
การพัฒนากลยุทธ์การปรับตัวของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างระบบไฟฟ้าใต้ดิน
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/275743
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพแวดล้อมของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างระบบไฟฟ้าใต้ดิน 2) ศึกษาปัญหาและอุปสรรคของธุรกิจ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ของสภาพแวดล้อม ปัญหาและอุปสรรคที่ส่งผลต่อการดำเนินการของธุรกิจ และ 4) เสนอแนวทางการพัฒนากลยุทธ์การปรับตัวของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างระบบไฟฟ้าใต้ดิน ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบการผสานวิธีโดยวิธีวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ในการวิจัยเชิงปริมาณ ทำการวิเคราะห์ความสัมพันธ์โดยใช้การถดถอยพหุคูณระหว่างตัวแปรต้น ได้แก่ สภาพแวดล้อมทางธุรกิจ และปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจ และตัวแปรตาม ได้แก่ กลยุทธ์การปรับตัวของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างระบบไฟฟ้าใต้ดิน ใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล กับกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 500 คน ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกและการสนทนากลุ่มกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 21 คน นำเสนอเชิงพรรณา<br />ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพแวดล้อมของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างระบบไฟฟ้าใต้ดิน สภาพแวดล้อมภายใน โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ด้านภาวะผู้นำ มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด รองลงมาได้แก่ ด้านโครงสร้างพื้นฐานองค์การ และด้านการพัฒนาเทคโนโลยี ส่วนสภาพแวดล้อมภายนอก โดยรวมอยู่ในระดับมาก และด้านเทคโนโลยี และด้านนโยบายภาครัฐ ตามลำดับ 2) ปัญหาและอุปสรรคในการพัฒนากลยุทธ์ ได้แก่ ปัญหาด้านแรงงาน/บุคลากร ปัญหาด้านขนส่ง และ ปัญหาด้านการบริหารจัดการ ตามลำดับ 3) ความสัมพันธ์ของสภาพแวดล้อม พบว่า สภาพแวดล้อมทางธุรกิจ ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจ ส่งผลต่อกลยุทธ์การปรับตัวของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างระบบไฟฟ้าใต้ดิน โดยสภาพแวดล้อมภายใน คือ ด้านภาวะผู้นำ ด้านการพัฒนาเทคโนโลยี ส่วนสภาพแวดล้อมภายนอก คือ ด้านเศรษฐกิจ ด้านการเมือง 4) แนวทางการพัฒนากลยุทธ์การปรับตัวของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างระบบไฟฟ้าใต้ดิน ได้แก่ กลยุทธ์ระดับองค์การ คือ การปรับโครงสร้างองค์กรที่มีความยืดหยุ่น การบริหารจัดการทางการเงิน การพัฒนาความยั่งยืนและความรับผิดชอบต่อสังคม กลยุทธ์ระดับธุรกิจ คือ การพัฒนากลยุทธ์การแข่งขัน การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน และการปรับตัวตามนโยบายภาครัฐและกฎระเบียบ และ กลยุทธ์ระดับปฏิบัติการ คือ การพัฒนาทรัพยากรบุคคล การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการดำเนินงาน และการบริหารจัดการความเสี่ยง</p>
เสรี มิ่งขวัญ
ปวิตพล ไพบูลย์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
301
324
-
THE UTILIZATION OF HEALTH SERVICES AND MEDICAL TOURISM BY CHINESE IN THAILAND
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/278570
<p class="md-p" style="margin: 0cm; margin-bottom: .0001pt; text-align: justify; text-justify: inter-cluster; text-indent: 36.0pt;"><span style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif;">The Thai government's temporary visa-free policy for Chinese citizens, initiated on September 25, 2023, has been a strategic move to elevate Thailand's health tourism and medical services, positioning it as a leading ASEAN hub. This study conducts descriptive research to understand the healthcare service utilization and medical tourism behavior of Chinese nationals residing in Bangkok and its vicinity. A random sample of 100 Chinese nationals was selected, and the sample size was determined using Taro Yamane's formula. The research utilized a questionnaire validated by experts and demonstrated high reliability with a Cronbach's Alpha of 0.975. Data analysis was performed through mean and percentage calculations. Key findings indicate that 93% of Chinese nationals in the sample had no chronic diseases, 64% were not sick in the past 3 months, and 36% in the past 6 months. Most accessed healthcare independently, with a preference for outpatient services (73%), primarily at private hospitals (75.64%), followed by private clinics (15.42%) and public hospitals (8.94%). Information on healthcare service quality was mainly sourced from Chinese peers and social media. The study reveals a high perception of healthcare service quality in Thailand among Chinese nationals (x</span><span style="font-size: 16.0pt; font-family: 'Arial',sans-serif;">̄</span><span style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif;"> = 3.70, SD = .50), with coordination (x</span><span style="font-size: 16.0pt; font-family: 'Arial',sans-serif;">̄</span><span style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif;"> = 3.24, SD = .64) and information provision (x</span><span style="font-size: 16.0pt; font-family: 'Arial',sans-serif;">̄</span><span style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif;"> = 3.27, SD = .64) at a moderate level. The research underscores the importance of utilizing healthcare facility data to enhance services and streamline delivery processes to reduce complexity, particularly in service coordination. It also highlights the need for educational institutions to improve medical interpreters' proficiency, especially in specialized Chinese medical terminology, to strengthen Thailand's preparedness as a medical hub in the ASEAN region.</span></p>
Chada Triamvithaya
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-26
2025-04-26
10 2
325
338
-
การพัฒนากิจกรรมการท่องเที่ยว เชิงโหยหาอดีต เพื่อสร้างสรรค์คุณค่าร่วม และมูลค่าเพิ่มโดยชุมชน
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/275159
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหา ความต้องการการท่องเที่ยวเชิงโหยหาอดีต 2) เพื่อพัฒนากิจกรรมการท่องเที่ยว เชิงโหยหาอดีต เพื่อสร้างสรรค์คุณค่าร่วม และมูลค่าเพิ่มโดยชุมชน เป็นการวิจัยและพัฒนาได้ศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงโหยหาอดีตเป็นกรอบการวิจัย กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ให้ข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์ ผู้นำชุมชน ผู้ประกอบการ และนักท่องเที่ยว จำนวน 12 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 2 ชนิด คือ 1)แบบสัมภาษณ์ 2)แบบสังเกต วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปรากฎการณ์และเชิงทฤษฎี</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า สภาพปัญหาความต้องการการท่องเที่ยวเชิงโหยหาอดีตที่เคยรุ่งเรือง ของเมืองปากพนัง มีปัญหาจากสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง เกิดขากพื้นที่ท่องเที่ยวมียุงชุกชุมมาก ขยะที่มากับน้ำในแม่น้ำปากพนังมีมากทำลายทัศนียภาพ ด้านประวัติศาสตร์ มีนักเล่าเรื่องชุมชนที่น่าสนใจติดตาม มีน้อย การท่องเที่ยว กระจุกตัวเฉพาะพื้นที่ไม่มีการเชื่อมโยงข้อมูลด้านการท่องเที่ยวระหว่างผู้ประกอบการท่องเที่ยว ชุมชน องค์กร หน่วยงานและกลุ่มคนที่ประสาน จัดการดูแลจัดการกิจกรรมการท่องเที่ยว ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันยังไม่ชัดเจน ผลการวิจัยเพื่อพัฒนากิจกรรมการท่องเที่ยว เชิงโหยหาอดีต เพื่อสร้างสรรค์คุณค่าร่วม และมูลค่าเพิ่มโดยชุมชน พบว่า การพัฒนาด้านข้อมูลประวัติศาสตร์ในช่วงที่รุ่งเรืองควรมีจุดเก็บรวบรวม และจัดระบบให้นักท่องเที่ยวเข้าถึงข้อมูลทั้งภาพถ่าย สิ่งของอิงประวัติศาสตร์ที่สะดวก ท่ามกลางบรรยากาศที่ชวยในซาบซึ้งใจภาคภูมิใจในอดีตที่รุ่งเรือง ฝึกอบรมทักษะให้นักเล่าเรื่องที่น่าสนใจน่าติดตาม และพัฒนาความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการท่องเที่ยว กับชุมชน นำเสนอจุดเด่นด้านอาหารปากพนัง เมนูปลากระบอก เป็นปลาท้องถิ่นที่มีปริมาณมาก รสชาติอร่อยเฉพาะพื้นที่ 3 น้ำ (น้ำจืด น้ำเค็ม และน้ำกร่อย) อาหารหวานจากน้ำตาลจาก ที่พัก ที่ตั้งอยู่บริเวณชุมชนริมแม่น้ำปากพนังที่สะดวกและสัมผัสบรรยากาศอดีต ด้วยบริการเรือแจว เรือท้องแบบยุคก่อน ไปสัมผัส สถานที่และร่อยรอยประวัติศาสตร์ที่ประทับใจ</p>
สาลินี ไชยศรี
ลัญจกร นิลกาญจน์
ปัญญา เลิศไกร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-26
2025-04-26
10 2
339
349
-
รูปแบบการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจ: กรณีศึกษาย่านทรงวาด
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/280108
<p>การท่องเที่ยวโดยชุมชนเป็นการพัฒนาชุมชนที่มีมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมา มีวิถีชีวิตแบบชุมชนท้องถิ่นที่แท้จริงที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ‘ทรงวาด’ คือย่านการค้าริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ เป็นถนนที่เต็มไปด้วยโกดังกักเก็บสินค้า โดยเฉพาะเครื่องเทศที่ขึ้นชื่อลือชา และร้านอาหาร คาเฟ่ และอาร์ตแกลเลอรีต่างๆ มากมายที่มาเสริมเติมแต่งเมืองเก่า ใต้ชายคาของสถาปัตยกรรมแบบยุโรปที่ทำให้ย่านนี้กลายเป็นอีกย่านสร้างสรรค์แห่งใหม่ของกรุงเทพฯ ทำให้การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ในการส่งเสริมเศรษฐกิจในย่านทรงวาด และพัฒนารูปแบบการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ในการส่งเสริมเศรษฐกิจในย่านทรงวาด โดยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงผสมผสาน เก็บข้อมูลจาก ผู้ประกอบการธุรกิจย่านทรงวาด ผู้นำชุมชน ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นักวิชาการด้านการท่องเที่ยวชุมชน จำนวน 17 คน โดยวิธีเฉพาะเจาะจง และ นักท่องเที่ยวจำนวน 385 คน โดยวิธีสุ่มสะดวก และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติ และข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา และพิสูจน์สมมติฐานด้วยการวิเคราะห์สมการถดถอย ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยด้านการสร้างสรรค์กิจกรรมสำหรับนักท่องเที่ยว ด้านอัตลักษณ์ของพื้นที่ ด้านการบูรณาการการทำงานระหว่างชุมชนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว ด้านการมีส่วนร่วมของชุมชน ด้านความสมดุลระหว่างความต้องการของนักท่องเที่ยวและผลประโยชน์ของเจ้าของแหล่งท่องเที่ยว ส่งผลต่อการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ในการส่งเสริมเศรษฐกิจในย่านทรงวาด ตามลำดับ และ รูปแบบการท่องเที่ยวเขิงสร้างสรรค์ในการส่งเสริมเศรษฐกิจในย่านทรงวาดประกอลด้วยอัตลักษณ์ท้องถิ่น ระยะเวลาในการท่องเที่ยว องค์ความรู้ในการท่องเที่ยว ความพึงพอใจในรูปแบบการท่องเที่ยว</p>
กวินพัฒน์ เลิศพงษ์มณี
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
350
365
-
รูปแบบการบริหารเพื่อพัฒนาการจัดการศึกษาแบบเรียนร่วมของครู ในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/281634
<p>บทความวิจัยนี้ เป็นการวิจัยผลานวิธีทั้งเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูการศึกษาพิเศษ จำนวน 190 คน และ ครูที่มีหน้าที่รับผิดชอบการจัดการเรียนร่วม จำนวน 190 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 2 ชนิด คือ 1) แบบสอบถาม และ 2) แบบประเมิน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน ประกอบด้วย การวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน (Pearson Correlation Coefficient) ตรวจสอบความสอดคล้องกลมกลืนของโมเดลการวิจัย (CFA) การวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง (SEM) วิเคราะห์เส้นทางอิทธิพล (Path Analysis) ผลการวิจัย พบว่า 1) ปัจจัยภายนอก ปัจจัยภายใน และสมรรถนะการจัดการศึกษาแบบเรียนร่วมของครูโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) การตรวจสอบความสอดคล้องของรูปแบบเชิงโครงสร้างความสำเร็จของการจัดการศึกษาแบบเรียนร่วมของครูสังกัดกรุงเทพมหานครมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานการวิจัย และ 3) การประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของรูปแบบการการบริหารเพื่อพัฒนาการจัดการศึกษาแบบเรียนร่วมของครูในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร โดยผู้ทรงคุณวุฒิอยู่ในระดับมากที่สุด และการประเมินความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์โดยผู้เกี่ยวข้องกับการใช้รูปแบบอยู่ในระดับมากที่สุด องค์ความรู้ที่ได้จากงานวิจัยนี้ โรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร ผู้บริหารสถานศึกษา ครู และผู้เกี่ยวข้องทางการศึกษา สามารถนำผลของรูปแบบที่พัฒนาขึ้นไปใช้ปฏิบัติจริงในสถานศึกษา การพัฒนาบุคลากรและฝึกอบรมบุคลากรให้ปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลเพื่อทำให้นักเรียนที่มีความต้องการพิเศษให้มีคุณภาพเต็มตามศักยภาพของนักเรียน</p>
พัตรพิมล ผิวขาว
วิภาภรณ์ ภู่วัฒนกุล, โกศล มีคุณ และ อัจฉรา วัฒนาณรงค์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-28
2025-04-28
10 2
644
656
-
USING FLIPPED CLASSROOM TO IMPROVE ENGLISH READING COMPREHENSION ABILITY OF FIRST-YEAR STUDENTS AT SAKON NAKHON RAJABHAT UNIVERSITY
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/273312
<p>The objectives of this research were to study and compare the English reading comprehension ability of first-year students before and after studying English reading comprehension using flipped classroom and to investigate the students’ attitude toward teaching English reading comprehension using flipped classroom. The sample consisted of 52 first-year students at Sakon Nakhon Rajabhat University, Mueang District, Sakon Nakhon Province, in the first semester of 2023 academic year, selected by cluster random sampling. The research was a one group pretest-posttest design. The research instruments included 12 lesson plans, an English reading comprehension ability test, and an attitude questionnaire. The experiment lasted for 12 weeks, with 3 hours per week, totaling 36 hours. For data analysis, the researchers used mean, percentage, standard deviation and t-test for dependent samples. The results of this research indicated that: 1) the students’ pretest and posttest mean scores on English reading comprehension ability were 18.12 or 45.29 percent and 31.81 or 79.52 percent respectively. The students’ posttest mean score on English reading comprehension ability was significantly higher than that of the pretest at 0.1 level and the mean score on the posttest was higher than the set criterion of 70 percent, and 2) the students’ attitude toward teaching English reading comprehension using flipped classroom was at a very good level.</p>
Supanee Laosuangkool
Worawut Tutwisoot
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
366
379
-
การเสริมสร้างพฤติกรรมการกล้าแสดงออกอย่างเหมาะสมของนักศึกษาครูสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย ด้วยกิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ โดยใช้แนวการสอนแบบไฮสโคป
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/285371
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เสริมสร้างพฤติกรรมการกล้าแสดงออกอย่างเหมาะสมของนักศึกษาครูสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัยด้วยกิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ โดยใช้แนวการสอนแบบไฮสโคป 2) เปรียบเทียบพฤติกรรมการกล้าแสดงออกอย่างเหมาะสมของนักศึกษาครูสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย ด้วยกิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ โดยใช้แนวการสอนแบบไฮสโคป กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือนักศึกษาครูสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัยชั้นปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 คณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี จำนวน 25 คน เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนการสอน (มคอ.3 รายวิชาลีลา จังหวะ และการเคลื่อนไหวสำหรับเด็กปฐมวัย) และแนวการสอนแบบไฮสโคป จำนวน 10 แผน 2) แบบทดสอบกิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ 5 กิจกรรม 3) แบบประเมินพฤติกรรมการกล้าแสดงออกอย่างเหมาะสม แบบตรวจสอบรายการจำนวน 5 ข้อ 15 คะแนน สถิติที่ใช้ คือ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) นักศึกษาสาขาครูวิชาการศึกษาปฐมวัย ที่ได้รับการที่ได้รับการจัดกิจกรรมเสริมสร้างพฤติกรรมการกล้าแสดงออกอย่างเหมาะสมด้วยกิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ โดยใช้แนวการสอนแบบไฮสโคป มีพฤติกรรมการกล้าแสดงออกอย่างเหมาะสมมากขึ้น 2) เปรียบเทียบจากผลต่างของคะแนนพฤติกรรมการกล้าแสดงออกอย่างเหมาะสมของนักศึกษาครูสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย ด้วยกิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ โดยใช้แนวการสอนแบบไฮสโคป หลังทำกิจกรรมมีคะแนนสูงกว่า ก่อนการจัดกิจกรรม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05</p> <p><strong>คำสำคัญ:</strong> พฤติกรรมการกล้าแสดงออกอย่างเหมาะสม<strong>; </strong>กิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ<strong>; </strong>แนวการสอนแบบไฮสโคป</p>
ธนพร แถวไธสง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
380
392
-
อิทธิพลของคุณลักษณะการยอมรับนวัตกรรมที่ส่งผลต่อการใช้บริการงานทะเบียนออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชันไทยดี ในอำเภอบ้านแฮด จังหวัดขอนแก่น
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/284282
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาคุณลักษณะของการยอมรับนวัตกรรมที่ส่งผลต่อการใช้บริการงานทะเบียนออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน “ไทยดี” ในอำเภอบ้านแฮด จังหวัดขอนแก่น และ 2) เพื่อเสนอแนวทางในการยกระดับการให้บริการดังกล่าว การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถามเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 400 คน ซึ่งเป็นประชาชนที่เคยใช้บริการแอปพลิเคชันไทยดี โดยใช้วิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ระดับการยอมรับนวัตกรรมและการใช้บริการของกลุ่มตัวอย่างอยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ย 5.05 และ 5.03 ตามลำดับ ผลการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแสดงให้เห็นว่า ตัวแปรด้านการยอมรับนวัตกรรม ได้แก่ ด้านความสามารถในการสังเกตได้ ความสามารถในการทดลองใช้ ความเข้ากันได้ และความซับซ้อน มีความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ต่อระดับการใช้บริการ และสามารถอธิบายความแปรปรวนได้ร้อยละ 73.30 (R² = 0.733) ข้อเสนอแนะคือ หน่วยงานภาครัฐควรเพิ่มช่องทางการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อดิจิทัลและโซเชียลมีเดีย พัฒนาเว็บไซต์ให้ทันสมัย และออกแบบฟังก์ชันของแอปให้ใช้งานง่าย รวดเร็ว รวมถึงการจัดทำโครงการนำร่องในพื้นที่ศักยภาพสูง เพื่อเก็บข้อมูลจากการใช้งานจริงก่อนขยายสู่ระดับประเทศ ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพบริการงานทะเบียนออนไลน์ของภาครัฐให้ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น</p> <p> </p>
บุญชณัฏฐา หาผลดี
วิษณุ สุมิตสวรรค์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
393
411
-
การท่องเที่ยวเชิงปฏิบัติธรรม : แนวทางพัฒนาและส่งเสริมมูลค่าวิชาการทางพุทธศาสนาเชิงสร้างสรรค์ของมหาวิทยาลัยสงฆ์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/273288
<p>การท่องเที่ยวเชิงปฏิบัติธรรมในงานวิจัยนี้หมายถึงการผสานแนวทางการปฏิบัติธรรมกับการพักผ่อนกายใจ โดยให้บริการในรูปแบบร้านกาแฟ พร้อมกิจกรรมทางพุทธศาสนา เช่น ฟังธรรม ปฏิบัติธรรม และบริการเครื่องดื่มหรือของที่ระลึก ภายในพื้นที่มหาวิทยาลัยสงฆ์ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ: (1) ศึกษาแนวทางส่งเสริมมูลค่าวิชาการทางพุทธศาสนาเชิงสร้างสรรค์กับการท่องเที่ยว (2) พัฒนามูลค่าวิชาการดังกล่าวภายใต้แนวคิดการท่องเที่ยวเชิงปฏิบัติธรรม และ (3) ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงปฏิบัติธรรมในรูปแบบบริการวิชาการภายในมหาวิทยาลัยสงฆ์ ใช้ระเบียบวิจัยเชิงปฏิบัติการ โดยมีผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 18 คน ได้แก่ คณาจารย์ นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยว และวิปัสสนาจารย์ ใช้เครื่องมือ ได้แก่ แบบบันทึกสนทนากลุ่ม และแบบสังเกตการณ์ภาคสนาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการพรรณนาเชิงเนื้อหา ผลการวิจัยเสนอ 3 ขั้นตอนหลัก ได้แก่ การกำหนดกรอบคุณลักษณะของผลงานวิชาการ การวิเคราะห์แนวทางและสร้างกลยุทธ์ และการวางแนวทางส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวิชาการในพื้นที่มหาวิทยาลัยสงฆ์ การพัฒนาเชิงกระบวนการประกอบด้วยกลยุทธ์การตลาด การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การขยายตลาด และการสร้างธุรกิจใหม่ ซึ่งนำไปสู่ผลิตภัณฑ์ทางวิชาการและการพัฒนาภูมิทัศน์พื้นที่ ในวงรอบแรก ผู้ให้บริการพบว่ากิจกรรมราบรื่น ส่วนผู้รับบริการนิยมการฟังธรรมและการท่องเที่ยวแบบหมู่คณะ วงรอบที่สองพบข้อจำกัดเรื่องสภาพอากาศ แต่ผู้รับบริการยังคงสนใจรูปแบบการท่องเที่ยว โดยแสดงออกผ่านการแชร์ภาพกิจกรรมในสื่อสังคมออนไลน์</p>
สันต์ทัศน์ สินสมบัติ
ธีรเดช โพธิ์ทอง
สุเทพ ดีเยี่ยม
สุดธิดา พ่วงเฟื่อง
ณัฏยาณี บุญทองคำ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
412
422
-
โมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของสมรรถนะผู้นำยุคใหม่ โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ในประเทศไทย : การวิเคราะห์สมรรถนะผู้นำเป็นตัวแปรส่งผ่าน
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/280602
<p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) พัฒนาและตรวจสอบโมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของสมรรถนะผู้นำยุคใหม่ในโรงเรียนพระปริยัติธรรม 2) วิเคราะห์บทบาทของสมรรถนะผู้นำเป็นตัวแปรส่งผ่าน 3) ทราบข้อมูลเชิงลึกและข้อเสนอแนะในการบริหารพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารโรงเรียน โดยใช้การวิจัยแบบผสานวิธีในการวิเคราะห์ความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ที่พัฒนาขึ้นตามแนวคิดทฤษฎี โดยใช้เครื่องมือในการวิจัยเชิงปริมาณกำหนดแบบสอบถามจำนวน 408 ตัวอย่างกับผู้นำและผู้บริหารโรงเรียน และใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้ให้ข้อมูลเฉพาะพื้นที่เขตภาคกลาง จำนวน 20 ราย ผลการวิจัยพบว่า 1) องค์ประกอบความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของสมรรถนะผู้นำยุคใหม่ด้านภาวะผู้นำของผู้บริหาร ให้ความสำคัญด้านความสามารถบริหารจัดการความสัมพันธ์ และการพัฒนาตนเองของผู้บริหารด้านคุณธรรม จริยธรรมและจรรยาบรรณกับระบบประกันคุณภาพการศึกษาภายใน ต่อการบริหารพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารสู่ผู้นำยุคใหม่ของโรงเรียน ได้แก่ สมรรถนะผู้นำด้านภาวะผู้นำ การบริหารเชิงกลยุทธ์ การบริหารการเปลี่ยนแปลง และ การบริหารแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ ขณะที่ผลจากการสัมภาษณ์เชิงลึก ได้แก่ผู้นำด้านการบริหารจัดการความสัมพันธ์ มีความสำคัญในระดับมาก และการบริหารพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารเป็นผลความสัมพันธ์ทางตรงจากภาวะผู้นำ การพัฒนาตนเอง และระบบการประกันคุณภาพการศึกษาของผู้บริหาร 2) สมรรถนะผู้นำมีความสัมพันธ์เชิงอิทธิพลกับภาวะผู้นำและการพัฒนาตนเองของผู้บริหารที่มุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรมการศึกษาเป็นผลจากผู้นำเชิงกลยุทธ์มีวิสัยทัศน์กว้างไกล โดยผู้นำการเปลี่ยนแปลง ผู้นำแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ มีอิทธิพลต่อการบริหารพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารโรงเรียนด้านการบริหารวิชาการและการบริหารงบประมาณที่มุ่งการพัฒนาตนเองมีผลต่อคุณธรรมจริยธรรมและจรรยาบรรณ การบริหารบุคคล และการบริหารทั่วไป และ 3) การบริหารพัฒนาสมรรถนะผู้นำยุคใหม่ มีความสัมพันธ์เชิงอิทธิพลกับการพัฒนาระบบประกันคุณภาพการศึกษา ภายใน-ภายนอก และการบริหารประกันคุณภาพที่มุ่งพัฒนาสมรรถนะผู้นำการบริหารเชิงกลยุทธ์ที่มีความสัมพันธ์เชิงสาเหตุกับการบริหารวิชาการ งบประมาณ และบุคคล</p>
ภัทรี ฟรีสตัด
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
423
438
-
กลยุทธ์การบริหารงานบำรุงรักษาทางพิเศษที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในเขตกรุงเทพมหานคร
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/272519
<p>การศึกษาเรื่องกลยุทธ์การบริหารงานบำรุงรักษาทางพิเศษที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในเขตกรุงเทพมหานคร มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากลยุทธ์การบริหารงานบำรุงรักษาทางพิเศษที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในเขตกรุงเทพมหานคร ที่อยู่ภายใต้การรับรองของระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม ISO 14001 โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ เจ้าหน้าที่บำรุงรักษาทางพิเศษฉลองรัช (ทางพิเศษสายบางนา-อาจณรงค์) จำนวน 41 คน เจ้าหน้าที่งานพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา-ชลบุรี) จำนวน 23 คน และเจ้าหน้าที่ตำแหน่งอื่นๆ จำนวน 70 คน รวมทั้งสิ้น 143 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาเพื่อหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามสองในสาม (74.13%) เป็นชาย มีอายุระหว่าง 40-56 ปี (44.76%) ได้รับการศึกษาระดับปริญญาตรี (49.65%) มีประเภทการรับผิดชอบงานด้านอื่นๆ (55.24 %) ซึ่งระยะเวลาในการทำงานโดยเฉลี่ยมากที่สุดมากกว่า 15 ปี (51.75%) และมีรายได้เฉลี่ย 20,001 บาทขึ้นไป มากที่สุด (66.43%) ในด้านกลยุทธ์การบริหารงาน ผู้ตอบแบบสอบถามมีระดับความคิดเห็นต่อกลยุทธ์การบริหารงานบำรุงรักษาทางพิเศษสำหรับงานบำรุงรักษาทางพิเศษฉลองรัช ทางพิเศษสายบางนา-อาจณรงค์ (รามอินทรา-อาจณรงค์และรามอินทรา-วงแหวนรอบนอก) และทางพิเศษบูรพาวิถี ภาพรวมอยู่ในระดับเห็นด้วยมากท ค่าเฉลี่ยรวม 3.47 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านระบบการปฏิบัติงาน ค่าเฉลี่ย 3.66 ด้านค่านิยมร่วม ค่าเฉลี่ย 3.55 ด้านโครงสร้างองค์กร ค่าเฉลี่ย 3.53 ด้านรูปแบบการบริหาร ค่าเฉลี่ย 3.51 ด้านทักษะ ความสามารถ ค่าเฉลี่ย 3.47 ด้านกลยุทธ์และยุทธศาสตร์ ค่าเฉลี่ย 3.43 และด้านบุคลากร ค่าเฉลี่ย 3.16 ตามลำดับ</p>
ณัฐฐาพร ท้วมประดิษฐ์
กอบลาภ อารีศรีสม
รภัสสรณ์ คงธนจารุอนันต์, วีณา นิลวงศ์, วิกานดา ใหม่เฟย เรืองชัย จูวัฒนสำราญ และภาวิณี อารีศรีสม
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
439
450
-
GUIDELINES FOR COMMUNITY SUSTAINABLE RESETTLEMENT MANAGEMENT UNDER NAMTHEUN 2 ELECTRICITY IN KHAMMOUANE PROVINCE, LAO PEOPLE’S DEMOCRATIC REPUBLIC
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/272520
<p>The objective of this research was to study the resettlement management of communities under the Namtheun 2 electricity, Khammouane Province, Lao People’s Democratic Republic. It is quantitative research. The sample group used in the study was 380 people in the community under the Namtheun 2 electricity, Khammouane Province, Lao PDR. Data were collected using interviews and data analysis using descriptive statistics. The study found that most of the people were female, aged range between 30-39 years old, and had education at junior high school level or below. Mainly engaged in agriculture and most people have household incomes of less than 5,000 baht, with the original residents before entering the community, namely Mueang Khun Kham and Mueang Nakai. The majority were Buddhist and the main economic crops were rice and vegetables, with water and forest resources being considered important resources for the community. Guidelines for community management in all aspects found that people had opinions at a high level of agreement (Mean = 3.73). When considering each aspect, it showed that in all seven aspects, the public had a high level of opinion, namely: operation system (Mean = 3.83), Management Style (Mean = 3.77), Management Structure (Mean = 3.75), Skills, Knowledge, and Abilities (Mean = 3.74), Strategies (Mean = 3.73), Values (Mean = 3.70), and personnel (Mean = 3.69), respectively. People under the Namtheun 2 Electricity had the most problems in community management and infrastructure management. There are also problems with waste and sewage disposal and professional problems of people in the community. In addition, the problem of traditions, cultures, and beliefs in an area that was a crossroads of diverse ethnic groups, including historical armed forces and bases. The project proceeds without a thorough understanding of that background. As a result, the project is unable to achieve the goal of improving the lives of these affected indigenous peoples.</p>
Salika Onsy
Pawinee Areesrisom
Raphassorn Kongtanajaruanun
Pinnapa Muakyod
Narin Taokaenchan
Koblap Areesrisom
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
451
462
-
ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อความเป็นนวัตกรการศึกษาของครู สังกัดสำนักงานเขต พื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครพนม
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/283815
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ระดับความเป็นนวัตกรการศึกษาของครู 3) ความสัมพันธ์ของภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากับความเป็นนวัตกรการศึกษาของครู และ 4) อำนาจพยากรณ์ของภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อความเป็นนวัตกรการศึกษาของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครพนม โดยใช้การวิจัยแบบผสานวิธี ซึ่งศึกษาทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้ Siemens., (2004) และแนวคิดภาวะผู้นำดิจิทัลจาก Sheninger., (2014) เป็นกรอบการวิจัย กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครพนม จำนวน 339 คน โดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบเป็นขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( = 4.470, S.D. = 0.503) 2) ระดับความเป็นนวัตกรการศึกษาของครู โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.593, S.D. = 0.380) 3) ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากับความเป็นนวัตกรการศึกษาของครู มีความสัมพันธ์กันทางบวกในระดับปานกลาง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (r<sub>xy</sub> = .540) และ 4) ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษามีอำนาจพยากรณ์ความเป็นนวัตกรการศึกษาของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครพนม ได้ 2 ตัวแปร ได้แก่ ด้านการสื่อสารดิจิทัล (X<sub>3</sub>) มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และด้านการมีวิสัยทัศน์ดิจิทัล (X<sub>1</sub>) มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ตัวแปรพยากรณ์ทั้ง 2 ตัวแปร ร่วมกันพยากรณ์ความเป็นนวัตกรการศึกษาของครู ได้ร้อยละ 29.50 ข้อค้นพบที่ได้ทำให้หน่วยงานการศึกษาและผู้บริหารสถานศึกษานำข้อมูลไปจัดทำสารสนเทศและใช้เป็นแนวทางพัฒนาและอบรมทักษะ เพื่อยกระดับการบริหารงานและเสริมสร้างทักษะนวัตกรรมในยุคดิจิทัล</p>
ศิริกัญญา ศิริสุทธารมย์
พรเทพ เสถียรนพเก้า
อภิสิทธิ์ สมศรีสุข
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
463
476
-
การรับรู้การสนับสนุนจากองค์การ ความพึงพอใจในงาน กับความตั้งใจลาออกของพนักงานสอบสวน สังกัดกองบัญชาการตำรวจนครบาล
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/278322
<p>บทความวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ ศึกษาอำนาจการจำแนกของการรับรู้การสนับสนุนจากองค์การและความพึงพอใจในงาน ที่มีต่อความตั้งใจลาออกของพนักงานสอบสวน สังกัดกองบัญชาการตำรวจนครบาล โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม กับกลุ่มตัวอย่างที่เป็นข้าราชการตำรวจตำแหน่งพนักงานสอบสวน สังกัดกองบัญชาการตำรวจนครบาลที่ถูกเลือกตามวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน ได้จำนวนรวม 504 คน วิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานด้วยสถิติเชิงพรรณนา และทดสอบสมมติฐานด้วยสถิติเชิงอนุมานโดยเทคนิคการจำแนกกลุ่มคาโนนิคอล ผลการวิจัยพบว่า ผลการวิจัยยืนยันสมมติฐานหลักที่กำหนดไว้ โดยเฉพาะตัวแปรการรับรู้การสนับสนุนจากองค์การด้านความยุติธรรม การสนับสนุนจากผู้บังคับบัญชา การจัดสภาพแวดล้อมในการทำงาน และตัวแปรความพึงพอใจในงานด้านความสำเร็จ และความอบอุ่น เป็นตัวแปรที่สามารถจำแนกกลุ่มความตั้งใจลาออกของพนักงานสอบสวน สังกัดกองบัญชาการตำรวจนครบาล เมื่อนำสมการเชิงเส้นมาตรวจสอบความถูกต้องด้วยวิธีการ Ordinal และวิธีการ Cross Validation เพื่อทำนายกลุ่มเป้าหมายใหม่ต่อไป พบว่า มีความถูกต้องเท่ากับร้อยละ 82.9 และ 82.1 ตามลำดับ</p>
ไพฑูรย์ รุ่งเรือง
อุษณี มงคลพิทักข์สุข
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
477
492
-
แนวทางการจัดการเพื่อเพิ่มประสิทธิผลของชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี ในเขตพื้นที่ภาคกลาง
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/280352
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางในการจัดการชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี ในเขตพื้นที่ภาคกลาง ซึ่งผู้วิจัยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงประสานวิธี ( Mixed method research) ซึ่งประกอบด้วยการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ผลการศึกษาพบว่าแนวทางที่ถูกต้องเหมาะสมประกอบด้วย 1) สภาพปัจจุบันในการจัดการชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี 2) แนวคิดเกี่ยวกับคุณลักษณะของชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี 3) การจัดการชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี 4) แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับประสิทธิภาพการจัดการชุมชน 5) แนวทางในการจัดการเพื่อเพิ่มประสิทธิผลของชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี และ 6) งานวิจัยที่เกี่ยวข้องแบ่งเป็นข้อย่อย คือด้านสภาพปัจจุบันในการจัดการชุมชน ประกอบด้วย นโยบายการบริหารจัดการชุมชน การนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ 3. การกำกับดูแล/การประสานงาน 4. แนวทางการบริหารชุมชน 5. จุดแข็ง จุดอ่อน ของชุมชน 6. อุปสรรค โอกาส ของชุมชน แนวคิดเกี่ยวกับคุณลักษณะของชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี : 1.ที่ตั้งชุมชน 2. ระยะเวลาในการดำเนินงาน 3. จำนวนสมาชิก 4. ผู้นำชุมชน 5. ประเภทผลิตภัณฑ์ชุมชน 6. ผลิตภัณฑ์และบริการชุมชน การจัดการชุมชนท่องเที่ยว : มีองค์ประกอบได้แก่ 1. การดำเนินการธุรกิจชุมชน 2. การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวและสิ่งอำนวยความสะดวก 3. การพัฒนาสินค้าและบริการ 4. การเชื่อมโยงเส้นทางแต่ละท้องที่ 5. การส่งเสริมการตลาด ประสิทธิผลการจัดการชุมชน : 1. การผลิต (Production) 2. ประสิทธิภาพ (Efficiency) 3. ความพึงพอใจ (Satisfaction) 4. การปรับเปลี่ยน (Adaptiveness) 5. การพัฒนา (Development) ทักษะในการสรุปจัดรวบรวมตัวอย่างแนวทางในการจัดการรูปแบบท่องเที่ยวนวัตวิถีในเขตพื้นที่ภาคกลางต่อไป</p>
ภัทรี ฟรีสตัด
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
493
506
-
ภาวะผู้นำแบบเพิ่มพลังอำนาจ องค์การแห่งการเรียนรู้ กับผลการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่สังกัดกรุงเทพมหานคร
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/278323
<p>บทความวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาอิทธิพลของภาวะผู้นำเพิ่มพลังและองค์การแห่งการเรียนรู้ ต่อผลการปฏิบัติงานของข้าราชการสำนักงานเขตกรุงเทพมหานคร ประชากรคือบุคลากรสำนักงานเขตกรุงเทพมหานคร กำหนดขนาดและใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน ได้จำนวนตัวอย่างทั้งสิ้น 450 คน วิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานด้วยสถิติเชิงพรรณนา และทดสอบสมมติฐานด้วยสถิติเชิงอนุมานโดยเทคนิคการวิเคราะห์ตัวแบบสมการโครงสร้าง</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ภาวะผู้นำเพิ่มพลัง องค์การแห่งการเรียนรู้ มีอิทธิพลต่อผลการปฏิบัติงานของข้าราชการสำนักงานเขตกรุงเทพมหานคร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ทั้งยังพบด้วยว่า การบูรณาการร่วมกันระหว่างภาวะผู้นำเพิ่มพลังอำนาจและองค์การแห่งการเรียนรู้ มีผลทำให้อำนาจการทำนายผลการปฏิบัติงานของข้าราชการสำนักงานเขตกรุงเทพมหานคร เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (<em>R</em><sup>2</sup>=0.530)</p>
ปภังกร ปิยนราวิชญ์
อุษณี มงคลพิทักษ์สุข
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
507
523
-
แนวทางการพัฒนาเพื่อเพิ่มศักยภาพการจัดการของวิสาหกิจชุมชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/278645
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยคุณลักษณะของวิสาหกิจชุมชนที่ส่งผลต่อศักยภาพของวิสาหกิจชุมชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย 2) ศึกษาปัจจัยการบริหารจัดการของวิสาหกิจชุมชนที่ส่งผลต่อศักยภาพของวิสาหกิจชุมชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย 3) ศึกษาวิเคราะห์และนำเสนอแนวทางการพัฒนาเพื่อเพิ่มศักยภาพของวิสาหกิจชุมชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ได้ศึกษาแนวคิดการบริหารจัดการวิสาหกิจชุมชน แนวคิดศักยภาพของวิสาหกิจชุมชน เป็นกรอบการวิจัย กลุ่มตัวอย่าง คือ วิสาหกิจชุมชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย จำนวน 395 แห่ง ใช้วิธีคัดเลือกแบบวิธีการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณาและการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติเชิงอ้างอิงและการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ วิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ในกรณีการวิจัยเชิง ผลการวิจัยพบว่า 1) ศักยภาพวิสาหกิจชุมชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย เมื่อจำแนกตามจังหวัดที่ตั้ง อายุการจดทะเบียนก่อตั้ง รายได้เฉลี่ยต่อเดือน และจำนวนสมาชิก แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2) ปัจจัยการบริหารจัดการวิสาหกิจชุมชน ได้แก่ โครงสร้างการบริหารงาน การวางแผนการดำเนินงาน การจัดการการตลาด การบริหารสมาชิก และการผลิตสินค้าหรือบริการส่งผลต่อศักยภาพของวิสาหกิจชุมชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ .05 3) แนวทางการพัฒนาศักยภาพวิสาหกิจชุมชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย มีทั้งหมด 4 แนวทาง การพัฒนาผู้นำของกลุ่มสมาชิกวิสาหกิจชุมชนในการดำเนินงานอย่างเป็นระบบ การบูรณาการความคิดสร้างสรรค์ในการพัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการของกลุ่มสมาชิกวิสาหกิจชุมชน ส่งเสริมสมาชิกให้มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการประกอบอาชีพตามภารกิจของวิสาหกิจชุมชน และควบคุมการผลิตสินค้าและบริการอย่างมีประสิทธิภาพไม่ก่อให้เกิดมลภาวะแก่ชุมชน</p>
พีระยุทธ คุ้มศักดิ์
เกียรติชัย วีระญาณนนท์
อนันต์ ธรรมชาลัย
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
524
536
-
การพัฒนาต้นแบบนวัตกรรมอุปกรณ์อัจฉริยะช่วยเดินจงกรมวิปัสสนาสำหรับผู้สูงอายุ
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/282608
<p>การปฏิบัติธรรมในกลุ่มคนผู้สูงอายุ ส่วนใหญ่มักประสบปัญหาด้านการเดินเป็นหลัก จึงทำให้การเดินจงกรมในการปฏิบัติธรรมจึงเป็นโจทย์ที่น่าสนใจในการแก้ไขปัญหาและส่งเสริมให้ผู้สูงอายุเดินจงกรมได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้นบทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหา และความต้องการที่จำเป็นในการเดินจงกรมวิปัสสนาของผู้สูงอายุ 2) เพื่อพัฒนารูปแบบอุปกรณ์อัจฉริยะช่วยเดินจงกรมวิปัสสนาสำหรับผู้สูงอายุ 3) เพื่อทดลองใช้และประเมินความพึงพอใจการใช้อุปกรณ์ฯ 4) เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้จัดทำคู่มือการผลิตวิธีการใช้งานอุปกรณ์ฯ รูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญใช้แบบเจาะจงเป็นผู้สูงอายุผู้ปฏิบัติธรรมอายุไม่จำกัดเพศ จำนวน 30 คน ใช้เครื่องมือแบบสัมภาษณ์ แบบประเมินความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพโดยวิเคราะห์เนื้อหาและบรรยายเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า สภาพปัจจุบันผู้สูงอายุผู้ปฏิบัติธรรมส่วนใหญ่พบภาวะการเคลื่อนไหวทางกายส่วนล่างที่การเดินที่ช้า กำลังลดลง เหนื่อยง่าย มีข้อจำกัดด้านเวลา ประกอบกับปัญหาการหลงลืมสติ พยุงตัวไม่ดี ขาดพื้นที่ส่วนตัว ดังนั้นรูปแบบอุปกรณ์ช่วยเดินจงกรมวิปัสสนาจึงควรคำนึงถึงรูปแบบลักษณะการใช้งาน ส่วนประกอบโมดูลต่าง ๆ การจัดเก็บรักษา ความทนทานและแหล่งพลังงาน ซึ่งจากทดลองใช้และประเมินความพึงพอใจในวงรอบที่ 1 ผลคะแนนรวมอยู่ระดับมากที่ (=3.51) และวงรอบที่ 2 ผลคะแนนรวมระดับมากที่สุดที่ (=4.55) สรุปได้ว่าอุปกรณ์ดังกล่าวเหมาะสมต่อการใช้งาน</p>
สันต์ทัศน์ สินสมบัติ
รัฐภูมิ วรานุสาสน์, กิตติศักดิ์ คงสีไพร, ปิยะพงษ์ โอฬารทิชาชาต และพระครูพิพิธจารุธรรม
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
537
548
-
การพัฒนากลยุทธ์การบริหารงานวิชาการตามหลักอิทธิบาท 4 เพื่อส่งเสริมนักเรียน ให้มีทักษะการเป็นผู้ประกอบการของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/276293
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพการบริหารงานวิชาการเพื่อส่งเสริมนักเรียนให้มีทักษะการเป็นผู้ประกอบการของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา 2) เพื่อพัฒนากลยุทธ์การบริหารงานวิชาการตามหลักอิทธิบาท 4 เพื่อส่งเสริมนักเรียนให้มีทักษะการเป็นผู้ประกอบการของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมวิธี ได้ศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับการบริหารงานวิชาการ หลักอิทธิบาท 4 และทักษะการเป็นผู้ประกอบการเป็นกรอบการวิจัย กลุ่มตัวอย่าง ครู โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา จำนวน 400 คน ใช้วิธีคัดเลือกโดยการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ ชนิดมีสัดส่วน ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ คือ ผู้ทรงคุณวุฒิในการสัมภาษณ์จำนวน 5 คน และการสนทนากลุ่มจำนวน 10 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 2 ชนิด คือ 1) แบบสอบถาม 2) แบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าดัชนี PNImodified และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพการบริหารงานวิชาการเพื่อส่งเสริมนักเรียนให้มีทักษะการเป็นผู้ประกอบการของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา จุดอ่อนคือ ด้านการพัฒนาสื่อแหล่งเรียนรู้และเทคโนโลยีการศึกษา และจุดแข็งคือ ด้านการพัฒนาหลักสูตรของสถานศึกษา 2. การพัฒนากลยุทธ์การบริหารงานวิชาการตามหลักอิทธิบาท 4 เพื่อส่งเสริมนักเรียนให้มีทักษะการเป็นผู้ประกอบการ ประกอบไปด้วยวิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าประสงค์ และกลยุทธ์ 5 กลยุทธ์</p> <p> ข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริหารศึกษาในการกำหนดนโยบายและวางแผนการดำเนินงาน เพื่อพัฒนานักเรียนให้มีทักษะการเป็นผู้ประกอบการ รวมไปถึงเป็นแนวทางสำหรับครูผู้สอนในการร่วมขับเคลื่อนนำกลยุทธิ์สู่การปฏิบัติ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เรียน</p>
เรวัฒน์ พรหมสะโร
ทองดี ศรีตระการ
ระวิง เรืองสังข์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
549
561
-
การจัดการพลังงานทดแทนเพื่อความยั่งยืน
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/275739
<p>การพัฒนาทางเศรษฐกิจจำเป็นต้องใช้ทรัพยากร และการใช้ทรัพยากรหรือการดำเนินโครงการเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจย่อมส่งผลกระทบต่อผู้คน สถานการณ์การใช้พลังงานในประเทศไทยสูงขึ้นทุกปี และการใช้พลังงานภายในประเทศต้องบริหารจัดการสร้างพลังร่วมให้มีพลังงานเพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นแล้ว จุดเริ่มของคนในสังคมที่รับรู้ตื่นตัวต่อสถานการณ์ปัญหาพลังงานการกำหนดนโยบาย เป้าหมาย ผู้รับผิดชอบ ในการนำไปปฏิบัติการวางแผนจะต้องรอบคอบต้องมีความรู้ความเข้าใจ บางแห่งนำหลักการจัดการผสมคุณธรรมช่วยให้การจัดการง่ายขึ้น ช่วยให้สมาชิกชุมชนมีส่วนร่วมจัดการพลังงานด้วยตนเอง การพัฒนาประเทศที่ยังยืน เป็นการนำผู้ใช้พลังงานมาร่วมจัดการพลังงานที่จำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวันรูปแบบต่างๆ และร่วมจัดการทรัพยากรชุมชนมาผลิตเป็นพลังงานทดแทน เนื่องจากพลังงานหมุนเวียนมีอยู่ทั่วไปตามธรรมชาติและสามารถมีทดแทนได้ไม่จำกัด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานน้ำ พลังงานความร้อนใต้พิภพ พลังงานชีวภาพพลังงานจากขยะ เป็นต้น มีการจัดการพลังงานทดแทนตามแนวคิดการพัฒนาที่ยังยืน โดยสร้างความสมดุลระหว่างสิ่งแวดล้อมกับการพัฒนา พร้อมปฏิวัติการใช้พลังงานของมนุษยชาติให้เกิดการพัฒนาประเทศไปพร้อมกับการพัฒนาด้านอื่นๆ ส่งผลไปยังความมั่นคงด้านพลังงาน ความมั่นคงของชุมชน การจัดการพลังงานทดแทนเพื่อความยั่งยืนเป็นความสัมพันธ์ระว่างผู้ใช้พลังงานในประเทศไทย ผู้ใช้พลังงานตัดสินใจเลือกอนาคตพลังงานด้วยตนเอง ปลูกจิตสำนึกร่วมชุมชน ร่วมจัดการพลังงาน แก้ปัญหาพลังงานราคาสูง ด้วยการจัดหาพลังงานทดแทนและจัดการพลังงานทดแทนในชุมชนเพื่อการพัฒนาพลังงานประเทศไทยสู่ความมั่นคงยั่งยืนด้านพลังงาน ส่งผลต่อการพัฒนาประเทศไทย เริ่มต้นพัฒนาแบบมีส่วนร่วมสู่การพัฒนาที่ยังยืน</p>
นพชัย ถิรทิตสกุล
พระมหาประกาศิต ฐิติปสิทธิกร
สัญญา สดประเสริฐ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
562
575
-
กลยุทธ์การบริหารสู่ความเป็นเลิศของสถานศึกษาเอกชน สังกัดสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดขอนแก่น
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/273891
<p>การวิจัยนี้มีจุดประสงค์เพื่อ 1) การศึกษาข้อมูลพื้นฐาน กลุ่มผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 9 คน เลือกแบบเจาะจง กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 328 คน โดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น และกลุ่มผู้ให้ข้อมูลในการศึกษาสภาพแวดล้อม ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 3 คน เลือกแบบเจาะจง 2) การสร้างกลยุทธ์ฯ กลุ่มผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 9 คน เลือกแบบเจาะจง 3) การทดลองใช้กลยุทธ์ฯ กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 20 คน โดยสมัครใจ 4) การประเมินประสิทธิภาพของกลยุทธ์ฯ กลุ่มผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 30 คน เลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถามความเหมาะสมองค์ประกอบ แบบสอบถามสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ แบบสัมภาษณ์ แบบสอบถามความเหมาะสม แบบทดสอบ แบบสอบถามพฤติกรรม แบบสอบถามประสิทธิภาพ และแบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าความต้องการจำเป็น ผลการวิจัย พบว่า 1. สภาพปัจจุบัน อยู่ในระดับปานกลาง สภาพที่พึงประสงค์ อยู่ในระดับมากที่สุด และความต้องการจำเป็นลำดับที่ 1 ด้านการนำองค์กร 2. กลยุทธ์ฯ ประกอบด้วย 1) วิสัยทัศน์ 2) พันธกิจ 3) เป้าประสงค์ 4) กลยุทธ์ ประกอบด้วย 7 กลยุทธ์หลัก 14 กลยุทธ์รอง 4) การนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ และ 5) การควบคุมกลยุทธ์ มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด 3. คะแนนประเมินความรู้หลังการเข้าร่วมพัฒนา สูงกว่าคะแนนประเมินความรู้ก่อนการเข้าร่วมพัฒนาระดับพฤติกรรมหลังการพัฒนาสูงกว่าก่อนการพัฒนา 4. ประสิทธิภาพด้านความเหมาะสมและด้านความเป็นประโยชน์ของกลยุทธ์ฯ อยู่ในระดับมากที่สุด และระดับความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด</p>
ภูบดี เจริญโชคมณี
สุธรรม ธรรมทัศนานนท์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
576
590
-
รูปแบบการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมของผู้สูงอายุตามแนวพุทธปรัชญาเถรวาท
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/275191
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาการดูแลสุขภาพองค์รวมของผู้สูงอายุ 2. ศึกษาการดูแลสุขภาพองค์รวมของผู้สูงอายุตามแนวพุทธปรัชญาเถรวาท 3. บูรณาการการดูแลสุขภาพองค์รวมของผู้สูงอายุตามแนวพุทธปรัชญาเถรวาท 4. เสนอองค์ความรู้เรื่องรูปแบบการดูแลสุขภาพองค์รวมของผู้สูงอายุตามแนวพุทธปรัชญาเถรวาท เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 17 รูป/คน ใช้แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหานำเสนอข้อมูลเชิงพรรณนา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1. การดูแลสุขภาพองค์รวมของผู้สูงอายุ คือ 1) ด้านร่างกาย มีอาหารดี ออกกำลังกาย และอนามัยดี 2) ด้านสังคม รักผู้อื่น 3) ด้านจิตใจ มองโลกในแง่ดี 4) ด้านปัญญา ไม่หยุดเรียนรู้ 2. การดูแลสุขภาพองค์รวมของผู้สูงอายุตามแนวพุทธปรัชญาเถรวาท คือ 1)กายภาวนา รู้ประมาณในปัจจัย 4 2) ศีลภาวนา ปฏิบัติตามศีลธรรม 3) จิตภาวนา รู้เท่าทันอารมณ์ 4) ปัญญาภาวนา เสวนากับผู้รู้ ฝึกปล่อยวาง 3. บูรณาการการดูแลสุขภาพองค์รวมผู้สูงอายุตามแนวพุทธปรัชญาเถรวาท 1) ด้านร่างกาย ใช้กายภาวนา 2) ด้านสังคมใช้ศีลภาวนา 3) ด้านจิตใจใช้จิตภาวนา 4) ด้านปัญญาใช้ปัญญาภาวนา และ 4. องค์ความรู้ใหม่ที่ได้เรียกว่า “4G model” G1 = Good physical health สุขภาพทางกายดี G2 = Good mental health สุขภาพทางจิตดี G3 = Good social health สุขภาพทางสังคมดี G4 = Good intellectual health มีสุขภาพทางปัญญาดี เป็นองค์ความรู้ที่สามารถปรับใช้ในการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุได้เป็นอย่างดี</p>
รานี แสงจันทร์นวล
วรธนัท พรมศรี
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
591
602
-
การบริหารจัดการอุตสาหกรรมไม้แปรรูปขนาดใหญ่เพื่อการส่งออกตามแนวยุทธศาสตร์การส่งเสริมไม้เศรษฐกิจแบบครบวงจร ในเขตพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/274310
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1)ศึกษายุทธศาสตร์การส่งเสริมไม้เศรษฐกิจแบบครบวงจรในเขตพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(EEC) 2)พัฒนาแนวทางการบริหารจัดการอุตสาหกรรมไม้แปรรูปขนาดใหญ่เพื่อการส่งออกตามแนวยุทธศาสตร์การส่งเสริมไม้เศรษฐกิจแบบครบวงจร ในเขตพื้นที่ระเบียบเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(EEC) โดยทำการศึกษาในรูปแบบการวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ ผู้บริหารธุรกิจไม้แปรรูปขนาดใหญ่จำนวน 16 คน จากนั้นนำผลจากการวิเคราะห์แก่นสาระ จากการสัมภาษณ์เชิงลึกกำหนดประเด็นในการดำเนินการสนทนากลุ่ม โดยกำหนดผู้เข้าร่วมสนทนากลุ่มคือผู้บริหารธุรกิจไม้แปรรูปขนาดใหญ่ที่ประสบความสำเร็จ จำนวน 5 สถานประกอบการ และนักวิชาการ จำนวน 2 ท่าน นำเสนอเชิงพรรณนา ผลการวิจัย พบว่า ยุทธศาสตร์การส่งเสริมไม้เศรษฐกิจแบบครบวงจรควรมีความชัดเจนและความเป็นจริงในรูปธรรม เพราะส่งผลที่ดีต่อผู้ประกอบการอุตสาหกรรม ที่จะต้องแข่งขันกับต่างประเทศ และ ควรมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และให้มีความสอดคล้องกันระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐกับเกษตรกรประชาชนและผู้ประกอบการอุตสาหกรรมไม้แปรรูปให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันและใช้กฎหมายในการควบคุมร่วมกันเพื่อป้องกันการสับสนเรื่องกฎหมายไม้แปรรูปและไม้ที่ออกจากแปลงไม้ของเกษตรกร โดยทุกภาคส่วนต้องมีส่วนร่วมในการผลักดันยุทธศาสตร์การส่งเสริมไม้เศรษฐกิจแบบครบวงจร บรรลุตามวัตถุประสงค์ของแผนยุทธศาสตร์อย่างจริงจังเพื่อจะได้มีการพัฒนาแบบครบวงจรธุรกิจทั้งวงจรเกี่ยวกับอุตสาหกรรมไม้แปรรูปให้มีประสิทธิภาพมีคุณภาพอย่างยั่งยืน</p>
ธนิตพงศ์ พงศ์เจริญโสภณ
ภัครดา เกิดประทุม
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
603
614
-
การพัฒนารูปแบบเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุก โดยใช้ชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ ของครูโรงเรียนประถมศึกษา
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/271908
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบและตัวบ่งชี้การเสริมสร้างสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกโดยใช้ชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) ผ่านการสังเคราะห์แนวคิดและการประเมินความเหมาะสมจากผู้ทรงคุณวุฒิ 7 คน 2) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และวิธีการเสริมสร้างสมรรถนะดังกล่าว กลุ่มตัวอย่าง 13 คน 3) พัฒนารูปแบบเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะโดยใช้ PLC และ 4) ทดลองใช้รูปแบบดังกล่าวกับกลุ่มตัวอย่าง เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบประเมินความเหมาะสม แบบสอบถาม และแบบประเมินความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและค่าดัชนีความต้องการจำเป็น ผลการวิจัยพบว่า 1) องค์ประกอบการเสริมสร้างสมรรถนะมี 3 ด้าน ได้แก่ การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ สื่อและแหล่งเรียนรู้ และจุดประสงค์ของการเรียนรู้ โดยรวมมีความเหมาะสมในระดับมาก 2) ค่าความต้องการจำเป็นสูงสุดอยู่ที่ด้านการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ 3) รูปแบบที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 3 ขั้นตอน ได้แก่ เตรียมการ ปฏิบัติและเรียนรู้ และสรุปผล ทุกขั้นตอนมีความเหมาะสมในระดับมาก 4) ผลการใช้รูปแบบพบว่า ผู้เข้าร่วมมีความพึงพอใจต่อกระบวนการจัดการเรียนรู้ เนื้อหา รูปแบบ และประโยชน์ของการเรียนรู้ในระดับมาก</p>
กชภัทร์ สงวนเครือ
ธนปกรณ์ เกตุวิเศษกูล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
615
629
-
รูปแบบการบริหารการพัฒนาสมรรถนะครูในโรงเรียนเครือคาทอลิก อัครสังฆมณฑลกรุงเทพ
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/277678
<p>การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุของสมรรถนะการทำงานของครูในโรงเรียนเครือคาทอลิก อัครสังฆมณฑลกรุงเทพ ในด้านการทำงานเป็นทีมและการทำงานมุ่งผลสัมฤทธิ์ 2) ศึกษารูปแบบการพัฒนาสมรรถนะการทำงานของครู 3) สร้างและประเมินรูปแบบการบริหารการพัฒนาสมรรถนะการทำงานของครู กลุ่มตัวอย่างเป็นครู จำนวน 334 คน ได้จากการสุ่มแบบแบ่งเป็นชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็นแบบวัดมาตรประเมินรวมค่า 10 แบบวัด มีค่าความเที่ยง (α) ตั้งแต่ .765 ถึง .886 และ แบบประเมินรูปแบบการบริหารการพัฒนา สถิติที่ใช้มีทั้งสถิติพื้นฐานและสถิติอ้างอิง สถิติที่ใช้ทดสอบสมมุติฐาน ได้แก่ การทดสอบที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณและการวิเคราะห์เส้นทางอิทธิพล ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยเชิงสาเหตุของสมรรถนะการทำงานของครูซึ่งประกอบด้วย กลุ่มตัวแปรปัจจัยภายนอก และ กลุ่มตัวแปรปัจจัยภายใน ร่วมกันอธิบายสมรรถนะการทำงานของครูได้ร้อยละ 39.9 2) รูปแบบการพัฒนาสมรรถนะการทำงานของครูสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยมีค่าอธิบายสมรรถนะการทำงานของครูร้อยละ 92 และ 3) รูปแบบการบริหารการพัฒนาที่ประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิ ทั้งส่วนที่ดำเนินการโดยผู้บริหารและส่วนที่ดำเนินการโดยฝ่ายพัฒนา มีค่าเฉลี่ยรายด้านและโดยรวมสูงกว่าร้อยละ 90 ซึ่งผ่านเกณฑ์การประเมินที่กำหนดไว้ที่ร้อยละ 70/75</p>
ธนาคาร จันทร์ลือชัย
ธารินทร์ รสานนท์, โกศล มีคุณ และ อัจฉรา วัฒนาณรงค์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-28
2025-04-28
10 2
630
643
-
รูปแบบการบริหารเพื่อพัฒนาระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน ในสถานศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานคร
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/277455
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อความสำเร็จของระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนในสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร 2) เพื่อตรวจสอบความสอดคล้องของรูปแบบปัจจัยเชิงสาเหตุของระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนในสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานครกับข้อมูลเชิงประจักษ์ และ 3) เพื่อประเมินความเหมาะสม ความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์ของรูปแบบการบริหารเพื่อพัฒนาระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนในสถานศึกษา เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ ได้ศึกษาหลักการ แนวคิด และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการบริหารระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนในสถานศึกษา เป็นกรอบการวิจัย กลุ่มตัวอย่าง โรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร ปีการศึกษา 2566 จำนวน 121 โรงเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 2 ชนิด คือ 1) แบบสัมภาษณ์ และ 2) แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) (M) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) การวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน (Pearson Correlation Coefficient) ตรวจสอบความสอดคล้องกลมกลืนของโมเดลการวิจัย (CFA) การวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง (SEM) วิเคราะห์เส้นทางอิทธิพล (Path Analysis) ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ พบว่า 1) ปัจจัยภายในและภายนอก ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และความสำเร็จของระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร อยู่ในระดับมากที่สุด 2) ตรวจสอบความสอดคล้องของรูปแบบปัจจัยเชิงสาเหตุสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานการวิจัยและ 3) การประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ โดยผู้ทรงคุณวุฒิอยู่ในระดับมากที่สุด และผู้เกี่ยวข้องกับการใช้รูปแบบ พบว่า การประเมินความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์อยู่ในระดับมากที่สุด</p> <p> องค์ความรู้/ข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้ สถานศึกษาในสังกัดกรุงเทพมหานคร ผู้บริหารสถานศึกษา ครู และผู้เกี่ยวข้องทางการศึกษา สามารถนำผลของรูปแบบที่พัฒนาขึ้นไปปฏิบัติจริงในสถานศึกษา ในการฝึกอบรมบุคลากรและผู้เกี่ยวข้องให้ปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลเพื่อทำให้ผู้เรียนมีคุณภาพเป็นไปตามมาตรฐาน</p>
ภูษณิศา คารวพงศ์
วิภาภรณ์ ภู่วัฒนกุล, อัจฉรา วัฒนาณรงค์ และสมศักดิ์ เอี่ยมคงสี
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-28
2025-04-28
10 2
657
671
-
ตัวบ่งชี้การประกันคุณภาพองค์การแห่งนวัตกรรมการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษา
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/272344
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อวิเคราะห์และสังเคราะห์องค์ประกอบการประกันคุณภาพขององค์การแห่งนวัตกรรมการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษา 2) เพื่อสร้างตัวบ่งชี้การประกันคุณภาพองค์การแห่งนวัตกรรมการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษา 3) เพื่อประเมินความเหมาะสมและความสอดคล้องของตัวบ่งชี้การประกันคุณภาพองค์การแห่งนวัตกรรมการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษา โดยเป็นการวิจัยแบบผสานวิธีได้ศึกษา แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับระบบประกันคุณภาพการศึกษาต่าง ๆ รวมทั้งองค์ประกอบและปัจจัยที่มีผลต่อการเป็นองค์การแห่งนวัตกรรมการศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้จากการคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจงตามกลุ่มผู้เชี่ยวชาญให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสถาบันอุดมศึกษากลุ่มพัฒนาเทคโนโลยีและส่งเสริมการสร้างนวัตกรรม ตามกฎกระทรวงการจัดกลุ่มสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ.2564 จำนวน 21คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสัมภาษณ์และแบบสอบถามความเห็นการวัดเจตคติเชิงจิตวิทยา 4 ตัวเลือก วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการหาค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานความแตกค่างระหว่างค่าฐานนิยมและมัธยฐานและค่าพิสัยระหว่างควอไทล์ผลการวิจัยพบว่า ตัวบ่งชี้การประกันคุณภาพองค์การแห่งนวัตกรรมการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษา ประกอบด้วย 16 องค์ประกอบ 83 ตัวบ่งชี้มีความสำคัญอยู่ในระดับมากถึงมากที่สุดและมีความเหมาสมและสอดคล้องกันทุกตัวบ่งชี้โดยเรียงลำดับคะแนนเฉลี่ยโดยรวมจากมากไปน้อยคือ 1) นวัตกรรมหลักสูตรการเรียนการสอนและการประเมินผู้เรียน 2) กลยุทธ์นวัตกรรม 3) นวัตกรรมเทคโนโลยีและสารสนเทศ 4) ผู้นำองค์การนวัตกรรม 5) ระบบปฏิบัติการนวัตกรรม 6) นวัตกรรมการประกันคุณภาพ 7) ผู้เรียน ผู้รับบริการและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 8) สิ่งสนับสนุนการเรียนรู้ 9) นวัตกรรมการพัฒนาบุคลากร 10) การบริการวิชาการ 11) การบริหารความเสี่ยง 12) การจัดการความรู้ 13) การตลาดและการประชาสัมพันธ์ 14) ผลลัพธ์นวัตกรรม 15) งานวิจัย และ 16) การทำนุบำรุงศิลปะและวัฒนธรรม</p>
กุลพัทธ์ กุลชาติดิลก
อมรรัตน์ พันธ์งาม
สมใจ สืบเสาะ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-28
2025-04-28
10 2
672
689
-
การศึกษาความสำคัญ ปัญหา และและพฤติกรรมบ่งชี้ของทักษะการฟัง พูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารสำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/275414
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความสำคัญและปัญหาของทักษะการฟัง พูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารสำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี 2) เพื่อศึกษาพฤติกรรมบ่งชี้ของทักษะการฟัง พูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารสำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ได้ศึกษาแนวคิดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน เป็นกรอบการวิจัย กลุ่มตัวอย่างคือ อาจารย์ผู้สอนภาษาอังกฤษในระดับอุดมศึกษา 5 ท่านและผู้เชี่ยวชาญทางด้านหลักสูตรและการสอนภาษาอังกฤษในระดับอุดมศึกษา5 ท่าน ใช้วิธีคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา (Content analysis) ด้วยการวิเคราะห์แบบอุปนัย (Analytic induction) ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li class="show">ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 1 พบว่า ทักษะการฟัง พูดภาษาอังกฤษมีความสำคัญเพราะจะต้องใช้ในการติดต่อสื่อสาร นักศึกษาที่มีทักษะภาษาอังกฤษที่ดีสามารถเลือกงานที่สนใจและผลตอบแทนสูงได้ ปัญหาของทักษะการฟัง พูดภาษาอังกฤษ สาเหตุมาจากการเรียนภาษาอังกฤษในระยะเวลาที่ไม่มากพอต่อสัปดาห์และขาดการฝึกฝนทักษะภาษาอังกฤษด้วยตนเองนอกชั้นเรียน รูปแบบการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเป็นรูปแบบของการบรรยาย ขาดการส่งเสริมกิจกรรมให้ผู้เรียนได้นำความรู้ที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน</li> <li class="show">ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 2 พฤติกรรมบ่งชี้ของทักษะการฟัง คือ ผู้เรียนสามารถฟังคู่สนทนาและเข้าใจในสิ่งที่ได้ฟังและโต้ตอบกลับได้อย่างเป็นธรรมชาติ2. ผู้เรียนสามารถฟังข้อมูลที่เป็นข้อความสั้นๆได้ 3. ผู้เรียนสามารถฟังเรื่องราวบริบทต่างๆในชีวิตประจำวันและเอาตัวรอดได้ 4. ผู้เรียนให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรมต่างๆที่ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร 5. ผู้เรียนสามารถฟังผู้ส่งสารและสามารถพูดโต้ตอบกลับได้ พฤติกรรมบ่งชี้ของทักษะการพูดคือ 1. ผู้เรียนสามารถพูดโต้ตอบเป็นภาษาอังกฤษได้อย่างเป็นธรรมชาติ 2. ผู้เรียนสามารถพูดตอบคำถามสั้นๆได้ 3. ผู้เรียนสามารถนำความรู้หลักโครงสร้างภาษาอังกฤษโดยถ่ายทอดออกมาจากการพูดได้ 4. ผู้เรียนสามารถพูดเกี่ยวกับเรื่องราวในชีวิตประจำวันในหลายๆบริบทได้และเอาตัวรอดได้ 5. ผู้เรียนให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรมต่างๆที่ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารได้ 6. ผู้เรียนสามารถพูดโต้ตอบกับคู่สนทนาได้อย่างเข้าใจตรงกัน 7. ผู้เรียนสามารถพูดด้วยความมั่นใจ</li> </ol> <p>องค์ความรู้ที่ได้จากงานวิจัยนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับการจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษของนักศึกษาระดับปริญญาตรี</p>
ธนัชพันธ์ สุขประเสริฐ
ขนิษฐา สาลีหมัด
จิตรา ดุษฎีเมธา
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
690
700
-
บทบาทและสถานภาพวงดนตรีจีนของมูลนิธิสว่างเบญจธรรมสมุทรสงคราม (เม่งกักเซี่ยงตั๊ว) จังหวัดสมุทรสงคราม
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/284002
<p>การศึกษาวิจัยเรื่องบทบาทและสถานภาพวงดนตรีจีนของมูลนิธิสว่างเบญจธรรม (เม่งกักเซี่ยงตั๊ว) จังหวัดสมุทรสงคราม มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ดนตรีของมูลนิธิสว่างเบญจธรรม จังหวัดสมุทรสงคราม และ 2) เพื่อศึกษาบทบาทและสถานภาพของวงดนตรีมูลนิธิสว่างเบญจธรรม จังหวัดสมุทรสงคราม วิธีการดำเนินการวิจัยเน้นการศึกษาเชิงคุณภาพ ใช้วิธีการสัมภาษณ์จากผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเรื่องดนตรีและกลุ่มชาวไทยเชื้อสายจีนที่อยู่ในมูลนิธิสว่างเบญจธรรม ตำบลแม่กลอง จังหวัดสมุทรสงคราม วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลวิจัยพบว่า1) พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ดนตรีของมูลนิธิสว่างเบญจธรรม จังหวัดสมุทรสงครามนั้น มีการใช้ดนตรีจีนประกอบพิธีกรรมต่างๆตั้งแต่เริ่มก่อตั้งมูลนิธิฯใน พ.ศ.2536 จนถึงปัจจุบัน โดยเชิญอาจารย์ชาวจีนมาสอนดนตรีให้แก่คนในมูลนิธิฯ เพื่อประกอบพิธีกรรม ในช่วงหลังเริ่มนำดนตรีจีนร่วมสมัยเข้ามา มีการใช้เครื่องดนตรีสากลเข้ามาประสมวงดนตรีจีน พื่อให้เกิดความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น และได้นำวงดนตรีมูลนิธิออกแสดงตามงานต่างๆทั่วประเทศ รวมถึงการประกวดแข่งขันในต่างประเทศอีกด้วย 2) บทบาทและสถานภาพของวงดนตรีมูลนิธิสว่างเบญจธรรม จังหวัดสมุทรสงคราม พบว่ามีความสำคัญต่อชุมชนชาวไทยเชื้อสายจีนเป็นอย่างมาก เนื่องจากพิธีกรรมต่างๆ ทั้งการสวดมนต์แบบแต้จิ๋ว งานศพ งานเก็บศพไร้ญาติ ล้วนแต่ใช้ดนตรีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรม มูลนิธิฯจึงเห็นถึงความสำคัญของดนตรีจีนเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ยังเปิดโอกาสให้นักเรียนมีความกล้าแสดงออกและร่วมกันอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมของชาวไทยเชื้อสายจีนให้คงอยู่สืบไป</p>
ณัฐกานต์ อยู่กิ่ม
สุรศักดิ์ จำนงค์สาร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
701
717
-
การพัฒนาพื้นที่ลานวัฒนธรรมจอมพลและการสร้างมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์ชุมชน โดยกระบวนการมีส่วนร่วม
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/282614
<p>การวิจัยเรื่อง “การพัฒนาพื้นที่ลานวัฒนธรรมจอมพลและการสร้างมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์ชุมชนโดยกระบวนการมีส่วนร่วม” มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) รูปแบบการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่บูรณาการกับการพัฒนาท้องถิ่นและชุมชน 2) การพัฒนาและเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ชุมชน และ 3) การสร้างเครือข่ายลานวัฒนธรรมโดยกระบวนการมีส่วนร่วมจากภาครัฐและภาคเอกชน ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน โดยการวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถามกับกลุ่มตัวอย่าง 100 คน ได้แก่ ผู้นำท้องถิ่น ชุมชน ปราชญ์ชุมชน เจ้าของผลิตภัณฑ์ และประชาชนทั่วไป วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพเป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (PAR) โดยสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 16 คน ได้แก่ พระสงฆ์ นักวิชาการ และผู้นำชุมชน วิเคราะห์ข้อมูลโดยเชื่อมโยงทฤษฎีและอธิบายเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) รูปแบบการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมสามารถผสานศิลปะ ประเพณี วิถีชีวิต ทรัพยากรธรรมชาติ และประวัติศาสตร์ท้องถิ่น สู่แหล่งเรียนรู้และการท่องเที่ยว สร้างรายได้อย่างยั่งยืนให้กับชุมชน โดยมีนักเล่าเรื่องทำหน้าที่ถ่ายทอดเรื่องราว 2) การเพิ่มมูลค่าสินค้าชุมชนต้องอาศัยการเรียนรู้ การสร้างจุดขาย ความแตกต่าง และการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค เพื่อเพิ่มมูลค่าในด้านรสชาติ รูปลักษณ์ และความประทับใจ 3) การสร้างเครือข่ายลานวัฒนธรรมผ่านพลัง “บวร” (บ้าน วัด โรงเรียน) เกิดขึ้นจากการมีส่วนร่วมของชุมชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภายใต้กรอบข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ซึ่งช่วยส่งเสริมให้เกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของ กระบวนการคิดร่วม และการพัฒนาอย่างยั่งยืนของพื้นที่</p>
ทัศนีย์ เนื่องดัด
อำนาจ ทาปิน
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
718
729
-
สถาบันการศึกษากับประเด็นสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/272765
<p>บทความทางวิชาการนี้ มุ่งศึกษาสภาพปัจจุบันและข้อเสนอแนะในการพัฒนาของสถาบันการศึกษากับประเด็นสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยใน 3 กรณี คือ 1) ความรุนแรงต่อเนื้อตัวร่างกาย 2) ความหลากหลายทางเพศ และ 3) ความเห็นต่างทางการเมือง ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมไทยในขณะนี้ อันเป็นปัญหาทั้งในสถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา และสถาบันสังคม มีผลกระทบต่อประเทศอย่างรุนแรง และยังอยู่ในระหว่างการหาทางออก ที่ยอมรับได้ของทุกฝ่าย ซึ่งบทความนี้ได้จากการศึกษาจากตำรา หนังสือ เอกสารงานวิจัย รวมถึงข้อมูลข่าวสารที่ปรากฏตามสื่อโซเชี่ยลต่าง ๆ นำมารวบรวม วิเคราะห์ถึงปัญหาสาเหตุ และเสนอแนะแนวทางที่จะสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อให้สังคมไทยเป็นสังคมที่มีความสงบสุข</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ปัญหาเหล่านี้มาจากเจตคติและหลักคิดพื้นฐานของบุคคล อีกทั้งขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม หรือสภาพสังคมที่หล่อหลอมความคิด ทำให้เกิดความแตกต่างกันระหว่างช่วงวัยของนักเรียน ครู อาจารย์ และพ่อแม่ ผู้ปกครอง รวมถึงเกิดความเหลื่อมล้ำในสังคม ทำให้เกิดความรู้สึกว่าไม่ได้รับความเท่าเทียม ไม่เสมอภาค ไม่ได้รับการยอมรับ จึงเป็นผลให้เกิดความคิดเห็นที่แตกต่างจนก่อให้เกิดความขัดแย้ง ความไม่เข้าใจกัน ทั้งยังทำให้ทราบถึงทัศนคติต่อสิทธิมนุษยชนด้านการศึกษา 4 ด้าน คือ บทบาทหน้าที่ ของครู อาจารย์ บทบาทหน้าที่ของครอบครัว บทบาทหน้าที่ของนักเรียน นักศึกษา และการวางแผนอนาคตของตนเอง ของกลุ่มบุคคลต่าง ๆ ได้แก่ ผู้เรียน ครู บุคลากรในสถาบันการศึกษา และบุคคลกลุ่มต่าง ๆ ในสังคม ความเข้าใจทัศนคติดังกล่าวสามารถนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ในการวางแผนส่งเสริมสิทธิมนุษยชนศึกษาในระบบการศึกษาของไทย ที่ภาครัฐควรมุ่งเน้นนโยบายการสร้างความเท่าเทียมกันทางการศึกษา การกระจายการศึกษาไปยังทุกกลุ่มในสังคมอย่างมีคุณภาพ เพื่อให้เด็กและเยาวชนสามารถเข้าถึงระบบการศึกษาได้อย่างเท่าเทียม และควรส่งเสริมรายวิชาสิทธิมนุษยชนศึกษาให้เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรภาคบังคับในระบบการศึกษาของไทย เพื่อสร้างความรู้ ปลูกฝังทัศนคติ ความคิด และพฤติกรรมของเยาวชนในการแสดงออกด้วยการเปิดใจพูดกันและรับฟังกันด้วยความรัก จะก่อให้เกิดความเข้าใจและหาทางออกร่วมกันอย่างมีความสุข</p>
ธนู ทดแทนคุณ
สิรนุช อันตรเสน, รัชฏะ สมรทินกร,
และ ศิริเกษ วาทยานนท์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
730
746
-
คุณภาพงานบริการบัญชีอิเล็กทรอนิกส์ คุณภาพข้อมูลทางการบัญชีและความเจริญเติบโตของผู้ทำบัญชีธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในประเทศไทย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/279418
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาอิทธิพลของคุณภาพระบบสารสนเทศทางการบัญชีที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการปฏิบัติงานด้านบัญชี และความเจริญเติบโตของธุรกิจขนาดกลาง และขนาดย่อมในประเทศไทย (2) ศึกษาอิทธิพลของคุณภาพงานบริการอิเล็กทรอนิกส์ที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการปฏิบัติงานด้านบัญชี และความเจริญเติบโตของธุรกิจขนาดกลาง และขนาดย่อมในประเทศไทย (3) ศึกษาอิทธิพลของคุณภาพข้อมูลทางการบัญชีที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการปฏิบัติงานด้านบัญชี และความเจริญเติบโตของธุรกิจขนาดกลาง และขนาดย่อมในประเทศไทย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวม จำนวน 400 ตัวอย่าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ ผลการวิจัยพบว่า คุณภาพระบบสารสนเทศทางการบัญชี ด้านความเสถียรของระบบสารสนเทศทางการบัญชี ด้านความยืดหยุ่นของระบบสารสนเทศทางการบัญชี และด้านการบูรณาการของระบบสารสนเทศทางการบัญชี มีอิทธิพลเชิงบวกต่อประสิทธิผลการปฏิบัติงานด้านบัญชี และความเจริญเติบโต และพบว่า คุณภาพงานบริการบัญชีอิเล็กทรอนิกส์ ด้านความน่าเชื่อถือในการบริการอิเล็กทรอนิกส์ ด้านความมีประสิทธิภาพของการบริการ ด้านความเอาใจใส่ และด้านการรับประกัน มีอิทธิพลเชิงบวกต่อประสิทธิผลการปฏิบัติงานด้านบัญชี และด้านความน่าเชื่อถือในการบริการอิเล็กทรอนิกส์ ด้านความเอาใจใส่ ด้านความเป็นส่วนตัว และด้านการรับประกัน มีอิทธิพลเชิงบวกต่อความเจริญเติบโต และพบว่าคุณภาพข้อมูลทางการบัญชี ด้านความถูกต้องของข้อมูลทางการบัญชี และด้านความเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ มีอิทธิพลเชิงบวกต่อประสิทธิผลการปฏิบัติงานด้านบัญชีและความเจริญเติบโตของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในประเทศไทย อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ 0.01</p>
พีรพัฒน์ หมั่นจิตร์
ฐิตาภรณ์ สินจรูญศักดิ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
747
762
-
รูปแบบการบริหารจัดการการศึกษาเพื่อส่งเสริมทักษะอาชีพตามบริบทเชิงพื้นที่ ของนักเรียนระดับประถมศึกษาโรงเรียนบ้านแม่หลุย จังหวัดแม่ฮ่องสอน
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/275401
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาบริบทและการกำหนดองค์ประกอบในการส่งเสริมทักษะอาชีพ 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการการศึกษา 3) เพื่อประเมินรูปแบบการบริหารจัดการ และ 4) เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจจากผลการส่งเสริมทักษะอาชีพตามบริบทเชิงพื้นที่ของนักเรียนระดับประถมศึกษาโรงเรียนบ้านแม่หลุย ตำบลแม่สวด อำเภอสบเมย จังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นการวิจัยเชิงผสมผสานได้ศึกษาแนวคิดด้านการบริหาร 4M และวงจร PDCA เป็นกรอบการวิจัย กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการจัดการศึกษา 15 คน และคณะกรรมการสถานศึกษา ครู ผู้ปกครอง และนักเรียน จำนวน 180 คนใช้วิธีคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือวิจัยมี 3 ชนิด คือ 1) แบบสัมภาษณ์ 2) แบบสอบถาม และ3) แบบประมาณค่า และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ค่าร้อยละ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) โรงเรียนมีปัญหาในการบริหารจัดการการศึกษาเพื่อส่งเสริมทักษะอาชีพ ในการกำหนดนโยบาย กำหนดแผนกลยุทธ์และแนวทางการดำเนินการ และการบริหารจัดการเชิงคุณภาพ<strong> 2) </strong>รูปแบบการบริหารจัดการการศึกษาที่พัฒนาขึ้นมาคือกระบวนการบริหารเชิงระบบประกอบด้วยปัจจัยนำเข้า กระบวนการและผลผลิต และระบบวงจรบริหารงานคุณภาพ 3) ผลการประเมินรูปแบบทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ ด้านความเหมาะสม ด้านความเป็นประโยชน์ ด้านความเป็นไปได้และด้านความถูกต้อง อยู่ในระดับสูงทุกด้าน 4) ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 4 พบว่า ระดับความพึงพอใจจากผลการส่งเสริมทักษะอาชีพอยู่ในระดับสูง องค์ความรู้จากงานวิจัยนี้เป็นประโยชน์ในการพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการการศึกษาเพื่อส่งเสริมทักษะอาชีพพื้นที่ห่างไกลแบบองค์รวมโดยนำแนวทางการบริหารเชิงคุณภาพ P D C A มาใช้ มุ่งให้นักเรียนมีความสามารถในการฟังอ่านเขียน มีทักษะทางด้านคณิตศาสตร์ สามารถคิด วิเคราะห์ และดำเนินการตามระบบช่วยเหลือดูแลนักเรียน โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน</p>
วริทธิ์เสรี ศรีบุรินทร์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
763
774
-
รูปแบบการขับเคลื่อนการจัดการศึกษาเพื่อสร้างเสริมคุณภาพชีวิต ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสู่ความสำเร็จของศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอ
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/277610
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุของการขับเคลื่อนการจัดการศึกษาเพื่อสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสู่ความสำเร็จของศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอ 2) เพื่อพัฒนาและประเมินรูปแบบการขับเคลื่อนการจัดการศึกษาเพื่อสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสู่ความสำเร็จของศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอ การวิจัยแบ่งออกเป็น 2 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุของการขับเคลื่อนการจัดการศึกษาเพื่อสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสู่ความสำเร็จของศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอ กลุ่มตัวอย่างคือ ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอ 240 ศูนย์ โดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ ระยะที่ 2 พัฒนาและประเมินรูปแบบการขับเคลื่อนการจัดการศึกษาเพื่อสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสู่ความสำเร็จของศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอ โดยแหล่งข้อมูลคือ ผู้เชี่ยวชาญประเมินเพื่อปรับปรุงรูปแบบจำนวน 7 ท่าน และผู้ทรงคุณวุฒิประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของรูปแบบจำนวน 7 ท่าน วิธีการคัดเลือกแบบเจาะจง ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li class="show">ผลการวิเคราะห์ปัจจัยเชิงสาเหตุของการขับเคลื่อนการจัดการศึกษาเพื่อสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสู่ความสำเร็จของศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอ โดยวิธีการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis: MRA) พบว่า เครือข่ายความร่วมมือ (ปัจจัยภายนอก) และนโยบายของศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอ (ปัจจัยภายใน) ร่วมกันมีอิทธิพลต่อการขับเคลื่อนการจัดการศึกษาเพื่อสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสู่ความสำเร็จของศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอได้ร้อยละ 63.6 (R<sup>2</sup> = .636) และผลการวิเคราะห์โมเดลสมการเชิงโครงสร้าง (Structural Equation Modeling: SEM) พบว่า ปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก 6 ตัวแปร สามารถร่วมกันอธิบายการขับเคลื่อนการจัดการศึกษาเพื่อสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสู่ความสำเร็จของศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอได้ร้อยละ 68.8 (R<sup>2</sup> = 0.688)</li> <li class="show">ปัจจัยเชิงสาเหตุหลักที่ส่งผลต่อการขับเคลื่อนการจัดการศึกษาเพื่อสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสู่ความสำเร็จของศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอ คือ เครือข่ายความร่วมมือ และนโยบายของศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอ โดยสร้างเป็นรูปแบบการขับเคลื่อนการจัดการศึกษาเพื่อสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสู่ความสำเร็จของศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอด้วยแนวคิดการบริหารแบบมีส่วนร่วม 5 ระดับ ได้แก่ การให้ข้อมูลข่าวสาร การปรึกษาหารือ การเข้ามามีบทบาท ความร่วมมือ และการเสริมอำนาจ โดยผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่เห็นด้วยกับรูปแบบที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น</li> <li class="show">การประเมินรูปแบบโดยผู้ทรงคุณวุฒิ พบว่า การขับเคลื่อนด้วยนโยบายของศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอมีความเหมาะสมและความเป็นไปได้อยู่ในระดับมากที่สุดทุกขั้นตอน ส่วนการขับเคลื่อนด้วยเครือข่ายความร่วมมือมีความเหมาะสมมากที่สุดทุกขั้นตอน แต่ผลการประเมินความเป็นไปได้พบว่าขั้นตอนการให้ข้อมูลข่าวสารและขั้นตอนการปรึกษาหารือมีความเป็นไปได้อยู่ในระดับมากที่สุด ขั้นตอนการเข้ามามีบทบาทมีความเป็นไปได้อยู่ในระดับมาก และขั้นตอนความร่วมมือและขั้นตอนการเสริมอำนาจมีความเป็นไปได้อยู่ในระดับน้อย</li> </ol>
บวรศักดิ์ ชุตินทราศรี
ศักดิ์ชัย นิรัญทวี, โกศล มีคุณ และวิภาภรณ์ ภู่วัฒนกุล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
775
789
-
การศึกษาความต้องการในการเรียนภาษาอังกฤษเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะทางวิศวกรรมศาสตร์ ของนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/277278
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาภูมิหลังด้านความสามารถทางภาษา ความสนใจ ความสำคัญ และความคาดหวังทางภาษาต่อรายวิชา 2) เพื่อศึกษาความความจำเป็นและความต้องการในการเรียนรู้ และ 3) เพื่อศึกษาความคิดเห็นในการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงสำรวจแบบผสานวิธี ได้ศึกษาทฤษฎี การสำรวจความต้องการการเรียนรู้ เพื่อเป็นกรอบการวิจัย กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ จำนวน 200 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย และมีผู้ให้ข้อมูลสำคัญ รวม 15 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 2 ชนิด คือ 1) แบบสอบถาม และ 2) แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งมีโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ สถิติพื้นฐานได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย <em>(M)</em> และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน <em>(SD) </em>วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li class="show">นักศึกษาส่วนใหญ่มีความสามารถทางภาษาตามเกณฑ์ CEFR อยู่ในระดับ A2 มีความสนใจในรายวิชา อยู่ในระดับ สนใจ ให้ระดับความสำคัญของรายวิชา อยู่ในระดับ สำคัญเท่าวิชาอื่น และมีความคาดหวัง ในระดับ มากที่สุด ด้านการขยายคำศัพท์เฉพาะทางมากขึ้น</li> <li class="show">ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ลงความเห็นด้านเนื้อหาที่จำเป็นต้องเรียนรู้ ในระดับมากที่สุด คือ ความปลอดภัยในการทำงาน และนักศึกษาลงความเห็นว่า ทักษะการอ่าน เป็นทักษะที่ต้องการเรียนรู้มากที่สุด</li> <li class="show">นักศึกษาพึงพอใจที่เพื่อนร่วมชั้นประเมินให้แบบผลัดกัน อยู่ในระดับพึงพอใจมาก</li> </ol> <p>ผลการวิจัยที่สำรวจพบนี้จะเป็นประโยชน์ในการออกแบบรายวิชา การพัฒนาสื่อการเรียนการสอนเพื่อใช้ฝึกทักษะทางภาษาอังกฤษเฉพาะทางให้สอดคล้องกับความต้องการการเรียนรู้ของนักศึกษาและตลาดแรงงานด้านวิศวกรรมศาสตร์</p>
ภาคิม เก้าเอี้ยน
ประไพศรี โห้ลำยอง
ภัทรียา รวยสำราญ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
790
804
-
การศึกษาศักยภาพองค์ประกอบของการท่องเที่ยวเชิงสืบสาน อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/277802
<p>การวิจัยครั้งนี้ เป็นการศึกษาศักยภาพองค์ประกอบของทรัพยากรการท่องเที่ยวเชิงสืบสานของ อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาบริบทและสำรวจทรัพยากรทางการท่องเที่ยวเชิงสืบสานของอำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย 2) เพื่อศึกษาศักยภาพองค์ประกอบของการท่องเที่ยวเชิงสืบสาน อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย เครื่องมือในการเก็บข้อมูลคือ การสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลหลักประกอบไปด้วย ตัวแทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคชุมชน <br>และนักวิชาการ ด้วยรูปแบบการสำรวจเชิงพื้นที่ (Area Frame Survey)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า อำเภอโพนพิสัยจังหวัดหนองคายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเมืองรองที่มีศักยภาพสูง เพราะเป็นจังหวัดชายแดนที่เชื่อมต่อกับเมืองหลวงของประเทศลาว มีแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ <br>เชิงวัฒนธรรม มีขนบธรรมเนียมประเพณีที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน ครบเครื่องไปด้วยวิถีถิ่นซึ่งสมาชิก<br>ในชุมชนยังคงอนุรักษ์ไว้ ทั้งหมดนี้มีความโดดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ประเพณีท้องถิ่น <br>และกิจกรรมในชุมชน อีกทั้งยังมีสิ่งอำนวยความสะดวก มีภูมิทัศน์ของสถานที่ท่องเที่ยว สมาชิกในชุมชน<br>มีความเป็นมิตร และพร้อมที่จะร่วมสืบสานขนบธรรมเนียม ประเพณี และประวัติศาสตร์ของจังหวัด</p> <p> ผลการวิจัยยังพบอีกว่า อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย มีศักยภาพที่จะพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสืบสาน อีกทั้งยังมีองค์ประกอบของการท่องเที่ยวต่าง ๆ เพียงพอต่อการรองรับนักท่องเที่ยว อย่างไรก็ตามเพื่อการพัฒนา<br>ที่เต็มศักยภาพ อำเภอโพนพิสัยควรมีการพัฒนาศักยภาพทางด้านการเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวเพิ่มเติม และควรมีการจัดด้านกิจกรรม (Activities) ที่จะสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจให้นักท่องเที่ยว</p>
จิรัฏฐวัฒน์ ศิริบุตร
เสรี วงษ์มณฑา,ปฏิพัทธ์ ตันมิ่ง, ณัฐรินทร์ ปริวงศ์กุลธร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
805
819
-
การพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ชุมชนท่องเที่ยวนวัตกรรม OTOP นวัตวิถี จังหวัดนครนายก
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/284921
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางในการพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีจังหวัดนครนายก ซึ่งผู้วิจัยใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ที่เกี่ยวข้องแบบเฉพาะเจาะจง เพื่อให้ได้ข้อมูลที่แท้จริงจากตัวแทนความเห็นของแต่ละภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีในจังหวัดนครนายก จำนวน 20 ชุมชน 4 อำเภอ ซึ่งมีผู้ให้ข้อมูลรวม 5 กลุ่ม จำนวนทั้งสิ้น 30 คน โดยใช้การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า จังหวัดนครนายกได้มีการนำฐานวัฒนธรรม ภูมิปัญญา และองค์ความรู้ภายในชุมชนหรือท้องถิ่นของคนที่เป็นเอกลักษณ์มาใช้สนับสนุนกิจกรรมทางการท่องเที่ยว โดยเฉพาะการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ โดยการสนับสนุนและส่งเสริมให้ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี ออกแบบและผลิตสินค้าเพื่อจำหน่ายแก่นักท่องเที่ยว ด้วยการถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมและ<br>อัตลักษณ์ของชุมชนที่มีความโดดเด่น ดังนี้ 1) ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีของอำเภอเมืองนครนายก จะเน้นเรื่องการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ การท่องเที่ยวเชิงเกษตร การท่องเที่ยวเชิงผจญภัยการท่องเที่ยวเชิงอาหาร และการท่องเที่ยวเชิงศิลปวัฒนธรรมเป็นส่วนใหญ่ 2) ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีของอำเภอบ้านนา จะเน้นเรื่องการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม การท่องเที่ยวเชิงเกษตร และการท่องเที่ยวเชิงอาหาร เป็นส่วนใหญ่ 3) ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีของอำเภอองครักษ์ จะเน้นเรื่องการท่องเที่ยวเชิงวิถีชีวิตชุมชน การท่องเที่ยวเชิงเกษตร การท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ และ 4) ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีของอำเภอปากพลี จะเน้นเรื่องการท่องเที่ยวเชิงศาสนา การท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และการท่องเที่ยวเชิงอาหาร จะเห็นได้ว่า จังหวัดนครนายกนั้นมีธรรมชาติที่สวยงาม อาหารการกินที่สมบูรณ์ ทั้ง 4 อำเภอ 20 ชุมชน รวมถึงวัฒนธรรมอันดีงามของแต่ละชุมชน ดังนั้น ควรจะต้องมีการจัดโครงการเพื่อพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีของจังหวัดนครนายกให้สอดคล้องกับเอกลักษณ์ของแต่ละชุมชน เพื่อเป็นการรักษา และต่อยอดให้ผลิตภัณฑ์สินค้า รวมถึงวิถีชีวิตของคนในชุมชนให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัส และเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในจังหวัดนครนายกเพิ่มมากขึ้น และยังเป็นการสร้างรายได้ให้แก่คนในชุมชน และช่วยพัฒนาเศรษฐกิจ และเพิ่มมูลค่าด้านการท่องเที่ยวให้มีมูลค่าที่สูงขึ้น</p>
พัดยศ เพชรวงษ์
ณัฐรินทร์ ปริวงศ์กุลธร, เสรี วงษ์มณฑา และ ชุษณะ เตชคณา
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
820
833
-
การจัดการศึกษาเพื่อสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ของศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอ
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/276271
<p>แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของโลกและสังคม จากการศึกษาวิเคราะห์ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 – 2570) แผนการศึกษาแห่งชาติ (พ.ศ. 2560 - 2579) ส่งผลต่อแนวโน้มและทิศทางการบริหารการศึกษาในยุคการศึกษาไทย 4.0 จึงได้จุดประกายยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีเป้าหมายการพัฒนาที่สำคัญเพื่อนำไปสู่<br>การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งมิติด้านสังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม ธรรมาภิบาล ในขณะที่ประเทศไทยให้ความสำคัญเกี่ยวกับการจัดการศึกษาเพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม <br>แต่ยังไม่มีการกำหนดรูปแบบการขับเคลื่อนการจัดการศึกษาเพื่อสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของสถานศึกษาจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพัฒนการขับเคลื่อนเพื่อให้สถานศึกษานำไปสู่การปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ</p> <p> ซึ่งบทความนี้ ได้นำเสนอแนวทางการการขับเคลื่อนของศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอเพื่อสนับสนุน<br>ค่าเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติชาติ 20 ปี สนับสนุนค่าเป้าหมายแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 สนับสนุนค่าเป้าหมายของแผนการศึกษาชาติ พ.ศ. 2560 – 2579 ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาเพื่อสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเกิดแนวทางการนำนโยบายสู่หน่วยงานปฏิบัติ<br>อย่างเป็นรูปธรรม วัดผลได้และเกิดผลลัพธ์สะท้อนไปสู่การขับเคลื่อนประเทศไทย 4.0 พร้อมทั้งการประมวลเอกสารมาเปรียบเทียบกัน ตลอดจนงานวิจัยที่ศึกษาในหน่วยงานจัดการศึกษา สถานศึกษา สถาบันการศึกษา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงทำให้เกิดองค์ความรู้และข้อเสนอแนะต่อศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอ<br>ซึ่งเป็นสถานศึกษาในสังกัดของกรมส่งเสริมการเรียนรู้และหน่วยงานจัดการศึกษาอื่นซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ต่อไปได้</p> <p><strong>คำสำคัญ </strong><strong>: </strong>การจัดการศึกษา, คุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม, ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอ</p>
บวรศักดิ์ ชุตินทราศรี
ศักดิ์ชัย นิรัญทวี
โกศล มีคุณ
วิภาภรณ์ ภู่วัฒนกุล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
834
849
-
ผลการจัดกิจกรรมค่ายชุมชนศึกษาตามแนวคิดการศึกษาอิงสถานที่ เพื่อเสริมสร้างคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของนิสิตในโครงการผลิตครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่น วิทยาลัยการศึกษา มหาวิทยาลัยพะเยา
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/277754
<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p><strong> </strong>การวิจัยครั้งนี้นี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาผลการจัดกิจกรรมค่ายชุมชนศึกษาตามแนวคิดการศึกษาอิงสถานที่ เพื่อเสริมสร้างคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของนิสิตในโครงการผลิตครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่น และ 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนิสิตครูที่มีต่อการเข้าร่วมกิจกรรมค่ายชุมชนศึกษาตามแนวคิดการศึกษาอิงสถานที่รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยแบบผสานวิธี ใช้แนวคิดการศึกษาอิงสถานที่เป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัย คือ วิทยาลัยการศึกษา มหาวิทยาลัยพะเยา กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นิสิตครูในโครงการผลิตครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่น ชั้นปีที่ 5 (รหัส 61) ปีการศึกษา 2565 จำนวน 91 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 2 ชนิด คือ แบบประเมินคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของนิสิตในโครงการผลิตครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่น และแบบสอบถามความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ใช้วิเคราะห์เนื้อหาแล้วเขียนบรรยายเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li class="show">1. คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของนิสิตในโครงการผลิตครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่น ในภาพรวมอยู่ในระดับดีมาก</li> <li class="show">2. ความพึงพอใจของนิสิตครูในโครงการผลิตครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่น ที่มีต่อการเข้าร่วมกิจกรรมค่ายชุมชนศึกษาตามแนวคิดการศึกษาอิงสถานที่ ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก</li> </ol> <p>ข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้ เป็นแนวทางให้สถาบันผลิตครู นำรูปแบบแนวทางการจัดกิจกรรมไปใช้ในการพัฒนานิสิตนักศึกษาครู ให้มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์และสมรรถนะ ตามมาตรฐานสภาวิชาชีพ</p> <p> </p>
ปวันรัตน์ วังมา
วิไลภรณ์ วิชญาวัฒน์ และ วสันต์ สรรพสุข
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
850
863
-
การบูรณาการหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง การจัดการนวัตกรรมเทคโนโลยี และกฎหมายเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ของอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง ในประเทศไทย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/280860
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์สถานภาพและความสัมพันธ์ของการประยุกต์ใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (SEP) การจัดการนวัตกรรมเทคโนโลยี และกฎหมายเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างของไทย 2) ศึกษาความสัมพันธ์ของปัจจัยดังกล่าวกับความสามารถในการแข่งขัน และ 3) เสนอแนวทางเชิงกลยุทธ์เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขัน งานวิจัยใช้ระเบียบวิธีแบบผสมผสาน โดยเก็บข้อมูลเชิงปริมาณจากตัวแทนองค์กรในอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างทั่วประเทศ จำนวน 350 ชุด ตามตารางของ Krejcie & Morgan (1970) ด้วยวิธีสุ่มแบบหลายขั้นตอน ครอบคลุมกลุ่มธุรกิจและผลิตภัณฑ์หลากหลาย แบบสอบถามผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา (IOC) จากผู้เชี่ยวชาญ 5 คน และทดสอบความเชื่อมั่นด้วยค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของ Cronbach มากกว่า 0.70 สำหรับข้อมูลเชิงคุณภาพใช้เทคนิคเดลฟายจากผู้เชี่ยวชาญ 18 คน จากภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคม วิเคราะห์ข้อมูลโดยผสานเชิงเนื้อหาและสังเคราะห์แนวทางด้วย SWOT และ TOWS Matrix ผลการวิจัยพบว่า การบูรณาการ SEP การจัดการนวัตกรรมเทคโนโลยี และกฎหมายเทคโนโลยี ส่งผลเชิงบวกต่อความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะด้านความยั่งยืน การลดต้นทุน การเพิ่มประสิทธิภาพนวัตกรรม และการบริหารความเสี่ยงเชิงระบบ แนวทางเชิงกลยุทธ์ที่เสนอ ได้แก่ 1) การส่งเสริมนวัตกรรมสีเขียวโดยองค์กรขนาดใหญ่ 2) การสนับสนุน SMEs ผ่านนโยบายรัฐ 3) การใช้ SEP บริหารความเสี่ยง และ 4) การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา (R&D) ควบคู่กับการปรับปรุงกฎหมายเทคโนโลยีให้ปฏิบัติได้จริง ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้เป็นกลไกเชิงนโยบายในการยกระดับความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืนของอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างไทย</p>
รัตติกาล โสวะภาส
ภราดร เพ็งแจ่ม และ ทานตะวัน บุญเล็ก
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
881
896
-
ยุทธศาสตร์การพัฒนาและการส่งเสริมให้อุตรดิตถ์เป็นเมืองท่องเที่ยวเป้าหมาย ผ่านการบูรณาการกับโครงการชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/284925
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาแนวทาง กระบวนการ และวิธีการที่จังหวัดอุตรดิตถ์ใช้ในการพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวให้เป็นเมืองท่องเที่ยวเป้าหมาย 2) เพื่อวิเคราะห์การบูรณาการระหว่างการพัฒนาการท่องเที่ยวของจังหวัดกับโครงการชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี และ 3) เพื่อเสนอแนะแนวทางและยุทธศาสตร์การพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยว การวิจัยเชิงคุณภาพนี้ใช้แนวคิดการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและชุมชนเป็นกรอบการศึกษา เก็บข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 25 คนที่คัดเลือกแบบเจาะจง โดยใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาและ SWOT Analysis</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) จังหวัดอุตรดิตถ์มีศักยภาพด้านทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรม แต่ยังประสบความท้าทายด้านโครงสร้างพื้นฐาน การประชาสัมพันธ์ และความร่วมมือระหว่างภาคส่วน การบูรณาการทรัพยากรธรรมชาติกับวัฒนธรรมและการพัฒนากิจกรรมท่องเที่ยวที่ตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวเป็นสิ่งสำคัญ 2) การบูรณาการโครงการ OTOP นวัตวิถีช่วยเพิ่มมูลค่าผ่านกิจกรรมเชิงวัฒนธรรม การตลาดดิจิทัล และการพัฒนาทักษะบุคลากรในชุมชน แต่ยังมีจุดอ่อนในด้านแผนบูรณาการและโครงสร้างพื้นฐานบางพื้นที่ 3) แนวทางการพัฒนา ได้แก่ การสร้างเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรม การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น AR/VR การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน การเพิ่มศักยภาพบุคลากรชุมชน และการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และชุมชน องค์ความรู้จากงานวิจัยนี้จะช่วยส่งเสริมศักยภาพการท่องเที่ยวของชุมชน สร้างความยั่งยืนในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ และพัฒนาอุตรดิตถ์ให้เป็นเมืองท่องเที่ยวเป้าหมายในอนาคต</p>
ณัฐพสิษฐ์ พิมพากรณ์
เสรี วงษ์มณฑา, ณัฐรินทร์ ปริวงศ์กุลธร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
897
910
-
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการที่พักของนักท่องเที่ยวบริเวณเกาะเสม็ด จังหวัดระยอง
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/278205
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการที่พักของนักท่องเที่ยวบริเวณเกาะเสม็ด จังหวัดระยอง 2) เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมการเลือกใช้บริการที่พักของนักท่องเที่ยวบริเวณเกาะเสม็ด จังหวัดระยอง เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ได้ศึกษาแนวคิด ส่วนประสมทางการตลาดบริการ พฤติกรรมผู้บริโภค และการตัดสินใจเลือก เป็นกรอบการวิจัย กลุ่มตัวอย่าง คือ นักท่องเที่ยวบริเวณเกาะเสม็ด จังหวัดระยอง จำนวน 400 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบเจาะจง ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือรวบรวมข้อมูลการวิจัย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test, ANOVA และ Scheffe Analysis ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1.ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์การวิจัย พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุ 20-30 ปี ภูมิลำเนา ทวีปเอเชีย รายได้ต่อเดือน 10,001-20,000 บาท สถานภาพ โสด พฤติกรรมการเลือกใช้บริการที่พักของนักท่องเที่ยวบริเวณเกาะเสม็ด จังหวัดระยอง 1-2 ครั้ง โดยภาพรวมอยู่ในระดับความคิดเห็นมากได้แก่ ด้านผลิตภัณฑ์หรือบริการ ด้านราคา ด้านช่องทางการจัดจำหน่ายหรือให้บริการ ด้านการส่งเสริมการตลาด ด้านบุคลากร ด้านกระบวนการ และด้านสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ ตามลำดับ 2. การวิเคราะห์ความแตกต่าง t-test ของค่าเฉลี่ยระดับความคิดเห็นด้านเพศ พบว่า มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 จำนวน 1 รายการ ได้แก่ ด้านสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวด้านอายุ ด้วย ANOVA พบว่ามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 จำนวน 2 รายการ ได้แก่ ด้านราคา และด้านการส่งเสริมทางการตลาด องค์ความรู้ที่ได้จากงานวิจัยนี้ ทำให้ผู้ให้บริการที่พักบริเวณเกาะเสม็ด เห็นถึงความสำคัญปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการที่พัก เพื่อนำไปประกอบการพัฒนาการให้บริการอย่างยั่งยืน</p>
ชำนาญ เงินดี
ปียาภรณ์ บุญนิยม และ ศุภาพิชญ์ คล้อยอยู่
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
864
880
-
ศักยภาพการท่องเที่ยวอุทยานธรณีโคราชเพื่อการเป็นแหล่งท่องเที่ยวมรดกโลกในประเทศไทย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/285338
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาองค์ประกอบและศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวของอุทยานธรณีโคราช ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยการศึกษาข้อมูลทรัพยากรการท่องเที่ยวอุทยานธรณีโคราช จากเอกสารแหล่งข้อมูลทุติยภูมิ จากนั้นผู้วิจัยทำการศึกษาพื้นที่วิจัย สำรวจภาคสนามโดยการสังเกต และใช้เครื่องมือในการตรวจสอบประเมินศักยภาพทรัพยากรการท่องเที่ยว โดยผู้วิจัยอ้างอิงจากแบบตรวจสอบทรัพยากรการท่องเที่ยวและแนวคิดด้านการประเมินศักยภาพการท่องเที่ยวและหลักองค์ประกอบผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยว (หลัก 10As) มาใช้ประกอบเป็นแนวทางในการสร้างแบบตรวจสอบประเมินศักยภาพทรัพยากรการท่องเที่ยวและเป็นกรอบการวิจัย โดยผู้วิจัยใช้เครื่องมือในการเก็บข้อมูลคือแบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง ทำการสัมภาษณ์เชิงลึกกับตัวแทนกลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลัก ได้แก่ ตัวแทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน นักวิชาการ และภาคชุมชน จำนวน 16 คน ซึ่งใช้วิธีคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหาแล้วเขียนบรรยายเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) อุทยานธรณีโคราชมีศักยภาพเพื่อการเป็นแหล่งท่องเที่ยวมรดกโลกในประเทศไทย ตามหลักองค์ประกอบผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยว 10As ดังนี้ ด้านสิ่งดึงดูดใจในแหล่งท่องเที่ยว ด้านการคมนาคมและความสะดวกสบายในการเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยว ด้านที่พักอาศัยเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว ด้านสาธารณูปโภคพื้นฐานเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว ด้านสิ่งอำนวยความสะดวกและการบริการเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว ด้านกิจกรรมการท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ด้านการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้แก่นักท่องเที่ยว ด้านการติดตามผลการดำเนินงานบริการท่องเที่ยว ด้านการดูแลและสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยในการท่องเที่ยว และด้านกลยุทธ์หรือแนวทางการเสริมสร้างความประทับใจในการท่องเที่ยว 2) อุทยานธรณีโคราชมีความโดดเด่นและการดึงดูดความน่าสนใจ โดยแหล่งท่องเที่ยวประเภทธรณีวิทยามีความโดดเด่นมากที่สุด รองลงมาคือ ประเภทวัฒนธรรมประวัติศาสตร์ และประเภทนิเวศวิทยา 3) มีการบริหารจัดการและพัฒนาศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวในด้านเศรษฐกิจและรายได้ ด้านสังคมและวัฒนธรรม ด้านสภาพแวดล้อมและธรรมชาติ และการพัฒนาศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวเพื่อรองรับการท่องเที่ยว 4) มีนโยบายการร่วมส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวกับพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ</p> <p> </p>
ติณณ์ณเทพย์ รุ่งศรีตระกูล
เสรี วงษ์มณฑา, ณัฐรินทร์ ปริวงศ์กุลธร
ธนรัตน์ รัตนพงศ์ธระ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
911
922
-
บทบาทของโนตารีปับลิกในการรับรองความถูกต้องของเอกสารทางธุรกิจ : กรณีการจดทะเบียนและโอนหุ้นบริษัท
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/280614
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาถึงปัญหาเกี่ยวกับประเทศไทยยังไม่มีการบัญญัติกฎหมายเกี่ยวกับอาชีพการรับรองลายมือชื่อและเอกสาร 2) เพื่อเปรียบเทียบอำนาจหน้าที่ของผู้ทำคำรับรองเอกสารและลงลายมือชื่อกรณีจดทะเบียนบริษัทและโอนหุ้นกับโนตารีของประเทศไทยและต่างประเทศ การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงเอกสาร จากหนังสือ ตำรา บทความทางวิชา การรายงานวิจัย เอกสารทางวิชาการที่เกี่ยวข้อง แบบทุติยภูมิ และ แบบปฐมภูมิ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) การที่ประเทศไทยยังไม่มีการบัญญัติกฎหมายเกี่ยวกับอาชีพการรับรองลายมือชื่อและเอกสารส่งผลให้เกิดปัญหาหลายประการในด้านความน่าเชื่อถือของเอกสาร ความเสี่ยงต่อการปลอมแปลงเอกสาร การปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานสากล และความยากลำบากในการทำงานร่วมกับหน่วยงานต่างประเทศ การแก้ไขปัญหาเหล่านี้ควรมีการบัญญัติกฎหมายและการจัดตั้งมาตรฐานที่ชัดเจนในการรับรองลายมือชื่อและเอกสารเพื่อให้การดำเนินงานในด้านต่าง ๆ มีความน่าเชื่อถือและมีประสิทธิภาพมากขึ้น 2) เปรียบเทียบอำนาจหน้าที่ของผู้ทำคำรับรองเอกสารและลงลายมือชื่อกรณีจดทะเบียนบริษัทและโอนหุ้นกับโนตารีของประเทศไทยและต่างประเทศ พบว่า กฎหมายของประเทศไทยมีความคล้ายคลึงกับกฎหมายของประเทศอังกฤษ คือ กรรมการหรือผู้รับมอบอํานาจจะเป็นผู้ดําเนินการเตรียมคําขอและยื่นจดทะเบียนเองและมีเพียงผู้ที่มีความน่าเชื่อถือ เช่น ประเทศไทย คือ นายทะเบียน ทนายความ หรือสมาชิกสามัญหรือวิสามัญแห่งเนติบัณฑิตยสภา ส่วนใน ประเทศอังกฤษ คือ เจ้าพนักงานผู้รับคําสาบาน โนตารี ผู้พิพากษา หรือทนายความ เป็นผู้รับรองลายมือชื่อของกรรมการอีกชั้นหนึ่งเท่านั้น ซึ่งจะนําไปสู่ปัญหาการทําคําขอจดทะเบียนเป็นเท็จและให้พนักงานของตนลงนามรับรองลายมือชื่อ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าหากกําหนดการโอนหุ้นต้องทําต่อหน้าเจ้าพนักงานซึ่งมีอํานาจเป็นพยานตามกฎหมาย หรือโนตารี จะช่วยลดปัญหาข้อพิพาทในเรื่องการโอนหุ้นที่ไม่ได้ทําตามแบบที่กฎหมายกําหนด ซึ่งสามารถช่วยลดปัญหาเรื่องบริษัทดําเนินการลงทะเบียนผู้ถือหุ้น หรือปฏิเสธการลงทะเบียน และการออกหุ้นใหม่ด้วยความล่าช้า หรือปล่อยปละละเลยจนเกิดข้อพิพาทว่าใครเป็นเจ้าของหุ้นที่แท้จริงได้</p>
อรปรียา งามสง่า
นิสิต อินทมาโน
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-29
2025-04-29
10 2
923
930
-
กลยุทธ์การยกระดับทักษะมนุษย์ในอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนสำเร็จรูปก่อสร้างของไทยภายใต้กรอบกฎหมายด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/276135
<p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ประเมินสถานภาพแรงงานและช่องว่างทักษะดิจิทัลในอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนสำเร็จรูปก่อสร้างของไทย 2) ศึกษาปัจจัยด้านกฎหมาย กฎระเบียบ และนโยบายที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีดิจิทัล ที่ส่งผลต่อความต้องการพัฒนาทักษะของแรงงานในอุตสาหกรรม 3) พัฒนาและเสนอแนะกลยุทธ์ในการยกระดับทักษะแรงงานให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีสมัยใหม่และกรอบกฎหมายดิจิทัล และ 4) เสนอแนะเชิงนโยบายและแนวทางการประยุกต์ใช้ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาทักษะมนุษย์ในระดับองค์กรและนโยบายประเทศ ดำเนินการวิจัยแบบผสาน (Mixed Methods) ซึ่งประกอบด้วยการวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ ประชากรที่ใช้ในการวิจัยเชิงปริมาณ คือ โรงงานอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนสำเร็จรูปก่อสร้างของไทย โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคตะวันออก ที่มีการลงทุนเทคโนโลยีสูง จำนวน 200 โรงงาน ได้กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยเชิงปริมาณจากตาราง Krejcie and Morgan (1970) ผู้วิจัยสสำรวจแบบสอบถาม จำนวน 150 ชุด การวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ได้แก่ เจ้าหน้าที่รัฐกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES) กระทรวงแรงงาน สถาบันพัฒนาแรงงาน ภาคอุตสาหกรรม (สมาคมธุรกิจ และผู้บริหารบริษัทชิ้นส่วนก่อสร้าง) รวมถึงที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีและทรัพยากรมนุษย์ จำนวน 18 คน ด้วยเทคนิคเดลฟาย เพื่อเก็บข้อมูลความคิดเห็นเชิงคุณภาพเกี่ยวกับนโยบาย ปัญหา และแนวทางการแก้ไขทักษะแรงงาน</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า แรงงานในอุตสาหกรรมนี้ยังมีช่องว่างด้านทักษะดิจิทัลสูง โดยร้อยละ 55 ของแรงงานไทยขาดทักษะดิจิทัลพื้นฐานที่จำเป็น ในขณะที่เทคโนโลยีในภาคอุตสาหกรรมเติบโตอย่างรวดเร็ว แนวโน้มอัตราการเติบโตมากกว่าร้อยละ 4 ต่อปี ในช่วงปี พ.ศ.2567-2571 กฎหมายและหน่วยงานกำกับดูแลหลายแห่งมีบทบาทสำคัญ เช่น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES) พร้อมด้วย สำนักงานพัฒนาธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPC) ในการวางระเบียบและมาตรฐานด้านดิจิทัล<strong> </strong>จากผลการวิเคราะห์ พบว่า กลยุทธ์สำคัญควรรวมถึงการฝึกอบรมเฉพาะด้าน การสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน และแรงจูงใจทางภาษีสำหรับการพัฒนาทักษะ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย Thailand 4.0 ที่เน้นพัฒนาทักษะแรงงานให้พร้อมรับยุคเทคโนโลยี อันจะนำไปสู่การเตรียมกำลังคนให้พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงทางอุตสาหกรรมต่อไป</p>
ทานตะวัน บุญเล็ก
ภราดร เพ็งแจ่ม และ รัตติกาล โสวะภาส
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
931
943
-
มาตรการทางกฎหมายในการคุ้มครองสวัสดิภาพสัตว์สำหรับการส่งเสริมธุรกิจในสถานที่เพาะพันธุ์แมว
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/280618
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อวิเคราะห์มาตรการทางกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองสวัสดิภาพสัตว์สำหรับการส่งเสริมสัตว์เลี้ยงประเภทแมว 2) เพื่อเปรียบเทียบปัญหามาตรการทางกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมสถานประกอบธุรกิจสัตว์เลี้ยงและหลักการปฏิบัติของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับสถานประกอบกิจการสัตว์เลี้ยงกรณีศึกษาประเภทแมวตามกฎหมายไทยและกฎหมายต่างประเทศ 3) เพื่อหาแนวทางในการแก้ไข ปัญหาที่มาตรการทางกฎหมายการคุ้มครองสวัสดิภาพสัตว์สำหรับส่งเสริมธุรกิจเพาะพันธุ์แมว การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาในรูปแบบวิจัยเชิงเอกสาร จากหนังสือ ตำรา บทความทางวิชา การรายงานวิจัย เอกสารทางวิชาการที่เกี่ยวข้อง และ สื่ออิเล็กทรอนิกส์แบบทุติยภูมิ และ แบบปฐมภูมิ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) วิเคราะห์มาตรการทางกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองสวัสดิภาพสัตว์สำหรับการส่งเสริมสัตว์เลี้ยง ประเภทแมว พบว่า มาตรการทางกฎหมายมีขอบเขตการบังคับใช้ และเนื้อหาบทบัญญัติข้อกำหนดที่ไม่มีความชัดเจน เนื้อหาข้อหนดที่ยังไม่ครอบคลุมคุ้มครองสวัสดิภาพแมวในทุกด้านอย่างจำเพาะ และยังมีบทกำหนดโทษที่ยังไม่เป็นไปตามระดับความรุนแรงในการกระทำผิดต่อสัตว์เลี้ยงประเภทแมวโดยชัดเจนเจาะจง ซึ่งส่งผลต่อการคุ้มครองและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ ทำให้สัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะประเภทแมว ยังได้รับความคุ้มครองที่ไม่ครอบคลุมในหลาย ๆ ด้าน และเกิดการใช้มาตรการทางกฎหมายที่ไม่ชัดเจน สับสน และไม่เป็นไปตามบรรทัดฐานในทิศทางเดียวกัน 2) เปรียบเทียบปัญหามาตรการทางกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมสถานประกอบธุรกิจสัตว์เลี้ยงและหลักการปฏิบัติของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับสถานประกอบกิจการสัตว์เลี้ยงกรณีศึกษาประเภทแมวตามกฎหมายไทยและกฎหมายต่างประเทศ พบว่า ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศสหราชอาณาจักรมีกฎหมายบังคับใช้ไว้โดยเฉพาะในการกำหนดหลักเกณฑ์การนำเข้า-ส่งออกและการเพาะพันธุ์การขออนุญาตสถานประกอบกิจการเพาะพันธุ์เลี้ยงไว้โดยเฉพาะ แต่ประเทศญี่ปุ่นและประเทศไทยไม่มีกฎหมายบังคับใช้ไว้ ส่วนการกำหนดระยะเวลาให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบสถานประกอบกิจการเพาะพันธุ์สัตว์เลี้ยงประเทศ สหราชอาณาจักร ประเทศญี่ปุ่นและประเทศไทยไม่มีกฎหมายให้อำนาจยกเว้นประเทศสหรัฐอเมริกาที่กฎหมายให้เจ้าหน้าที่กำหนดระยะเวลาได้ และการให้อำนาจเจ้าหน้าที่ในการตรวจค้นสถานประกอบกิจการเพาะพันธุ์สัตว์เลี้ยงทั้ง 4 ประเทศ มีกฎหมายให้อำนาจเจ้าหน้าที่ในการตรวจค้นสถานประกอบกิจการเพาะพันธุ์สัตว์เลี้ยง ทั้งนี้การกำหนดบทลงโทษจำคุกหรือปรับจากการฝ่าฝืนกฎหมายการจัดสวัสดิภาพสัตว์เลี้ยงนั้นทั้ง 4 ประเทศ มีกฎหมายกำหนดโทษจำคุกและปรับไว้ด้วย 3) แนวทางในการแก้ไขปัญหาที่มาตรการทางกฎหมายการคุ้มครองสวัสดิภาพสัตว์สำหรับส่งเสริมธุรกิจเพาะพันธุ์แมว พบว่า ควรที่จะมีการแก้ไขขอบเขตในการบังคับใช้มาตรการทางกฎหมาย และเนื้อหาของบทบัญญัติกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ให้มีรายละเอียดที่ชัดเจนและครอบคลุมสวัสดิภาพสัตว์เลี้ยงประเภทแมวในทุกด้าน ตั้งแต่การนำเข้า การจัดสวัสดิภาพและการเลี้ยงดู รวมถึงการข้อกำหนดการเพาะพันธุ์แมว เพื่อให้เป็นบรรทัดฐานในการปฎิบัติในทิศทางเดียวกันและสอดคล้องกัน และให้แก้ไขบทกำหนดโทษให้ยืดหยุ่นต่อระดับความรุนแรงในการกระทำความผิด เพื่อให้สวัสดิภาพของแมวได้รับการคุ้มครองอย่างมีประสิทธิภาพ</p>
อรวรรยา งามสง่า
นิสิต อินทมาโน
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
944
953
-
กลวิธีการตั้งชื่อภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศเป็นภาษาไทยจากโรงภาพยนตร์ เอส เอฟ
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/277882
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากลวิธีการตั้งชื่อภาพยนตร์ภาษาไทยจากภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้วิจัยได้อาศัยแนวคิดเกี่ยวกับการตั้งชื่อของ อวยพร พานิช (Panit, U., 2000) และได้ประยุกต์ใช้แนวคิดของ ธีรารัตน์ บุญกองเสน (Boonkongsan, T., 2000) และบงกช สิริมาน (Siriman, B., 2010) มาเป็นกรอบแนวคิดในการวิจัย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ รายชื่อภาพยนตร์ต่างประเทศที่ตั้งชื่อเป็นภาษาไทยแล้วในช่วงปี 2562 – 2564 จำนวน 526 เรื่อง ที่คัดเลือกแบบเจาะจง.</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า มีการใช้กลวิธีการตั้งชื่อภาพยนตร์จำนวน 3 กลวิธี กลวิธีแรกได้แก่ กลวิธีการทับศัพท์ซึ่งมี 3 แบบ คือ การทับศัพท์ทั้งข้อความไม่มีการเสริมข้อความภาษาไทยพบจำนวน 79 เรื่อง การทับศัพท์ทั้งข้อความและเสริมข้อความภาษาไทยพบจำนวน 47 เรื่อง และการทับศัพท์บางส่วนของข้อความและเสริมความภาษาไทยพบจำนวน 55 เรื่อง กลวิธีที่ 2 ได้แก่ กลวิธีการแปลซึ่งมี 6 แบบ คือการแปลตรงตัวทั้งข้อความไม่มีการเสริมความภาษาไทยพบจำนวน 12 เรื่อง การแปลตรงตัวทั้งข้อความและเสริมความหรือดัดแปลงข้อความพบจำนวน 44 เรื่อง การแปลทั้งข้อความแบบเอาความมีการเสริมความภาษาไทยพบจำนวน 6 เรื่อง การแปลทั้งข้อความแบบเอาความมีการเสริมความพบจำนวน 1 เรื่อง การแปลบางส่วนและเสริมความพบจำนวน 59 เรื่อง และการแปลบางส่วนไม่มีการเสริมความพบจำนวน 1 เรื่อง และกลวิธีสุดท้าย ได้แก่ กลวิธีการตั้งชื่อใหม่ ซึ่งมี 2 แบบคือ การตั้งชื่อใหม่แบบไม่มีคำในแวดวงเดียวกันพบจำนวน 39 เรื่อง และการตั้งชื่อใหม่โดยมีคำในแวดวงเดียวกันพบจำนวน 183 เรื่อง จากการใช้กลวิธีในการตั้งชื่อภาพยนตร์ทำให้พบว่ามีการใช้กลวิธีที่สามคือกลวิธีการตั้งชื่อใหม่มากที่สุดเนื่องจากเป็นชื่อที่ผู้ตั้งมีอิสระในการตั้งชื่อและทำให้เรื่องมีความน่าสนใจมากขึ้น</p>
ทิพวรรณ อินวันนา
โกวิทย์ พิมพวง, และ เมธาวี ยุทธพงษ์ธาดา
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
954
964
-
อนาคตภาพการบริหารจัดการความเครียดเชิงพุทธที่มีผลต่อพฤติกรรมของผู้ต้องขังในเรือนจำ
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/284636
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์ระบบการบริหารจัดการความเครียดของผู้ต้องขังในสังกัดกรมราชทัณฑ์ 2) วิเคราะห์การบริหารจัดการความเครียดของผู้ต้องขังเชิงพุทธที่ส่งผลต่อพฤติกรรมในเรือนจำ และ 3) นำเสนออนาคตภาพของการบริหารจัดการความเครียดเชิงพุทธใน พ.ศ. 2568 โดยใช้การวิเคราะห์เอกสาร การสัมภาษณ์ และการสนทนากลุ่ม ดำเนินการวิเคราะห์ในเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ระบบการบริหารจัดการความเครียดของกรมราชทัณฑ์ประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ (1) ยึดหลักสิทธิมนุษยชนและมาตรฐานสากล (2) องค์ประกอบ เช่น การศึกษา การพัฒนาจิตใจ การฝึกอาชีพ กีฬา และ (3) ระเบียบวิธีการตามระเบียบว่าด้วยการพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขัง พ.ศ. 2561 2) การบริหารจัดการความเครียดเชิงพุทธเน้นการออกแบบหลักสูตรตามผลลัพธ์การเรียนรู้ ประกอบด้วย (1) หลักการที่มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีปัญญา คุณธรรม และความเข้าใจในพระพุทธศาสนา (2) องค์ประกอบหลักสูตรครอบคลุมวิชาทั่วไป วิชาเฉพาะ และวิชาเอกพระพุทธศาสนา (3) ระเบียบวิธีการเน้นการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 3) อนาคตภาพของหลักสูตรบริหารจัดการความเครียดเชิงพุทธในปี พ.ศ. 2568 มุ่งส่งเสริมผู้เรียนให้สามารถใช้หลักธรรมพัฒนาตนเองและขัดเกลาพฤติกรรมให้เป็นคนดีของสังคม โดยองค์ประกอบของหลักสูตรประกอบด้วยจุดมุ่งหมาย เนื้อหา การนำไปใช้ และการประเมินผล ซึ่งสอดคล้องกับระเบียบกรมราชทัณฑ์ (พ.ศ. 2561) และกฎกระทรวงเกี่ยวกับการจัดกลุ่มสถาบันอุดมศึกษา (พ.ศ. 2564)</p>
จันทิมา แสงแพร
พระมหาขนบ สหายปญฺโญ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
965
978
-
MODEL OF STUDENT AFFAIRS ADMINISTRATION FOR CHINESE VOCATIONAL COLLEGES IN GUANGDONG PROVINCE
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/280300
<p>This quantitative research seeks to thoroughly investigate the components of model of student affairs administration in higher vocational colleges in Guangdong Province and to propose a customized model suitable for this specific context. Through a comprehensive review of relevant literature and a carefully designed questionnaire survey, this study aims to comprehensively discuss the various components of model of student affairs administration in Guangdong's higher vocational colleges. A survey of 574 student affairs administrators and teachers in higher vocational colleges in Guangdong Province was conducted to understand the components of the model with 108 items. Sample size determined by Taro Yamane Formula (1967). The analysis method is based on exploratory factor Analysis (EFA), and SPSS software is used to extract the component of model of student affairs administration. The analysis revealed that the model of student affairs administration of higher vocational colleges in Guangdong Province can be divided into 7 components, namely Inner System, Job Standards and Principles, School-level Foundation, Personal Ability and Development, Service Content, Job Objective, and Team composition. The survey's strong construct validity, demonstrated by consistently high Cronbach's alpha values for all variables, confirms that the findings are reliable. This study seeks to analyze the structure of model of student affairs administration model and aims to establish a framework for enhancing the quality of student affairs administration in higher vocational colleges in Guangdong Province, with the ultimate goal of making a meaningful contribution to the field.</p>
Jingtong Cai
Ganratchakan Ganratchakan
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-23
2025-06-23
10 2
979
992
-
สมรรถนะที่จำเป็นของผู้ประกอบการสินค้า หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (โอท็อป) เพื่อความยั่งยืนของเศรษฐกิจชุมชน
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/284572
<p>บทความวิจัยนี้มีเป็นการวิจัยเชิงปริมาณใช้แนวคิดเกี่ยวกับสมรรถนะในการปฏิบัติงานเป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัย คือ อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู กลุ่มตัวอย่าง คือ กลุ่มสินค้า OTOP ประเภทผ้าและเครื่องแต่งกายที่ได้รับระดับ 5 ดาว จำนวน 130 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน ประกอบด้วย การวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) สมรรถนะในการปฏิบัติงานของกลุ่มตัวอย่างโดยรวม มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับความสำคัญระดับสูง (4.73) 2) การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis: MRA) ระหว่างสมรรถนะในการปฏิบัติงานกับการยกระดับเศรษฐกิจชุมชน พบว่า สมรรถนะในการปฏิบัติงานด้านทักษะ ด้านความรู้ ด้านโอกาส ด้านการจัดการ ด้านกลยุทธ์ และด้านความสัมพันธ์ มีความสัมพันธ์ต่อการยกระดับเศรษฐกิจชุมชนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยอธิบายได้ร้อยละ 51.800 (R<sup>2</sup> = 0.518) 3) แนวทางในการส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนให้ยั่งยืนได้หลายด้าน เช่น การฝึกอบรมและพัฒนาทักษะของสมาชิก OTOP เพื่อเพิ่มสมรรถนะในการปฏิบัติงานในด้านต่าง ๆ ให้สมาชิกในกลุ่ม OTOP เข้าใจและสามารถนำความรู้ใหม่ ๆ มาปรับใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจของตนเองและชุมชนได้</p> <p> องค์ความรู้จากงานวิจัยนี้การกำหนดกลยุทธ์การเติบโตในระยะยาว และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด เสริมสร้างความร่วมมือระหว่างสมาชิกในกลุ่ม OTOP และชุมชน เพื่อเสริมสร้างเครือข่ายสนับสนุนทางสังคมที่ช่วยเพิ่มความเข้มแข็งและยั่งยืนของเศรษฐกิจในชุมชน ซึ่งการส่งเสริมสมรรถนะในการปฏิบัติงานของสมาชิกในกลุ่ม OTOP เป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยยกระดับเศรษฐกิจชุมชนให้เติบโตและยั่งยืนในระยะยาว</p>
อาริษา ชาเหลา
วิษณุ สุมิตสวรรค์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
993
1006
-
การจัดการองค์การยุคใหม่ที่ส่งผลต่อความพึงพอใจของผู้ใช้บริการด้านสาธารณสุขในกรุงเทพมหานคร
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/279147
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการจัดการองค์การยุคใหม่ที่ส่งผลต่อความพึงพอใจของผู้ใช้บริการด้านสาธารณสุขในกรุงเทพมหานคร 2) ศึกษาเปรียบเทียบระดับความพึงพอใจของผู้มาใช้บริการ และ 3) เสนอแนะแนวทางการจัดการองค์การยุคใหม่ที่เหมาะสม การวิจัยใช้วิธีวิเคราะห์เชิงปริมาณจากกลุ่มตัวอย่างผู้รับบริการในกรุงเทพมหานคร</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ระดับเฉลี่ยของสภาพปัญหาการจัดการองค์การยุคใหม่ทั้ง 3 ด้าน เท่ากับ 2.56 (S.D. = 0.75) อยู่ในระดับปานกลาง โดยด้านการจัดการองค์การยุคใหม่ (เฉลี่ย = 2.86) และด้านสาธารณสุข (เฉลี่ย = 2.69) อยู่ในระดับปานกลาง ส่วนด้านความพึงพอใจของผู้ใช้บริการมีค่าต่ำสุด (เฉลี่ย = 2.13) อยู่ในระดับน้อยด้านการจัดการองค์การยุคใหม่ 3 ด้าน มีค่าเฉลี่ยรวม 2.29 (S.D. = 0.72) อยู่ในระดับน้อย โดยด้านการวิเคราะห์สังเคราะห์มีค่าเฉลี่ยสูงสุด (2.75) อยู่ในระดับปานกลาง ด้านเทคโนโลยีอยู่ในระดับน้อย (2.10) ส่วนด้านการให้บริการของหน่วยงานสาธารณสุขมีค่าเฉลี่ยต่ำสุด (2.03) อยู่ในระดับน้อย ในภาพรวมของการจัดการองค์การยุคใหม่ที่ส่งผลต่อความพึงพอใจของผู้รับบริการทั้ง 5 ด้าน มีค่าเฉลี่ยรวม 2.45 (S.D. = 0.70) อยู่ในระดับน้อย โดยด้านความเชื่อถือไว้วางใจมีค่าเฉลี่ยสูงสุด (3.12) อยู่ในระดับมาก รองลงมาคือด้านความพึงพอใจ (2.48) และความเข้าใจเห็นอกเห็นใจ (2.45) ซึ่งอยู่ในระดับน้อย ส่วนด้านการตอบสนอง (2.33) และด้านความรวดเร็ว (1.90) อยู่ในระดับน้อยเช่นกัน ผลวิจัยชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการปรับปรุงกระบวนการบริหารจัดการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริการสาธารณสุขในเขตเมืองให้ตอบสนองความพึงพอใจของผู้ใช้บริการได้ดียิ่งขึ้น.</p>
โชตินทร์ อรุโณทัย
ธัศฐ์ชาพัฒน์ ยุกตานนท์, พัชรภรณ์ ภวภูตานนท์, และเมทิกา ธรรมกิจโสภณ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
1007
1024
-
นวัตกรรมการพัฒนาคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อเข้าสู่สถานศึกษารางวัลพระราชทาน
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/272444
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ (1) เพื่อวิเคราะห์คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อเข้าสู่สถานศึกษารางวัลพระราชทาน (2) เพื่อพัฒนานวัตกรรมการพัฒนาคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อเข้าสู่สถานศึกษารางวัลพระราชทาน และ (3) เพื่อประเมินและรับรองนวัตกรรมการพัฒนาคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อเข้าสู่สถานศึกษารางวัลพระราชทาน</p> <p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสานวิธีที่ (Mixed Methods Research) ประกอบด้วยการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 352 คน ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้างาน4 ฝ่าย ครูผู้สอน และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ แบบสอบถาม และแบบประเมิน สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน (CFA)</p> <p>ผลการวิจัย 1) ผลการวิเคราะห์องค์ประกอบคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อเข้าสู่สถานศึกษารางวัลพระราชทาน พบว่า มี 3 องค์ประกอบหลัก 11 องค์ประกอบย่อย 2) ผลการพัฒนานวัตกรรมการพัฒนาคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อเข้าสู่สถานศึกษารางวัลพระราชทาน พบว่า เป็นนวัตกรรม TSA Model ซึ่งประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ คุณลักษณะผู้นำ ผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 และการบริหารและการจัดการสถานศึกษารางวัลพระราชทาน และ 3) ผลการประเมินนวัตกรรมการพัฒนาคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อเข้าสู่สถานศึกษารางวัลพระราชทาน พบว่า อยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน</p>
กรรวี โพธิ์ทอง
สุวิทย์ ภาณุจารี
ประทีป มากมิตร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
1038
1052
-
แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาที่สัมพันธ์กับการทำงานเป็นทีมของครูในศูนย์พัฒนาคุณภาพการศึกษาบูรพาประเทืองวิทย์ สังกัดสำนักเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/273115
<p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสาน มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาและระดับการทำงานเป็นทีมของครู 2) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงกับการทำงานเป็นทีมของครู และ 3) สร้างแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่สัมพันธ์กับการทำงานเป็นทีมของครู โดยยึดตามทฤษฎีภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง 4 ด้าน ได้แก่ การมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ การสร้างแรงบันดาลใจ การกระตุ้นทางปัญญา และการคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล กลุ่มตัวอย่างเชิงปริมาณคือครูจำนวน 92 คน และกลุ่มตัวอย่างเชิงคุณภาพคือศึกษานิเทศก์ ผู้บริหาร และครู จำนวน 5 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงและการทำงานเป็นทีมของครูอยู่ในระดับมาก มีความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยค่าความสัมพันธ์อยู่ระหว่าง 0.217 – 0.731 แนวทางการพัฒนา ได้แก่ 1) ผู้บริหารเป็นต้นแบบ กำหนดเป้าหมายชัดเจนและรับฟังข้อเสนอแนะ 2) สร้างแรงจูงใจ กระตุ้นทีมให้มีพลังและเห็นคุณค่าในการทำงาน 3) ส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ เสนอแนวทางใหม่ ๆ และเปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็น และ 4) คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ส่งเสริมการพัฒนาตนเองและเปิดโอกาสให้แสดงศักยภาพ</p>
กุลธิดา จันมะโน
ณัฐิยา ตันตรานนท์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
1025
1037
-
ความต้องการจำเป็นและแนวทางพัฒนาสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ของครูวิทยาศาสตร์ ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพชรบูรณ์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/272599
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นของสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ของครูวิทยาศาสตร์ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพชรบูรณ์ 2) เพื่อศึกษาแนวทางการการพัฒนาสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ของครูวิทยาศาสตร์ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพชรบูรณ์ เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี ได้ศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับสมรรถนะการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เป็นกรอบการวิจัย การศึกษาความต้องการจำเป็นของสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ของครูวิทยาศาสตร์ กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูผู้สอนวิทยาศาสตร์ จำนวน 201 คน ใช้วิธีคัดเลือกโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้นตามขนาดโรงเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามแบบประมาณค่า วิเคราะห์ข้อมูลโดยวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการจัดลำดับความสำคัญของต้องการจำเป็น (PNI<sub>modified</sub>) ขั้นตอนที่ 2 การศึกษาแนวทางพัฒนาสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ของครูวิทยาศาสตร์ ข้อมูลได้มาจากการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 4 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการศึกษาความต้องการจำเป็นของสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ของครูวิทยาศาสตร์ในเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพชรบูรณ์ ในภาพรวมพบว่า ด้านการพัฒนาหลักสูตรวิทยาศาสตร์ มีดัชนีความต้องการจำเป็นมากที่สุด รองลงมา ด้านการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ และด้านการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ตามลำดับ 2) ผลการศึกษาแนวทางการพัฒนาสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ของครูวิทยาศาสตร์ในเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพชรบูรณ์ พบว่า สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาควรจัดอบรม ประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ซึ่งผู้บริหารสถานศึกษาต้องส่งเสริมให้ครูวิทยาศาสตร์เข้าร่วมการอบรมและนิเทศติดตามการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ และครูวิทยาศาสตร์ควรศึกษาจากแหล่งเรียนรู้และร่วมแลกเปลี่ยนเรียนในชุมชนแห่งการเรียนรู้ (PLC) เพื่อพัฒนาสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ของครูวิทยาศาสตร์ องค์ความรู้ที่ค้นพบ การพัฒนาสมรรถนะการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ จะต้องมีความสอดคล้องกับความต้องการในการพัฒนาตนเองของครูวิทยาศาสตร์ มีการรวมกลุ่มกันของครูวิทยาศาสตร์ที่มีความต้องการในการพัฒนาตนเองในเรื่องเดียวกัน เพื่อพัฒนาเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้</p>
ธงไชย ภู่ถนนนอก
สถิรพร เชาวน์ชัย
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
1053
1065
-
การดำเนินมาตรการทางกฎหมายเพื่อการจัดการปัญหาขยะที่มีประสิทธิภาพ ในพื้นที่อำเภอเมืองจังหวัดพิษณุโลก
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/285198
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการดำเนินการเพื่อจัดการปัญหาการจัดการขยะในพื้นที่อำเภอเมืองจังหวัดพิษณุโลก และ 2) เพื่อวิเคราะห์ประสิทธิภาพ และแนะนำการปรับปรุงมาตรการทางกฎหมายที่ใช้บังคับเกี่ยวกับการจัดการขยะในพื้นที่อำเภอเมืองจังหวัดพิษณุโลก เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี โดยใช้แนวคิดการจัดการสิ่งแวดล้อมและกฎหมายสิ่งแวดล้อมเป็นกรอบการวิจัย กลุ่มตัวอย่าง คือ ประชาชนในพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก จำนวน 399 คน ซึ่งใช้วิธีการสุ่มแบบสะดวก และนักวิชาการด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยพิษณุโลกและมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม จำนวน 5 คน ซึ่งใช้วิธีการคัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลมี 2 ชนิด ได้แก่ แบบสอบถามเพื่อศึกษาการจัดการปัญหาขยะในพื้นที่ และแบบสัมภาษณ์เพื่อศึกษาประสิทธิภาพและแนวทางการปรับปรุงมาตรการทางกฎหมายที่ใช้บังคับในการจัดการขยะ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า ภาพรวมของการจัดการปัญหาขยะในพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก อยู่ในระดับมาก โดยการดำเนินการด้านการรีไซเคิลมีค่าเฉลี่ยในระดับสูงสุด ขณะที่การใช้ซ้ำและการลดการใช้ขยะยังอยู่ในระดับปานกลาง การบังคับใช้กฎหมายและบทลงโทษมีความสามารถในระดับสูง อย่างไรก็ตาม การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนยังอยู่ในระดับปานกลาง ข้อเสนอแนะที่ได้จากการวิจัยระบุว่า การเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการขยะควรเน้นการสนับสนุนให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น รวมถึงการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการรีไซเคิลขยะอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดปริมาณขยะในพื้นที่อย่างยั่งยืน </p>
ญาติพิชัย กลิ่นเจริญ, พิสิฐพล พานุรัตน์,
ชาตรี จำลองกุล, ฐิติวัฒน์ ด่านสว่าง
ปราโมทย์ สิทธิจักร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
1066
1077
-
พลวัตเคยปลาและพุงปลา อาหารท้องถิ่นคนคลอง กรณีจังหวัดนครศรีธรรมราช
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/272037
<p>พลวัตเคยปลาและพุงปลาวิถีอาหารท้องถิ่นคนคลองกรณีจังหวัดนครศรีธรรมราช มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาบริบทและปัจจัยการดำเนินชีวิตของคนคลอง แหล่งผลิตเคยปลา-พุงปลา นครศรีธรรมราช 2)ศึกษาวิถีคนคลองนครศรีธรรมราช เกี่ยวกับภูมิปัญญาการทำเคยปลา-พุงปลา และ 3) วิเคราะห์พลวัตและดำรงอยู่ของวัฒนธรรมอาหาร เคยปลา-พุงปลา ที่มีต่อวิถีชีวิตในปัจจุบัน จากกลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลักจำนวน 3 พื้นที่วิถีคนคลองนครศรีธรรมราช ได้ พื้นที่อำเภอชะอวด อำเภอเมือง และอำเภอปากพนัง เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้เทคนิควิจัย EFR เก็บข้อมูลในพื้นที่วิจัยเป็นหลัก ด้วยการสังเกตแบบมีส่วนร่วม สัมภาษณ์ลึกผู้ที่เกี่ยวข้อง สัมมนากลุ่ม และสัมมนาวิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) บริบทและปัจจัยการดำเนินชีวิตของคนคลอง ชีวิตคนใกล้คลองหรือแหล่งน้ำที่มีปลาชุกชม ใกล้ท่าเทียบเรือหรือจุดซื้อขายปลาสด 2) วิถีคนคลองนครศรีธรรมราช พบว่าใช้เวลาอยู่กับปัจจัยแวดล้อมคือแหล่งน้ำที่มีปลาชุกชุมใช้เวลากับการเตรียมอุปกรณ์ และออกหาปลาหลายแบบ เช่น ออกวางเบ็ด ดักกัด (ตาข่ายดักปลา) ซึ่งมักจะไปวางตอนเย็นค่ำ ช่วงเช้าจะไปกู้จับปลาหรือออกทอดแห ช่วงสายจะไปตลาดปลา มีการแยกขนาด และขายปลาสดโดยเอาเครื่องในปลาออกมา ช่วงเวลาบ่าย ๆ จะนำปลาตกขนาดกับเครื่องในปลาที่รวบรวม มาทำเคยปลาและหมักพุงปลา 3) พลวัตและดำรงอยู่ของวัฒนธรรมอาหารเคยปลา-พุงปลาที่มีต่อวิถีชีวิตในปัจจุบัน พบว่ามีการปรับตัวไปการเปลี่ยนแปลงทางสังคม มีการเรียนรู้และพัฒนาปรับรูปแบบการผลิตเคยปลา พุงปลาให้สะดวกมากขึ้น ภาชนะบรรจุจากอ่างดินเผามัดปากเป็นบรรจุกระปุกพลาสติคที่สะดวกกว่า มีการประสานเครือข่ายคนทำเคยปลา พุงปลากับแม่ค้าตลาดสด ตลาดนัดและร้านข้าวแกง ร้านขนมจีนโดยตรง ทำให้ระบบตลาดเคยปลา พุงปลาเคลื่อนไหวตามความต้องการของตลาด รวมถึงตลาดที่สั่งซื้อทางโทรศัพท์และสั่งผ่านออนไลน์จัดส่งไปยังผู้สั่งซื้อโดยตรง</p>
ลัญจกร นิลกาญจน์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
1078
1089
-
การสังเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อความภักดีของลูกค้ากลุ่มเครื่องดื่มสุขภาพ ในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทย: การทบทวนวรรณกรรม
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/282999
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสังเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อความภักดีของลูกค้ากลุ่มเครื่องดื่มสุขภาพในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทย ซึ่งผลจากการทบทวนวรรณกรรมพบว่าความไว้วางใจของลูกค้าส่งผลต่อความภักดีของลูกค้า ประสบการณ์ของลูกค้าส่งผลต่อความไว้วางใจของลูกค้า ความผูกพันของลูกค้าส่งผลต่อความไว้วางใจของลูกค้า และความผูกพันของลูกค้าส่งผลต่อความภักดีของลูกค้า ดังนั้นผู้ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเครื่องดื่มสุขภาพ ต้องให้ความสำคัญต่อการสร้างความไว้วางใจของลูกค้า การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้า รวมทั้งสร้างความผูกพันของลูกค้า เพื่อให้ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ส่งผลให้เกิดความภักดีของลูกค้าที่ซึ่งจะนำมาซึ่งการซื้อซ้ำ และบอกต่อในกลุ่มลูกค้า ทั้งยังเพื่อเป็นประโยชน์ในการพัฒนาธุรกิจให้ดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ยังสามารถจะนำผลการทบทวนวรรณกรรมนี้ไปพัฒนาหลักสูตร การให้ความรู้ การอบรม แนะนำ รวมทั้งหาช่องทางให้เครื่องดื่มสุขภาพเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น เพื่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพให้เกิดขึ้นกับประชาชนในระยะยาวต่อไป</p>
รัตนาวดี เกียรติซิมกุล
วรลักษณ์ ลลิตศศิวิมล, วารีพร หอยมณี, และ เพ็ญสุข เกตุมณี
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
1090
1098
-
การประเมินความต้องการจำเป็นในการพัฒนาทักษะการจัดการเรียนรู้ของครูในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต ๒
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/283398
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) สภาพปัจจุบันและสภาพที่ควรจะเป็นของทักษะการจัดการเรียนรู้ของครูในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 2 2) ความต้องการจำเป็นในการพัฒนาทักษะการจัดการเรียนรู้ของครู และ 3) แนวทางการพัฒนาทักษะดังกล่าว การวิจัยเป็นการวิจัยเชิงสำรวจ กลุ่มตัวอย่างคือผู้บริหารและครูในโรงเรียน รวม 349 คน โดยใช้วิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้คือ แบบสอบถาม 2 ฉบับ ได้แก่ แบบสอบถามเกี่ยวกับสภาพปัจจุบันและสภาพที่ควรจะเป็น และแบบสอบถามเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนา วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และดัชนีความต้องการจำเป็น (PNI Modified)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันของทักษะการจัดการเรียนรู้ของครูอยู่ในระดับมาก และสภาพที่ควรจะเป็นอยู่ในระดับมากที่สุด 2) ความต้องการจำเป็นโดยรวมของทักษะทั้ง 5 ด้านมีค่า PNI เฉลี่ยรวม 0.156 โดยด้านหลักสูตรและด้านสื่อการเรียนรู้มีค่า PNI สูงกว่าค่าเฉลี่ยรวม แสดงให้เห็นถึงความต้องการเร่งด่วนในการพัฒนา 3) ด้านที่ควรกำหนดแนวทางพัฒนาโดยเฉพาะ ได้แก่ ด้านหลักสูตร และด้านการใช้สื่อการเรียนรู้ ผลการวิจัยนี้สามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลประกอบการวางแผนและพัฒนาทักษะการจัดการเรียนรู้ของครู เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษา และการจัดการเรียนการสอนของครูในระดับปฐมศึกษาให้มีคุณภาพและสอดคล้องกับบริบทของพื้นที่</p>
นราธิป พงศ์สิทธิศักดิ์
วัลนิกา ฉลากบาง, และ ทรัพย์หิรัญ จันทรักษ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
1099
1108
-
การพัฒนาชุดนวัตกรรมความรู้เพื่อส่งเสริมการปฏิบัติตนเป็นคนดีจากคำสอนทางพระพุทธศาสนาที่ปรากฏในคัมภีร์ใบลานของวัดคงคาราม จังหวัดราชบุรี
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/280917
<p>บทความวิจัยนี้เป็นการศึกษาแนวทาง “การพัฒนาชุดนวัตกรรมความรู้เพื่อส่งเสริมการปฏิบัติตนเป็นคนดีจากคำสอนทางพระพุทธศาสนาที่ปรากฏในคัมภีร์ใบลานของวัดคงคาราม จังหวัดราชบุรี” จากการแปลคัมภีร์ใบลานที่เป็นภาษามอญมาเป็นภาษาไทย เพื่อให้เห็นถึงคุณค่าและความสำคัญของคัมภีร์ใบลาน ซึ่งเป็นพื้นฐานในการดำเนินชีวิตที่แสดงให้เห็นโทษของความเกียจคร้าน และได้รับอานิสงส์ความขยันหมั่นเพียร ในลักษณะอุปมาอุปไมย ในวิถีชีวิตของคนไทยเชื้อสายมอญที่มีความผูกพันกับสถาบันหลัก ๆ คือ บ้าน วัด โรงเรียน ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานคุณธรรมและจริยธรรมในการดำเนินชีวิตตามหลักพุทธธรรมในทางพระพุทธศาสนา ในการปฏิบัติตนเป็นคนดีจากคำสอนที่ปรากฏในคัมภีร์ใบลานของวัดคงคาราม จังหวัดราชบุรี ที่ท่านพระ อาจารย์ ดร. อะเฟาะมหาเถระ ซึ่งเป็นพระภิกษุชาวมอญท่านประพันธ์ไว้ในคัมภีร์ใบลานในรูปแบบอักษรมอญที่ปรากฏในคัมภีร์ใบลาน เรื่อง “คำสอนศิษย์วัด” และ เรื่อง “นิทานคุณธรรม” ซึ่งเป็นการส่งเสริมการปฏิบัติตนเป็นคนดีจากคำสอนที่ปรากฎในคัมภีร์ โดยมีจัดพิมพ์เป็นหนังสือเรื่อง “คำสอนศิษย์วัด” จำนวน 500 เล่ม และมีการทำเป็นบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนสำหรับส่งเสริมการปฏิบัติตนเป็นคนดีจากคำสอนที่ปรากฎในคัมภีร์ใบลานของวัดคงคาราม จังหวัดราชบุรี โดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นสื่อการเรียนรู้ ในการสร้างนวัตกรรมจากนิทานธรรม ที่ในรายวิชาสังคมศึกษาและวัฒนธรรม จากนวัตกรรมการเรียนรู้สำหรับส่งเสริมการปฏิบัติตนเป็นคนดีจากคำสอนที่ปรากฎในคัมภีร์ใบลานที่ปรากฎอยู่ในวัดคงคาราม จังหวัดราชบุรี ให้มีคุณค่าปรากฏในสังคมนั้นเอง</p>
พระครูสันตยาภิรัต (สันติ สนฺติกโร)
พระเจริญพงษ์ ธมฺมทีโป และ กฤติยา ถ้ำทอง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
1109
1122
-
การพัฒนาธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพชีวิต
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/279048
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาวิเคราะห์นโยบายของภาครัฐที่มีต่อการส่งเสริมธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า 2) เพื่อศึกษาความต้องการการใช้รถยนต์ไฟฟ้าของคนกรุงเทพมหานคร และ3) เพื่อเสนอแนวทางรูปแบบของธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพชีวิต การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพได้กำหนดผู้ให้ข้อมูลสำคัญ คือ ผู้บริหารของสภาอุตสาหกรรมยานยนต์และผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า จำนวน 8 คน โดยใช้การอธิบายและให้ความสำคัญกับปรากฏการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นบนฐานคติของการตีความของเนื้อหา</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า แนวทางรูปแบบของธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพชีวิต โดยนโยบายของรัฐมีผลต่อความต้องการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าในเชิงบวก เนื่องจากอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าเป็นอุตสาหกรรมใหม่ รัฐบาลจำเป็นต้องเข้ามาช่วยเหลือเกี่ยวกับการส่งเสริมให้ผู้สนใจมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า เช่น การลดอัตราภาษี, ส่วนลดในการซื้อ และอื่นๆ ส่วนปัจจัยด้านการขับเคลื่อนธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต ปัจจัยด้านประสิทธิภาพและปัจจัยด้านความปลอดภัยของรถยนต์ไฟฟ้า โดยสาเหตุมาจากความไม่เชื่อใจในเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าและสาธารณูปโภคต่างๆ เกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้า โดยพบว่าข้อบกพร่องของสาธารณูปโภค เช่น ศูนย์ซ่อมรถยนต์ไฟฟ้า ความรู้ของช่างที่ซ่อมรถยนต์ไฟฟ้า และสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าสาธารณะที่มีน้อย ส่งผลกระทบต่อปัญหาในด้านระยะการเดินทางของรถยนต์ไฟฟ้า</p>
วิโรจน์ พัชรวัฒนกูล
สุรัตน์ พักน้อย และ สัญญา สดประเสริฐ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
1123
1132
-
คนจนในชนบท: โอกาสและความท้าทายในปลายศตวรรษที่ 21
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/282270
<p>การวิจัยเรื่อง “คนจนในชนบท: โอกาสและความท้าทายในปลายศตวรรษที่ 21” มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสิทธิและโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรของกลุ่มคนยากจนในชนบท 2) พัฒนามโนทัศน์ นโยบาย และยุทธศาสตร์ในการแก้ไขปัญหาความยากจนแบบบูรณาการ และ 3) เสริมสร้างกลไกของกลุ่มคนยากจนในชนบทเพื่อรองรับความท้าทายในปลายศตวรรษที่ 21 ใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ โดยศึกษาจากเอกสาร การสัมภาษณ์เชิงลึก การสนทนากลุ่ม และกิจกรรมส่งเสริมอาชีพในพื้นที่ชุมชนบ้านแม่หาด</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) คนยากจนในพื้นที่ประสบปัญหาการเข้าถึงทรัพยากร เช่น ที่ดินทำกินในเขตป่าสงวน การขาดแคลนน้ำ การศึกษาที่ไม่ทั่วถึง และบริการสาธารณสุขที่จำกัด อันเนื่องมาจากระยะทางและทรัพยากรที่ไม่เพียงพอ แนวทางแก้ไขต้องได้รับการสนับสนุนจากรัฐในการปรับปรุงกฎหมายและจัดสรรทรัพยากรอย่างเป็นธรรม 2) การพัฒนานโยบายและยุทธศาสตร์แบบบูรณาการเน้นการแก้ปัญหาในมิติเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา สุขภาพ โครงสร้างพื้นฐาน และสิ่งแวดล้อม โดยอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และชุมชน เพื่อสร้างความยั่งยืนและลดความเหลื่อมล้ำ 3) การเสริมสร้างกลไกรองรับความท้าทายในอนาคตใช้โมเดล CMPAC ซึ่งประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ได้แก่ การสร้างแรงผลักดัน การเรียนรู้ร่วมกัน การวางแผน การปฏิบัติจริง และการปรับเปลี่ยนเพื่อพัฒนาอย่างยั่งยืน กิจกรรมที่ดำเนินการ ได้แก่ การอบรมขายของออนไลน์ การส่งเสริมการออม และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีการประยุกต์ใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นหลักสำคัญในการเสริมสร้างความมั่นคงของชุมชน</p>
ประเสริฐ บุปผาสุข
ทิพาภรณ์ เยสุวรรณ์, พระครูศรีปริยัตยารักษ์, พระครูสุตธรรมวิสิฐ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
1133
1146
-
MIGRANT WORKERS: OPPORTUNITIES OR CRISIS
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/273124
<p> Every human being <span style="text-decoration: line-through;">born</span> has their own potential, whether they are Thai people or migrant workers. They have different lifestyle goals which depends on the individual components. The true goal of every human being may not be different, that is, the desire for life to be fulfilled in what one desires and to live a happy life. Migrant workers refer to natural persons who do not have Thai nationality. Migrant workers are mentioned in this academic article. Refers to migrant workers of 3 nationalities: Myanmar, Laos, and Cambodia. The entry of migrant workers creates opportunities for Thailand in many ways, including 1) creating opportunities to help and support each other among neighboring countries and ASEAN countries. 2) Preparing to accommodate the changing population structure 3) Compensating for the declining labor age and entering an aging society 4) Supporting the economy and building Thailand's competitiveness 5) Moving towards achieving the goals of Sustainable development (SDGs) of Thailand and ASEAN countries and 6) Support the mechanism driving Thailand's global health strategy if considering the critical situation of migrant workers coming to work in Thailand. It was found that there were impacts including 1) the careers of Thai people, 2) the security, and 3) Health, which is considered as a whole, it can be seen that migrant workers coming to work in Thailand are a crisis opportunity just a tool to help create opportunities for achieving goals that have been set together, opportunities that arise "It is both a worldly and a religious opportunity" under the principles of humanity. Human rights principles security principles of sustainable development principles of social protection and the principles of participation of all sectors: "Leave no one behind" according to the goals of the 20-year national strategic plan (2018 - 2037).</p>
jumrus wongprasert
Jaturong Boonyarattanasoontorn
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
1147
1158
-
การนำนวัตกรรมมาใช้เพื่อพัฒนารูปแบบการให้บริการอย่างยั่งยืน ของกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/273231
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบของปัจจัยภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมการสร้างนวัตกรรมในการทำงาน และ การจัดการความรู้ที่ทำให้เกิดนวัตกรรมที่ส่งผลต่อความยั่งยืน<br />ของกรมบัญชีกลาง 2) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมการสร้างนวัตกรรมในการทำงาน และการจัดการความรู้กับนวัตกรรมที่ส่งผลต่อความยั่งยืน และ 3) ศึกษาอิทธิพล<br />ของภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมการสร้างนวัตกรรมในการทำงาน และ การจัดการความรู้ที่ทำให้เกิดนวัตกรรมที่ส่งผลต่อความยั่งยืนของกรมบัญชีกลาง ผู้วิจัยดำเนินการวิจัยเชิงผสานวิธีแบบพร้อมกัน โดยดำเนินการวิจัยเชิงคุณภาพพร้อมกันกับการวิจัยเชิงปริมาณ ให้ความสำคัญกับการวิจัยทั้งสองแบบเท่ากัน และนำผลการวิจัยมาสรุปรวมกันในส่วนของการแปลผล เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล หรือทำให้ผลการวิจัยสมบูรณ์มากขึ้น สถิติพื้นฐานที่ใช้ในการวิจัยโดยการวิเคราะห์ค่าเฉลี่ยและค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานการวิจัยขั้นสูง โดยการใช้ Structural Equation Modeling (SEM) และทำการเปรียบเทียบผลวิจัยทั้งสองแบบ พบว่า ผลการวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณมีความสอดคล้องกัน ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงมีอิทธิพลทางบวกต่อนวัตกรรมภาครัฐกรมบัญชีกลาง ในเรื่องการกระตุ้นทางปัญญามากที่สุด พฤติกรรมการนำความคิดสู่การปฏิบัติ มีอิทธิพลทางบวกต่อนวัตกรรมภาครัฐ การจัดการความรู้มีอิทธิพลทางบวกต่อนวัตกรรมภาครัฐ ด้านการถ่ายทอดความรู้และการใช้ประโยชน์ กรมบัญชีกลางมีวัฒนธรรมองค์กรที่เอื้อต่อการเปลี่ยนแปลงเพื่อการพัฒนาสิ่งใหม่ให้เกิดนวัตกรรมสนับสนุนภารกิจของกรมบัญชีกลางให้เกิดความยั่งยืน</p>
ปริตตา สมานชื่น
นีรนุช เนื่องวัง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
1159
1170
-
การใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ของนักศึกษาคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/279006
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาพฤติกรรมการรับข้อมูลข่าวสารบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ของนักศึกษาและ 2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการรู้เท่าทันสื่อกับพฤติกรรมการรับข้อมูลข่าวสารบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ เป็นการวิจัยเชิงสำรวจโดยมีกลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาระดับปริญญาตรีชั้นปีที่ 1 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชาการรู้เท่าทันดิจิทัลในภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2566 และยินยอมให้นำข้อมูลมาใช้ในการทำวิจัย จำนวน 341 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถามออนไลน์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ความถี่ ร้อยละ และไคสแควร์ ผลการวิจัยพบว่า 1) นักศึกษาส่วนใหญ่มีพฤติกรรมการใช้สื่อสังคมออนไลน์ผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ /สมาร์ตโฟนในบริเวณสถานศึกษา ซึ่งปัจจัยที่มีผลต่อการใช้งานอินเทอร์เน็ตคือความสะดวกสบายในการเข้าถึงข้อมูล โดยวัตถุประสงค์หลักในการใช้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ของนักศึกษาเพื่อการศึกษา เช่น เรียนออนไลน์ สืบค้นข้อมูล เป็นต้น ความถี่ในการใช้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ 7 วันต่อสัปดาห์ นักศึกษาใช้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ 7-9 ชั่วโมงที่ต่อวัน 2) ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการรู้เท่าทันสื่อและสารสนเทศ กับพฤติกรรมการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยใช้ไคสแควร์ พบว่า การรู้เท่าทันสื่อและสารสนเทศมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ 3 วัตถุประสงค์คือเพื่อติดตามข่าวสารทั่วไป เพื่อการติดต่อสื่อสาร สนทนาและเพื่อกิจกรรมสันทนาการ โดยผลการวิจัยหรือข้อค้นพบที่ได้ผู้วิจัยจะนำไปใช้ประโยชน์ในการวางแผนการพัฒนา ปรับปรุงกระบวนการจัดการเรียนการสอน การจัดกิจกรรมที่เหมาะสมเพื่อพัฒนานักศึกษาต่อไป</p>
อภิรดี สรวิสูตร
อัญญ์ณิชตา รุ่งวิชานิวัฒน์ และ วรรณกร ลิขิตปัญญโชติ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
1171
1180
-
แนวทางการพัฒนากลยุทธ์การยกระดับของกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ของอุตสาหกรรมอาหารในเขตกรุงเทพมหานคร
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/281808
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนากลยุทธ์การยกระดับของกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในอุตสาหกรรมอาหารในเขตกรุงเทพมหานคร 2) ศึกษาผลสำเร็จของกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในอุตสาหกรรมอาหารในเขตกรุงเทพมหานครหลังการใช้กลยุทธ์การยกระดับธุรกิจ และ 3) ค้นหาแนวทางการพัฒนากลยุทธ์การยกระดับมีอิทธิพลต่อผลสำเร็จของกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในอุตสาหกรรมอาหารในเขตกรุงเทพมหานคร โดยเป็นการวิจัยแบบผสานวิธี ได้ศึกษาแนวคิด และทฤษฎีทางด้านประเภทของนวัตกรรม กลยุทธ์การยกระดับ และผลสำเร็จของกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเป็นกรอบการวิจัย กลุ่มตัวอย่าง คือ กลุ่มผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในอุตสาหกรรมอาหารในเขตกรุงเทพมหานคร โดยคำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่างได้จำนวน 400 ราย ใช้วิธีคัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 2 ชนิด คือ 1) แบบสอบถาม 2) แนวทางในการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ สถิติพื้นฐาน และสถิติอ้างอิง คือ การวิเคราะห์แบบถดถอยเชิงพหุในกรณีการวิจัยเชิงปริมาณ ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพใช้วิเคราะห์บริบทแล้วเขียนบรรยายเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) การพัฒนากลยุทธ์การยกระดับของกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในอุตสาหกรรมอาหารในเขตกรุงเทพมหานครนั้นจะต้องพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีของกิจการซึ่งจะมีอิทธิพลต่อผลสำเร็จของกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในอุตสาหกรรมอาหารในเขตกรุงเทพมหานคร 2) กลยุทธ์การยกระดับธุรกิจมีอิทธิพลต่อผลสำเร็จของกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในอุตสาหกรรมอาหารในเขตกรุงเทพมหานคร 3) แนวทางการพัฒนากลยุทธ์การยกระดับนั้นมีอิทธิพลต่อผลสำเร็จของกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในอุตสาหกรรมอาหารในเขตกรุงเทพมหานคร</p> <p> ข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อการใช้นวัตกรรมในการยกระดับกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของอุตสาหกรรมอาหารในกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน</p>
สุวิมล หวังกิจ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
1181
1195
-
สิทธิมนุษยชนระดับสากล: บริบทด้านกฎหมายของไทยในประเด็นคู่ชีวิต
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/272763
<p style="margin: 0cm; margin-bottom: .0001pt; text-align: justify; text-justify: inter-cluster; text-indent: 1.0cm; background: white;">ทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการศึกษาถึงสิทธิมนุษยชนระดับสากลและบริบทด้านกฎหมายของไทยในประเด็นคู่ชีวิต ซึ่งในปัจจุบันได้เกิดกระแสเรียกร้องจากทั่วโลกและเกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านกฎหมายและนโยบายต่าง ๆ ในหลายประเทศเพื่อรับรองสิทธิและคุ้มครองสิทธิในการก่อตั้งครอบครัวและการอยู่ร่วมกันฉันคู่ชีวิตของกลุ่มคู่รักเพศเดียวกัน หลายประเทศมีแนวคิดว่าการกำหนดให้เฉพาะชายและหญิงสมรสกันได้เป็นสิ่งที่ไม่เป็นธรรมและไม่เท่าเทียมแก่บุคคลทุกคนในสังคม จนนำไปสู่การบัญญัติกฎหมายเพื่อรับรองการก่อตั้งครอบครัวของบุคคล ผู้มีความหลากหลายทางเพศในประเทศต่าง ๆ จนปัจจุบันมีมากกว่า 33 ประเทศ ประเทศไทยได้รับรองปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (UDHR) และ ได้เป็นภาคีกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ซึ่งเป็นตราสารและพันธกรณีระหว่างประเทศ ที่กำหนดสิทธิในการแต่งงานและการมีชีวิตครอบครัว (Right to Family) ไว้ และหลักการยอกยาการ์ตา ว่าด้วยการปรับใช้กฎหมายในสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศในประเด็นวิถีทางเพศและอัตลักษณ์ทางเพศ ค.ศ. 2006 ซึ่งไทยร่วมลงนามมีการบัญญัติเรื่องการสมรส และการก่อตั้งครอบครัวไว้ในข้อที่ 24 ว่า “มนุษย์ทุกคนมีสิทธิในการสร้างครอบครัวโดยไม่ขึ้นกับวิถีทางเพศและอัตลักษณ์ทางเพศ” ผลการศึกษาพบว่า แต่ในปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายฉบับใด ให้การรับรองสิทธิในการก่อตั้งครอบครัวและการอยู่ร่วมกันฉันคู่ชีวิตของกลุ่มคู่รักเพศเพศเดียวกัน การขาดกฎหมายนี้ทำให้ประเทศไทยขาดเครื่องมือทางกฎหมายในการจัดการกับความสัมพันธ์ทางครอบครัวของคู่รักเพศเดียวกัน จึงก่อให้เกิดปัญหาหลายประการ เช่น การที่คู่ชีวิตฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจถูกทอดทิ้งเมื่อไม่สามารถช่วยเหลือตนเองในการดำรงชีพได้ การที่คู่ชีวิตไม่สามารถจัดการทรัพย์สินที่ทำมาหาร่วมกันได้สิทธิในการเป็นทายาทโดยธรรมและการรับมรดก สิทธิในการดำเนินคดีร่วมกันหรือแทนคู่ชีวิต สิทธิในการตัดสินใจเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล สถานการณ์ ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย</p>
โฆสิต สุวินิจจิต
วรรณพงษ์ คชรักษ์, กุลวัชร หงษ์คู ภูชิสส์ ศรีเจริญ, สุรินทร์ อัศววิทูรทิพย์
อนุชิดา ชินศิรประภา, สุพัตรา จิราธิวัฒน์, วารุณี เลียววิวัฒน์ชัย และสุจิรา เนาวรัตน์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
1196
1202
-
บ้าน วัด โรงเรียน บทบาทในการส่งเสริมสิทธิการพัฒนา : กรณีศึกษาชุมชนวัดไร่ขิง
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/272764
<p> บทความวิชาการนี้ เป็นการศึกษาการมีส่วนร่วมของบ้าน วัด โรงเรียน ในการส่งเสริมสิทธิการพัฒนา และการได้รับประโยชน์ของคนในชุมชน โดยมีเป้าหมายสำคัญ คือ ส่งเสริมให้ชุมชนมีการเรียนรู้ตลอดชีวิต การส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน (การจ้างงาน) และมีการดูแลผู้สูงอายุ ที่สอดคล้องกับกรอบตามแผนพัฒนา 3 ด้าน ได้แก่ การเกิดอย่างมีคุณภาพ การอยู่อย่างมีคุณภาพ การมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ และการแก่และตายอย่างมีคุณภาพ ประกอบกับการดำเนินงานภายใต้กลไกและกลยุทธ์บทบาทในการส่งเสริมสิทธิการพัฒนา 5 ด้าน ได้แก่ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ด้านเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชน ด้านสังคมและคุณภาพชีวิตของประชาชน และด้านการเมืองการบริหาร มีวิธีการศึกษาใช้แบบผสานวิธี ประกอบด้วย การค้นคว้าเอกสาร และการสัมภาษณ์ โดยการสนทนากลุ่ม มีตัวแทนจากบ้านหรือชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น วัด โรงเรียน และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการส่งเสริมสิทธิการพัฒนาในพื้นที่ ซึ่งหัวใจสำคัญคือ การมุ่งสร้างสังคม ชุมชน ให้มีคุณธรรม และน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ มีแนวทางให้ชุมชนในพื้นที่วัดไร่ขิงเป็นศูนย์กลางในการบูรณาการกิจกรรมโครงการต่าง ๆ ของทุกหน่วยงาน มีคณะทำงานขับเคลื่อนและพัฒนาชุมชนด้วยพลังบวร เป็นแกนกลางในการประสานการดำเนินงาน และกระจายข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องให้ประชาชนทุกระดับมีสำนึกรับผิดชอบต่อส่วนรวม รู้รัก สามัคคี มีความเข้าใจและเข้าถึงโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาลอย่างทั่วถึง และเท่าเทียม เกิดกิจกรรมสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้หมุนเวียนในระดับเศรษฐกิจฐานราก</p>
เกียรติคุณ จุมพลคุณวุฒิ
ประวุธ วงศ์สีนิล, ภูริวัจน์ ปุณยวุฒิปรีดา, ศิรทิพย์ ภาศรีสมบัติ, สุนันทา คงพากเพียร
สุรศักดิ์ ปัญญาวุธ, เสกสกล อัตถาวงศ์ และ อุทัย กวินเดชาธร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
1203
1210
-
การยกระดับสิทธิในการอยู่รอดของผู้ใช้แรงงานตามมาตรฐานสากล
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/272767
<p><strong> </strong>บทความวิชาการเรื่อง “การยกระดับสิทธิในการอยู่รอดของผู้ใช้แรงงานตามมาตรฐานสากล” มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการยกระดับสิทธิในการอยู่รอดของผู้ใช้แรงงานตามมาตรฐานสากลให้เป็นไปตามแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติฉบับที่ 5 (พ.ศ.2566 – 2570) โดยในแผนนี้มีสถานการณ์ท้าทาย คือ “ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น และภาคธุรกิจSME ที่เข้าไม่ถึงมาตรการเยียวยาความเสียหายของรัฐจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019” และ ณ ปัจจุบันนี้หนี้ครัวเรือนได้กลายเป็นปัญหาสำคัญระดับปัจเจกและระดับขาติ เพราะหนี้ครัวเรือนได้ทะยานขึ้นไปถึง 90% ของมูลค่าผลผลิตมวลรวมประชาชาติ (GDP) แล้ว ปัญหาหนี้นี้ไม่เพียงบั่นทอนคนชั้นกลางคนจน แต่ยังกัดเซาะยอดขายของธุรกิจ และฉุดรั้งให้เศรษฐกิจไทยให้ไม่สามารถก้าวหน้าเติบโตต่อไปได้ โดยได้กำหนดกลุ่มเป้าหมายคือ แรงงานที่เป็นลูกจ้างและผู้ประกอบอาชีพอิสระ เพื่อทำให้คนทั้งสองกลุ่มสามารถเข้าถึงสิทธิทางเศรษฐกิจอันเป็นสิทธิตามปฏิญาณสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ตลอดจนศึกษารูปแบบ “การใช้หนี้พัฒนาคน” ที่มีต้นแบบมาจากประเทศบังคลาเทศ และโครงการเงินกู้เพื่อพัฒนาชีวิตลูกจ้างและธนาคารแรงงาน ของ รศ.ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ ที่ได้เสนอและยกร่างไว้ตั้งแต่ปี 2546 และได้ถูกบรรจุไว้ในร่างรัฐธรรมนูญปี 2558 มาตรา 289 ว่าต้นแบบดังกล่าวจะยกระดับสิทธิแรงงานผู้ประกันตน ผ่านการจัดตั้งกองทุนและธนาคารแรงงานผู้ประกันตน เพื่อให้บรรลุสิทธิมนุษยชนตามปฏิญาณสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนได้หรือไม่ อย่างไร</p>
กฤษดา กฤตเมธานนท์
ปนัดดา รักษาแก้ว, พระเมธีวัชรบัณฑิต, พิเชฏฐ์ ทองศรีนุ่น, รุ่งทิพย์ สูงสว่าง,
กิตติพันธุ์ จุนทการ, อารีศักดิ์ เสถียรภาพอยุทธ์, โอภาศ ศรีฉันทะมิตร และปรัชญา ศรีอัมพรแสง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
1211
1222
-
การพัฒนาผลการเรียนรู้ เพื่อฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ (Learning Loss) กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา วัฒนธรรม เรื่อง มารยาทชาวพุทธ โดยใช้เทคนิควิธีสอน แบบซิปปาโมเดล ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนอนุบาลพยัคฆภูมิพิสัย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/272811
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างและหาประสิทธิภาพของแผนเพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้ เพื่อฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ (Learning Loss) กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา วัฒนธรรม เรื่อง มารยาทชาวพุทธ โดยใช้เทคนิควิธีสอน แบบซิปปาโมเดล ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนอนุบาลพยัคฆภูมิพิสัยสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเขต 2 และ 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้โดยใช้เทคนิควิธีสอน แบบซิปปาโมเดล ซึ่งกลุ่มเป้าหมายได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ได้มาจากวิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน และ แผนการจัดการเรียนรู้แบบซิปปาโมเดล ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง มารยาทชาวพุทธ โดยใช้เทคนิควิธีสอนแบบซิปปาโมเดล เพื่อพัฒนาภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ (Learning Loss) มีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.36/85.52 สูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้ และ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนผ่านเกณฑ์ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 ผลการฟื้นฟูภาวะถดถอยการเรียนรู้ด้านความรู้ เรื่อง มารยาทชาวพุทธ ด้านสังคม และด้านวุฒิภาวะทางอารมณ์ อยู่ในระดับดีมาก 2) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบซิปปาโมเดล มีผลการเรียนรู้ก่อนเรียนเฉลี่ย 4.15 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.94 และหลังเรียนเฉลี่ย 8.55 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.95 เมื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ เรื่อง มารยาทชาวพุทธ หลังเรียนกับ ก่อนเรียนพบว่าหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน และแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
สายพิณ ปานไธสงค์
กชพร นำนาผล
อรศิริ เสาไธสง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
1223
1233
-
SOCIAL PROTECTION UNDER THE THAI SOCIAL WELFARE SYSTEM AND QUALITY OF LIFE OF MIGRANT WORKERS
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/273123
<p>This research aims to study the situation of migrant workers in Samut Prakan Province. Social protection under the Thai social welfare system and the quality of life of migrant workers, including appropriate approaches to social protection and development of the quality of life of migrant workers who come to work in Thailand, uses a mixed methods research method, stratified random sampling covering all districts of migrant workers who came to work in the system legally, including Myanmar, Lao, and Cambodian nationalities, totaling 412 people, found that the situation of migrant workers in Samut Prakan Province mostly receive social protection under the Thai social welfare system, more than 90% according to the components. The 4 dimensions of quality of life according to the World Health Organization: physical, mental, and social relationships are at a good level with an average of 37.6, while the environmental aspect is at a moderate level. An appropriate approach to social protection and improving the quality of life of migrant workers should establish various procedures. It should be easy to understand, not complicated, and have a system in place to drive long-term operations. Even though Thailand has laws to support international standards and the Thai context that are good and comprehensive, promoting law enforcement into practice and allowing migrant workers to have access to and receive equal legal care is important, there should be the same database system, with clearly defined responsible departments, such as specifying "Department of Migrant Labor" or having an independent organization to directly supervise and take responsibility, such as establishing the "Office of the Migrant Labor Committee" to supervise.</p>
jumrus wongprasert
Jaturong Boonyarattanasoontorn
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
1234
1247
-
กรอบกฎหมายเชิงนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาเมือง: กรณีศึกษาอุตสาหกรรมการก่อสร้างประเภทที่อยู่อาศัยในเขตนวัตกรรมเมือง กรุงเทพมหานคร
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/281081
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์สภาพปัจจุบันและปัญหาของกรอบกฎหมายปัจจุบัน ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการก่อสร้างประเภทที่อยู่อาศัยในเขตนวัตกรรมเมือง 2) พัฒนากรอบกฎหมายเชิงนวัตกรรมสำหรับการพัฒนาเมือง และ 3) เสนอแนวทางเชิงนโยบาย สำหรับหน่วยงานภาครัฐและผู้เกี่ยวข้อง นำกรอบกฎหมายเชิงนวัตกรรมไปประยุกต์ใช้จริง งานวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีแบบผสานวิธี (Mixed Methods) โดยเก็บข้อมูลเชิงปริมาณจากประชากรผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพมหานคร 200 ราย ผ่านแบบสอบถามจากตัวแทนองค์กร จำนวน 150 ชุด จำนวนตัวอย่างกำหนดตามตารางของ Krejcie & Morgan (1970)<strong> </strong>โดยใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) และเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพผ่านแบบสัมภาษณ์ด้วยเทคนิคเดลฟาย จากผู้เชี่ยวชาญ 20 คน ทั้งจากภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน</p> <p>ผลการวิจัยเชิงปริมาณ พบว่า อุปสรรคทางกฎหมายที่สำคัญที่ส่งผลต่อการพัฒนาที่อยู่อาศัยเชิงนวัตกรรม ได้แก่ กระบวนการขออนุญาตก่อสร้างที่ล่าช้า กฎระเบียบอาคารที่ขาดความยืดหยุ่น และการขาดแรงจูงใจทางภาษีสำหรับโครงการนวัตกรรม ส่วนผลการวิจัยเชิงคุณภาพได้ข้อสรุปเชิงฉันทามติถึงองค์ประกอบสำคัญของกรอบกฎหมายเชิงนวัตกรรม 5 ประการ ได้แก่ 1) การปรับปรุงกฎหมายผังเมืองและอาคารให้มีความยืดหยุ่นรองรับเทคโนโลยีใหม่ 2) การจัดตั้งหน่วยงานบริการเบ็ดเสร็จ (One-Stop Service) ในการออกใบอนุญาตต่าง ๆ 3) มาตรการจูงใจทางการเงินและภาษีสำหรับผู้ประกอบการที่นำนวัตกรรมมาใช้ 4) กลไกความร่วมมือระหว่างรัฐ เอกชน และชุมชนในเขตนวัตกรรมเมือง และ 5) การกำกับดูแลแบบ Sandbox ที่เปิดโอกาสให้ทดลองนวัตกรรมภายใต้เงื่อนไขพิเศษในพื้นที่จำกัด กรอบกฎหมายที่พัฒนาขึ้นนี้จะช่วยเร่งให้เกิดการนำเทคโนโลยีและกระบวนการก่อสร้างที่ทันสมัยมาใช้ อันจะนำไปสู่การพัฒนาเมืองนวัตกรรมที่ยั่งยืน</p>
ภราดร เพ็งแจ่ม
รัตติกาล โสวะภาส และ ทานตะวัน บุญเล็ก
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
1248
1260
-
รูปแบบการใช้ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เขตตรวจราชการที่ 14
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/279155
<p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยและพัฒนามีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน ความต้องการใช้ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรม จากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และกลุ่มเป้าหมาย จำนวน 244 คน 2) สร้างรูปแบบการใช้ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรม โดยกำหนดประเด็นที่มีความต้องการในระดับมากขึ้นไป (X > 3.51) ตรวจสอบความเหมาะสมและความเป็นไปได้โดยการสนทนากลุ่มจากผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 11 คน 3) ทดลองใช้รูปแบบการใช้ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรม กับกลุ่มผู้ให้ข้อมูล จำนวน 9 คน ที่ได้มาแบบเจาะจง โดยทดลองใช้รูปแบบและความพึงพอใจ 4) ประเมินรูปแบบการใช้ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรม โดยผู้ทรงคุณวุฒิและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง จำนวน 21 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ แบบประเมิน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า1) สภาพปัจจุบัน ความต้องการ โดยรวมอยู่ในระดับมาก (<em> </em>= 4.81) และแนวทางภาวะผู้นำ มี 5 องค์ประกอบคือ 1) การมีวิสัยทัศน์เชิงนวัตกรรม 2) ด้านการคิดเชิงปฏิวัตินวัตกรรม 3) ด้านการสร้างเครือข่ายและการทำงานเป็นทีม 4) ด้านการจัดการเชิงกลยุทธ์อย่างเป็นระบบ 5) ด้านการกำหนดกลยุทธ์ที่มุ่งสู่นวัตกรรม 2) รูปแบบการใช้ภาวะผู้นำ พบว่า ความเหมาะสม อยู่ในระดับมากที่สุด (<em> </em>= 4.51, = 0.41) และความเป็นไปได้ อยู่ในระดับมากที่สุด (<em> </em>= 4.46, = 0.42) 3) ผลการทดลองใช้รูปแบบ พบว่า ก่อนการทดลองอยู่ในระดับพอใช้ และหลังการทดลองอยู่ในระดับดีมาก ความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด (<em> </em>= 4.71, = 0.47) 4) ผลการประเมินรูปแบบ พบว่า ความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (<em> </em>= 4.59, = 0.44) </p>
เกรียงไกร กุลบุตร
นเรศ ขันธะรี
ชวนคิด มะเสนะ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
1261
1273
-
กระบวนการเสริมสร้างอัตลักษณ์ชุมชนท้องถิ่นเพื่อพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์เมืองโบราณโนนเมือง อำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/279786
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาบริบทพื้นที่โนนเมือง อำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น 2) เพื่อศึกษาแนวทางการเสริมสร้างอัตลักษณ์ชุมชนท้องถิ่นในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์เมืองโบราณโนนเมือง และ 3) เพื่อเสนอแนวทางส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ดังกล่าว โดยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้แบบสัมภาษณ์กับกลุ่มเป้าหมาย 30 คนซึ่งคัดเลือกแบบเจาะจง และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า พื้นที่โนนเมืองมีลักษณะเป็นแหล่งโบราณคดีในตำบลชุมแพ เดิมเป็นพื้นที่เกษตรกรรมที่มีความเปลี่ยนแปลงตามพัฒนาการของชุมชน โดยแบ่งเป็นยุคก่อนประวัติศาสตร์และยุคประวัติศาสตร์ ภายหลังได้รับการพัฒนาเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านโบราณคดีและวัฒนธรรม ประเด็นการเสริมสร้างอัตลักษณ์ชุมชนประกอบด้วย การเน้นเอกลักษณ์ด้านประวัติศาสตร์ท้องถิ่น การส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชน เช่น วิสาหกิจสาโท เสื้อผ้าทอมือ ข้าวพันธุ์ทับทิมชุมแพ และพืชผักสวนครัว การมีส่วนร่วมของชุมชนและองค์กรต่าง ๆ ในชุมแพผ่านการประชาสัมพันธ์ การส่งเสริมจิตอาสา และการมีส่วนร่วมในการต้อนรับนักท่องเที่ยว นอกจากนี้ยังพบว่าแนวทางสำคัญในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ได้แก่ การปลูกจิตสำนึกรักถิ่นกำเนิดผ่านการมีส่วนร่วมของ "บ้าน วัด โรงเรียน" การบูรณาการแหล่งเรียนรู้ในโรงเรียนท้องถิ่น และการส่งเสริมกิจกรรมประเพณีบวงสรวงเมืองโบราณเป็นประจำทุกปี ทั้งนี้เพื่อยกระดับโนนเมืองเป็นแหล่งเรียนรู้เชิงวัฒนธรรมที่ยั่งยืน</p>
ไพทูรย์ มาเมือง
สุเนตร ธนศิลปพิชิต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
1274
1283
-
การพัฒนาหลักสูตรรายวิชาคอมพิวเตอร์กราฟิก ตามแนวคิดการเรียนรู้โดยใช้ภาระงานเป็นฐาน ร่วมกับแฟ้มสะสมผลงานอิเล็กทรอนิกส์ สำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยสะหวันนะเขต สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/281672
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพที่มีอยู่จริง สภาพที่คาดหวัง และความต้องการจำเป็น 2) พัฒนาหลักสูตรรายวิชาคอมพิวเตอร์กราฟิก 3) ศึกษาผลการทดลองใช้หลักสูตร และ 4) ศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการเรียนตามหลักสูตร เป็นการวิจัยเชิงผสมผสานวิธี กลุ่มตัวอย่างเป็นอาจารย์ผู้สอน จำนวน 22 คน นักศึกษา สาขาเทคโนโลยีแบบสื่อประสม จำนวน 127 คน โดยใช้แบบสอบถามสภาพที่มีอยู่จริงและสภาพที่คาดหวัง มีค่าอำนาจจำแนกมากกว่า 0.20 และมีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.98 พบว่า<br /> ผลการศึกษาพบว่า 1) สภาพที่มีอยู่จริงโดยรวมอยู่ในระดับน้อย สภาพที่คาดหวังโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด การประเมินความต้องการจำเป็น PNImodified เกิน 0.30 ทุกองค์ประกอบ ทุกตัวบ่งชี้ 2) ผลการประเมินความเหมาะสมของหลักสูตรรายวิชาจากผู้เชี่ยวชาญ พบว่า อยู่ในระดับดีมาก 3)ผลการใช้หลักสูตร พบว่า หลักสูตรรายวิชาคอมพิวเตอร์กราฟิก มีประสิทธิภาพ 84.16/89.62 และนักศึกษาที่ได้เรียนหลักสูตรรายวิชาคอมพิวเตอร์กราฟิก มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนการเรียน มีทักษะการปฏิบัติภาระงานเท่ากับร้อยละ 84.80 และมีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีในการสร้างแฟ้มสะสมผลงานอิเล็กทรอนิกส์ เท่ากับร้อยละ 88.12 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 4) นักศึกษาที่ได้เรียนหลักสูตรรายวิชาคอมพิวเตอร์กราฟิก ตามแนวคิดการเรียนรู้โดยใช้ภาระงานเป็นฐานร่วมกับแฟ้มสะสมผลงานอิเล็กทรอนิกส์ มีความพึงพอใจ อยู่ในระดับมาก</p>
ยูละนัน เลืองลิด
ธนานันต์ กุลไพบุตร และ อุษา ปราบหงษ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
1284
1295
-
แนวทางการพัฒนาวิสาหกิจชุมชน เพื่อการดำรงอยู่ของอัตลักษณ์งานไม้แกะสลักและชุมชนถนนสายไม้ อำเภอ สันป่าตอง จังหวัด เชียงใหม่
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/284359
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพในพื้นที่อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ และมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการดำรงอยู่ของอัตลักษณ์งานไม้แกะสลัก และชุมชนถนนสายไม้ 2) วิเคราะห์สภาพ และปัญหาวิสาหกิจชุมชนของชุมชนถนนสายไม้ และ3) นำเสนอแนวทางการพัฒนาวิสาหกิจชุมชน กลุ่มเป้าหมายเป็นช่างแกะสลักไม้ (สล่า) และผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับวิสาหกิจชุมชนถนนสายไม้ จำนวน 16 คน วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นการสัมภาษณ์ และการสนทนากลุ่ม ส่วนการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยในพื้นที่อำเภอ สันป่าตอง จังหวัด เชียงใหม่ พบว่า การดำรงอยู่ของอัตลักษณ์งานไม้แกะสลัก และชุมชนถนนสายไม้ คือ ไม้แกะสลักรูปช้าง ส่วนเรื่องอัตลักษณ์ของชุมชนเป็นวิวัฒนาการของช้างไม้แกะสลักใน 3 ระยะ ได้แก่ 1) ช้างไม้แกะสลักโบราณ 2) ช้างไม้แกะสลักช่วงกำลังพัฒนา และ3) ช้างไม้แกะสลักลีลา ส่วนการวิเคราะห์สภาพ และปัญหาวิสาหกิจชุมชนของชุมชนถนนสายไม้ พบว่า สภาพวิสาหกิจชุมชนในชุมชนถนนสายไม้ที่ดำเนินการอยู่ คือ ศูนย์หัตถกรรมไม้แกะสลัก ตำบลยุหว่า เป็นศูนย์จำหน่ายไม้แกะสลัก และวิสาหกิจชุมชนกาดสล่าเป็นนิติบุคคลจำหน่ายไม้แกะสลัก และการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และปัญหาวิสาหกิจชุมชน คือ บรรจุภัณฑ์ที่ไม่สอดคล้องความต้องการของตลาด และการประชาสัมพันธ์ไม่ตรงกลุ่มนักท่องเที่ยว ส่วนแนวทางการพัฒนาวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่ยังพบอีกว่ามีการพัฒนา สายไม้โมเดลแบ่งออกเป็น 1) การพัฒนาคนในชุมชน 2) การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ผลิตภัณฑ์ช้างไม้แกะสลัก 3) การพัฒนาแผนส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ และ4) การพัฒนาหลักสูตรสำหรับเยาวชนในชุมชน และนักท่องเที่ยวในการแกะสลักไม้</p>
รัศมีวรรณ กนกนุวัตร์
อนุชัย รามวรังกูร
นลินรัตน์ รักกุศล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
1296
1309
-
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการให้คำปรึกษาที่มีประสิทธิภาพสำหรับอาจารย์พยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/273171
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ1) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการให้คำปรึกษาที่มีประสิทธิภาพสำหรับอาจารย์พยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี และ 2) ศึกษาแนวทางการให้คำปรึกษาที่มีประสิทธิภาพสำหรับอาจารย์พยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed methods research) กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้บริหารและอาจารย์พยาบาล 310 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบสอบถามเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อการให้คำปรึกษาที่มีประสิทธิภาพสำหรับอาจารย์พยาบาล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน และการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง ในการสัมภาษณ์ผู้บริหารและอาจารย์ผู้รับผิดชอบงานแนะแนวและให้คำปรึกษา 10 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1.ปัจจัยที่ส่งผลต่อการให้คำปรึกษาที่มีประสิทธิภาพสำหรับอาจารย์พยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ได้แก่ ปัจจัยด้านบุคลากร ด้านระบบและกลไกการพัฒนาอาจารย์ และด้านระบบการบริหารงานการให้คำปรึกษา และ ปัจจัยสนับสนุนประสิทธิภาพทางการให้คำปรึกษาที่มีประสิทธิภาพสำหรับอาจารย์พยาบาล ได้แก่ ปัจจัยด้านนโยบาย ด้านงบประมาณ และด้านสิ่งเกื้อหนุนและอำนวยความสะดวก 2. แนวทางการให้คำปรึกษาที่มีประสิทธิภาพสำหรับอาจารย์พยาบาล มีดังนี้ 1) ด้านบุคลากร กำหนดคุณสมบัติของอาจารย์ที่ปรึกษาให้มีความรู้ ทักษะทางการให้คำปรึกษาและสามารถให้คำแนะนำนักศึกษาได้อย่างถูกต้องและมีความประพฤติเป็นแบบอย่างที่ดีแก่นักศึกษา 2) ด้านระบบและกลไกการพัฒนาอาจารย์ กำหนดหลักการ วัตถุประสงค์ ขั้นตอนการดำเนินงาน ทบทวนความรู้อย่างต่อเนื่อง และมีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในระดับวิทยาลัยและนอกวิทยาลัยในระดับเครือข่ายภาค 3) ด้านระบบการบริหารงานการให้คำปรึกษา กำหนดโครงสร้าง หน้าที่ความรับผิดชอบ ขั้นตอนปฏิบัติงานที่ชัดเจน และนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการบริหารงานการให้คำปรึกษา</p>
คอย ละอองอ่อน
สมบัติ นพรัก, ธิดาวัลย์ อุ่นกอง, และ น้ำฝน กันมา
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-01
2025-08-01
10 2
-
ตะกาฟุล : การประกกันภัยในกล่มุประเทศสมาชิกองค์กรความร่วมมืออิสลาม (โอไอซี)
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/273805
<p>บทความวิจัยเรื่อง ตะกาฟุลการประกันภัยในกลุ่มประเทศสมาชิกองค์การความร่วมมืออิสลาม (โอไอซี) เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยเชิงคุณภาพเรื่อง ตะกาฟุลการประกันภัยในกลุ่มประเทศสมาชิกองค์การความร่วมมืออิสลาม (โอไอซี) เพื่อศึกษาตะกาฟุลการประกันภัยในกลุ่มประเทศสมาชิกองค์การความร่วมมืออิสลาม (โอไอซี) โดยได้ข้อมูลมาจากคัมภีร์อัลกุรอาน อัสสุนนะฮ์ เอกสารที่เกี่ยวข้องในระดับปฐมภูมิ ระดับทุติยภูมิ ระดับตติยภูมิ ผ่านการตรวจสอบ วิเคราะห์ สังเคราะห์อย่างมีระเบียบ และแบ่งข้อมูลออกเป็นหมวดหมู่ หรือหัวข้อ ผลการวิจัยพบว่า ตะกาฟุลการประกันภัยในกลุ่มประเทศสมาชิกองค์การความร่วมมืออิสลาม (โอไอซี) มีแหล่งอ้างอิงเดียวกับกฎหมายอิสลาม (ชะรีอะฮ์ )ได้แก่<strong> </strong>อัลกุรอาน (Al-Quran) อัสสุนนะฮ์ (Al-Sunnah) อัลอิจญ์ติฮาด (Al-Ijtihad) และอัลกิยาส (Al-Qiyas) และมีเป้าหมายเพื่อคุ้มครองด้านศาสนา ชีวิตและร่างกาย สติปัญญา เชื้อสาย และทรัพย์สินหรือทรัพยากร ซึ่งทำให้ตากาฟุลแตกต่างจากการประกันภัยทั่วไปได้แก่ ความหมาย ความเป็นมา ข้อห้าม ประเภท และรูปแบบการบริหารจัดการ</p>
นิพล แสงศรี
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
1325
1338
-
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจสมัครเป็นสมาชิกขายตรงของบริษัท ซูเลียน (ประเทศไทย) จำกัด
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/275485
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) พฤติกรรมการตัดสินใจสมัครเป็นสมาชิกขายตรงของบริษัท ซูเลียน (ประเทศไทย) จำกัด 2) ระดับความพึงพอใจของสมาชิกต่อปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจสมัครเป็นสมาชิก และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยพฤติกรรมของสมาชิกกับปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจดังกล่าว เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แบบสอบถามออนไลน์เก็บข้อมูลจากสมาชิกขายตรงจำนวน 400 ชุด และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยพฤติกรรมของสมาชิกแสดงการยอมรับสิ่งกระตุ้นโดยรวมในระดับมาก โดยเฉพาะสิ่งกระตุ้นจากส่วนประสมการตลาด (4<strong>P) </strong>และสิ่งกระตุ้นอื่น ๆ ซึ่งเรียงลำดับจากมากไปน้อย ได้แก่ ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์ จิตวิทยาและวัฒนธรรม กฎหมายและการเมือง ช่องทางจำหน่าย ราคา การส่งเสริมการขาย และเทคโนโลยี ส่วนปัจจัยด้านเศรษฐกิจอยู่ในระดับปานกลาง 2) ระดับความพึงพอใจของสมาชิกต่อบริษัทโดยรวมอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะด้านคุณภาพสินค้า ภาพลักษณ์องค์กร ความคาดหวัง คุณค่าสินค้า และความภักดีของสมาชิก ยกเว้นด้านการรับฟังข้อเสนอแนะซึ่งอยู่ในระดับปานกลาง 3) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยพฤติกรรมและปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจสมัครสมาชิก พบว่า ระดับการศึกษาและสถานภาพมีความสัมพันธ์กับการตัดสินใจสมัครในระดับความเชื่อมั่น 90% ขณะที่เพศ อายุ ภูมิลำเนา อาชีพ และรายได้ต่อเดือนไม่มีผล นอกจากนี้ กลยุทธ์ด้านราคา การสร้างผู้นำ และการยกย่องนักขาย มีความสัมพันธ์เชิงบวกต่อการตัดสินใจสมัครเป็นสมาชิกที่ระดับความเชื่อมั่น 90% และ 99% ตามลำดับ</p>
พิศิษฐ์ พิภพพรพงศ์
อุทัยรัตน์ เมืองแสน, วุฒิคุณ วรคุปต์รัตนากุล พรทิพย์ แสงจันทร์ และจงกลกร สิงห์โต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-28
2025-04-28
10 2
1339
1350
-
การพัฒนาตัวบ่งชี้การสร้างทีมงานที่มีประสิทธิภาพ ของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/275188
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาตัวบ่งชี้การสร้างทีมงานที่มีประสิทธิภาพ 2) ตรวจสอบความสอดคล้องของโมเดลโครงสร้างกับข้อมูลเชิงประจักษ์ และ 3) จัดทำคู่มือการใช้ตัวบ่งชี้ การวิจัยเป็นแบบผสานวิธี แบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การกำหนดกรอบแนวคิดและพัฒนาตัวบ่งชี้ โดยการศึกษาเอกสาร งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน การสนทนากลุ่มผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 9 คน ระยะที่ 2 การตรวจสอบสมมติฐานการวิจัยกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยการสอบถาม ผู้บริหารและหัวหน้างานบริหารวิชาการ โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 676 คน ได้มา โดยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน ระยะที่ 3 การจัดทำคู่มือการใช้ตัวบ่งชี้ โดยผู้เชี่ยวชาญประเมินความเหมาะสมของคู่มือ จำนวน 5 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย มี 4 ชนิด คือ 1) แบบสัมภาษณ์ 2) แบบบันทึกการสนทนากลุ่มผู้เชี่ยวชาญ 3) แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ 4) แบบประเมินความเหมาะสมของคู่มือการใช้ตัวบ่งชี้ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา การลงมติฉันทานุมัติของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน วิเคราะห์ความเหมาะสมของคู่มือ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) องค์ประกอบการสร้างทีมงานที่มีประสิทธิภาพ มี 6 องค์ประกอบหลัก 27 องค์ประกอบย่อย 126 ตัวบ่งชี้ 2) โมเดลโครงสร้างตัวบ่งชี้ มีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ (c<sup>2</sup><sup> </sup>=29.93, df=31, p-value = 0.52 , c<sup>2</sup>/df = 0.96 , GFI = 1.00 , AGFI = 0.96 ,RMSEA = 0.000) 3) คู่มือการใช้ตัวบ่งชี้การสร้างทีมงานที่มีประสิทธิภาพ มีความเหมาะสมโดยรวมอยู่ในระดับมาก การวิจัยครั้งนี้ พบว่า ผู้บริหารและหัวหน้างานบริหารวิชาการ โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาให้ความสำคัญกับองค์ประกอบหลักด้านการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพเป็นอันดับแรก ควรนำไปใช้เป็นแนวทางการพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมการสร้างทีมงานที่มีประสิทธิภาพต่อไป</p>
สุวิทย์ เพียรชนะ
พย์หิรัญ จันทรักษ์ และ วัลนิกา ฉลากบาง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-28
2025-04-28
10 2
1351
1364
-
การออกแบบและพัฒนาเพื่อการดำรงอยู่ของศิลปหัตถกรรมเครื่องปั้นดินเผาเกาะเกร็ด
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/275822
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและสร้างรูปแบบของผลิตภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผาเกาะเกร็ด รวมถึงศึกษาความพึงพอใจของรูปแบบผลิตภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผาเกาะเกร็ด งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงทดลอง โดยมีทฤษฎีการออกแบบผลิตภัณฑ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ และผู้ประกอบการธุรกิจเครื่องปั้นดินเผาเป็นกลุ่มตัวอย่าง </p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1)ผลมาจากการศึกษาและวิเคราะห์ถึงรูปแบบ ความเป็นมาของเครื่องปั้นดินเผาเกาะเกร็ด เพื่อวิเคราะห์ สังเคราะห์ ทฤษฎี SWOT Analysis ประกอบด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่น ความชำนาญด้านการปั้นของช่างฝีมือ และปัญหาด้านคนรุ่นใหม่ไม่นิยมประกอบอาชีพช่างปั้น และทฤษฎีส่วนผสมทางการตลาด Marketing Mix-4P’s ตลอดจนความแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญและผู้ประกอบการนำมาสรุปผลการออกแบบเครื่องปั้นดินเผาเกาะเกร็ด โดยใช้รูปทรงหม้อน้ำลายวิจิตรมาที่เป็นสัญลักษณ์ของเกาะเกร็ดเป็นแนวทางในการออกแบบ ลวดลายจะนำเอา<strong>ลวดลายของหม้อน้ำลายวิจิตรนำมาประยุกต์ให้มีความ</strong>ร่วมสมัย ผลมาจากการศึกษาและวิเคราะห์ได้รูปแบบผลิตภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผา 3 รูปแบบ รูปแบบที่ 1 กระถางต้นไม้ รูปแบบที่ 2 เป็นอ่างบัว รูปแบบที่ 3 เป็นโคมไฟสนาม รูปทรงและลวดลายของเครื่องปั้นดินเผาเกาะเกร็ด จะเป็นการนำเอาลวดลายดั้งเดิม ของหม้อน้ำลายวิจิตรนำมาพัฒนาตัดทอน ให้มีรูปแบบที่เป็นสมัยนิยมและสามารถผลิตได้ง่ายตลอดจนช่วยลดต้นทุนในการผลิต 2) ผลการประเมินความพึงพอใจผู้เชี่ยวชาญทางด้านออกแบบผลิตภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผา ในภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ดี (M=4.1, S.D .88) ผลการประเมินความพึงพอใจเจ้าของธุรกิจและผู้ประกอบการเครื่องปั้นดินเผา ในภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ดีมาก (M=4.37, SD 0.81) โดยเกณฑ์ประเมินประกอบด้วยด้านกรรมวิธีการผลิต ด้านความสวยงาม ด้านประโยชน์ใช้สอย ด้านความสะดวกสบายในการใช้งาน ด้านการขนส่ง และ ด้านความแข็งแรง</p>
ชุมสิทธิ์ โรจน์สกุลพานิช
ยิ่งยง รุ่งฟ้า และ สมชาย สุพิสาร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-28
2025-04-28
10 2
1365
1375
-
แนวทางการจัดการเรียนการสอนพระปริยัติธรรมในปัจจุบันด้วยนวัตกรรมทางการศึกษาทางไกล
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/274496
<p>การเรียนการสอนเป็นหัวใจหลักสำคัญในการสร้างกระบวนการเรียนรู้ผู้เรียนที่สำคัญที่สุด โดยให้ผู้เรียนเป็นส่วนสำคัญ เพื่อต้องการพัฒนาผู้เรียนให้เป็นไปตามเป้าประสงค์ที่กำหนดไว้โดยการเลือกเนื้อหาสาระที่จะนำมาสอนนั้นจำเป็นต้องคำนึงถึงความยากง่ายให้พอเหมาะกับ ความสามารถของผู้เรียน แต่ในขณะเดียวกัน แนวทางการจัดการเรียนการสอนพระปริยัติธรรมในปัจจุบันด้วยนวัตกรรมทางการศึกษาทางไกล จะเห็นว่าในยุคปัจจุบันการเรียนการสอนพระปริยัติมีความสำคัญต่อหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานของกระทรวงศึกษาธิการ เป็นอย่างมากดังนั้นการเรียนการสอนเพื่อให้ทันยุคสมัย ควรมีการศึกษาทางนวัตกรรมทางไกลด้วยสื่อเทคโนโลยีการเรียนการสอนที่ผู้เรียนและผู้สอนอยู่ไกลกัน ใช้วิธีการถ่ายทอดเนื้อหาสาระและประสบการณ์โดยอาศัยสื่อประสมในหลายรูปแบบ ได้แก่ สื่อที่เป็นหนังสือ สื่อทางไปรษณีย์ ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ วิทยุกระจายเสียง โทรทัศน์ การประชุมทางไกลด้วยภาพและเสียง เพื่อให้ผู้เรียนผู้เรียนมีอิสระในการกำหนดเวลา สถานที่ และวิธีเรียนของตนเอง โดยสามารถเรียนรู้ได้จากแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ที่หลากหลาย มีความสะดวกสบายในการเรียนอีก อีกทั้งลดขั้นตอนที่ทำให้เสียเวลา</p>
พระมหาณรงค์ศักดิ์ สุทนต์
สุพัฒน์ ชัยวรรณ์, พระเจริญพงษ์ วิชัย พระมหาถนอม พิมพ์สุวรรณ์ และ พระมหาพุทธิวงศ์ สุวรรณรัตน์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-28
2025-04-28
10 2
1376
1389
-
การจัดการสิ่งแวดล้อมตามหลักสัปปายะ 7
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/275737
<p>การจัดการสิ่งแวดล้อมที่ประยุกต์หลักธรรมคำสอนในทางพระพุทธศาสนามาใช้กับความเชื่อผสมผสานกับวัฒนธรรมและประเพณีท้องถิ่นหรือภูมิปัญญาชาวบ้านเป็นแนวทางหนึ่งที่มีความน่าสนใจ เพราะคนไทยยึดถือ ศาสนาอย่างดี ความศรัทธาในหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาจะสามารถสร้างจิตสำนึกที่ดีให้เกิดทั้งตัวบุคคล และชุมชนให้มาช่วยกันจัดการสิ่งแวดล้อม พระพุทธศาสนามีวิธีการช่วยแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาเหล่านี้ยิ่งนานวันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น จนกลายเป็นปัญหาระดับโลก สมควรที่ทุกฝ่ายจะต้องถือเป็นหน้าที่รับผิดชอบร่วมกัน ร่วมมือร่วมใจกันแก้ไขปัญหานี้ให้ครบวงจร เพราะเป็นปัญหาแบบลูกโซ่ เป็นหน้าที่ที่จะต้องช่วยเหลือโดยวิธีการที่เหมาะสมตามหลักพระธรรม หลักธรรมที่กล่าวถึงคือ หลักสัปปายะ ในคัมภีร์พุทธศาสนาเถรวาท หมายถึง ที่อยู่อาศัยเป็นที่สบาย แหล่งบิณฑบาตเป็นที่สบาย คำพูดเป็นที่สบาย บุคคลเป็นที่สบาย อาหารเป็นที่สบาย อากาศเป็นที่สบายอิริยาบถเป็นที่สบาย การได้อาศัยสัปปายะทั้ง 7 ประการ เพื่อให้จิตสงบเป็นสมาธิ ดำรงอยู่ด้วยสติ อันก่อให้เกิดความเจริญแห่งกุศลธรรม และช่วยเกื้อหนุนต่อการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา หลักสัปปายะ เป็นหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาที่เน้นในเรื่องของสิ่งแวดล้อมหรือธรรมชาติต่าง ๆ ที่มีผลต่อการดำเนินชีวิตและความเป็นอยู่ของบุคคลในทุกๆด้าน การที่บุคคลอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ย่อมทำให้เกิดผลดีทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา</p>
ธนพัต ปิติวราธนกุล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-28
2025-04-28
10 2
1390
1400
-
ซูเปอร์ฮีโร่ในภาพยนตร์อเวนเจอร์ส: แนวทางการสร้างบุคคลต้นแบบทางสังคมในพุทธปรัชญาเถรวาท
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/278061
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาแนวทางการสร้างบุคคลต้นแบบทางสังคมในพุทธปรัชญาเถรวาท 2) เพื่อศึกษาซูเปอร์ฮีโร่ในภาพยนตร์อเวนเจอร์ส 3) เพื่อวิเคราะห์ซูเปอร์ฮีโร่ในภาพยนตร์อเวนเจอร์ส: แนวทางการสร้างบุคคลต้นแบบทางสังคมในพุทธปรัชญาเถรวาท เป็นการวิจัยเอกสาร โดยศึกษาจากพระไตรปิฎก อรรถกถา ตำรา ภาพยนตร์อเวนเจอร์สภาค 1-4 เอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้องและการสัมภาษณ์เชิงลึก จากนั้นนำข้อมูลที่ได้มาเรียบเรียง จัดหมวดหมู่ วิเคราะห์เนื้อหาพร้อมทั้งนำเสนอตามลำดับ และนำเสนอข้อมูลเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า (1) แนวทางการสร้างบุคคลต้นแบบทางสังคมในพุทธปรัชญาเถรวาท แบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ (1.1) การสร้างบุคคลต้นแบบทางสังคมสงฆ์ และ (1.2) การสร้างบุคคลต้นแบบทางสังคมฆราวาส ด้วยหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีแก่พุทธศาสนิกชนและคนทั่วไป (2) ซูเปอร์ฮีโร่ในภาพยนตร์อเวนเจอร์ส เป็นประเภทที่มีพลังวิเศษจำนวน 12 คน และ เป็นคนธรรมดา จำนวน 7 คน รวมทั้งหมด 19 คน สร้างโดยบริษัท มาร์เวล ไซเมติค ยูนิเวิอร์ส มี 4 ภาค และมีภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้อง 22 เรื่อง ซูเปอร์ฮีโร่มีสิ่งที่เหนือกว่าพลังวิเศษ คือ คุณธรรม มี 134 ข้อ ซึ่งตรงกับหลักธรรมทางพุทธปรัชญาเถรวาท (3) ซูเปอร์ฮีโร่ในภาพยนตร์อเวนเจอร์ส: แนวทางการสร้างบุคคลต้นแบบทางสังคมในพุทธปรัชญาเถรวาท มีความต่างกัน 2 ข้อ คือ (1) วิธีจัดการปัญหา (2) เป้าหมายสูงสุด และเหมือนกัน 2 ข้อ คือ (1) เป็นคนดีมีคุณธรรม (2) แนวทางการสร้างบุคคลต้นแบบ จากการวิจัยทำให้เกิดองค์ความรู้ Model 5ส (SPBSS) ได้แก่ ส ที่ 1 แสวงหา (Seek) คือ การแสวงหาคนดีมีคุณธรรม ส ที่ 2 สร้าง (Build) คือ สร้างเป็นบุคคลต้นแบบ ส ที่ 3 ส่งเสริม (Promote) คือ ส่งเสริมให้โอกาส ส ที่ 4 สนับสนุน (Support) คือ สนับสนุนต่อยอด และ ส ที่ 5 สำเร็จ (Succeed) คือ สำเร็จด้วยการปฏิบัติ</p>
ประเสริฐ ชมพรมมา
ประยงค์ แสนบุราณ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-28
2025-04-28
10 2
1401
1414
-
STRATEGY DEVELOPMENT OF LEISURE SPORTS TO PROMOTE THE QUALITY OF LIFE FOR PUTIAN UNIVERSITY STUDENTS
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/278845
<p>-</p>
Lizhi Liu
Wanwisa Bungmark
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
1415
1428
-
การศึกษาความสามารถทางด้านการคิดวิเคราะห์ เรื่อง พื้นที่ผิวและปริมาตร โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking Process) ของนักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/278211
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ เรื่อง พื้นที่ผิวและปริมาตร โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการคิดเชิงออกแบบ กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 34 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง พื้นที่ผิวและปริมาตร ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการคิดเชิงออกแบบ แบบทดสอบวัดความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ ใบงาน และใบกิจกรรม เรื่อง พื้นที่ผิวและปริมาตร สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า ความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ เรื่อง พื้นที่ผิวและปริมาตร หลังได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการคิดเชิงออกแบบของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 ของคะแนนเต็ม โดยนักเรียนส่วนใหญ่มีความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์อยู่ในระดับดีมาก ทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการวิเคราะห์เนื้อหา ด้านการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ และด้านการวิเคราะห์หลักการ</p>
พิมพ์พิไล แหล่งหล้า
ชนิศวรา เลิศอมรพงษ์ และ ชานนท์ จันทรา
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
1429
1443
-
บางกระทุ่มน่าอยู่ : ยุทธศาสตร์การเสริมสร้างชุมชนน่าอยู่ และสร้างสรรค์อย่างยั่งยืนตามแนวพระพุทธศาสนา
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/276275
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพบริบททั่วไป และวิเคราะห์จุดเด่น จุดด้อย โอกาสและอุปสรรคของชุมชนในอำเภอบางกระทุ่ม จังหวัดพิษณุโลก ในการเสริมสร้างชุมชนน่าอยู่และสร้างสรรค์ 2) เพื่อพัฒนาชุมชนในอำเภอบางกระทุ่ม จังหวัดพิษณุโลก ให้เป็นชุมชนน่าอยู่และสร้างสรรค์อย่างยั่งยืนตามแนวพระพุทธศาสนา และ 3) เพื่อเสนอยุทธศาสตร์การเสริมสร้างชุมชนน่าอยู่และสร้างสรรค์อย่างยั่งยืนตามแนวพระพุทธศาสนาของชุมชนในอำเภอบางกระทุ่ม จังหวัดพิษณุโลก การวิจัยเชิงคุณภาพ ได้ศึกษาแนวคิดการพัฒนาเป็นกรอบการวิจัย ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ คือ กลุ่มองค์กร ปราชญ์ชุมชนและเครือข่ายเอกชน จำนวน ๔๐ ท่าน ใช้วิธีคัดเลือกการสุ่มแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบการสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้วิเคราะห์เนื้อหาแล้วเขียนบรรยายเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า 1) มีชุมชนตัวอย่างที่สามารถพัฒนาให้เป็นชุมชนน่าอยู่และสร้างสรรค์อย่างยั่งยืนตามแนวพระพุทธศาสนาได้ จำนวน 4 ชุมชน ได้แก่ ชุมชนบ้านท่าตาล ชุมชนบ้านสามเรือน ชุมชนบางกระทุ่ม และชุมชนบ้านสนามคลีตะวันตก และชุมชนในอำเภอบางกระทุ่มมีศักยภาพสามารถพัฒนาและเสริมสร้างเป็นชุมชนน่าอยู่และสร้างสรรค์ได้ 2) การพัฒนาชุมชนในอำเภอบางกระทุ่ม จังหวัดพิษณุโลก ให้เป็นชุมชนน่าอยู่และสร้างสรรค์อย่างยั่งยืนตามแนวพระพุทธศาสนานั้น มีแนวทางการพัฒนาและสร้างสรรค์ด้านต่างๆ คือ สร้างสรรค์ชุมชนให้น่าอยู่ด้านสุขภาพ ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านสังคม ด้านเศรษฐกิจ โดยใช้หลักสัปปายะ 7 เป็นหลักพุทธธรรมในการบูรณาการ 3) กลยุทธ์การจัดการเชิงยุทธศาสตร์ 4 กลยุทธ์ คือ กลยุทธ์การพัฒนาด้านสุขภาพ กลยุทธ์การพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อม กลยุทธ์การพัฒนาด้านสังคม และกลยุทธ์การพัฒนาด้านเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการเสริมสร้างชุมชนในอำเภอบางกระทุ่มให้เป็นชุมชนน่าอยู่และสร้างสรรค์อย่างยั่งยืนตามแนวพระพุทธศาสนา</p>
ณัฏยาณี บุญทองคำ
จุมพต อ่อนทรวง
กษิดิศร์ ชื่นวิทยา
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
1444
1457
-
กลยุทธ์การปรับตัวเชิงบริหารธุรกิจโรงแรมของภาคธุรกิจอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวยุควิถีปกติใหม่
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/277360
<p>งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อวิเคราะห์ความต้องการของประชาชนต่อการพัฒนาธรรมนูญตำบลเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ในการพัฒนาประชาธิปไตยชุมชน ในอำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ 2) เพื่อศึกษากระบวนการพัฒนาธรรมนูญตำบลเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ในการพัฒนาประชาธิปไตยชุมชนอย่างมีส่วนร่วมในอำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ 3) เพื่อพัฒนาเครือข่ายการจัดการเรียนรู้และสารสนเทศธรรมนูญตำบลเพื่อขับเคลื่อนประชาธิปไตยชุมชน ในอำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี ระหว่างวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ มีเครื่องมือวิจัย คือ จากแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ โดยมีกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 400 คน ที่มาจากการคำนวนขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรของทาโร่ ยามาเน่ (1973) และกลุ่มเป้าหมาย จำนวน 30 คน ที่มาจากการเลือกแบบเจาะจง โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ประกอบด้วย ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ และเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องมาวิเคราะห์แบบเชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) ระดับความคิดเห็นของประชาชนต่อความต้องการพัฒนาธรรมนูญตำบลเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ในการพัฒนาประชาธิปไตยชุมชน โดยรวมอยู่ในระดับมาก (=3.67) 2)กระบวนการพัฒนาธรรมนูญตำบลเพื่อพัฒนาประชาธิปไตยชุมชนอย่างมีส่วนร่วมในอำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ ได้แก่ สร้างการรับรู้แบบมีส่วนร่วมในการพัฒนาธรรมนูญตำบล เปิดโอกาสให้มีการเสนอปัญหาและความต้องการของชุมชน การวิเคราะห์ปัญหาและความต้องการของชุมชน กำหนดประเด็นในการยกร่างธรรมนูญตำบล กำหนดแนวทางการยกร่างธรรมนูญตำบล การจัดทำบันทึกข้อตกลงร่วมกันและการยกร่างธรรมนูญตำบล 3) การพัฒนาธรรมนูญตำบลเพื่อขับเคลื่อนประชาธิปไตยชุมชน ทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคประชาชนและหน่วยงานต่างๆ มีการบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและชุมชน และมีการบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงาน เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมและข้อปฏิบัติในการอยู่ร่วมกัน</p>
อุษณีย์ ด่านกลาง
มณีกัญญา นากามัทสึ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-28
2025-04-28
10 2
1458
1472
-
การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชน เพื่อส่งเสริมความฉลาดรู้คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/277385
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างและประเมินประสิทธิภาพของกิจกรรมการเรียนรู้แบบ มีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชน เพื่อส่งเสริมความฉลาดรู้คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย ให้มีประสิทธิภาพ ตามเกณฑ์ 75/75 2) เปรียบเทียบความฉลาดรู้คณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังเรียนด้วยกิจกรรม การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชน เพื่อส่งเสริมความฉลาดรู้คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย การวิจัยในครั้งนี้ใช้กระบวนการวิจัยและพัฒนา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นอนุบาล 3 โรงเรียนบ้านซับสมบูรณ์ จำนวน 8 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย กิจกรรมการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชน แผนประกอบกิจกรรมเรียนรู้ จำนวน 20 แผน แบบประเมินความฉลาดรู้คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย จำนวน 7 สถานการณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติ Nonparametric ของ Wilcoxon และหาค่าประสิทธิภาพของ กิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้สูตร E<sub>1</sub>/E<sub>2 </sub></p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) กิจกรรมการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชน มี 4 ขั้นตอน คือ ขั้นที่ 1 ขั้นการมีส่วนร่วมในการวางแผน ขั้นที่ 2 ขั้นการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติ ขั้นที่ 3 ขั้นการมีส่วนร่วมในการประเมินผล และขั้นที่ 4 ขั้นการมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์ โดยมีความเหมาะสมของกิจกรรมการเรียนรู้อยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย 4.90 และความเหมาะสมของแผนประกอบกิจกรรมการเรียนรู้อยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย 4.67 และมีประสิทธิภาพเท่ากับ 76.85/75.66 2) ผลการเปรียบเทียบกิจกรรมการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชน พบว่า ความฉลาดรู้คณิตศาสตร์ของนักเรียน หลังเรียนด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
รัชฏาภรณ์ ยะตุ้ย
อังคณา อ่อนธานี
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-13
2025-04-13
10 2
1473
1485
-
การศึกษาความต้องการในการเรียนภาษาอังกฤษเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะทางวิศวกรรมศาสตร์ ของนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/277707
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาภูมิหลังด้านความสามารถทางภาษาอังกฤษ ความสนใจ ความสำคัญ และความคาดหวังทางภาษาต่อรายวิชาภาษาอังกฤษเฉพาะทางวิศวกรรมศาสตร์ 2) เพื่อศึกษาความจำเป็นและความต้องการในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษสำหรับวิศวกร และ 3) เพื่อศึกษาความคิดเห็นในการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจโดยผู้วิจัยได้ศึกษาทฤษฎีการสำรวจความต้องการการเรียนรู้เพื่อเป็นกรอบการวิจัย กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ จำนวน 200 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย และมีผู้ให้ข้อมูลสำคัญ รวม 15 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 2 ชนิด คือ 1) แบบสอบถาม และ 2) แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งมีโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ สถิติพื้นฐานได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย (x̅) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) นักศึกษาส่วนใหญ่มีความสามารถทางภาษาตามเกณฑ์ CEFR อยู่ในระดับ A2 มีความสนใจในรายวิชาฯอยู่ในระดับ สนใจ ให้ระดับความสำคัญของรายวิชาฯ อยู่ในระดับ สำคัญเท่าวิชาอื่น และมีความคาดหวัง ในระดับ มากที่สุด ด้านการขยายคำศัพท์เฉพาะทางมากขึ้น 2) ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ลงความเห็นด้านเนื้อหาที่จำเป็นต้องเรียนรู้ ในระดับมากที่สุด คือ ความปลอดภัยในการทำงาน และนักศึกษาลงความเห็นว่า ทักษะการอ่าน เป็นทักษะที่ต้องการเรียนรู้มากที่สุด 3) นักศึกษาพึงพอใจที่เพื่อนร่วมชั้นประเมินให้แบบผลัดกัน อยู่ในระดับพึงพอใจมาก ผลการวิจัยที่สำรวจพบนี้จะเป็นประโยชน์ในการออกแบบรายวิชา การพัฒนาสื่อการเรียนการสอนเพื่อใช้ฝึกทักษะทางภาษาอังกฤษเฉพาะทางให้สอดคล้องกับความต้องการการเรียนรู้ของนักศึกษาและตลาดแรงงานด้านวิศวกรรมศาสตร์</p>
ภาคิม เก้าเอี้ยน
ประไพศรี โห้ลำยอง และ ภัทรียา รวยสำราญ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-25
2025-04-25
10 2
1486
1499
-
สภาพและแนวทางการพัฒนาสมรรถนะ ผู้บริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรมตามแนวปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/273244
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1)เพื่อศึกษาสภาพสมรรถนะผู้บริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรม และ 2.)เพื่อการพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรมระเบียบวิธีวิจัยเป็นการวิจัยแบบMixed Methods Research โดยวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือเก็บข้อมูลภาคสนามจากผู้บริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรม จำนวน 408 รูป วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้โดยหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิจัยเชิงคุณภาพมีการวิเคราะห์เอกสาร และใช้แบบสัมภาษณ์เป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูลภาคสนามจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 12 รูปหรือคน และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยเทคนิคการวิเคราะห์เนื้อหาประกอบบริบทผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพสมรรถนะผู้บริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรม ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน สมรรถนะประจำตัวบุคคล มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด รองลงมา คือสมรรถนะประจำสายงาน และสมรรถนะหลักมีค่าเฉลี่ยต่ำสุด และ 2) แนวการพัฒนาเกี่ยวกับสมรรถนะ โดยผู้วิจัยได้ศึกษาแนวทางการพัฒนาสมรรถนะผู้บริหาร ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มีวิธีการพัฒนา 11 วิธีการพัฒนา คือ (1)การศึกษาค้นคว้าและแสวงหาความรู้เกี่ยวกับสมรรถนะหลัก สมรรถนะประจำสายงานและสมรรถนะประจำบุคคล ที่สำคัญและจำเป็นต่อการบริหารจัดการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรมด้วยตนเอง (2)การเรียนรู้จากการทำงานในหน้าที่ของตน ที่ได้ดำรงตำแหน่งหรือได้รับจาdผู้บังคับบัญชา (3)เข้ารับการฝึกอบรมพัฒนาและการศึกษาหลักสูตรที่สถานบันพัฒนาผู้บริหารหรือหน่วยงานต่างๆจัดขึ้น (4)ศึกษาดูงานและแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้บริหารโรงเรียนต้นแบบ (Best Practice) (5)เรียนรู้จากประสบการณ์โดยตรงในการทำงานของตนเอง (6)แลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้วยกระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (7)การเขียนรายงานสรุปองค์ความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับการปฏิบัติที่เป็นเลิศ (8)การจัดทำแผนพัฒนา (9)การศึกษาอย่างไม่เป็นทางการ (10)การศึกษาอย่างเป็นทางการ (11)การประชุมเชิงปฏิบัติการ โดยผ่านกระบวนการ SPDCA</p>
พระปลัดพงศธร ประมวลการ
สมบัติ นพรัก, ธิดาวัลย์ อุ่นกอง และ น้ำฝน กันมา
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-25
2025-04-25
10 2
1500
1510
-
การรับรู้ความสำคัญของสปาผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้าและความต้องการปัจจัยการบริการ นวดไทยและสปาเพื่อการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมของผู้สูงอายุ
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/278879
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์การรับรู้ความสำคัญของสปาผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า และ 2) วิเคราะห์ความต้องการปัจจัยบริการเพื่อใช้บริการนวดไทยและสปาเพื่อการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมของผู้สูงอายุ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ได้ศึกษาการออกแบบสปาเพื่อตอบสนองประสาทสัมผัสทั้งห้าและมาตรฐานการบริการสปาเป็นกรอบการวิจัย กลุ่มตัวอย่างผู้สูงอายุจำนวน 400 คน คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามและวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพื้นฐานเพื่อหาค่าเฉลี่ย</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) การรับรู้ความสำคัญของสปาผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการมีร่างกายสมบูรณ์ ปราศจากโรค จิตใจแจ่มใส มากที่สุด รองลงมา คือ บรรยากาศเงียบสงบ ผ่อนคลาย และ การนวดช่วยให้ระบบประสาททำงานดีขึ้น ตามลำดับ 2) ความต้องการปัจจัยบริการเพื่อใช้บริการนวดไทยและสปาเพื่อการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมของผู้สูงอายุ มี 5 ด้าน มีความต้องการปัจจัยบริการด้านผู้ให้บริการมากที่สุด รองลงมาคือ ด้านการจัดองค์การ ด้านผลิตภัณฑ์ เครื่องมือ อุปกรณ์ ด้านการให้บริการ และ ด้านสถานที่ สิ่งแวดล้อม ตามลำดับ</p> <p>ข้อค้นพบจากการวิจัย คือ ผู้สูงอายุให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม มีการรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า คือ ด้านรูปเน้นบรรยากาศของสถานที่ ด้านรสเน้นการมีเครื่องเพื่อขับสารพิษ ด้านกลิ่นเน้นกลิ่นหอมช่วยผ่อนคลาย ด้านเสียงเน้นการมีเสียงเพลง น้ำตก นกร้อง ช่วยผ่อนคลาย และ ด้านสัมผัสเน้นการนวดช่วยระบบประสาททำงานดีขึ้น</p>
ปรียานุช ดวงละออ
สุมาลี นันทศิริพล
ดารีนา ใจเสรี
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-25
2025-04-25
10 2
1511
1524
-
A COMPARATIVE STUDY OF THE THEORIES OF MEANING OF ADVAITA VEDANTA INDIAN PHILOSOPHY OF LANGUAGE AND LUDWIG WITTGENSTEIN WESTERN PHILOSOPHY OF LANGUAGE
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/278454
<p>This research is a documentary research based on information culled out from the relevant texts and works of Ludwig Wittgenstein and Advaita Vedanta philosophy focusing on their theory of the meaning. This research has two objectives 1.) to study the theory of meaning of Advaita Vedanta Indian Philosophy of Language and Ludwig Wittgenstein Philosophy of Language 2) to compare the similarities and the differences between the theory of meaning of Advaita Vedanta Indian Philosophy of Language and Ludwig Wittgenstein Philosophy of Language. This research sought to elucidate and contrast the philosophical perspectives on language between Wittgenstein and Advaita Vedanta. It aimed to provide a thorough and organized analysis to gain a deeper understanding of their respective views on language and meaning. Its objective was to utilize the prior examination of language and significance to enhance the utilization of language when depicting Reality, notably in the realms of philosophy and religion. Three methods are employed in preparing this research viz., analytical, comparative, and critical methods. These methods are used to systematically analyze meaning theory and problem, while also examining the merits and demerits of related concepts. The study reveals Wittgenstein's theory of meaning is based on logical analysis and linguistic philosophy, suggesting that language organization mirrors reality. Advaita Vedanta's theory, on the other hand, is a metaphysical and spiritual perspective, focusing on the essential identity between the soul and ultimate reality.</p>
Prasarn Lao-aruen
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-28
2025-04-28
10 2
1525
1539
-
การพัฒนาทักษะการอ่านคำที่มีตัวการันต์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสมองเป็นฐานร่วมกับการจัดการเรียนรู้ที่เสริมสร้างทักษะ การเรียนรู้แบบนำตนเองเชิงสร้างสรรค์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/277539
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านคำที่มีตัวการันต์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 3 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสมองเป็นฐานร่วมกับการจัดการเรียนรู้ที่เสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ แบบนำตนเองเชิงสร้างสรรค์ โดยให้มีนักเรียนจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 80 ขึ้นไป เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ กลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวัดโนนสำราญ จำนวน 10 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 3 ประเภท ได้แก่ 1) เครื่องมือที่ใช้ในการปฏิบัติการวิจัย คือ แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสมองเป็นฐานร่วมกับการจัดการเรียนรู้ที่เสริมสร้างทักษะการเรียนรู้แบบ นำตนเองเชิงสร้างสรรค์ 2) เครื่องมือที่ใช้ในการสะท้อนผลการปฏิบัติการ คือ แบบบันทึกการสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียน แบบบันทึกการสังเกตพฤติกรรมการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของครู แบบบันทึกผลการจัดการเรียนรู้ และแบบทดสอบวัดความสามารถด้านทักษะการอ่านคำที่มีตัวการันต์ท้ายวงจรปฏิบัติการ และ 3) เครื่องมือที่ใช้ในการวัดและประเมินผลการวิจัย คือ แบบทดสอบวัดความสามารถด้านทักษะการอ่านคำที่มีตัวการันต์ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ โดยหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และร้อยละ ส่วนข้อมูล เชิงคุณภาพ วิเคราะห์ข้อมูลและสรุปเป็นความเรียงด้วยการพรรณนาวิเคราะห์ ผลวิจัย พบว่า การพัฒนาทักษะการอ่านคำที่มีตัวการันต์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสมองเป็นฐานร่วมกับการจัดการเรียนรู้ที่เสริมสร้างทักษะการเรียนรู้แบบนำตนเองเชิงสร้างสรรค์ นักเรียนร้อยละ 90.00 ผ่านเกณฑ์การพัฒนาทักษะการอ่านคำที่มีตัวการันต์คิดเป็นร้อยละ 88.00 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด</p>
อาริญา ศรีสวัสดิ์
ดนิตา ดวงวิไล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-12
2025-03-12
10 2
1540
1554
-
การพัฒนาความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก ของเด็กปฐมวัยที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา โดยการจัดประสบการณ์ร่วมกับกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/276956
<p>วิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาการจัดประสบการณ์ร่วมกับกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ในการพัฒนาความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กของเด็กปฐมวัยที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา 2) เพื่อศึกษาผลของการจัดประสบการณ์ร่วมกับกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ในการพัฒนาความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กของเด็กปฐมวัยที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา โดยให้นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 และมีจำนวนนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 ขึ้นไป รูปแบบการวิจัยเป็นแบบการวิจัยเชิงทดลองขั้นต้น แบบกลุ่มเดียวทดสอบหลังเรียน กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา อายุ 4-6 ปี ศึกษาอยู่ศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดนครพนม ห้องเตรียมความพร้อม โดยเลือกแบบเจาะจง จำนวน 3 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วยกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ และ แบบประเมินความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลการพัฒนาการจัดประสบการณ์ร่วมกับกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ในการพัฒนาความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กของเด็กปฐมวัยที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา มีค่าความเหมาะสมมากที่สุด ( = 4.73, S.D. = 0.52) 2. ผลของการจัดประสบการณ์ร่วมกับกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ในการพัฒนาความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กของเด็กปฐมวัยที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ย 10.67 คิดเป็นร้อยละ 88.89 และมีจำนวนนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์จำนวน 3 คน คิดเป็นร้อยละ 100 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้</p>
พานทอง ชุยรัมย์
ศิริพงษ์ เพียศิริ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-26
2025-04-26
10 2
1555
1568
-
อาวุโสฟรีแลนซ์: การเสริมสร้างระบบและกลไกส่งเสริมอาชีพอิสระของผู้สูงอายุตำบลบ้านป้อม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ระยะที่ 2
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/274581
<p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระบบและกลไกการเสริมสร้างอาชีพอิสระของผู้สูงอายุ 2) ออกแบบการดำเนินกิจกรรมเชิงพื้นที่เพื่อลดความเหลื่อมล้ำของผู้สูงอายุ กรณีศึกษา ตำบลบ้านป้อม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 3) พัฒนาศักยภาพการเรียนรู้การบริหารจัดการรระบบและกลไกในการส่งเสริมอาชีพอิสระของผู้สูงอายุ เป็นการวิจัยแบบชุมชนเป็นฐาน (CBR) โดยใช้กระบวนการวิจัยแบบมีส่วนร่วม (PAR)</p> <p>ผลการวิจัย ตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 1 ดังนี้ ในระบบภูมิปัญญาดั้งเดิมกับวิถีชีวิตมีความสัมพันธ์กัน โดยภูมิปัญญาด้านอาหารเป็นองค์ความรู้ที่ใช้ในการทำอาหารที่ผ่านการคิดค้นขึ้นมาของคนโบราณ เพื่อให้เข้ากับภูมิอากาศภูมิประเทศ วัตถุดิบที่ใช้ในการประกอบปรุงอาหาร ส่วนใหญ่เป็นพืชสมุนไพรในครัวเรือน และภูมิปัญญานี้ถูกถ่ายทอดผ่านวิถีชีวิตจากรุ่นสู่รุ่น กลไกในการส่งเสริมอาชีพอิสระผู้สูงอายุบ้านป้อม มี 3 ระดับ คือ (1) กลไกภายนอก ได้แก่ วัดท่าการ้อง วัฒนธรรมจังหวัด เกษตรอำเภอพัฒนาชุมชน และทีมวิจัย (2) กลไกภายใน ได้แก่ กลุ่มผู้สูงอายุที่เป็นผู้นำ และผู้ตาม (3) กลไกในภายใน ได้แก่ กลไกความเป็นมนุษย์ กลไกแห่งความตระหนักรู้คุณค่าของความเป็นผู้สูงอายุ และกลไกที่สำคัญคือใจ ที่จะดำรงชีวิตอยู่อย่างมีคุณค่ามีความหมายและมีความสุขในทุกวัน ระบบในการส่งเสริมอาชีพอิสระผู้สูงอายุบ้านป้อม มี 2 ระบบ ได้แก่ (1) ระบบภายนอก ได้แก่ ความสัมพันธ์ของระบบภูมิปัญญาและวิถีชีวิตดั้งเดิม ระบบความสัมพันธ์ของผู้สูงอายุกับหน่วยงานในพื้นที่ ระบบความสัมพันธ์ของผู้สูงอายุกับทีมวิจัย (2) ระบบภายใน ได้แก่ ความภาคภูมิใจ ใจเปิด การเห็นคุณค่าของตนเอง (self-esteem) การได้รับการยอมรับจากชุมชน และการดำรงชีวิตอย่างมีความหมาย</p> <p>ผลการวิจัย ตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 2 ดังนี้ ออกแบบการดำเนินกิจกรรมเชิงพื้นที่มีความร่วมมือ 3 ระดับ (1) ความร่วมมือในการเรียนรู้ และร่วมพัฒนาของชุมชน (2) ความร่วมมือ และการเรียนรู้ร่วมกับโหนด CBR (3) ความร่วมมือกับภาคีเครือข่าย นอกจากนี้ทีมวิจัยทำการออกแบบให้ผู้สูงอายุได้รู้จักตนเองผ่าน 3รู้ “รู้จักตนเอง (self-awareness)- รู้จักความสามารถของตน (self-efficacy)-รู้ที่จะภาคภูมิใจในตนเอง (self-esteem)” ทำการวิเคราะห์ตนเองให้เห็นพลังของชุมชนผ่านหลัก “RQ-พลังชุมชน-3I” ได้แก่ I have-I am-I can และทำการออกแบบกิจกรรมตามแผนชุมชน</p> <p>ผลการวิจัย ตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 3 ดังนี้ การวิจัยในครั้งนี้ใช้กระบวนการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในชุมชนบ้านป้อมในมิติของผู้สูงอายุ ให้สามารถพึ่งตนเองได้ ลดรายจ่ายในครัวเรือน และมีรายได้เสริมผ่านการฟื้นฟูอาหารภูมิปัญญา เพื่อเพิ่มคุณค่า และศักดิ์ศรีปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมกับชุมชนและภาคีเครือข่ายในพื้นที่โดย มี 4 กระบวนการ ดังนี้ กระบวนการสร้างคน กระบวนการสร้างความรู้ กระบวนการสร้างการเรียนรู้ และกระบวนการใช้ความรู้ และมีพลังในการเสริมเสริมทำให้เกิด “จากฟรีแลนซ์ สู่ฟรีแลนด์ สู่อิสระภาพของผู้สูงอายุ ที่เน้น “สร้างสุข-เสริมรายได้” 4 พลังได้แก่ พลังแห่งการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง พลังแห่งกัลยาณมิตร (ภาคีเครือข่าย) พลังแห่งการร่วมปฏิบัติการ สร้างสุข-เสริมอาชีพ และพลังแห่งการรวมกลุ่ม</p>
พุทธชาติ แผนสมบุญ
โกศล จึงเสถียรทรัพย์
พระมหาประกาศิต ฐิติปสิทธิกร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
1569
1581
-
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความพึงพอใจในการให้บริการค้นหาอาชีพที่เหมาะสมผ่านการสแกนลายนิ้วมือของลูกค้า บริษัท เบรนเท็น สแกน จำกัด
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/278899
<ol> <li class="show"> <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัญหาของปัจจัยที่ส่งผลต่อความพึงพอใจในการให้บริการค้นหาอาชีพที่เหมาะสมผ่านการสแกนลายนิ้วมือของลูกค้าบริษัท เบรนเท็น สแกน 2) เปรียบเทียบระดับปัจจัยที่ส่งผลต่อความพึงพอใจในการให้บริการดังกล่าว และ 3) เสนอแนะปัจจัยที่ควรคำนึงถึงเพื่อพัฒนาการให้บริการ การวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ ลูกค้าของบริษัทจำนวน 600 คน ซึ่งใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ผลการวิจัยพบว่า น้ำหนักเฉลี่ยด้านสภาพปัญหาของปัจจัยที่ส่งผลต่อความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง โดยด้านความพึงพอใจและด้านการค้นหาอาชีพมีน้ำหนักเฉลี่ยสูงที่สุดเป็นอันดับต้น ๆ ขณะที่ด้านการสแกนลายนิ้วมือเป็นด้านที่มีน้ำหนักเฉลี่ยต่ำที่สุด ซึ่งอยู่ในระดับปานกลางเช่นกัน นอกจากนี้ การวิเคราะห์น้ำหนักเฉลี่ยของปัจจัยทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ ด้านความพึงพอใจ ด้านการค้นหาอาชีพ และด้านการสแกนลายนิ้วมือ พบว่าทั้งหมดอยู่ในระดับปานกลางเช่นกัน แต่เมื่อพิจารณาเฉพาะปัจจัยย่อย พบว่าความพึงพอใจและการค้นหาอาชีพเป็นด้านที่ส่งผลต่อความพึงพอใจในระดับมากและปานกลางตามลำดับ ขณะที่ด้านการส่งเสริมความมั่นคงทางการเงินอยู่ในระดับต่ำที่สุด</p> <p> เมื่อพิจารณาในภาพรวมของปัจจัยทั้ง 5 ด้าน พบว่าอยู่ในระดับปานกลาง โดยปัจจัยด้านการค้นหาอาชีพที่เหมาะสมมีน้ำหนักเฉลี่ยสูงสุดในระดับมาก รองลงมาคือ ความพึงพอใจ ซึ่งอยู่ในระดับปานกลาง สำหรับด้านการสแกนลายนิ้วมือและด้านความรู้ต่าง ๆ มีน้ำหนักเฉลี่ยในระดับปานกลางทั้งหมด ผลการวิจัยสะท้อนให้เห็นถึงแนวทางการปรับปรุงคุณภาพการให้บริการของบริษัทในการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าอย่างเหมาะสม</p> </li> </ol>
กชมล รัตนพรพรม
ธัศฐ์ชาพัฒน์ ยุกตานนท์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-10
2025-04-10
10 2
1582
1592
-
สภาพและแนวทางการบริหารโรงเรียนในยุคดิจิทัล ของมูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/273254
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพและแนวทางการบริหารโรงเรียนในยุคดิจิทัลของมูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทย เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ได้ศึกษาทฤษฎีระบบของ Kimberly, Miller & Rice, มาสังเคราะห์เป็นกรอบการวิจัย ผู้ให้ข้อมูลสำคัญคือ ผู้อำนวยการโรงเรียนและรองผู้อำนวยการโรงเรียน 4 ฝ่าย จำนวน 5 แห่ง รวมทั้งสิ้น 25 คน โดยใช้วิธีคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ การสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้วิเคราะห์เนื้อหาแล้วเขียนบรรยายเชิงพรรณนา จากการวิจัยพบว่า 1) การบริหารงานวิชาการ มีการสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีและการเรียนรู้ออนไลน์ในการเรียนรู้ มีการใช้ข้อมูลเพื่อปรับปรุงการจัดการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพในยุคเทคโนโลยีดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว 2) การบริหารงานบุคคล มีการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวอยู่เสมอเพื่อตอบสนองกับสังคมและเทคโนโลยี โดยให้บุคลากรสามารถเติบโต พัฒนาตนเองได้อย่างเหมาะสมและเป็นประโยชน์สูงสุด 3) การบริหารงานงบประมาณ มีการใช้เทคโนโลยีในการบริหารจัดการด้านงบประมาณ การติดตามและวางแผนเพื่อให้สามารถจัดการงบประมาณในรูปแบบที่มีประสิทธิภาพและสนับสนุนการเรียนรู้แบบดิจิทัลได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ 4) การบริหารงานทั่วไป เป็นการนำทางการบริหารโรงเรียนไปสู่การปฏิบัติจริง เพื่อให้วิสัยทัศน์และแผนการดำเนินการของโรงเรียนบรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ. ข้อค้นพบจากงานวิจัย สภาพและแนวทางการบริหารโรงเรียนในยุคดิจิทัลของมูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทย สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับสภาพและแนวทางการบริหารโรงเรียนในยุคดิจิทัล ซึ่งมีการนำเทคโนโลยีและสื่อดิจัทัลมาช่วยในการบริหารโรงเรียนตามการเปลี่ยนแปลงของโลกปัจจุบัน</p>
กิตติพงษ์ เกษโสภณ
สันติ บูรณะชาติ, สมบัติ นพรัก, และน้ำฝน กันมา
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-29
2025-04-29
10 2
1593
1605
-
แนวทางการบริหารสัญญาจ้างก่อสร้างเพื่อลดข้อพิพาท ระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ในประเทศไทย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/279347
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสาเหตุและลักษณะของข้อพิพาทในสัญญาจ้างก่อสร้างระหว่างภาครัฐและเอกชน 2) วิเคราะห์ปัจจัยสำคัญในการบริหารสัญญาที่สามารถลดโอกาสการเกิดข้อพิพาท และ 3) เสนอแนะแนวทางการบริหารสัญญาจ้างก่อสร้างที่มีประสิทธิภาพในบริบทของประเทศไทย โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน ประกอบด้วยการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ 18 คน ตามเทคนิคเดลฟาย และการสำรวจเชิงปริมาณโดยแบบสอบถาม จากกลุ่มตัวอย่างผู้บริหาร และวิศวกรของบริษัทผู้รับเหมา จำนวน 285 ราย วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เชิงธีม และสถิติเชิงพรรณนาและอนุมาน ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าดัชนีความสำคัญสัมพัทธ์ (RII) และการทดสอบสมมติฐาน ผลการวิจัย พบว่า สาเหตุข้อพิพาทหลัก ได้แก่ ความล่าช้าในการส่งมอบงาน การเบิกจ่ายเงินล่าช้า การเปลี่ยนแปลงงานก่อสร้าง และการตีความข้อสัญญาที่คลุมเครือ ปัจจัยที่มีผลต่อการลดข้อพิพาท ได้แก่ ความชัดเจนของเอกสารสัญญา ความสามารถของเจ้าของงานและที่ปรึกษา และการสื่อสารระหว่างคู่สัญญา งานวิจัยได้สังเคราะห์กรอบแนวทาง 5 ด้าน เพื่อป้องกันข้อพิพาท ได้แก่ 1) การวางแผนสัญญาที่รัดกุม 2) ระบบการสื่อสารที่โปร่งใส 3) กลไกแจ้งเตือนและจัดการปัญหาเชิงรุก 4) การจัดการงานเปลี่ยนแปลงอย่างมีระบบ และ 5) การสร้างวัฒนธรรมความร่วมมือ ทั้งนี้ได้มีการวิเคราะห์เปรียบเทียบกับทฤษฎีความขัดแย้งของ Coser และ Dahrendorf และมาตรฐานสากล เช่น FIDIC และ NEC3 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ความขัดแย้งสามารถจัดการได้ด้วยวิธีการเชิงโครงสร้างและกระบวนการที่มีประสิทธิภาพ ผลการวิจัยจึงมีคุณูปการเชิงทฤษฎีและเชิงนโยบายในการยกระดับการบริหารสัญญาก่อสร้างภาครัฐไทยให้มีความรัดกุม โปร่งใส และลดข้อพิพาทอย่างยั่งยืน</p>
รัตติกาล โสวะภาส
ภราดร เพ็งแจ่ม และ ทานตะวัน บุญเล็ก
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-29
2025-04-29
10 2
1606
1627
-
สภาพและแนวทางการบริหารจัดการโรงเรียนชายขอบ ของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในประเทศไทย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/273325
<p>วิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสภาพและแนวทางการบริหารจัดการโรงเรียนชายขอบของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในประเทศไทย เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ ผู้อำนวยสถานศึกษาจำนวน 5 คน และผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 7 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี แบบสัมภาษณ์ และแบบบันทึกเอกสาร วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ การวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพการบริหารจัดการโรงเรียนชายขอบของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในประเทศไทย 1.1) สถานที่ตั้งโรงเรียนชายขอบตั้งอยู่ในบริเวณที่ติดกับพื้นที่ชายแดนติดต่อกับประเทศ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรัฐแห่งสนภาพเมียนมา และราชอาณาจักรกัมพูชา 1.2) จัดการศึกษาส่วนใหญ่จัดในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ตั้งแต่ชั้นอนุบาลปีที่ 1 – มัธยมศึกษาปีที่ 6 มีบุคลากรทางการศึกษา 1.3) สภาพทั่วไปที่ส่งผลต่อคุณภาพการศึกษาในพื้นที่ชายขอบ ได้แก่ ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม ด้านความมั่นคง ด้านคมนาคม ด้านสาธารณสุข และด้านสิ่งแวดลอม 1.4) การวิเคราะห์สภาพองค์กร (SWOT) ของโรงเรียนชายขอบ 2. แนวทางการบริหารจัดการโรงเรียนชายขอบของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในประเทศไทย 1) หลักในการบริหารจัดการโรงเรียนชายขอบใช้การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน (School- Based Management : SBM) 2) กระบวนการในการบริหารจัดการโรงเรียนชายขอบ ดังนี้ 2.1) การวางแผน 2.2) การจัดองค์การ 2.3) การอำนวยการ 2.4) การประสานงาน 2.5) การควบคุม 3) การศึกษาเชิงพื้นที่ (Area based Education : ABE) จากงานวิจัยสภาพและแนวทางการบริหารจัดการโรงเรียนชายขอบของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในประเทศไทย ปรับปรุงคุณภาพของการศึกษาเพื่อให้มีความเท่าทันโลกสมัยใหม่และมีความเท่าเทียมตามหลักสิทธิมนุษยชน เพื่อเป็นข้อมูลในการบริหารจัดการโรงเรียนชายขอบของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในประเทศไทยต่อไป</p>
เพ็ญสุดา สุตวงค์
ธิดาวัลย์ อุ่นกอง, โสภา อำนวยรัตน์, และ น้ำฝน กันมา
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-29
2025-04-29
10 2
1628
1641
-
รูปแบบการบริหารโรงเรียนในยุคดิจิทัลของมูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/276803
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาแนวทางการบริหารโรงเรียนในยุคดิจิทัลของมูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทย 2) สร้างและตรวจสอบรูปแบบการบริหารโรงเรียนในยุคดิจิทัล และ 3) ประเมินรูปแบบการบริหารดังกล่าว โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มผู้ให้ข้อมูลคือผู้บริหารจากโรงเรียนในเครือ 5 แห่ง รวม 25 คน ซึ่งคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือวิจัยคือการสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า 1) แนวทางการบริหารโรงเรียนในยุคดิจิทัลครอบคลุม 4 ด้านหลัก ได้แก่ การบริหารวิชาการ งบประมาณ บุคลากร และทั่วไป 2) รูปแบบการบริหารโรงเรียนในยุคดิจิทัลประกอบด้วย 6 องค์ประกอบ ได้แก่ (1) หลักการบริหาร (2) วัตถุประสงค์ (3) ปัจจัยนำเข้า (4) กระบวนการบริหารตามวงจร PDCA ได้แก่ การวางแผน (Plan) การดำเนินการ (Do) การติดตามตรวจสอบ (Check) และการปรับปรุง (Act) (5) ผลผลิตจากการบริหาร และ (6) ปัจจัยแห่งความสำเร็จ 3) ผลการประเมินรูปแบบโดยภาพรวมพบว่ามีความเป็นไปได้และเป็นประโยชน์ในระดับมาก ผลการศึกษานี้สะท้อนความพร้อมของโรงเรียนในเครือมูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในการปรับตัวและพัฒนาระบบบริหารให้สอดคล้องกับบริบทยุคดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ.</p>
กิตติพงษ์ เกตุโสณ
สันติ บูรณะชาติ, สมบัติ นพรัก, และน้ำฝน กันมา
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-29
2025-04-29
10 2
1642
1657
-
ศึกษาแนวคิดและวิถีการสร้างสังคมแห่งการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ของมูลนิธิพุทธฉือจี้
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/278419
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอผลการศึกษาดูงานด้านพระพุทธศาสนา ณ มูลนิธิพุทธฉือจี้ ไต้หวันของนิสิตหลักสูตรพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาพระพุทธศาสนา วิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญาศรีทวารวดี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ผลการถอดบทเรียนจากการศึกษาดูงาน พบว่า มูลนิธิพุทธฉือจี้ก่อตั้งโดยท่านธรรมาจารย์เจิ้งเหยียน นับเป็นจุดเริ่มต้นของการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ มูลนิธิฉือจี้เป็นองค์กรอิสระที่ได้รับการยกย่องจากทั่วโลกว่า เป็นองค์กรที่มีการให้บริการภายใต้หัวใจของความเป็นมนุษย์ สภาพแวดล้อม และบรรยากาศขององค์กรล้วนหล่อหลอมให้บุคลากรเกิดจิตสํานึกที่ดีต่อสังคม ใช้หลักพุทธธรรมที่สอนให้คนรักเพื่อนมนุษย์ รักสรรพสัตว์ และสรรพสิ่งรอบตัว เกิดสังคมแห่งการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยหลักพรหมวิหาร 4 แบบพระโพธิสัตว์ เน้นหลักเมตตา หลักสังคหวัตถุธรรม และหลักมนุษยธรรม ด้วยภารกิจ 9 ด้าน ด้วยเครือข่ายอาสาสมัครที่ใช้หลักการเจริญสติผ่านการร่วมกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การสร้างมูลค่าการแปรรูปผลิตภัณฑ์วัสดุเหลือทิ้ง การคัดแยกขยะที่ลงมือทำจริงให้เห็นสิ่งภายนอกสู่การปรับภายในจิตใจ สร้างคุณค่าต่อชีวิต ลดมลพิษจากภาวะโลกร้อน รักษาโลกไว้ให้รุ่นลูกหลาน จนเกิดผลลัพธ์เชิงพระพุทธศาสนาเพื่อสังคม คือมุ่งช่วยเหลือสรรพสัตว์เป็นเป้าหมายหลักของชีวิต ทำให้มีความกระตือรือร้นที่จะช่วยเหลือ ไม่นิ่งดูดาย หรือหาความสุขในตนฝ่ายเดียว เกิดพลังขับเคลื่อนของกำลังอาสาสมัครที่มีคุณภาพ ด้วยการดึงเอาความดีจากแต่ละคนออกมารวมกันให้มากพอจนเกิดพลัง</p>
แม่ชีจิราภรณ์ ขนาดนิด
กฤติยา ถ้ำทอง
พระมหาพุฒิแผน ปญฺญาวุโธ
ทัดดาว โฉมลักษณ์
พระมหาอริยะ อริยชโย
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-26
2025-04-26
10 2
1658
1671
-
ACCESSIBILITY TO RIGHTS OF PERSONS WITH DISABILITIES, LIFELONG EDUCATION, AND DECENT JOB
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/278580
<p>This research aimed (1) to examine the situation regarding access to the rights of persons with disabilities in lifelong education and decent employment, and (2) to study the level of satisfaction with access to those rights. This quantitative study employed the concepts of lifelong learning and decent work as its theoretical framework. The population consisted of 106,417 persons with physical disabilities in five provinces: Chiang Mai, Nonthaburi, Khon Kaen, Chonburi, and Nakhon Si Thammarat. A sample size of 400 individuals was determined using Yamane’s formula. The research instrument was a questionnaire, and data were analyzed using descriptive statistics: percentage, mean, and standard deviation.</p> <p>The findings revealed that most respondents were male, aged 15–25, Buddhist, and had completed vocational certificates or associate degrees. Most had been disabled for over 16 years, used a wheelchair, and possessed a disability identification card. A large portion were unemployed, had no income, and had monthly expenses over 5,000 baht. More than half had no debt or family obligations. The overall satisfaction with access to disability welfare rights was at a good level, with a mean score of 3.07 and a standard deviation of 1.11. Satisfaction with access to educational rights had a mean of 3.11, and access to employment rights had the highest mean of 3.41, also indicating a good level. Hypothesis testing revealed that age, education level, and income significantly affected access to lifelong education rights. Additionally, gender, education level, and income significantly affected access to decent employment rights.</p>
Samrit Chapirom
Jaturong Boonyarattanasoontorn
Kittawan Sarai
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-29
2025-04-29
10 2
1672
1681
-
การพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรตามแนวพระราชดำริ ในพื้นที่กลุ่มจังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/277633
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาสภาพการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรตามแนวพระราชดำริจากอดีตถึงปัจจุบัน (2) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาแหล่งน้ำตามแนวพระราชดำริ และ (3) จัดทำรูปแบบการพัฒนาแหล่งน้ำให้สอดคล้องกับแนวพระราชดำริ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และทฤษฎีใหม่ เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎีใหม่เป็นกรอบการวิจัย กลุ่มเป้าหมายคือผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำนวน 28 คน และผู้เชี่ยวชาญจำนวน 20 คน ใช้วิธีการคัดเลือกแบบเจาะจง โดยเก็บข้อมูลผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึกและการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า (1) การพัฒนาแหล่งน้ำตามแนวพระราชดำริมุ่งเน้นการกักเก็บน้ำเพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วม แต่ยังขาดการบูรณาการกับภาคีเครือข่ายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การดำเนินงานล่าช้า ไม่ตอบสนองสถานการณ์ปัจจุบัน และยังมีปัญหาด้านการบำรุงรักษาและการพัฒนาต่อยอดจากทั้งหน่วยงานและชุมชนในพื้นที่ (2) ปัจจัยที่ส่งผลกระทบ ได้แก่ ปัญหาภัยแล้ง อุทกภัย น้ำเสีย ทัศนคติของเกษตรกร และนโยบายภาครัฐ (3) รูปแบบการพัฒนาแหล่งน้ำให้สอดคล้องกับแนวพระราชดำริ ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ร่วมกันศึกษาปัญหา 2) ร่วมสำรวจพื้นที่ 3) ร่วมคิดแนวทางพัฒนา 4) ร่วมตัดสินใจและดำเนินการ 5) ร่วมกันประเมินผล องค์ความรู้จากการวิจัยสามารถใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาแหล่งน้ำในกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง เพื่อใช้ทรัพยากรน้ำอย่างเกิดประโยชน์สูงสุดและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างยั่งยืน</p>
ปริวาส ชัยเลิศ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-28
2025-04-28
10 2
1682
1691
-
การสร้างสรรค์นาฏศิลป์ไทยร่วมสมัยจากหลักกาลามสูตร
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/285979
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างสรรค์ผลงานนาฏศิลป์ไทยร่วมสมัยจากหลักกาลามสูตร เพื่อส่งเสริมคุณธรรมสำหรับเยาวชน โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน ประกอบด้วยการศึกษาข้อมูลเอกสาร การสังเกต การสัมภาษณ์ การสร้างสรรค์ผลงาน และการใช้แบบสอบถาม ผลการศึกษาพบว่าหลักกาลามสูตรเน้นการไตร่ตรองก่อนเชื่อข้อมูล ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในยุคดิจิทัลที่เต็มไปด้วยข้อมูลเท็จ โดยเฉพาะการชักจูงผ่านโฆษณาพนันออนไลน์ที่อาจนำไปสู่การกระทำผิดศีลธรรม จากแนวคิดดังกล่าว ผู้วิจัยได้สร้างสรรค์การแสดงนาฏศิลป์ไทยร่วมสมัยเรื่อง “แสงส่องนำแห่งกาลามสูตร” แบ่งโครงเรื่องเป็น 6 องก์ ได้แก่ (1) แนะนำตัวละคร (2) การแสวงหาฝัน (3) การเกิดอกุศลมูล (4) การตกเป็นทาสพนันออนไลน์ (5) จมอยู่ในวังวนแห่งความชั่วร้าย และ (6) การตื่นรู้ผ่านแสงแห่งกาลามสูตร กระบวนการสร้างสรรค์ประกอบด้วย 10 ขั้นตอน ตั้งแต่การกำหนดแนวคิดจนถึงการตัดต่อและเผยแพร่ผลงาน กลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายในกรุงเทพมหานครจำนวน 100 คน การทดสอบก่อนและหลังชมการแสดงพบว่าค่ามัธยฐานคะแนนเพิ่มขึ้นจาก 6 เป็น 9 สะท้อนว่าผู้ชมมีความเข้าใจหลักกาลามสูตรมากขึ้น ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่านาฏศิลป์ไทยร่วมสมัยสามารถเป็นสื่อกลางที่มีประสิทธิภาพในการถ่ายทอดหลักธรรมทางพุทธศาสนาให้เข้าถึงเยาวชนได้อย่างเป็นรูปธรรม</p>
ศักย์กวิน ศิริวัฒนกุล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-29
2025-04-29
10 2
1692
1704
-
การศึกษาผลการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด Concrete Pictorial Abstract (C-P-A) เรื่อง การแยกตัวประกอบของพหุนามดีกรีสอง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/278762
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาแนวทางการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด Concrete Pictorial Abstract (C-P-A) และเพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รวมถึงความคงทนในการเรียนรู้ เรื่อง การแยกตัวประกอบของพหุนามดีกรีสอง กลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/9 โรงเรียนท่าเรือ “นิตยานุกูล” จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่ศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 26 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด C-P-A และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การแยกตัวประกอบของพหุนามดีกรีสอง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ ผลการวิจัยพบว่า แนวทางการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด C-P-A เรื่อง การแยกตัวประกอบของพหุนามดีกรีสอง เริ่มด้วยการให้นักเรียนแยกตัวประกอบของพหุนามด้วยกระเบื้องพีชคณิตที่เป็นเครื่องมือเชิงรูปธรรมพร้อมวาดรูปเพื่อบันทึกภาพ ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงสื่อรูปธรรมสู่การแสดงแทนเชิงรูปภาพและนำผลที่ได้อภิรายร่วมกันเพื่อสร้างเป็นข้อความคาดการณ์ ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงรูปภาพไปสู่ความคิดรวบยอดที่เป็นนามธรรมในการแยกตัวประกอบของพหุนามดีกรีสอง ทั้งนี้จะต้องลดบทบาทของการใช้สื่อรูปธรรมและการใช้รูปภาพลงเพื่อให้นักเรียนสามารถเชื่อมโยงการเรียนรู้เชิงรูปธรรมสู่การเรียนรู้เชิงนามธรรมได้ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด C-P-A เรื่อง การแยกตัวประกอบของพหุนามดีกรีสอง สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดร้อยละ 60 ของคะแนนเต็ม นักเรียนมีความคงทนในการเรียนรู้ หลังจากการได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด C-P-A แล้ว สองสัปดาห์ โดยมีร้อยละความคงทนของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเท่ากับ 96.06 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดร้อยละ 70</p>
นิวัติ ถ่ายเนียม
วันดี เกษมสุขพิพัฒน์
ทรงชัย อักษรคิด
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-28
2025-04-28
10 2
1705
1716
-
CHALLENGES AND BARRIERS OF POLICIES: MAKE THE RIGHTS REAL, LIFELONG EDUCATION, AND DECENT WORK FOR PERSONS WITH MOBILITY DISABILITIES IN THAILAND
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/278581
<p>This qualitative research has two primary objectives (1) to delve into the challenges surrounding the provision of education to PMDs within both public and private educational institutions, and (2) to scrutinize the obstacles inherent in the employment of PMDs within governmental agencies and commercial enterprises. Examination of the challenges and barriers policies face to lifelong education and decent work for persons with mobility or physical disabilities (PMDs) aged over 15 in Thailand’s public and private sectors were conducted. Utilizing conceptual frameworks such as "Making the Rights Real (MRR)," Lifelong Education (LE), and Decent Work (DW), and linking these to the United Nations Convention on the Rights of Persons with Disabilities (CRPD), the Sustainable Development Goals (SDGs), and Thai law, the study addresses the obstacles limiting PMDs' opportunities. Research methodology was process with 18 key informants from organizations across nine critical categories—through purposive sampling, in-depth interviews, and content analysis This research clarified and systematized the complex, ongoing impediments that PMDs face, blocking their ability to achieve MRR, LE, and DW. Eighteen individuals identified similar issues, highlighting three of the important are: (a) discrimination; (b) lack of empowerment; and (c) poverty. Therefore, it was identified as the most important supporting factor. This leads to the next seven main challenges and impediments that hinder the formulation and implementation of policies: attitudinal barriers, ineffective law enforcement, budgetary constraints, technological and internet access, physical infrastructure, transportation challenges, and shortages of qualified personnel to impede full societal integration for PMDs. The study calls for substantial reforms to remove these impediments, advocating for true inclusivity and equal opportunities in education and the workforce for PMDs. By addressing these issues, the research aims to enhance the quality of life for PMDs and ensure their dignified participation in all societal aspects, aligning with both international standards and local practices. The ultimate objective is to achieve equality by 2030, fostering an inclusive environment where PMDs can thrive and contribute to Thailand's educational, occupational, social, and economic inclusion development goals.</p>
Samrit Chapirom
Jaturong Boonyarattanasoontorn
David Engstrom
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-29
2025-04-29
10 2
1717
1730
-
ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกตั้งนายกเทศบาลเทศมนตรี เทศบาลตำบลนากลาง อำเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลำภู
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/277622
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกตั้งนายกเทศมนตรี เทศบาลตำบลนากลาง อำเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลำภู ได้ศึกษาแนวคิด ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกตั้ง เป็นกรอบการวิจัย กลุ่มตัวอย่าง ประชากรผู้มีสิทธิเลือกตั้ง นายกเทศมนตรี เทศบาลตำบลนากลาง อำเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลำภู จำนวน <em>3 </em>ตำบล <em>16 </em>ชุมชน จำนวน 400 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 2 ชนิด คือ ส่วนที่ 1 เป็นคำถามเกี่ยวกับประชากรศาสตร์และส่วนที่ 2 เป็นคำถามเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกนายกเทศมนตรี เทศบาลตำบลนากลาง อำเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลำภู</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ข้อมูลทั่วไปของแบบสอบถาม พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ เป็นเพศหญิง มีอายุ 51 – 60 ปี ระดับการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี มีอาชีพเกษตรกรรม มีรายได้เฉลี่ย 10,000 – 20,000 บาท ปัจจัยในการตัดสินใจเลือกนายกเทศมนตรี เทศบาลตำบลนากลาง อำเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลำภู เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านความสมเหตุสมผลในการเลือกผู้สมัคร ที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า สมมติฐานเป็นไปตามสมมติฐานที่ได้ตั้งไว้ ระดับนัยสำคัญที่ 0.05 องค์ความรู้ที่ได้จากการทำงานวิจัยในครั้งนี้ คือ การทราบถึงการลงคะแนนเสียงของการเลือกตั้งของประชาชนในพื้นที่ที่ต้องการให้เลือกคนที่มีความเพียบพร้อมเข้ามามีส่วนช่วยในการพัฒนาบ้านเมืองอย่างมาก</p>
นันทวุฒิ แสนตุ้มทอง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-29
2025-04-29
10 2
1731
1740
-
ความเป็นพลเมืองตื่นรู้ด้านสิทธิผู้บริโภคในสาระเศรษฐศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 : สภาพปัจจุบันและปัญหาในการจัดการเรียนรู้
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/273358
<p><strong> </strong>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและปัญหาในการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมคุณลักษณะความเป็นพลเมืองตื่นรู้ด้านสิทธิผู้บริโภคของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยเป็นการวิจัยแบบผสานวิธี (Mixed methods) เครื่องมือวิจัย คือ แบบสอบถาม และแนวคำถามในการสัมภาษณ์ ประชากร คือ นักเรียนชั้นม.2 โรงเรียนขนาดใหญ่และขนาดใหญ่พิเศษ ในเขตอำเภอเมือง พิษณุโลก จำนวน 2,254 คน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้น ม.2 จำนวน 328 คน ผู้ให้ข้อมูลหลัก คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้การคัดเลือกแบบเจาะจง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติร้อยละ และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า สภาพปัจจุบันและปัญหาในการจัดการเรียนรู้ 6 ด้าน ดังนี้ ด้านผู้สอน ครูผู้สอนส่วนใหญ่มีบทบาทเป็นผู้บรรยายเป็นหลัก (ร้อยละ 74) ปัญหาคือ ครูขาดการสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ให้ผู้เรียนทดลองปฏิบัติจริง ด้านผู้เรียนส่วนใหญ่มีบทบาทเป็นผู้รับความรู้จากครูผู้สอน (ร้อยละ 77.7) ปัญหาคือ นักเรียนขาดแรงจูงใจในการเรียนรู้ ด้านเนื้อหา ผู้เรียนส่วนใหญ่เรียนเรื่องสิทธิผู้บริโภค 5 ข้อ อยู่ในระดับมาก (ร้อยละ 74.2) ปัญหาคือ ผู้เรียนส่วนใหญ่ทราบรายละเอียดสิทธิผู้บริโภค 5 ข้อ ในระดับปานกลาง (ร้อยละ 55.48) ด้านสื่อการเรียนรู้ ผู้เรียนส่วนใหญ่ใช้สื่อออนไลน์ในการหาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิผู้บริโภค (ร้อยละ 82) ปัญหาคือ ขาดการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลในสื่อ ด้านวิธีการจัดการเรียนรู้ ผู้เรียนส่วนใหญ่ได้ฝึกทักษะการคิดในการเป็นผู้บริโภคที่ปกป้องสิทธิของตนเอง (ร้อยละ 75.3) ปัญหาคือ ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการประเมินผลการเรียนน้อย และด้านการวัดและประเมินผล ผู้เรียนส่วนใหญ่ได้ทำแบบทดสอบหลังเรียน (ร้อยละ 68.9) ปัญหาคือ ครูเป็นผู้กำหนดรูปแบบการวัดและประเมินผลโดยขาดการมีส่วนร่วมจากผู้เรียน</p> <p> </p>
ลลิตภัทร ศิริรักษ์
อัจฉรา ศรีพันธ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
1741
1752
-
การท่องเที่ยวเชิงมรดกวัฒนธรรมอารายธรรมขอม บ้านปรางค์นคร ตำบล บ้านปรางค์ อำเภอคง จังหวัดนครราชสีมา
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/284477
<p>การวิจัยในครั้งนี้เป็นการเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพมีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้คือ1) เพื่อศึกษาแหล่งท่องเที่ยวเชิงมรดกทางวัฒนธรรมของ บ้านปรางค์นคร อำเภอคง จังหวัดนครราชสีมา 2) เพื่อศึกษาคุณค่าของแหล่งท่องเที่ยวเชิงมรดกทางวัฒนธรรม ของบ้านปรางค์นคร อำเภอคง จังหวัดนครราชสีมา และ 3) เพื่อหาแนวทางการจัดการการท่องเที่ยวเชิงมรดกทางวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน ของบ้านปรางค์นคร อำเภอคง จังหวัดนครราชสีมา กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาครั้งนี้คือ เป็นเป็นกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยวทั้งจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ตลอดจนผู้นำชุมชน ประชาชนที่มีส่วนรับผิดชอบด้านการท่องเที่ยวจำนวน 20 คน ผลการวิจัย พบว่า ชุมชนบ้านปรางค์นคร มีศักยภาพเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงมรดกทางวัฒนธรรมแต่ขาดระบบการจัดการการท่องเที่ยวที่เป็นระบบและขาดงบประมาณสนับสนุน แนวทางการพัฒนาชุมชนบ้านปรางค์นครเพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงมรดกทางวัฒนธรรม ได้แก่ การพัฒนาระบบการจัดการการท่องเที่ยวการสนับสนุนด้านงบประมาณการส่งเสริมกิจกรรมท่องเที่ยว การพัฒนาข้อมูล และฐานข้อมูลท่องเที่ยว การปรับปรุงสิ่งสาธารณูปโภคพื้นฐาน และการจัดกิจกรรมที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวแนวทางการจัดการการท่องเที่ยวเชิงมรดกทางวัฒนธรรมอย่างยั่งยืนของบ้านปรางค์นคร ประกอบด้วย การชุมชนมีส่วนร่วมอนุรักษ์ปราสาทและวัฒนธรรม การพัฒนาพื้นที่รอบปราสาทให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม การให้ความสำคัญกับการพัฒนาและสืบทอดวัฒนธรรมของชุมชน การสร้างเครือข่ายของคนในชุมชนเพื่อดูแลอนุรักษ์ปราสาทและวัฒนธรรม และหน่วยงานราชการและองค์กรเอกชนมีส่วนร่วมส่งเสริมการท่องเที่ยวและอนุรักษ์วัฒนธรรม</p>
ภัทรลภา บุตรดาเลิศ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
1753
1764
-
การควบรวมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของประเทศไทย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/278385
<p>งานวิจัยนี้มุ่งศึกษาการควบรวมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ขนาดเล็กที่มีงบประมาณไม่เพียงพอต่อการจัดบริการสาธารณะ โดยวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพจากกรณีศึกษาทั้งในประเทศ 40 ตัวอย่าง และต่างประเทศ 10 ตัวอย่าง รวม 50 ตัวอย่าง ผ่านการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการศึกษาพบว่า อปท.ขนาดเล็กมีข้อได้เปรียบด้านความใกล้ชิดและความรวดเร็วในการให้บริการประชาชน แต่ประสบปัญหาขาดขีดความสามารถในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เนื่องจากงบประมาณส่วนใหญ่ถูกใช้เป็นค่าใช้จ่ายประจำของบุคลากร ขณะที่ อปท.ขนาดใหญ่มีศักยภาพในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานมากกว่า แต่กลับมีปัญหาความล่าช้าและความไม่ใกล้ชิดกับประชาชน ทั้งนี้ ขนาดขององค์กรจึงส่งผลต่อประสิทธิภาพการบริหาร โดยงบประมาณขั้นต่ำที่เหมาะสมควรอยู่ที่ 50 ล้านบาทต่อปี และจำนวนประชากรควรอยู่ระหว่าง 5,000–10,000 คน ตามข้อเสนอของธนาคารโลกที่เห็นว่าฐานประชากร 10,000 คนต่อ อปท.เป็นมาตรฐานที่เหมาะสม รวมถึงการกำหนดพื้นที่อย่างน้อย 7.5 ตารางกิโลเมตรในเขตเมือง และ 20 ตารางกิโลเมตรในเขตชนบท สำหรับรูปแบบการปกครองที่เหมาะสม ควรจัดให้มี 3 ลักษณะ ได้แก่ (1) การปกครองรูปแบบพิเศษ เช่น เขตเศรษฐกิจพิเศษ เขตวัฒนธรรม หรือเขตชายแดน โดยใช้ระบบสภาผู้จัดการ (City Manager) (2) การปกครองรูปแบบทั่วไประดับบน (Upper Tier) เช่น เทศบาลจังหวัดที่รวมเทศบาลนครหรือเทศบาลเมือง และ (3) การปกครองรูปแบบทั่วไประดับล่าง (Lower Tier) ซึ่งมีความยืดหยุ่นตามบริบทของพื้นที่ แบ่งเป็นเทศบาลเขตเมือง เทศบาลเขตชนบท และเทศบาลพิเศษตามสภาพเศรษฐกิจสังคม ทั้งนี้ ข้อเสนอทั้งหมดมุ่งสู่การสร้างรูปแบบ อปท.ที่มีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับหลักการกระจายอำนาจ และตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้ดียิ่งขึ้น</p>
เมฆินทร์ เมธาวิกูล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
1765
1778
-
องค์ความรู้ทางดนตรีของคนอินเดียจากรัฐอุตตรประเทศ ณ สมาคมคีตาอาศรมแห่งประเทศไทย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/278387
<p>บทความนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาและเสนอแนะแนวทางการพัฒนาการบริหารทรัพยากรมนุษย์เชิงกลยุทธ์ของสถานศึกษาเอกชน จากการศึกษาพบว่าการบริหารทรัพยากรมนุษย์เชิงกลยุทธ์เป็นการเชื่อมโยงการบริหารทรัพยากรมนุษย์เข้ากับเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ของสถานศึกษา โดยมุ่งเน้นที่ทักษะ ความมุ่งมั่น และแรงจูงใจ สามารถนำพาสถานศึกษาไปในทิศทางที่ก้าวหน้า และรักษาความได้เปรียบทางการแข่งขัน ภายใต้กระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงได้ ช่วยให้ผู้บริหารมีการทำงานเชิงรุกกำหนดทิศทางแก่บุคลากรในสถานศึกษา สามารถสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน และช่วยให้สถานศึกษาสามารถบรรลุวิสัยทัศน์ภารกิจและวัตถุประสงค์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แนวทางการพัฒนาการบริหารทรัพยากรมนุษย์เชิงกลยุทธ์ของสถานศึกษาเอกชน ประกอบด้วย มีการประเมินความพร้อมของสถานศึกษา สร้างและทำให้กรอบการทำงานของฝ่ายทรัพยากรมนุษย์เป็นที่ยอมรับ ผู้บริหารต้องมีบทบาทเป็นนักออกแบบองค์การ ผู้บริหารทุกระดับมีส่วนช่วยผลักดันให้กลยุทธ์ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์และกลยุทธ์ของสถานศึกษาให้ประสบความสำเร็จ กำหนดแผนทรัพยากรมนุษย์ของสถานศึกษาอย่างเป็นรูปธรรม สอดคล้องกับทิศทางของ และสถานศึกษาจะต้องมีการประเมินและยกระดับคนเก่งในสถานศึกษา</p>
ปริทัศน์ เรืองยิ้ม
สุรศักดิ์ จำนงสาร
วีระ พันธุ์เสือ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
1779
1790
-
วิเคราะห์บทเพลงประกอบการแสดงงิ้วเรื่องรามเกียรติ์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/279080
<p>บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยเรื่องการศึกษาการสร้างอัตลักษณ์บทเพลงประกอบการแสดงงิ้วเรื่องรามเกียรติ์ของสมาคมอุปรากรจีนแห่งประเทศไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์บทเพลงประกอบการแสดงงิ้วเรื่องรามเกียรติ์ของคณะงิ้วแชลั่งเง็กเล่าชุน ในสมาคมอุปรากรจีนแห่งประเทศไทย ภายใต้ทฤษฎีการวิเคราะห์ดนตรี วิธีการวิจัยเป็นเชิงคุณภาพ ซึ่งมีแนวคิดทฤษฎีการวิเคราะห์ดนตรีเป็นกรอบในการศึกษา ผู้วิจัยได้ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และศึกษาข้อมูลภาคสนามผ่านการสังเกต การสัมภาษณ์ และเก็บข้อมูลเชิงประจักษ์ เพื่อนำมาวิเคราะห์ข้อมูลในรูปแบบการบรรยายพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า บทเพลงประกอบการแสดงงิ้วเรื่องรามเกียรติ์ มีการใช้ระบบเสียง 7 เสียงดั้งเดิมของดนตรีแต้จิ๋วร่วมกับระบบ "Move Do" เพื่อสร้างความกลมกลืนระหว่างดนตรีและการขับร้อง ทำนองเพลงถูกสร้างสรรค์ขึ้นโดยใช้โหมดทำนองหลัก 4 แบบของดนตรีแต้จิ๋ว ได้แก่ คิงลัก ตั่งลัก อั่วโหงว และฮวงซั่ว ทำหน้าที่สื่ออารมณ์ตามเนื้อหาของฉาก โครงสร้างของเพลงประกอบด้วยบทนำ ทำนองหลัก ทำนองเชื่อม และดนตรีคลอประกอบการสนทนา ทำงานร่วมกันเพื่อขับเคลื่อนเรื่องราวและสื่ออารมณ์ของตัวละคร การเคลื่อนที่ของทำนองในเพลงส่วนใหญ่เป็นแบบข้ามขั้น โดยใช้คู่เสียงคู่ 2 เมเจอร์และคู่ 3 ไมเนอร์เป็นหลัก ส่วนจังหวะของทำนอง เปลี่ยนแปลงไปตามอารมณ์ของฉาก มีการใช้จังหวะเร็วเพื่อสร้างความตื่นเต้น จังหวะช้าเพื่อสื่อความเศร้า ด้านความดังเบา มีการเปลี่ยนแปลงระดับความดังเบาอย่างชัดเจนเพื่อเร้าอารมณ์ผู้ชมให้สอดคล้องกับเนื้อหาของฉาก การเลือกใช้เครื่องดนตรีแบ่งเครื่องดนตรีออกเป็น 2 กลุ่มหลัก คือ เครื่องดนตรีฝ่ายกำกับจังหวะ และเครื่องดนตรีฝ่ายดำเนินทำนอง โดยสรุปแล้ว บทเพลงประกอบการแสดงงิ้วแต้จิ๋วเรื่องรามเกียรติ์ เป็นผลงานที่แสดงถึงความสามารถในการผสมผสานดนตรีแต้จิ๋วเข้ากับวรรณคดีไทย โดยมีการใช้ดนตรีเป็นเครื่องมือในการสื่อสารอารมณ์และเรื่องราวได้อย่างน่าสนใจ</p>
นันท์วรัตน์ เทพพิทักษ์
เทพิกา รอดสการ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
1791
1804
-
การพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษายุคดิจิทัลของสถานศึกษาเอกชน ในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา จังหวัดเชียงใหม่
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/273313
<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สังเคราะห์องค์ประกอบสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษายุคดิจิทัลของสถานศึกษาเอกชนในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา จังหวัดเชียงใหม่ 2) ศึกษาสภาพการปฏิบัติ และสภาพปัญหาในการบริหารจัดการเพื่อพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษายุคดิจิทัลฯ 3) พัฒนา ตรวจสอบกระบวนการบริหารจัดการ แนวทาง และคู่มือการพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษายุคดิจิทัลฯ และ 4) ประเมินกระบวนการบริหารจัดการ แนวทาง และคู่มือการพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษายุคดิจิทัลฯ เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี โดยได้ศึกษาแนวคิดสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษา กระบวนการบริหารจัดการ และแนวคิดกระบวนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ยุคดิจิทัล ผู้ให้ข้อมูล มี 2 กลุ่ม ประกอบด้วย 1) ผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญที่ใช้ในการสนทนากลุ่ม สัมภาษณ์ ประชุมเชิงปฏิบัติการ สัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญ และประชุมประชาพิจารณ์ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง จำนวน 48 คน และ 2) ผู้บริหารสถานศึกษา และรองผู้บริหารสถานศึกษาที่ใช้ในการตอบแบบสอบถาม ได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย จำนวน 388 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 6 ชุด ประกอบด้วย 1) แบบตรวจสอบและยืนยันองค์ประกอบ 2) แบบสอบถาม 3) แบบสัมภาษณ์ 4) แบบสรุปผลการประชุมเชิงปฏิบัติการ 5) แบบตรวจสอบความถูกต้องและความเหมาะสม และ 6) แบบประเมินความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์ วิเคราะห์ข้อมูลในการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา และการบรรยายเชิงพรรณา ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li class="show">องค์ประกอบสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษายุคดิจิทัลของสถานศึกษาเอกชนในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา จังหวัดเชียงใหม่ ที่เป็นสมรรถนะหลักมี 4 ด้าน ได้แก่ 1) ความเป็นผู้นำทางวิชาการเชิงสร้างสรรค์ 2) การสร้างสรรค์นวัตกรรมการทำงานเป็นทีม 3) การสร้างภาคีหุ้นส่วนการศึกษา และ 4) การพัฒนาศักยภาพความเป็นผู้บริหารมืออาชีพ และที่เป็นสมรรถนะประจำสายงานมี 3 ด้าน ได้แก่ 1) การบริหารจัดการเชิงพื้นที่ 2) การพัฒนาศักยภาพบุคลากรสู่ความเป็นมืออาชีพ และ 3) การสื่อสารและการจูงใจ</li> <li class="show">สภาพการปฏิบัติในการบริหารจัดการเพื่อพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษายุคดิจิทัลฯ โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ส่วนสภาพปัญหาฯ โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับน้อย</li> <li class="show">3. การพัฒนา ตรวจสอบกระบวนการบริหารจัดการ แนวทาง และคู่มือการพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษายุคดิจิทัลฯ พบว่า กระบวนการบริหารจัดการฯ ประกอบด้วย หลักการและวิธีการในการวางแผน การจัดองค์กร การนำ และการควบคุม แนวทางการพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษายุคดิจิทัลฯ ประกอบด้วย เป้าหมายและกิจกรรมเพื่อพัฒนาสมรรถนะหลัก และสมรรถนะประจำสายงาน ส่วนคู่มือฯ ประกอบด้วย บทนำ กระบวนการบริหารจัดการ และแนวทางการพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษายุคดิจิทัลฯ รวมทั้งภาคผนวก ผลการพัฒนา ตรวจสอบ พบว่าโดยภาพรวมทุกรายการมีความถูกต้องและเหมาะสม</li> </ol> <p> 4. การประเมินกระบวนการบริหารจัดการ แนวทางการพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษายุคดิจิทัลฯ และ คู่มือฯ พบว่า ทุกรายการมีความเป็นไปได้และเป็นประโยชน์ มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด</p>
อัมภาพร จันทร์กระจ่าง
พรรณี สุวัตถี, ชูชีพ พุทธประเสริฐ, และ ณัฐิยา ตันตรานนท์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
1805
1819
-
การเตรียมความพร้อมผู้ต้องขังก่อนปล่อยและหลังปล่อยเพื่อลดการกระทำผิดซ้ำ
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/272740
<p>บทความวิชาการเรื่องการเตรียมความพร้อมผู้ต้องขังก่อนปล่อยและหลังปล่อยเพื่อลดการกระทำผิดซ้ำ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาและวิเคราะห์สถานการณ์ ปัญหา และความต้องการของผู้ต้องขังที่กำลังจะปล่อยหรือเพิ่งปล่อยจากเรือนจำ เพื่อกำหนดนโยบายเชิงกลยุทธ์ในการลดการกระทำผิดซ้ำของผู้ต้องขัง โดยใช้แนวทางการส่งเสริมความสามารถ การสนับสนุน และการติดตามผล คณะทำงานได้ใช้วิธีการค้นคว้าเอกสาร และสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ คณะทำงานได้พบว่ามีหลากหลายประเด็นที่ต้องบริหารจัดการ อาทิ จำนวนและการศึกษาของผู้คุมผู้ต้องขังที่ กฎหมายที่ส่งผลให้เกิดการต้องขังที่ยังไม่เป็นมาตรฐานสากล รวมไปถึงผู้ต้องขังมีความต้องการในด้านการศึกษา การอบรมอาชีพ การเตรียมความพร้อมทางจิตใจ และการปรับตัวกับสังคม แต่ไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างเหมาะสม คณะทำงานจึงมีข้อแนะนำให้มีการจัดทำแผนเชิงกลยุทธ์ในการเตรียมความพร้อมผู้ต้องขังก่อนปล่อยและหลังปล่อยที่ครอบคลุมด้านต่างๆ ได้แก่ ยกระดับขีดความสามารถผู้ต้องขัง สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคม การสร้างมาตรฐานกฎหมายสู่สากล และปรับภาพลักษณ์ โดยมีการบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้ต้องขังได้รับการส่งเสริมความสามารถ การสนับสนุน และการติดตามผลอย่างต่อเนื่อง โดยการดำเนินการจะส่งผลการกระทบเชิงเศรษฐกิจ ได้แก่ ลดอัตราการว่างงาน เพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ และลดงบประมาณแผ่นดินในการบริหารจัดการประเทศ ผลกรทบเชิงสังคม ได้แก่ ยกระดับสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ยกระดับการศึกษาและอาชีพ ลดปัญหาอาชญากร ลดจำนวนผู้ต้องขัง และเพิ่มคุณภาพชีวิตให้สังคม</p>
เฉลิมพล โชตินุชิต
รุจ กสิวุฒิ, เชน กาญจนาปัจจ์, ยุทธนา นาคเรืองศรี, สาธิต อุไรเวโรจนากร,
กิตติ ตั้งจิตรมณีศักดา, พีระวิชญ์ สุประดิษฐ์ ณ อยุธยา, เบญจมาส แก่นเมือง และ เฉลิมชัย สิรินิวัฒน์กุล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
1820
1826
-
มะขามเตี้ยแห่งความสุข : การขับเคลื่อนด้วยบูรณาการกลไกความร่วมมือของชุมชน กรณีศึกษาตำบลมะขามเตี้ย อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/272192
<p>บทความวิจัยนี้เพื่อศึกษากระบวนการสร้างมะขามเตี้ยแห่งความสุขด้วยบูรณาการกลไกความร่วมมือของชุมชน การวิจัยเชิงปฏิบัติการ โดยศึกษาทฤษฎีความสุข และการสร้างการมีส่วนร่วม เป็นกรอบการวิจัย กลุ่มตัวอย่างใช้วิธีคัดเลือกแบบเจาะจง ซึ่งเป็นผู้ให้ข้อมูลสำคัญ คือ คณะทำงานมะขามเตี้ยแห่งความสุข จำนวน 39 คน เครื่องมือในการวิจัย 3 ชนิด คือ 1) การสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วม 2) การสนทนากลุ่ม 3) การสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยวิเคราะห์เนื้อหาแล้วเขียนบรรยายเชิงพรรณนา</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1) กระบวนการสร้าง“มะขามเตี้ยแห่งความสุข” ใช้กระบวนการมีส่วนร่วม ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่น กลุ่มจิตอาสาต่างๆ และประชาชนในพื้นที่ สถาบันการศึกษากลไกหนุนเสริมขับเคลื่อนทางสังคม ออกแบบ เห็นประเด็นปัญหาร่วมกัน ทำให้ทราบถึงความต้องการของชุมชนที่ต้องการพัฒนาชุมชนมะขามเตี้ยสู่ "ชุมชนแห่งความสุข" ดำเนินการร่วมของภาคีเครือข่าย จึงเกิด “คณะทำงานมะขามเตี้ยแห่งความสุข” จำนวน 39 คน ทำหน้าที่เป็นกลไกความร่วมมือทำงานและขับเคลื่อนระดับชุมชนของมะขามเตี้ยแห่งความสุข 2) การขับเคลื่อนด้วยบูรณาการกลไกความร่วมมือของชุมชน เริ่มจาก (1) ค้นหา “ความไม่สุขของระดับบุคคล ระดับชุมชน ค้นหาทุนที่เข้มแข็งและศักยภาพพื้นที่ (2) หาความร่วมมือ “สร้างความคิด ค้นหาวิธี สร้างสุข (3) สังเคราะห์รูปแบบ การสร้างสุข ระดับชุมชน (4) ก่อรูป กลไกความร่วมมือของชุมชน“สร้างสุขชุมชน” ชื่อ คณะทำงานมะขามเตี้ยแห่งความสุข (5) บูรณาการกลไกความร่วมมือของชุมชน ภาคส่วนต่างๆ (6) ขับเคลื่อนการสร้างสุข ระดับชุมชน ผ่าน อสม. การจัดการขยะ พื้นที่นันทนาการชุมชน (7) ออกแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน เช่น ชมรมมะขามเตี้ยแห่งความสุข ธรรมนูญชุมชนปลอดขยะ และการประสานงบประมาณร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (8) เกิดตัวแบบมะขามเตี้ยแห่งความสุข (9) ขยายผลพื้นที่ทางการและไม่เป็นทางการ โดยข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้ คือ รูปแบบกระบวนการสร้าง “ความสุข” เป็นรูปแบบที่ก่อรูปจากความเป็นชุมชน จนเกิดตัวแบบมะขามเตี้ยแห่งความสุขที่สามารถขยายผลเป็นทางการและไม่เป็นทางการ</p>
ศิริพร เพ็งจันทร์
ปทิดา โมราศิลป์
วิรัตน์ ทองแก้ว
กรวิทย์ เกาะกลาง
สุภาวดี สุทธิรักษ์
วัฒนา นนทชิต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
1827
1839
-
ปัจจัยเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อผลสำเร็จของวิสาหกิจชุมชนในภาคใต้ของประเทศไทย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/273450
<p>การศึกษาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อผลสำเร็จของวิสาหกิจชุมชนในภาคใต้ของประเทศไทย โดยเป็นการศึกษาเชิงปริมาณ และใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือวิจัย ดำเนินการเก็บข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นวิสาหกิจชุมชนในภาคใต้ของประเทศไทย จำนวน 440 แห่ง ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมทางสถิติ ผลการประมาณค่าแบบจำลองสมการโครงสร้าง (SEM) มีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ <em>χ</em><sup>2</sup>= 459.79 <em>χ</em><sup>2</sup> /df = 2.60 และ RMSEA = 0.060 (90 Percent Confidence Interval = 0.054 - 0.067) NNFI = 0.98 CFI = 0.98 และ SRMR = 0.039 ผลจากการศึกษาพบว่า ความสามารถทางนวัตกรรมส่งผลทางตรงต่อผลการดำเนินงานวิสาหกิจชุมชน ในขณะที่ความได้เปรียบทางการแข่งขันส่งผลทางตรงต่อผลการดำเนินงานวิสาหกิจชุมชน นอกจากนี้ยังพบว่า แนวปฏิบัติ การจัดการโซ่อุปทานส่งผลทางตรงต่อความได้เปรียบทางการแข่งขัน ในขณะที่การจัดการความรู้ส่งผลทางตรงต่อความได้เปรียบทางการแข่งขัน อีกทั้งการเป็นผู้ประกอบการส่งผลทางตรงต่อความได้เปรียบทางการแข่งขัน นอกจากนี้ยังพบว่าทุนทางสังคมส่งผลทางตรงต่อความสามารถทางนวัตกรรม และยังพบว่า การสนับสนุนของภาครัฐส่งผลทางตรงต่อความสามารถทางนวัตกรรม ดังนั้นการจะคงไว้ซึ่งผลสำเร็จของวิสาหกิจชุมชนในภาคใต้ของประเทศไทย จึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับความได้เปรียบทางการแข่งขัน ทุนทางสังคม การจัดการความรู้ การเป็นผู้ประกอบการ การสนับสนุนของภาครัฐ ความสามารถทางนวัตกรรม และแนวปฏิบัติการจัดการโซ่อุปทาน ตามลำดับ ทั้งนี้หากนำปัจจัยต่าง ๆ ที่ได้ ทำการศึกษาในครั้งนี้ไปศึกษากับวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่อื่นในประเทศ ผลการศึกษาอาจมีความแตกต่างกันออกไป</p>
กรกมล ซุ้นสุวรรณ
วิวัฒน์ จันทร์กิ่งทอง
เจตน์สฤษฎิ์ สังขพันธ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
1840
1853