อุปลักษณ์ “ใจ” กับคำแสดงประสาทสัมผัสในภาษาจีน เปรียบเทียบกับภาษาไทย
คำสำคัญ:
อุปลักษณ์ “ใจ”, คำแสดงประสาทสัมผัส, ประสบการณ์ทางร่างกาย, ประสบการณ์ทางสังคมและวัฒนธรรมบทคัดย่อ
งานวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อศึกษาอุปลักษณ์ “ใจ” ในมุมมองทางประสาทสัมผัส โดยวิเคราะห์และเปรียบเทียบความหมายเชิงอุปลักษณ์ 心 /ɕin55/ (ใจ) ทั้งภาษาจีนและภาษาไทย เมื่อปรากฏร่วมกับคำแสดงความหมายเกี่ยวกับประสาทสัมผัสตามแนวคิดทฤษฎีอุปลักษณ์เชิงมโนทัศน์ (Conceptual Metaphor Theory) ของเลคอฟและจอห์นสัน (Lakoff and Johnson 1980; 1999; 2003) รวมถึงทฤษฎีเกี่ยวกับการสร้างรูป (embodiment) ของจอห์นสัน (Johnson 1987) ซึ่งมุ่งอธิบายถึงลักษณะการใช้ภาษา กระบวนการถ่ายโยงทางความหมายของอุปลักษณ์ “ใจ” ในมุมมองการรับรู้ด้วยประสบการณ์ด้านประสาทสัมผัส รวมถึงเปรียบเทียบความเหมือนและความต่างในการสร้างมโนทัศน์ที่มีต่อเรื่อง “ใจ” ระหว่างผู้ใช้ภาษาจีนและผู้ใช้ภาษาไทย ผลการศึกษาพบว่า เมื่อ 心 /ɕin55/ (ใจ) ในภาษาจีน และ “ใจ” ในภาษาไทยใช้เป็นอุปลักษณ์ ล้วนมีความหมายเชิงอุปลักษณ์ที่อ้างถึงอารมณ์ความรู้สึก สภาพจิตใจ และลักษณะนิสัย ส่วนการรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสซึ่งช่วยแสดงความหมายของ “ใจ” จากเดิมให้ขยายออกไปถึงความหมายเชิงนามธรรมนั้น สามารถจำแนกเป็น 5 ประเภทหลัก ได้แก่ (1) ประสาทสัมผัสประเภทการมองเห็น (2) ประสาทสัมผัสประเภทการสัมผัส (3) ประสาทสัมผัสประเภทการรับรส (4) ประสาทสัมผัสประเภทการได้ยิน (5) ประสาทสัมผัสประเภทการได้กลิ่น ซึ่งผลการศึกษาครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงระบบความคิดของผู้ใช้ภาษาทั้งสองที่มีต่อเรื่อง “ใจ” มีลักษณะความเป็นสากล ขณะเดียวกัน กระบวนการสร้างมโนทัศน์ของคำว่า 心 /ɕin55/ (ใจ) ในภาษาจีนและคำว่า “ใจ” ในภาษาไทย มีลักษณะที่แตกต่างกันอยู่หลายประการเช่นกัน ซึ่งได้รับอิทธิพลจากปัจจัยทางด้านประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ประเพณีของผู้ใช้ภาษาในแต่ละสังคมที่ต่างกัน
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
การป้องกันปัญหาด้านลิขสิทธิ์และการคัดลอกผลงาน
ผู้เขียนบทความมีหน้าที่ในการขออนุญาตใช้วัสดุที่มีลิขสิทธิ์คุ้มครองจากเจ้าของลิขสิทธิ์ ผู้เขียนบทความมีความรับผิดชอบที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายในการคัดลอกและทำสำเนาวัสดุที่มีลิขสิทธิ์อย่างเคร่งครัด การคัดลอกข้อความและการกล่าวพาดพิงถึงเนื้อหาจากวัสดุตีพิมพ์อื่น ต้องมีการอ้างอิงแหล่งที่มากำกับและระบุแหล่งที่มาให้ชัดเจนในส่วนบรรณานุกรม การคัดลอกข้อความหรือเนื้อหาจากแหล่งอื่นโดยไม่มีการอ้างอิงถือเป็นการละเมิดจริยธรรมทางวิชาการที่ร้ายแรง และเข้าข่ายการละเมิดลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 หากมีการฟ้องร้องดำเนินคดีใด ๆ เกิดขึ้น ผู้เขียนบทความมีความรับผิดชอบทางกฎหมายแต่เพียงผู้เดียว