วารสารศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jla_ubu <p><strong>วารสารศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี</strong></p> <p> เป็นวารสารที่ตีพิมพ์บทความภาษาไทย/ภาษาอังกฤษ</p> <p> ได้รับการประเมินคุณภาพวารสารวิชาการที่อยู่ในฐานข้อมูล TCI รอบที่ 5 พ.ศ. 2568-2572 ในกลุ่ม <strong>TCI 2</strong></p> <p> โดยเปิดรับบทความวิจัย (Research paper) บทความวิชาการ (Academic article) <br /> และเผยแพร่ในรูปแบบวารสารอิเล็กทรอนิกส์ <strong>ISSN 3057-1499 (Online)<br /></strong> ตั้งแต่ ปีที่ 21 ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม - มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป</p> <p class="_04xlpA direction-ltr align-center para-style-body"><span class="S1PPyQ"> วารสารเก็บค่าธรรมเนียมการพิจารณาบทความ ภายหลังผ่านการกลั่นกรองจากกองบรรณาธิการ (Initial review) ให้เข้าสู่กระบวนการพิจารณาบทความ (Peer review) 3,000 บาท/บทความ ตั้งแต่ 13 เมษายน 2566 เป็นต้นไป </span><strong><span class="S1PPyQ">ทั้งนี้ วารสารฯ ขอแจ้งยกเว้นค่าธรรมเนียมการพิจารณาบทความ สำหรับบทความที่ส่งเข้าระบบ ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม 2568 ถึง วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2569</span></strong></p> <p><strong> </strong><strong>ความเป็นมา</strong></p> <p> คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี เป็นคณะที่ผลิตบุคลากรทางด้านศิลปศาสตร์ทั้งระดับปริญญาตรีและปริญญาโท ทางด้านสาขามนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ ภาษาศาสตร์และศึกษาศาสตร์ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาและแลกเปลี่ยนความรู้ทางด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ และสาขาที่เกี่ยวข้อง คณะฯ จึงได้จัดทำวารสารคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี เพื่อเป็นแหล่งเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ โดยวารสารฉบับแรกได้จัดทำขึ้นในปี พ.ศ. 2547 ปัจจุบันมีกำหนดออกปีละ 2 ฉบับ เพื่อเป็นการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการสู่สังคมในวงกว้าง</p> th-TH laubujournal@gmail.com (รศ.ดร.กนกวรรณ มะโนรมย์) lajournal@ubu.ac.th (นางสาวปิยะนุช สิงห์แก้ว) Wed, 25 Jun 2025 14:21:50 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การรู้เท่าทันสื่อในข่าวและสารคดีต่างประเทศยุคข้อมูลท่วมท้น: แนวทาง “ปฏิบัติการทางสังคม” เพื่อความเข้าใจโลกาภิวัตน์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jla_ubu/article/view/282061 <p>ในโลกยุคโลกาภิวัตน์ที่เทคโนโลยีการสื่อสารและสื่อดิจิทัลพัฒนาอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้รับสารสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้หลากหลายและทันเหตุการณ์ อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของข้อมูลจำนวนมากได้ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ "ข้อมูลท่วมท้น" ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแยกแยะ วิเคราะห์ และตัดสินใจของผู้รับสาร โดยเฉพาะในกรณีข่าวและสารคดีต่างประเทศที่มีบทบาทสำคัญในสังคมโลกที่ซับซ้อน</p> <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ความสำคัญของการรู้เท่าทันสื่อกรณีข่าวและสารคดีต่างประเทศในบริบทโลกาภิวัตน์ และเพื่อเสนอแนวทางพัฒนาทักษะการรู้เท่าทันสื่อในกลุ่มผู้รับสาร โดยใช้กรอบคิด "ปฏิบัติการทางสังคม" (Social Practice) และแนวทางการรู้เท่าทันสื่อเชิงปฏิบัติของ UNESCO เป็นพื้นฐานในการวิเคราะห์ การศึกษานี้ใช้วิธีการทบทวนวรรณกรรมและสังเคราะห์ข้อมูลจากเอกสารวิชาการ ข่าวและสารคดีต่างประเทศที่เกี่ยวข้องเพื่อยกตัวอย่างประกอบการวิเคราะห์ ผลการศึกษาชี้ให้เห็น แนวทางพัฒนาทักษะการรู้เท่าทันสื่อผ่าน 5 องค์ประกอบสำคัญ ได้แก่ การเข้าถึงข้อมูล (Access) การวิเคราะห์ข้อมูล (Analyze) การประเมินเนื้อหา (Evaluate) การสร้างสรรค์สื่อ (Create) และการลงมือปฏิบัติ (Act) ซึ่งหากพัฒนากระบวนการการรู้เท่าทันสื่อได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว จะส่งผลต่อทักษะและความสำคัญต่อความเข้าใจโลกาภิวัตน์ใน 3 ด้าน ได้แก่ 1) การเสริมสร้างทักษะการอยู่รอดในโลกที่ซับซ้อน 2) การเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในเวทีระดับโลก และ 3) เสริมสร้างความเข้าใจทางสังคมและวัฒนธรรมที่มีความหลากหลายซับซ้อนมากขึ้น</p> สุนันทา แย้มทัพ, อรัญญา ศิริผล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jla_ubu/article/view/282061 Wed, 25 Jun 2025 00:00:00 +0700 ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับ “อัตชาติพันธุ์วรรณนา” https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jla_ubu/article/view/287968 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอความหมาย พัฒนาการและลักษณะสำคัญของระเบียบวิธีวิจัยอัตชาติพันธุ์วรรณนา (Autoethnography) ซึ่งเป็นแนวทางการศึกษาที่มุ่งเน้นการสะท้อนประสบการณ์ภายใต้บริบทสังคมและวัฒนธรรมผ่านมุมมองเชิงปัจเจกของผู้วิจัย บทความนำได้นำเสนอประวัติเส้นทางของแนวคิดอัตชาติพันธุ์วรรณนา ตั้งแต่การปรากฏขึ้นของคำในปี ค.ศ. 1975 ไปจนถึงการพัฒนาแนวทางโดย David Hayano (1979) และนักวิชาการรุ่นต่อมา เช่น Carolyn Ellis &amp; Arthur Bochner (2000) การศึกษาแสดงให้เห็นว่าอัตชาติพันธุ์วรรณนาเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้สามารถวิเคราะห์ตนเอง (self-analysis) ผ่านการเล่าเรื่อง (narrative inquiry) และการสะท้อนคิด (self-reflection) อันนำไปสู่ความเข้าใจที่ลึกซึ้งต่อปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับสังคม</p> <p>อย่างไรก็ตามแนวทางนี้ยังคงเผชิญกับข้อถกเถียงเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือ (validity) อคติ (bias) และการวางนัยทั่วไป (generalization) เนื่องจากเป็นการศึกษาที่มีมิติของอัตวิสัยสูง บทความนี้ได้วิเคราะห์ข้อดีและข้อจำกัดของอัตชาติพันธุ์วรรณนา พร้อมทั้งเสนอแนะแนวทางเพื่อพัฒนากรอบการวิจัยที่เหมาะสมยิ่งขึ้น โดยมุ่งเน้นการตรวจสอบความน่าเชื่อถือ การบูรณาการแนวคิดทางวิชาการและการขยายการใช้ระเบียบวิธีนี้ในศาสตร์อื่น</p> อนิรุทธิ์ สมเสาร์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jla_ubu/article/view/287968 Wed, 25 Jun 2025 00:00:00 +0700 ข้ามพรมแดนศาสตร์: แนวทางการบูรณาการเศรษฐศาสตร์และภูมิศาสตร์เพื่อสร้างจิตสำนึกทางประวัติศาสตร์ท้องถิ่นและภาวะพลเมืองโลก https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jla_ubu/article/view/288159 <p>บทความนี้นำเสนอแนวทางการบูรณาการเศรษฐศาสตร์และภูมิศาสตร์เข้ากับการสอนประวัติศาสตร์ท้องถิ่น โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างจิตสำนึกทางประวัติศาสตร์และความเข้าใจในความเป็นอื่น ผู้เขียนวิเคราะห์ข้อถกเถียงเกี่ยวกับเป้าหมายของการสอนประวัติศาสตร์และเสนอกรอบแนวคิดเรื่องจิตสำนึกทางประวัติศาสตร์ของ Jörn Rüsen (2004) เพื่อออกแบบการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงอดีต ปัจจุบัน และอนาคตอย่างมีความหมาย บทความนี้ได้นำเสนอตัวอย่างการออกแบบหลักสูตรที่บูรณาการเศรษฐศาสตร์และภูมิศาสตร์เข้ากับประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ทั้งในแง่ของการศึกษาท้องถิ่นของผู้เรียนและท้องถิ่นอื่น ๆ ที่หลากหลาย เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างพื้นที่ ผู้คน และระบบเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ข้อเสนอแนวทางดังกล่าวมีนัยสำคัญต่อการปฏิรูปการศึกษาประวัติศาสตร์ โดยเปลี่ยนจากการสอนแบบท่องจำและปลูกฝังอุดมการณ์ชาตินิยมไปสู่การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ การสร้างความเข้าใจในบริบทที่ซับซ้อน และการเตรียมผู้เรียนให้เป็นพลเมืองโลกที่เข้าใจรากเหง้าของตนเองและเคารพความหลากหลายทางวัฒนธรรม กระบวนทัศน์ใหม่นี้ไม่เพียงแต่มุ่งสร้างความรู้ทางประวัติศาสตร์ แต่ยังมุ่งหวังให้ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงความรู้สู่การพัฒนาชุมชนและสังคมอย่างยั่งยืน</p> เด่นพงษ์ แสนคำ, ณัฐพล มีแก้ว ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jla_ubu/article/view/288159 Wed, 25 Jun 2025 00:00:00 +0700 ภราดรภาพข้างถนน: ที่มาและข้อจำกัดการกระทำรวมหมู่ ของแรงงานแพลตฟอร์มส่งอาหาร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jla_ubu/article/view/283474 <p>จากปรากฏการณ์การรวมกลุ่มและการประท้วงของแรงงานแพลตฟอร์มส่งอาหาร (ไรเดอร์) ซึ่งเกิดขึ้นแพร่หลาย บทความวิจัยนี้ต้องการตอบคำถามว่า ความเป็นหนึ่งเดียวกันของไรเดอร์เกิดขึ้นได้อย่างไร มีความสัมพันธ์กับการกระทำรวมหมู่อย่างไร และความเป็นหนึ่งเดียวกันและการกระทำรวมหมู่ของไรเดอร์มีข้อจำกัดอย่างไร บทความมีที่มาจากการวิจัยเชิงคุณภาพ ซึ่งใช้เทคนิคการเก็บข้อมูลหลายแบบ ได้แก่ การสัมภาษณ์เชิงลึก การใช้แบบสอบถาม การประชุมกลุ่มย่อย และการติดตามข้อมูลในเพจเฟสบุ๊คของกลุ่ม ไรเดอร์ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้แนวคิดความเป็นหนึ่งเดี่ยวกันที่พัฒนาขึ้นในสายมาร์กซิสต์ บทความเสนอข้อถกเถียงว่า ความเป็นหนึ่งเดียวกันของชนชั้นแรงงาน ไม่จำเป็นต้องเกิดจากการจัดตั้งทางอุดมการณ์ของพรรคปฏิวัติหรือสหภาพแรงงานในลักษณะการปลูกฝังความคิดจากบนลงล่าง แต่สามารถเกิดขึ้นท่ามกลางการทำงานประจำวัน ดังที่การทำงานบนท้องถนนของไรเดอร์ก่อให้เกิด “ภราดรภาพข้างถนน” อย่างไรก็ตาม ความเป็นหนึ่งเดียวกันของไรเดอร์มีข้อจำกัด ทั้งข้อจำกัดเชิงปัจเจกบุคคลและข้อจำกัดเชิงโครงสร้าง บทความเสนอให้วงวิชาการแรงงานศึกษาไทย ให้ความสำคัญกับประเด็นความเป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้น เพื่อจะได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ประเด็นที่สำคัญนี้กับวงวิชาการต่างประเทศ และเพื่อเข้าใจขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมของชนชั้นแรงงานไทยได้ดีขึ้น</p> พฤกษ์ เถาถวิล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jla_ubu/article/view/283474 Wed, 25 Jun 2025 00:00:00 +0700 สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีในมุมของ ‘ปอแน’ ปัตตานี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jla_ubu/article/view/277746 <p>การศึกษานี้มุ่งสำรวจสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของ ‘ปอแน’ ซึ่งเป็นบุคคลที่มีลักษณะทางเพศที่แตกต่างจากเพศกำเนิดในจังหวัดปัตตานี ในมิติสุขภาพและความเป็นอยู่ รวมถึงปัญหาที่ส่งผลต่อความเสมอภาคของกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ ข้อถกเถียงหลักของบทความวิจัยชิ้นนี้คือ ปอแนมีอัตลักษณ์ทางเพศที่ถูกปฏิเสธจากสังคมจากครอบครัวและชุมชนมุสลิมในปัตตานีผ่านการตีความบทบาทศาสนาสร้างความเครียดเรื้อรังและปัญหาสุขภาพจิต สะท้อนความเหลื่อมล้ำด้านสุขภาพและสิทธิมนุษยชนของกลุ่มเปราะบาง เป้าหมายของการศึกษา คือ การสำรวจปัญหาสุขภาพและความเป็นอยู่ของปอแนในจังหวัดปัตตานี ใช้การวิจัยเชิงคุณภาพการสัมภาษณ์เชิงลึก การสัมภาษณ์กลุ่มจากผู้ให้ข้อมูล 22 คน ประกอบด้วยปอแน 15 คน ผู้ให้บริการสุขภาพ 6 คน และนักการเมืองท้องถิ่น 1 คน ผลการศึกษาพบว่า ปอแนเผชิญการปฏิเสธตัวตนจากครอบครัวและชุมชนมุสลิมในปัตตานี ซึ่งตีความบทบาททางเพศผ่านมุมมองศาสนาที่ตายตัว ส่งผลต่อปัญหาสุขภาพจิต เช่น ความเครียดเรื้อรัง ภาวะซึมเศร้า และความคิดฆ่าตัวตาย นอกจากนี้ ปัญหาการเข้าถึงบริการสุขภาพยังสะท้อนความเหลื่อมล้ำ ไม่เอื้อต่อการใช้บริการในโรงพยาบาลเนื่องจากภาพลักษณ์ไม่ตรงกับข้อมูลในบัตรประชาชน การอภิปรายผลชี้ให้เห็นปัจจัย 3 ด้านที่กระทบสุขภาพและความเป็นอยู่ของปอแน ได้แก่ สุขภาพกายและจิตใจ ปัจจัยทางสังคมและเศรษฐกิจ และการตีความบทบาทศาสนา งานวิจัยเสนอการพัฒนานโยบายสุขภาพที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะ การสร้างพื้นที่ปลอดภัยในชุมชน และการส่งเสริมความเข้าใจในความหลากหลายทางเพศ ลดความเหลื่อมล้ำและส่งเสริมความเท่าเทียม แนวทางเหล่านี้เชื่อมโยงกับเป้าหมาย SDGs และสร้างความยั่งยืนในสังคมโดยรวม</p> อลิสา หะสาเมาะ, กต โฮ ยัน เกรซ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jla_ubu/article/view/277746 Wed, 25 Jun 2025 00:00:00 +0700 ความเปราะบางของบุคคลในภาวะไร้รัฐไร้สัญชาติ ในพื้นที่ชายแดนไทยกับลาว จังหวัดอุบลราชธานี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jla_ubu/article/view/287954 <p>บทความวิจัยนี้ต้องการชี้ให้เห็นว่าภาวะไร้รัฐไร้สัญชาติของคนชายแดนไทย-ลาวเป็นผลจากกระบวนการอพยพเชิงประวัติศาสตร์และข้อจำกัดของรัฐไทยในการจัดการทะเบียนราษฎรในอดีต ซึ่งผลิตซ้ำความไม่เท่าเทียมในสถานะพลเมืองรุ่นแล้วรุ่นเล่า ส่งผลให้เกิดความเปราะบางแก่คนไร้รัฐไร้สัญชาติ อาศัยระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพประกอบด้วยการศึกษาเอกสารและการเก็บรวบรวมข้อมูลกรณีศึกษาจากการสัมภาษณ์เชิงลึกและการประชุมกลุ่มย่อย</p> <p>ผลการศึกษาพบว่าการดำรงอยู่ของบุคคลในภาวะไร้รัฐไร้สัญชาติเป็นผลจากภาวะสงครามเย็นที่นำไปสู่การอพยพของคนในภูมิภาคอินโดจีนมายังประเทศไทย ขณะที่รัฐไทยยังไม่ได้เข้าร่วมในอนุสัญญาว่าด้วยผู้ลี้ภัยในช่วงเวลาดังกล่าว และโครงสร้างกฎหมายในการรองรับการอพยพของรัฐไทยยังคงมีข้อจำกัดและเหมารวมคนกลุ่มนี้ว่าเป็นผู้เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายจนทำให้ผู้อพยพยเหล่านี้ตกอยู่ในสถานะไร้รัฐไร้สัญชาติที่ส่งผลมาจนถึงปัจจุบันและส่งผลกระทบต่อมายังรุ่นลูกและรุ่นหลานด้วย การดำรงอยู่ของคนไร้รัฐไร้สัญชาติในจังหวัดอุบลราชธานี ส่งผลให้ชีวิตของพวกเขาตกอยู่ในสภาพความเปราะบางในชีวิตที่เกิดขึ้นทั้งในมิติภาพ การเดินทาง การทำงาน และสิทธิในการครอบครองกรรมสิทธิ์ต่างๆ สถานการณ์ความเปราะบางจากความไร้รัฐไร้สัญชาติยังถูกทำให้เลวร้ายลงด้วยความไม่ชัดเจนในการตีความกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาสถานะบุคลล ส่งผลให้เจ้าหน้าที่รัฐจำนวนมากเลี่ยงโดยการใช้ดุลยพินิจ ซึ่งทำให้บุคคลไร้รัฐไร้สัญชาติถูกถ่วงรั้งให้คงอยู่ในความไร้รัฐไร้สัญชาติต่อไป ข้อเสนอจากงานวิจัยพบว่าความเปราะบางจากความไร้รัฐไร้สัญชาติเป็นสิ่งที่สามารถบรรเทาลงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมิติที่เกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ด้วยการเร่งพัฒนาสถานะให้ตรงกับข้อเท็จจริงและให้เกิดประสิทธิภาพ และควรพัฒนากลไกการดำเนินงานด้านสถานะบุคคลในเชิงกระจายอำนาจ ที่เปิดให้ชุมชนมีส่วนร่วม ตลอดทั้งเปิดโอกาสให้องค์กรปกครองท้องถิ่นและภาคประชาสังคมในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมในการทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐที่มีหน้าที่หลัก โดยดำเนินการในลักษณะทีมเคลื่อนที่ (mobile registration teams)</p> จันทรา ธนะวัฒนาวงศ์, ศิระศักดิ์ คชสวัสดิ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jla_ubu/article/view/287954 Wed, 25 Jun 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน โดยชุมชนบริเวณลุ่มน้ำมูล ประเทศไทย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jla_ubu/article/view/287624 <p>บทความนี้มุ่งศึกษากระบวนการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนโดยชุมชนในพื้นที่ลุ่มน้ำมูลในจังหวัดสุรินทร์และร้อยเอ็ด ซึ่งได้รับผลกระทบจากการบริหารจัดการน้ำของเขื่อนราษีไศล แม้เขื่อนจะถูกสร้างขึ้นเพื่อกักเก็บน้ำเพื่อการเกษตรและอุปโภคบริโภค แต่ชุมชนโดยรอบยังคงประสบปัญหาในการเข้าถึงแหล่งน้ำอย่างต่อเนื่อง งานวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีเชิงคุณภาพ โดยเก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึกและการสังเกตภาคสนามกับกลุ่มชาวบ้าน เจ้าหน้าที่รัฐ และนักวิชาการ รวมทั้งสิ้น 43 คน การวิเคราะห์ข้อมูลดำเนินการผ่านเครื่องมือ SWOT และ TOWS Matrix ร่วมกับกรอบแนวคิดเรื่องประชาสังคม เพื่อวิเคราะห์ศักยภาพและข้อจำกัดของชุมชนในการจัดการน้ำ ผลการวิจัยพบว่า การสร้างกลไกการจัดการน้ำที่ยั่งยืนจำเป็นต้องอาศัยอำนาจต่อรองและการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม โดยประชาชนสามารถใช้ระบบสวัสดิการในระดับชุมชนเป็นกลไกเชื่อมโยงสมาชิกภายในกลุ่ม และเป็นเครื่องมือสร้างพลังในการต่อรองกับภาครัฐ ข้อเสนอเชิงนโยบายที่ได้จากกระบวนการวิจัยประกอบด้วย 1) การกำหนดสัดส่วนตัวแทนจากภาคประชาสังคมในคณะกรรมการลุ่มน้ำให้เทียบเท่ากับตัวแทนจากภาครัฐ 2) การเสริมบทบาทของผู้นำชุมชนให้สามารถทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยข้อขัดแย้งอย่างเป็นกลาง 3) การจัดทำข้อตกลงด้านงบประมาณระหว่างรัฐและองค์กรปกครองท้องถิ่นให้มีความชัดเจนและโปร่งใส 4) การบังคับใช้กฎหมายอย่างเสมอภาค และ 5) การจัดสรรทรัพยากรน้ำโดยให้ความสำคัญแก่กลุ่มเปราะบางเป็นอันดับแรก เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและบรรเทาความขัดแย้งในชุมชน</p> พรศิริ ชีวาพัฒนานุวงศ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jla_ubu/article/view/287624 Wed, 25 Jun 2025 00:00:00 +0700 การวิเคราะห์ปรากฏการณ์ “ฅนตื่นธรรม” ตามแนวคิด การเสริมสร้างมโนธรรมสำนึกของเปาโล แฟร์ และ เส้นทางการเปลี่ยนแปลงของอลัน โรเจอร์ส https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jla_ubu/article/view/283951 <p>การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อวิเคราะห์ปรากฏการณ์ฅนตื่นธรรมตามแนวคิดการเสริมสร้างมโนธรรมสำนึกและเส้นทางของการเปลี่ยนแปลง และ (2) เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบจากปรากฏการณ์ฅนตื่นธรรมต่อคนไทยที่หันมาสนใจคำสอนนี้ ผลการศึกษาพบว่า ปรากฏการณ์ฅนตื่นธรรมสามารถเสริมสร้างมโนธรรมสำนึกให้เกิดขึ้นกับคนไทยที่หันมาสนใจคำสอนดังกล่าวได้ โดยพบว่ามีเส้นทางของการเปลี่ยนแปลงที่พึงประสงค์เกิดขึ้น 6 ขั้นตอน เมื่อพิจารณาที่ผลกระทบต่อคนไทยก็พบว่า มีคนไทยส่วนหนึ่งให้การต้อนรับฅนตื่นธรรมเป็นอย่างดี ซึ่งเห็นได้จากยอดเข้าชมคลิปวีดิทัศน์บนแอปพลิเคชัน อาทิ TikTok แม้ว่าการสอนของเขาจะมีลักษณะที่ดุดัน รุนแรง โผงผาง และไม่เกรงใจใครก็ตาม แต่ก็พยายามมุ่งไปสู่ความจริงด้วยการใช้ภาษาอย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งผลจากการฟังคำสอน ทำให้ผู้สนใจเกิดความสบายใจและเกิดมโนธรรมสำนึกตามประเด็นต่างๆ ที่ถูกนำมาใช้สอนได้ จนเกิดเป็นแนวโน้มอันเป็นการจุดประเด็นการทำลายความเชื่องมงายในสังคมไทยออกไปในวงกว้างขึ้นมาได้ อย่างไรก็ดี แนวทางการนำเสนอของฅนตื่นธรรมก็ยังคงมีข้อจำกัดอยู่ที่กลุ่มเป้าหมาย โดยส่วนใหญ่ได้รับเพียงการกระตุ้นความตระหนักรู้ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่พึงประสงค์จากการรับชมคลิปวีดิทัศน์สั้นๆ เท่านั้น แต่คนส่วนใหญ่กลุ่มนี้ ก็ยังไม่ได้รับการศึกษาหรือการฝึกอบรม (ต่อมา) เพื่อการพัฒนาทักษะ ความรู้ หรือความเข้าใจตามประเด็นต่างๆ เพื่อนำมาใช้แก้ไขปัญหาตามสภาวการณ์ต่างๆ ในชีวิตได้อย่างสอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริง</p> ไพบูลย์ โพธิ์หวังประสิทธิ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jla_ubu/article/view/283951 Wed, 25 Jun 2025 00:00:00 +0700 การสร้างวาทกรรมชาตินิยมของหนังสือพิมพ์ภาษาจีนในสยาม ช่วงปลายพุทธทศวรรษ 2450 ถึงต้นพุทธทศวรรษ 2470 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jla_ubu/article/view/280105 <p>บทความชิ้นนี้มุ่งตรวจสอบบทบาทของหนังสือพิมพ์ในการก่อรูปจิตสำนึกชาตินิยมของคนจีนในสยาม โดยวิเคราะห์จากยุทธศาสตร์การใช้โวหารในหนังสือพิมพ์ภาษาจีนที่ตีพิมพ์ในสยาม โดยพิจารณาจากหนังสือพิมพ์ภาษาจีนที่ตีพิมพ์ออกมาในช่วงปลายพุทธทศวรรษ 2450 ถึงต้นพุทธทศวรรษ 2470 และสำรวจดูว่าสื่อสิ่งพิมพ์เหล่านี้มีคุณูปการอย่างไรบ้างต่อการสร้างและเผยแพร่อุดมการณ์ชาตินิยมในหมู่ชาวจีนในสยาม จากการวิเคราะห์ถึงข้อมูลต่างๆ ที่ปรากฏอยู่ในหนังสือพิมพ์ภาษาจีนสามฉบับ คือ เทียนฮั่นกงเป้า หัวเซียนซินเป้า และ จงหัวหมินเป้า งานวิจัยชิ้นนี้สามารถบ่งชี้ได้ถึงเครื่องมือทางโวหาร ตัวอย่างเช่น แนวคิด “ซานหมินจู่อี้” (ลัทธิไตรราษฏร์) ของซุนยัดเซ็น [ชาตินิยม ประชาธิปไตย และชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน] และแนวคิดแบบต่อต้านค่านิยมเก่าซึ่งเริ่มปรากฏขึ้นในช่วงขบวนการเคลื่อนไหว 4 พฤษภาคม พ.ศ.2462 คือสิ่งที่ถูกหยิบขึ้นมาใช้สนับสนุนอัตลักษณ์ความเป็นชาติและความเป็นเอกภาพของชาวจีนอยู่อย่างสม่ำเสมอ</p> <p>ข้อค้นพบดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า หนังสือพิมพ์ภาษาจีนดังกล่าวไม่ได้รับใช้ในฐานะเวทีของตัวแสดงทางการเมือง แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการก่อร่างเรื่องเล่าที่ผนึกแนบแน่นอยู่กับเป้าหมายของขบวนการชาตินิยม ยิ่งไปกว่านั้น การศึกษานี้ยังได้เน้นให้เห็นถึงรูปแบบและเทคนิคทางวารสารศาสตร์บางอย่าง ตัวอย่างเช่น การรายงานข่าว การแสดงความคิดเห็น และการโฆษณาสินค้าของชาติ ข้อค้นพบเหล่านี้จะเอื้อต่อการทำความเข้าใจในเรื่องปฏิสัมพันธ์อันล้ำลึกระหว่างสื่อกับการเมืองในกระบวนการสร้างสำนึกชาตินิยมของชาวจีนในสยาม</p> เจาหยาง หวาง, ทวีศักดิ์ เผือกสม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jla_ubu/article/view/280105 Wed, 25 Jun 2025 00:00:00 +0700 ความคิดเห็นเกี่ยวกับบทบาทการเสริมสร้างพลังชุมชนของผู้พิพากษาสมทบในศาลเยาวชนและครอบครัวที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนผู้กระทำผิด: กรณีศึกษาจังหวัดพังงา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jla_ubu/article/view/287523 <p>การวิจัยเชิงปริมาณนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความคิดเห็นต่อบทบาทและการเสริมสร้างพลังชุมชนเพื่อการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนผู้กระทำผิดของศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดพังงา 2) ศึกษาผลของบทบาทและการเสริมสร้างพลังชุมชนที่มีต่อประสิทธิผลการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนกระทำผิดของศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดพังงา โดยเก็บข้อมูลจากผู้พิพากษาสมทบ จำนวน 18 คน และเจ้าหน้าที่ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดพังงา จำนวน 15 คน รวมจำนวน 33 คน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้ค่าสถิติพื้นฐาน การวิเคราะห์สหสัมพันธ์ และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ความคิดเห็นของผู้ให้ข้อมูลที่มีต่อบทบาทผู้พิพากษาสมทบ การเสริมสร้างพลังชุมชน และประสิทธิผลการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชน อยู่ในระดับมากที่สุดทั้ง 3 ด้าน โดยมีค่าเฉลี่ย 4.30, 4.28 และ 4.35 ตามลำดับ 2) การเสริมสร้างพลังชุมชนมีความสัมพันธ์กับประสิทธิผลการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (r = 0.572) โดยมีความสัมพันธ์ในระดับปานกลาง และสามารถพยากรณ์ประสิทธิผลการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนได้ร้อยละ 33.7 โดยปัจจัยส่งเสริมการเสริมสร้างพลังชุมชนของผู้พิพากษาสมทบที่สำคัญ คือ การมีเครือข่ายความร่วมมือกับองค์กรต่าง ๆ ส่วนปัจจัยที่เป็นอุปสรรคการเสริมสร้างพลังชุมชนของผู้พิพากษาสมทบที่สำคัญ คือ การขาดงบประมาณและทรัพยากรสนับสนุนในการดำเนินโครงการ</p> ลภัสรดา จิตวารินทร์, ตฤณห์ โพธิ์รักษา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jla_ubu/article/view/287523 Wed, 25 Jun 2025 00:00:00 +0700