วารสารนวัตกรรมธุรกิจ การจัดการ และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jibim <p>เพื่อเผยแพร่ผลงานวิจัยและผลงานวิชาการ นวัตกรรม ความก้าวหน้างานวิจัย และการสร้างสรรค์ผลงานทางวิชาการของนักวิจัย คณาจารย์และนักศึกษา ในสาขาบริหารธุรกิจ การจัดการ การตลาด เศรษฐศาสตร์ และสาขาอื่นๆ ที่เกียวข้อง เป็นต้น</p> วิทยาลัยนวัตกรรมการจัดการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ th-TH วารสารนวัตกรรมธุรกิจ การจัดการ และสังคมศาสตร์ 2697-6609 กลยุทธ์การตลาดดิจิทัลธุรกิจอาหารเสริมเพื่อสุขภาพสำหรับกลุ่มสปอร์โนเซ็กชวลในเขตกรุงเทพมหานคร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jibim/article/view/270463 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาทัศนคติและพฤติกรรมผู้บริโภคอาหารเสริมเพื่อสุขภาพสำหรับกลุ่มสปอร์โนเซ็กชวลในเขตกรุงเทพมหานคร (2) วิเคราะห์สภาพการณ์ปัจจุบัน โอกาสและอุปสรรคของธุรกิจอาหารเสริมเพื่อสุขภาพสำหรับกลุ่มสปอร์โนเซ็กชวลในเขตกรุงเทพมหานคร และ (3) นำเสนอกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลธุรกิจอาหารเสริมเพื่อสุขภาพสำหรับกลุ่มสปอร์โนเซ็กชวลในเขตกรุงเทพมหานคร ในปัจจุบัน ผู้บริโภคในประเทศไทยจำนวนมากหันมาให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพของตนเองมากขึ้นทำให้ธุรกิจอาหารเสริมมีมูลค่าเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ขณะเดียวกันกลุ่มสปอร์โนเซ็กชวลให้ความสำคัญกับการดูแลใบหน้าและผิวพรรณ และสุขภาพของตนเองก็ถือว่าเป็นกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายของธุรกิจอาหารเสริมเพื่อสุขภาพ ผู้วิจัยจึงเก็บข้อมูลแบบสัมภาษณ์เชิงลึกจากกลุ่มตัวอย่างประชากรกลุ่มสปอร์โนเซ็กชวลในเขตกรุงเทพมหานครจำนวน 15 ท่าน ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มสปอร์โนเซ็กชวลให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพของตนเองและสนใจที่จะซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพโดยคำนึงถึงคุณภาพของผลิตภัณฑ์เป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อ และนิยมซื้อผ่านทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ โดยพวกเขารู้จักแบรนด์ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพจากช่องทางหรือบุคคลที่แตกต่างกันไป จากผลการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในและภายนอก กลยุทธ์การตลาดดิจิทัลจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อธุรกิจอาหารเสริมเพื่อสุขภาพ โดยกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลที่เหมาะสมประกอบด้วยการใช้การตลาดอินฟลูเอนเซอร์ การยิงโฆษณาในโซเชียลมีเดีย การจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ่านแพลตฟอร์มซื้อ-ขายออนไลน์ต่าง ๆ การประชาสัมพันธ์ให้ผู้บริโภครับรู้ถึงช่องทางที่ผลิตภัณฑ์แท้ของตนเองวางจำหน่าย และควรโฆษณาผลิตภัณฑ์โดยนำเสนอคุณภาพของผลิตภัณฑ์เป็นจุดขายผ่านช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ ผลการศึกษานี้สร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมผู้บริโภคกลุ่มสปอร์โนเซ็กชวล ผู้วิจัยแนะนำให้มีการศึกษาเพื่อวิเคราะห์สภาพแวดล้อมรวมถึงสภาพการณ์ปัจจุบัน โอกาสและอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจอาหารเสริมเพื่อสุขภาพสำหรับกลุ่มสปอร์โนเซ็กชวลในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง</p> ถิรวุฒิ แสงมณีเดช บำเพ็ญ ไมตรีโสภณ Copyright (c) 2023 วารสารนวัตกรรมธุรกิจ การจัดการ และสังคมศาสตร์ 2023-12-22 2023-12-22 4 3 1 19 รูปแบบการวิเคราะห์อิทธิพลเชิงสาเหตุของปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคอลลาเจน https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jibim/article/view/270541 <p>งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาความสัมพันธ์ของความคาดหวังของลูกค้า การรับรู้คุณภาพ การรับรู้คุณค่าของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคอลลาเจน (2) วิเคราะห์อิทธิพลของปัจจัยที่ส่งผลต่อความพึงพอใจผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคอลลาเจน (3) วิเคราะห์อิทธิพลของความพึงพอใจและแรงจูงใจที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคอลลาเจน (4) ตรวจสอบความสอดคล้องของโมเดลสมการโครงสร้างความพึงพอใจที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคอลลาเจนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามออนไลน์สุ่มตัวอย่างแบบสะดวก ผ่านช่องทางเฟซบุ๊ก จำนวน 523 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์เส้นทาง ผลการวิจัยพบว่า (1) ความคาดหวังของลูกค้ามีความสัมพันธ์เชิงบวกต่อการรับรู้คุณภาพของผลิตภัณฑ์และการรับรู้คุณภาพของผลิตภัณฑ์มีความสัมพันธ์เชิงบวกต่อการรับรู้คุณค่าของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคอลลาเจน ในขณะที่ความคาดหวังของลูกค้าไม่มีความสัมพันธ์ต่อการรับรู้คุณค่าของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคอลลาเจน (2) การรับรู้คุณภาพของผลิตภัณฑ์มีอิทธิพลทางอ้อมผ่าน การรับรู้คุณค่าของผลิตภัณฑ์ที่มีอิทธิพลทางตรงต่อความพึงพอใจผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคอลลาเจน ในขณะที่ความคาดหวังของลูกค้าและการรับรู้คุณภาพผลิตภัณฑ์ไม่มีอิทธิพลทางตรงต่อความพึงพอใจผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคอลลาเจน (3) ความพึงพอใจและแรงจูงใจมีอิทธิพลทางตรงต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคอลลาเจน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (4) ผลการตรวจสอบความสอดคล้องของโมเดลสมการโครงสร้างความพึงพอใจกับข้อมูลเชิงประจักษ์ พบว่า มีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ มีค่า c<sup>2</sup>= 179.887 ค่า c<sup>2</sup> /df = .957 ค่า p-value = .652 ค่า GFI = 0.971 และค่า RMSEA = 0.000 ดังนั้น ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญกับความคาดหวังของลูกค้าต่อคุณภาพของผลิตภัณฑ์และการรับรู้คุณค่าของผลิตภัณฑ์ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อความพึงพอใจของลูกค้าเช่นเดียวกับแรงจูงใจ และจะนำไปสู่การตัดสินใจซื้อได้</p> วิทวัช น้อมบุญส่งศรี รุจิภาส โพธิ์ทองแสงอรุณ Copyright (c) 2023 วารสารนวัตกรรมธุรกิจ การจัดการ และสังคมศาสตร์ 2023-12-22 2023-12-22 4 3 20 40 Examining the January Effect in Thailand’s Stock Market: A 48-year Journey Since Its Inception https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jibim/article/view/270834 <p> This research aims to conduct a fundamental test to determine whether the January Effect occurs in the Thai stock market. The January Effect refers to a calendar anomaly occasionally witnessed in the market, where stock prices exhibit a tendency to rise more during the month of January compared to other months throughout the year. This calendar effect would create an opportunity for investors to buy stocks for lower prices before January and sell them after their value increases. The occurrence of the January Effect is not consistently observed, and its exact underlying causes remain uncertain, despite various proposed explanations. </p> <p> The study covers a comprehensive and extensive time frame, spanning approximately 48 years, starting from the first trading day in 1975 to 2023. The data used in this study consists of the Stock Exchange of Thailand's main index, , known as the SET index. The study compared the average index level during the month of January with the average index level in the preceding December. Descriptive and inferential statistical analysis were employed to analyze the data.</p> <p> The research findings reveal that the January Effect occurred in the Thai stock market with a high probability of 62.5 percent (30 years out of 48 years of history). On average, throughout the inception period of 48 years, the index level in January was higher than that of December in the previous year by 2.86 percent. Additionally, in the 30 years where the January Effect occurred, the SET index showed an average increase of 6.08 percent in January. Regardless, it has been observed that the occurrence of this phenomenon was decreasing. In the most recent decade, there was only a 50 percent chance of it happening.</p> Komwut Wissawapaisal Copyright (c) 2023 วารสารนวัตกรรมธุรกิจ การจัดการ และสังคมศาสตร์ 2023-12-22 2023-12-22 4 3 41 51 Dollar-Cost Averaging in Thailand’s Equity Index Mutual Fund and Day-of-the-Week Effect https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jibim/article/view/270950 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;This study aimed to address the question of which day of the week is optimal for purchasing mutual funds to maximize investment returns. It examined the day-of-the-week effect in investment and explores the concept of Dollar-Cost Averaging (DCA) in an equity mutual fund. The research focused on testing an index fund representing all listed publicly companies in the Thai stock market (SCBSET) over different time periods ranging from 5 years to 25 years. Continuous investments had been made in the mutual fund throughout these durations. The results indicated that there was no significant difference in long-term investment returns. However, it is noteworthy that purchasing mutual fund units on Mondays yields the highest returns, aligning with previous research suggesting that Mondays exhibit more negative price movements compared any other day of the week.&nbsp; In this regards, dollar-cost averaging proves beneficial as investors have the opportunity to buy more units at lower costs on Monday. This results in a higher return on investment over the long term in comparison. &nbsp;In addition, implementing DCA every Friday may lead to the lowest potential returns as the stock market tends to experience the highest upward adjustments on that day. For investors planning to sell their investments, Fridays could potentially offer the best returns.</p> Komwut Wissawapaisal Copyright (c) 2023 วารสารนวัตกรรมธุรกิจ การจัดการ และสังคมศาสตร์ 2023-12-22 2023-12-22 4 3 52 62 ความต้องการใช้น้ำและแนวทางการจัดสรรน้ำที่คำนึงถึงมิติทางเศรษฐกิจ: กรณีศึกษากลุ่มลุ่มน้ำภาคตะวันออกของประเทศไทย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jibim/article/view/271611 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อประมาณความต้องการใช้น้ำของพื้นที่ลุ่มน้ำภาคตะวันออกและ (2) ศึกษาแนวทางการจัดสรรทรัพยากรน้ำไปยังภาคส่วนต่าง ๆ โดยคำนึงถึงมิติทางเศรษฐกิจของลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลตะวันออก เพื่อนำไปสู่ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายอันจะเป็นประโยชน์ในการกำหนดนโยบายการจัดการน้ำของประเทศ การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กรอบแนวคิดและเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลที่ใช้ในการวิจัยนี้คือ (1) ตารางปัจจัยการผลิตระดับลุ่มน้ำที่มีบัญชีน้ำ (2) ตัวชี้วัดปริมาณความต้องการใช้น้ำ ซึ่งประกอบด้วย 3 ตัวชี้วัด ได้แก่รอยเท้าน้ำ หรือ Water Footprint (WF) ค่าสัมประสิทธิ์การใช้น้ำของแต่ละสาขา หรือ Water Input Content (WIC) และ ผลิตภาพการใช้น้ำ หรือ Water Intensity (WI) และ (3) แบบจำลองการประมาณการเปลี่ยนแปลง ผลการศึกษาพบว่า (1) สาขาการผลิตที่มี Water Footprint หรือความต้องการใช้น้ำทั้งทางตรงและทางอ้อมสูงที่สุดคือ สาขาอุตสาหกรรม แต่สาขาอุตสาหกรรมเป็นสาขาที่มีประสิทธิภาพการใช้น้ำมากเมื่อเปรียบเทียบกับมูลค่าที่ผลิตได้ (2) ภาคเกษตรนั้นมีปริมาณความต้องการใช้น้ำทั้งทางตรงและทางอ้อมค่อนข้างสูง และมีประสิทธิภาพการใช้น้ำที่น้อยกว่าสาขาการผลิตอื่น (3) ภาคบริการมีความต้องการใช้น้ำทั้งทางตรงและทางอ้อมน้อยกว่าสาขาการผลิตอื่น ๆ และเป็นสาขาที่มีประสิทธิภาพการใช้น้ำมากเมื่อเปรียบเทียบกับมูลค่าที่ผลิตได้ (4) สำหรับแนวทางการจัดสรรน้ำของลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลตะวันออก แนวทางการจัดสรรน้ำโดยให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมและบริการ (จัดสรรน้ำให้ภาคอุตสาหกรรมและบริการก่อน เมื่อเหลือจึงจัดสรรให้กับภาคเกษตร) เป็นแนวทางที่เหมาะสมเมื่อพิจารณาถึงผลกระทบในมิติทางเศรษฐกิจ</p> ปาณิศา วิชุพงษ์ ศุภวัฒน์ สุขะปรเมษฐ ศรัณย์ ประวิตรางกูร Copyright (c) 2023 วารสารนวัตกรรมธุรกิจ การจัดการ และสังคมศาสตร์ 2023-12-22 2023-12-22 4 3 63 84 การลดต้นทุนและเพิ่มกำไรในธุรกิจสถานีบริการน้ำมัน: กรณีศึกษาจังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jibim/article/view/273182 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) วิเคราะห์โครงสร้างต้นทุนของธุรกิจสถานีบริการน้ำมันในจังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลา (2) วิเคราะห์วิธีการลดต้นทุนของธุรกิจสถานีบริการน้ำมันในจังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลา และ (3) วิเคราะห์วิธีการเพิ่มกำไรของธุรกิจสถานีบริการน้ำมันในจังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลา ผู้ให้ข้อมูลหลัก คือ ผู้ประกอบการสถานีบริการน้ำมัน ผู้บริหาร หรือผู้จัดการที่มีประสบการณ์ทำงานไม่น้อยกว่า 5 ปี ในจังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลา เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีจำนวนสถานีบริการน้ำมันมากที่สุดของภาคใต้ โดยพบว่าผู้ให้ข้อมูลหลักอิ่มตัวที่จำนวน 9 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง การวิเคราะห์ข้อมูลใช้แบบเชิงประเด็นและตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้า ผลการวิเคราะห์ข้อมูล พบว่า (1) โครงสร้างต้นทุนของธุรกิจสถานีบริการน้ำมัน ประกอบด้วย ต้นทุนน้ำมัน ต้นทุนแรงงาน ต้นทุนค่าไฟ ต้นทุนค่าเสื่อมของอุปกรณ์ และต้นทุนค่าภาษี (2) การคาดคะเนยอดขายเพื่อสต๊อกสินค้าให้เพียงพอต่อการขาย การติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมัน การให้พนักงานทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ การฝึกอบรมในการใช้งานอุปกรณ์ การลดอัตราการใช้ไฟโดยรวมและใช้เทคโนโลยีโซลาเซลล์ รวมถึงการวางแผนระบบการจัดการภาษีมีส่วนสำคัญในการลดต้นทุนของธุรกิจสถานีบริการน้ำมันลงได้ (3) สำหรับวิธีการเพิ่มกำไรของสถานีบริการน้ำมันนั้นผู้บริหารควรบริหารจัดการพื้นที่ให้สามารถใช้ประโยชน์ได้สูงสุด โดยการเปิดธุรกิจเสริมอื่น ๆ เช่น ร้านอาหาร หรือร้านกาแฟ เพราะจะทำให้เกิดชุมชนขึ้นภายในสถานีบริการน้ำมัน ประกอบกับการนำกลยุทธ์การตลาดบริการ (7P’s) มาประยุกต์ใช้</p> ฤทธิรงค์ ช่วยป้อง เจษฎา นกน้อย Copyright (c) 2023 วารสารนวัตกรรมธุรกิจ การจัดการ และสังคมศาสตร์ 2023-12-22 2023-12-22 4 3 85 103