มนุษยสังคมสาร (มสส.) คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhusoc <p><strong>มนุษยสังคมสาร (มสส.) ปีที่ 22 ฉบับที่ 1<br /></strong><strong>(มกราคม-เมษายน) 2567</strong></p> <p><em><strong> ISSN 2673-0243 (Print)<br />ISSN 2774-1451 (Online) </strong></em></p> <p> --------------------------------------------------------------------------------</p> <p> “มนุษยสังคมสาร” คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ มีนโยบายในการรับตีพิมพ์เผยแพร่บทความที่ครอบคลุมสาขาวิชาหลัก (Main subject Category) คือ Social Sciences และจะต้องอยู่ใน 3 กลุ่มสาขาวิชา (Subject areas) คือ 1) Arts and Humanities, 2) Economics, Econometrics and Finance, 3) Social Sciences ซึ่งจะต้องอยู่ใน 5 กลุ่มย่อย (Sub-subject areas) คือ 1) General Arts and Humanities, 2) Language and Linguistics, 3) General Economics, Econometrics and Finance, 4) General Social Sciences, 5) Sociology and Political Sciences</p> <p> “มนุษยสังคมสาร” มีกำหนดการเผยแพร่ปีละ 3 ฉบับ (มกราคม-เมษายน / พฤษภาคม-สิงหาคม / กันยายน-ธันวาคม) แต่อาจจะออกเป็นฉบับพิเศษ (Special issue) ในการร่วมประชุมวิชาการระดับชาติและนานาชาติกับทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ไม่เกินปีละ 2 ฉบับ</p> <p> ทุกบทความใน “มนุษยสังคมสาร” จะต้องผ่านการพิชญพิจารณ์โดยผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer reviewer) ในสาขาที่เกี่ยวข้องซึ่งเป็นบุคคลภายนอกจากหลากหลายสถาบัน อย่างน้อย 3 คน โดยผู้ทรงคุณวุฒิไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์บทความนั้น (Double-blind peer review) ทั้งนี้ เพื่อให้บทความมีคุณภาพและได้มาตรฐานทางวิชาการ บทความที่ส่งมาขอรับการตีพิมพ์ใน “มนุษยสังคมสาร” จะต้องไม่เคยตีพิมพ์หรืออยู่ระหว่างการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อตีพิมพ์ในวารสารอื่น ผู้นิพนธ์บทความจะต้องปฏิบัติตามระบบการอ้างอิงเอกสารและหลักเกณฑ์การเสนอบทความวิชาการหรือบทความวิจัยย่างเคร่งครัด</p> <p> ผู้นิพนธ์ที่จะส่งบทความมาตีพิมพ์เผยแพร่ใน “มนุษยสังคมสาร” จะต้องส่งผลการคัดลอกหรือลอกเลียนผลงาน (Plagiarism) ด้วยโปรแกรมอักขราวิสุทธิ์ ผ่านเว็บไซต์ <a href="http://plag.grad.chula.ac.th/">http://plag.grad.chula.ac.th/</a> โดยร้อยละของดัชนีความซ้ำซ้อนของบทความไม่เกินร้อยละ 7 ทั้งนี้ ให้ผู้นิพนธ์แนบผลการคัดลอกหรือลอกเลียนผลงานส่งมาที่วารสารพร้อมกับบทความด้วย</p> <p> ข้อความภายในบทความที่ตีพิมพ์ใน “มนุษยสังคมสาร” ทั้งหมด รวมถึงรูปภาพประกอบ ตาราง เป็นลิขสิทธิ์ของ “มนุษยสังคมสาร” การนำเนื้อหา ข้อความหรือข้อคิดเห็น รูปภาพ ตารางที่ปรากฏในบทความไปจัดพิมพ์เผยแพร่ในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ต้องได้รับอนุญาตจากกองบรรณาธิการวารสารอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร วารสารอนุญาตให้สามารถนำไฟล์บทความไปเผยแพร่ต่อเพื่อประโยชน์ทางวิชาการได้ แต่ต้องแสดงที่มาจากวารสาร โดยห้ามแก้ไขดัดแปลงเนื้อหาใด ๆ ที่ปรากฏในวารสารนี้ ทัศนะและความคิดเห็น ตลอดถึงข้อผิดพลาดใด ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในบทความใน “มนุษยสังคมสาร” ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้นิพนธ์บทความนั้น โดยไม่เกี่ยวข้องกับกองบรรณาธิการ</p> th-TH <p><em>เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารทดสอบระบบ </em><em>ThaiJo2 ถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรงซึ่งกองบรรณาธิการวารสาร ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใดๆ</em></p> <p><em>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารทดสอบระบบ ThaiJo2 ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารทดสอบระบบ ThaiJo2 หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือเพื่อกระทำการใดๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักอักษรจากวารสารทดสอบระบบ ThaiJo2 ก่อนเท่านั้น</em></p> <p><em>&nbsp;</em></p> akkarapon2512@gmail.com (รองศาสตราจารย์.ดร.อัครพนท์ เนื้อไม้หอม) Nittaya.or@bru.ac.th (นางสาวจรัลรัตน์ อุ่นรัมย์) Sun, 28 Apr 2024 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การพัฒนาระบบสารสนเทศแผนที่อัจฉริยะเชื่อมโยงความเชื่อเกี่ยวกับพญานาค เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม โดยใช้ข้อมูลชุมชนเป็นฐาน https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhusoc/article/view/273684 <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาพลวัตคติชนความเชื่อพญานาคแต่ละพื้นถิ่น 2) พัฒนาระบบสารสนเทศแผนที่อัจฉริยะเชื่อมโยงความเชื่อเกี่ยวกับพญานาค 3) ส่งเสริมการเรียนรู้และปรับใช้ระบบสารสนแผนที่ความเชื่อเกี่ยวกับพญานาค ผู้ให้ข้อมูลหลัก ได้แก่ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องความเชื่อในเรื่องพญานาค จำนวน 30 คน ประเมินความพึงพอใจต่อการใช้ระบบสารสนเทศ จำนวน 150 คน โดยเลือกแบบเจาะจง วิเคราะห์ข้อมูลโดยการจัดกลุ่มเนื้อหา อธิบายเชิงพรรณนา และข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้สถิติ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) พลวัตคติชนความเชื่อพญานาคแต่ละพื้นถิ่น สะท้อนให้เห็นบริบท ภูมิศาสตร์ และกายภาพของพญานาคที่มีความแตกต่างกันสามารถแบ่งออกเป็น 4 ยุค 2) การพัฒนาระบบสารสนเทศแผนที่อัจฉริยะ ได้นำเสนอความเชื่อมโยงแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 1) ส่วนของระบบสารสนเทศในการบริหารจัดการข้อมูล 2) พิกัดเพื่อสร้างความเชื่อมโยงด้วยระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ ความพึงพอใจของกลุ่มผู้ใช้งานที่มีต่อระบบสารสนเทศแผนที่อัจฉริยะ 3) การเรียนรู้และปรับใช้ระบบสารสนเทศฯ มีความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับมาก ( = 4.50, S.D. = 0.67)</p> บุญมี โททำ, กษมา ดอกดวง, ปิยะวัฒน์ อัฒจักร, สิริวรัญญา เลิศสกุลรุ่งเรือง Copyright (c) 2024 มนุษยสังคมสาร (มสส.) คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhusoc/article/view/273684 Sun, 28 Apr 2024 00:00:00 +0700 การเพิ่มมูลค่าเชิงเศรษฐกิจของผ้าทอลุ่มน้ำโขงจากความหลากหลายของทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhusoc/article/view/273558 <p> การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความหลากหลายของทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชนผ้าทอลุ่มน้ำโขง 2) เพื่อศึกษาแนวทางการเพิ่มมูลค่าเชิงเศรษฐกิจของผ้าทอในชุมชนลุ่มน้ำโขง เก็บรวบรวมข้อมูลภาคสนามด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก ผู้ให้ข้อมูลจำนวน 30 คน วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ผลการวิจัยพบว่า ชุมชนในลุ่มน้ำโขงในประเทศไทย-ลาว ยังคงสืบทอดแนวปฏิบัติการทอผ้ามาจากบรรพบุรุษ และมีความหลากหลายของทรัพยากรชีวภาพที่อุดมสมบูรณ์ จึงได้ประยุกต์เอาวัตถุดิบที่มีอยู่ในชุมชนเป็นสีย้อมผ้าเพื่อทอผ้าใช้ในครัวเรือน และเพื่อจำหน่ายในชุมชน โดยการย้อมสีธรรมชาติจากพืชท้องถิ่นนี้เป็นภูมิปัญญาที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ทั้งนี้ แนวทางการเพิ่มมูลค่าเชิงเศรษฐกิจของผ้าทอในชุมชนลุ่มน้ำโขงไทย-ลาว ได้เน้นกระบวนการมีส่วนร่วมในการเรียนรู้องค์ความรู้ และทักษะการพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าทอด้านลวดลาย และการออกแบบลวดลายเพื่อให้เกิดความแปลกใหม่ และทันสมัยสามารถที่จะตอบสนองต่อความต้องการในปัจจุบันได้</p> ชฎาพร แนบชิด, ปาณิภรณ์ ธีระวงศนันท์, วิไลวรรณ อุดหนุน Copyright (c) 2024 มนุษยสังคมสาร (มสส.) คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhusoc/article/view/273558 Sun, 28 Apr 2024 00:00:00 +0700 การศึกษาและพัฒนาของที่ระลึกจุดท่องเที่ยวชุมชนตามอัตลักษณ์วัฒนธรรมชาวกูย บ้านรงระ อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhusoc/article/view/273566 <p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาผลิตภัณฑ์ของที่ระลึกชุมชนท่องเที่ยวตามอัตลักษณ์วัฒนธรรมชาวกูย 2) พัฒนาผลิตภัณฑ์ของที่ระลึกชุมชนท่องเที่ยวตามอัตลักษณ์วัฒนธรรมชาวกูย และ 3) ประเมินความพึงพอใจต่อการพัฒนาของที่ระลึกชุมชนท่องเที่ยวตามอัตลักษณ์วัฒนธรรมชาวกูย ซึ่งผู้วิจัยใช้วิธีการสังเกตการณ์ การสนทนากลุ่ม การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง และการทำแบบสอบถาม ซึ่งมีผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มผลิตผ้าแส่วและของที่ระลึกบ้านรงระ กลุ่มนักท่องเที่ยว และผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบและการตลาด หลังจากนั้นผู้วิจัยได้นำข้อมูลมาวิเคราะห์อัตลักษณ์ชุมชนเพื่อใช้ในการออกแบบกระเป๋าแส่วและตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบ ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มนักท่องเที่ยวต้องการกระเป๋าแส่ว 2 ประเภท คือ กระเป๋าสะพายข้าง และกระเป๋าถือหูยาว ผู้วิจัยจึงทำการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบและทดสอบความพึงพอใจ พบว่า กลุ่มนักท่องเที่ยวมีผลการประเมินความพึงพอใจก่อนได้รับการพัฒนาของที่ระลึกตามอัตลักษณ์วัฒนธรรมชาวกูยบ้านรงระ โดยเรียงตามลำดับความพึงพอใจจากมากไปน้อย ดังนี้ ด้านความเหมาะสมต่อการใช้งาน ( =3.8, S.D.=0.5) รองลงมา คือ ด้านการออกแบบ ( =3.5, S.D.=0.5) และด้านการตลาด ( =3.4, S.D.=0.6) เมื่อผู้วิจัยทำการพัฒนาของที่ระลึกตามอัตลักษณ์วัฒนธรรมชาวกูยบ้านรงระ จึงได้ทำการวัดผลการประเมินความ<br />พึงพอใจอีกครั้ง โดยเรียงตามลำดับความพึงพอใจจากมากไปน้อย ดังนี้ ด้านความเหมาะสมต่อการใช้งาน ( =4.2, S.D.=0.5) รองลงมา คือ ด้านการออกแบบ ( =4.0, S.D.=0.5) และด้านการตลาด ( =3.8, S.D.=0.6) และหากเทียบจากก่อนการพัฒนา พบว่า มีแนวโน้มดีขึ้นทุกด้าน</p> โพธิ์พงศ์ ฉัตรนันทภรณ์ Copyright (c) 2024 มนุษยสังคมสาร (มสส.) คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhusoc/article/view/273566 Sun, 28 Apr 2024 00:00:00 +0700 วัฒนธรรมการผลิตและการเปลี่ยนแปลงข้าวพื้นเมืองจังหวัดจันทบุรี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhusoc/article/view/272672 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวัฒนธรรมการผลิตข้าวพื้นเมืองและจัดทำฐานข้อมูลทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น จ.จันทบุรี 3 พื้นที่ คือ พื้นที่เชิงเขา พื้นที่น้ำจืด และพื้นที่ติดกับทะเล ระเบียบวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) คือ 1) การเลือกตัวอย่างเชิงคุณภาพที่มีความแตกต่างกันในเชิงบริบทของวัฒนธรรม เศรษฐกิจ และภูมิปัญญาท้องถิ่น 2) การสัมภาษณ์เจาะลึกชาวนา 10 คน และ 3) การสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วม ผลการวิจัยพบว่า วัฒนธรรมการผลิตและการเปลี่ยนแปลงข้าวพื้นเมืองในอดีตทั้ง 3 พื้นที่ มีลักษณะหลักคล้ายกัน คือ แรงงานคน และสัตว์ ผลิตเพื่อบริโภคภายในครัวเรือนเหลือขาย ภายใต้ภูมิปัญญาท้องถิ่น ปัจจุบันเปลี่ยนแปลงพลังการผลิตจากแรงงานสัตว์แทนด้วยเครื่องจักร และยังคงผลิตเพื่อยังชีพเหลือขาย ส่วนที่แตกต่างกัน: 1) พื้นที่เชิงเขาของกลุ่มชาติพันธุ์ชอง ทำนาแบบนาไร่หรือ “นาบก” ปีละ 1 ครั้ง และยังคงรักษาวิถีการผลิตดั่งเดิม และรวมกลุ่มเพื่อทำข้าวอินทรีย์ 2) พื้นที่น้ำจืด ทำนาแบบนาสวน ปีละ 2 ครั้ง ควบคู่การปลูกต้นกกทอเสื่อเพื่อขาย และ 3) พื้นที่ติดกับทะเล ทำนาแบบนาสวนปีละ 1-2 ครั้ง ชุมชนและ อบต.หนองชิ่ม ร่วมกันริเริ่มฟื้นฟูข้าวพื้นเมืองเพื่อการท่องเที่ยวเชิงเกษตร</p> นักรบ เถียรอ่ำ, จำลอง แสนเสนาะ Copyright (c) 2024 มนุษยสังคมสาร (มสส.) คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhusoc/article/view/272672 Sun, 28 Apr 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมในการบริหารงานของเทศบาลนครเกาะสมุย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhusoc/article/view/273963 <p> การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมในการบริหารงานของเทศบาลนครเกาะสมุย 2) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมในการบริหารงานเทศบาลนครเกาะสมุย และ 3) พัฒนารูปแบบการการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมในการบริหารงานของเทศบาลนครเกาะสมุย เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน เก็บข้อมูลจากการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิ จำนวน 338 คน ด้วยแบบสอบถาม มีผู้ให้ข้อมูลหลักคัดเลือกแบบเจาะจง จำนวน 25 คน เก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสมการโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า การบริหารราชการแบบมีส่วนร่วมอยู่ในระดับปานกลาง มีปัจจัยการเมืองเป็นปัจจัยสำคัญ รองลงมาปัจจัยด้านการบริหารจัดการ และปัจจัยด้านสังคม ตามลำดับ ทั้ง 3 ปัจจัยมีความสอดคล้องกับการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม โดยควรจัดทำประชาพิจารณ์ ลงประชามติในประเด็นสาธารณะ ปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบให้เอื้อต่อการมีส่วนร่วม</p> วิทวัส ขุนหนู Copyright (c) 2024 มนุษยสังคมสาร (มสส.) คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhusoc/article/view/273963 Sun, 28 Apr 2024 00:00:00 +0700 ภาพสะท้อนสังคมจีนที่ปรากฏในประชุมนิทาน “โซวเสินจี้” https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhusoc/article/view/274835 <p> บทความวิจัยนี้มุ่งศึกษาภาพสะท้อนสังคมจีนที่ปรากฏในประชุมนิทานโซวเสินจี้ ซึ่งเป็นวรรณกรรมในสมัยราชวงศ์จิ้นตะวันออก นับเป็นวรรณกรรมชิ้นสำคัญที่เป็นต้นแบบ และรากฐานในการพัฒนาวรรณกรรมจีนในยุคต่อมา วิธีการวิจัยเป็นการวิเคราะห์เอกสาร ผลการวิจัย พบว่า ประชุมนิทานโซวเสินจี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับการนำเสนอภาพเหตุการณ์บ้านเมือง ปรากฏการณ์ในมิติต่าง ๆ ของสังคมในสมัยนั้น สามารถสะท้อนให้เห็นถึงสภาพของสังคมจีนใน 9 ด้าน ได้แก่ 1) ภาพสะท้อนด้านความเชื่อ 2) ภาพสะท้อนด้านพิธีกรรม 3) ภาพสะท้อนด้านคุณธรรม 4) ภาพสะท้อนด้านศาสนา ปรัชญา 5) ภาพสะท้อนด้านการเมือง การปกครอง กฎเกณฑ์ 6) ภาพสะท้อนด้านความสัมพันธ์ทางสังคม 7) ภาพสะท้อนด้านการรักษาโรค 8) ภาพสะท้อนสังคมด้วยการสร้างความแตกต่างโดยใช้สัญญะ และ 9) ภาพสะท้อนทางวัฒนธรรม จากการศึกษาผู้วิจัยพบว่า ภาพสะท้อนสังคมจีนในประชุมนิทานโซวเสินจี้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อของคนในสังคมในสมัยนั้นเป็นหลัก แต่จากการวิเคราะห์ไม่พบภาพสะท้อนด้านเศรษฐกิจ การทำสงคราม ซึ่งเห็นได้ชัดว่าผู้ประพันธ์ต้องการนำเสนอให้เห็นถึงภาพสังคมที่เต็มไปด้วยความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับเทพ ภูตผี ปีศาจ และพิธีกรรมต่าง ๆ อันมีที่มาจากความเชื่อเป็นหลัก</p> วีระชาติ ดวงมาลา, กนกพร นุ่มทอง, เมชฌ เมธจิรนนท์ Copyright (c) 2024 มนุษยสังคมสาร (มสส.) คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhusoc/article/view/274835 Sun, 28 Apr 2024 00:00:00 +0700 แนวคิดในเรื่องสั้นของ จำลอง ฝั่งชลจิตร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhusoc/article/view/275818 <p> บทความนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาแนวคิดในเรื่องสั้นของจำลอง ฝั่งชลจิตร จากรวมเรื่องสั้นที่มีชื่อเสียงและได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2531-2562 จำนวน 8 เล่ม รวม 78 เรื่อง ผลการศึกษาพบว่า รวมเรื่องสั้นของจำลอง ฝั่งชลจิตร พบแนวคิด 4 ด้าน ได้แก่ 1) แนวคิดแสดงทัศนะ พบทัศนะต่อค่านิยมของสังคม ได้แก่ ทัศนะต่อค่านิยมของสังคมด้านบวก คือ ค่านิยมความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และทัศนะต่อค่านิยมของสังคมด้านลบ ได้แก่ ค่านิยมความเห็นแก่ตัว ค่านิยมความร่ำรวย และความหรูหราฟุ่มเฟือย พบทัศนะต่อการเมืองการปกครอง ได้แก่ การใช้ความรุนแรงทางการเมือง และการจัดการความขัดแย้งตามแนวทางสันติวิธี พบทัศนะด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ การเกิดอาชีพใหม่ และปัญหาเศรษฐกิจที่มีผลกระทบต่อลูกจ้าง พบทัศนะที่มีต่อปัญหาสังคม ได้แก่ ปัญหายาเสพติด ปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยเรียน และปัญหาอาชญากรรม 2) แนวคิดแสดงพฤติกรรม ได้แก่ พฤติกรรมด้านสุขภาพเกี่ยวกับการใช้สมุนไพร และพฤติกรรมทางศาสนาและความเชื่อ ได้แก่ ประเพณีทางศาสนา ความเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม ความเชื่อเรื่องบุญ และความเชื่อเรื่องโชคลาง 3) แนวคิดแสดงภาพและเหตุการณ์ ได้แก่ ความยากจน การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนในชุมชน และวิถีชีวิตของคนเมืองกรุงเทพมหานคร และ 4) แนวคิดเกี่ยวกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้แก่ ปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้แก่ ปัญหาขยะมูลฝอย ปัญหามลพิษทางน้ำ ปัญหามลพิษทางอากาศ รวมทั้งผลกระทบต่อสุขภาพ และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม</p> ขวัญเรือน ภูธร, บุญเลิศ วิวรรณ์ Copyright (c) 2024 มนุษยสังคมสาร (มสส.) คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhusoc/article/view/275818 Sun, 28 Apr 2024 00:00:00 +0700 Development of English Conversation Drama Practice Exercises to Enhance First-Year Students English-Speaking Proficiency https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhusoc/article/view/275288 <p> The study examined the impact of English conversation drama practice exercises on the English-speaking proficiency of first-year university students learning English as a foreign language (EFL). Focused on practical and professional conversational skills within the "English for Life and Work" course, the research gathered insights from students in the upper northeastern region of Thailand during the first semester of 2023. Participants were intentionally selected from five cohorts, totaling 500 students enrolled in the course. Data analysis involved percentage analysis, calculating the mean, assessing standard deviation, and continuous testing. The findings revealed that prior to the intervention, the experimental group exhibited a high level of English speaking ability, with an average rating of 3.86. However, only 13.3% of students demonstrated admirable speaking abilities. Following the intervention, an impressive 93.3% of students achieved a 'very good' level of English speaking proficiency. An extensive assessment of students' speaking skills before and after the experiment showcased a significant improvement, surpassing their initial proficiency levels. These results underscore the effectiveness of English conversation drama practice exercises in substantially enhancing students' English-speaking skills, with statistical significance observed at the .05 level.</p> Witsaruth Laihakhot, Chayakorn Sutakote Copyright (c) 2024 มนุษยสังคมสาร (มสส.) คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhusoc/article/view/275288 Sun, 28 Apr 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนากลยุทธ์การตลาดดิจิทัลเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhusoc/article/view/272398 <p> การวิจัยมีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัญหาด้านการตลาดและกลยุทธ์การแข่งขันของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนคนปลูกข้าวหอมมะลิ โคเนื้อ บ้านหนองอาคูณ ตำบลปราสาท อำเภอห้วยทับทัน จังหวัดศรีสะเกษ 2) เพื่อพัฒนากลยุทธ์การตลาดดิจิทัลเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลกับความได้เปรียบทางการแข่งขันของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน 4) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความได้เปรียบทางการแข่งขันกับประสิทธิภาพในการดำเนินงานทางการตลาด โดยมีกลุ่มเป้าหมายในการเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ จำนวน 13 คน และเก็บข้อมูลเชิงปริมาณ จำนวน 55 คน ใช้สถิติพรรณนาและสถิติเพื่อการทดสอบสมมติฐานด้วยการวิเคราะห์ถดถอยแบบพหุคูณ ผลการวิจัย พบว่า 1) สภาพปัญหาด้านการตลาด ด้านผลิตภัณฑ์อาหารโคเนื้อในตลาดมีความต้องการจำนวนมาก แต่ไม่เพียงพอ และด้านกลยุทธ์การแข่งขัน คือมีการปรับปรุงสูตรอาหาร และหลายสูตร ใช้กลยุทธ์ด้านต้นทุนในการลดต้นทุนการผลิต 2) ด้านการพัฒนากลยุทธ์การตลาดดิจิทัล พบว่า มีการมุ่งเน้นสื่อสังคมออนไลน์ และมีการสร้างความสัมพันธ์กับเว็บไซต์อื่น 3) กลยุทธ์การตลาดดิจิทัล การมุ่งเน้นสื่อสังคมออนไลน์กับการสร้างความสัมพันธ์กับเว็บไซต์อื่น มีความสัมพันธ์และผลกระทบเชิงบวกต่อความได้เปรียบทางการแข่งขันของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน 4) ความได้เปรียบทางการแข่งขันมีความสัมพันธ์และผลกระทบเชิงบวกกับประสิทธิภาพในการดำเนินงานทางการตลาดมีนัยสำคัญ</p> พรศิริ วิรุณพันธ์ Copyright (c) 2024 มนุษยสังคมสาร (มสส.) คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhusoc/article/view/272398 Sun, 28 Apr 2024 00:00:00 +0700 A Model Development of Literacy leadership for school administrators https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhusoc/article/view/272405 <p> The objectives of the research were 1) to synthesize the elements of literacy leadership for school administrators, 2) to study the problem situations and recommend feasible guidelines for developing literacy leadership for school administrators, 3) to develop a model of literacy leadership for school administrators, and 4) to propose policy proposals and practical proposals for promoting literacy leadership for school administrators. Instruments used in this research were a synthesis table, a checklist table, a semi-structured interview form, a drafted model, an examination form, and a meeting record form. Data were analyzed by frequency, percentage, and content analysis, classified by issues, and categorized into core elements. The results revealed as follows: 1. The synthesis results of the literacy leadership for school administrators consisted of seven elements and twenty-one sub-elements, 2. The problem situations and feasible guidelines consisted of nine issues, 3) The development of a model of literacy leadership for school administrators comprised five model components as follows: principles, objectives, operational procedures, evaluation, and conditions for achievement, 4) The policy proposals and practical proposals for promoting literacy leadership for school administrators were related agencies, regulatory agencies, promotion, cultivation, and follow-up and expand the results to educational institutions.</p> Jiraporn Supising, Somkiet Boonrawd, Suriya Taweeboonyawat, Ponlawat Chaichana, Choocheep Puthaprasert, Sirimas Kosanpipat Copyright (c) 2024 มนุษยสังคมสาร (มสส.) คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhusoc/article/view/272405 Sun, 28 Apr 2024 00:00:00 +0700 ต้นทุนการผลิตข้าวหอมมะลิของเกษตรกรจากการใช้เคมีเกษตร อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhusoc/article/view/273828 <p> บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาต้นทุนการผลิตข้าวหอมมะลิของเกษตรกรจากการใช้เคมีเกษตรและแนวทางการปรับตัวของเกษตรกรในการควบคุมต้นทุนการผลิต กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ปลูกข้าว ตำบลด่าน อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ จำนวน 50 คน นักวิชาการและผู้นำ รวม 12 คน เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี (Mixed methods research) โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกและ สัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้สถิติหา ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ด้านเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า ต้นทุนเฉลี่ย 5,777.20 บาทต่อไร่ โดยต้นทุนผันแปร ค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ราคาอุปกรณ์การผลิต จำนวน 1,913.63 บาทต่อไร่ คิดเป็นร้อยละ 33.12 โดยเฉพาะการใช้เคมีเกษตร ประกอบด้วย ค่าปุ๋ยเคมี ค่ายาปราบศัตรูพืช เฉลี่ยต่อไร่ 570.56 บาท ส่วนต้นทุนคงที่ คือ ค่าเสื่อมราคาอุปกรณ์ จำนวน 956.82 บาทต่อไร่ คิดเป็นร้อยละ 16.56 ซึ่งแนวทางการปรับตัวของเกษตรกรในการควบคุมต้นทุนการผลิต พบว่า เมื่อต้นทุนการผลิตข้าวสูง เกษตรกรจึงหาช่องทางในการลดต้นทุนการผลิต เช่น การทำปุ๋ยหมัก แปรรูปข้าว การจัดทำบัญชีรับจ่าย การสร้างเครือข่ายเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และกระจายสินค้า</p> เกษม เปนาละวัด Copyright (c) 2024 มนุษยสังคมสาร (มสส.) คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhusoc/article/view/273828 Sun, 28 Apr 2024 00:00:00 +0700 แนวทางการจัดการปัญหาขยะในพื้นที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามและชุมชนใกล้ชิดมหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhusoc/article/view/272531 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางการจัดการขยะบริเวณพื้นที่มหาวิทยาลัยและชุมชนใกล้เคียง โดยชุมชนใกล้เคียงคือตำบลขามเรียง และตำบลท่าขอนยาง กลุ่มเป้าหมาย คือ ตัวแทนผู้นำชุมชน ประชาชน บริษัทห้างร้าน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นิสิต และอาจารย์ จำนวน 30 คน เครื่องมือคือ การสำรวจด้วยระบบ GIS การสัมภาษณ์ การสังเกต และการสนทนากลุ่ม ผลการวิจัยพบว่าแนวทางการแก้ไขปัญหาขยะคือ 1) การสร้างพื้นที่ให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมีโอกาสได้จัดการปัญหาร่วมกันด้วยการบูรณาการความร่วมมือจากองค์กรที่เกี่ยวข้อง 2) การใช้นวัตกรรมทางเทคโนโลยีระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) มาช่วยในการจำแนกพื้นที่ปัญหาขยะ ปริมาณขยะ และระดับของปัญหาขยะในแต่ละโซนได้อย่างชัดเจน 3) การบูรณาการความร่วมมือในการจัดเก็บภาษีก้าวหน้าที่สัมพันธ์กับปริมาณขยะของแต่ละลักษณะกลุ่มอาคาร 4) การออกเทศบัญญัติการจัดการขยะที่สัมพันธ์กับบริบทปัญหา 5) การออกแบบการจัดการขยะร่วมกันในพื้นที่ทับซ้อน และ 6) การสร้างกระบวนการแปรรูปขยะให้เป็นปุ๋ยอินทรีย์โดยมีมหาวิทยาลัยเป็นต้นแบบ</p> นิรันดร คำนุ, ธีระพงษ์ มีไธสง, วชิราภรณ์ วรรณโชติ, เมทินี โคตรดี, มนตรี พิมพ์ใจ Copyright (c) 2024 มนุษยสังคมสาร (มสส.) คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhusoc/article/view/272531 Sun, 28 Apr 2024 00:00:00 +0700