https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhusoc/issue/feed
มนุษยสังคมสาร (มสส.) คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
2024-12-24T00:00:00+07:00
รองศาสตราจารย์.ดร.อัครพนท์ เนื้อไม้หอม
akkarapon2512@gmail.com
Open Journal Systems
<p><strong>ISSN 2774-1451 (Online) </strong></p> <p> --------------------------------------------------------------------------------</p> <p> “มนุษยสังคมสาร” คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ มีนโยบายในการรับตีพิมพ์เผยแพร่บทความที่ครอบคลุมสาขาวิชาหลัก (Main subject Category) คือ Social Sciences และจะต้องอยู่ใน 3 กลุ่มสาขาวิชา (Subject areas) คือ 1) Arts and Humanities, 2) Economics, Econometrics and Finance, 3) Social Sciences ซึ่งจะต้องอยู่ใน 5 กลุ่มย่อย (Sub-subject areas) คือ 1) General Arts and Humanities, 2) Language and Linguistics, 3) General Economics, Econometrics and Finance, 4) General Social Sciences, 5) Sociology and Political Sciences</p> <p> “มนุษยสังคมสาร” มีกำหนดการเผยแพร่ปีละ 3 ฉบับ (มกราคม-เมษายน / พฤษภาคม-สิงหาคม / กันยายน-ธันวาคม) แต่อาจจะออกเป็นฉบับพิเศษ (Special issue) ในการร่วมประชุมวิชาการระดับชาติและนานาชาติกับทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ไม่เกินปีละ 2 ฉบับ</p> <p> ทุกบทความใน “มนุษยสังคมสาร” จะต้องผ่านการพิชญพิจารณ์โดยผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer reviewer) ในสาขาที่เกี่ยวข้องซึ่งเป็นบุคคลภายนอกจากหลากหลายสถาบัน อย่างน้อย 3 คน โดยผู้ทรงคุณวุฒิไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์บทความนั้น (Double-blind peer review) ทั้งนี้ เพื่อให้บทความมีคุณภาพและได้มาตรฐานทางวิชาการ บทความที่ส่งมาขอรับการตีพิมพ์ใน “มนุษยสังคมสาร” จะต้องไม่เคยตีพิมพ์หรืออยู่ระหว่างการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อตีพิมพ์ในวารสารอื่น ผู้นิพนธ์บทความจะต้องปฏิบัติตามระบบการอ้างอิงเอกสารและหลักเกณฑ์การเสนอบทความวิชาการหรือบทความวิจัยย่างเคร่งครัด</p> <p> ผู้นิพนธ์ที่จะส่งบทความมาตีพิมพ์เผยแพร่ใน “มนุษยสังคมสาร” จะต้องส่งผลการคัดลอกหรือลอกเลียนผลงาน (Plagiarism) ด้วยโปรแกรมอักขราวิสุทธิ์ ผ่านเว็บไซต์ <a href="http://plag.grad.chula.ac.th/">http://plag.grad.chula.ac.th/</a> โดยร้อยละของดัชนีความซ้ำซ้อนของบทความไม่เกินร้อยละ 10 ทั้งนี้ ให้ผู้นิพนธ์แนบผลการคัดลอกหรือลอกเลียนผลงานส่งมาที่วารสารพร้อมกับบทความด้วย</p> <p> ข้อความภายในบทความที่ตีพิมพ์ใน “มนุษยสังคมสาร” ทั้งหมด รวมถึงรูปภาพประกอบ ตาราง เป็นลิขสิทธิ์ของ “มนุษยสังคมสาร” การนำเนื้อหา ข้อความหรือข้อคิดเห็น รูปภาพ ตารางที่ปรากฏในบทความไปจัดพิมพ์เผยแพร่ในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ต้องได้รับอนุญาตจากกองบรรณาธิการวารสารอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร วารสารอนุญาตให้สามารถนำไฟล์บทความไปเผยแพร่ต่อเพื่อประโยชน์ทางวิชาการได้ แต่ต้องแสดงที่มาจากวารสาร โดยห้ามแก้ไขดัดแปลงเนื้อหาใด ๆ ที่ปรากฏในวารสารนี้ ทัศนะและความคิดเห็น ตลอดถึงข้อผิดพลาดใด ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในบทความใน “มนุษยสังคมสาร” ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้นิพนธ์บทความนั้น โดยไม่เกี่ยวข้องกับกองบรรณาธิการ</p>
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhusoc/article/view/282167
ปัจจัยแห่งความสำเร็จของกระบวนการแก้ไขปัญหาความยากจนเชิงพื้นที่อย่างยั่งยืน ด้วยแนวคิดการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม : วิเคราะห์ผ่านผลงานที่ได้รับรางวัลเลิศรัฐ ประจำปี 2567
2024-11-14T11:48:17+07:00
นพพล อัคฮาด
noppon.aka@stou.ac.th
พนมพัทธ์ สมิตานนท์
phanompatt.smi@stou.ac.th
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยความสำเร็จตามกระบวนการแก้ไขปัญหาความยากจนเชิงพื้นที่อย่างยั่งยืนด้วยกลไกการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วมจากผลงานที่ได้รับรางวัลเลิศรัฐ ประจำปี 2567 เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลด้วยวิธี 1) การวิจัยเอกสารที่เกี่ยวข้องเป็นหลัก และ 2) การสัมภาษณ์ข้อมูลเชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญที่เลือกอย่างเจาะจงจำนวน 90 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหาและทำการตรวจสอบแบบสามเส้าด้านข้อมูล ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยความสำเร็จที่เกิดขึ้นแบ่งเป็น 3 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ขั้นเริ่มต้น เป็นกระบวนการสร้างการบูรณาการและการมีส่วนร่วมเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนเชิงพื้นที่ ประกอบด้วย 4 ปัจจัย 2) ขั้นกลาง เป็นกระบวนการเพิ่มมูลค่าและยกระดับมาตรฐานการผลิต การแปรรูป และการตลาดด้วยกลไกการบูรณาการและการมีส่วนร่วมของประชาชน ประกอบด้วย 4 ปัจจัย และ 3) ขั้นผลสำเร็จ เป็นกระบวนการก้าวพ้นปัญหาความยากจน และการพึ่งตนเองได้อย่างยั่งยืนของกลุ่มเป้าหมาย ประกอบด้วย 4 ปัจจัย</p>
2024-12-23T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มนุษยสังคมสาร (มสส.) คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhusoc/article/view/280886
การพัฒนาระบบสวัสดิการสังคมสำหรับผู้สูงอายุเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ: กรณีศึกษา ผู้สูงอายุในเขตเทศบาลตำบลหนองกุงศรี อำเภอหนองกุงศรี จังหวัดกาฬสินธุ์
2024-11-19T14:22:28+07:00
คะนอง พิลุน
kanongpilun@hotmail.com
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการพัฒนาสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุ ปัญหา อุปสรรคในการพัฒนาสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ กรณีศึกษา ผู้สูงอายุในเขตเทศบาลตำบลหนองกุงศรี อำเภอหนองกุงศรี จังหวัดกาฬสินธุ์ เครื่องมือการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์ ใช้วิธีการสัมภาษณ์แบบเชิงลึก การสนทนากลุ่ม จากกลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้บริหาร ข้าราชการ ผู้นำชุมชน ผู้สูงอายุ และผู้เกี่ยวข้อง จำนวน 30 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง ผลการวิจัยพบว่า ควรพัฒนา รายได้ สุขภาพ ที่อยู่อาศัย ศักยภาพและนโยบายผู้สูงอายุ ปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุ ได้แก่ ปัญหาด้านสุขภาพ เช่น ร่างกายไม่แข็งแรงและมีโรคประจำตัว ปัญหาด้านจิตใจ คือ มีความเครียด และเหงา การถูกทอดทิ้ง ปัญหาด้านการประกอบอาชีพของสูงอายุ การมีรายได้เสริม มีอาชีพ และมีตลาดรองรับผลผลิต การพัฒนาสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุโดยใช้ชุมชนมีส่วนร่วม ประกอบด้วย การสร้างเสริมสุขภาพของผู้สูงอายุ ด้วยกิจกรรมสร้างคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ กิจกรรมธรรมะ กิจกรรมออกกำลังกาย กิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ กิจกรรมสืบสานประเพณีอันดีงามของไทยในวันสำคัญต่าง ๆ กิจกรรมการสร้างรายได้จากงานหัตถกรรม การจัดตั้งกองทุนสวัสดิการผู้สูงอายุและกองทุนเงินกู้ยืม</p>
2024-12-23T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มนุษยสังคมสาร (มสส.) คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhusoc/article/view/283347
การบริหารจัดการทุนทางวัฒนธรรมทวารวดีด้วยการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน จังหวัดนครปฐม
2024-11-19T14:16:29+07:00
นิพล เชื้อเมืองพาน
niponphan@yahoo.com
สิริพร เขตเจนการ
siriporn.kh@go.buu.ac.th
ปิยนาถ อิ่มดี
piyanart1996@gmail.com
จิตรภณ สุนทร
jittrapon@webmail.npru.ac.th
<p> งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาศักยภาพทุนทางวัฒนธรรมทวารวดีเพื่อการจัดการท่องเที่ยว เพื่อการบริหารจัดการทุนทางวัฒนธรรมด้วยการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ และเพื่อสร้างรูปแบบการท่องเที่ยวและกิจกรรมบริการการท่องเที่ยวบนฐานวัฒนธรรมทวารวดีเชิงสร้างสรรค์ จังหวัดนครปฐม ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสานวิธีทั้งเชิงคุณภาพและปริมาณ และวิธีเชิงปฏิบัติการ เก็บรวบรวมข้อมูลจากประชากรใน 3 พื้นที่ ได้แก่ ชุมชนดอนยายหอม ชุมชนธรรมศาลา/พระประโทณ และชุมชน พระงาม/รอบพระปฐมเจดีย์ ผลการวิจัยพบว่าทั้ง 3 ชุมชนมีศักยภาพทางการท่องเที่ยวที่ครอบคลุมทั้ง 5 ด้านบนฐานทุนวัฒนธรรมทวารวดี ประกอบด้วยสิ่งดึงดูดใจ การเข้าถึง กิจกรรม สิ่งอำนวยความสะดวก และที่พักแรม และได้พัฒนาผลผลิต 5 ประการ ได้แก่ การสร้างมัคคุเทศก์น้อย การสร้างรูปแบบการบริหารจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชน การพัฒนาเว็บแอพพลิเคชั่นฐานข้อมูลท่องเที่ยว การจัดทำเส้นทางท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์แบบมีส่วนร่วม และการฟื้นฟูประเพณีวัฒนธรรมทวารวดี ผ่านความร่วมมือของเครือข่ายชุมชน วัด และโรงเรียน เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน</p>
2024-12-23T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มนุษยสังคมสาร (มสส.) คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhusoc/article/view/281535
การพัฒนาศักยภาพชนเผ่าไทกวน บ้านนาถ่อน สู่การท่องเที่ยวชุมชนเชิงสร้างสรรค์ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวมูลค่าสูง
2024-10-18T15:18:40+07:00
สุภัทรา เขียวศรี
Supratra.no@gmail.com
กันตภพ บัวทอง
kanta.tsic@gmail.com
กนกพร รอดเขียน
Praewary@gmail.com
<p> การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาศักยภาพการท่องเที่ยวชุมชนชนเผ่าไทกวน บ้านนาถ่อน 2) ศึกษาพฤติกรรมของกลุ่มนักท่องเที่ยวมูลค่าสูงที่เดินทางมาท่องเที่ยวชนเผ่าไทกวน บ้านนาถ่อน และ 3) เสนอแนะแนวทางการพัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยวชุมชนเชิงสร้างสรรค์บ้านนาถ่อน เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวมูลค่าสูง<strong> </strong>โดยงานวิจัยครั้งนี้ใช้วิธีการแบบผสมผสานทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ โดยการเก็บแบบสอบถามจากกลุ่มนักท่องเที่ยวมูลค่าสูงที่เดินทางมายังบ้านนาถ่อน จังหวัดนครพนม และการเก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ผลการวิจัยพบว่า จำนวนผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นคนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีวัตถุประสงค์ในการเดินทางท่องเที่ยวเพื่อเรียนรู้วิถีชีวิต ภูมิปัญญาท้องถิ่น และมีค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการเดินทางท่องเที่ยว (เฉลี่ยต่อครั้งต่อคน) อยู่ในช่วง 2,000 - 5,000 บาท ทั้งนี้แนวทางการพัฒนาศักยภาพชุมชนบ้านนาถ่อน จังหวัดนครพนม เพื่อรองรับการท่องเที่ยวมูลค่าสูง มีดังนี้ 1) การมีส่วนร่วมของชุมชนในท้องถิ่น 2) การพัฒนาจิตสำนึกทางการท่องเที่ยว 3) การสร้างเส้นทางการท่องเที่ยวชุมชน และ 4) การพัฒนาผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยวและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพพร้อมยกระดับตราสินค้าได้</p>
2024-12-23T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มนุษยสังคมสาร (มสส.) คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhusoc/article/view/281497
การนำเสนอเนื้อหารูปแบบการดำเนินชีวิตของผู้มีชื่อเสียงทางอินสตาแกรมไทย
2024-10-31T10:11:53+07:00
พัทธนันท์ เด็ดแก้ว
pattanand@nu.ac.th
กิตติมา ชาญวิชัย
kittimak@hotmail.com
<p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาว่าผู้มีชื่อเสียงทางอินสตาแกรมของไทยซึ่งมีผู้ติดตามจำนวนมาก นำเสนอเนื้อหารูปแบบการดำเนินชีวิตของตนบนอินสตาแกรมได้อย่างไร การศึกษาวิจัยนี้ใช้แนวทางการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยวิเคราะห์จำนวน 186 โพสต์จากคนดังในอินสตาแกรม 7 คนที่เป็นผู้มีชื่อเสียงของไทย เพื่อทำความเข้าใจว่าพวกเขานำเสนอแง่มุมต่าง ๆ ของชีวิตส่วนตัว และตัวตนทางออนไลน์อย่างไรผลการวิจัยพบว่ารูปแบบการดำเนินชีวิตของอินฟลูเอนเซอร์เหล่านี้ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ด้านหลัก ด้านแรก องค์ประกอบรูปแบบการดำเนินชีวิต ประกอบด้วยความสนใจ ความคิดเห็น กิจกรรม และลักษณะทางประชากร ด้านที่สอง การแบ่งกลุ่มรูปแบบการดำเนินชีวิต สามารถแบ่งกลุ่มรูปแบบการดำเนินชีวิตออกเป็น 5 ประเภท ได้แก่ 1) ตัวฉันของฉัน 2) ผู้นำยุคใหม่ 3) อนุรักษ์นิยม 4) มุ่งมั่นเพื่องาน และ 5) เวิร์กไลฟ์บาลานซ์ รูปแบบการดำเนินชีวิตของ Instafamous ทั้งด้านองค์ประกอบและด้านการแบ่งกลุ่มรูปแบบการดำเนินชีวิตมีความเชื่อมโยงและสอดคล้องกัน ทำให้สามารถอธิบายรูปแบบการดำเนินชีวิตของ Instafamous ไทยได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น</p>
2024-12-23T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มนุษยสังคมสาร (มสส.) คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhusoc/article/view/273467
การพัฒนาเรขศิลป์สิ่งแวดล้อมเพื่อการฟื้นฟูอัตลักษณ์เมืองเก่าบุรีรัมย์
2024-10-25T11:43:05+07:00
จิรายุฑ ประเสริฐศรี
Jirayut.ps@bru.ac.th
<p> การวิจัยนี้ใช้วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร การสำรวจพื้นที่ การสังเคราะห์ข้อมูลร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิ และการศึกษาความต้องการของกลุ่มตัวอย่างประชาชนในชุมชนเมืองบุรีรัมย์จากหลายช่วงอายุ จำนวน 40 ราย ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างต้องการให้ปราสาทหินพนมรุ้งเป็นภาพแทนสื่อความหมายถึงเมืองเก่าบุรีรัมย์ นอกจากนี้ยังเปิดรับอัตลักษณ์ใหม่จากนโยบายพัฒนาเมืองสู่เมืองกีฬา การอนุรักษ์นกกระเรียนพันธุ์ไทย และกระแสนิยมจากสื่อสังคมออนไลน์ เช่น กรณีลูกชิ้นยืนกิน จากข้อค้นพบดังกล่าว ผู้วิจัยได้นำไปใช้เป็นแนวทางในการออกแบบเรขศิลป์สิ่งแวดล้อม 3 ชุด ได้แก่ ป้ายสาธารณประโยชน์ ตัวการ์ตูนนำโชค และเรขศิลป์ส่งเสริมการค้า ซึ่งได้นำผลงานไปจัดแสดงในนิทรรศการและรวบรวมทัศนคติจากกลุ่มตัวอย่างและผู้เข้าชมนิทรรศการ ผลการสรุปพบว่า ผลงานออกแบบเรขศิลป์สิ่งแวดล้อมทั้ง 3 ชุด มีความเป็นสากล สื่อความหมายได้อย่างชัดเจน และสอดคล้องกับพลวัตทางสังคมของเมืองที่ผสมผสานอัตลักษณ์ดั้งเดิมกับบริบทใหม่ ดังนั้นจึงสามารถกล่าวได้ว่า เรขศิลป์สิ่งแวดล้อมที่พัฒนาขึ้นนี้มีศักยภาพในการนำไปใช้เป็นต้นแบบหรือมาตรฐานกลาง ในการสร้างความเข้าใจระหว่างหน่วยงานภาครัฐ นักออกแบบ และผู้ประกอบการ ซึ่งสามารถช่วยฟื้นฟูอัตลักษณ์และเอกภาพของเมืองเก่าบุรีรัมย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2024-12-23T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มนุษยสังคมสาร (มสส.) คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhusoc/article/view/278538
การวิจัยสร้างสรรค์บทประพันธ์เพลง: พม่ากลองยาวในแนวดนตรีร่วมสมัยไทย
2024-11-14T14:54:31+07:00
ประเสริฐ ฉิมท้วม
chimtoum@gmail.com
ปองภพ สุกิตติวงศ์
pongpobguitar@gmail.com
ธนัช ชววิสุทธิกูล
fordmagicflute@gmail.com
พิสิษฐ์ เอมดวง
pisit.a@chandra.ac.th
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างสรรค์บทประพันธ์เพลงพม่ากลองยาวในแนวดนตรีร่วมสมัยไทย วิธีวิจัยใช้กระบวนการวิจัยสร้างสรรค์ทางด้านดนตรีวงดนตรีที่ใช้บรรเลงมีเครื่องดนตรีจำนวน 5 ชิ้น มีพื้นฐานจากวงแซกโซโฟนควอร์เท็ต โดยเพิ่มขลุ่ยเพียงออระดับเสียงมาตรฐานสากลเพื่อขับเน้นอัตลักษณ์ของเสียงแบบไทย ผลการวิจัยพบว่า บทประพันธ์เพลงพม่ากลองยาวในแนวดนตรีร่วมสมัยไทย มีแนวคิดในการนําทํานองเพลงไทย ได้แก่ เพลงพม่ากลองยาว มาเรียบเรียงเสียงประสานอย่างตะวันตก พัฒนาทำนองโดยต่อยอดแนวคิดจากจังหวะการตีกลองยาว โดยขยายรูปแบบจังหวะจากแนวฆ้อง ฉาบ และกลองยาว มาใช้แปรทำนองประสาน ทั้งนี้แนวทำนองหลักมีสังคีตลักษณ์แบบสามตอน ประกอบด้วย ท่อน A B และ C โดยแนวทำนองหลัก แนวทำนองประสานเสียง และคอร์ด ถูกสร้างสรรค์ขึ้นบนบันไดเสียง D เพนตาโทนิก การเรียบเรียงดนตรีเน้นพื้นฐานรูปพรรณแบบเฮทเทอโรโฟนีเพื่อคงลักษณะการประสานเสียงที่นิยมใช้ในดนตรีไทย นอกจากนี้ประยุกต์ใช้วิธีการบรรเลงด้วยการด้นสดแบบดนตรีแจ๊สและป๊อปในท่อนเดี่ยว</p>
2024-12-23T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มนุษยสังคมสาร (มสส.) คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhusoc/article/view/279548
การศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้บริการจัดสอบ TU-GET ของสถาบันภาษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
2024-11-11T11:39:18+07:00
สุรพัศ บรรณพงศธร
surapat.b@litu.tu.ac.th
สุนทรี เจริญวัฒนาพร
soontaree.c@litu.tu.ac.th
<p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้บริการที่มีต่อคุณภาพการให้บริการการจัดสอบภาษาอังกฤษ TU-GET ของสถาบันภาษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2) เพื่อศึกษาความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะของผู้ใช้บริการจัดสอบ TU-GET มาเป็นแนวทางในการพัฒนา และปรับปรุงการให้บริการให้ มีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้บริการ 3) เพื่อศึกษาความแตกต่างระหว่าง ปัจจัยด้านเพศ อายุ และอาชีพ ที่ส่งผลต่อระดับความพึงพอใจในการจัดสอบ TU-GET ผู้ใช้บริการจัดการทดสอบกลุ่มต่าง ๆโดยเป็นผู้บริการการจัดสอบ TU-GET Paper-Based Test จำนวน 1,708 คน และ TU-GET Computer-Based Test จำนวน 554 คน ในช่วงระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2566 ถึง วันที่ 30 กันยายน 2566 ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความพึงพอใจด้านเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการมากที่สุด ส่วนผลการศึกษาข้อเสนอแนะในการปรับปรุงการให้บริการแบ่งออกเป็น 3 ด้าน ประกอบด้วย 1) ระบบเทคโนโลยีที่ใช้ในการรับสมัครที่มีความเสถียร 2) การปรับปรุงลักษณะทางกายภาพของสถานที่สอบให้เอื้อต่อการมีสมาธิของผู้เข้าสอบ และ 3) การเพิ่มความหลากหลายของช่องทางการประชาสัมพันธ์ ผลการเปรียบเทียบด้านอายุ อาชีพ ที่ส่งผลต่อระดับความพึงพอใจในการจัดสอบ TU-GET ผู้ใช้บริการจัดสอบกลุ่มต่าง ๆ พบว่ามีความพึงพอใจที่ความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
2024-12-23T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มนุษยสังคมสาร (มสส.) คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhusoc/article/view/282507
English Language Anxiety and Motivation towards Speaking English among Thai Tertiary Students
2024-11-18T15:52:05+07:00
Piyanut Thomol
piyanut.th@udru.ac.th
Worawoot Tutwisoot
worawoot.tu@udru.ac.th
Prayong Klanrit
pklanrit@udru.ac.th
<p> This study aimed to address challenges faced by students in speaking English effectively. The objectives were: 1) to investigate the levels of motivation for speaking English among students in the Faculty of Education at Udon Thani Rajabhat University; 2) to examine the levels of anxiety associated with speaking English among these students; and 3) to explore the relationship between motivation and anxiety in English-speaking skills. A total of 411 students, selected through stratified random sampling from a population of 2,896, participated in the study. Data were collected using a 36-item questionnaire and semi-structured interviews, with motivation assessed based on Deci and Ryan’s (1985) Self-Determination Theory (SDT) and anxiety evaluated using Horwitz’s (1986) framework. Results indicated the following: 1) the students demonstrated moderate levels of motivation; 2) the students exhibited moderate levels of anxiety with communication apprehension emerging as the highest-scoring component of anxiety, and 3) a weak negative correlation suggested a slight inverse relationship between motivation and anxiety, implying that increased motivation might slightly alleviate anxiety. These findings underscore the importance of fostering intrinsic motivation and implementing targeted strategies to mitigate communication apprehension. Although the correlation was statistically significant, its practical significance appears limited, indicating that other factors may play a more substantial role in influencing students' English-speaking anxiety.</p>
2024-12-23T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มนุษยสังคมสาร (มสส.) คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhusoc/article/view/281880
Exploring Thai EFL Learners' Preferences for Speaking Activities
2024-10-18T14:51:13+07:00
Brigette Beding
brigettepasking@yahoo.com
<p> This study aimed to determine the preferred speaking activities of Thai EFL learners and to explore the rationale behind their preferences. The participants were 44 first-year English major students enrolled in the <em>Listening and Speaking in Daily Life</em> course at the University of Phayao, Thailand. The participants were selected through convenience sampling. Data were collected using a questionnaire and semi-structured interviews and analyzed through descriptive statistics and content analysis. The results showed that Thai EFL learners most preferred engaging in language games (79.55%), conversations (70.45%), role plays (65.91%), pronunciation drills (61.36%), and describing pictures (59.09%). Other speaking activities were less preferred. Findings from the interviews with 11 participants further supported these preferences, revealing that learners found the top five activities to be motivating, relaxing, and enjoyable. Participants noted that these activities encouraged group work, provided more opportunities to speak the language, and helped them improve their speaking skills. Understanding learners' preferred speaking activities can help educators design teaching strategies and materials that resonate with students' needs, fostering a more supportive and effective language-learning environment.</p>
2024-12-23T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มนุษยสังคมสาร (มสส.) คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhusoc/article/view/283222
การสร้างสรรค์บทประพันธ์เพลง “อีสานรอนโด” สำหรับวินอองซอมเบิล
2024-11-29T14:08:47+07:00
วีระศักดิ์ งามวงศ์รณชัย
Weerasak.ng@bru.ac.th
วาทิน ประชานันท์
Watin.pn@bru.ac.th
ณัฐพล อาสว่าง
jamesjmkd@hotmail.com
<p> บทความวิชาการนี้เป็นการนำเสนออรรถาธิบายพรรณนาวิเคราะห์การสร้างสรรค์บทประพันธ์เพลงที่ประพันธ์ขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างสรรค์มรดกทางวัฒนธรรมดนตรีอีสาน อนุรักษ์ ส่งเสริม สืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่สากล โดยวิธีการนำ ลายนกไซบินข้ามทุ่ง ลายตั้กแตนตำข้าว ลายแมงตับเต่า และลายแมงภู่ตอมดอก รวมถึงศูนย์กลางเสียง และเสียงเสพของลายใหญ่มาเป็นองค์ประกอบหลักในการสร้างสรรค์ ผลการสร้างสรรค์คือ บทประพันธ์เพลงที่มีแนวทำนองหลักและเสียงประสานอยู่ในบันไดเสียง A ไมเนอร์ เครื่องหมายประจำจังหวะ 4/4 เนื้อดนตรีมีลักษณะเป็นแบบดนตรีหลากแนวหรือโพลีโฟนี อัตราความเร็วของบทเพลงนี้จะมีความหลากหลาย สังคัตลักษณ์แบบรอนโด แบ่งออกเป็น 9 ท่อน ได้แก่ 1) ท่อนบทนำ 2) ท่อน A 3) ท่อนช่วงเชื่อม 1 4) ท่อน B 5) ท่อน A1 6) ท่อนช่วงเชื่อม 2 7) ท่อน C 8) ท่อน A2 9) ท่อนจบ บทเพลงสร้างสรรค์ที่ประพันธ์ขึ้นนี้เป็นการสะท้อนถึงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมดนตรีของลายเพลงพื้นบ้านอีสาน และนำเสนอความหลากหลายทางดนตรีในรูปแบบวงวินอองซอมเบิล โดยนำหลักการและเทคนิคการประพันธ์ดนตรีมาสร้างสรรค์ให้เกิดความร่วมสมัยในเชิงพหุวัฒนธรรม</p>
2024-12-23T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มนุษยสังคมสาร (มสส.) คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์