วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhssrru <p><strong>วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์</strong></p> <p><strong>Journal of Humanities and Social Sciences, Surindra Rajabhat University</strong></p> <p><strong>ISSN 3027-8724 (Print) ISSN 3027-8732 (Online) </strong></p> <p><strong>กำหนดเผยแพร่ : </strong>ปีละ 2 ฉบับ คือ ฉบับที่ 1 (มกราคม –มิถุนายน) /ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม –ธันวาคม)</p> <p><strong>วัตถุประสงค์วารสาร :</strong> ส่งเสริมและสนับสนุนให้คณาจารย์ นักวิชาการ นิสิต นักศึกษา และผู้สนใจทั่วไปได้มีโอกาสเผยแพร่ผลงานทางวิชาการและผลงานวิจัยทางมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ และแขนงวิชาที่เกี่ยวข้อง โดยรับบทความวิชาการและบทความวิจัย ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> <p><strong>ขอบเขตของวารสาร</strong> ได้แก่ บทความทางด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ และแขนงวิชาที่เกี่ยวข้องอันได้แก่ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ นิติศาสตร์ การจัดการ สังคมวิทยา เศรษฐศาสตร์ การพัฒนาสังคม และการศึกษา ตลอดจนบทวิเคราะห์ที่เสนอทางออกของปัญหาให้แก่สังคม </p> <p><strong>เงื่อนไขการตีพิมพ์ :</strong> ทุกบทความที่ตีพิมพ์ต้องผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิอย่างน้อยสามท่าน (Double-Blind Peer Review) ทัศนะและข้อคิดเห็นของบทความในวารสารฉบับนี้ เป็นของผู้เขียนแต่ละท่านไม่ถือเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการ</p> <p><strong>ค่าใช้จ่ายในการตีพิมพ์เผยแพร่ :</strong> บทความภาษาไทย 3,000 บาท / บทความภาษาอังกฤษ 4,500 บาท </p> th-TH jhssrru@srru.ac.th (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สิริพัฒถ์ ลาภจิตร (Asst. Prof. Dr.Siriphat Lapchit)) jhssrru@srru.ac.th (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สิริพัฒถ์ ลาภจิตร (Asst. Prof. Dr.Siriphat Lapchit)) Sat, 13 Apr 2024 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา : แนวทางการจัดการและความท้าทาย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhssrru/article/view/275564 <p> การศึกษาคุณภาพสูงจะวางรากฐานสำหรับการเติบโตที่ครอบคลุม ความยุติธรรมทางสังคม และการพัฒนาที่ยั่งยืน ด้วยการจัดเตรียมผู้เรียนด้วยความรู้ ทักษะ และค่านิยมที่จำเป็นในการนำทางในโลกที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงถึงกันมากขึ้น ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในด้านการศึกษามีพื้นฐานมาจากการยอมรับความท้าทายที่ซับซ้อนและหลากหลายแง่มุมที่ระบบการศึกษาทั่วโลกเผชิญอยู่ ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในด้านการศึกษายังสอดคล้องกับเป้าหมายที่กว้างขึ้นในด้านการทำงานร่วมกันทางสังคม การพัฒนาเศรษฐกิจ และการพัฒนาที่ยั่งยืน การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประเด็นความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาเอกสารทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับการเสริมพลังในเครือข่ายองค์กรการศึกษา การวิเคราะห์ด้วยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการศึกษาพบว่า 1) แนวทางความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ด้านการศึกษา ได้แก่ ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลและอุตสาหกรรม ความร่วมมือระหว่างสถาบัน ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน และ ความร่วมมือข้ามภาคส่วน 2) กลยุทธ์การจัดการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานร่วมกัน ได้แก่ ความเป็นผู้นำและการกำกับดูแล การจัดสรรทรัพยากรและการจัดการ การสื่อสารและการแบ่งปันข้อมูล และ การติดตามและประเมินผล 3) ความท้าทายและอุปสรรคต่อการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่ ความแตกต่างทางวัฒนธรรมและสถาบัน พลวัตรของพลังอำนาจและการจัดตำแหน่งผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ข้อจำกัดด้านทรัพยากรและปัญหาด้านเงินทุน กรอบกฎหมายและข้อบังคับ และ ความยั่งยืนและความมุ่งมั่นระยะยาว</p> สุวัฒนพงษ์ ร่มศรี , สาธกา ตาลชัย , สัญญา เคณาภูมิ Copyright (c) 2024 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhssrru/article/view/275564 Sun, 23 Jun 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาอาหารท้องถิ่นของชุมชนตำบลดอนมดแดง อำเภอดอนมดแดง จังหวัดอุบลราชธานี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhssrru/article/view/273370 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาประเภทอาหารท้องถิ่นของชุมชนตำบลดอนมดแดงอำเภอดอนมดแดง จังหวัดอุบลราชธานี 2) ศึกษาความคิดเห็นเกี่ยวกับอาหารท้องถิ่นของชุมชน ตำบลดอนมดแดง 3) พัฒนาอาหารท้องถิ่นของชุมชนตำบลดอนมดแดง เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์ และสนทนากลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง และประเด็นสนทนากลุ่ม ประชากรที่ใช้ในการศึกษา คือ ผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ของชุมชนตำบลดอนมดแดง อำเภอดอนมดแดง จังหวัดอุบลราชธานี ใช้วิธีการเลือกสุ่มตัวอย่างโดยไม่อาศัยความน่าจะเป็นด้วยเทคนิคการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง ได้แก่ ตัวแทนกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ตัวแทนกลุ่มแม่บ้าน ตัวแทนกลุ่มผู้ประกอบการร้านอาหาร ตัวแทนกลุ่มเกษตรกร และตัวแทนผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียทางภาครัฐ รวมจำนวน 30 คน<br /> ผลการศึกษาพบว่า 1) ประเภทอาหารท้องถิ่นของชุมชนตำบลดอนมดแดง จำนวน 11 ประเภท รวม 44 รายการ ซึ่งเป็นรายการอาหารที่คนในชุมชนรับประทาน และมีวิธีการประกอบอาหารอย่างพิถีพิถันหลากหลายประเภท 2) ความคิดเห็นเกี่ยวกับอาหารท้องถิ่นของชุมชนตำบลดอนมดแดง พบว่า อาหารที่คนในชุมชนรับประทานมากที่สุด ได้แก่ ส้มตำ แกงหน่อไม้ ป่นปลาลวกผัก ขนมจีนน้ำยา กล้วยบวดชี และ 3) การพัฒนาอาหารท้องถิ่นของชุมชน ตำบลดอนมดแดง นำอาหารที่มีอยู่ในชุมชนแต่เดิมมาประยุกต์พัฒนาให้เกิดเป็นสำรับใหม่ โดยผ่านกระบวนการปรุงอย่างพิถีพิถัน และนำวัตถุดิบที่มีในชุมชนมาผสมผสานเข้าด้วยกัน อีกทั้งยังเป็นการคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของชุมชนตำบลดอนมดแดง โดยนำเสนอผ่านสำรับอาหาร และสามารถสร้างเอกลักษณ์ให้แก่ชุมชน และยังเป็นที่รู้จักสำหรับคนที่ได้รับประทานอาหารเพื่อเป็นการนึกถึงแหล่งที่มาของอาหารเหล่านี้ ได้แก่ ส้มตำกุ้งฝอยทอดกรอบ แกงหน่อไม้หอยเชอรรี่ ป่นปลาลวกผัก ขนมจีนน้ำยาปูนา กล้วยบวดชีมันแซง อีกทั้งยังทำให้คนในชุมชนรู้สึกภาคภูมิใจและอยากที่จะรักษาอาหารท้องถิ่นของชุมชนตำบลดอนมดแดงไว้สืบไป</p> ภัทรวดี ห่วงเพชร, ปรางค์ทิพย์ จันทร์แดง, นฤภรณ์ สุโพภาค, จรารุวรรณ วิเศษชลธาร, อนิรุตห์ แต้มงาม, กิตต์กวินเดชน์ วงศ์หมั่น Copyright (c) 2024 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhssrru/article/view/273370 Wed, 17 Apr 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง ผู้ผลิตที่มีความรับผิดชอบและผู้บริโภคที่รู้เท่าทัน กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้รูปแบบซิปปาโมเดล https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhssrru/article/view/273867 <p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ความรู้การสร้างชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง <br />ผู้ผลิตที่มีความรับผิดชอบและผู้บริโภคที่รู้เท่าทัน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 2) พัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 และ 3) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน จากการเรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้รูปแบบซิปปาโมเดล กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/1 โรงเรียนราษฎร์พัฒนา จำนวน 19 คน โดยเลือกแบบเจาะจง เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ เครื่องมือที่ใช้การเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบวิเคราะห์เอกสาร ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ข้อมูลจากการวิจัยเชิงคุณภาพทำการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ส่วนการวิจัยเชิงปริมาณวิเคราะห์ข้อมูลโดยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า<br /><span style="font-size: 0.875rem;"> 1. ผลการศึกษาเกี่ยวกับชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ได้นำแนวคิดที่ได้จากการวิเคราะห์องค์ประกอบโดยยึดหลักการสร้างตามทฤษฎีสื่อประสม และนำองค์ประกอบที่ได้ไปสร้าง</span><span style="font-size: 0.875rem;">ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ จำนวน 3 ชุด ผลการประเมินองค์ประกอบและค่าความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก โดยพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้มีองค์ประกอบสำคัญ 1) ด้านเนื้อหาเรียงลำดับจากง่าย</span><span style="font-size: 0.875rem;">ไปหายาก มีเนื้อหาที่น่าสนใจ ไม่ซับซ้อน มีตัวอย่างที่ชัดเจนและเหมาะสมกับการศึกษาด้วยตนเอง </span><span style="font-size: 0.875rem;">2) ด้านสื่อการเรียนรู้ ได้แก่ คู่มือสำหรับครู ใบความรู้ ใบงาน สื่อบุคคล 3) ด้านการนำชุดกิจกรรมการเรียนรู้ไปใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ควรใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกับวิธีสอนแบบใหม่ๆ หลากหลายวิธีการ ทำให้รู้สึกสนุกสนานกับการเรียน ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนสามารถจดจำและนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสม และ 4) ด้านการวัดผลประเมินผล โดยการประเมินผลหลายๆ แบบผสมผสานกัน เช่น การสังเกต การทดสอบ การประเมินผลตามสภาพจริงและประเมินให้ครอบคลุมทุกด้าน<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;"> 2. ผลการพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบวิเคราะห์เอกสาร และผลการนำชุดกิจกรรมไปใช้ในการเรียนรู้กับผู้เรียน พบว่า ชุดกิจกรรมมีค่าประสิทธิภาพ 83.33/83.11 ซึ่งมีประสิทธิภาพของกระบวนการและประสิทธิภาพของผลลัพธ์ </span><strong style="font-size: 0.875rem;">(</strong><span style="font-size: 0.875rem;">E</span><sub>1</sub><span style="font-size: 0.875rem;">/ E</span><sub>2</sub><span style="font-size: 0.875rem;">) สูงกว่าเกณฑ์ 80/80 </span><span style="font-size: 0.875rem;">ที่กำหนดไว้<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;"> 3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบ</span><span style="font-size: 0.875rem;">ซิปปาโมเดล มีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</span></p> อำนาจ ศรทอง, อัชราพร สุขทอง, ธงไชย สุขแสวง Copyright (c) 2024 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhssrru/article/view/273867 Sat, 20 Apr 2024 00:00:00 +0700 การเรียนรู้ เรื่อง ประวัติศาสตร์ชุมชนบ้านแตล นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 รูปแบบโครงงาน https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhssrru/article/view/273816 <p> วิทยานิพนธ์เรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการจัดการเรียนรู้ 2) ศึกษาผลการจัดการเรียนรู้ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยรูปแบบโครงงาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 30 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลวิจัย คือ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบวัดผลการจัดการเรียนรู้ จำนวน 30 ข้อ และแบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน<br /> ผลการวิจัย พบว่า 1) การจัดการเรียนรู้ เรื่อง ประวัติศาสตร์ชุมชนบ้านแตล ผู้วิจัยใช้วิธีการสอนรูปแบบโครงงาน ประสบความสำเร็จโดยการจัดกิจกรรมที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ซึ่งให้ผู้เรียนได้ค้นคว้าเกี่ยวกับสิ่งที่ตนสนใจ ฝึกปฏิบัติจริงด้วยตนเองตามความสามารถ ความถนัดและสนใจ<br />โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นกระบวนการที่เป็นขั้นตอน มีการศึกษาอย่างเป็นระบบ มีการวางแผนอย่างละเอียดและลงมือปฏิบัติตามแผนที่ได้วางไว้เป็นขั้นตอน โดยมีครูเป็นผู้คอยกระตุ้น ให้คำแนะนำและคำปรึกษา ตลอดการเรียนรู้อย่างใกล้ชิด จนผู้เรียนเป็นผู้ค้นพบคำตอบนั้นและเผยแพร่องค์ความรู้ที่ได้ค้นพบแก่สาธารณชน 2) ผลการจัดการเรียนรู้จากการจัดกิจกรรมการเรียนโดยรูปแบบโครงงาน นักเรียนมีผลคะแนนทดสอบเฉลี่ยก่อนเรียน 12.87 คะแนน (ค่าเฉลี่ยร้อยละ 42.89) ส่วนผลคะแนนทดสอบเฉลี่ยหลังเรียน 16.32 (ค่าเฉลี่ยร้อยละ 79.33) ผลต่างคะแนนเฉลี่ยระหว่างการทำแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนเท่ากับ 10.93 คะแนนคิดเป็นค่าเฉลี่ยร้อยละ 36.44 ซึ่งนักเรียนมีคะแนนสอบหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้อยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.10</p> วรีเรศ เจือจันทร์, ธงไชย สุขแสวง, อัชราพร สุขทอง Copyright (c) 2024 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhssrru/article/view/273816 Sat, 11 May 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคอมพิวเตอร์กราฟิก เรื่อง การใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์กราฟิกโดยใช้สื่อโมชันกราฟิกร่วมกับวิธีการสอนแบบสาธิต ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhssrru/article/view/269728 <p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาสื่อโมชันกราฟิกเรื่องการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์กราฟิก ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 2) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ เรื่องการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์กราฟิก ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้สื่อโมชันกราฟิกร่วมกับวิธีการสอนแบบสาธิต กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 (Simple random sampling) โรงเรียนประสาทวิทยาคารเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่4 ห้อง 1 จำนวน 24 คน เครื่องมือในงานวิจัยได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้จำนวน 2 แผน 2) สื่อโมชันกราฟิก จำนวน 1 ชุด และ 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ประเภทเลือกตอบ 3 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ 4) แบบประเมินความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบค่าที (t-test-dependent)<br /> ผลการวิจัยมีดังนี้<br /><span style="font-size: 0.875rem;"> 1. สื่อการสอนโมชันกราฟิก เรื่อง ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์กราฟิก มีคุณภาพระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.81 และมีประสิทธิภาพ 81.13/84.5 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด 75/ 75<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;"> 2. คะแนนเฉลี่ยจากการจัดการเรียนรู้โดยใช้สื่อโมชันกราฟิก ร่วมกับวิธีการจัดการเรียนรู้แบบสาธิต ทั้งนี้จากการทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ย หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;"> 3. ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนด้วยสื่อโมชันกราฟิก ร่วมกับวิธีการจัดการเรียนรู้แบบสาธิตของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 อยู่ในระดับมากที่สุดมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.78</span></p> เกรียงไกร แป้นทอง, กฤษณณัฐ หนุนชู Copyright (c) 2024 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhssrru/article/view/269728 Tue, 14 May 2024 00:00:00 +0700 การศึกษาการรู้ดิจิทัลสำหรับครูระดับประถมศึกษาจังหวัดสุรินทร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhssrru/article/view/273825 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการรู้ดิจิทัลสำหรับครูระดับประถมศึกษาจังหวัดสุรินทร์ และ 2) เพื่อนำเสนอแนวทางการส่งเสริมการรู้ดิจิทัลสำหรับครูระดับประถมศึกษาจังหวัดสุรินทร์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครูจังหวัดสุรินทร์ที่อยู่ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 1 เขต 2 และเขต 3 จากการคำนวณกลุ่มตัวอย่างจากสูตรของทาโร ยามาเน่ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% ได้กลุ่มตัวอย่าง 381 คน โดยวิธีสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือวิจัยที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการวิเคราะห์เนื้อหา <br /> ผลการวิจัยพบว่า 1) ครูมีการรู้ดิจิทัลทั้ง 8 ด้านอยู่ในระดับมาก และการเปรียบเทียบการรู้ดิจิทัลจำแนกตามเพศ อายุ วุฒิการศึกษา ประสบการณ์การสอน และขนาดของโรงเรียน พบว่า เพศและวุฒิการศึกษาที่แตกต่างกันไม่ส่งผลต่อการรู้ดิจิทัล สำหรับอายุ ประสบการณ์การสอน และขนาดของโรงเรียนที่แตกต่างกันส่งผลต่อการรู้ดิจิทัล ที่ระดับนัยสำคัญ .05 และ 2) แนวทางการส่งเสริมการรู้ดิจิทัลสำหรับครูได้ทั้งหมด 6 แนวทาง ได้แก่ (1) จัดอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับสื่อดิจิทัลในการใช้โปรแกรมด้านเทคโนโลยี (2) จัดหาหรือสนับสนุนอุปกรณ์เสริมที่ทันสมัยให้เพียงพอสำหรับครูและนักเรียน (3) สนับสนุนให้ครูแต่ละท่านศึกษาความรู้เพิ่มเติมจากสื่อออนไลน์ หรือเรียนรู้ด้วยตัวเอง (4) ติดตั้ง WIFI ที่มีความเร็วสูง (5) แนะนำให้มีการจัดการประกวดการผลิตสื่อดิจิทัล และ (6) แนะนำโปรแกรมสำเร็จรูปที่สะดวกในการสร้างสื่อให้กับครูในการจัดทำสื่อต่าง ๆ</p> นิภาสิริ สังสีมา, นุชจรี บุญเกต, อุดม หอมคำ Copyright (c) 2024 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhssrru/article/view/273825 Tue, 14 May 2024 00:00:00 +0700 การจัดการเรียนรู้ เรื่อง ชื่นชมและบอกแบบอย่างการดำเนินชีวิตและ ข้อคิดจากประวัติสาวก ชาดก กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ด้วยการสอนแบบบทบาทสมมติร่วมกับการใช้หนังสือนิทานชาดกประกอบภาพระบายสี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhssrru/article/view/273925 <p> การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการจัดการเรียนรู้เรื่องชื่นชมและบอกแบบอย่างการดำเนินชีวิตและประวัติจากประวัติสาวกชาดก กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ด้วยการสอนแบบบทบาทสมมติร่วมกับการใช้หนังสือประกอบภาพระบายสี 2) เพื่อศึกษาผลการจัดการเรียนรู้ และ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านหนองหว้าโพธิ์ไทร จำนวน 21 คน โดยเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้การวิจัย ได้แก่ แบบวิเคราะห์เอกสาร แผนการจัดการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ แบบสังเกต แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแบบสอบถามความพึงพอใจ ข้อมูลจากการวิจัยเชิงคุณภาพทำการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ส่วนการวิจัยเชิงปริมาณวิเคราะห์ข้อมูลโดยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบียนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า<br /> 1. <span style="font-size: 0.875rem;">การจัดการเรียนการสอนด้วยวิธีการสอนแบบบทบาทสมมติมี 3 วิธี ดังนี้ 1) การแสดงบทละคร 2) การแสดงบทบาทสมมติแบบไม่มีบทเตรียมไว้ 3) การใช้บทบาทสมมติแบบเตรียมบทไว้พร้อม โดยมีขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ 2 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ขั้นการกำหนดวัตถุประสงค์เฉพาะ และ 2) ขั้นสร้างสถานการณ์บทบาทสมมติ วิธีการสอนดังกล่าวครูผู้สอนเป็นผู้กำหนดหัวข้อเรื่องที่จะศึกษาหรือกำหนดสถานการณ์ขึ้นมา เพื่อให้คล้ายกับสภาพแวดล้อมของผู้เรียนแล้วให้นักเรียนได้เตรียมตัวล่วงหน้า และดำเนินการแสดงบทบาทตามที่ตนเองได้รับมอบหมาย เพื่อเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน<br /> 2. </span><span style="font-size: 0.875rem;">การทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่านักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จากการสังเกตพฤติกรรมนักเรียน พบว่า นักเรียน</span><span style="font-size: 0.875rem;">กล้าแสดงออก ผู้เรียนมีโอกาสฝึกสนทนาโต้ตอบและได้ร่วมกิจกรรมเป็นกลุ่ม ทำให้ผู้เรียนเกิดความสนุกสนานกับบทบาทสมมติในสถานการณ์ต่าง ๆ เป็นสิ่งที่เร้าใจสำหรับผู้เรียน ทำให้ผู้เรียน</span><span style="font-size: 0.875rem;">จึงมีความกระตือรือร้นในการเรียนเพิ่มมากขึ้น<br /> </span>3. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้อยู่ในระดับมาก โดยนักเรียนที่มีความพึงพอใจมากที่สุดในด้านเนื้อหา รองลงมา คือ ด้านการวัดผลและประเมินผล ด้านกระบวนการเรียนรู้ และด้านสื่อและอุปกรณ์การเรียนรู้ ตามลำดับ</p> ศศิบุษย์ บุราคร, อิทธิวัตร ศรีสมบัติ, สิริพัฒถ์ ลาภจิตร Copyright (c) 2024 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhssrru/article/view/273925 Mon, 20 May 2024 00:00:00 +0700 การบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของเทศบาลนครปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhssrru/article/view/274456 <p> การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของเทศบาลนครปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี 2) เปรียบเทียบความคิดเห็นของบุคลากรต่อการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลเทศบาลนครปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 3) เสนอแนวทางในการพัฒนาการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของเทศบาลนครปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ บุคลากรเทศบาลนครปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี จำนวน 298 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล คือ แบบสอบถาม เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ โปรแกรมคอมพิวเตอร์วิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติสำเร็จรูป และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบที (t-test) และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA)<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของเทศบาลนครปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี อยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ค่าเฉลี่ยรายด้านอยู่ในระดับมาก คือ ด้านหลักความคุ้มค่า ด้านหลักการมีส่วนร่วม ด้านหลักคุณธรรม ด้านหลักความรับผิดชอบ ด้านหลักความโปร่งใส ส่วนด้านหลักนิติธรรมมีค่าเฉลี่ยระดับปานกลาง 2) ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยปัจจัยส่วนบุคคลที่ส่งผลต่อการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของเทศบาลนครปากเกร็ด โดยจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล พบว่า เพศ อายุ ระดับการศึกษา สถานภาพสมรส ตำแหน่งหน้าที่ และระยะเวลาการปฏิบัติติงาน ไม่แตกต่างกัน และ 3) แนวทางการส่งเสริมการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของเทศบาลนครปากเกร็ด ควรส่งเสริมยกระดับความรู้ผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงาน โดยจัดฝึกอบรมศึกษาดูงาน เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ จัดทำแผนควบคุมภายในหน่วยงาน เพื่อให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน ในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่น ร่วมรับฟังการพิจารณางบประมาณ มีระบบบริหารการเงินและพัสดุที่รัดกุม จัดรวบรวมระเบียบกฎหมายเผยแพร่ การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กร</p> สุพจน์ บุญวิเศษ Copyright (c) 2024 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhssrru/article/view/274456 Tue, 21 May 2024 00:00:00 +0700 การใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในจังหวัดอุบลราชธานี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhssrru/article/view/275057 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในจังหวัดอุบลราชธานี 2) เพื่อเปรียบเทียบสภาพการใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในจังหวัดอุบลราชธานี จำแนกตามตำแหน่ง ระดับการศึกษา ประสบการณ์ในการทำงานและขนาดของสถานศึกษา และ 3) เพื่อศึกษาแนวทาง การใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในจังหวัดอุบลราชธานี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในงานวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน จำนวน 660 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น จำแนกเป็น ผู้บริหารสถานศึกษา 285 คน และครูผู้สอน 375 คน เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที การทดสอบค่าเอฟ<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในจังหวัดอุบลราชธานี โดยภาพรวม พบว่า มีการใช้หลักธรรมภิบาลในการบริหารงานวิชาการอยู่ในระดับมากที่สุด 2) ผลการเปรียบเทียบสภาพการใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ในจังหวัดอุบลราชธานี ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนมีความคิดเห็นการใช้หลักธรรมภิบาลในการบริหารงานวิชาการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในจังหวัดอุบลราชธานี จำแนกตามตำแหน่ง วุฒิการศึกษา ประสบการณ์การทำงาน และขนาดสถานศึกษา โดยภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) แนวทางการใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ในจังหวัดอุบลราชธานี สามารถแยกเป็นด้านมีรายละเอียดดังนี้ (1) หลักนิติธรรม มีการกำหนดมาตรฐานการเรียนรู้เป็นรายวิชาตรงตามเป้าหมายของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560) (2) หลักคุณธรรม จัดการเรียนการสอน โดยสอดแทรกหลักคุณธรรมจริยธรรม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ให้กับนักเรียน (3) หลักความโปร่งใส ประกาศการใช้หลักสูตรสถานศึกษาให้ผู้เรียน ครู ผู้ปกครอง และชุมชนทราบก่อนนำไปใช้ (4) หลักการมีส่วนร่วม เปิดโอกาสให้ผู้เรียน ครู ผู้ปกครอง และชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้ปกครอง และชุมชน โดยมีส่วนร่วมในการจัดทำระเบียบ และแนวปฏิบัติต่าง ๆ เกี่ยวกับการวัดและประเมินผลในงานวิชาการของสถานศึกษา (5) หลักความรับผิดชอบ กำหนดหน้าที่รับผิดชอบแก่บุคลากรในการปฏิบัติงานด้านการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา และ (6) หลักความคุ้มค่า สนับสนุนให้ครูที่มีความรู้ ความสามารถด้านสาขาวิชาหลักสูตรและการสอน กำกับติดตามการวัดและประเมินผลการเรียนการสอนให้บรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพตามระยะเวลาที่กำหนดไว้</p> สมฤทัย เตาจันทร์ Copyright (c) 2024 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhssrru/article/view/275057 Wed, 22 May 2024 00:00:00 +0700 สมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคการศึกษาพลิกผัน (Disruptive Education) ตามการรับรู้ของครูมัธยมศึกษาที่สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานในจังหวัดชลบุรี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhssrru/article/view/274744 <p> ในขณะที่โลกเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะ Digital Disruption อันส่งผลกระทบต่อวิธีการทำงานที่ต้องเปลี่ยนไป การเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลันหรือนี้เราเรียกว่า Disruption เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ โดยสะท้อนไปถึงภาพรวมโดยเฉพาะระบบการศึกษาที่จะต้องปรับตัวให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลง และเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้บริหารจำเป็นจะต้องมีสมรรถนะที่เตรียมพร้อมรับต่อการพลิกผันนี้อีกด้วย การวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคการศึกษาพลิกผัน (Disruptive Education) ตามการรับรู้ของครูมัธยมศึกษาที่สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานในจังหวัดชลบุรี และเปรียบเทียบสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคการศึกษาพลิกผัน (Disruptive Education) ตามการรับรู้ของครูมัธยมศึกษาที่สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในจังหวัดชลบุรี จำแนกตามระดับการศึกษาประสบการณ์การทำงาน และขนาดสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ข้าราชการครูสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานในจังหวัดชลบุรี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 31 โรงเรียน จำนวน 320 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที<br />การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการวิเคราะห์เปรียบเทียบรายคู่ด้วยวิธีการของเชฟเฟ่<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1) สมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคการศึกษาพลิกผัน (Disruptive Education) ตามการรับรู้ของครูมัธยมศึกษาที่สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานในจังหวัดชลบุรี โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 2) ผลการเปรียบเทียบสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคการศึกษาพลิกผัน ตามการรับรู้ของครูมัธยมศึกษาที่สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานในจังหวัดชลบุรี พบว่า ครูที่มีระดับการศึกษาต่างกันโดยภาพรวมและรายด้าน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ยกเว้นด้านการให้บริการข้อมูลสารสนเทศและการประชาสัมพันธ์ ครูที่มีประสบการณ์ในการทำงานที่ต่างกันโดยภาพรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน และครูที่ปฏิบัติการสอน ในขนาดสถานศึกษาต่างกัน โดยภาพรวมและรายด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ยกเว้นด้านการพัฒนาตนเองและความแข็งแกร่งของอารมณ์ ด้านการรู้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลง</p> <p> </p> เพชรรัตน์ สาพิมาน, ศิริพงษ์ เศาภายน Copyright (c) 2024 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhssrru/article/view/274744 Thu, 23 May 2024 00:00:00 +0700 บทบาทพระครูอภิรักษ์ธีรคุณกับการพัฒนาสังคมในจังหวัดสุรินทร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhssrru/article/view/274721 <p> งานวิจัยเชิงคุณภาพ เพื่อศึกษาบทบาทพระครูอภิรักษ์ธีรคุณกับการพัฒนาสังคมในจังหวัดสุรินทร์ กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลัก พระภิกษุสงฆ์ซึ่งทำงานด้านการพัฒนา คัดเลือกโดยวิธีสำรวจข้อมูลตามประสบการณ์การพัฒนาไม่น้อยกว่า 20 ปี มีเครื่องมือการวิจัยจากการสร้างเครื่องมือ จากการทบทวนแนวคิดทฤษฎีและวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง มีการเก็บรวบรวมการสัมภาษณ์และวิเคราะห์ข้อมูล จากการรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม การสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง เป็นการศึกษาข้อมูลจากเอกสารและงานวิจัย หนังสือตำราที่เกี่ยวข้อง และการลงพื้นที่สัมภาษณ์เชิงลึก กับผู้นำชุมชน ชาวบ้านในพื้นที่ จำนวน 3 คน และวิเคราะห์สรุปผลการวิจัย โดยการนำเสนอในเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า บทบาทการพัฒนาสังคมของพระครูอภิรักษ์ธีรคุณ มีการพัฒนาบุคคล ด้านร่างกาย และด้านจิตใจ ด้วยวิธีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาผ่านการสอนโดยใช้กุศโลบาย และนำหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนามาประยุกต์ให้สอดคล้องกับบริบทและชุมชน เพื่อให้เกิดจุดเปลี่ยนเปลี่ยนมุมมอง เกิดปัญญาและสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ เช่น กิจกรรมการสอนควบคู่กันกับงานด้านสาธารณะสงเคราะห์แก่สังคม</p> กานต์ กาญจนพิมาย, วิเชียร แสนมี, ประภาส แก้วเกตุพงษ์ Copyright (c) 2024 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhssrru/article/view/274721 Fri, 24 May 2024 00:00:00 +0700 การส่งเสริมทักษะการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมในการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง จังหวัดสระบุรี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhssrru/article/view/273623 <p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความต้องการส่งเสริมการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมในการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดสระบุรี และ 2) ศึกษาแนวทางการส่งเสริมทักษะการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมในการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดสระบุรี เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ผู้นำชุมชน ใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง (purposive sampling) จำนวน 65 ราย ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลการศึกษาความต้องการส่งเสริมการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมในการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดสระบุรี ต้องการให้มีการจัดตั้งศูนย์หรือหน่วยประสานงานภายในพื้นที่ มีการประชุมเพื่อร่วมกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การประสานผู้เชี่ยวชาญ หรือวิทยากรของหน่วยงานและภาคีเครือข่ายอื่น ๆ การจัดหาหรือค้นหาอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ที่มีประสบการณ์สูง เปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนความคิดในการวางแผน จัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสถานการณ์จำลอง การสาธิต และการสนับสนุนทรัพยากรเพิ่มบทบาทในการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง 2) แนวทางการส่งเสริมทักษะการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมในการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดสระบุรี ประกอบด้วย การแลกเปลี่ยนความคิดการวางแผน การปฏิบัติการ การรับประโยชน์และคุณค่า และกาประเมินผล</p> อำนวย ปิ่นพิลา, กฤษณะ จันทร์เรือง Copyright (c) 2024 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhssrru/article/view/273623 Sun, 26 May 2024 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ของวัฒนธรรมองค์การกับความผูกพันของบุคลากรในเทศบาลตำบลช่องลม อำเภอลานกระบือ จังหวัดกำแพงเพชร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhssrru/article/view/275453 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับปัจจัยวัฒนธรรมองค์การและความผูกพันต่อเทศบาลตำบลช่องลม 2) ศึกษาเปรียบเทียบความผูกพันต่อองค์การของบุคลากรในเทศบาลตำบลช่องลม จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ของวัฒนธรรมองค์การกับความผูกพันต่อองค์การของบุคลากรในเทศบาลตำบลช่องลม ประชากรคือ บุคลากรในเทศบาลตำบลช่องลม จำนวน 149 คน กลุ่มตัวอย่างจำนวนทั้งสิ้น 110 คน โดยใช้สูตรคำนวณของทาโรยามาเน่ เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถาม สถิติที่ใช้คือความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และสหสัมพันธ์ของเพียร์สัน<br /> ผลวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยวัฒนธรรมองค์การของเทศบาลตำบลช่องลม ในภาพรวมเห็นด้วยอยู่ในระดับมาก และความผูกพันต่อองค์การของบุคลากรในเทศบาลตำบลช่องลมในภาพรวมมีความผูกพันอยู่ในระดับมาก 2) ปัจจัยส่วนบุคคลของบุคลากรที่มีระดับการศึกษาต่างกันมีความผูกพันต่อองค์การแตกต่างกัน ส่วน อายุงาน และหน่วยงานต่างกันมีความผูกพันต่อองค์การแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ และ 3) ปัจจัยด้านสัญลักษณ์มีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับปานกลางกับความผูกพันต่อองค์การของบุคลากรในเทศบาลตำบลช่องลม ส่วนวีรบุรุษ ธรรมเนียมปฏิบัติและค่านิยมมีความสัมพันธ์เชิงบวก ในระดับสูงมีความผูกพันต่อองค์การของบุคลากรใน เทศบาลตำบลข่องลม ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.01</p> ชนัด เผ่าพันธุ์ดี Copyright (c) 2024 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhssrru/article/view/275453 Mon, 27 May 2024 00:00:00 +0700 ความสุขในการทำงานของบุคลากรสายวิชาการ สาขาการท่องเที่ยวในมหาวิทยาลัยเขตกรุงเทพมหานคร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhssrru/article/view/274954 <p> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพแบบปรากฏการณ์วิทยาเชิงตีความ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสุขในการทำงานของบุคลากรสายวิชาการ สาขาการท่องเที่ยวในมหาวิทยาลัยเขตกรุงเทพมหานครโดยใช้วิธีการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลแบบเรื่องเล่า ผู้วิจัยได้ทำการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูลในการศึกษา ผู้ให้ข้อมูลหลักเป็นบุคลากรสายวิชาการ สาขาการท่องเที่ยวในมหาวิทยาลัยเขตกรุงเทพมหานครจำนวน 25 ราย ผู้วิจัยเลือกการศึกษาแบบเรื่องเล่าและค้นคว้าข้อมูลโดยรวบรวมจากเอกสาร ทำการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหาตามวิธีของ แวน มาเนน (van Manen) พบว่า ความสุขในการทำงาน คือ การทำงานในสังคมที่ดี อบอุ่น และเป็นมิตร ทำงานอยู่ร่วมกันเหมือนพี่น้อง การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี และการมีความรู้สึกพึงพอใจ ภาคภูมิใจ ในงานที่ได้รับมอบหมาย การวางตัวในการทำงาน มีการเปิดกว้างในการแสดงความคิดเห็นและตัวตนของบุคลากร ซึ่งช่วยให้มีความเพลิดเพลินและสามารถรับมือกับการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งความสุขส่วนหนึ่งเกิดจากผู้บังคับบัญชาได้ส่งเสริมให้บุคลากรมีการพัฒนาความรู้ความสามารถ และทักษะการปฏิบัติงาน</p> นิธิกิตติกานต์ เหมสุวรรณ์, รัศมี อัจฉริยไพศาลกุล, พาฝัน รัตนะ, ธนาวุฒิ เกลี้งเกิด Copyright (c) 2024 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhssrru/article/view/274954 Mon, 27 May 2024 00:00:00 +0700 ความตั้งใจในการใช้บริการสินเชื่อที่อยู่อาศัยผู้สูงอายุ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhssrru/article/view/277450 <p> การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจทักษะทางการเงิน 2) ศึกษาอิทธิพลของ ทักษะทางการเงิน แรงจูงใจในการมอบมรดก และทัศนคติต่อสินเชื่อที่มีผลต่อความตั้งใจในการใช้บริการสินเชื่อที่อยู่อาศัยผู้สูงอายุ กลุ่มตัวอย่าง คือบุคคลที่มีสัญชาติไทยและมีอายุ 20 ปีขึ้นไป จำนวน 592 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1) ทักษะทางการเงินสามารถวิเคราะห์องค์ประกอบได้จำนวน 5 องค์ประกอบ โดยทั้ง 5 องค์ประกอบสามารถอธิบายทักษะทางการเงินได้ร้อยละ 58.71 ประกอบด้วยองค์ประกอบที่ 1 พฤติกรรมการก่อหนี้ สามารถอธิบายทักษะทางการเงินได้ร้อยละ 33.54 องค์ประกอบที่ 2 ทัศนคติทางการเงิน สามารถอธิบายทักษะทางการเงินได้ร้อยละ 11.31 องค์ประกอบที่ 3 พฤติกรรมการออมเงิน สามารถอธิบายทักษะทางการเงินได้ร้อยละ 5.09 องค์ประกอบที่ 4 พฤติกรรมการใช้จ่าย สามารถอธิบายทักษะทางการเงินได้ร้อยละ 4.98 และสุดท้าย องค์ประกอบที่ 5 ความรู้ทางการเงิน สามารถอธิบายทักษะทางการเงินได้ร้อยละ 3.79 2) ผลการศึกษาอิทธิพลที่มีต่อความตั้งใจในการใช้บริการสินเชื่อที่อยู่อาศัยผู้สูงอายุ ได้แก่ พฤติกรรมการก่อหนี้ ทัศนคติทางการเงิน พฤติกรรมการออมเงิน พฤติกรรมการใช้จ่าย ความรู้ทางการเงิน แรงจูงใจในการมอบมรดก และทัศนคติต่อสินเชื่อมีผลต่อความตั้งใจในการใช้บริการสินเชื่อที่อยู่อาศัยผู้สูงอายุ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 โดยสามารถอธิบายการเปลี่ยนแปลงของความตั้งใจในการใช้บริการสินเชื่อที่อยู่อาศัยผู้สูงอายุได้ร้อยละ 49.5</p> พิจิตรา ทองสา, อรุณรัตน์ เศวตธรรม, ปวีณา คำพุกกะ Copyright (c) 2024 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhssrru/article/view/277450 Wed, 29 May 2024 00:00:00 +0700 Zigong Lantern Festival Folk Culture Brand Image Design and Application https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhssrru/article/view/275802 <p> This research study is qualitative research. The researchers have three goals : 1) A study and analysis of the history, development and living conditions of the folk culture of the Zigong Lantern Festival. 2) Study and analysis on Zigong Lantern Festival and folk culture brand image design strategy. 3) Design to promote folk culture brand image Zigong Lantern Festival.<br /> The population and samples used in this study were divided into two groups : 1) the population used to study the information of Zigong Yuanxiao (Filled round balls made of glutinous rice-flour for Lantern Festival). 2) A group used for designing and analyzing data. The sampling technique used is purposeful sampling. The tools used in the study include surveys, interviews, observations, and questionnaire surveys. The statistics used are means (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />) and standard deviation.<br /> As far as the research results are concerned, as a national intangible cultural heritage, the Zigong Lantern Festival has important brand status and value. But it faces problems such as relatively single form and weak brand image recognition ability. Therefore, researchers have deeply explored the unique cultural and historical background of the Zigong Lantern Festival, integrated effective elements of local tourism culture, and designed a folk cultural brand image with cultural connotations.<br /> An exploration of the application of Zigong Lantern Festival's folk culture image design in contemporary contexts. The researchers conducted the following work : 1) Research and analysis on the Zigong Lantern Festival, and innovatively designed based on its folk and regional cultural elements, such as dinosaurs, lanterns, crowns, etc. 2) Transform it into 5 cultural and creative products that meet market demand and target consumer groups (young tourists). through questionnaire survey to evaluate the satisfaction of the target group with the brand image design of Zigong Lantern Festival folk culture, it is found that: the first place is finished product 5 (key chain) (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=4.89), the second place is finished product 4 (canvas bag) (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />= 4.85), the third place is finished product 1 (calendar) (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=4.82), the fourth place is finished product 3 (refrigerator magnet) (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=4.80), and the fifth place is finished product 2 (mirror decoration) (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=4.78). Each project has different suggestions for improvement.</p> Wen Dan, Sakchai Sikka Copyright (c) 2024 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhssrru/article/view/275802 Wed, 29 May 2024 00:00:00 +0700 บทบาทของผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่อการพัฒนาท้องถิ่น ในจังหวัดสุรินทร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhssrru/article/view/275220 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาบทบาทของผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่อการพัฒนาท้องถิ่นในจังหวัดสุรินทร์ 2) เปรียบเทียบบทบาทของผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่อการพัฒนาท้องถิ่นในจังหวัดสุรินทร์ ตามปัจจัยส่วนบุคคล 3) ศึกษาข้อเสนอแนะในบทบาทผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่อการพัฒนาท้องถิ่นในจังหวัดสุรินทร์ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง คือ ประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลนาดี อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 10,172 คน และกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยวิธีความน่าจะเป็นของทาโร ยามาเน่ได้จำนวน 387 คน เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.97 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติค่าดัชนีความสอดคล้อง ค่าสัมประสิทธิ์อัลฟ่า ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าที (t – test) ค่าเอฟ (F - test) และทดสอบความแตกต่างรายคู่โดยใช้วิธีของ Least Significant Difference (LSD) ผลการวิจัยพบว่า<br /><span style="font-size: 0.875rem;"> 1. บทบาทของผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่อการพัฒนาท้องถิ่นในจังหวัดสุรินทร์ </span><span style="font-size: 0.875rem;">โดยภาพรวม อยู่ในระดับมากทุกด้าน เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย คือ ด้านศิลปะ วัฒนธรรม จารีตประเพณี และภูมิปัญญาท้องถิ่น ด้านส่งเสริมคุณภาพชีวิต ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้านจัดระเบียบชุมชน สังคม และการรักษาความปลอดภัยของชุมชน ด้านโครงสร้างพื้นฐาน และด้านการวางแผน การส่งเสริมการลงทุน พาณิชยกรรมและการท่องเที่ยว ตามลำดับ<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;"> 2. ประชาชนที่มีเพศ อายุ ระดับการศึกษา และอาชีพต่างกัน มีความคิดเห็นเกี่ยวกับบทบาทของผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่อการพัฒนาท้องถิ่นในจังหวัดสุรินทร์ โดยภาพรวม ไม่แตกต่างกันอย่าง</span><span style="font-size: 0.875rem;">มีนัยสำคัญทางสถิติ<br /> </span>3. ข้อเสนอแนะในบทบาทของผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่อการพัฒนาท้องถิ่นในจังหวัดสุรินทร์ คือ 1) ควรขยายไหล่ทางและติดตั้งไฟฟ้าถนนหลักระหว่างหมู่บ้าน 2) ควรจัดอบรมความรู้ การประกอบอาชีพเสริมให้แก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง 3) ควรติดตั้งวงจรปิดประจำหมู่บ้าน เพื่อป้องกันอุบัติเหตุและความปลอดภัยของชุมชน 4) ควรส่งเสริมสนับสนุนงบประมาณในการลงทุนประกอบธุรกิจ และพัฒนาศักยภาพกลุ่มผู้ผลิต ผู้ประกอบการ 5) ควรส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนไฟฟ้า โดยติดตั้งโซลาร์เซลล์ในบ้านเรือนและการเกษตร และ 6) ควรส่งเสริมสนับสนุนปราชญ์ท้องถิ่น เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ถ่ายทอดองค์ความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นแก่เยาวชนและผู้สนใจ</p> ตรีชฎา สุขเกษม, ภูริส ภูมิประเทศ, กิตติศักดิ์ ร่วมพัฒนา, อภิชาติ แสงอัมพร Copyright (c) 2024 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhssrru/article/view/275220 Thu, 30 May 2024 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพชีวิตการทำงาน พฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์กร และความผูกพันต่อองค์กรของพนักงานสายสนับสนุน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhssrru/article/view/273989 <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพชีวิตการทำงาน พฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์กร และความผูกพันต่อองค์กรของพนักงานสายสนับสนุนมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ พนักงานสายสนับสนุนมหาวิทยาลัยมหาสารคาม จำนวน 276 คน โดยใช้เกณฑ์การกำหนดขนาดตัวอย่างตามสูตรทาโร่ ยามาเน่ จำแนกตามหน่วยงานที่สังกัด และใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การวิเคราะห์สหสัมพันธ์พหุคูณ ผลการวิจัย พบว่า 1) คุณภาพชีวิตการทำงาน ด้านค่าตอบแทนที่เพียงพอและยุติธรรม ด้านสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยและส่งเสริมสุขภาพ ด้านโอกาสที่ได้รับการพัฒนาและใช้ความสามารถของบุคคล และด้านโอกาสก้าวหน้าและความมั่นคงในการทำงาน มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับความผูกพันต่อองค์กรโดยรวม 2) คุณภาพชีวิตการทำงาน ด้านค่าตอบแทนที่เพียงพอและยุติธรรม ด้านสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยและส่งเสริมสุขภาพ ด้านโอกาสที่ได้รับการพัฒนาและใช้ความสามารถของบุคคล และด้านโอกาสก้าวหน้าและความมั่นคงในการทำงาน มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์กรโดยรวม และ 3) พฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์กร ด้านพฤติกรรมการให้ความช่วยเหลือ ด้านพฤติกรรมการคำนึงถึงผู้อื่น ด้านพฤติกรรมความอดทนอดกลั้น ด้านพฤติกรรมความสำนึกในหน้าที่ และด้านพฤติกรรมการให้ความร่วมมือ มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับความผูกพันต่อองค์กรโดยรวม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p> นริศรา แดงเทโพธิ์ Copyright (c) 2024 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhssrru/article/view/273989 Thu, 13 Jun 2024 00:00:00 +0700 ปัญหาที่พบจากการเป็นตัวแทนนำเข้า-ส่งออกสินค้าชายแดนไทย-กัมพูชา ในเขตตำบลด่าน อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ กรณีศึกษาบริษัท เคเอ็มที อิมพอร์ต เอ็กซ์พอร์ต 888 จำกัด https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhssrru/article/view/276955 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาขั้นตอนพิธีการศุลกากรนำเข้า–ส่งออก รวมถึงปัญหาที่พบจากการเป็นตัวแทนนำเข้า-ส่งออกสินค้าชายแดนไทย–กัมพูชา ในเขตตำบลด่าน อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ กรณีศึกษา บริษัท เคเอ็มที อิมพอร์ต เอ็กซ์พอร์ต 888 จำกัด การวิจัยนี้ใช้รูปแบบวิธีการวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลจากพื้นที่ในจังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเป็นพื้นที่ตั้งของบริษัทตัวแทนนำเข้า-ส่งออก ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ พนักงานในบริษัท เคเอ็มที อิมพอร์ต เอ็กพอร์ต 888 จำกัด ทั้งหมดจำนวน 8 คน และผู้ให้การสัมภาษณ์ จำนวน 13 ราย แยกเป็นลูกค้า 10 คน และเจ้าหน้าที่ด่าน 3 คน ใช้วิธีการคัดเลือกแบบเจาะจง ซึ่งเป็นผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (Key Informant) โดยขั้นตอนวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพนั้น จะเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้สัมภาษณ์เชิงลึก และมีจุดดี คือ มีความน่าเชื่อถือของข้อมูลสูง ซึ่งผู้ให้การสัมภาษณ์สามารถให้ข้อมูลเพิ่มเติมได้ การวิจัยเชิงปริมาณใช้เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปและสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยประชากร (<img title="\mu" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\mu" /> ) และค่าส่วนเบี่ยงเบนประชากร (<img title="\sigma" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\sigma" />) ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อตามประเด็นการศึกษา<br /> ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็น เพศหญิง มีอายุระหว่าง 20 – 40 ปี มีระดับการศึกษา ปวส./ปวช. ประสบการณ์ด้านตำแหน่งที่ปฏิบัติงานอยู่ระหว่าง 3 – 7 ปีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001 -25,000 บาท ผู้ประกอบการมีการปฏิบัติเกี่ยวกับพิธีการศุลกากรนำเข้า – ส่งออก มีทั้งหมด 3 ด้าน โดยมีระดับความคิดเห็นมากที่สุดอยู่ 1 ด้านคือ ด้านกฎระเบียบ มีระดับความคิดเห็นมาก 2 ด้าน คือ ด้านการปฏิบัติพิธีศุลกากร และด้านการแก้ปัญหา และมีระดับความคิดเห็น โดยรวมอยู่ในระดับความคิดเห็นมาก มีการปฏิบัติเกี่ยวกับการขนส่ง มีทั้งหมด 8 ด้าน โดยมีระดับความคิดเห็นโดยรวมอยู่ในระดับความคิดเห็นมาก สามารถเรียงลำดับจากมากไปน้อยได้ดังนี้ ความรวดเร็ว รองลงมา คือ การตรงต่อเวลาในการขนส่งสินค้า การเตรียมพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก ความสะดวกสบาย ความปลอดภัยและค่าใช้จ่าย ยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง ความปลอดภัยของการขนส่ง และการติดตามสินค้า</p> <p> </p> <p> </p> พรรณราย พรรณราย เพราะคำ, กฤตกนก พาบุ Copyright (c) 2024 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhssrru/article/view/276955 Sun, 23 Jun 2024 00:00:00 +0700