https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhssrru/issue/feed วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ 2025-05-22T16:14:11+07:00 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สิริพัฒถ์ ลาภจิตร (Asst. Prof. Dr.Siriphat Lapchit) jhssrru@srru.ac.th Open Journal Systems <p><strong>วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์</strong></p> <p><strong>Journal of Humanities and Social Sciences, Surindra Rajabhat University</strong></p> <p><strong>ISSN 3027-8724 (Print) ISSN 3027-8732 (Online) </strong></p> <p><strong>วารสารกำหนดเผยแพร่</strong> : ฉบับปกติ (Regular Issues) ปีละ 2 ฉบับดังนี้ ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน) ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม – ธันวาคม)</p> <p><strong>วัตถุประสงค์วารสาร :</strong> ส่งเสริมและสนับสนุนให้คณาจารย์ นักวิชาการ นิสิต นักศึกษา และผู้สนใจทั่วไปได้มีโอกาสเผยแพร่ผลงานทางวิชาการและผลงานวิจัยทางมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ และแขนงวิชาที่เกี่ยวข้อง โดยรับบทความวิชาการและบทความวิจัย ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> <p><strong>ขอบเขตของวารสาร</strong> ได้แก่ บทความทางด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ และแขนงวิชาที่เกี่ยวข้องอันได้แก่ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ นิติศาสตร์ การจัดการ สังคมวิทยา เศรษฐศาสตร์ การพัฒนาสังคม และการศึกษา ตลอดจนบทวิเคราะห์ที่เสนอทางออกของปัญหาให้แก่สังคม </p> <p><strong>เงื่อนไขการตีพิมพ์</strong> : บทความแต่ละบทความจะได้รับพิจารณาจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบบทความ (Peer Reviewer) จากผู้ทรงคุณวุฒิอย่างน้อยสามท่าน โดยบทความผู้นิพนธ์ภายนอกได้รับการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิภายในและผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกคนละหนึ่งท่าน หรือผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกอย่างน้อยสองท่าน ส่วนบทความผู้นิพนธ์ภายในได้รับการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกหน่วยงานที่จัดทำวารสาร มีความเชี่ยวชาญตรงตามสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องจากหลากหลายสถาบัน และได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการก่อนตีพิมพ์ ทั้งนี้จะมีรูปแบบที่ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์บทความและผู้นิพนธ์บทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความเช่นเดียวกัน (Double-Blind Peer Review) และทางกองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ที่จะไม่พิจารณาบทความจนกว่าจะได้แก้ไขให้ถูกต้องตามข้อกำหนดของวารสาร ทั้งนี้ บทความต้นฉบับที่ส่งมาตีพิมพ์จะต้องไม่เคยตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารหรือสิ่งพิมพ์ใดมาก่อน และไม่อยู่ในระหว่างพิจารณาเสนอขอตีพิมพ์ในวารสารหรือสิ่งพิมพ์อื่น ๆ หากมีการใช้ภาพหรือตารางของผู้นิพนธ์อื่นที่ปรากฏในสิ่งตีพิมพ์อื่นมาแล้ว ผู้นิพนธ์ต้องขออนุญาตเจ้าของลิขสิทธิ์ก่อน พร้อมทั้งแสดงหนังสือที่ได้รับการยินยอมต่อกองบรรณาธิการก่อนที่บทความจะได้รับการตีพิมพ์ สำหรับทัศนะและข้อคิดเห็นของบทความในวารสารฉบับนี้ เป็นของผู้นิพนธ์แต่ละท่าน ไม่ถือเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการ</p> <p><strong>ค่าใช้จ่ายในการตีพิมพ์เผยแพร่<br /></strong> บทความวิจัย/ บทความวิชาการ ภาษาไทย 3,000 บาท<br /> บทความวิจัย/ บทความวิชาการ ภาษาอังกฤษ 4,500 บาท</p> <p><strong>คำชี้แจง</strong><strong> </strong>ขั้นตอนการชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์<br /> 1. ผู้นิพนธ์ส่งไฟล์บทความผ่านระบบ ThaiJo ประกอบด้วย<br /> 1.1 บทความวิจัย/บทความวิชาการ ในรูปแบบไฟล์ Word จำนวน 1 ไฟล์ รูปแบบฟอร์มต้องถูกต้องหากไม่ถูกต้องจะมีการแจ้งให้ปรับแก้ไขให้ถูกต้องผ่านในระบบวารสารในช่องทาง Pre-Review Discussions<br /> 1.2 แบบฟอร์มการส่งบทความเพื่อพิจารณาตีพิมพ์ลงในวารสาร จำนวน 1 ไฟล์ กรุณาดูคำแนะนำสำหรับผู้นิพนธ์ <a title="คำแนะนำสำหรับผู้นิพนธ์" href="https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhssrru/author_instruction">(Click)</a><br /><span style="font-size: 0.875rem;"> 2. เมื่อไฟล์เอกสารบทความถูกต้องครบถ้วนตามที่วารสารกำหนดแล้ว ทางกองบรรณาธิการจะพิจารณาบทความเบื้องต้น ตามข้อกำหนดของวารสาร หากผ่านการพิจารณาบทความเบื้องต้น ทางวารสารจะแจ้งให้ชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์วารสารก่อนที่จะส่งประเมินคุณภาพบทความ ผ่านในระบบวารสารในช่องทาง Pre-Review Discussions<br /> 3. ช่องทางการชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์วารสาร กำหนดให้โอนชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์วารสารผ่านทางบัญชีธนาคาร โดยผู้นิพนธ์จะได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่วารสารเท่านั้น<br /></span></p> <p><strong>ช่องทางการชำระค่าธรรมเนียม<br /></strong> ชื่อบัญชี วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์<br /> ชื่อธนาคาร ธนาคารกรุงเทพ สาขามหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ประเภทบัญชี สะสมทรัพย์<br /> เลขที่บัญชี 644-0-48200-5</p> <p><strong>ทั้งนี้</strong> เมื่อชำระค่าธรรมเนียมเรียบร้อยแล้ว กรุณาจัดส่งหลักฐานการชำระเงินที่อีเมล jhssrru@srru.ac.th โดยระบุ 1) ชื่อ - สกุล ผู้นิพนธ์ 2) ชื่อบทความ 3) สลิปการโอน หรือแนบหลักฐานการชำระเงินแจ้งผ่านระบบวารสารในช่องทาง pre-Review Discussions ในการโต้ตอบกระทู้</p> <p><strong>หมายเหตุ:</strong> การชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์วารสารทุกรายการ เป็นค่าดำเนินการของวารสาร ซึ่งหากบทความของท่านไม่ผ่านการพิจารณาให้ตีพิมพ์ลงในวารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ จากผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ท่าน และถูกปฏิเสธการลงตีพิมพ์ ทางวารสารจะไม่คืนเงินค่าตีพิมพ์วารสารดังกล่าว</p> https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhssrru/article/view/283881 ภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อสมรรถนะของครู ในศตวรรษที่ 21 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษานครพนม เขต 2 2025-01-28T07:18:47+07:00 เปมิกา มั่นทัพ 666150110243@npu.ac.th ชาญวิทย์ หาญรินทร์ hanrin.chanwit@gmail.com ไพฑูรย์ พวงยอด dr.paitoon@npu.ac.th <p> ภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาถือเป็นกลไกสำคัญที่จะส่งเสริมสมรรถนะของครูในศตวรรษที่ 21 ให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาและเปรียบเทียบภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา จำแนกตามสถานภาพและขนาดของสถานศึกษา 2) ศึกษาและเปรียบเทียบสมรรถนะของครูในศตวรรษที่ 21 จำแนกตามสถานภาพ และขนาดของสถานศึกษา 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษากับสมรรถนะของครูในศตวรรษที่ 21 และ 4) ศึกษาอำนาจพยากรณ์ของภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อสมรรถนะของครูในศตวรรษที่ 21 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนมเขต 2 กลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 349 คน ได้แก่ ผู้บริหารโรงเรียน จำนวน 57 คน ครู จำนวน 292 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้เกณฑ์ร้อยละ ได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำแนกเป็น 2 ฉบับ ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IC) ระหว่าง .60-1.00 สถิติที่ใช้ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ผลการเปรียบเทียบจำแนกตามสถานภาพ พบว่า โดยรวมไม่แตกต่างกัน ผลการเปรียบเทียบจำแนกตามขนาดของสถานศึกษา พบว่า โดยรวมไม่แตกต่างกัน 2) สมรรถนะของครูในศตวรรษที่ 21 โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ผลการเปรียบเทียบจำแนกตามสถานภาพโดยภาพรวม พบว่า แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนผลการเปรียบเทียบจำแนกตามขนาดของสถานศึกษาพบว่า ไม่แตกต่างกัน 3) ภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษากับสมรรถนะของครูในศตวรรษที่ 21 มีความสัมพันธ์กันทางบวกในระดับสูงอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01 และ 4) ตัวแปรภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อสมรรถนะของครูในศตวรรษที่ 21 มี 4 ตัวแปร ได้แก่ ด้านการเป็นแบบอย่างของผู้นำตนเอง ด้านการเสริมพลังอำนาจ ด้านการเป็นผู้นำในการสร้างทีมงาน และด้านการสร้างภาวะผู้นำตนเอง โดยร่วมกันพยากรณ์ได้ร้อยละ 76</p> 2025-06-13T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhssrru/article/view/284018 สมรรถนะทางการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 2 2025-04-17T10:38:23+07:00 เอกสิทธิ์ แก้วสมุทร์ ekkasit.kg65@ubru.ac.th สมฤทัย เตาจันทร์ somrutai.p@ubru.ac.th ชูชีพ ประทุมเวียง Chucheep138@hotmail.com <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับสมรรถนะทางการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 2 2) เปรียบเทียบระดับสมรรถนะทางการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 2 จำแนกตาม ตำแหน่ง ประสบการณ์การทำงาน และขนาดสถานศึกษา และ 3) ศึกษาปัญหาและแนวทางพัฒนาสมรรถนะทางการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ศรีสะเกษ เขต 2 ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือผู้บริหารสถานศึกษาและครูในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 2 จำนวน 179 โรงเรียน โดยแยกเป็นผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 167 คน ครู จำนวน 1,363 คน รวมทั้งสิ้นจำนวน 1,530 คน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 308 คน ซึ่งได้มาโดยสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .97 สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test) และการทดสอบค่าเอฟ (F-test) เมื่อพบความแตกต่าง ทดสอบรายคู่ด้วยวิธีการของ Scheffe’ กลุ่มเป้าหมายที่ใช้สัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูที่ได้รางวัลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสมรรถนะทางการศึกษา จำนวน 4 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์ และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1) สมรรถนะทางการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 2 โดยภาพรวมมีระดับสมรรถนะทางการบริหารในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าทุกด้านอยู่ในระดับมาก 2) สมรรถนะทางการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 2 จำแนกตามตำแหน่ง ประสบการณ์การทำงาน และขนาดสถานศึกษา พบว่าโดยภาพรวม แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 3) ปัญหาและแนวทางการแก้ปัญหา ดังนี้ 3.1) ด้านการพัฒนาตนเอง งานประจำที่หนักและ มากเกินไป ควรจัดความสำคัญของงานและการพัฒนาตนเอง 3.2) ด้านการมีส่วนร่วมและทำงานเป็นทีมไม่เปิดโอกาสให้ทีมงานมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ควรส่งเสริมวัฒนธรรมการทำงานที่เปิดกว้างและการมีส่วนร่วม 3.3) ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ขาดทักษะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ควรจัดอบรมทักษะที่จำเป็นด้านเทคโนโลยีและการสื่อสาร 3.4) ด้านวิสัยทัศน์ ไม่มีการกำหนดวิสัยทัศน์และเป้าหมายที่ชัดเจน ควรจัดทำแผนกลยุทธ์ระยะยาวที่มีการกำหนดวิสัยทัศน์และเป้าหมายที่ชัดเจน และ 3.5) ด้านผู้นำการเปลี่ยนแปลง ไม่มีแผนการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน ควรจัดทำแผนการเปลี่ยนแปลงที่มีขั้นตอนชัดเจน</p> 2025-06-13T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhssrru/article/view/285645 แนวทางการดำเนินงานการบริหารจัดการด้านความปลอดภัยในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 2025-04-18T14:39:44+07:00 กรวิชญ์ ฤทธิเดช redone135@gmail.com อุดมพันธุ์ พิชญ์ประเสริฐ stu6530117122@sskru.ac.th พงษ์ศักดิ์ ทองพันชั่ง stu6530117122@sskru.ac.th <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการดำเนินงานการบริหารจัดการด้านความปลอดภัยในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 2) เปรียบเทียบระดับการดำเนินงานการบริหารจัดการด้านความปลอดภัยในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 จำแนกตามตำแหน่ง วุฒิการศึกษาประสบการณ์การทำงานและขนาดสถานศึกษา และ 3) ศึกษาแนวทางการดำเนินงานการบริหารจัดการด้านความปลอดภัยในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางของเครจซี่และมอร์แกน จากประชากร 2,974 คน ได้ขนาดของกลุ่มตัวอย่าง 341 คน จากนั้นใช้สุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิและกำหนดจำนวนตามสัดส่วนขนาดของสถานศึกษา และเลือกกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามแบบมาตรวัด 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.979 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบค่าทีแบบอิสระและการทดสอบค่าเอฟ<br /> ผลการวิจัยพบว่า<br /><span style="font-size: 0.875rem;"> 1. การดำเนินงานการบริหารจัดการด้านความปลอดภัยในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 โดยรวมมีความคิดเห็น</span><span style="font-size: 0.875rem;">อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณา</span><span style="font-size: 0.875rem;">เป็นรายด้าน พบว่าทุกด้านมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก เรียงลำดับจากมากไปน้อย ดังนี้ ด้านการป้องกันอุบัติเหตุในสถานศึกษา ด้านการป้องกันและแกไขปัญหาทางสังคม ด้านการป้องกันอุบัติภัยธรรมชาติและด้านการป้องกันสุขภาพอนามัยของนักเรียน<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;"> 2. ผลการเปรียบเทียบแนวทางการดำเนินงานการบริหารจัดการ ด้านความปลอดภัย</span><span style="font-size: 0.875rem;">ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 จำแนกตามตำแหน่งวุฒิการศึกษา ประสบการณ์การทำงานและขนาดสถานศึกษา พบว่า ตำแหน่ง วุฒิการศึกษาประสบการณ์การทำงานและขนาดของสถานศึกษา โดยรวมและรายด้านมีความแตกต่างกัน </span><span style="font-size: 0.875rem;">อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05<br /></span> 3. แนวทางการดำเนินงานการบริหารจัดการ ด้านความปลอดภัยในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 ในด้านการป้องกันอุบัติเหตุในสถานศึกษาควรมีการวางกฎเกณฑ์ให้ปลอดภัยจากอุบัติเหตุหรือการบาดเจ็บที่คาดไม่ถึง มีการจัดสภาพแวดล้อมให้ปลอดภัย ด้านการป้องกันอุบัติภัยธรรมชาติ ควรมีแนวทางการป้องกันและจัดอบรมความรู้ให้กับนักเรียนทุกคนเกี่ยวกับภัยพิบัติ ด้านการป้องกันปัญหาทางสังคม ควรมีการดำเนินงานในการดูแล ตรวจตรา เฝ้าระวัง การวางกฎเกณฑ์ให้ปลอดภัยจากบุคคล จัดกิจกรรมเสริมทักษะการดูแลป้องกันภัยตัวเองให้ปลอดภัยและสร้างแนวทางในการแก้ไขปัญหาสังคมและด้านการป้องกันสุขภาพอนามัยของนักเรียน ควรมีมาตรการดูแลเอาใจใส่ในเรื่องสุขภาพอนามัยของเด็ก</p> <p> </p> <p> </p> <p> </p> 2025-06-13T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhssrru/article/view/285669 แนวทางการพัฒนาการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการสถานศึกษาศตวรรษที่ 21 ของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดเทศบาลเมือง ในกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 (ศรีสะเกษ ยโสธรอำนาจเจริญ อุบลราชธานี) 2025-03-26T17:01:12+07:00 ปธานิน เทียมแสน tondevil.patanin@gmail.com สุรศักดิ์ ศรีกระจ่าง stu6530117111@sskru.ac.th ประกาศิต อานุภาพแสนยากร stu6530117122@sskru.ac.th <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการสถานศึกษาศตวรรษที่ 21 2) เปรียบเทียบการมีส่วนรร่วมในการบริหารจัดการสถานศึกษาศตวรรษที่ 21 และ 3) ศึกษาแนวทางการพัฒนาการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานสังกัดเทศบาลเมือง ในกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 (ศรีสะเกษ ยโสธร อำนาจเจริญ อุบลราชธานี) ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ โดยวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้แทนคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน 3 ตำแหน่ง คือ ผู้แทนครู ผู้แทนองค์กรชุมชนและผู้ทรงคุณวุฒิ รวมทั้งสิ้น 107 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ = 0.989 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าทีและการทดสอบค่าเอฟ ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลกับกลุ่มเป้าหมาย คือ ตัวแทนครู องค์กรชุมชนและผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับรางวัลด้านใดด้านหนึ่งในระดับประเทศหรือได้รับรางวัลการบริหารสถานศึกษาดีเด่น รวมทั้งสิ้น 12 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสัมภาษณ์ มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ = 0.978 การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหาแบบความเรียง ผลการวิจัยพบว่า<br /><span style="font-size: 0.875rem;"> 1. การมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการสถานศึกษาศตวรรษที่ 21 ของคณะกรรมการสถานศึกษา</span><span style="font-size: 0.875rem;">ขั้นพื้นฐานสังกัดเทศบาลเมือง ในกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 (ศรีสะเกษ ยโสธร อำนาจเจริญ อุบลราชธานี) ทั้ง 4 ด้าน โดยรวมมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการบริหารงานวิชาการ มีระดับความคิดเห็นมาก รองลงมาคือ ด้านการบริหารงานทั่วไป </span><span style="font-size: 0.875rem;">ด้านการบริหารงานบุคคลและด้านการบริหารงบประมาณ ตามลำดับ<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;"> 2. ผลการเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดเทศบาลเมือง ในกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 (ศรีสะเกษ ยโสธร อำนาจเจริญ อุบลราชธานี) จำแนกตามตำแหน่งคณะกรรมการสถานศึกษาชั้นพื้นฐาน พบว่า ตำแหน่ง ระดับการศึกษาและประสบการณ์ในการเป็นคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานต่างกัน มีส่วนร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดเทศบาลเมือง ในกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 โดยรวมและรายด้านแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;"> 3. แนวทางการพัฒนาการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการสถานศึกษาศตวรรษที่ 21 ของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานสังกัดเทศบาลเมือง ในกลุ่มมจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 (ศรีสะเกษ ยโสธร อำนาจเจริญ อุบลราชธานี) ดังนี้ 1) ด้านการบริหารงานวิชาการ พบว่า สถานศึกษาควรจัดทำโครงการในการพัฒนาวิชาการหรือเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ การดำเนินงานวิชาการของสถานศึกษาไปนำเสนอในที่ประชุมคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นระยะ ๆ อย่างต่อเนื่อง 2) ด้านการบริหารงานงบประมาณ พบว่า สถานศึกษาให้คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานเข้ามามีส่วนร่วมติดตาม ตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณของสถานศึกษาและประเมินประสิทธิภาพของการใช้จ่ายงบประมาณ 3) ด้านการบริหารงานบุคคล พบว่า สถานศึกษาเปิดโอกาสให้คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานเข้ามามีบทบาท</span><span style="font-size: 0.875rem;">ในการร่วมดำเนินงาน 4) ด้านการบริหารงานทั่วไป พบว่า สถานศึกษาควรมีการจัดทำแผนปฏิบัติการประจำปีของสถานศึกษา เพื่อให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล มีการเชิญคณะกรรมการสถานศึกษา</span><span style="font-size: 0.875rem;">ขั้นพื้นฐานเข้าร่วมประชุม</span></p> 2025-06-16T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhssrru/article/view/285671 การตัดสินใจของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 2 2025-04-17T21:02:34+07:00 ชินวัชร์ พรรณโรจนศิริ chinawach927@gmail.com พิมล วิเศษสังข์ stu6530117106@sskru.ac.th พงษ์ศักดิ์ ทองพันชั่ง stu6530117106@sskru.ac.th <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการตัดสินใจของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาระดับประสิทธิผลของสถานศึกษา และ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการตัดสินใจของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนในสถานศึกษา กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางของเครจซี่และมอร์แกน จากประชากร 2,105 คน ได้ขนาดของกลุ่มตัวอย่าง 327 คน จากนั้นใช้สุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิและกำหนดจำนวนตามสัดส่วนขนาดของสถานศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับ เท่ากับ 0.99 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สันผลการวิจัยพบว่า<strong><br /></strong><span style="font-size: 0.875rem;"> 1. การตัดสินใจของผู้บริหารสถานศึกษา ทั้ง 5 ด้าน โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด พบว่า ด้านการตัดสินใจเลือก มีระดับมากที่สุด<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;"> 2. ประสิทธิผลของสถานศึกษา ทั้ง 4 ด้าน โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด พบว่า ด้านความสามารถในการใช้สื่อ นวัตกรรมและเทคโนโลยีของครู อยู่ในระดับมากที่สุด<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;"> 3.การตัดสินใจของผู้บริหารสถานศึกษาโดยรวมมีความสัมพันธ์กับประสิทธิผลของสถานศึกษาทางบวก อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.01 โดยค่าสหสัมพันธ์เพียรสัน 0.343 , 0.331, 0.588, 0.528 และ 0.614 ตามลำดับ อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.01</span></p> 2025-06-16T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์