https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhsc/issue/feed วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี 2025-03-25T11:22:43+07:00 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กัลญา แก้วประดิษฐ์ journal.huso@sru.ac.th Open Journal Systems <table width="680"> <tbody> <tr> <td width="680"> <p> วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี เป็นวารสารวิชาการที่มีมาตรฐานตามเกณฑ์วารสารวิชาการระดับชาติ จัดพิมพ์เผยแพร่เพื่อส่งเสริมให้คณาจารย์ นักวิชาการ นักวิจัย นิสิต นักศึกษา และผู้ที่สนใจ ได้ศึกษาค้นคว้าวิจัยและเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ ตลอดจนเป็นพื้นที่สำหรับการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นทางวิชาการทางด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ และศาสตร์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง</p> <p><strong>ขอบเขตเนื้อหาการตีพิมพ์ </strong></p> <p> เป็นบทความในกลุ่มมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ภาษาศาสตร์ ภาษาและวรรณกรรม คติชนวิทยา โบราณคดี ปรัชญา ศาสนา ดนตรีนาฏศิลป์ศิลปะการแสดง ทัศนศิลป์ จิตรกรรม กฎหมาย สังคมวิทยา มานุษยวิทยา รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ บรรณารักษศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์ และสาขา<br />ที่เกี่ยวข้อง</p> <p><strong>ประเภทบทความที่รับตีพิมพ์</strong></p> <p> 1) บทความวิชาการ (Article)</p> <p> 2) บทความวิจัย (Research Article)</p> <p> 3) บทความปริทัศน์ (Review Article)</p> <p> 4) วิจารณ์หนังสือ (Book Review)</p> <p> 5) จดหมายถึงบรรณาธิการ (Letter to the Editor) เพื่อแสดงความคิดเห็นสนับสนุนหรือโต้แย้งความเห็นของนักวิจัยอื่น ๆ ตลอดจนการเผยแพร่ความรู้และประสบการณ์ที่น่าสนใจ</p> <p><strong>กำหนดการออกเผยแพร่และนโยบายการประเมินบทความ</strong> </p> <p> กำหนดออกปีละ 2 ฉบับ คือ ฉบับที่ 1 (มกราคม –มิถุนายน) และฉบับที่ 2 (กรกฎาคม - ธันวาคม) แต่ละฉบับตีพิมพ์ 10 - 15 บทความ บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่จะผ่านการกลั่นกรองคุณภาพจากกองบรรณาธิการ และผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 2-3 ท่าน ต่อบทความ โดยไม่เปิดเผยชื่อทั้งสองทาง (Double - Blind Peer Review) ผลการพิจารณาจากกองบรรณาธิการถือเป็นที่สุด ทั้งนี้เนื้อหาบทความหรือข้อคิดเห็นที่ตีพิมพ์ในวารสารเป็นของผู้เขียน กองบรรณาธิการไม่จำเป็นต้องคิดเห็นพ้องด้วย และไม่ถือเป็นความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการวารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์</p> </td> </tr> <tr> <td width="680"> <p> </p> </td> </tr> </tbody> </table> https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhsc/article/view/287536 ส่วนหน้า 2025-03-25T11:20:37+07:00 กัลญา แก้วประดิษฐ์ journal.huso@sru.ac.th <p>-</p> 2025-03-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhsc/article/view/287537 สารบัญ 2025-03-25T11:21:17+07:00 กัลญา แก้วประดิษฐ์ journal.huso@sru.ac.th <p>-</p> 2025-03-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhsc/article/view/287538 รายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิ 2025-03-25T11:22:06+07:00 กัลญา แก้วประดิษฐ์ journal.huso@sru.ac.th <p>-</p> 2025-03-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhsc/article/view/287540 คำแนะนำสำหรับผู้เขียน 2025-03-25T11:22:43+07:00 กัลญา แก้วประดิษฐ์ journal.huso@sru.ac.th <p>-</p> 2025-03-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhsc/article/view/283712 การสร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรมชุด “สีสันและความสุขแห่งผีขนน้ำ” 2025-01-22T16:15:51+07:00 สิทธิวัฒน์ มีวันคำ moom045@gmail.com นัฐวุฒิ กองลี konglee@gmail.com ศุภณัฐ ชะเมาะชาติ kang420.konglee@gmail.com จุฬาวดี มีวันคำ julawadee.me@udru.ac.th <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความเป็นมาและความสำคัญของประเพณีผีขนน้ำ บ้านนาซ่าง อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย 2) อธิบายขั้นตอนการสร้างสรรค์ งานจิตรกรรม ชุด "สีสันและความสุขของผีขนน้ำ" และ 3) วิเคราะห์ผลงานจิตรกรรม ชุด "สีสันและความสุขของผีขนน้ำ" เป็นงานวิจัยแบบคุณภาพเชิงสร้างสรรค์ มีวิธีการวิจัย 5 ขั้นตอน คือ <br />1) เก็บรวบรวมข้อมูล ด้วยการถ่ายภาพและศึกษาประเพณีผีขนน้ำ 2) ขั้นตอนการสร้างสรรค์ เป็นการอธิบายถึงวิธีการสร้างงานจิตรกรรม 3) เผยแพร่ผลงานสร้างสรรค์ โดยการจัดแสดงนิทรรศการงานจิตรกรรมชุด “สีสันและความสุขแห่งผีขนน้ำ” ในหอศิลป์ที่มีมาตรฐาน และ 4) วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหาและนำเสนอผลการวิจัยเชิงบรรยาย<br />ผลการวิจัยพบว่า 1) ความเป็นมาและความสำคัญของประเพณีผีขนน้ำบ้านนาซ่าว อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย เป็นประเพณีที่มีความเชื่อเกี่ยวกับการนับถือผี การขอต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยเกิดความอุดมสมบูรณ์มาสู่หมู่บ้าน และเป็นการรำลึกถึงบุญคุณของวัว ควาย ที่ช่วยเหลือเป็นเรี่ยวแรงในการทำนา 2) ขั้นตอนการสร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรมชุด “สีสันและความสุขแห่งผีขนน้ำ” มี 6 ขั้นตอน คือ (1) ทำภาพร่าง (2) เตรียมพื้นผิวผ้าใบ (3) ระบายสีน้ำหนักอ่อน (4) ระบายสีน้ำหนักเข้ม (5) ขูดเช็ดสี และ (6) เคลือบภาพ และ 3) การวิเคราะห์ผลงานจิตรกรรมชุด “สีสันและความสุขแห่งผีขนน้ำ” พบว่า มีการขับเน้นสีและเส้น และความเป็นกึ่งนามธรรมและแสดงพลังอารมณ์ในผลงาน เทคนิคการสร้างสรรค์งานจิตรกรรมชุด “สีสันและความสุขแห่งผีขนน้ำ” สร้างองค์ความรู้เรื่องการขับเน้นเส้นและสีที่กระจายอยู่ทั่วภาพ และความรู้เรื่องเทคนิคการ “ขูดเช็ดสี” ด้วยอารมณ์ที่ฉับพลันทำให้ภาพมีความเคลื่อนไหว มีการลดทอนรูปทรงผีขนน้ำจึงมีความเป็นกึ่งนามธรรมและแสดงพลังอารมณ์</p> 2025-03-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhsc/article/view/280878 การสร้างสรรค์และวิเคราะห์ผลงานศิลปกรรม (จิตรกรรม) ชุดวัฒนธรรมแห่งความสุข: ประเพณีชักพระสุราษฎร์ธานี 2024-09-09T08:52:10+07:00 เดชวินิตย์ ศรีพิณ victoryimage243@gmail.com <div>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาประเพณีชักพระของจังหวัดสุราษฎร์ธานี 2) สร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรมชุด “วัฒนธรรมแห่งความสุข” ประเพณีชักพระของจังหวัดสุราษฎร์ธานี ด้วยกระบวนการสร้างสรรค์ทางจิตรกรรม 3) เผยแพร่</div> <div>ผลงานจิตรกรรมชุด “วัฒนธรรมแห่งความสุข” ประเพณีชักพระของจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นการวิจัยแบบคุณภาพเชิงสร้างสรรค์งานทางศิลปกรรม (จิตรกรรม) มีขั้นตอนการดำเนินการวิจัย คือ 1) ศึกษาเรียนรู้ประเพณีชักพระของจังหวัดสุราษฎร์ธานี 2) สร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรมชุด “วัฒนธรรมแห่งความสุข” ประเพณีชักพระของจังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยนำข้อมูลภาพต้นแบบที่แสดงออกถึงความประทับใจ สีสัน ความงดงาม ซึ่งนำเอาแนวคิดในผลงานของพอล โกแกง ที่กล่าวไว้ว่า “สี” เปรียบเหมือนกับเสียงดนตรีที่สะท้อนกังวาน สิ่งซึ่งเป็นธรรมดาที่สุด แต่ทำให้เกิดสิ่งที่ตามมาซึ่งยากที่จะอธิบายได้ด้วยคำพูด นั่นคือ พลังภายในของมัน (It’s inner force) เพื่อสร้างสรรค์เป็นผลงานจิตรกรรม 3) นำผลงานจิตรกรรมชุด “วัฒนธรรมแห่งความสุข” ประเพณีชักพระของจังหวัดสุราษฎร์ธานี </div> <div>เผยแพร่สู่สาธารณชน </div> <div>ผลการวิจัยพบว่า 1) ประเพณีชักพระเป็นประเพณีท้องถิ่นของชาวใต้ที่ยึดถือปฏิบัติกันมาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยศรีวิชัย โดยเป็นประเพณีที่สืบเนื่องด้วยพุทธศาสนาซึ่งจะมีขึ้นหลังวันปวารณาหรือวันออกพรรษาแล้ว 1 วัน ตรงกับวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 โดยการที่พุทธศาสนิกชนพร้อมใจกันอาราธนาพระพุทธรูปขึ้นประดิษฐานบนบุษบกที่วางอยู่บนพาหนะ เช่น เรือ รถ หรือล้อเลื่อน ที่เรียกว่า “เรือพนมพระ” แล้วพากันแห่แหนชักลากไปตามถนนหนทางนั้น เพื่อความเป็นสิริมงคลและอำนวยอวยพรให้อยู่เย็นเป็นสุข ตามคติความเชื่อมาแต่โบราณ 2) ผลการสร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรม ด้วยเทคนิคสีน้ำมันบนผ้าใบ ขนาด 60x80 เซนติเมตร ทั้งหมด 7 ชิ้น ได้แก่ 1) ผลงานความสุขนางรำหน้าเรือ 2) ผลงานสุขแห่งความพร้อมเพรียง 3) ผลงานความสุขกลองยาว 4) ผลงานสุขสุดสายตา 5) ผลงานจังหวะแห่งความสุข 6) ผลงานรอยยิ้มนางรำชุดสีฟ้า 7) ผลงานราตรีเดือนสิบเอ็ด พร้อมแนวคิดในการสร้างสรรค์ 3) การเผยแพร่ ผลงานจิตรกรรม “ชุดวัฒนธรรมแห่งความสุข: ประเพณีชักพระสุราษฎร์ธานี” ต่อสาธารณชน ณ หอศิลป์ศรีวิชัย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี ทำให้เกิดความตระหนักต่อความรัก</div> <div>ความห่วงแหนในวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน</div> <div> </div> 2025-03-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhsc/article/view/275370 การผสานคติความเชื่อของชาวจีนกับคติความเชื่อของท้องถิ่น: กรณีศึกษาศาลเจ้าพระเสื้อเมือง และศาลเจ้าพ่อท่านม่วงทอง จังหวัดนครศรีธรรมราช 2024-03-19T13:04:18+07:00 อุมา สินธุเศรษฐ uma.sin@sru.ac.th <p style="font-weight: 400;"> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาลักษณะการผสมผสานคติความเชื่อของชาวจีนกับคติความเชื่อในท้องถิ่นนครศรีธรรมราช และ 2) วิเคราะห์ปัจจัยที่ทำให้เกิดการผสมผสานคติความเชื่อของชาวจีนกับคติความเชื่อในท้องถิ่นนครศรีธรรมราช เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ รวบรวมข้อมูลการวิจัยเอกสารและเก็บข้อมูลภาคสนามจากกลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลักใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง จำนวน 17 คน ได้แก่ 1) กลุ่มคณะกรรมการและผู้ดูแลศาลเจ้า จำนวน 7 คน และ 2) กลุ่มผู้ศรัทธาในศาลเจ้า หรือผู้รู้จักศาลเจ้า จำนวน 10 คน ที่อาศัยในพื้นที่ที่ศาลเจ้าตั้งอยู่ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหาและนำเสนอข้อมูลเชิงพรรณนาวิเคราะห์<br />ผลการวิจัยพบว่า 1) การผสมผสานคติความเชื่อของชาวจีนกับคติความเชื่อในท้องถิ่นนครศรีธรรมราช แบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ คือ (1) การนับถือเทพารักษ์ประจำถิ่นนครศรีธรรมราชในฐานะเทพ “เปิ่นโถวกง” (本头公) (2) เทพประธานรูปลักษณ์ศิลปะท้องถิ่นในศาลเจ้าแบบจีน และ (3) การผสมผสานรูปแบบของประเพณีพิธีกรรมใน<br />งานประจำปี และ 2) การวิเคราะห์ปัจจัยที่ทำให้เกิดการผสมผสานคติความเชื่อของชาวจีนกับคติความเชื่อในท้องถิ่นนครศรีธรรมราช จากกรณีศึกษาพบว่ามี 3 ปัจจัย ได้แก่ (1) การซ้อนทับของคติความเชื่อรูปแบบเดียวกัน (2) ลักษณะทางสภาพแวดล้อมภูมิศาสตร์ และ (3) การบริหารงานของคณะกรรมการศาลเจ้า การผสานคติความเชื่อของชาวจีนกับคติความเชื่อของท้องถิ่นแสดงให้เห็นถึงวิถีพหุวัฒนธรรมของคน 2 กลุ่มที่อยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข อีกทั้งยังถือเป็นภูมิปัญญาใหม่ที่เกิดจากการปรับตัวตามกระแสพลวัตของวัฒนธรรมท้องถิ่น </p> 2025-03-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhsc/article/view/278867 กลวิธีการประพันธ์ด้วยเมตาฟิกชันในนวนิยายเรื่อง “อาณาเขต” ของนิธิ นิธิวีรกุล 2024-08-21T08:12:13+07:00 อรอำไพ นับสิบ o.nabsib@gmail.com ตรีศิลป์ บุญขจร Trisilpachula@yahoo.com <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเมตาฟิกชันในฐานะที่เป็นกลวิธีการประพันธ์ในนวนิยายเรื่องอาณาเขตของนิธิ นิธิวีรกุล ฉบับพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2564 เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้กรอบแนวคิดในการวิจัยทางด้านกลวิธีการประพันธ์ด้วยเมตาฟิกชัน โดยคัดเลือกวรรณกรรมประเภทนวนิยายหนึ่งเรื่องที่มีกลวิธีการประพันธ์ที่ใช้เมตาฟิกชันและเป็นวรรณกรรมปัจจุบันระหว่างปี พ.ศ. 2556-2564 โดยใช้วิธีการวิเคราะห์นวนิยายที่ใช้เมตาฟิกชันในฐานะกลวิธีการประพันธ์เพื่อการเปิดเผยลักษณะประดิษฐกรรมทางภาษาของเรื่องเล่า<br />ผลการวิจัยพบว่า เมตาฟิกชันเป็นกลวิธีการประพันธ์ในการสร้างความตระหนักถึงความเป็นเรื่องแต่งของวรรณกรรม มีทั้งหมด 3 กลวิธี ได้แก่ 1) การเปิดเผยกระบวนการแต่งวรรณกรรม ผ่านการคิดโต้เถียงในความนึกคิดของผู้ประพันธ์ การคัดสรรเรื่องราว <br />การเรียงร้อยถ้อยคำ และการปรับแก้ 2) การแสดงภาวะตระหนักรู้ของตัวละครว่าเป็นเพียงสิ่งที่ถูกประกอบสร้างขึ้นของผู้ประพันธ์ และ 3) การแสดงการวิพากษ์วิจารณ์วรรณกรรม ผ่านการโต้แย้งเจตนาและสถานะของผู้แต่งรวมทั้งวิพากษ์วิจารณ์การแต่งเรื่องตามสูตรสำเร็จทางการประพันธ์ ข้อค้นพบจากกลวิธีการประพันธ์ด้วยเมตาฟิกชันนำมาสู่การยืนยันภาวะโลกภายในเรื่องแต่งเพื่อให้ผู้อ่านตระหนักถึงโลกของเรื่องแต่งที่ถูกประพันธ์สร้างขึ้นจากการเปิดเผยให้เห็นการประกอบสร้างทางความคิดของนักเขียนซึ่งมีนัยแฝงการโต้ตอบอุดมการณ์ของวรรณกรรมสัจนิยม</p> 2025-03-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhsc/article/view/280596 การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์บนพื้นฐานการมีส่วนร่วมของชุมชนในจังหวัดสุรินทร์ 2024-08-27T14:50:46+07:00 โชคดี คู่ทวีกุล pu.chokdee@gmail.com ชวลีย์ ณ ถลาง chawalee.na@up.ac.th <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบของการท่องเที่ยว (10A’s) และองค์ประกอบของการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ 2) ศึกษากระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนในการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ 3) นำเสนอแนวทางการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์บนพื้นฐานการมีส่วนร่วมของชุมชนในจังหวัดสุรินทร์ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลหลักจำนวน 22 คน จากภาครัฐ ภาคเอกชน/ผู้ประกอบการ ภาคชุมชน และนักวิชาการ วิเคราะห์ข้อมูลโดยตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้า และวิเคราะห์ SWOT Analysis &amp; TOWS Matrix<br />ผลการวิจัย พบว่า 1) องค์ประกอบของการท่องเที่ยว (10A’s) จังหวัดสุรินทร์<br />มีความโดดเด่น 6 ด้าน ได้แก่ 1.1) แหล่งท่องเที่ยว 1.2) ที่พักแรม 1.3) สิ่งอำนวย<br />ความสะดวก 1.4) กิจกรรมการท่องเที่ยว 1.5) บรรยากาศในแหล่งท่องเที่ยว 1.6) ความเป็นมิตรของคนในชุมชน องค์ประกอบของการท่องเที่ยวที่ควรปรับปรุง 4 ด้าน ได้แก่ 1.1) การเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยว 1.2) บริการเสริมทางการท่องเที่ยว 1.3) ความพร้อมในการจัดนำเที่ยว 1.4) นโยบายของภาครัฐ องค์ประกอบของการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ จังหวัดสุรินทร์มีชุมชนหลายแห่งที่มีศักยภาพรองรับกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ชุมชนเต็มใจให้ความร่วมมือจัดกิจกรรมท่องเที่ยวต่าง ๆ ซึ่งสามารถสร้างประสบการณ์<br />อันน่าประทับใจแก่นักท่องเที่ยว 2) การมีส่วนร่วมของชุมชน ชุมชนร่วมประชุมเพื่อเสนอกิจกรรมการท่องเที่ยวโดยแบ่งความรับผิดชอบตามความเชี่ยวชาญและทรัพยากรที่มีอยู่ในแต่ละครอบครัว กำหนดสัดส่วนในการแบ่งผลประโยชน์ บันทึกสถิตินักท่องเที่ยว บันทึกรายรับรายจ่าย และประชุมเพื่อแจ้งปัญหาหลังจัดกิจกรรมทุกครั้ง โดยมีการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเข้ามาช่วยเหลือและให้คำแนะนำแก่ชุมชน 3) แนวทางการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์บนพื้นฐานการมีส่วนร่วมของชุมชน เสนอแนวทางการดำเนินการตามกลยุทธ์เชิงรุก กลยุทธ์เชิงแก้ไข กลยุทธ์เชิงป้องกัน และกลยุทธ์เชิงรับ จำนวน 14 กลยุทธ์ โดยมีองค์ความรู้ใหม่เป็น SMART Model ประกอบด้วย S (Synergy) การผนึกกำลังกันระหว่างภาครัฐ เอกชน และชุมชน M (Marketing) การตลาดแบบบูรณาการ <br />A (Activity) กิจกรรมการท่องเที่ยว R (Resource) บุคลากรด้านการท่องเที่ยว และ <br />T (Training) การฝึกอบรมบุคลากรด้านการท่องเที่ยว</p> 2025-03-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhsc/article/view/273649 การศึกษาผลสัมฤทธิ์การฝึกแซกโซโฟนแจ๊สรูปแบบการอิมโพรไวส์ของนักเรียนในสถานศึกษาจังหวัดสุราษฎร์ธานี 2024-06-21T13:56:58+07:00 ภัทรพงศ์ โลหะวิจารณ์ patarapong2528@hotmail.com <div>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาผลสัมฤทธิ์การฝึกแซกโซโฟนรูปแบบ</div> <div>การอิมโพรไวส์ของนักเรียนในสถานศึกษาจังหวัดสุราษฎร์ธานี และ 2) ศึกษาความพึงพอใจ</div> <div>ผลสัมฤทธิ์การฝึกแซกโซโฟนรูปแบบการอิมโพรไวส์ของนักเรียนในสถานศึกษาจังหวัดสุราษฎร์ธานี ใช้รูปแบบบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) สุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงนักเรียนในสถานศึกษาจังหวัดสุราษฎร์ธานี จำนวน 40 คน เครื่องมือใน</div> <div>การวิจัยใช้แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์การฝึกแซกโซโฟนรูปแบบการอิมโพรไวส์ และแบบสอบถามความพึงพอใจผลสัมฤทธิ์การฝึกแซกโซโฟน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบทดสอบ และแบบสอบถาม วิเคราะห์ด้วยสถิติค่าเฉลี่ย (𝑥̅) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และสถิติ </div> <div>T-test dependent ตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือวิจัยด้วยดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับวัตถุประสงค์ (IOC) เท่ากับ 0.75 และนำเสนอผลการวิจัยเชิงพรรณนาวิเคราะห์ </div> <div> </div> <div>ผลการวิจัย 1) ผลสัมฤทธิ์ระดับความรู้ในการปฏิบัติแซกโซโฟนรูปแบบการอิมโพรไวส์ของนักเรียนในสถานศึกษาจังหวัดสุราษฎร์ธานี 9 ทักษะ พบว่า ผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนอยู่ในระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ย (𝑥̅= 2.71, S.D.= 0.84) ผลสัมฤทธิ์หลังเรียนอยู่ในระดับมาก </div> <div>ค่าเฉลี่ย (𝑥̅= 3.59, S.D.= 0.90) ทดสอบผลสัมฤทธิ์การฝึกแซกโซโฟนรูปแบบการอิมโพรไวส์ของนักเรียนในสถานศึกษาจังหวัดสุราษฎร์ธานี มีนัยสำคัญทางสถิติอยู่ที่ 0.05 ซึ่งมากกว่าผลการทดสอบก่อนเรียน และ 2) ความพึงพอใจผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติแซกโซโฟนรูปแบบการอิมโพรไวส์ของนักเรียนในสถานศึกษาจังหวัดสุราษฎร์ธานีพบว่า ก่อนเรียนอยู่ในระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ย (𝑥̅= 3.03, S.D.= 0.64) และระดับความพึงพอใจหลังเรียนอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย (𝑥̅= 4.22, S.D.= 0.59) การอิมโพรไวส์ที่ให้ผลสัมฤทธิ์อย่างมีมาตรฐานได้นั้นจำเป็นจะต้องอาศัยความเข้าใจและฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอจนเกิดความชำนาญตลอดจนสามารถนำไปพัฒนาการอิมโพรไวส์สำหรับบทเพลงที่มีสังคีตลักษณ์ที่แตกต่างกัน รวมทั้งรูปแบบการดำเนินคอร์ดของบทเพลงแจ๊สได้</div> <p> </p> 2025-03-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhsc/article/view/285806 การสื่อสารเพื่อเสริมสร้างการบริหารจัดการองค์กรที่ดีของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 2025-02-20T15:15:23+07:00 สิทธิพันธ์ พูนเอียด sittipan.poo@sru.ac.th วิทยาธร ท่อแก้ว Wittayatorn@gmail.com กานต์ บุญศิริ karnboonsiri@gmail.com จิตราภรณ์ สุทธิวรเศรษฐ์ sjitrapo@yahoo.com <p style="font-weight: 400;">บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) การกำหนดนโยบายและแผน<br />การสื่อสารเพื่อเสริมสร้างการบริหารจัดการองค์กรที่ดีของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น <br />2) การดำเนินการและติดตามประเมินผลการสื่อสารเพื่อเสริมสร้างการบริหารจัดการองค์กรที่ดีของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ 3) แนวทางการพัฒนาการสื่อสารเพื่อเสริมสร้างการบริหารจัดการองค์กรที่ดีของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น <br />เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ เลือกกลุ่มเป้าหมายโดยวิธีเจาะจงจำนวน 35 คน โดยกำหนดคุณลักษณะว่าเป็นผู้เกี่ยวข้องกับกระบวนการสื่อสารองค์กรโดยตรง ตั้งแต่ระดับนโยบาย แผน การดำเนินการ และการติดตามประเมินผลการสื่อสารขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น<br />ที่ได้รับรางวัลการบริหารจัดการที่ดีในปีงบประมาณ 2565 จำนวน 4 องค์กร ได้แก่ เทศบาลเมือง เทศบาลนคร เทศบาลตำบล และองค์การบริหารส่วนตำบล แบ่งกลุ่มผู้ให้ข้อมูลออกเป็น 9 กลุ่ม เก็บรวบรวมข้อมูลโดยสัมภาษณ์เชิงลึกด้วยแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง และนำเสนอผลการวิเคราะห์เชิงพรรณนา<br />ผลการวิจัยพบว่า 1) การกำหนดนโยบายและแผนการสื่อสารเพื่อเสริมสร้างการบริหารจัดการที่ดีของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมและการสื่อสารที่ครอบคลุมทั้งองค์กร 2) การดำเนินการสื่อสาร มี 5 หลักการสำคัญ คือ หลักการสื่อสาร การสื่อสารสองทาง การมีส่วนร่วม กิจกรรมการสื่อสาร และ กลวิธีในการสื่อสาร ส่วนการติดตามประเมินผลการสื่อสาร มี 4 วิธีสำคัญ คือ ใช้วิธีการอภิปราย-ซักถาม การตอบคำถาม การแสดงความคิดเห็น และการประเมินก่อน-หลัง และ 3) แนวทางการพัฒนาการสื่อสารเพื่อเสริมสร้างการบริหารจัดการองค์กรที่ดีของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มี 10 ประเด็น ได้แก่ การสื่อสารเชิงเนื้อหา กลยุทธ์การสื่อสาร การสื่อสารเชิงรุก การสื่อสารสร้างภาพลักษณ์ขององค์กร การมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การดำเนินการสื่อสารอาศัยการกำหนดความถี่ การสื่อสารที่ใช้ทั้งสื่อเก่าและสื่อสังคมออนไลน์ควบคู่กัน การจัดตั้งองค์กรการสื่อสารเป็นศูนย์การสื่อสารหรืองานประชาสัมพันธ์ การจ้างบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถเป็นผู้รับผิดชอบ และการให้ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ประเมินผลการสื่อสารองค์กร </p> 2025-03-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhsc/article/view/281035 การศึกษาปัจจัยในการปฏิบัติงานที่ส่งผลต่อความผูกพันต่อองค์กรของบุคลากรวิทยาลัยนวัตกรรมและการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา 2024-09-26T14:05:48+07:00 ชุมพล รอดแจ่ม chumpon.ro@ssru.ac.th ปัญญดา จันทกิจ panyada.ch@ssru.ac.th เอกโอฬาร โชติอนุสรณ์ eakolarn.ch@ssru.ac.th ชลภัสสรณ์ สิทธิวรงค์ชัย cholpassorn.si@ssru.ac.th วิไล พึ่งผล wilai.ph@ssru.ac.th บุญชาญ ผ่านสุวรรณ nook392@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับปัจจัยในการปฏิบัติงานและระดับความผูกพันต่อองค์กร และ 2) ปัจจัยในการปฏิบัติงานที่ส่งผลต่อความผูกพัน<br />ต่อองค์กรของบุคลากรวิทยาลัยนวัตกรรมและการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา การวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยบุคลากรสายวิชาการและสายสนับสนุนวิชาการจำนวน 130 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ และ<br />การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน<br />ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับปัจจัยในการปฏิบัติงานและระดับความผูกพันต่อองค์กรอยู่ในระดับมาก และ 2) ปัจจัยที่ส่งผลต่อความผูกพันต่อองค์กรอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; 0.01) เรียงตามลำดับความสำคัญ ได้แก่ การทำงานเป็นทีมและมีส่วนร่วม ความมีจริยธรรม ความคิดสร้างสรรค์ และการมีวิสัยทัศน์นำการเปลี่ยนแปลง<br />ข้อเสนอแนะในการนำผลวิจัยไปใช้ ได้แก่ การพัฒนาโปรแกรมฝึกอบรม<br />เพื่อเสริมสร้างทักษะการทำงานเป็นทีม การจัดทำแนวปฏิบัติด้านจริยธรรมองค์กร การส่งเสริมวัฒนธรรมที่เอื้อต่อความคิดสร้างสรรค์ การพัฒนาภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ และ<br />การออกแบบระบบประเมินผลการปฏิบัติงานที่สอดคล้องกับปัจจัยทั้ง 4 ด้าน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและความผูกพันต่อองค์กรของบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษา</p> 2025-03-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhsc/article/view/274075 รูปแบบการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ตามหลักการบริหารงานคุณภาพ (PDCA) ของเทศบาลเมืองเพชรบุรี อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี 2024-01-09T15:09:01+07:00 ชลณัฏฐ์ จันทร์เขียว choco_pang@hotmail.com โสภาพร กลํ่าสกุล sopaporn.kla@mail.pbru.ac.th ศุภณัฏฐ์ ทรัพย์นาวิน supanut.sub@mail.pbru.ac.th <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของเทศบาลเมืองเพชรบุรี 2) ศึกษาปัจจัยการบริหารงานคุณภาพ (PDCA) ที่ส่งผลต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของเทศบาลเมืองเพชรบุรี และ 3) ทดลองเสนอรูปแบบการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ตามหลักการบริหารงานคุณภาพ (PDCA) ที่เหมาะสมของเทศบาลเมืองเพชรบุรี ใช้การวิจัยแบบผสมผสาน เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถามเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ บุคลากรที่ปฏิบัติงานในเทศบาลเมืองเพชรบุรี จำนวน 181 คน ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ ผู้บริหารของหน่วยงาน จำนวน 8 คน นำมาวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การถดถอยแบบพหูคูณ และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา <br />ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของเทศบาลเมืองเพชรบุรีในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย (𝑥̅ = 4.11, S.D.= 0.50) 2) ปัจจัยการบริหารงานคุณภาพที่ส่งผลต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของเทศบาลเมืองเพชรบุรี ได้แก่ ด้านการวางแผน และด้านการตรวจสอบ มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ 3) การทดลอง<br />รูปแบบการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ตามหลักการบริหารงานคุณภาพ (PDCA) ของเทศบาลเมืองเพชรบุรี อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี ได้รูปแบบที่เหมาะสม คือ “TEDLPC Model” ประกอบด้วย ด้านการฝึกอบรม (T: Training) ด้านการศึกษา (E: Education), ด้านการพัฒนา (D: Development) ด้านการเรียนรู้ (L: Leaning) ด้านการวางแผน <br />(P: Plan) และด้านการตรวจสอบ (C: Check) ทำให้ค้นพบว่ารูปแบบการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของเทศบาลเมืองเพชรบุรีที่เหมาะสม ต้องมีการวางแผนในเรื่องงบประมาณ วิธีการ รวมถึงมีการสำรวจความต้องการของบุคลากรในการพัฒนาตนเอง และมีการแต่งตั้งคณะกรรมการวัดผล ประเมินผลการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ แล้วนำมาหาวิธีการแก้ไขปัญหาต่อไป รูปแบบที่ได้สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เป็นประโยชน์ต่อองค์กรได้</p> 2025-03-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhsc/article/view/283543 คุณภาพการให้บริการประชาชนของเทศบาลเมืองหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 2024-12-24T13:58:48+07:00 สุธัญญา ยิ้มละมัย suthanya22052508@gmail.com พชร สาตร์เงิน pachara.sartngern@stamford.edu <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับคุณภาพการให้บริการประชาชนของเทศบาลเมืองหัวหิน 2) เปรียบเทียบความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะส่วนบุคคลกับคุณภาพการให้บริการของเทศบาลเมืองหัวหิน 3) ศึกษาความสัมพันธ์เชิงเหตุผลระหว่างปัจจัยในการให้บริการกับคุณภาพการให้บริการประชาชนของเทศบาลเมืองหัวหิน และ 4) ศึกษาแนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการประชาชนของเทศบาลเมืองหัวหิน โดยใช้การวิจัยแบบผสมผสาน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ตัวแทนชุมชนที่อาศัยอยู่ในเทศบาลเมืองหัวหิน จำนวน 400 คน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล และผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ ตัวแทนผู้นำชุมชน จำนวน 8 คน ใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก เป็นเครื่องมือในการวิจัย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติค่าร้อยละ การแจกแจงความถี่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การถดถอยแบบพหุคูณ และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา<br />ผลการวิจัยพบว่า 1) คุณภาพการให้บริการประชาชนของเทศบาลเมืองหัวหิน ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย (𝑥̅= 3.88, S.D. = 0.65) 2) ลักษณะส่วนบุคคลที่<br />แตกต่างกัน มีความคิดเห็นต่อคุณภาพการให้บริการประชาชนของเทศบาลเมืองหัวหิน <br />ไม่แตกต่างกัน 3) ปัจจัยที่มีผลต่อคุณภาพการให้บริการ ด้านกระบวนการให้บริการ <br />ด้านความคาดหวังของผู้รับบริการ มีความสัมพันธ์เชิงเหตุผลกับคุณภาพการให้บริการประชาชนของเทศบาลเมืองหัวหิน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 และด้าน<br />การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ มีความสัมพันธ์เชิงเหตุผลกับคุณภาพการให้บริการประชาชนของเทศบาลเมืองหัวหิน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ 4) แนวทาง<br />การพัฒนาคุณภาพการให้บริการประชาชนของเทศบาลเมืองหัวหิน พบว่า ควรมีการนำปัจจัยในการให้บริการ ด้านกระบวนการให้บริการ ด้านความคาดหวังของผู้รับบริการ และด้านการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาคุณภาพการให้บริการ ดังนี้ ควรจัดเตรียมสถานที่และที่จอดรถให้เพียงพอ ควรมีการฝึกอบรมพนักงานเกี่ยวกับการให้บริการอย่างต่อเนื่อง พนักงานควรมีความพร้อมให้บริการประชาชนด้วยความเต็มใจ กระตือรือร้น รวดเร็ว ดูแลและเอาใจใส่ให้บริการอย่างตั้งอกตั้งใจ ควรจัดสรรพนักงานที่มีทักษะ ความรู้ความสามารถให้ตรงตามตำแหน่งหน้าที่ </p> 2025-03-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhsc/article/view/287535 บทบรรณาธิการ 2025-03-25T11:19:52+07:00 กัลญา แก้วประดิษฐ์ journal.huso@sru.ac.th 2025-03-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี