วารสารมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhnu <p>วารสารมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร (Journal of Humanities Naresuan University; JHNU) เป็นวารสารที่เผยแพร่ผลงานวิชาการด้านภาษา วรรณคดี คติชน ปรัชญาและศาสนา ดนตรีและนาฏศิลป์ โดยมีการประเมินบทความก่อนตีพิมพ์ (refereed journal) โดยผู้ประเมินจำนวน 3 ท่าน ทั้งนี้ ผู้ประเมินไม่เห็นชื่อหรือข้อมูลของผู้เขียนบทความ และผู้เขียนบทความไม่ทราบผู้ประเมิน (double blind review) มีกำหนดการตีพิมพ์เผยแพร่ ปีละ 3 ฉบับ ราย 4 เดือน คือ ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม-เมษายน ฉบับที่ 2 เดือนพฤษภาคม-สิงหาคม และฉบับที่ 3 เดือนกันยายน-ธันวาคม</p> คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร th-TH วารสารมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร 3027-6101 <p>- ข้อความรู้ใดๆ ตลอดจนข้อคิดเห็นใดๆ เป็นของผู้เขียนแต่ละท่านโดยเฉพาะ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร และกองบรรณาธิการวารสารมนุษยศาสตร์ฯ ไม่จำเป็นต้องเห็นพ้องด้วย&nbsp;</p> <p>-&nbsp;บทความใดๆ ที่ตีพิมพ์ในวารสาร ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารมนุษยศาสตร์ หากต้องการตีพิมพ์ซ้ำต้องได้รับอนุญาตก่อน</p> แนวทางการเรียนการสอนปฏิบัติดนตรีบนโลกออนไลน์ในยุคปกติใหม่ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhnu/article/view/276376 <p>การปรับเปลี่ยนกิจกรรมการเรียนการสอนปฏิบัติดนตรีจากชั้นเรียนปกติให้อยู่ในรูปแบบออนไลน์ จัดว่าเป็นผลงานสร้างสรรค์ทางการศึกษาที่สามารถนำกระบวนทัศน์การทำงานในโลกปัจจุบันมารับใช้สังคมในวงกว้าง บทความฉบับนี้มุ่งศึกษาแนวทางการเรียนการสอนปฏิบัติดนตรีบนโลกออนไลน์ในยุคปกติใหม่ ผู้เขียนรวบรวมหนังสือ ตำรา งานวิจัยและเอกสารทางวิชาการมาสังเคราะห์ข้อมูลเพื่อค้นหาแนวทางการเรียนการสอนปฏิบัติดนตรีแบบใหม่ ซึ่งจากการศึกษาพบว่าสภาวการณ์โควิด-19 ที่ส่งผลต่อการสอนปฏิบัติดนตรีแบบเดิมจากผู้สอนและผู้เรียนมีโอกาสพบปะกัน ถูกปรับเปลี่ยนเป็นการใช้เทคโนโลยีการสอนแบบทางไกลในรูปแบบออนไลน์ เมื่อสถานการณ์โรคระบาดได้คลี่คลายลง พบว่ายังคงมีแนวโน้มการเรียนการสอนปฏิบัติดนตรีบนโลกออนไลน์ที่ผู้สอนจำเป็นต้องออกแบบชั้นเรียนให้มีความหลากหลาย มีการผสมผสานระหว่างกิจกรรมในห้องเรียนปกติกับห้องเรียนออนไลน์โดยนำสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัยมาเป็นเครื่องมือในการจัดการเรียนการสอนซึ่งสามารถออกแบบให้ผู้เรียนและผู้สอนร่วมกันสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ใหม่นอกกรอบวิถีการเรียนการสอนแบบดั้งเดิม</p> ธรรศ อัมโร Copyright (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 22 1 1 16 ผลกระทบของรูปแบบการสอนความสัมพันธ์ระหว่างประสบการณ์ของผู้เรียนและเนื้อหา (ETR) และการอ่านอย่างกว้างขวาง (ER) ที่มีต่อความเข้าใจการอ่านของผู้เรียนชาวไทย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhnu/article/view/277827 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) หาประสิทธิภาพรูปแบบการสอนความสัมพันธ์ระหว่างประสบการณ์ของผู้เรียนและเนื้อหา (ETR) และการอ่านอย่างกว้างขวาง (ER) ให้มีคุณภาพตามเกณฑ์ 80/80 (2) ประเมินประสิทธิผลรูปแบบการสอนความสัมพันธ์ระหว่างประสบการณ์ของผู้เรียนและเนื้อหา (ETR) และการอ่านอย่างกว้างขวาง (ER) ต่อความเข้าใจการอ่านของนักศึกษา และ (3) ประเมินความพึงพอใจของนักศึกษาภายหลังที่ใช้รูปแบบการสอนความสัมพันธ์ระหว่างประสบการณ์ของผู้เรียนและเนื้อหา (ETR) และการอ่านอย่างกว้างขวาง (ER) กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักศึกษาสาขาวิชาคณิตศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 ได้มาโดยการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย จากมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งหนึ่งในประเทศไทย ในปีการศึกษาที่ 1/2567 จำนวน 24 คน สถิติที่ใช้วิเคราะห์ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าทีแบบไม่เป็นอิสระต่อกัน เครื่องมือวิจัยที่ใช้เก็บข้อมูล ได้แก่ 1) แบบทดสอบก่อนเรียน 2) แบบทดสอบระหว่างบทเรียน 3) แบบทดสอบหลังเรียน และ 4) แบบประเมินความพึงพอใจ ผลลัพธ์ แสดงให้เห็นว่า 1) ประสิทธิภาพรูปแบบการสอนความสัมพันธ์ระหว่างประสบการณ์ของผู้เรียนและเนื้อหา (ETR) และการอ่านอย่างกว้างขวาง (ER) มีค่าเฉลี่ย 84.06/86.63 2) ประสิทธิผลของรูปแบบจากการเปรียบเทียบความเข้าใจการอ่านของนักศึกษา ก่อนและหลังการทดลองใช้รูปแบบการสอน พบว่า ความเข้าใจการอ่านหลังการทดลองสูงขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) ความพึงพอใจของนักศึกษาภายหลังที่ใช้รูปแบบการสอนความสัมพันธ์ระหว่างประสบการณ์ของผู้เรียนและเนื้อหา (ETR) และการอ่านอย่างกว้างขวาง (ER) อยู่ในระดับมากที่สุด</p> ภูมินทร์ เหลาอำนาจ Copyright (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 22 1 17 38 วรรณยุกต์ภาษาไทยของผู้พูดภาษาลัวะและผู้พูดภาษาม้งระดับประถมศึกษา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhnu/article/view/278329 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์และเปรียบเทียบระบบเสียงวรรณยุกต์และการแปรของสัทลักษณะของวรรณยุกต์ภาษาไทยในคำพูดเดี่ยวของผู้พูดภาษาลัวะและภาษาม้ง จังหวัดน่าน ที่กำลังศึกษาระดับประถมศึกษา ผู้บอกภาษาได้แก่ ผู้พูดภาษาลัวะเป็นภาษาแม่ มีบิดา-มารดาเป็นชาวลัวะ จำนวน 10 คน ผู้พูดภาษาม้งเป็นภาษาแม่ มีบิดา-มารดาเป็นชาวม้ง จำนวน 10 คน กำลังศึกษาในระดับชั้นประถมศึกษา อายุระหว่าง 6-12 ปี ให้ผู้บอกภาษาออกเสียงรายการคำที่จัดเรียงแบบสุ่มสำหรับวรรณยุกต์จำนวน 9 คำ จำนวน 3 รอบ สรุปจำนวนคำทดสอบสำหรับการวิเคราะห์เสียงวรรณยุกต์ทั้งสิ้น 540 คำทดสอบ จากนั้นวิเคราะห์ระบบเสียงวรรณยุกต์และวิเคราะห์ค่าความถี่มูลฐานของวรรณยุกต์ด้วยวิธีการทางกลสัทศาสตร์ ผลการวิจัยพบว่าระบบเสียงวรรณยุกต์ภาษาไทยของผู้พูดภาษาลัวะและภาษาม้งมีจำนวน 5 หน่วยเสียง โดยผู้พูดภาษาลัวะและภาษาม้งสามารถออกเสียงวรรณยุกต์ภาษาไทยในคำพยางค์เป็นได้จำนวน 5 เสียง และในคำพยางค์ตายได้จำนวน 3 เสียง ทั้งนี้มีความแตกต่างกันในสัทลักษณะรูปหลักและสัทลักษณะรูปแปร ทั้งในแง่จำนวนของรูปแปร ทิศทางการขึ้นตกของระดับเสียง และระดับเสียงที่จุดเริ่มต้น นอกจากนี้ยังพบว่าเกิดการรวมกันของวรรณยุกต์ที่ 1 (สามัญ) กับวรรณยุกต์ที่ 2 (เอก) และวรรณยุกต์ที่ 3 (โท) กับวรรณยุกต์ที่ 4 (ตรี) อาจกล่าวได้ว่า การเป็นภาษามีวรรณยุกต์หรือภาษาไม่มีวรรณยุกต์ไม่ได้ส่งผลต่อการออกเสียงวรรณยุกต์ภาษาไทยทั้งหมดแต่มีปัจจัยอื่นร่วมด้วยได้แก่ การสัมผัสกับภาษาไทยในระดับสูง และการอ่านหนังสือไม่แตกฉาน</p> ชมนาด อินทจามรรักษ์ Copyright (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 22 1 39 64 การศึกษาวัจนกรรมของครูในห้องเรียนที่จัดการเรียนการสอนแบบเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญโดยใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhnu/article/view/279255 <p>ตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2542 เป็นต้นมา ครูทุกระดับชั้นในประเทศไทยต้องเปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้ถ่ายทอดข้อมูลความรู้” มาเป็น “ผู้จัดประสบการณ์การเรียนรู้” ตามแนวทางการปฏิรูปการศึกษาให้เป็นแบบเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ (Learner-centered) บทความวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประเภทวัจนกรรมที่ครูใช้ในห้องเรียนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญและใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อกลางในการเรียนการสอนซึ่งอาจสะท้อนให้เห็นบทบาทของครูในชั้นเรียน งานวิจัยนี้เก็บข้อมูลจากครูผู้สอนชาวไทยจำนวน 3 คนที่สอนรายวิชาภาษาอังกฤษแก่นักศึกษาสาขาวิชาภาษาอังกฤษ ด้วยวิธีการสุ่มแบบไม่เจาะจงโดยผู้วิจัยได้บันทึกเสียงการสอนของกลุ่มตัวอย่างในวันที่มีการจัดกิจกรรมในห้องเรียนตลอด 1 ภาคการศึกษา ความยาวทั้งสิ้น 20 ชั่วโมงประกอบกับการสัมภาษณ์ ผู้วิจัยใช้แนวคิดวัจนกรรมของเซอร์ล (Searle, 1969) เป็นแนวทางการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการศึกษาพบว่า ครูผู้สอนใช้วัจนกรรม 3 กลุ่มในการจัดการเรียนการสอนโดยเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางตามลำดับความถี่ที่ปรากฏ ได้แก่ วัจนกรรมกลุ่มชี้นำซึ่งพบวัจนกรรมทั้งสิ้น 8 ประเภท วัจนกรรมกลุ่มบอกกล่าวซึ่งพบวัจนกรรมทั้งสิ้น 6 ประเภท และวัจนกรรมกลุ่มแสดงความรู้สึกซึ่งพบวัจนกรรมทั้งสิ้น 5 ประเภท ทั้งนี้ไม่พบวัจนกรรมกลุ่มผูกมัดและวัจนกรรมกลุ่มประกาศในข้อมูลนี้ การที่ครูผู้สอนใช้วัจนกรรมกลุ่มชี้นำมากที่สุดสะท้อนเห็นว่าครูผู้สอนมีเจตนาพยายามให้ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองระหว่างการจัดกิจกรรมซึ่งสอดคล้องกับบทบาทของครูในห้องเรียนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญโดยครูผู้สอนมีหน้าที่เป็นผู้อำนวยความสะดวก ช่วยเหลือ ชี้แนะนักเรียนในห้องเรียน นอกจากนี้ยังพบว่าวัจนกรรมที่ครูผู้สอนใช้มากที่สุด ได้แก่ วัจนกรรมการอธิบายซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้สอนยังคงมีหน้าที่อธิบายถ่ายทอดความรู้และบอกสิ่งที่ถูกต้องหรือเป็นสิ่งที่มีประโยชน์แก่ผู้เรียน ผลจากการวิจัยนี้จึงอาจมีส่วนช่วยพัฒนาบทบาทของครูต่อผู้เรียนให้บรรลุตามเป้าหมายตามนโยบายทางการศึกษาของประเทศและส่งผลต่อคุณภาพการจัดการศึกษาในระดับต่าง ๆ ต่อไป</p> อัญชิดา เวชประสิทธิ์ วิสันต์ สุขวิสิทธิ์ พสิษฐ์ สะเภาคำ Copyright (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 22 1 65 92 ผลการฝึกฝนความสามารถด้านการใช้เหตุผลเชิงจริยธรรมผ่านมุมมองของผู้อื่นของนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhnu/article/view/277891 <p>บทความวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสามารถด้านการใช้เหตุผลเชิงจริยธรรมที่ผ่านมุมมองของผู้อื่นของนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เก็บข้อมูลกับนักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชา GEN 111 มนุษย์กับหลักจริยศาสตร์เพื่อการดำเนินชีวิต ภาคการศึกษาปลาย ปีการศึกษา 2566 จำนวน 364 คน โดยวิธีการส่งลิงก์แบบทดสอบให้นักศึกษาประเมินตนเองผ่านระบบออนไลน์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรม Jamovi โดยใช้สถิติ t-test และนำข้อมูลสถิติมาวิเคราะห์เชิงพรรณนา<br />ผลการวิจัยพบว่า 1) นักศึกษาที่ลงทะเบียนรายวิชา GEN 111 มนุษย์กับหลักจริยศาสตร์เพื่อการดำเนินชีวิต ภาคปลาย ปีการศึกษา 2566 หลังจากจบการเรียนรู้ในหัวข้อการตัดสินใจเชิงจริยธรรมผ่านมุมมองของผู้อื่นและได้ทำแบบทดสอบ กลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉลี่ยคำตอบของการคำนึงถึงผู้อื่นอยู่ในระดับ “มาก” ทั้งผู้ที่ตอบทางเลือกสนับสนุนและไม่สนับสนุนทางเลือกตัดสินใจในแบบทดสอบสถานการณ์สมมติ 2) นักศึกษาสามารถแยกแยะระดับความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นในการสนับสนุนการตัดสินใจเชิงจริยธรรมได้สอดคล้องกับข้อคำถามที่ผู้วิจัยได้ออกแบบเอาไว้ทุกข้อ</p> ทรงเกียรติ วิโรจน์กูลทอง ภรัณยู โรจนสโรช พันธ์พนิต ช้างจันทร์ Copyright (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 22 1 93 107 ป้ายธุรกิจการค้าเชิงพาณิชย์บริเวณหาดวอนนภา: การวิเคราะห์ตามแนวภูมิทัศน์ภาษาศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhnu/article/view/277392 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบภาษาของป้ายธุรกิจการค้าเชิงพาณิชย์ และศึกษาหน้าที่ของภาษาที่ปรากฏบนป้ายธุรกิจการค้าเชิงพาณิชย์ โดยผู้วิจัยเก็บรวบรวมจากป้ายร้านอาหาร เครื่องดื่ม และที่พักบนถนนเลียบชายหาดวอนนภา จังหวัดชลบุรี จำนวน 105 ป้าย โดยใช้กรอบแนวคิดของ Landry &amp; Bourhis (1997) ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบภาษาที่ปรากฏบนป้ายธุรกิจการค้าเชิงพาณิชย์ บนหาดวอนนภาพบป้ายภาษาเดียว (Monolingual signs) ป้ายสองภาษา (Bilingual signs) ป้ายหลายภาษา (Multilingual signs) ป้ายสองภาษา (Bilingual signs) พบมากที่สุด โดยพบภาษาอังกฤษ-ภาษาไทย รองลงมาคือป้ายภาษาเดียว (Monolingual signs) พบการใช้ภาษาไทยมากที่สุด ภาษาอังกฤษ ภาษาเกาหลี ภาษาญี่ปุ่น ภาษาละติน ตามลำดับ และพบป้ายหลายภาษา (Multilingual signs) ประกอบด้วย 1) ภาษาไทย-ภาษาจีน-ภาษาอังกฤษ 2) ภาษาอังกฤษ-ภาษาไทย-ภาษาญี่ปุ่น 3) ภาษาอังกฤษ-ภาษาญี่ปุ่น-ภาษาไทย 4) ภาษาอังกฤษ-ภาษาจีน-ภาษาไทย 5) ภาษาอังกฤษ-ภาษาเกาหลี-ภาษาไทย ส่วนหน้าที่ของภาษาที่ปรากฏบนป้ายธุรกิจการค้าเชิงพาณิชย์ พบว่าภาษาบนป้ายทำหน้าที่ 2 ประการ คือ 1) หน้าที่การให้ข้อมูล (Informational Function) พบการให้ข้อมูลที่เป็นภาษาไทย และการให้ข้อมูลที่เป็นภาษาอังกฤษ 2) หน้าที่เชิงสัญลักษณ์ (Symbolic Function) สามารถแบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ 1) การทำหน้าที่เชิงสัญลักษณ์แบบชื่อร้านมีความสอดคล้องกับธุรกิจ 2) การทำหน้าที่เชิงสัญลักษณ์แบบชื่อร้านไม่มีความสอดคล้องกับธุรกิจร้านค้า ผลการวิจัยดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า บนถนนเลียบชายหาดวอนนภาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ และมีความเป็นสังคมพหุภาษา หลากหลายวัฒนธรรม ให้ความสำคัญกับภาษาไทยที่เป็นภาษาประจำชาติ และภาษาต่างประเทศที่แสดงถึงความเป็นนานาชาติ ผลของงานวิจัยนี้สามารถนำไปเป็นแนวทางในการศึกษาสังคมพหุภาษาในพื้นที่อื่น ๆ ต่อไปได้</p> หนึ่งฤทัย เสียมทอง ดีอนา คาซา Copyright (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 22 1 108 133 วิเคราะห์มุมมองจากจารึกนครวัดสมัยหลังพระนคร รวมทั้งประวัติศาสตร์และพงศาวดารที่เกี่ยวข้องในเรื่อง “ศึกละแวก” https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhnu/article/view/277439 <p>“ศึกละแวก” เป็นศึกที่ยิ่งใหญ่ศึกหนึ่งของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เมื่อประวัติศาสตร์ไทยและหนังสือประวัติศาสตร์กัมพูชามีมุมมองที่ขัดแย้งกัน ดังนั้นผู้วิจัยจึงใช้มุมมองจากศิลาจารึก IMA.2 และศิลาจารึก IMA.3 ที่ร่วมสมัยกับ “ศึกละแวก” มาเปรียบเทียบกับพระราชพงษาวดาร กรุงกัมพูชาเพื่อหามุมมองที่ต่อเนื่องและสอดคล้องกัน ผลการวิจัยปรากฏว่า “พระบรมราชา” คือ พระราชโอรสของ “พระสัตถา” ต่อมา”พระบรมราชา” ได้ขึ้นครองราชย์และประทับอยู่ ณ เมืองเสร๊ยสนทอร์ พระองค์สิ้นพระชนม์ เมื่อพระชนมายุได้ 21 พรรษาซึ่งก็สอดคล้องกับศิลาจารึก IMA.3 ที่กล่าวว่า “พระบรมราชา” ประสูติเมื่อปี พ.ศ. 2122 ดังนั้นข้อผิดพลาดในหนังสือประวัติศาสตร์กัมพูชาจึงเกิดขึ้นจากความเข้าใจผิดโดยคิดว่า “พระองค์” คือ พระสัตถา ในการทำวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยยังทราบเรื่องการเดินทัพทางทะเลซึ่งนับว่าเป็นหลักฐานสำคัญในประวัติศาสตร์การสงครามของไทยในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช</p> จุฑารัตน์ เกตุปาน Copyright (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 22 1 134 159 การผจญภัยของวีรบุรุษในนวนิยายเรื่อง “หุบเขากินคน” ของมาลา คำจันทร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhnu/article/view/281478 <p>การศึกษาการผจญภัยของวีรบุรุษในนวนิยายเรื่อง “หุบเขากินคน” ของมาลา คำจันทร์ มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาการผจญภัยของวีรบุรุษในนวนิยายเรื่องหุบเขากินคน ของมาลา คำจันทร์ ตามทฤษฎีการผจญภัยของวีรบุรุษของโจเซฟ แคมพ์เบลล์ 2. เพื่อศึกษาคุณค่าของการผจญภัยของวีรบุรุษในนวนิยายเรื่องหุบเขากินคนของมาลา คำจันทร์ พบว่า ตัวละครบดินทร์มีวงจรการผจญภัยสอดคล้องกับแนวคิดของโจเซฟ แคมพ์เบลล์ ทั้ง 3 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนการออกเดินทาง ขั้นตอนการทดสอบทดลอง และขั้นตอนการกลับคืน การศึกษาการผจญภัยของวีรบุรุษในนวนิยายเรื่องหุบเขากินคน มีคุณค่าดังนี้ การเข้าใจการเติบโตและการเปลี่ยนแปลงของตัวละคร การสร้างแรงบันดาลใจในการพัฒนาตนเองผ่านการเผชิญปัญหาและอุปสรรคของตัวละคร</p> อาทิมา พงศ์ไพบูลย์ Copyright (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 22 1 160 183 การสร้างสรรค์จังหวะและลีลากระบวนท่ากลองยาวอีสาน https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhnu/article/view/281321 <p>บทความวิจัยเรื่องการสร้างสรรค์จังหวะและลีลากระบวนท่ากลองยาวอีสาน เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ สำหรับการเรียนการสอนและการเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านอีสาน ผลการวิจัยพบว่า การสร้างสรรค์จังหวะและลีลากระบวนท่ากลองยาวอีสาน แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ 1) รูปแบบการบรรเลงจังหวะกลองยาวโบราณ เป็นการบรรเลงที่คงความเป็นเอกลักษณ์ ทั้งจังหวะและลีลากระบวนท่าในการบรรเลงและรูปแบบการแปรแถว 2) รูปแบบการบรรเลงจังหวะกลองยาวแบบประยุกต์ เป็นการผสมผสานจังหวะกลองยาวเข้ากับการบรรเลงพิณอีสาน และพิณเบสไฟฟ้าแบบร่วมสมัย เพื่อทำให้เกิดอรรถรสและมีความน่าสนใจต่อผู้ที่มารับชมรับฟังมากขึ้น และผู้วิจัยได้กำหนดเครื่องดนตรีในวงกลองยาวอีสาน ได้แก่ กลองยาว 10 ใบ กลองรำมะนาอีสาน 4 ใบ ฉาบใหญ่ 2 คู่ ฆ้องโหม่ง 1 ใบ พิณไฟฟ้า 1 ตัว และพิณเบสไฟฟ้า 1 ตัว</p> ภิภพ ปิ่นแก้ว Copyright (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 22 1 184 201 น้อมรำลึกราชภัฏโคราช 100 ปี สดุดีองค์ราชัน: การพัฒนานวัตกรรมทางวัฒนธรรมเพื่อส่งเสริมคุณค่าทางประวัติศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhnu/article/view/277959 <p>นวัตกรรมทางวัฒนธรรมนับเป็นการสื่อสารได้หลากหลายมิติ บทความวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนานวัตกรรมทางวัฒนธรรมเพื่อส่งเสริมคุณค่าทางประวัติศาสตร์ในวาระมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ครบรอบ 100 ปี โดยใช้รูปแบบของการวิจัยเชิงคุณภาพ ประกอบด้วยการศึกษาเอกสารทางวิชาการ การสัมภาษณ์ การจัดสนทนากลุ่มขนาดเล็ก วิเคราะห์เนื้อหาร่วมกับหลักการวิจัยเชิงสร้างสรรค์ สู่การประเมินผลงานจากผู้ทรงคุณวุฒิ การถ่ายทอดและการเผยแพร่ผลงาน <br />ผลการวิจัยพบว่า พัฒนาการของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมาแบ่งออกเป็น 5 ระยะ การสร้างสรรค์ทางนาฏศิลป์มี 7 องค์ประกอบ ได้นวัตกรรมทางวัฒนธรรมการแสดงทางนาฏศิลป์ชุด “น้อมรำลึกราชภัฏโคราช 100 ปี สดุดีองค์ราชัน” ดังนี้ 1. รูปแบบการแสดงแบ่งออกเป็น 3 ช่วง ได้แก่ ช่วงที่ 1 กำเนิดสู่วาระครบรอบ 100 ปี ช่วงที่ 2 อัตลักษณ์ ช่วงที่ 3 คนของพระราชา ข้าของแผ่นดิน 2. ออกแบบลีลาท่ารำ จากท่ารำนาฏศิลป์พื้นบ้านโคราช นาฏศิลป์พื้นบ้านอีสานและนาฏศิลป์ไทย 3. ออกแบบเครื่องแต่งกาย ผสมผสานรูปแบบพื้นบ้านโคราชและนาฏศิลป์ไทย โดยเน้นการใช้โทนสีเขียว สีเหลือง อันเป็นสีประจำมหาวิทยาลัย 4. ดนตรีประกอบการแสดงใช้รูปแบบดนตรีพื้นบ้านโคราชประยุกต์ 5. พื้นที่ในการแสดง มีการแปรแถวที่มีความหลากหลาย 6. อุปกรณ์ประกอบการแสดง ใช้ช่อดอกราชพฤกษ์ (ดอกคูณ) เพื่อสื่อถึงอัตลักษณ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา 7. คัดเลือกนักแสดงที่มีความสามารถทางนาฏศิลป์ไทยและนาฏศิลป์พื้นบ้าน โดยใช้นักแสดงหญิง จำนวน 10 คน ทั้งนี้ได้รับการประเมินผลงานสร้างสรรค์จากผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 24 คน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.70 </p> นวลรวี กระต่ายทอง Copyright (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 22 1 202 220