https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhnu/issue/feed
วารสารมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
2025-08-30T16:40:21+07:00
ผศ.ดร.แคทรียา อังทองกำเนิด (Asst. Prof. Catthaleeya Aungthongkamnerd, Ph.D.)
humanjournal@hotmail.com
Open Journal Systems
<p>วารสารมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร (Journal of Humanities Naresuan University; JHNU) เป็นวารสารที่เผยแพร่ผลงานวิชาการด้านภาษา วรรณคดี คติชน ปรัชญาและศาสนา ดนตรีและนาฏศิลป์ โดยมีการประเมินบทความก่อนตีพิมพ์ (refereed journal) โดยผู้ประเมินจำนวน 3 ท่าน ทั้งนี้ ผู้ประเมินไม่เห็นชื่อหรือข้อมูลของผู้เขียนบทความ และผู้เขียนบทความไม่ทราบผู้ประเมิน (double blind review) มีกำหนดการตีพิมพ์เผยแพร่ ปีละ 3 ฉบับ ราย 4 เดือน คือ ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม-เมษายน ฉบับที่ 2 เดือนพฤษภาคม-สิงหาคม และฉบับที่ 3 เดือนกันยายน-ธันวาคม</p>
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhnu/article/view/282317
การศึกษาปัญหาการคงอยู่ แนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาภูมิปัญญาด้านศิลปะการแสดงหมอลำหมู่สังวาทอุบล จังหวัดอุบลราชธานี
2024-11-08T11:18:23+07:00
พิชิต ทองชิน
pichit.thu58@ubru.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้มุ่งศึกษาปัญหาการคงอยู่ และแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาภูมิปัญญาด้านศิลปะการแสดงหมอลำหมู่สังวาทอุบล ได้แก่ รูปแบบการแสดง กระบวนเล่น และทำนองลำ โดยการวิจัยเอกสารและภาคสนามด้วยการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูล เพื่อสำรวจจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรค และสังเกตการดำเนินงานของคณะหมอลำหมู่เพื่อรับทราบปัญหา ผลการวิจัยพบว่าปัญหาการคงอยู่มี 4 ประการ ได้แก่ 1) ความนิยมเพลงลูกทุ่งหมอลำมากขึ้น 2) ลำสังวาทอุบลมีความยาก 3) การบริหารคณะหมอลำหมู่มีความยุ่งยาก และ 4) ความนิยมหมอลำสังวาทขอนแก่นมีมากกว่า และแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนามี 2 ประการหลัก ได้แก่ 1) เชิงนโยบายส่งเสริม เช่น การจัดกิจกรรมเชิงอนุรักษ์ การจ้างงานศิลปิน และการส่งเสริมให้ศิลปินพัฒนารูปแบบการแสดงทันกระแสนิยม และ 2) แนวทางของสถาบันการศึกษา ได้แก่ สอนวิชาหมอลำหมู่ ส่งเสริมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์ และบันทึกองค์ความรู้ภูมิปัญญาหมอลำหมู่ ในการนี้ ผู้วิจัยได้จัดทำสื่อวีดิทัศน์บันทึกองค์ความรู้ทำนองลำหมอลำหมู่สังวาทอุบลขึ้น 4 ชุด ได้แก่ ลำทำนองผู้ชาย ลำทำนองผู้หญิง ลำโศกทำนองผู้ชาย และลำโศกทำนองผู้หญิง โดยมีเป้าหมายเพื่ออนุรักษ์ศิลปะการแสดงอันทรงคุณค่า และเผยแพร่ทำนองลำหมอลำหมู่สังวาทอุบลที่ถูกต้อง<br /><br />สื่อวีดิทัศน์นี้ จะเป็นประโยชน์ในทางวิชาการ และบุคคลทั่วไปที่ต้องการฝึกการลำที่ถูกต้องเพื่อพัฒนาเป็นศิลปินมืออาชีพ ทั้งนี้ การศึกษาองค์ความรู้หมอลำหมู่สังวาทอุบลในครั้งนี้ไม่สามารถบันทึกเป็นวีดิทัศน์ได้ทั้งหมดในอนาคตควรมีการจัดทำสื่อวีดิทัศน์บันทึกองค์ความรู้หมอลำหมู่สังวาทอุบลให้ครอบคลุม</p>
2025-08-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhnu/article/view/280412
การสำรวจสถานภาพงานวิจัยด้านวาทกรรมวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ในบทความทางวิชาการของไทยตั้งแต่ พ.ศ. 2551-2567
2024-11-26T09:49:39+07:00
สมประสงค์ แสงอินทร์
somprasongkrab@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจสถานภาพการศึกษาวิจัยตามแนวทางวาทกรรมวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ในประเทศไทยซึ่งจัดเก็บในระบบฐานข้อมูลวารสารอิเล็กทรอนิกส์กลางของประเทศไทย (ThaiJO) ตั้งแต่ พ.ศ. 2551 ถึง พ.ศ. 2567 นำเสนอผลการวิเคราะห์ 5 ด้าน ได้แก่ ประเด็นเนื้อหาที่ใช้ศึกษา แนวคิดที่ใช้ศึกษา ตัวบทที่ใช้ศึกษา กรอบวิธีที่ใช้ศึกษา และรูปแบบการศึกษา ผลการศึกษาแสดงให้เห็นทั้งหลุมพรางของการศึกษาวาทกรรมวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ และความพยายามของนักวิชาการไทยที่จะพัฒนาการศึกษาวิจัยตามแนวทางวาทกรรมวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ให้ก้าวทันแวดวงวิชาการสากล</p>
2025-08-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhnu/article/view/281809
การศึกษาเปรียบเทียบบทบาทด้านความหมายของคำชี้บทขยายกริยา “地” ในภาษาจีนและ “อย่าง” ในภาษาไทย
2024-11-07T11:32:51+07:00
สุพิชญา อ่ำคิด
supidchaya0211@gmail.com
ชัยรัตน์ กิ่งแก้ว
dome_ball48@hotmail.com
<p>งานวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบบทบาทด้านความหมายของคำชี้บทขยายกริยา “地” ในภาษาจีนและ “อย่าง” ในภาษาไทย ประเภทของงานวิจัยคือ งานวิจัยเชิงคุณภาพ วิธีการศึกษา คือ สำรวจประโยคภาษาจีนและภาษาไทยจากแหล่งข้อมูลที่ใช้ศึกษา เพื่อนำมาเป็นข้อมูลในการตั้งประเด็นการศึกษา จากนั้นผู้วิจัยจึงวิเคราะห์และเปรียบเทียบบทบาทด้านความหมายของคำชี้บทขยายกริยา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ รูปประโยคที่มี “地” และ “อย่าง” ที่ได้มาจากการรวบรวมข้อมูลจากวรรณกรรมจีนสมัยใหม่และคลังข้อมูลภาษาไทยแห่งชาติ TNC: THAI NATIONAL CORPUS (Third Edition) ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ผลการศึกษาพบว่า 1) “地” และ “อย่าง” สามารถประกอบกับคำหรือกลุ่มคำที่บอกอาการหรือลักษณะเพื่อทำหน้าที่บทขยายกริยาได้เหมือนกัน แต่ “地” ยังสามารถประกอบกับคำหรือกลุ่มคำที่มีลักษณะเป็นคำนามได้ด้วย สาเหตุเนื่องมาจากระดับการกลายเป็นคำไวยากรณ์ของ “地” สูงกว่า 2) บทบาทของ “地” และ “อย่าง” สัมพันธ์กับความถูกต้องของประโยค แต่ประโยคที่ผิดเนื่องจากทั้งสองคำไม่ปรากฏนั้น มีปัจจัยเบื้องหลังแตกต่างกัน เช่น ในภาษาจีน หากบทขยายกริยาที่ละ “地” ไม่สามารถทำความเข้าใจเป็นบทขยายกริยาหรือส่วนหนึ่งของหน่วยสร้างกริยาเรียงได้ ประโยคก็จะไม่ถูกต้อง ส่วนในภาษาไทย หากบทขยายกริยาที่ละ “อย่าง” ไม่สามารถทำความเข้าใจเป็นบทขยายกริยา ส่วนหนึ่งของหน่วยสร้างกริยาเรียงหรือบทกรรมได้ ประโยคก็จะไม่ถูกต้อง 3) บทบาทของ “地” และ “อย่าง” สัมพันธ์กับการทำความเข้าใจความหมายของประโยค แต่ความหมายของประโยคที่สื่อออกมาหากทั้งสองคำไม่ปรากฏนั้นแตกต่างกัน เช่น ในภาษาจีน บทขยายกริยาที่ละ “地” อาจสามารถทำความเข้าใจเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยสร้างกริยาเรียงได้ ส่วนในภาษาไทย บทขยายกริยาที่ละ “อย่าง” อาจสามารถทำความเข้าใจเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยสร้างกริยาเรียง บทกรรม บทขยายกรรม หรือแม้กระทั่งประโยค</p>
2025-08-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhnu/article/view/283653
เซวียนเสินอัน: บทบาทและคุณค่าของสตรีจีนในนวนิยายเรื่อง ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย
2024-12-03T11:26:27+07:00
ศิริภรณ์ บุญประกอบ
siriporn19855@gmail.com
รัชตา มาอากาศ
natayu_m@hotmail.com
<p>งานวิจัยนี้มุ่งวิเคราะห์บทบาทและคุณค่าของตัวละครหญิงเซวียนเสินอันในความสัมพันธ์ทางครอบครัวกับบุรุษภายใต้แนวคิดสามคล้อยตามสี่คุณธรรม ที่สะท้อนบทบาทสตรีในสังคมศักดินาจีนผ่านนวนิยายเรื่อง <em>ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย</em> โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ที่วิเคราะห์บทบาทและคุณค่าของสตรีตามแนวคิด สามคล้อยตามสี่คุณธรรม แบ่งบทบาทของสตรีออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่ หลานสาวเสมือนบุตรสาว ภรรยา และมารดา ผลการศึกษาพบว่า คุณค่าของสตรีในบทบาทหลานสาวเสมือนบุตรสาว ลุงจะเป็นผู้กำหนดบทบาทของหลานสาวให้รักษาความมั่นคงและผลประโยชน์ของครอบครัว บทบาทภรรยา สตรีที่ปฏิบัติตามแนวคิดสามคล้อยตามสี่คุณธรรมจะได้รับการยกย่องและให้เกียรติจากสามีและสังคม และบทบาทมารดา สตรีที่ยอมเสียสละเกียรติยศของตนเองเพื่อปกป้องและรักษาเกียรติยศของบุตรชายให้รอดพ้นจากภยันตราย ความสัมพันธ์ทั้งสามกลุ่มนี้สะท้อนให้เห็นถึงชะตาชีวิตของสตรีในสังคมปิตาธิปไตย ที่ให้บุรุษมีอำนาจในการกำหนดบทบาทและคุณค่าของสตรีเพื่อค้ำจุนผลประโยชน์และรักษาความมั่นคงของครอบครัว</p>
2025-08-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhnu/article/view/283746
อุปลักษณ์เชิงมโนทัศน์ของคำว่า “ครอบครัว” ในบริบทสังคมไทย
2025-01-08T09:09:41+07:00
นิลุบล ศรีเทพ
nilubon.wor@gmail.com
เพ็ญนภา คล้ายสิงห์โต
pennapa.kl@up.ac.th
กมลาวดี บุรณวัณณะ
kamalawadee.bu@up.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์อุปลักษณ์เชิงมโนทัศน์ของคำว่า “ครอบครัว” ในบริบทของสังคมไทยตามกรอบแนวคิดอุปลักษณ์เชิงมโนทัศน์ของเลคอฟและจอห์นสัน (Lakoff & Johnson, 1980) โดยเก็บข้อมูลจากคลังข้อมูลภาษาไทยแห่งชาติ (Thai National Corpus) ของภาควิชาภาษาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นข้อความที่มีคำว่า “ครอบครัว” จากหัวข้อหนังสือพิมพ์และงานเขียนกึ่งวิชาการ จำนวน 4,263 ข้อความ วิเคราะห์ตีความอุปลักษณ์เชิงมโนทัศน์ในรูปแบบพรรณนาวิเคราะห์ ผลการวิจัยพบถ้อยคำอุปลักษณ์ของคำว่า “ครอบครัว” จำนวน 1,304 ถ้อยคำอุปลักษณ์ สะท้อนอุปลักษณ์เชิงมโนทัศน์ในมุมมองของผู้ใช้ภาษาไทยจำนวน 4 มโนทัศน์ ได้แก่ [ครอบครัว คือ พื้นที่] [ครอบครัว คือ มนุษย์] [ครอบครัว คือ วัตถุสิ่งของ] และ [ครอบครัว คือ สิ่งปลูกสร้าง] ผลการวิจัยสะท้อนระบบมโนทัศน์ของผู้ใช้ภาษาไทยที่มีต่อคำว่าครอบครัวในมุมมองด้านบวกว่าครอบครัวในอุดมคติคือครอบครัวที่อบอุ่น มั่นคง ส่วนมุมมองด้านลบคือครอบครัวเป็นสิ่งที่เปราะบางต้องดูแล จุนเจือ ช่วยเหลือและประคับประคอง</p>
2025-08-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhnu/article/view/283556
พิธีบูชาพระธาตุยาคู: บทบาทหน้าที่ต่อชุมชนบ้านเสมาตำบลหนองแปน อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์
2024-11-25T13:40:36+07:00
ปวิชญา วินทะไชย
pawitchaya.winthachai@g.swu.ac.th
ภาณุพงศ์ อุดมศิลป์
panupong@g.swu.ac.th
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบทบาทหน้าที่ของพิธีบูชาพระธาตุยาคูที่มีต่อชุมชนบ้านเสมา ตำบลหนองแปน อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยผู้วิจัยได้ศึกษาข้อมูลจากเอกสารงานวิจัย เก็บข้อมูลภาคสนาม โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพจากการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ขะจ้ำ ผู้นำในการประกอบพิธีประจำชุมชนบ้านเสมา และชาวบ้านในชุมชน การสังเกตอย่างมีส่วนร่วมในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2566 วิเคราะห์ข้อมูล ด้วยระเบียบวิธีทางคติชนวิทยา แล้วนำเสนอผลการศึกษาด้วยวิธีพรรณนาวิเคราะห์ พบว่า บทบาทหน้าที่ของพิธีบูชา พระธาตุยาคูมีความสำคัญต่อชุมชนบ้านเสมา 4 บทบาท ได้แก่ บทบาทหน้าที่ด้านความอุดมสมบูรณ์ บทบาทหน้าที่ในการระบายความคับข้องใจ และความทุกข์ใจให้แก่ชาวบ้านในชุมชน บทบาทหน้าที่ในการเป็นทุนวัฒนธรรมด้านการท่องเที่ยว และบทบาทหน้าที่ในการสร้างความเป็นหนึ่งเดียวของคนในชุมชน</p>
2025-08-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhnu/article/view/284054
ทัศนคติของนิสิตไทยที่ไม่ใช่เอกภาษาอังกฤษที่มีต่อการสอนไวยากรณ์แบบตรงในวิชาการเขียนขั้นพื้นฐาน
2025-01-08T09:23:04+07:00
นรัสถ์ กานต์ประชา
narats@nu.ac.th
คัมภีร์ นูนคาน
khampeen@nu.ac.th
พรวีร์ ทันนิเทศ
pornraweet@nu.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาทัศนคติของผู้เรียนที่ไม่ใช่เอกภาษาอังกฤษที่มีต่อการสอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษแบบตรงในชั้นเรียนการเขียนขั้นพื้นฐาน เพื่อเปรียบเทียบและศึกษาทัศนคติที่มีต่อการสอนไวยากรณ์แบบตรงของผู้เรียนที่มีความสามารถในการเขียนเก่ง ปานกลางและอ่อน กลุ่มตัวอย่างเป็นนิสิตไทยที่เรียนเอกภาษา จำนวน 81 คน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วยแบบสอบถามทัศนคติ คำถามสำหรับการสนทนากลุ่มแบบกึ่งโครงสร้างและบันทึกสะท้อนความคิด การวิเคราะห์ข้อมูลจากแบบสอบถาม ใช้สถิติเชิงพรรณนา การทดสอบทีแบบจับคู่ตัวอย่าง (Paired-sample t-test) และการวิเคราะห์ความแปรปรวน (ANOVA) การวิเคราะห์ข้อมูลจากการสัมภาษณ์และบันทึกสะท้อนความคิดใช้การวิเคราะห์แบบแก่นสาระ ผลการวิจัยที่สำคัญชี้ให้เห็นว่าค่าคะแนนเฉลี่ยของทัศนคติของนิสิตลดลงอย่างมีนัยสำคัญในหลายด้านภายหลังการสอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษแบบตรงแต่ยังคงอยู่ในด้านบวกระดับมากที่สุดและในระดับมาก ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพแสดงให้เห็นถึงทัศนคติในด้านบวกและด้านลบของนิสิตที่มีต่อการสอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษแบบตรง</p>
2025-08-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhnu/article/view/284522
การศึกษากลวิธีการแปลคำทางวัฒนธรรมจากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษในนวนิยาย เรื่อง เขี้ยวเสือไฟ
2025-01-03T17:20:49+07:00
เขมิกา อนุรักษ์ชนะชัย
khemika.anu@ku.th
เพ็ญนภา เรียบร้อย
pennapa.p@ku.th
จิรพร ธนะรัชติการนนท์
jiraporndh2000@yahoo.com
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อวิเคราะห์กลวิธีการแปลคำทางวัฒนธรรมระดับจุลภาคจากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ ในนวนิยายเรื่อง <em>เขี้ยวเสือไฟ</em> ทั้ง 15 บท และ 2) เพื่อศึกษากลวิธีการแปลคำทางวัฒนธรรมในระดับมหภาคของผู้แปลทั้งสองคน เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์เหล่านี้ จึงนำทฤษฎีการแปลในระดับจุลภาคของ Aixelá (1996) และระดับมหภาคของ Venuti (1995) มาเป็นกรอบแนวคิดเชิงทฤษฎีเพื่อวิเคราะห์คำทางวัฒนธรรมจำนวน 454 คำ ผลการวิจัยชี้ให้เห็นถึงการใช้กลวิธีการแปลระดับจุลภาค 10 ประเภท ได้แก่ 1) การแปลตามอักษร 2) การใช้คำพ้องความหมาย 3) การใช้คำทั่วไป 4) การใช้คำทับศัพท์ 5) การลบทิ้ง 6) การเพิ่มคำอธิบายในข้อความ 7) การใช้คำที่รู้จักมากกว่าในวัฒนธรรมปลายทาง 8) การแทนที่ทางวัฒนธรรม 9) การใช้กลวิธีผสม และ 10) การเพิ่มคำอธิบายนอกตัวบท ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ไม่ปรากฏการใช้กลวิธีการซ้ำคำและการแปลแบบสร้างสรรค์ในงานวิจัยนี้ สำหรับการวิเคราะห์กลวิธีการแปลในระดับมหภาค ผลการวิจัยพบว่า ผู้แปลมีแนวโน้มใช้กลวิธีระดับจุลภาคที่มาจากกลวิธีมหภาคแบบการแปลตามวัฒนธรรมปลายทาง แสดงให้เห็นว่า ผู้แปลให้ความสำคัญกับผู้อ่านเป้าหมายเป็นหลัก โดยพยายามปรับคำศัพท์วัฒนธรรมไทยให้เข้าใจง่ายและใกล้เคียงกับวัฒนธรรมเป้าหมายมากขึ้น</p>
2025-08-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhnu/article/view/285940
โครงสร้างสัมพันธสารการพูดแบบฉับพลันของผู้เข้าประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์
2025-02-19T09:56:44+07:00
ธนัฏฐากุล พรทิพยพานิช
thanatthakul.ph@ku.th
<p>การพูดแบบฉับพลันเป็นการพูดที่แสดงให้เห็นถึงไหวพริบ ความรู้และประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นต่าง ๆ ของผู้พูด งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์และเปรียบเทียบตัวบทการพูดแบบฉับพลันของผู้เข้าประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ที่ได้รับการคัดเลือกและไม่ได้รับการคัดเลือกใน 3 ประเด็น ได้แก่ 1) โครงสร้างสัมพันธสารการพูดแบบฉับพลัน 2) รูปแบบการใช้สัมพันสารในตัวบทการพูดแบบฉับพลัน และ 3) สัมพันธสารในตัวบทการพูดแบบฉับพลัน โดยใช้แนวคิดข้อความในสัมพันธสารของ Longacre (1983) และการจำแนกสัมพันธสารตามจุดมุ่งหมายในการสื่อสารของ Bamroongraks (1996) วิเคราะห์ตัวบทการพูดแบบฉับพลันของผู้เข้าประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ในปี 2020-2022 จำนวน 60 ตัวบท ผลการวิจัยพบว่า โครงสร้างสัมพันธสารการพูดแบบฉับพลันแบ่งเป็น 3 ส่วน ได้แก่ 1) ส่วนนำ 2) ส่วนเนื้อหา และ 3) ส่วนสรุป ส่วนรูปแบบการใช้สัมพันธสารในตัวบทการพูดแบบฉับพลันของผู้เข้าประกวดที่ได้รับการคัดเลือกใช้มากที่สุดคือ คำอธิบาย<sup>ส่วนนำ</sup>, คำอธิบาย<sup>ส่วนเนื้อหา</sup>, ข้อควรปฏิบัติ-คำอธิบาย<sup>ส่วนสรุป</sup> (E, E, H-E) รูปแบบการใช้สัมพันธสารในตัวบทการพูดแบบฉับพลันของผู้เข้าประกวดที่ไม่ได้รับการคัดเลือกใช้มากที่สุดคือ คำอธิบาย<sup>ส่วนนำ</sup>, คำอธิบาย<sup>ส่วนเนื้อหา</sup>, คำอธิบาย<sup>ส่วนสรุป</sup> (E, E, E) อย่างไรก็ตามภาพรวมของการใช้สัมพันธสารในตัวบทการพูดแบบฉับพลันของผู้เข้าประกวดพบว่า ทั้งในส่วนนำ ส่วนเนื้อหา และส่วนสรุปใช้สัมพันธสารประเภทคำอธิบาย (E) มากที่สุด และไม่พบการใช้สัมพันธสารประเภทกระบวนการ (P)</p>
2025-08-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhnu/article/view/284384
ความหมายและบทบาทของลวดลายปลาในวัฒนธรรมจีน
2025-01-24T10:31:46+07:00
จิราพร ปาสาจะ
zuall@hotmail.com
กนกพร นุ่มทอง
kanokporn.n@ku.th
<p>บทความวิชาการเรื่องนี้มุ่งเน้นศึกษาความหมายและบทบาทของลวดลายปลาในวัฒนธรรมจีนโดยสังเขป นำเสนอเนื้อหา 3 ประเด็น ได้แก่ 1. ความหมายและความเป็นมาของลวดลายปลา 2. ลวดลายปลาในยุคก่อนประวัติศาสตร์จีน-ยุคประวัติศาสตร์จีน 3. บทบาทของลวดลายปลาที่ปรากฏตามสิ่งของเครื่องใช้ หรือสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งพบได้อย่างชัดเจนตามหลักฐานทางโบราณคดี เช่น ตราสัญลักษณ์ประจำตัวรูปปลาในสมัยราชวงศ์ถัง แท่นฝนหมึกลายปลาในสมัยราชวงศ์ซ่ง รูปแบบและรูปลักษณ์ของลวดลายปลาเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ตามเหตุปัจจัยที่แตกต่างกัน แต่ยังคงมีความหมายในด้านดีเป็นสิริมงคล สะท้อนวิถีชีวิตความผูกพันระหว่างชาวจีนกับปลาที่มีมาแต่ในอดีต การประยุกต์ใช้ปลาในฐานะรูปและลวดลายปลาจึงอยู่คู่ชาวจีนมาอย่างยาวนาน และมีความหลากหลาย จนกระทั่งสามารถพัฒนาไปเป็นลวดลายปลาที่มีเอกลักษณ์ และได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมจีนในปัจจุบัน</p>
2025-08-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร