วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir <p>วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการศึกษาค้นคว้า และเพื่อเผยแพร่บทความวิจัยและบทความวิชาการในมิติเพื่อสนับสนุนการศึกษา การสอน การวิจัย วารสารมุ่งเน้นบทความทางด้านการศึกษา นวัตกรรมการศึกษา นวัตกรรมการบริหารการศึกษา หลักสูตรและการสอน นวัตกรรมการจัดการ ศิลปศาสตร์ และนวัตกรรมการศึกษาเชิงประยุกต์ </p> th-TH eitsthailand64@gmail.com (Asst. Prof. Dr.Phumphakhawat Phumphongkhochasorn) dn.2519@gmail.com (Asst. Prof. Dr.Somchai Damnoen) Sun, 30 Jun 2024 22:38:56 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 องค์ประกอบภาวะผู้นำสร้างแรงบันดาลใจของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/264462 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ประกอบของภาวะผู้นำสร้างแรงบันดาลใจของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเอกสารและงานวิจัย ซึ่งดำเนินการ 2 ขั้นตอน คือ 1) ศึกษาเอกสารเกี่ยวกับองค์ประกอบภาวะผู้นำสร้างแรงบันดาลใจของผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 14 แหล่ง เพื่อสังเคราะห์องค์ประกอบภาวะผู้นำสร้างแรงบันดาลใจของผู้บริหารสถานศึกษา และ 2) ยืนยันองค์ประกอบภาวะผู้นำสร้างแรงบันดาลใจของผู้บริหารสถานศึกษาตามกรอบที่ได้สังเคราะห์จากเอกสารโดยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบวิเคราะห์เอกสารและแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ภาวะผู้นำสร้างแรงบันดาลใจของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มี 5 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) การมีวิสัยทัศน์ ซึ่งผู้บริหารสถานศึกษาจะต้องมีความกล้าที่จะเปิดโอกาสให้ตัวเองได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ พร้อมยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมีการกำหนดเป้าหมาย และการเผยแพร่วิสัยทัศน์ 2) ความน่าเชื่อถือไว้วางใจ ผู้บริหารสถานศึกษามีความสามารถในการบริหารงาน มีความซื่อสัตย์ รักษาคำพูด และรู้จักการให้เกียรติและเคารพผู้อื่น 3) ความกระตือรือร้น ผู้บริหารสถานศึกษามีการเอาใจใส่และมุ่งมั่น ปฏิบัติงานทันที และหมั่นศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ 4) การมองโลกในแง่ดี ผู้บริหารสถานศึกษามีความมั่นใจในตนเอง รับรู้ความสามารถของตนเอง มีความคิดเชิงบวก และมีรูปแบบการอธิบายเหตุการณ์ในทางที่ดี และ 5) การมีส่วนร่วมซึ่งผู้บริหารสถานศึกษาจะต้องมีเป้าหมายร่วมกันกับผู้ใต้บังคับบัญชา เปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมในการวางแผนและตัดสินใจ มีส่วนร่วมในการดำเนินงาน มีส่วนร่วมในการประเมินผล และให้ความมีอิสระในการทำงาน ผลการยืนยันองค์ประกอบหลักภาพรวม พบว่า การมีวิสัยทัศน์ ความน่าเชื่อถือไว้วางใจ และการมีส่วนร่วม มีความเหมาะสม และความเป็นไปได้ระดับมากที่สุด รองลงมาเป็นความกระตือรือร้น และการมองโลกในแง่ดี</p> วีรศักดิ์ กรมแสนพิมพ์, เอกลักษณ์ เพียสา, วัลนิกา ฉลากบาง Copyright (c) 2023 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/264462 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงชาติพันธุ์ลาวครั่งและลาวเวียง ในจังหวัดนครปฐมผ่านอัตลักษณ์ทางภาษาและวัฒนธรรมประเพณี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/271697 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการใช้ภาษา ทัศนคติต่อภาษา วัฒนธรรม ประเพณีการจัดการท่องเที่ยวเชิงชาติพันธุและผลิตภัณฑ์ชุมชนของกลุ่มชาติพันธุ์ลาวครั่งและลาวเวียงในจังหวัดนครปฐม และ 2) เพื่อหาแนวทางและสร้างรูปแบบโมเดลการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงชาติพันธุ์ผ่านอัตลักษณ์ภาษาและวัฒนธรรมประเพณีของกลุ่มชาติพันธุ์ลาวครั่งและลาวเวียงในจังหวัดนครปฐม รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณใช้แนวคิดทางภาษาศาสตร์ แนวคิดการท่องเที่ยวเชิงชาติพันธุ์ แนวคิดการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ และแนวคิดทางการตลาด เป็นกรอบการวิจัย และนำเสนอด้วยสถิติเชิงพรรณนา พื้นที่วิจัย คือชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์ลาวครั่งและลาวเวียง จังหวัดนครปฐม กลุ่มตัวอย่างคือ สมาชิกในชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์ลาวครั่งและลาวเวียง จำนวน 60 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 2 ชนิด คือ 1) แบบสอบถาม 2) การสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าร้อยละ และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า<br />1. ผลการวิจัยพบว่ากลุ่มชาติพันธุ์ลาวครั่งและลาวเวียงส่วนใหญ่ยังสามารถพูดภาษาลาวครั่งและลาวเวียงของตนได้ดี โดยเลือกพูดเฉพาะกับสมาชิกในครอบครัว แต่สำหรับทัศนคติต่อภาษานั้น กลุ่มชาติพันธุ์ทั้งลาวครั่งและลาวเวียงส่วนมากต้องการให้ลูกหลานพูดภาษาชาติพันธุ์ได้ รวมถึงอยากอนุรักษ์ให้ลูกหลานได้เรียนรู้และยังคงมีการใช้อยู่สืบไป<br />2. ผลการวิจัยแนวทางและสร้างรูปแบบโมเดลการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงชาติพันธุ์ผ่านอัตลักษณ์ภาษาและวัฒนธรรมประเพณีของกลุ่มชาติพันธุ์ลาวครั่งและลาวเวียงในจังหวัดนครปฐมนั้น มีเหตุปัจจัยของความสำเร็จ คือ สมาชิกในชุมชนต้องร่วมมือร่วมใจ คิด ทำ และได้รับผลประโยชน์ร่วมกันอย่างสมเหตุสมผล<br />องค์ความรู้จากงานวิจัยนี้สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการพัฒนาการเรียนการสอนในการผสมผสานความรู้ทางด้านภาษาและวัฒนธรรม กับการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการจัดการท่องเที่ยวเชิงชาติพันธุ์ นอกจากนี้จากโมเดลการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงชาติพันธุ์ผ่านอัตลักษณ์ภาษาและวัฒนธรรมประเพณี ยังสามารถนำไปปฏิบัติตามที่สามารถสร้างให้เกิดการจัดการท่องเที่ยวเชิงชาติพันธุ์รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ นำมาซึ่งการสร้างรายได้อย่างยั่งยืน</p> สิริวรรณพิชา ธนจิราวัฒน์, ยุภาวรรณ ดวงอินตา Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/271697 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700 การจัดการความเสี่ยงจากอัคคีภัยในพื้นที่ชุมชนแออัด https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/264131 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการจัดการความเสี่ยงจากอัคคีภัยในพื้นที่ชุมชนแออัด 2) ศึกษาปัญหาและอุปสรรคที่มีต่อการจัดการความเสี่ยงจากอัคคีภัยในพื้นที่ชุมชนแออัด และ3)เสนอแนะแนวทางการจัดการความเสี่ยงจากอัคคีภัยในพื้นที่ชุมชนแออัด เป็นการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกจากกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ หน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานภาคเอกชน และประชาชน จำนวน 20 คน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก แล้วนำมาพรรณนาหาข้อสรุปอย่างเป็นระบบมีเหตุผลอ้างอิงทฤษฎีดำเนินการจัดระเบียบข้อมูล</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัญหาชุมชนที่แออัดเป็นบทสะท้อนสภาพทางกายภาพที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงสูงต่อการเกิดปัญหาอัคคีภัยที่ชัดเจนจากวิถีชีวิตแลพคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ 2) ปัญหาและอุปสรรคที่มีต่อการจัดการความเสี่ยงจากอัคคีภัย มีผลมาจากลักษณะของสภาพพื้นที่ชุมชนที่แออัดของบ้านเรือนที่กระจายตัว โดยไม่มีการวางแผนผังล่วงหน้า ไม่มีการจัดเตรียมระบบสาธารณูปโภค ซึ่งล้วนส่งผลต่อการระงับอัคคีภัยเบื้องต้นของชุมชน พร้อมทั้งการขาดความรู้ ความเข้าใจในส่วนของแผนการป้องกันและระงับอัคคีภัย ซึ่งล้วนส่งผลต่อการระงับอัคคีภัยเบื้องต้นของชุมชน และ 3) แนวทางการจัดการความเสี่ยงจากอัคคีภัยในพื้นที่ชุมชนแออัด โดยเฉพาะชุมชนในการให้ความสนใจและส่งเสริมการป้องกันอัคคีภัยจากการจัดการความรู้ที่ถูกต้อง เหมาะสมกับบริบทของชุมชน จากการส่งเสริมให้ความรู้ที่เหมาะสมจากการเตรียมความพร้อม และการป้องกันอัคคีภัยภาคปฏิบัติ พร้อมทั้งความร่วมมือของภาคส่วนต่าง ๆ โดยมุ่งเน้นการปลูกจิตสำนึกและสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในชุมชนในการให้ความรู้ สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในการป้องกันและระงับอัคคีภัยต่อไป</p> ธมนวรรณ เสมี, ตรีเนตร ตันตระกูล Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/264131 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700 ผลการเรียนรู้เพลงพัดชาและเพลงลาฆูวอด้วยโปรแกรม Sibelius ที่มีต่อทักษะการจeและทักษะการบรรเลงเปียโนของเด็กอายุ 9-12 ปี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/266545 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการเรียนรู้เพลงพัดชาและเพลงลาฆูดูวอด้วยโปรแกรม Sibelius ที่มีต่อ 1) ทักษะการจำ 2) ทักษะการบรรเลง และ 3) เพื่อเปรียบเทียบความสนใจในการบรรเลงบทเพลง กลุ่มเป้าหมายคือเด็กอายุระหว่าง 9-12 ปี ที่เรียนหลักสูตรเปียโนระดับพื้นฐานของโรงเรียนแปซิฟิกโลกดนตรีและศิลปะ จังหวัดสงขลา จำนวน 12 คน คัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง ที่มีเครื่องเปียโนและผู้ปกครองให้การสนับสนุน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษามี 5 ชนิด 1) เพลงพัดชาและเพลงลาฆูดูวอเรียบเรียงสำหรับเปียโนด้วยโปรแกรม Sibelius 2) แผนการฝึกเพลงพัดชาและเพลงลาฆูดูวอ 3) แบบประเมินทักษะการจำ 4) แบบประเมินทักษะการบรรเลง 5) แบบประเมินความสนใจการฝึกบทเพลง วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติการวิเคราะห์ความแปรปรวนด้วยเทคนิค Repeated Measures Designs และวิเคราะห์เปรียบเทียบความแตกต่าง One-Way Anova ผลการวิจัยพบว่า<br />1) ผลของการเรียนรู้เพลงพัดชาและเพลงลาฆูดูวอด้วยโปรแกรม Sibelius ที่มีต่อทักษะการจำของเด็ก มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01<br />2) ผลของการเรียนรู้เพลงพัดชาและเพลงลาฆูดูวอด้วยโปรแกรม Sibelius ที่มีต่อทักษะการบรรเลง มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01<br />3) ผลการเปรียบเทียบความสนใจต่อการเรียนรู้มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01<br />ข้อค้นพบจากงานวิจัยคือรูปแบบการฝึกบทเพลง 3T for AMP ในการส่งเสริมให้เด็กมีความสนใจในการฝึกบทเพลง ที่ช่วยเพิ่มทักษะการจำและทักษะการบรรเลงอย่างมีนัยสำคัญ นำไปใช้ประโยชน์ในการฝึกเพลงต่าง ๆ ที่มีความยากและซับซ้อนได้</p> จักรวิดา เหล็กนิ่ม, คมสันต์ วงค์วรรณ์, เกษตรชัย และหีม Copyright (c) 2023 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/266545 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700 การศึกษาผลการให้คำปรึกษากลุ่มเพื่อเสริมสร้างการตระหนักรู้ทางอารมณ์ของนักศึกษาวิชาชีพครู https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/273865 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างรูปแบบการให้คำปรึกษากลุ่มเพื่อเสริมสร้างการตระหนักรู้ทางอารมณ์ของนักศึกษาวิชาชีพครู 2) เปรียบเทียบการตระหนักรู้ทางอารมณ์ของนักศึกษาวิชาชีพครูที่เข้าร่วมการให้คำปรึกษากลุ่มในระยะก่อนทดลอง หลังทดลอง และติดตามผล กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือนักศึกษาวิชาชีพครูมหาวิทยาลัยราชภัฏในจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างจำนวน 460 คนและนักศึกษาวิชาชีพครูที่มีค่าเฉลี่ยการตระหนักรู้ทางอารมณ์ต่ำกว่าเปอร์เซนไทล์ที่ 25 ลงมา จำนวน 8 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) แบบวัดการตระหนักรู้ทางอารมณ์ที่มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.91 2) รูปแบบการให้คำปรึกษากลุ่มเพื่อเสริมสร้างการตระหนักรู้ทางอารมณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ความแปรปรวนพหุคูณทางเดียวแบบวัดซ้ำ <br />ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1) รูปแบบการให้คำปรึกษากลุ่มจำนวน 10 ครั้ง ครั้งที่ 1 การสร้างสัมพันธภาพ ครั้งที่ 2 การมีสติรับรู้ทางด้านร่างกาย ครั้งที่ 3 การระบุอารมณ์ความรู้สึก ครั้งที่ 4-5 การวิเคราะห์อารมณ์ความรู้สึก ครั้งที่ 6-7 การตระหนักในอารมณ์ของตนเองและผู้อื่น ครั้งที่ 8-9 การแสดงออกทางอารมณ์ ครั้งที่ 10 การยุติการให้คำปรึกษา 2) นักศึกษาวิชาชีพครูที่เข้าร่วมการให้คำปรึกษากลุ่มในระยะหลังทดลองและระยะติดตามผลมีการตระหนักรู้ทางอารมณ์สูงกว่าระยะก่อนทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 กระบวนการให้คำปรึกษากลุ่มที่มีการบูรณาการเทคนิค การให้คำปรึกษากลุ่มที่มีประสิทธิภาพส่งผลให้นักศึกษาเกิดประสบการณ์เรียนรู้ในด้านความคิด ความรู้สึกและพฤติกรรมทำให้เกิดการตระหนักรู้ทางอารมณ์ที่สูงขึ้น</p> อภิชาติ มุกดาม่วง Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/273865 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700 แนวทางการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ด้านการขนส่งมวลชนภายใต้แนวคิด เมืองอัจฉริยะ: กรณีศึกษาจังหวัดภูเก็ต https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/272829 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความสำคัญการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ด้านการขนส่งมวลชนภายใต้แนวคิดเมืองอัจฉริยะ 2) เพื่อเปรียบเทียบแนวทางการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ ด้านการขนส่งมวลชนภายใต้แนวคิดเมืองอัจฉริยะจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 3) เพื่อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ด้านการขนส่งมวลชนภายใต้แนวคิดเมืองอัจฉริยะ: กรณีศึกษาจังหวัดภูเก็ต เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต การศึกษานี้ รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Methods Research) โดยการวิจัยการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ประชากรที่ใช้ในการศึกษา คือ ประชาชนผู้ที่อาศัยอยู่ในจังหวัดภูเก็ต และผู้ให้ข้อมูลหลัก (key informant) ทั้ง 3 ภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง จำนวน 7 คน โดยนำข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างขนาด 400 ตัวอย่าง ใช้แบบสอบถาม และสัมภาษณ์เชิงลึก เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ทำการตรวจสอบคุณภาพของแบบสอบถาม 2 ขั้นตอน คือ การทดสอบความเที่ยงตรง พบว่า คำถามทุกข้อ ได้ค่า IOC &gt; 0.5 และค่าดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 1.00 และการตรวจสอบค่าความเชื่อมั่นจากกลุ่มตัวอย่างเสมือนจริงที่ใกล้เคียงกับกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 40 ตัวอย่าง ซึ่งได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาสูงกว่า .70 ในทุกด้าน สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วย สถิติพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติอ้างอิงสำหรับการทดสอบสมมติฐานโดยใช้โดยการวิเคราะห์เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยระหว่างกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มที่เป็นอิสระจากกันใช้ค่า t- test Independent การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) ทดสอบค่าเฉลี่ยรายคู่โดยใช้วิธี Least -Significant Different (LSD) และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า<br />1. ระดับความสำคัญคุณภาพแนวทางการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ด้านการขนส่งมวลชนภายใต้แนวคิดเมืองอัจฉริยะโดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ได้แก่ ด้านความพร้อม (Availability) รองลงมา ด้านความปลอดภัย (Security) และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด ได้แก่ ด้านการเข้าถึง (Accessibility<br />2. แนวทางการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ด้านการขนส่งมวลชนกับปัจจัยส่วนบุคคลแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05<br />3. แนวทางการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ด้านการขนส่งมวลชนภายใต้แนวคิดเมืองอัจฉริยะ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตจากจัดลำดับความสำคัญแนวทางการแนวทางการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ด้านการขนส่งมวลชนภายใต้แนวคิดเมือง ผู้ให้ข้อมูลหลักให้ความสำคัญ ด้านความพร้อม (Availability) ด้านความปลอดภัย (Security) และด้านข้อมูลข่าวสาร (Information)</p> อัมพร ช่วยสุข, ณัฐพงษ์ แต้มแก้ว Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/272829 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700 กลยุทธการจัดการความเสี่ยงทางการคลังของเทศบาลเมืองจังหวัดภาคตะวันตกของประเทศไทย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/264174 <p>ความเสี่ยงทางการคลังเป็นปัจจัยหนึ่งของความอ่อนแอทางการคลังและการจัดการการคลังที่ด้อยประสิทธิภาพที่ส่งผลให้เทศบาลอาจจะต้องเผชิญกับภาวะวิกฤตการคลังในอนาคต จากการขาดดุลงบประมาณอย่างต่อเนื่องจนเกิดผลกระทบต่อสถานะทางการเงินหรือสภาพคล่องของเทศบาลและส่งผลให้เทศบาลต้องก่อหนี้เพิ่มขึ้นจำนวนมาก หรือมีระดับหนี้คงค้างเพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติเกินกว่าระดับที่กำหนด บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อประเมินการจัดการความเสี่ยงทางการคลังของเทศบาลเมืองจังหวัดภาคตะวันตกของประเทศไทย 2) เพื่ออธิบายความสัมพันธ์ระหว่าง กลยุทธ์การปรับตัวเพื่อรองรับการจัดการความเสี่ยงทางการคลังของเทศบาลเมืองกับปัจจัยที่มีผลต่อการจัดการความเสี่ยงทางการการคลังท้องถิ่น ของเทศบาลเมือง 3) เพื่อนำเสนอแบบจำลองของกลยุทธ์การปรับตัวเพื่อรองรับการจัดการความเสี่ยงทางการคลังท้องถิ่นของเทศบาลเมือง การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยผสมผสาน ประกอบด้วยการ วิจัยเชิงคุณภาพ โดยการวิจัยเอกสารและการสัมภาษณ์เจาะลึกและการสังเกตุแบบไม่มีส่วนร่วม ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ประกอบด้วย ผู้บริหาร ของเทศบาลเมืองกลุ่มตัวอย่าง รวม 21 คน แปลผลการวิจัยด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาและการตีความ การวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วยผู้บริหาร ข้าราชการ สมาชิกสภาเทศบาล จำนวน 400 คน ทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วย สถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์สัมประสิทธิสหสัมพันธ์ เพียรสัน และสมการถดถอยเชิงพหุ</p> <p>ผลการวิจัย 1) ด้านการจัดการความเสี่ยงทางการคลังของเทศบาลเมืองจังหวัดภาคตะวันตกของประเทศไทยพบว่าอยู่ในระดับมากที่สุด 2) ด้านความสัมพันธ์ระหว่างกลยุทธ์การปรับตัวเพื่อรองรับการจัดการความเสี่ยงทางการคลังกับปัจจัยที่มีผลต่อการจัดการความเสี่ยง พบว่า มีความสัมพันธ์เชิงบวกระดับปานกลางถึงปานกลางค่อนข้างสูงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.01 3) ปัจจัยที่มีผลต่อการจัดการความเสี่ยงทางการการคลังท้องถิ่น สามารถพยากรณ์กลยุทธ์การปรับตัวเพื่อรองรับการจัดการความเสี่ยงทางการคลังของเทศบาลเมือง ร้อยละ 64.1 </p> กำธร สร้อยพรรณา, สุพัตรา ยอดสุรางค์, วรสิทธิ์ เจริญพุฒ, เชาวฤทธิ์ เชาว์แสงรัตน์ Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/264174 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700 การจัดการนวัตกรรมการให้บริการผู้โดยสาร ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/267281 <p>รัฐบาลได้กำหนดให้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเป็นท่าอากาศยานหลักของประเทศ เป็นศูนย์กลางทางด้านการบินในภูมิภาคอาเซียน มีบทบาทเป็น International Gateway โดยผลักดันให้เป็น Transit &amp; Transfer Hub ของภูมิภาค จึงจำเป็นต้องมีการนำรูปแบบการบริหารจัดการนวัตกรรมการให้บริการผู้โดยสารที่มีประสิทธิภาพมาใช้ในการดำเนินงาน ให้สอดคล้องกับริบทการแข่งขันทางด้านการบินที่มีความรุนแรงในสถานการณ์ปัจจุบัน และรองรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ (1) เพื่อวิเคราะห์บริบทการจัดการนวัตกรรมการให้บริการผู้โดยสาร ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (2) เพื่อระบุปัญหาการจัดการนวัตกรรมการให้บริการผู้โดยสาร ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และ (3) เพื่อเสนอรูปแบบการจัดการนวัตกรรมการให้บริการผู้โดยสาร ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 16 คน ได้แก่ พนักงาน บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) จำนวน 6 คน และผู้โดยสารที่มาใช้บริการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จำนวน 10 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก และการสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วมและไม่มีส่วนร่วม วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์แก่นสาระ</p> <p>ผลการวิจัย (1) บริบทการจัดการนวัตกรรมการให้บริการผู้โดยสาร ประกอบด้วย นโยบาย หลักเกณฑ์ หลักการ กระบวนการดำเนินงาน และหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านการจัดการนวัตกรรม (2) ปัญหาการจัดการนวัตกรรม ประกอบด้วย (2.1) ด้านผู้นำองค์กร พบว่า การตัดสินใจล่าช้าไม่สอดคล้องกับบริบทการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากมีหลายขั้นตอนในการดำเนินงาน (2.2) ด้านกลยุทธ์องค์กร พบว่า การนำกลยุทธ์มาปฏิบัติล่าช้า เนื่องจากผลกระทบจากวิกฤติโควิด – 19 ที่มีการปิดน่านฟ้าทั่วโลก (2.3) ด้านการมีส่วนร่วม พบว่า พนักงานในระดับปฏิบัติขาดการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ (2.4) ด้านวัฒนธรรมองค์กร พบว่า ระบบอุปถัมภ์เป็นอุปสรรคที่สำคัญในการนำนวัตกรรมมาใช้ (2.5) ด้านโครงสร้างองค์กร พบว่า โครงสร้างขององค์กรที่มีขนาดใหญ่ ยึดติดกับระบบราชการ ทำให้เกิดความล่าช้าในการดำเนินงาน และ (3) รูปแบบการจัดการนวัตกรรมการให้บริการผู้โดยสาร คือ การริเริ่มในประเด็น ดังนี้ (3.1) ผู้นำต้องเป็นมืออาชีพ มีภาวะผู้นำเชิงยุทธศาสตร์ เป็นนักบริหารการเปลี่ยนแปลง (3.2) มีการวางแผนกลยุทธ์ให้ชัดเจน ให้สอดคล้องกับบริบทของสิ่งแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลง (3.3) เปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้เสียได้มีส่วนร่วมในการจัดการนวัตกรรม (3.4) สร้างค่านิยมที่เหมาะสมต่อการพัฒนาองค์กร ความรู้คู่คุณธรรม และ (3.5) โครงสร้างขององค์กรต้องมีขนาดที่เหมาะสม ไม่เป็นภาระงบประมาณ ระบบสื่อสารที่ชัดเจน</p> สิทธินนท์ ปานนิมิตจิตสมาน, ภคมน โภคะธีรกุล, ฐิติมา โห้ลำยอง, เชาวฤทธิ์ เชาว์แสงรัตน์ Copyright (c) 2023 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/267281 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อคุณภาพชีวิตผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลือง โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/274434 <p>การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงวิเคราะห์ (A cross-sectional analysis) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคุณภาพชีวิตผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลือง และศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อคุณภาพขชีวิตผู้ป่วยมะเร็ง<br />ต่อมน้ำเหลืองในโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง อายุ 18 ปีขึ้นไป ยินยอมให้ความร่วมมือตอบแบบสอบถาม เกณฑ์คัดออก คือ ผู้ป่วยมีไม่สามารถสื่อสารและเข้าใจภาษาไทยได้ ขนาดกลุ่มตัวอย่างคำนวณโดยใช้โปรแกรม G*Power จำนวน 150 ราย สุ่มเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยใช้หลักความน่าจะเป็น (probability) ด้วยวิธีหยิบฉลาก เครื่องมือ คือ แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคลและแบบวัดคุณภาพชีวิต The Functional Assessment of Cancer Therapy-General Version 4 ฉบับ ภาษาไทย (FACT - G) ตรวจสอบความตรงของเนื้อหา CVI เท่ากับ 0.96, 0.89 ตามลำดับ ส่วนค่าความเที่ยงของการวัด (Reliability) เท่ากับ 0.87, 0.90 ตามลำดับ วิเคราะห์อำนาจทำนายด้วยสถิติวิเคราะห์ถดถอยเชิงเส้นพหุคูณ (Multiple Linear Regression)</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองมีคุณภาพชีวิตอยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 73.4 และปัจจัยด้านภาวะแทรกซ้อนหลังได้รับยาเคมีบำบัด และปัจจัยด้านชนิดของมะเร็ง มีอิทธิพลร่วมกันทำนายคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ร้อยละ 33.2 (R<sup>2</sup>=.332) และภาวะแทรกซ้อนหลังได้รับยาเคมีบำบัด (β=-.557) มีอิทธิพลต่อคุณภาพชีวิตผู้ป่วยสูงกว่าชนิดของมะเร็ง (β =-.141) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ P&lt;.05</p> <p>สรุปผลการวิจัย คุณภาพชีวิตผู้ป่วยมะเร็งส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลาง ปัจจัยด้านภาวะแทรกซ้อนหลังได้รับยาเคมีบำบัด และชนิดของมะเร็งมีอิทธิพลต่อคุณภาพชีวิต และพบว่าอาการของภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นหลังได้รับยาเคมีบำบัด คือ ผมร่วง อ่อนเพลีย การรับรสและกลิ่นเปลี่ยนไป ความอยากอาหารลดลง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก และมีแผลในปาก</p> อุไรวรรณ ขาวผ่อง, สดากาญจน์ เอี่ยมจันทร์ประทีป Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/274434 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาชุดทดสอบอย่างง่ายในการตรวจวิเคราะห์แกมมา-ไฮดรอกซี บูเทอริก แอซิด (Gamma-hydroxybutyric acid, GHB) และแกมมา- บิวทีโรแลคโทน (Gamma-butyrolactone, GBL) ในเครื่องดื่ม สำหรับการประยุกต์ใช้ทางนิติวิทยาศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/263657 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาและพัฒนาชุดทดสอบอย่างง่ายในการตรวจวิเคราะห์สาร Gamma-hydroxybutyric acid (GHB) และ Gamma-butyrolactone (GBL) ในเครื่องดื่ม 2) เพื่อศึกษาผลของสภาวะการวิเคราะห์ที่เหมาะสม และการรบกวนของสีของเครื่องดื่มในการวิเคราะห์ด้วยชุดทดสอบอย่างง่าย รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงทดลองโดยใช้วิธีการวัดสีเพื่อตรวจหาสารประกอบเชิงซ้อนสีม่วงจากปฏิกิริยาของการทดสอบเฟอริกไฮดรอกซาเมตของ GHB และ GBL ได้สารประกอบที่มีสีม่วง ตัวอย่างที่ใช้เป็น GHB และ GBL ที่เติมลงในเครื่องดื่มที่นำมาทดสอบประกอบไปด้วย น้ำเปล่า, เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 5%, น้ำโซดา และน้ำอัดลมสีต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น 10 ชนิด ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ชุดทดสอบสามารถตรวจวิเคราะห์ได้ทั้ง GHB และ GBL</li> <li>ค่าความเข้มข้นต่ำสุดที่วิเคราะห์ได้ (LOD) คือ 0.47 มก./มล. และ 1.05 มก./มล. สำหรับ GHB และ GBL ตามลำดับ</li> <li>ผลการทดสอบพบว่าไม่มีการรบกวนของแอลกอฮอล์ คาร์บอนไดออกไซด์ที่ละลายในน้ำสารให้ความหวาน และสีของเครื่องดื่มภายใต้สภาวะการวิเคราะห์</li> </ol> <p>ชุดทดสอบที่พัฒนาขึ้นเป็นวิธีที่รวดเร็ว ใช้งานง่าย และพกพาสะดวก ผลจากการวิจัยนี้แสดงให้เห็นศักยภาพของชุดทดสอบในการตรวจวิเคราะห์ทางนิติวิทยาศาสตร์ของ GHB และ GBL ที่เติมลงในเครื่องดื่ม</p> ศิริรัตน์ ชูสกุลเกรียง, ศุภชัย ศุภลักษณ์นารี, ปิยาภา จันทร์มล, อรทัย เขียวพุ่ม Copyright (c) 2023 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/263657 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700 การศึกษาและการจัดทำแผนการสร้างฝายมีชีวิต ด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/264618 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพพื้นที่ที่เหมาะสมในการสร้างฝายมีชีวิตโดยกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม 2) เพื่อจัดทำแผนการสร้างฝายมีชีวิตโดยกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ พื้นที่วิจัย คือชุมชนบ้านหัวโกรก หมู่ที่ 7 ตำบลพญาเย็น อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิและภาคประชาสังคมที่ให้ข้อมูลการสัมภาษณ์เชิงลึก จำนวน 13 คน ใช้วิธีการคัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 2 ชนิด คือ 1) แบบสำรวจข้อมูล 2) แบบสัมภาษณ์เชิงลึก การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การวิเคราะห์เนื้อหาแล้วเขียนบรรยายเชิงพรรณนา</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 1 พบว่า พื้นที่บริเวณชุมชนบ้านหัวโกรก หมู่ที่ 7 ตำบลพญาเย็น อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา โดยมีปัจจัยที่เหมาะสมต่อการสร้างฝายมีชีวิตประกอบด้วย ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม มีคลองหัวโกรกที่เคยมีน้ำไหลตลอดทั้งปี และปัจจัยด้านสังคม พื้นที่ทางทิศใต้ของคลองหัวโกรก ติดกับศูนย์ปฏิบัติธรรมมหาจุฬาอาศรม ซึ่งเป็นองค์กรทางศาสนา ที่มีภาคประชาสังคมที่มีศักยภาพสามารถเป็นแกนหลักในการสร้างพลังขับเคลื่อนและการประสานความร่วมมือจากประชาชนในชุมชนและภาคประชาสังคมได้เป็นอย่างดี </span>2. ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 2 พบว่า การจัดทำแผนการสร้างและพัฒนาฝายมีชีวิตโดยกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม แบ่งการดำเนินงานเป็น 3 ระยะ คือ การทำเวทีประชาเข้าใจ เป็นการจัดประชุมโดยกระบวนการมีส่วนร่วม การใช้พลังจิตอาสา เป็นการร่วมลงมือปฏิบัติตามแผนงานโครงการที่กำหนดไว้ ชุมชนและภาคประชาสังคมเกิดจิตสำนึกในการช่วยเหลือสังคม ทำให้ชุมชนมองเห็นคุณค่าความสำคัญของการมีทรัพยากรน้ำ และการร่วมสร้างกติกาการใช้ประโยชน์จากฝายมีชีวิต เพื่อกำกับดูแลการใช้ประโยชน์ การบำรุงรักษาและการพัฒนาให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม ข้อค้นพบจากการวิจัยนี้ ได้รูปแบบการบริหารจัดการน้ำร่วมกันของชุมชน เพื่อการอุปโภค บริโภค การเกษตร การฟื้นฟูระบบนิเวศ และเป็นแหล่งเรียนรู้ของชุมชน</p> เทวิน สมยาเย็น, บุญเลิศ วงค์โพธิ์, วินัย วีระวัฒนานนท์, ธัศษณพัฒน์ ปานพรม Copyright (c) 2023 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/264618 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700 กลยุทธ์การธำรงรักษาและความจงรักภักดีต่อองค์กรของบุคลากร สังกัดมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/273102 <p>บทความนี้เป็นวิจัยแบบผสมผสานโดยการวิจัยเชิงปริมาณและวิจัยเชิงคุณภาพมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบกลยุทธ์การธำรงรักษาและความจงรักภักดีต่อองค์กรของบุคลากรสังกัดมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล 2) เพื่อพัฒนากลยุทธ์การธำรงรักษาและความจงรักภักดีต่อองค์กร ของบุคลากรสังกัดมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล และ 3) เพื่อประเมินและยืนยันกลยุทธ์การธำรงรักษาและความจงรักภักดีต่อองค์กรของบุคลากรสังกัดมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลที่มีความเหมาะสมมีความสอดคล้อง ความมีประโยชน์ มีความเป็นไปได้ กลุ่มตัวอย่าง คือ บุคลากรสายสนับสนุน 370 คน ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 11 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามและการสัมมานาอ้างอิงผู้เชี่ยวชาญ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ มัชฌิมเลขคณิตส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจและวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า <br />1) องค์ประกอบกลยุทธ์การธำรงรักษาและความจงรักภักดีต่อองค์กรของบุคลากรสังกัด มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล 4 องค์ประกอบ คือ 1. องค์กรที่มั่นคง 2. การบริหารและการจัดการองค์กร 3. การจัดการทรัพยากรมนุษย์ และ 4. ประสบการณ์และความก้าวหน้าในอาชีพ <br />2) กลยุทธ์การธำรงรักษาและความจงรักภักดีต่อองค์กรของบุคลากรสังกัดมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล 4 กลยุทธ์ คือ กลยุทธ์ที่ 1 การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่มั่นคงและยั่งยืน กลยุทธ์ที่ 2 การบริหารและการจัดการองค์กรสู่ความสำเร็จ กลยุทธ์ที่ 3 การจัดการทรัพยากรมนุษย์อย่างยั่งยืน และกลยุทธ์ที่ 4 การสร้างความมั่นคงและความก้าวหน้าในอาชีพ <br />3) ผลการประเมินและยืนยันกลยุทธ์การธำรงรักษาและความจงรักภักดีต่อองค์กรของบุคลากร สังกัดมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล 4 กลยุทธ์ มีความเหมาะสม มีความสอดคล้อง ความมีประโยชน์และมีความเป็นไปได้</p> ชัยณรงค์ สิริพรปรีดา, อุษา งามมีศรี, พิภพ วชังเงิน Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/273102 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาแนวทางการจัดการแบบมีส่วนร่วมเพื่อลดความขัดแย้ง ของผู้พักอาศัยในชุมชน https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/264181 <p>การวิจัยวัตถุประสงค์ 1) ศึกษาลักษณะสภาพปัจจุบันในการจัดการแบบมีส่วนร่วมเพื่อลดความขัดแย้งของผู้พักอาศัยในชุมชน 2) ศึกษาปัญหาและอุปสรรคที่มีต่อการจัดการแบบมีส่วนร่วมเพื่อลดความขัดแย้งของผู้พักอาศัยในชุมชน และ3) เพื่อศึกษาแนวทางการจัดการแบบมีส่วนร่วมเพื่อลดความขัดแย้งของผู้พักอาศัยในชุมชน เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์ โดยผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ คณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุด จำนวน 10 คน ผู้บริหารของบริษัทรับบริหารนิติบุคคลอาคารชุดหรือผู้จัดการอาคารชุดพักอาศัย จำนวน 10 คน และผู้อยู่อาศัยในอาคารชุด จำนวน 10 คน รวมทั้งสิ้น 30 คน โดยใช้วิธีการเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive sampling) ทำวิเคราะห์ข้อมูลโดยวิธีการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p>ผลจากการวิจัยพบว่า 1) ลักษณะสภาพปัจจุบันพบว่า 1.1) ความเป็นส่วนตัว 1.2) จำนวนผู้อยู่อาศัย 1.3) สถานะทางสังคม 1.4)วัตถุประสงค์การอยู่อาศัย และ 1.5) สภาพแวดล้อม ส่งผลต่อสภาพปัจจุบันในการจัดการแบบมีส่วนร่วมเพื่อลดความขัดแย้งของผู้พักอาศัยในชุมชน 2) ปัญหาและอุปสรรคที่มีต่อการจัดการแบบมีส่วนร่วมเพื่อลดความขัดแย้งของผู้พักอาศัยในชุมชน มีผลมาจาก 2.1)กฎหมายเกี่ยวกับอาคารชุด 2.2) สภาพแวดล้อมทางสังคม 2.3) สภาพเศรษฐกิจ 2.4) พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ และ2.5) การขัดแย้งด้านผลประโยชน์ และ3)แนวทางการจัดการแบบมีส่วนร่วมเพื่อลดความขัดแย้งของผู้พักอาศัยในอาคารชุด มีการประชุมปรับฟังความคิดเห็น โดยสร้างการรับรู้ถึงสิทธิในการจัดการการเงินในชุมชนเพื่อเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้พักอาศัยต่อไป</p> กิตตินันท์ ขำดี, อุดม สมบูรณ์ผล Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/264181 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดของดาลโครซ เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการบรรเลงดนตรีไทยอย่างสร้างสรรค์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/269055 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างและประเมินประสิทธิภาพของกิจกรรมการเรียนรู้ 2) เปรียบเทียบความสามารถในการบรรเลงดนตรีไทยอย่างสร้างสรรค์ก่อนเรียนและหลังเรียน 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดของดาลโครซ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดของดาลโครซ 2) แบบวัดความสามารถในการบรรเลงดนตรีไทยอย่างสร้างสรรค์ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดของดาลโครซ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดของดาลโครซเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการบรรเลงดนตรีไทยอย่างสร้างสรรค์มีทั้งหมด 4 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นที่ 1 การฟังเพลงเพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนสนใจในบทเพลงและสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสมองและระบบ+ประสาท ขั้นที่ 2 การตอบสนองต่อเสียงด้วยการเคลื่อนไหวร่างกาย ขั้นที่ 3 การแก้ไขการตอบสนองและการแสดงออกด้วยการสังเกต ขั้นที่ 4 การใช้สัญลักษณ์ทางดนตรีในการนำเสนอประสบการณ์ทางดนตรีที่ผู้เรียนได้รับ 2) ความสามารถในการบรรเลงดนตรีไทยอย่างสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยภาพรวมมีประสิทธิภาพ 77.11/83.89 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ 75/75 และความสามารถในการบรรเลงดนตรีไทยอย่างสร้างสรรค์ของนักเรียนที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดของดาลโครซของนักเรียนหลังสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 3) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดของดาลโครซและการจัดการเรียนการสอนในระดับมากที่สุด </p> ชินวัตร อ่อนสุ่น, อังคณา อ่อนธานี Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/269055 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700 The Impact of Reflective Videos for Learning About Research Methods: A pilot study of a reflective video activity during Covid-19 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/263677 <p>Teaching research methods has proved to be a very challenging task. Scholars have noted that lectures and exams may not be optimal for teaching students how to conduct proper research (Howard &amp; Brady, 2015; Lewthwaite &amp; Nind, 2016). As research projects can vary greatly, it can also be difficult to teach a clear process and framework that students can reference when conducting their own research projects. Therefore, this article aimed to study the use of reflective videos for teaching research methods, and if it helped students better engage with the course content, reflect on what they learned, and understand how to conduct proper research. The results of the study indicate that peer-to-peer reflective video activities did not lead to a significantly better engagement and understanding of research methods among all participating students, but did lead some students to more critically reflect on their mindsets and attitudes toward research methods. Most of the participants (n =21) reported that the reflective videos were a good way to review and recall what was learned, as to well as discover new ways to look at how to conduct proper research.</p> Ray Wang Copyright (c) 2023 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/263677 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700 การศึกษาสถานภาพการดูแลเด็กเล็ก กรณีศึกษาสถานรับเลี้ยงเด็ก/ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่ดำเนินการในสังคมไทย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/264642 <p>การศึกษาวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษาสถานภาพการดำเนินการของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในสังคมไทย และ 2) ศึกษาแนวทางการสนับสนุน ส่งเสริมการดูแลเด็กเล็กของศูนย์ ฯ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลในพื้นที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จำนวน 8 แห่ง การสังเคราะห์เอกสาร การสัมภาษณ์เชิงลึกในกลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลัก ประกอบด้วย ครูผู้ดูแล เจ้าหน้าที่ในสังกัดที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ผู้บริหารศูนย์ ฯ และผู้ปกครอง <br />ผลการศึกษาพบว่า การดำเนินการขับเคลื่อนและพัฒนาเด็กปฐมวัยในสังคมไทย มีความร่วมมือการดำเนินงานระหว่าง 4 กระทรวง ประกอบด้วย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ภายใต้การดูแลของหน่วยงานโดยเฉพาะในแต่ละช่วงวัย 0-5 ปี โดยการดำเนินการของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 5 ศูนย์ ฯ มีนโยบายแนวทางการสนับสนุน กำกับการดูแลการดำเนินงานแตกต่างกัน ภายใต้การสังกัดหน่วยงานที่แตกต่างกัน และ 3 ศูนย์ ฯ ที่ไม่สังกัดหน่วยงาน ใช้แนวทางการดำเนินการภายใต้นโยบายของภาครัฐกำกับการดำเนินการโดยไม่ได้รับการสนับสนุนใด ๆ จากหน่วยงาน<br />ข้อค้นพบและข้อเสนอแนะ 1.การดำเนินการของศูนย์ ฯ ที่จัดตั้งขึ้นในแต่ละพื้นที่เอื้ออำนวยการดูแล การสร้างเสริมความเข้มแข็งของเด็ก ๆ ในพื้นที่ 2.การดำเนินการของศูนย์ ฯ สร้างประโยชน์ต่อแรงงานสตรีในพื้นที่ได้อย่างชัดเจน 3.นโยบายการสนับสนุนของหน่วยงานที่สังกัด มีความแตกต่างกัน มีจุดอ่อน จุดแข็งที่แตกต่างกัน แต่มีส่วนเอื้อที่สำคัญในการแบ่งเบาภาระผู้ปกครอง และสนับสนุนการดูแลเด็กเล็ก 4.แนวทางการสนับสนุน หน่วยงานที่สังกัดควรมีแนวทางสนับสนุนในรูปแบบอื่น ๆ เพิ่มขึ้น นอกไปจากการสนับสนุนการจัดตั้ง การจดทะเบียนที่ถูกต้อง </p> ชุลีรัตน์ เจริญพร Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/264642 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700 องค์ประกอบการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ของโรงเรียนมัธยมศึกษาตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/273202 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทราบองค์ประกอบการบริหารทรัพยากรมนุษย์ของโรงเรียนมัธยมศึกษาตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีและผลการยืนยันองค์ประกอบการบริหารทรัพยากรมนุษย์ของโรงเรียนมัธยมศึกษาตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 331 โรงเรียน ผู้ให้ข้อมูลโรงเรียนละ 1 คน คือผู้อำนวยการสถานศึกษา รวมทั้งสิ้น 331 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง แบบสอบถามความคิดเห็นและแบบยืนยันองค์ประกอบการบริหารทรัพยากรมนุษย์ของโรงเรียนมัธยมศึกษาตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ความถี่ ร้อยละ มัชฌิมเลขคณิตและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจด้วยโปรแกรมสำเร็จรูป และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า<br />1. องค์ประกอบการบริหารทรัพยากรมนุษย์ของโรงเรียนมัธยมศึกษาตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี มี 6 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) การส่งเสริมความก้าวหน้าพัฒนาสมรรถนะใหม่ 2) การบริหารทรัพยากรมนุษย์ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล 3) การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ภายใต้ระบบคุณธรรม 4) การสรรหาเชิงรุกคัดเลือกคนดีและเก่งเข้าทำงาน 5) การสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่มุ่งผลสัมฤทธิ์เพื่อประชาชน 6) การพัฒนาผู้นำที่มีสมรรถนะสูง <br />2. ผลการยืนยันองค์ประกอบการบริหารทรัพยากรมนุษย์ของโรงเรียนมัธยมศึกษาตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี พบว่า มีความถูกต้อง เหมาะสม เป็นไปได้และเป็นประโยชน์ต่อการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน</p> พิชามญฐ์ แซ่จั่น Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/273202 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700 Boosting Digital Entrepreneurial Career Intention of Higher Education Students from the BBA Perspectives https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/264252 <p>This study aimed to develop a causal relationship model for the antecedents that boosted digital entrepreneurial career intention among BBA students in Thailand. Quantitative research was conducted using a self-administered questionnaire with validity from 0.67 to 1.00 and reliability 0.760 to 0.895. The study sample of 400 business management students was determined according to the sample size criterion in the structural equation model (SEM) analysis of Hair et al. (2014) and selected by nonprobability and purposive random sampling. The collected data were analysed for demographic information by descriptive statistics and partial least squares structural equation modeling (PLS-SEM) was used to test and validate the hypotheses. Findings revealed that conscientiousness through intrinsic motivation to become an entrepreneur was the most influential antecedent for digital entrepreneurial career intention. Implications of this study are significant for educational institutions, business incubators and other stakeholders. Areas for future research are also highlighted.</p> Thadathibesra Phuthong Copyright (c) 2023 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/264252 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700 รูปแบบการลดต้นทุนการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม กรณีศึกษา เกษตรกรสมาชิกศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดขอนแก่น https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/263858 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1 เพื่อศึกษาต้นทุนทั้งหมดในการเลี้ยงไหมของเกษตรกรเลี้ยงไหม 2 เพื่อศึกษารายได้ของเกษตรกรในการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม และ 3 เพื่อศึกษารูปแบบวิธีดำเนินการลดต้นทุนและเปรียบเทียบรายได้จากกิจกรรมลดต้นทุน ในด้านการวิเคราะห์ จำแนก ต้นทุนของการเลี้ยงไหมของเกษตรกร รูปแบบการวิจัยเชิงผสมผสาน ใช้แนวคิดหรือทฤษฎี วิเคราะห์ห่วงโซ่คุณค่า หลักการบริหาร 4 M และ ทฤษฎีต้นทุนเป็นกรอบการวิจัย กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลัก คือ เกษตรกรปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ผู้เชียวชาญที่เกี่ยวข้องการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม จำนวน 17 คน.เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แบบสัมภาษณ์ 2) แบบสังเกตและการวิเคราะห์เนื้อหาแล้วเขียนบรรยายสรุปผลการวิจัยเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า<br />1. เกษตรกรมีต้นทุนในการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม 3 ต้นทุน ได้แก่ ต้นทุนทางตรง ต้นทุนผันแปร และ ต้นทุนแฝง 2. การปลูกหม่อนเลี้ยงไหมมีต้นทุนรวมที่สูงและส่งผลให้รายได้เกษตรกรลดน้อยลง 3. ผลวิจัยพบว่าวิธีการลดต้นทุนกระบวนการเลี้ยงไหม 3 รูปแบบ ได้แก่ 1) วิธีการประยุกต์นำทรัพยากรมาปรับใช้ 2) การนำผลผลิตส่วนเกินจากกระบวนการมาแปรรูปใช้ 3)การนำรูปแบบเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการ<br />ข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้ในส่วนรูปแบบการลดต้นทุนที่สำคัญได้แก่ 1) วิธีการประยุกต์นำทรัพยากรมาปรับใช้ 2)การนำผลผลิตส่วนเกินจากกระบวนการมาแปรรูปใช้ 3)การนำรูปแบบเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการ</p> ศุภณัฐ จรพุทธานนท์, ฐิตาพร สกุลหอม, ชลทิพย์ มินคำ, ธีระวัฒน์ จันทึก, ปภาวิน พชรโชติสุธี Copyright (c) 2023 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/263858 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700 การรับรู้ความรับผิดชอบต่อสังคมที่ส่งผลต่อความภักดีของผู้รับบริการ สายการบินต้นทุนต่ำในประเทศไทย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/265182 <p>ความรับผิดชอบต่อสังคมเป็นสิ่งที่ภาคธุรกิจทั่วโลกให้ความสนใจ แม้กระทั่งธุรกิจสายการบินต้นทุนต่ำที่เป็นธุรกิจเพื่อสังคม (CSR in process) ที่มีความสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิต อำนวยความสะดวกในการเดินทางซึ่งส่งผลต่อการเติบโตของห่วงโซ่อุปทานเศรษฐกิจในภาพรวม แต่ในทางกลับกันธุรกิจสายการบินก็เป็นธุรกิจที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม นโยบายความรับผิดชอบต่อสังคมจึงเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินธุรกิจที่ต้องทำควบคู่ไปกับการกิจกรรมในการหารายได้ และสร้างความยั่งยืนให้แก่ธุรกิจด้วยการเพิ่มจำนวนผู้รับบริการที่มีความภักดี การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) บรรยายสภาพทั่วไปของการรับรู้นโยบายความรับผิดชอบต่อสังคมที่ส่งผลความภักดีของผู้รับบริการสายการบินต้นทุนต่ำในประเทศไทย และ 2) ศึกษาอิทธิพลของการรับรู้นโยบายความรับผิดชอบต่อสังคมที่ส่งผลต่อความภักดีของผู้รับบริการสายการบินต้นทุนต่ำในประเทศไทย โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ ผู้ใช้บริการสายการบินต้นทุนต่ำ จำนวน 404 คน สถิติที่ใช้ 1) สถิติเชิงพรรณนาได้แก่ ค่าความถี่ค่า ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ 2) สถิติเชิงอนุมานเพื่อทดสอบสมมติฐานโดยใช้สถิติการวิเคราะห์ถดถอยพหุ</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) กลุ่มตัวอย่างในการศึกษามีการรับรู้ความรับผิดชอบต่อสังคมด้านการตลาดเกี่ยวกับประเด็นทางสังคมการตลาดมุ่งแก้ปัญหาสังคม ส่งเสริมการรับรู้ประเด็นปัญหาสังคม การบริจาคเพื่อการกุศล อาสาช่วยเหลือชุมชน และประกอบธุรกิจอย่างรับผิดชอบต่อสังคม ตามลําดับ โดยตัวแปรทุกตัวมีการกระจายตัวของข้อมูลเข้าใกล้โค้งปกติ แต่มีความโน้มเอียงไปทางค่ามาก 2) การรับรู้นโยบายความรับผิดชอบต่อสังคม ด้านการตลาดเกี่ยวกับประเด็นทางสังคม การตลาดมุ่งแก้ปัญหาสังคม การบริจาคเพื่อการกุศล และอาสาช่วยเหลือชุมชน ส่งผลต่อความภักดีของผู้รับบริการสายการบินต้นทุน อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 โดยตัวแปรอิสระทั้ง 4 ตัว ร่วมกันอธิบายอิทธิพลของการรับรู้ความรับผิดชอบต่อสังคมที่มีต่อต่อความภักดีของผู้รับบริการสายการบินต้นทุน ได้ร้อยละ 41</p> อาภาภรณ์ จิระกูลวัฒน์, วีระ วีระโสภณ, อรณัฏฐ์ นครศรี Copyright (c) 2023 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/265182 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700 การใช้พลังอำนาจของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการทำงานตามหลักภควันตภาพ ของโรงเรียนมัธยมศึกษา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/273299 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อทราบ 1) องค์ประกอบของการใช้พลังอำนาจของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา 2) องค์ประกอบของการทำงานตามหลักภควันตภาพของโรงเรียนมัธยมศึกษา และ 3) การส่งผลขององค์ประกอบการใช้พลังอำนาจของผู้บริหารต่อการทำงานตามหลักภควันตภาพของโรงเรียนมัธยมศึกษา รูปแบบการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ โรงเรียนมัธยมศึกษา จำนวน 96 โรงเรียน ผู้ให้ข้อมูลในแต่ละโรงเรียน ประกอบด้วย ผู้อำนวยการโรงเรียน หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ และกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 288 เครื่องมือวิจัย 1) แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง 2) แบบสอบถามความคิดเห็น สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ความถี่ ร้อยละ มัชฌิมเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน<br />ผลการวิจัยพบว่า <br />1. องค์ประกอบการใช้พลังอำนาจของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ คือ การสื่อสารชักจูง, การมอบหมายสั่งการ, การกำหนดเป้าหมาย, การกำกับควบคุม และความสามารถเชี่ยวชาญ<br />2. องค์ประกอบของการทำงานตามหลักภควันตภาพของโรงเรียนมัธยมศึกษามีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์<br />3. องค์ประกอบการใช้พลังอำนาจของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาส่งผลต่อการทำงานตามหลักภควันตภาพของโรงเรียนมัธยมศึกษา โดยมี 4 องค์ประกอบ ได้แก่ การมอบหมายสั่งการ, การกำหนดเป้าหมาย, การกำกับควบคุม และความสามารถเชี่ยวชาญ สามารถทำนายการทำงานตามหลักภควันตภาพของโรงเรียนมัธยมศึกษา ได้ร้อยละ 68.60</p> ขวัญนภา อุณหกานต์ Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/273299 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700 แบบจำลองของการจัดการเตรียมความพร้อมเพื่อการเปลี่ยนแปลงฐานะเข้าสู่ความเป็นเมืองอัจฉริยะ ของเทศบาลเมืองหัวหิน https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/264335 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อประเมินการจัดการความพร้อมของการเปลี่ยนแปลงฐานะเข้าสู่ความเป็นเมืองอัจฉริยะของเทศบาลเมือง หัวหิน 2) เพื่ออธิบายความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่มีผลต่อการจัดการความพร้อมการเปลี่ยนแปลงฐานะเข้าสู่ความเป็นเมืองอัจฉริยะกับความพร้อมการจัดการของเทศบาลเมืองหัวหิน 3) เพื่อนำเสนอแบบจำลองที่สามารถพยากรณ์ความพร้อมการจัดการเปลี่ยนแปลงฐานะเข้าสู่ความเป็นเมืองอัจฉริยะของเทศบาลเมืองหัวหิน</p> <p>การวิจัยเป็นการวิจัยแบบผสมผสาน ประกอบด้วยการวิจัยเชิงคุณภาพ และการวิจัยเชิงปริมาณ แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องประกอบด้วย 1) แนวคิดสมาร์ทซิตี้ เมืองอัจฉริยะ 2) ทฤษฎีการจัดการและการจัดการเมือง 3) แนวคิดและทฤษฎีปัจจัยที่จัดการเปลี่ยนแปลงฐานะเข้าสู่ความเป็นเมืองอัจฉริยะ 4) รูปแบบการพัฒนาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไปสู่อัจฉริยะเปรียบเทียบการวิจัยเชิงเชิงคุณภาพ เริ่มจากการสำรวจเอกสาร การสัมภาษณ์เชิงลึก การวิจัยเชิงปริมาณใช้สถิติค่า ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ ค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว การวิเคราะห์สหสัมพันธ์ เพียรสันและสมการถดถอยเชิงพหุ ผลการวิจัย พบว่า 1) ด้านการจัดการความพร้อมเทศบาลเมืองหัวหิน พบว่า อยู่ในระดับปานกลาง 2) ด้านความสัมพันธ์ระหว่างการจัดการความพร้อมเทศบาลเมืองหัวหินกับปัจจัยที่มีผลต่อความพร้อมเทศบาลเมืองหัวหิน พบว่า ในระดับปานกลางค่อนข้างสูงถึงระดับสูงมากในเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) การจัดการเทศบาลเมืองหัวหินไปสู่ความเป็นเมืองอัจฉริยะ =.195 ค่าคงที่ +340 ปัจจัยเศรษฐกิจอัจฉริยะ +.278 ปัจจัยสี่งแวดล้อม อัจฉริยะ +.160 การจัดการภาครัฐอัจฉริยะ+ ปัจจัยพลเมืองอัจฉริยะ +.064 ปัจจัยด้านการดำรงชีวิตอัจฉริยะ</p> ปราโมทย์ อุ่นจิตสกุล, สุพัตรา ยอดสุรางค์, วรสิทธิ์ เจริญพุฒ, เชาวฤทธิ์ เชาว์แสงรัตน์ Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/264335 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700 การวิเคราะห์องค์ประกอบการบริหารการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี ประเภทช่างอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/270563 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 3 ประการดังนี้ (1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบการบริหารการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี ประเภทช่างอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (2) เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีในการผลิตและพัฒนากำลังคน ระดับฝีมือ ประเภทช่างอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และ (3) เพื่อประเมินรูปแบบการบริหารการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีประเภทช่างอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสานวิธี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย จำนวน 384 คน ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารสถานประกอบการ หัวหน้างานอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี ครูฝึกในสถานประกอบการ นักเรียนระบบทวิภาคีระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และนักศึกษาระบบทวิภาคีระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิเกี่ยวกับการพัฒนารูปแบบการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี ประเภทช่างอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ และแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหาแบบอุปนัย</p> <p>ผลการวิจัย (1) องค์ประกอบการบริหารการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี ประเภทช่างอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา พบว่า มี 5 องค์ประกอบหลัก 19 องค์ประกอบย่อย ได้แก่ ด้านบุคลากร ด้านหลักสูตร ด้านการวัดผลและประเมินผล ด้านการจัดการเรียนการสอน และด้านความร่วมมือกับสถานประกอบการ (2) การพัฒนารูปแบบการบริหารการจัดการอาชีวศึกษาระบบ ทวิภาคี ประเภทช่างอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา พบว่า มี 5 องค์ประกอบ ได้แก่ ด้านบุคลากร ด้านหลักสูตร ด้านการวัดผลและประเมินผล ด้านการจัดการเรียนการสอน และด้านความร่วมมือกับสถานประกอบการ และ (3) การประเมินการรูปแบบการบริหารการจัดการอาชีวศึกษาระบบ ทวิภาคี ประเภทช่างอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ทุกองค์ประกอบมีความถูกต้อง มีความเหมาะสม มีความเป็นไปได้ และสามารถนำไปใช้ประโยชน์</p> มนตรี สุขชุม, วีระวัฒน์ พัฒนกุลชัย Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/270563 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700 ผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้งานทางคณิตศาสตร์เพื่อส่งเสริม มโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ร้อยละ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/263976 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษามโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์ และ 2) เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง ร้อยละ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้งานทางคณิตศาสตร์เพื่อส่งเสริมมโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์เทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 60 ประชากรเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 13 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ 2) แบบทดสอบวัดมโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ร้อยละ และ 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง ร้อยละ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และนำค่าเฉลี่ยของคะแนนที่ได้เทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 60 <br />ผลการวิจัยพบว่า 1. มโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ร้อยละ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้งานทางคณิตศาสตร์สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 60 โดยคะแนนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 73.87 ของคะแนนเต็ม นักเรียนส่วนใหญ่มีความเข้าใจมโนทัศน์ การเขียนร้อยละหรือเปอร์เซ็นต์และมโนทัศน์ ร้อยละของจำนวนนับเป็นอย่างดี สำหรับมโนทัศน์ในเรื่องโจทย์ปัญหาร้อยละ โจทย์ปัญหาลดราคา และโจทย์ปัญหากำไรและขาดทุน พบว่านักเรียนกลุ่มที่ได้คะแนนน้อยมีอุปสรรคในการคิดคำนวณและการคิดวิเคราะห์ ทำให้การสรุปคำตอบคลาดเคลื่อนและไม่ถูกต้อง และ 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง ร้อยละ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้งานทางคณิตศาสตร์ สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 60 โดยคะแนนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 75.50 ของคะแนนเต็ม</p> กันตยา ยิ้มเทียน, ต้องตา สมใจเพ็ง, ชนิศวรา เลิศอมรพงษ์ Copyright (c) 2023 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/263976 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700 การวิเคราะห์สถานภาพของหน่วยงานที่มีบทบาทในการส่งเสริมการเข้าถึงการศึกษาและการเรียนรู้ของเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/273638 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์หน้าที่ ความรับผิดชอบ และแนวปฏิบัติที่ดีในการดำเนินงานของหน่วยงานที่มีบทบาทในการส่งเสริมการเข้าถึงการศึกษาและการเรียนรู้ของเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา งานวิจัยนี้ได้ดำเนินการบนพื้นฐานแนวคิดการตีความหมาย โดยออกแบบงานวิจัยเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เรื่อง เก็บข้อมูลด้วยการศึกษาเอกสารและการสัมภาษณ์เชิงลึกตัวแทนผู้ทำงานจาก 21 หน่วยงานจากทั่วประเทศไทยที่มีผลงานเกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา<br />ผลการศึกษาพบว่า หน้าที่ และความรับผิดชอบของหน่วยงาน มี 3 ลักษณะ ได้แก่ 1) หน่วยงานที่มีบทบาทในการปฏิบัติงานเพื่อเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา ทำงานดูแลเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา ร่วมจัดการศึกษา การเรียนรู้นอกเวลาเรียน และจัดกิจกรรมเนื่องในโอกาสต่าง ๆ ให้เด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา 2) หน่วยงานที่มีบทบาทในการให้กรอบนโยบายการปฏิบัติงาน เน้นการผลักดันนโยบายในการทำงาน และประสานความร่วมมือ และ 3) หน่วยงานที่ทำงานให้การสนับสนุนการผลักดันโครงการเพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา และให้ทุนสนับสนุนการทำงานแก่หน่วยงานต่าง ๆ ที่ทำงานด้านเด็กและเยาวชนด้อยโอกาส รวมถึงการติดตามและประเมินผล โดยแนวการปฏิบัติที่ดีในการทำงานของหน่วยงานมี 4 ประเด็น ได้แก่ 1) การส่งเสริมการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2) การส่งเสริมการเรียนรู้ทักษะชีวิตและฝึกอาชีพ 3) การดูแลสุขภาพ และ 4) การดูแลความปลอดภัยในชีวิต ซึ่งข้อจำกัดในการดำเนินงานของหน่วยงาน ได้แก่ ข้อจำกัดด้านบุคลากร การทำงานส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนได้รับการศึกษาที่สูงขึ้นการทำงานในพื้นที่ และงบประมาณการดำเนินการ</p> สุวิธิดา จรุงเกียรติกุล, เทพสุดา จิวตระกูล, ศรัญญา รณศิริ Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/273638 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700 รูปแบบการจัดการพัฒนาสมรรถณะฝีมือแรงงานช่างเชื่อม สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน กรมพัฒนาแรงงาน กระทรวงแรงงาน https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/264358 <p>ความต้องการแรงงานฝีมือช่างเชื่อมอัตโนมัติที่สามารถปฏิบัติงานให้กับ โรงงานอุตสาหกรรมของโครงการพัฒนาระเบียง เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ที่ขาดแคลน ทั้งปริมาณและคุณภาพ ดังนั้น กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน ร่วมมือกับภาคเอกชน จัดการพัฒนาฝีมือแรงงานช่างเชื่อมอัตโนมัติเพื่อตอบสนองความต้องการดังกล่าว บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อประเมินการจัดการพัฒนาฝีมือแรงงาน ช่างเชื่อมอัตโนมัติของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน 2) เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการจัดการพัฒนาการฝีมือแรงงานช่างเชื่อมอัตโนมัติกับปัจจัยที่มีผลต่อการจัดการพัฒนาฝีมือแรงงาน แรงงานช่างเชื่อมอัตโนมัติ 3) เพื่อนำเสนอแบบจำลองการจัดการพัฒนาฝีมือแรงงานช่างเชื่อมอัตโนมัติ การวิจัยครั้งนี้เป็นการ วิจัยผสมผสาน การวิจัยเชิงคุณภาพ ดำเนินการโดยการสัมภาษณ์เจาะลึกและการสังเกตุแบบไม่มีส่วนร่วม จากผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 17 ราย วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการตีความจากเนี้อหาและแก่นสาระ การวิจัยเชิงปริมาณใช้การวิเคราะห์ข้อมูลทาง สถิติ จากแบบสอบถาม ทำการรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง จากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้เข้ารับการฝึกอบรมที่สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานภาคตะวันออก คำนวนจากแนวคิดของยามาเน จำนวน 200ราย วิเคราะห์ด้วยสถิติ ร้อยละ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าเฉลี่ย การวิเคราะห์สหลัมพันธ์ เพียรสัน และ สมการถดถอยเชิงพหุ</p> <p>ผลการวิจัย 1) ด้านการจัดการพัฒนาฝีมือแรงงาน ช่างเชื่อมอัตโนมัติของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน พบว่าประสบความสำเร็จในระดับมาก 2) ความสัมพันธ์ระหว่างการจัดการพัฒนาการฝีมือแรงงานช่างเชื่อมอัตโนมัติกับปัจจัยที่มีผลต่อการจัดการพัฒนาฝีมือแรงงาน พบว่า เป็นเชิงบวก ในระดับ มากอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.01 3) แบบจำลองการจัดการพัฒนาฝีมือแรงงานช่างเชื่อมอัตโนมัติของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ประกอบด้วย -256 ค่าคงที่ +.787การจัดการภายใน +.185 บริบทแวดล้อมภายนอก +.152 คุณสมบัติการเป็น ช่างเชื่อม ผลการวิจัยสอดคล้องกันทั้งสองวิธี </p> ประสงค์ ศิริมณฑล, สุพัตรา ยอดสุรางค์, วรสิทธิ์ เจริญพุฒ, เชาวฤทธิ์ เชาว์แสงรัตน์ Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/264358 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700 ปัญหาและอุปสรรคทางกฎหมายเกี่ยวกับการบังคับการจัดเก็บภาษี จากผู้ประกอบการค้าออนไลน์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/270668 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา แนวคิดทฤษฎี ปัญหาข้อเท็จจริงและปัญหาข้อกฎหมาย ศึกษากฎหมายต่างประเทศ และกฎหมายของประเทศไทยเกี่ยวกับปัญหาและอุปสรรคทางกฎหมายเกี่ยวกับการบังคับการจัดเก็บภาษีจากผู้ประกอบการค้าออนไลน์เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ซึ่งเป็นการศึกษาอกสารจากตัวบทกฎหมาย ตำราทางวิชาการ งานวิจัย สื่ออิเล็กทรอนิกส์ของไทยและของต่างประเทศ มีการจัดทำสนทนากลุ่ม มีการสัมภาษณ์เชิงลึก กลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 4 กลุ่ม คือ กลุ่มเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร กลุ่มผู้ประกอบการ กลุ่มนักวิชาการด้านกฎหมาย และกลุ่มอาจารย์ด้านกฎหมายภาษีอากร </p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ปัญหาการจัดเก็บภาษีจากผู้ประกอบการค้าออนไลน์โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ประกอบการในขณะที่จำนวนผู้ประกอบการธุรกิจออนไลน์ที่ทำการจดทะเบียนเป็นจำนวนน้อยที่เข้าสู่ระบบการเสียภาษีอย่างถูกต้องนี้ และผู้ประกอบการไม่จดทะเบียน ทำให้ระบบการรายงานข้อมูลจำนวนการนับครั้งรับโอนเงินจึงนำมาใช้ เพื่อช่วยในการตรวจสอบและให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบการจดทะเบียนให้ถูกต้อง รวมถึงผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์จำนวนมากที่ขายสินค้าและมีรายรับหรือรายจ่ายเกินกว่า 1,800,000 บาทต่อปี ไม่ได้อยู่ในข่ายที่จะได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามที่กฎหมายกำหนด จึงมีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มแต่ผู้ประกอบการพาณิชย์ไม่ได้เข้ามาอยู่ในระบบการจัดเก็บภาษี กล่าวคือ ไม่ได้จดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนและเสียภาษีมูลค่าเพิ่มอย่างถูกต้อง คงเสนอแนะให้มีมาตรการบังคับใช้ในการให้จดทะเบียนให้ถูกต้องและการปรับอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อให้เหมาะสมต่อไป</p> ณัฐนันท์ ทองทรัพย์, รัฐชฎา ฤาแรง Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/270668 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700 การศึกษาการคิดเชิงอภิปัญญาในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 เรื่อง การบวก ลบ คูณ หารระคน โดยใช้วิธีการแบบเปิด https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/264005 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาแนวทางการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์โดยใช้วิธีการแบบเปิด และ 2) เพื่อศึกษาการคิดเชิงอภิปัญญาในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วิธีการแบบเปิด เรื่อง การบวก ลบ คูณ หารระคน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/1 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 12 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการแบบเปิด 2) แบบทดสอบวัดการคิดเชิงอภิปัญญาวิชาคณิตศาสตร์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) แนวทางการจัดการเรียนรู้โดยการใช้วิธีการแบบเปิดที่ส่งเสริมการคิดเชิงอภิปัญญาสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 เรื่อง การบวก ลบ คูณ หารระคน ครูควรใช้สถานการณ์ปัญหาหรือคำถามปลายเปิดที่สอดคล้องหรือเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวันของนักเรียนมีบริบทที่หลากหลาย เหมาะสมกับวัยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ควรเรียบเรียงการไต่ระดับของปัญหาหรือคำถามจากง่ายไปยาก และครูควรเตรียมความพร้อมให้นักเรียนคุ้นเคยกับการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เตรียมความพร้อมในด้านความรู้ เช่น เรื่อง การบวก การลบ การคูณ และการหาร หรือเนื้อหาที่นักเรียนเคยเรียนมาก่อนหน้านี้ รวมทั้งครูควรใช้คำถามเพื่อกระตุ้นการคิดของนักเรียนให้เกิดการเรียนรู้ในแต่ละขั้นตอนของการแก้ปัญหา ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้นักเรียนเกิด การคิดเชิงอภิปัญญาในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ และ 2) การคิดเชิงอภิปัญญาในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง การบวก ลบ คูณ หารระคน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หลังจากจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วิธีการแบบเปิดอยู่ในระดับสูง คิดเป็นร้อยละ 66.67 ของนักเรียนทั้งหมด และนักเรียนมีการคิดเชิงอภิปัญญาในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ในพฤติกรรมด้านการอ่านและด้านการสำรวจข้อมูลมากที่สุด ซึ่งมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับร้อยละ 82.22</p> ธีรุตม์ พรหมมา, ต้องตา สมใจเพ็ง, ชานนท์ จันทรา Copyright (c) 2023 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/264005 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700 ผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้แผนผังความคิดต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาการออกแบบสร้างสรรค์จากเศษวัสดุ ของนักศึกษาสาขาวิชาศิลปกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/266176 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาการออกแบบสร้างสรรค์จากเศษวัสดุ ด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้แบบแผนผังความคิด ระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียน ของนักศึกษาสาขาวิชาศิลปกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี ประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักศึกษาสาขาวิชาศิลปกรรม ที่ลงทะเบียนเรียนในรายวิชาการออกแบบสร้างสรรค์จากเศษวัสดุ<br />ภาคการศึกษาที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 20 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้แบบแผนผังความคิด และแบบทดสอบก่อนเรียนกับแบบทดสอบหลังเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test ซึ่งผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้โดยใช้แผนผังความคิด (mind mapping)<br />ของนักศึกษาสาขาวิชาศิลปกรรม ที่เรียนในรายวิชาการออกแบบสร้างสรรค์จากเศษวัสดุหลังการทดสอบหลังเรียนมีค่าสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระดับที่ .05 แสดงว่า นักศึกษามีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการออกแบบสร้างสรรค์จากเศษวัสดุมากขึ้น ทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเพิ่มสูงขึ้นด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้โดยใช้แผนผังความคิด ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า การใช้แผนการจัดการเรียนรู้แผนผังความคิดสามารถช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษาได้เป็นอย่างดีเป็นรูปแบบที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนพัฒนาการคิดสร้างสรรค์ จนผู้เรียนสามารถสร้างองค์ประกอบความรู้ขึ้นเองได้</p> นิลรัตน์ ปัททุม Copyright (c) 2023 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/266176 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการโรงแรมสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ กลุ่มหลากหลายทางเพศในประเทศไทย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/273689 <p>งานวิจัยเรื่องการพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการโรงแรมสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มหลากหลายทางเพศในประเทศไทย โดยใช้ระเบียบวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ ได้ดำเนินการตามขั้นตอน ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 32 คน ประกอบด้วย ผู้ประกอบการหรือตัวแทนผู้บริหารโรงแรมสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มหลากหลายทางเพศในประเทศไทย จำนวน 12 ท่าน และนักท่องเที่ยวต่างชาติ จำนวน 20 ท่าน จากนั้นนำผลจากการวิเคราะห์แก่นสาระดำเนินการสนทนากลุ่ม ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีความหลากหลายทางเพศในประเทศไทย จำนวน 8 ท่าน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่าการพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการโรงแรมสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มหลากหลายทางเพศในประเทศไทย มีปัจจัย 3 อันดับแรกที่นักท่องเที่ยวกลุ่ม LGBTQ ให้ความสำคัญคือ 1) ปัจจัยภายนอก ได้แก่ ปัจจัยด้านกายภาพ ด้านสังคมและวัฒนธรรม ด้านแหล่งท่องเที่ยว ด้านกฎหมาย และด้านเศรษฐกิจ 2) ปัจจัยองค์ประกอบบริหารจัดการโรงแรมได้แก่ ด้านกระบวนการบริหาร ด้านทรัพยากรมนุษย์ ด้านเทคโนโลยี ด้านการตลาดและด้านสถานที่ และ 3) ปัจจัยการเลือกเข้าพักโรงแรมในประเทศไทย ได้แก่ ปัจจัยด้านความสะดวกสบาย ด้านความเป็นส่วนตัว ด้านความเท่าเทียมกันและการให้เกียรติ ด้านรสนิยม ด้านคุณภาพการบริการ และด้านช่องทางการสื่อสาร ดังนั้นสำหรับให้ผู้ประกอบการที่ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวกับที่พักโรงแรมที่ต้องพัฒนาและการขยายตลาดไปยังกลุ่มนักท่องเที่ยว LGBTQ ควรมีการปรับตัวให้เหมาะสมกับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวกลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศมากขึ้น โดยธุรกิจที่พักเน้นด้านองค์ประกอบบริหารจัดการโรงแรมการออกแบบและตกแต่งสถานที่ ความปลอดภัย ความสะอาดของสถานที่ท่องเที่ยวและสถานที่พัก รวมไปถึงปัจจัยภายนอก การออกแบบกระบวนการให้บริการผ่านนวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวกในการท่องเที่ยว และการเข้าถึงข้อมูลการท่องเที่ยว ตลอดจนสร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวแบบใหม่แก่นักท่องเที่ยว</p> สุรักษา พลอยศิริ, ภัครดา เกิดประทุม Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/273689 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700 The Effective of Quizizz’s Gamified Learning among Undergraduate and Postgraduate Students’ Engagement and Perception https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/274782 <p>This study aimed to determine the effective of using Quizizz`s gamified learning among undergraduate and postgraduate students’ engagement and perception and to explore on how undergraduate and postgraduate students’ willingness to use Quizizz’s gamified learning to enhance students’ engagement and perception in Educational Psychology subjects. The researcher applied sequential mixed method study to utilized to evaluate the effective of assessing Quizizz gamified in learning on students’ engagement and perception in Educational Psychology subjects. A total of 177 undergraduate and postgraduate students were respondents in this sequential explanatory mixed method study. The quantitative study was evaluated by using descriptive statistics such as mean, standard deviation. In addition, correlation and regression analyses were analyzed to find out the research question 1 (hypothesis 1 – 2). In addition, a qualitative study evaluated by using the thematic analysis which utilized and interpret the data. The regression analysis was a statistically significant predicted that Quizizz gamified in learning on students’ engagement had a positive and significant effective (R-square = 0.336; F = 34.401; Beta (β) = 0.204; T-value = 3.339; and P-value = 0.000). Moreover, the regression analysis was a statistically significant predicted that Quizizz gamified in learning on students’ perception has a positive and significant effective (R-square = 0.061; F = 2.134; Beta (β) = 0.422; T-value =5.865; and P-value = 0.000). Therefore, four respondents (two undergraduate and two postgraduate students) were selected to participate for interviewing. All the students agreed that Quizizz gamified in learning and teaching in Educational Psychology subjects were effective positively to perceive the experience of learning and engagement in learning.</p> Linatda Kuncharin Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/274782 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700 พิธีกรรมบวชต้นไม้: มโนทัศน์คลาดเคลื่อนของแบบเรียนสังคมศึกษา ในประเทศไทย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/264554 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอมโนทัศน์คลาดเคลื่อนของแบบเรียนวิชาสังคมศึกษาในประเทศไทยผ่านการศึกษาพิธีกรรมบวชต้นไม้ เป็นการนำเสนอถึงจุดมุ่งหมายในการประกอบพิธีกรรมที่มีหลายมิติ มิใช่แค่เพียงการอนุรักษ์ธรรมชาติเท่านั้น ผลการศึกษา พบว่า พิธีกรรมบวชต้นไม้เกิดขึ้นเพื่อการต่อรองในมิติที่หลากหลาย คือ 1) การต่อรองความเชื่อดั้งเดิมกับหลักพุทธศาสนา 2) การต่อรองพิธีกรรมบวชต้นไม้กับหลักทางพุทธศาสนา 3) การต่อรองพิธีกรรมบวชต้นไม้กับความสัมพันธ์ทางอำนาจ และ 4) การต่อรองพิธีกรรมบวชต้นไม้ผ่านสัญศาสตร์ โดยพิธีกรรมบวชต้นไม้ สะท้อนให้เห็นถึงการเลื่อนไหลของความสัมพันธ์ภายใต้พิธีกรรมบวชต้นไม้ที่แฝงไว้ซึ่งปฏิบัติการทางสังคม สัญญะ และความสัมพันธ์เชิงอำนาจในปรากฏการณ์ ทั้งนี้การเลื่อนไหลของความสัมพันธ์ มิได้ปรากฏในลักษณะที่ตายตัว แต่สามารถปรับเปลี่ยนไปตามบริบทเงื่อนไขที่เกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่ทางสังคม โดยพิธีกรรมบวชต้นไม้ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างอำนาจและการต่อรองของความสัมพันธ์ให้เกิดขึ้นกับกลุ่มคนต่าง ๆ อาทิ กลุ่มประชาสังคม คณะสงฆ์ และหน่วยงานภาครัฐ และหากผู้สอนและสถานศึกษาสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้แก่ผู้เรียนในมิติที่หลากหลาย ย่อมจะเป็นพื้นฐานให้แก่ผู้เรียนเกิดการรับรู้และเข้าใจต่อปรากฏการณ์ต่าง ๆ ทางสังคมมากขึ้น</p> ฉัตรธิดา หยูคง Copyright (c) 2023 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/264554 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700 รูปแบบการเรียนการสอนเชิงผลิตภาพเพื่อสร้างผลผลิตและนวัตกรรม ในยุคการศึกษา 4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/269207 <p>บทความนี้เป็นการศึกษาเกี่ยวกับรูปแบบการเรียนการสอนเชิงผลิตภาพเพื่อสร้างผลผลิตและนวัตกรรมในยุคการศึกษา 4.0 ด้วยการทบทวนแนวคิดและทฤษฎีจากเอกสารวิชาการและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษารูปแบบการเรียนการสอนที่สามารถส่งเสริมการคิดเชิงผลิตภาพให้กับผู้เรียนได้ 2) นำหลักการสอนพื้นฐานสู่รูปแบบการเรียนการสอนเชิงผลิตภาพเพื่อให้ผู้เรียนสร้างผลผลิตและนวัตกรรมได้ เพื่อให้สอดรับกับยุทธศาสตร์ชาติไทยระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2561-2580) ที่มุ่งพัฒนาโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม (Value-Based Economy) และเปลี่ยนกระแสการศึกษาให้เป็นไปในทิศทางที่ก่อให้เกิดผลผลิตและนวัตกรรมในทางสร้างสรรค์ ดังนั้นยุคการศึกษา 4.0 จึงเป็นยุคของการศึกษาเชิงผลิตภาพที่ต้องการผลผลิต ซึ่งผลการศึกษาพบว่า <br />1. รูปแบบการเรียนการสอนเชิงผลิตภาพต้องอาศัยการสอนที่หลากหลายเพื่อให้ได้องค์ความรู้ใหม่และผลิตเป็นผลงานได้ ซึ่งมีการสอน 7 รูปแบบที่สามารถส่งเสริมการคิดเชิงผลิตภาพให้เกิดกับผู้เรียนได้ คือ 1) การสอนแบบใช้ปัญหาเป็นฐาน 2) การสอนแบบเน้นกรณีศึกษา 3) การสอนแบบวิจัยเป็นฐาน 4) การสอนแบบโครงงานเป็นฐาน 5) การสอนแบบเน้นผลงาน 6) การสอนแบบเน้นการทำงาน และ 7) การสอนแบบตกผลึก <br />2. นำหลักการสอนพื้นฐานสู่รูปแบบการเรียนการสอนเชิงผลิตภาพเพื่อให้ผู้เรียนสร้างผลผลิตและนวัตกรรมได้ทั้งหมด 5 ขั้นตอน คือ 1) Situated learning คือ การกระตุ้นคิดผ่านสถานการณ์จริง 2) Creative-based learning คือ สรรหาแรงบันดาลใจจากงานสร้างสรรค์ 3) Self-directed learning and collaborative learning คือ สานฝันตนเองร่วมกันเป็นกลุ่ม 4) Project-based learning คือ การพัฒนาโครงการ และ 5) Mini company project คือ ผ่านบริษัทจำลอง โดยผู้สอนจะได้ทบทวนความรู้และได้องค์ความรู้ใหม่ ๆ ด้านวิชาชีพเพื่อมาถ่ายทอดให้ผู้เรียนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและพัฒนากระบวนการคิด ทำให้เป้าหมายการเรียนมีประสิทธิผลจนเกิดการสร้างสรรค์ผลงานและนวัตกรรม ดังนั้นรูปแบบการเรียนการสอนเชิงผลิตภาพนี้นอกจากจะมีคุณค่าและประโยชน์แก่ผู้เรียนและผู้สอนทางการศึกษาแล้ว ยังเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมไทยได้ในอนาคต </p> ศิริศุกร์ ศิริโชคชัยตระกูล Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/269207 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700