วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir <p><strong>วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย </strong>มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการศึกษาค้นคว้า และเพื่อเผยแพร่บทความวิจัยและบทความวิชาการแก่นักวิจัย นักวิชาการ คณาจารย์ และนักศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษา ในมิติเพื่อสนับสนุนการศึกษา การสอน การวิจัยวารสารมุ่งเน้นบทความทางด้านการศึกษา นวัตกรรมการศึกษา นวัตกรรมการบริหารการศึกษา หลักสูตรและการสอน ศิลปศาสตร์ และการศึกษาเชิงประยุกต์ ทุกบทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ได้ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ อย่างน้อย 3 ท่าน เปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> สถาบันเทคโนโลยีนวัตกรรมทางการศึกษาและการวิจัยแห่งสุวรรณภูมิ (สนว.) th-TH วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย 3027-6446 การพัฒนาบทเรียนออนไลน์สำหรับครูภาษาจีนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบเน้นภาระงาน (Task-Based Learning) ในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายในภูมิภาคตะวันตก https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/272884 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาบทเรียนออนไลน์ และ 2) เพื่อพัฒนาทักษะการออกแบบเนื้อหาบทเรียนออนไลน์ของครูผู้สอนรายวิชาภาษาจีนในภูมิภาคตะวันตก รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้แนวคิดการจัดการเรียนรู้แบบเน้นภาระงานเป็นกรอบการวิจัย กลุ่มตัวอย่างคือครูภาษาจีนในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายในภูมิภาคตะวันตกที่ได้มาโดยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง จำนวน 20 คน ผู้ทรงคุณวุฒิตรวจประเมินประสิทธิภาพด้านเนื้อหาภาษาจีนและเทคนิคการผลิตบทเรียนออนไลน์ และให้กลุ่มตัวอย่างออกแบบเนื้อหาบทเรียนภาษาจีน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าร้อยละค่าเฉลี่ยและการจัดกลุ่ม<br />ผลการวิจัยพบว่า<br />1. บทเรียนออนไลน์สำหรับครูภาษาจีนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบเน้นภาระงานมีความเหมาะสมอยู่ในระดับดีมาก และมีรูปแบบของบทเรียนออนไลน์ตามแนวทางการจัดการเรียนรู้แบบเน้นภาระงาน ประกอบด้วย บทคู่มือครู บทเรียนคำศัพท์ บทเรียนหลัก ภาระงานย่อย และภาระงานหลัก<br />2. ทักษะการออกแบบเนื้อหาบทเรียนอยู่ในระดับดี ประกอบด้วย 6 ทักษะ ได้แก่ 1) การเขียนเนื้อหา 2) การกำหนดผลการเรียนรู้ 3) การกำหนดรูปแบบภาษาที่มุ่งเน้น 4) การกำหนดกิจกรรมให้สอดคล้องกับวิธีการจัดการเรียนรู้ 5) การกำหนดชิ้นงานให้สอดคล้องกับวิธีการจัดการเรียนรู้ และ 6) การออกแบบการวัดประเมินงาน โดยเนื้อหาที่ออกแบบปรากฏหน้าที่ทางภาษา 13 หน้าที่ทางภาษา 22 รูปประโยค </p> สาวิตรี ตนสาลี โกวิทย์ ชนะเคน Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-31 2024-03-31 8 1 1 16 รูปแบบคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร ในทศวรรษหน้า https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/264712 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทราบรูปแบบคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครในทศวรรษหน้า ผู้วิจัยใช้เทคนิคการวิจัยอนาคตแบบ EDFR เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล คือ แบบสัมภาษณ์ไม่มีโครงสร้าง และแบบสอบถาม โดยมีผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 19 คน ใช้เทคนิคเลือกแบบเจาะจงตามเกณฑ์ที่กำหนด สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ฐานนิยม มัธยฐาน และพิสัยระหว่างควอไทล์</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า รูปแบบคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครในทศวรรษหน้า ประกอบด้วย 4 ด้าน คือ 1) ด้านโครงสร้างคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน 2) ด้านคุณสมบัติคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน 3) ด้านบทบาทหน้าที่คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน 4) ด้านปัจจัยเกื้อหนุนคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน</p> อัญชลี สาริกานนท์ Copyright (c) 2023 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-31 2024-03-31 8 1 17 32 คุณภาพการบริการสาธารณสุขและความพึงพอใจของประชาชน: กรณีศึกษาเทศบาลตำบลเทพวงศา อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/275975 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพการบริการสาธารณสุขและความพึงพอใจของประชาชนในเขตเทศบาลตำบลเทพวงศา อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานีผู้วิจัยได้ใช้แบบสอบถามจากการทบทวนวรรณกรรมเพื่อเก็บรวบรวมความเห็นของกลุ่มตัวอย่างจำนวน 388 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสหสัมพันธ์ด้วยวิธีการของเพียร์สัน <br />ผลการวิจัยพบว่า คุณภาพการให้บริการในด้านความน่าเชื่อถือ ความเห็นอกเห็นใจ การรับรอง ความจับต้องได้ และความรับผิดชอบมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับความพึงพอใจของประชาชน โดยมีค่า r 0.480, .394, .368, .344 และ .312 (Sig .000) ตามลำดับ นอกจากนี้ คุณภาพให้บริการสาธารณสุขมีความสัมพันธ์กับความพึงพอใจของประชาชนทุกด้าน ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05</p> คัคนานต์ วะรงค์ ธราดล แสงสุข อนรรฆ ชมาฤกษ์ รัชนก สร้อยเพชร Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-31 2024-03-31 8 1 33 50 การศึกษาความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้นสองตัวแปร ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้การสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/262216 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาแนวทางการจัดการเรียนรู้โดยใช้การสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ที่พัฒนาความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณทางคณิตศาสตร์ และ<br />2) ความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้นสองตัวแปร ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้การสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ก่อนเรียนและหลังเรียน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 39 คน ซึ่งได้จากการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบฝึกหัด<br />และแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณทางคณิตศาสตร์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบค่าที และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) แนวทางการจัดการเรียนรู้โดยใช้การสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ที่พัฒนาความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณทางคณิตศาสตร์ ครูควรใช้สถานการณ์ปัญหาที่เชื่อมโยงกับชีวิตจริงของนักเรียนที่มีความซับซ้อน หลากหลายบริบท และควรเตรียมความพร้อมของนักเรียนในด้านเนื้อหาความรู้ที่จำเป็นต้องใช้ในการแก้สถานการณ์ปัญหา รวมทั้งควรใช้คำถามเพื่อกระตุ้นให้นักเรียนคิดและเกิดการเรียนรู้ในแต่ละขั้นตอน ควรเปิดโอกาสให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการอภิปราย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกัน ซึ่งจะส่งผลให้นักเรียนใช้ความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณทางคณิตศาสตร์ในการแก้ปัญหาและตัดสินใจในสถานการณ์ปัญหาที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ<br />2) ผลของความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้การสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> จุฑาทิพ ดีละม้าย ต้องตา สมใจเพ็ง วันดี เกษมสุขพิพัฒน์ Copyright (c) 2023 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-31 2024-03-31 8 1 57 67 “เล่นเอง เรียนเอง” การส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษแบบพึ่งพาตนเอง ผ่านเกมมิฟิเคชันและความเป็นจริงเสริม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/272936 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาผลการเรียนรู้ภาษาอังกฤษแบบพึ่งพาตนเองก่อนและหลังใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษโดยใช้เกมมิฟิเคชันและความเป็นจริงเสริม 2) ศึกษาความเปลี่ยนแปลงของการเรียนรู้ภาษาอังกฤษแบบพึ่งพาตนเองของนักเรียนที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ 3) ศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนเกี่ยวกับชุดกิจกรรมการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ของโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดสุพรรณบุรี จำนวน 30 คน ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษโดยใช้เกมมิฟิเคชันและความเป็นจริงเสริม 2) แบบวัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษแบบพึ่งพาตนเอง 3) แบบสะท้อนคิดการเรียนรู้ 4) แบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนเกี่ยวกับชุดกิจกรรม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที และการวิเคราะห์แก่นสาระ ผลการวิจัยพบว่า<br />1. คะแนนการเรียนรู้ภาษาอังกฤษแบบพึ่งพาตนเองหลังเรียนสูงกว่าคะแนนก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05<br />2. นักเรียนมีความต้องการเรียนรู้และทำกิจกรรมภาษาอังกฤษที่ชัดเจนขึ้นเพื่อพัฒนาข้อบกพร่องของตนเอง เริ่มตระหนักถึงประเด็นภาษาในสื่อที่นำมาใช้มากขึ้น อีกทั้งยังเริ่มปรับปรุงเทคนิคการเรียนรู้ของตนเองโดยพิจารณาจากปัญหาหรือข้อบกพร่องที่พบในการเรียนรู้ด้วยเทคนิคเดิม<br />3. นักเรียนมีระดับความพึงพอใจเกี่ยวกับชุดกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษโดยใช้เกมมิฟิเคชันและความเป็นจริงเสริมอยู่ในระดับมากที่สุด<br />ข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้พบว่าชุดกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษโดยใช้เกมมิฟิเคชันและความเป็นจริงเสริมประกอบด้วยกิจกรรมในชั้นเรียนและกิจกรรมฝึกฝนด้วยตนเองนอกห้องเรียน และชุดกิจกรรมสามารถช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษแบบพึ่งพาตนเองของนักเรียนได้ </p> มาณิการ์ พรหมสุข ฤดีรัตน์ ชุษณะโชติ Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-31 2024-03-31 8 1 68 83 นวัตกรรมการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนเอกชนในจังหวัดลพบุรี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/266278 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาแนวคิดทฤษฎี (2) เพื่อพัฒนานวัตกรรม และ (3) เพื่อประเมินนวัตกรรมการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนเอกชนในจังหวัดลพบุรี การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสมวิธีพหุระยะ โดยใช้วิธีการเชิงปริมาณเพื่อขยายผลการวิจัยเชิงคุณภาพ ประชากร ได้แก่ ผู้บริหารโรงเรียนเอกชน ในจังหวัดลพบุรี จำนวน 38 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์และแบบสอบถามความคิดเห็น ค่าดัชนีความสอดคล้อง อยู่ในช่วง 0.6 – 0.8 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ และค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามความคิดเห็นทั้งฉบับเท่ากับ 0.927 อยู่ในสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ค่าร้อยละ ฐานนิยม และสถิตินอนพาราเมตริก ได้แก่ ไค-สแควร์<br />และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เคนเดล</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า (1) นวัตกรรมการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนเอกชนในจังหวัดลพบุรี<br />มีทั้งหมด 19 นวัตกรรม (2) นวัตกรรมการบริหารงานวิชาการที่เหมาะสมของโรงเรียนเอกชนในจังหวัดลพบุรี ทั้งหมด 3 นวัตกรรม ตามขอบข่ายงานวิชาการ 5 ด้าน ที่ถูกเลือกมี 3 นวัตกรรม ดังนี้ 1) นวัตกรรมการบริหารงานของผู้บริหารสถานศึกษา โดยการบูรณาการหลักสูตร 2) นวัตกรรมการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาตามแนว Tip Co 3) นวัตกรรมการบริหารงานของผู้บริหารสถานศึกษา โดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน (3) การประเมินนวัตกรรมการบริหารงานวิชาการที่เหมาะสมของโรงเรียนเอกชนในจังหวัดลพบุรี จากผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ถูกเลือกมี 3 นวัตกรรมตามขอบข่ายงานวิชาการ คือ 1) นวัตกรรมการบริหารงานของโรงเรียนเอกชน 2) นวัตกรรมการบริหารงานของโรงเรียนเอกชนในจังหวัดลพบุรี ตามแนว Tip Co และ 3) นวัตกรรมการบริหารงานของโรงเรียนเอกชนในจังหวัดลพบุรี โดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน (SBM)</p> ชนิกานต์ ยงค์สุ Copyright (c) 2023 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-31 2024-03-31 8 1 84 98 การบริหารจัดการองค์กรตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของพนักงาน : กรณีศึกษาองค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/276132 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับความสำเร็จการนำการบริหารจัดการองค์กรตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ระดับปัจจัยแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของพนักงานองค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรี 2) เพื่อศึกษาอิทธิพลของการบริหารจัดการองค์กรตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของพนักงานองค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรี และ 3) ศึกษาแนวทางการพัฒนาการบริหารจัดการองค์กรตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของพนักงานองค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรี รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ เจ้าหน้าที่สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดสกลนคร จำนวน 195 คนใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ<br />ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับความสำเร็จการนำการบริหารจัดการองค์กรตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และระดับปัจจัยแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของพนักงาน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ความสำเร็จในการบริหารจัดการองค์กรตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีมีปัจจัยค้ำจุนด้านนโยบายและการบริหาร (β =.297) ด้านความสัมพันธ์กับผู้ร่วมงาน (β =.292) และ ด้านการปกครองบังคับบัญชา (β =.165) มีอิทธิพลต่อการนำหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีไปปฏิบัติสามารถร่วมกันทำนายความสำเร็จในการนำหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีไปปฏิบัติได้ร้อยละ 53.00 มีอิทธิพลต่อแรงจูงใจ ด้านความสำเร็จในการปฏิบัติงาน (β =.482) ด้านความรับผิดชอบ (β =.254) ด้านการได้รับการยอมรับนับถือ (β =.222) ด้านลักษณะของงานที่ปฏิบัติ<br />(β =.190) และด้านความก้าวหน้า (β =.176) มีอิทธิพลต่อการนำหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีไปปฏิบัติโดยปัจจัยจูงใจสามารถร่วมกันทำนายการนำหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีไปปฏิบัติได้ร้อยละ 49.90 3) แนวทางในการพัฒนาการนำหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีไปปฏิบัติ ได้แก่ ควรมีกำหนดเป้าหมาย นโยบายและระยะเวลาในการปฏิบัติงานที่ชัดเจน ผู้บริหารองค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรี ควรเปิดโอกาสให้บุคลากรและประชาชนร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการบริหารและนโยบายต่าง ๆ ขององค์การ</p> กฤติยา อิศวเรศตระกูล Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-31 2024-03-31 8 1 99 115 โมเดลสมการโครงสร้างปัจจัยที่ส่งผลต่อความพึงพอใจของลูกค้าร้านกาแฟในประเทศไทย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/262307 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับปัจจัยที่ส่งผลต่อความพึงพอใจของลูกค้าและความภักดีของลูกค้าร้านกาแฟในประเทศไทย 2) เพื่อวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้างปัจจัยที่ส่งผลต่อความพึงพอใจของลูกค้าร้านกาแฟในประเทศไทย และ 3) เพื่อตรวจสอบความสอดคล้องกลมกลืนของตัวแบบโมเดลกับข้อมูลเชิงประจักษ์ รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แนวคิดความพึงพอใจของผู้ใช้บริการ และความภักดีของลูกค้าเป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัย ประเทศไทยทั้ง 4 ภาค กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้บริโภคกาแฟในประเทศไทย จำนวน 600 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ สถิติพื้นฐานค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงมาตรฐาน และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงประจักษ์<br />ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับปัจจัยที่ส่งผลต่อความพึงพอใจของลูกค้าและความภักดีของลูกค้าร้านกาแฟในประเทศไทย โดยภาพรวม ทั้ง 6 ด้าน อยู่ในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ยระหว่าง (4.46- 4.28)<br />2. ปัจจัยที่ส่งผลต่อความพึงพอใจล้วนมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อความพึงพอใจของผู้ใช้บริการ นอกจากนี้ยังพบว่าความพึงพอใจของผู้ใช้บริการ มีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อความภักดีของผู้ใช้บริการ = 0.764 3. ผลการตรวจสอบความสอดคล้องกลมกลืนของตัวแบบโมเดลกับข้อมูลเชิงประจักษ์ มีค่า Chi-Square: 2 = 0.864 ค่า 2 /df = 0.844 ค่า GFI = 0.989 ค่า AGFI = 0.966 ค่า RMSEA = 0.000 และค่า CFI = 0.990 ข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้พบว่าความพึงพอใจของผู้ใช้บริการ ส่งผลต่อความภักดีของผู้ใช้บริการ ผ่านสภาพแวดล้อมทางกายภาพ รสชาติของกาแฟมากที่สุด ดังนั้นธุรกิจร้านกาแฟจึงควรพัฒนาตัวแปรดังกล่าวให้มีคุณค่าสูงสุด</p> สรินทิพย์ จินดา สรวงอัยย์ อนันทวิจักษณ์ ไพโรจน์ พิภพเอกสิทธิ์ อนันต์ ธรรมชาลัย Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-31 2024-03-31 8 1 116 132 กลยุทธ์การบริหารแรงงานกลุ่มผู้สูงอายุของผู้ประกอบการในเขตกรุงเทพมหานคร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/273334 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาอิทธิพลของกลยุทธ์การบริหารแรงงาน การบริหารจัดการพื้นที่ทำงานเพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพและการจัดการความรู้กับกลุ่มแรงงานผู้สูงอายุ ส่งผ่านการบริหารความรู้กับแรงงานผู้สูงอายุจากการจัดการความแตกต่างในแต่ละด้านไปสู่ความคาดหวังผลประกอบการขององค์กร และศึกษาตัวแบบที่เหมาะสมของการวางแผนเพื่อรองรับการบริหารจัดการแรงงานผู้สูงอายุของภาคธุรกิจไทยเป็นการวิจัยแบบผสมใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มผู้ประกอบการที่มีจำนวนพนักงาน 15 คนขึ้นไปในเขตกรุงเทพมหานคร กำหนดกลุ่มตัวอย่าง 400 ตัวอย่าง สุ่มตัวอย่างแบบง่าย ทดสอบสมมติฐานด้วยการวิเคราะห์ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และตัวแบบสมการโครงสร้าง</p> <p>ผลการศึกษา พบว่าการบริหารแรงงานผู้สูงอายุมีอิทธิพลทางตรงและทางอ้อมต่อการบริหารความรู้กับกลุ่มแรงงานผู้สูงอายุ มีค่าอิทธิพลทางตรงเท่ากับ -0.382 ค่าอิทธิพลทางอ้อมเท่ากับ 0.746 และค่าอิทธิพลรวมเท่ากับ 0.364 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และการบริหารจัดการพื้นที่ทำงานเพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพ มีอิทธิพลเชิงบวกทางตรงต่อการบริหารความรู้กับกลุ่มแรงงานต่างวัย โดยมีค่าอิทธิพลทางอ้อมเท่ากับ 0.948 และค่าอิทธิพลรวมเท่ากับ 1.136 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 การวางแผนด้านกลยุทธ์การบริหารจัดการแรงงาน การบริหารจัดการพื้นที่ทำงานเพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพและการบริหารความรู้กลุ่มแรงงานผู้สูงอายุ มีอิทธิพลต่อการรับรู้ผลประกอบการขององค์กร พบว่าการบริหารแรงงานผู้สูงอายุ มีอิทธิพลเชิงบวกทางอ้อมต่อการรับรู้ผลประกอบการขององค์กร โดยมีการบริหารความรู้กลุ่มแรงงานผู้สูงอายุ เป็นตัวแปรคั่นกลางแบบส่งผ่าน โดยมีค่าอิทธิพลรวมเท่ากับ 0.304 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 </p> รุ่งอรุณ กระแสร์สินธุ์ อาจารีย์ ประจวบเหมาะ ใกล้รุ่ง กระแสร์สินธุ์ ธารทิพย์ พจน์สุภาพ Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-31 2024-03-31 8 1 133 149 รูปแบบการเสริมสร้างวินัยผู้เรียนด้วยวิถีทางทหารในสถานศึกษาระดับอาชีวศึกษา พื้นที่กรุงเทพมหานคร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/269041 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัญหาวินัยผู้เรียน 2) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรคุณลักษณะของผู้นำทางทหาร การจูงใจ คุณธรรมจริยธรรม การบริหารการอาชีวศึกษา พฤติกรรมกลุ่มเพื่อน และการปฏิบัติของครูกับวินัยผู้เรียนด้วยวิถีทางทหาร และ 3) วิเคราะห์และกำหนดรูปแบบการเสริมสร้างวินัยผู้เรียนด้วยวิถีทางทหารในสถานศึกษาระดับอาชีวศึกษา เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี พื้นที่วิจัย คือ กรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่าง คือ บุคคลากรที่ปฏิบัติงานในสถานศึกษาด้านอาชีวศึกษา จำนวน 350 คน ใช้วิธีคัดเลือกโดยใช้หลักความน่าจะเป็น และใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ คือ บุคลากรทางการศึกษาที่ปฏิบัติงานในสถานศึกษาด้านอาชีวศึกษา จากภาครัฐ 9 คน และภาคเอกชน 9 คน รวมทั้งสิ้น 18 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม กับ แบบสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การถดถอยพหุคูณ ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้วิเคราะห์เนื้อหาแล้วเขียนบรรยายเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า<br />1. สภาพปัญหาวินัย ได้แก่ การตรงต่อเวลา การแต่งกาย ความรับผิดชอบในหน้าที่ การทะเลาะวิวาท ยาเสพติด ไม่ปฏิบัติตามกฎ พฤติกรรมไม่เหมาะสม<br />2. คุณธรรมจริยธรรม การจูงใจ คุณลักษณะของผู้นำทางทหาร มีความสัมพันธ์เชิงเหตุ-ผลกับการเสริมสร้างวินัยผู้เรียนด้วยวิถีทางทหาร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001, 0.01 และ 0.05<br />3. รูปแบบการเสริมสร้างวินัยผู้เรียนด้วยวิถีทางทหาร ประกอบไปด้วยปัจจัยสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ คุณลักษณะของผู้นำทางทหาร การจูงใจ และคุณธรรมจริยธรรม<br />ข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้ สามารถนำไปประยุกต์ในการเสริมสร้างวินัยของผู้เรียนด้านอาชีวศึกษา ด้วยปัจจัย 3 ประการ ได้แก่ คุณลักษณะของผู้นำทางทหาร การจูงใจ และคุณธรรมจริยธรรม ได้ตรงตามเป้าหมาย</p> เสิมศักดิ์ แก้วฉาย ฉนวน เอื้อการณ์ Copyright (c) 2023 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-31 2024-03-31 8 1 150 173 องค์ประกอบภาวะผู้นำแบบใฝ่บริการของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/262479 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ประกอบภาวะผู้นำแบบใฝ่บริการของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นการวิจัยเอกสาร ดำเนินการ 2 ขั้นตอน คือ 1) ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับภาวะผู้นำแบบใฝ่บริการ จำนวน 15 แหล่ง และสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ 5 คน เพื่อสังเคราะห์องค์ประกอบของภาวะผู้นำแบบใฝ่บริการ 2) ยืนยันองค์ประกอบภาวะผู้นำแบบใฝ่บริการตามกรอบที่ได้สังเคราะห์จากเอกสาร โดยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบวิเคราะห์เอกสารและแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำแบบใฝ่บริการของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มี 4 องค์ประกอบ ได้แก่ 1.1) การบริการ ซึ่งเป็นการตอบสนองความต้องการของบุคลากร ด้วยการจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวก รวมถึงการให้คำแนะนำ ปรึกษา 1.2) การเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ด้วยการแสดงออกถึงการเห็นคุณค่าของบุคลากร มีความเข้าอกเข้าใจ เห็นใจ ยอมรับความแตกต่างระหว่างบุคคล และปฏิบัติตนด้วยการเคารพสิทธิส่วนบุคคล 1.3) การตระหนักรู้ ผู้บริหารต้องมีความรู้ และเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของตน มีไหวพริบ มองการณ์ไกล แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี และตื่นตัว รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง 1.4) การมีวิสัยทัศน์ คือความสามารถในการกำหนดวิสัยทัศน์ เชื่อมโยงสู่การปฏิบัติและเปิดโอกาสให้บุคลากรมีส่วนร่วมในการกำหนดวิสัยทัศน์ 2) ผลการยืนยันองค์ประกอบหลักภาพรวม พบว่า ทุกด้านมีความเหมาะสมเป็นไปได้ เรียงตามค่าเฉลี่ย คือ ด้านความเห็นอกเห็นใจและเข้าใจผู้อื่น ด้านการมีวิสัยทัศน์ ด้านการตระหนักรู้ และด้านการบริการ</p> กวินวัชญ์ ชิงชัย วัลนิกา ฉลากบาง พรเทพ เสถียรนพเก้า Copyright (c) 2023 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-31 2024-03-31 8 1 174 188 แนวทางการพัฒนาสมรรถนะเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของ นักทรัพยากรมนุษย์หลังโควิด-19 ตามความต้องการของตลาดแรงงานภาคอุตสาหกรรม ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/274470 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ในการศึกษาสมรรถนะเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของนักทรัพยากรมนุษย์หลังหลังโควิด-19 ตามความต้องการของตลาดแรงงานภาคอุตสาหกรรมในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ผู้วิจัยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน คือการศึกษาเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูลจำนวน 450 ตัวอย่าง จากประชากรในจังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรีและระยอง ส่วนการศึกษาเชิงคุณภาพ จากการสัมภาษณ์เชิงลึกของผู้บริหารในภาคอุตสาหกรรมหรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบริหารและการพัฒนาทรัพยากรบุคคลขององค์กรในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก จำนวน 12 คน ทั้งนี้ การวิเคราะห์ข้อมูลจากตัวอย่างเพื่ออ้างอิงไปยังประชากรที่ศึกษาใช้สถิติการทดสอบที (t-test) ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson Correlation)</p> <p>การวิจัยพบว่า คุณลักษณะของผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม ขีดความสามารถของนักทรัพยากรมนุษย์ภาคอุตสาหกรรม ขีดความสามารถของนักทรัพยากรมนุษย์หลังโควิด-19มีความสัมพันธ์และมีอิทธิพลโดยตรงกับขีดความสามารถของนักทรัพยากรมนุษย์ตามความต้องการของตลาดแรงงานภาคอุตสาหกรรม ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกในเชิงบวก ที่ระดับนัยสำคัญ .05</p> <p>ทั้งนี้ เมื่อนักทรัพยากรมนุษย์ได้รับการเสริมสร้างและพัฒนาสมรรถนะเพื่อเพิ่มขีดความสามารถสำหรับแรงงานตามความต้องการของภาคอุตสาหกรรมที่ตอบโจทย์บุคลากรอย่างเหมาะสม องค์กรก็จะเกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่ดีขึ้น ดังนั้น จึงจำเป็นต้องใช้ปัจจัยเหล่านี้ร่วมบูรณาการให้นักทรัพยากรมนุษย์มีความรู้กว้าง รู้ลึก รู้รอบ มีทักษะ ความสามารถ และมีคุณสมบัติการปรับตัวในสภาวะการทำงาน ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยมีความสอดคล้องกับความต้องการของอุตสาหกรรมและตลาดแรงงาน ซึ่งองค์กรและบุคคลที่เตรียมพร้อมด้านทักษะเหล่านี้ จะมีโอกาสสูงในการเติบโตและประสบความสำเร็จ ในอนาคต</p> นิชชิชญา เกิดช่วย Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-31 2024-03-31 8 1 189 205 การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ตามแนววิทยภาษาบูรณาการ เพื่อส่งเสริมทักษะการพูดสื่อสารและความเข้าใจวัฒนธรรมญี่ปุ่น สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/270301 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างและประเมินประสิทธิภาพของกิจกรรมการเรียนรู้ตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบทักษะการพูดสื่อสารภาษาญี่ปุ่นก่อนเรียนและหลังเรียน 3) เปรียบเทียบความเข้าใจวัฒนธรรมญี่ปุ่น ก่อนเรียนและหลังเรียน 4) ศึกษาผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนเฉลิมขวัญสตรี จำนวน 18 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบการสุ่มแบบง่ายโดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยของการสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 4 ชนิด คือ 1) กิจกรรมการเรียนรู้และแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนววิทยภาษาบูรณาการ 2) แบบทดสอบทักษะการพูดสื่อสารภาษาญี่ปุ่น 3) แบบทดสอบความเข้าใจวัฒนธรรมญี่ปุ่น 4) แบบสังเกตการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าประสิทธิภาพ E<sub>1</sub>/E<sub>2</sub> และสถิติ t-test dependent สำหรับข้อมูลเชิงปริมาณ และใช้เทคนิคการวิเคราะห์เนื้อหาสำหรับข้อมูลเชิงคุณภาพ ผลการวิจัยพบว่า 1) กิจกรรมการเรียนรู้มีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.46/81.17 2) ผู้เรียนมีทักษะการพูดสื่อสารภาษาญี่ปุ่นสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .01 3) ผู้เรียนมีความเข้าใจวัฒนธรรมญี่ปุ่นสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .01 4) ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้โดยพัฒนาทั้งทักษะการพูดสื่อสารและความเข้าใจวัฒนธรรมญี่ปุ่นควบคู่กันไปเมื่อได้ฝึกฝนทักษะการพูดสื่อสารอย่างเป็นไปตามวัฒนธรรมญี่ปุ่น โดยผู้เรียนพัฒนาการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดีผ่านการมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมชั้นและผู้สอน</p> สรวิศ จีนานุรักษ์ อังคณา อ่อนธานี Copyright (c) 2023 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-31 2024-03-31 8 1 206 226 การตรวจหาสารเคมีที่ติดมากับรอยลายนิ้วมือแฝง โดยเทคนิคไมโครสโคป ฟูเรียร์ทรานส์ฟอร์มอินฟราเรดสเปกโตรสโคปีสำหรับการประยุกต์ใช้ ทางนิติวิทยาศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/262505 <p>วัตถุประสงค์ของงานวิจัยนี้ 1) เพื่อศึกษาการใช้เทคนิคไมโครสโคป ฟูเรียร์ทรานส์ฟอร์ม อินฟราเรด (FTIR) สเปกโตรสโคปี ในการวิเคราะห์รอยลายนิ้วมือแฝงที่ติดอยู่บนวัตถุ 2) เพื่อตรวจหาชนิดของสารเคมีที่ปนเปื้อนอยู่บริเวณรอยลายนิ้วมือแฝงโดยใช้ภาพจากสเปกตรัมของเทคนิค FT-IR 3) เพื่อศึกษาระยะเวลาการคงอยู่ของสารเคมีที่ปนเปื้อนบนรอยลายนิ้วมือแฝงภายหลังการสัมผัสกับสารนั้น ๆ กลุ่มตัวอย่างสารเคมีที่ใช้ในการศึกษานี้เป็นตัวอย่างที่มักจะพบได้ในการสืบค้นที่เกิดขึ้นทางด้านนิติวิทยาศาสตร์ ได้แก่ เมทแอมเฟตามีน, คาเฟอีน, พาราเซตามอล, ผงกระท่อม และดินส่งกระสุนปืน ในงานวิจัยนี้รอยลายนิ้วมือแฝงที่วิเคราะห์จะถูกเก็บจากอาสาสมัคร โดยอาสาสมัครสัมผัสกับสารตัวอย่างชนิดต่าง ๆ จากนั้นประทับลายนิ้วมือลงบนพื้นแผ่นกระจกสไลด์ ภายหลังจากการสัมผัสเป็นเวลาทันทีและ 1, 3, และ 6 ชั่วโมง ตามลำดับ ผลการวิจัยพบว่า<br />1. ภาพถ่ายรอยลายนิ้วมือแฝงบนพื้นผิวกระจกที่ได้จากกล้องไมโครสโคปสามารถตรวจวัดได้<br />โดยสังเกตจากการลดลงของจุดลักษณะสำคัญพิเศษเมื่อลายนิ้วมือแฝงถูกทิ้งไว้นานขึ้นภายหลังจากการสัมผัสกับสารตัวอย่าง <br />2. เทคนิค FT-IR ที่ใช้ในงานวิจัยนี้ สามารถใช้วิเคราะห์สารเคมีที่ปนเปื้อนอยู่บนรอยลายนิ้วมือแฝง ภายหลังการสัมผัสกับสารเคมีได้<br />3. เทคนิคที่ใช้ในงานวิจัยนี้ สามารถใช้ในการตรวจสอบสารตกค้างบนลายนิ้วมือแฝง หลังจากอาสาสมัครสัมผัสสารตัวอย่าง แม้ว่าจะสัมผัสกับสารตัวอย่างมานานถึง 6 ชั่วโมง<br />ผลการศึกษาในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการใช้ภาพถ่ายจากเทคนิค FT-IR ในการตรวจหาสารเคมีต่าง ๆ ที่ตกค้างบนรอยลายนิ้วมือแฝง เพื่อประโยชน์ในงานทางด้านนิติวิทยาศาสตร์</p> อรทัย เขียวพุ่ม ศิริรัตน์ ชูสกุลเกรียง ศุภชัย ศุภลักษณ์นารี ปิยาภา จันทร์มล Copyright (c) 2023 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-31 2024-03-31 8 1 227 242 การพัฒนารูปแบบการสื่อสารตลาดออนไลน์เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ในเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนแม่สอด จังหวัดตาก https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/275749 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษารูปแบบการสื่อสารการตลาดออนไลน์ การออกแบบสื่อออนไลน์ และนำเสนอสื่อผ่านช่องทางสื่อออนไลน์ ต่อการตัดสินใจเดินทางมาท่องเที่ยวในเขตเศรษฐกิจชายแดนแม่สอด จังหวัดตาก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม และ แบบสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง ด้วยการใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน (Mix Research) ประกอบด้วย การวิจัยเชิงปริมาณ และ การวิจัยเชิงคุณภาพ ประชากรที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ นักท่องเที่ยว จำนวนกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา 385 คน และใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ นอกจากนี้ กำหนดผู้ให้สัมภาษณ์จำนวน 9 คน จากนักท่องเที่ยว ผู้ประกอบการการท่องเที่ยว และ ผู้ประกอบสื่อมวลชน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน<br />ผลการวิจัยพบว่า 1) การนำเสนอข้อมูลด้วยการถ่ายทอดสดผ่านการ Live เป็นการนำเสนอที่สนุกน่าติดตาม การใช้ภาพนิ่งช่วยดึงดูดความสนใจได้ดี การใช้คลิปวีดีโอทำให้ได้รับข้อมูลครบทั้งภาพและเสียง นอกจากนี้ การสร้างเรื่องราว (Content) มีความน่าสนใจในเรื่องราวต่าง ๆ ทั้งนี้ การใช้สื่อออนไลน์ทำให้ได้รับข้อมูลเร็วขึ้น เข้าถึงได้ง่ายขึ้น และ การสื่อสารออนไลน์มีสำคัญต่อการเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยว 2) การออกแบบสื่อสารการตลาดด้วยการทำคลิปวีดีโอนำเสนอเรื่องราวการท่องเที่ยวของอำเภอแม่สอด ความยาวประมาณ 3 นาที 46 วินาที ชื่อคลิป “11 จุดเช็คอิน อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก 3) เผยแพร่ ในช่องทางออนไลน์ 3 ช่องทาง คือ เฟสบุ๊ค-แฟนเพจ ยูทูป และสแกนคิวอาร์โค้ท<br />ทั้งนี้ ผลจากการเผยแพร่คลิปวีดีโอผ่านสื่อออนไลน์ พบว่า มีผู้ที่สนใจเข้ามาชมเนื้อหาดังกล่าว เป็นจำนวนมากถึง จากยอดการมีส่วนร่วมผ่านการเยี่ยมชม (ยอดวิว) ถูกใจ (ยอดไลน์) หัวใจ การแชร์ รวมถึง ข้อคิดเห็น (Comment) พบว่า การรับรู้ของนักท่องเที่ยวเป็นไปในทิศทางที่ดีเพิ่มขึ้น</p> สุมลมาลย์ อรรถวุฒิชัย สุวัจนกานดา พูลเอียด จักรพันธ์ วงศ์ฤกษ์ดี Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-31 2024-03-31 8 1 243 262 การปรับตัวทางวัฒนธรรมการบริโภคอาหารจีน ของคนไทยเชื้อสายจีนย่านเยาวราช https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/271721 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมาและวัฒนธรรมทางด้าน 的 อาหารจีนย่านเยาวราช 2) เพื่อศึกษาการปรับตัวทางวัฒนธรรมการกินของคนไทยเชื้อสายจีนย่านเยาวราช รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้แนวคิดวัฒนธรรมทางอาหารอาหารจีน ที่มุ่งเน้นศึกษาอาหารแต้จิ๋วและกวางตุ้งเป็นกรอบการวิจัย โดยผู้วิจัยได้กำหนดขอบเขตด้านเนื้อหา คือ ร้านอาหาร 30 ร้าน ที่อยู่ภายใน 22 ชุมชนในพื้นที่เยาวราช ใช้วิธีคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 2 ชนิด คือ 1) แบบสอบถาม 2) สัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์เนื้อหาแล้วเขียนบรรยายเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า<br />1. ประวัติความเป็นมาและวัฒนธรรมทางด้านอาหารจีนย่านเยาวราช พบว่า อาหารจีนที่เป็นที่นิยมและแพร่หลายในสังคมที่นำมาทั้งหมด 9 ชนิด คือ ข้าวมันไก่ โจ๊ก อาหารเจ ก๋วยเตี๋ยว ติ่มซำ ขนมเปี๊ยะ อิ่วก้วย ปาท่องโก๋ และราดหน้า ยังคงความดั้งเดิมของสูตร และกระบวนการทำ <br />2. การปรับตัวทางวัฒนธรรมการกินของคนไทยเชื้อสายจีนย่านเยาวราช พบว่า อาหารที่เป็นที่นิยมทั้ง 9 ชนิด มีการปรับเปลี่ยน เติมแต่ง หรือลดปริมาณของวัตถุดิบบางอย่าง เพื่อให้สามารถเข้ากับรสชาติและวัฒนธรรมอาหารไทย นอกจากนี้ยังมีการประยุกต์อาหารบางอย่างเพื่อให้สามารถรับประทานได้ในทุกช่วงเวลา ไม่ใช่เพียงการรับประทานเพื่อวาระ หรือเทศกาลใดเทศกาลหนึ่ง อาทิ ขนมอิ่วก้วย ที่ใช้ในงานพิธี เทศกาล หรือการไหว้เทพเจ้าของจีน มีการปรับให้กลายเป็นขนมทานเล่นและมีไส้ให้เลือกรับประทานได้หลากหลายมากขึ้น<br />องค์ความรู้จากงานวิจัยนี้สามารถนำมาประยุกต์ใช้และพัฒนาการเรียนการสอนเกี่ยวกับวัฒนธรรมจีนในประเทศไทย และสามารถนำความรู้เกี่ยวกับกระบวนการดำรงรักษา สืบทอด ต่อยอดความเป็น “เยาวราช” วัฒนธรรมอาหารจีนในประเทศไทย ไปสร้างอัตลักษณ์เกี่ยวกับอาหารต่อไป</p> วรรษมน เสริมชูวิทย์กุล อรรฉรา ไชยอนันต์สิน สิริวรรณพิชา ธนจิราวัฒน์ Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-31 2024-03-31 8 1 263 277 การพัฒนาช่องทางการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชน ด้วยพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ในจังหวัดนครสวรรค์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/262589 <p>การวิจัยเชิงพรรณนาและสำรวจครั้งนี้มีวัตถุประสงค์สามประการ (1) เพื่อศึกษาความต้องการใช้รูปแบบระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของผู้ขายและผู้ซื้อผลิตภัณฑ์ชุมชน (2) เพื่อออกแบบและพัฒนารูปแบบช่องทางการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชนด้วยพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และ (3) เพื่อประเมินผลความพึงพอใจในการใช้งานรูปแบบช่องทางการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชนด้วยพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย แบบสอบถามเก็บรวบรวม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วยกลุ่มผู้ขายและผู้ซื้อผลิตภัณฑ์ชุมชน 2 กลุ่ม ๆ ละ 400 คน ได้มาจากการสุ่มแบบเฉพาะเจาะจง ผลการวิจัยเป็นดังนี้ 1) ความต้องการใช้รูปแบบระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ พบว่า ส่วนใหญ่ผู้ขายและผู้ซื้อผลิตภัณฑ์ชุมชนต้องการให้ระบบหน้าร้านแสดงข้อมูลสินค้า แสดงช่องทางการติดต่อที่หลากหลาย แสดงข้อมูลข่าวประชาสัมพันธ์พร้อมทั้งแสดงนโยบายการค้า และข้อมูลเกี่ยวกับเว็บไซต์ด้านระบบตะกร้าสินค้าต้องการให้ระบบแสดงรายการสินค้าที่ถูกสั่งซื้อ และ ลูกค้าสามารถปรับเปลี่ยนรายการสินค้าได้จนกว่าจะเข้าถึงขั้นตอนการชำระเงิน มีระบบยืนยัน/ แจ้งเตือนการสั่งซื้อสินค้า และแสดงจำนวนสินค้าที่ถูกสั่งซื้อ ในแต่ละรายการ ด้านระบบชำระเงินต้องการให้ระบบโอนเงินเข้าบัญชี การชำระเงินปลายทาง และ การชำระเงินผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส ด้านระบบการจัดส่งสินค้าและบริการ ต้องการให้ระบบจัดส่งแบบด่วน มีการแจ้งรายละเอียดในการคิดค่าขนส่งสินค้า มีจัดส่งแบบลงทะเบียน และระบบการแจ้ง เตือนการชำระเงินและติดตามการจัดส่งสินค้า ต้องการให้ระบบมีการเชื่อมโยงกับเว็บไซต์บริษัทขนส่ง สามารถติดตามสถานะการจัดส่งสินค้าผ่านเว็บไซต์และมีแจ้งเตือนสถานการณ์จัดส่งผ่าน แอปพลิเคชันไลน์ 2) การออกแบบและพัฒนาช่องทางการจัดจำหน่ายด้วยพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ พบว่า เทคนิคการออกแบบเว็บไซต์แบบใหม่ ควรประกอบด้วย หน้าแรก หน้าประเภทสินค้า หน้าสินค้า หน้าการแจ้งชำระเงิน หน้านโยบายการค้า หน้าข้อมูลเกี่ยวกับเว็บไซต์ และ หน้าตะกร้าสินค้า นอกจากนี้ควรประกอบไปด้วย แสดงสินค้าแนะนำ สินค้าผลิตภัณฑ์ชุมชน ข่าวประชาสัมพันธ์ และ ช่องทางการติดต่อ และ 3) การประเมินผลความพึงพอใจในการใช้งานรูปแบบช่องทางการจัดจำหน่าย พบว่า มีความพึงพอใจระบบในภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุดมีค่าเฉลี่ยเป็น 4.62</p> สุเมธ พิลึก จิตาพัชญ์ ไชยสิทธิ์ Copyright (c) 2023 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-31 2024-03-31 8 1 278 294 ทัศนคติทางด้านโลจิสติกส์ด้านความเชื่อมั่นของผู้ซื้อสินค้าผ่านระบบขนส่งที่ส่งผลต่อความพึงพอใจของการตัดสินใจซื้อสินค้าเครื่องอุปโภคและบริโภคของผู้ประกอบการ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/275779 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาทัศนคติทางด้านโลจิสติกส์ด้านความเชื่อมั่นของผู้ซื้อสินค้าผ่านระบบขนส่งที่ส่งผลต่อความพึงพอใจของการตัดสินใจซื้อสินค้าเครื่องอุปโภคและบริโภคของของผู้ประกอบการ 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของการตัดสินใจซื้อสินค้าเครื่องอุปโภคและบริโภคของของผู้ประกอบการ รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถามเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่อยู่ในกรุงเทพมหานคร จำนวน 400 ราย ด้วยวิธีการสุ่มหลายขั้นตอน โดยสุ่มด้วยวิธีการจับฉลากและสุ่มแบบเฉพาะเจาะจง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบที การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัย พบว่าผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับทัศนคติทางด้านโลจิสติกส์ด้านความเชื่อมั่นของผู้ซื้อสินค้าผ่านระบบขนส่ง ในภาพรวมและรายด้านมีความเห็นอยู่ในระดับมาก 2) ความพึงพอใจของการตัดสินใจซื้อสินค้าเครื่องอุปโภคและบริโภคของของผู้ประกอบการอิทธิพลต่อการตัดสินใจ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 สมการมีอำนาจการพยากรณ์ร้อยละ 64.00</p> วณิศญดา วาจิรัมย์ Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-31 2024-03-31 8 1 295 307 การพัฒนาความสามารถในการพูดและความกล้าแสดงออกของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้วงจรสอนการพูดของโกะและเบิร์นส์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/272313 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาผลของการใช้วงจรสอนการพูดของโกะและเบิร์นส์ในการพัฒนาความสามารถในการพูดของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และ 2) เพื่อศึกษาผล<br />ของการใช้วงจรสอนการพูดของโกะและเบิร์นส์ในการพัฒนาความกล้าแสดงออกของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 34 คน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทยโดยใช้วงจรสอนการพูดของโกะและเบิร์นส์ จำนวน 4 วงจร แบบประเมินความสามารถในการพูด และแบบประเมินความกล้าแสดงออก วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย (M) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) ของคะแนนความสามารถในการพูดและคะแนนความกล้าแสดงออก เพื่อทดสอบความแตกต่างหลังทดลองแต่ละวงจรด้วย การทดสอบความแปรปรวนทางเดียวสำหรับการวัดซ้ำ (One-way repeated measure ANOVA) ผลการวิจัยพบว่า 1. คะแนนความสามารถในการพูดจากการวัดแต่ละวงจรแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 2.คะแนนความกล้าแสดงออกของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จากการวัดแต่ละวงจรแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> ธนัช สุขสมบูรณ์ พิณพนธ์ คงวิจิตต์ Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-31 2024-03-31 8 1 308 323 แบบจำลองพยากรณ์อัตราค่าเช่าที่อยู่อาศัยประเภทหอพักหรืออพาร์ทเม้นท์ในพื้นที่โดยรอบสถาบันการศึกษา กรณีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/263026 <p>การย้ายถิ่นฐานเข้ามาทำงานหรือศึกษาต่อในจังหวัดปทุมธานีส่งผลให้ความต้องการที่พักอาศัยชั่วคราวเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ การตัดสินใจเช่าห้องพักของผู้เช่าขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยทางกายภาพที่ส่งผลต่ออัตราค่าเช่าที่อยู่อาศัยในพื้นที่โดยรอบมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต และ 2) สร้างแบบจำลองเชิงเส้นสำหรับพยากรณ์อัตราค่าเช่า รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้แนวคิดทฤษฎีการวิเคราะห์ความถดถอยเชิงพหุเป็นกรอบแนวคิดการวิจัย พื้นที่วิจัย คือ ที่อยู่อาศัยให้เช่าประเภทหอพักหรืออพาร์ทเม้นท์ที่อยู่ในระยะรัศมี 5 กิโลเมตร โดยรอบมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ ผู้ประกอบการที่อยู่อาศัยให้เช่าประเภทหอพักหรืออพาร์ทเม้นท์ที่อยู่ในระยะรัศมี 5 กิโลเมตร โดยรอบมหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต จำนวน 400 ราย ใช้วิธีคัดเลือกแบบสะดวก เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย คือ แบบตรวจสอบรายการ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์ความถดถอยเชิงพหุ ด้วยวิธีการเพิ่มตัวแปรอิสระแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยทางกายภาพที่ส่งผลต่ออัตราค่าเช่าที่อยู่อาศัยในพื้นที่โดยรอบมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ประกอบด้วย 10 ปัจจัย คือ ห้องออกกำลังกาย การตกแต่งภายในห้องพัก พนักงานรักษาความปลอดภัย พื้นที่ใช้สอย อินเทอร์เน็ต/ไวไฟฟรี ร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหารตามสั่ง ร้านเสริมสวย ลิฟต์ และร้านซักรีด และ 2) แบบจำลองพยากรณ์อัตราค่าเช่าที่ดีที่สุด คือ รูปแบบ Linear – Linear มีความแม่นยำสูงถึงร้อยละ 77.10 หรือคิดเป็นค่าความคลาดเคลือนเพียงร้อยละ 22.90 และเป็นสมการพยากรณ์รูปแบบเดียวที่มีค่า Durbin-Watson ที่ได้จากการทดสอบอยู่ในช่วงขอบเขตล่างถึงขอบเขตบนของค่า Durbin – Watson ที่ได้จากการเปิดตาราง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าค่าความคลาดเคลื่อนเป็นอิสระต่อกัน มีค่าเฉลี่ยของค่าส่วนที่เหลือเท่ากับ 0.000 และมีค่าผลรวมของความเบี่ยงเบนกำลังสองเท่ากับ 84.940 ซึ่งสามารถสร้างสมการพยากรณ์ได้ว่าค่ามาตรฐานของ Y (อัตราค่าเช่าต่อเดือน) = 0.338 (ค่ามาตรฐานของห้องออกกำลังกาย) + 0.274 (ค่ามาตรฐานของการตกแต่งภายในห้องพัก) + 0.034 (ค่ามาตรฐานของพนักงานรักษาความปลอดภัย) + 0.214 (ค่ามาตรฐานของพื้นที่ใช้สอย) + 0.082 (ค่ามาตรฐานของอินเทอร์เน็ต/ไวไฟฟรี) - 0.205 (ค่ามาตรฐานของร้านสะดวกซื้อ) + 0.160 (ค่ามาตรฐานของร้านอาหารตามสั่ง) - 0.111 (ค่ามาตรฐานของร้านเสริมสวย) + 0.113 (ค่ามาตรฐานของลิฟต์) + 0.078<br />(ค่ามาตรฐานของร้านซักรีด) </p> ชัญญรัชต์ นิธิธีรพัชร์ เอนก สุวรรณชัยสกุล Copyright (c) 2023 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-31 2024-03-31 8 1 324 341 การพัฒนาชุดการสอนรายวิชาระบบไอซีทีและนวัตกรรมเพื่อการบริหารการศึกษาโดยใช้เทคนิคการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สำหรับนักศึกษาระดับ ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/275959 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อพัฒนาชุดการสอนรายวิชาระบบไอซีทีและนวัตกรรมเพื่อการบริหารการศึกษาโดยใช้เทคนิคการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพ (2) เพื่อศึกษาดัชนีประสิทธิผลของชุดการสอนระบบไอซีทีและนวัตกรรมเพื่อการบริหารการศึกษา และ (3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของชุดการสอนรายวิชาระบบไอซีทีและนวัตกรรมเพื่อการบริหารการศึกษา รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้เทคนิคการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัยคือมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ กลุ่มเป้าหมาย คือ นักศึกษาหลักสูตรศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชานวัตกรรมการบริหารการศึกษา จำนวน 3 ห้องเรียน โดยใช้วิธีการเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย<br />3 ส่วน ได้แก่ ชุดการสอนรายวิชาระบบไอซีทีและนวัตกรรมเพื่อการบริหารการศึกษา จำนวน 8 ชุด แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบสอบถาม ความคิดเห็นของนักศึกษาที่เรียนด้วยการสอนโดยใช้ชุดการสอนที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น โดยค่าอำนาจจำแนกและค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับเท่ากับ .874 สถิติที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละ และค่าดัชนีประสิทธิผล<br />ผลการวิจัยพบว่า (1) ชุดการสอนรายวิชาระบบไอซีทีและนวัตกรรมเพื่อการบริหารการศึกษาโดยใช้เทคนิคการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทุกชุดมีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.14/84.92 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ (2) ดัชนีประสิทธิผลของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษา จากการใช้ชุดการสอนรายวิชาระบบไอซีทีและนวัตกรรมเพื่อการบริหารการศึกษาโดยใช้เทคนิคการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ มีค่าเท่ากับ 0.8105 แสดงว่านักศึกษามีความก้าวหน้าทางการเรียนเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 81.05 (3) ชุดการสอนรายวิชาระบบไอซีทีและนวัตกรรมเพื่อการบริหารการศึกษาโดยใช้เทคนิคการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทั้งในภาพรวมทุกด้าน ภาพรวมรายด้าน และรายข้อมีความเหมาะสมในระดับมาก<br />องค์ความรู้จากงานวิจัยนี้คือ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้ประสบความสำเร็จเป็นเรื่องจําเป็นที่ผู้สอนต้องหาวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้ผู้เรียนเรียนได้อย่างเข้าใจโดยผู้สอนจะต้องเสริมสร้างความสามารถในการแก้ปัญหาควบคู่กับการให้ความรู้กับผู้เรียน โดยเน้นกิจกรรมการเรียนการสอนที่กระตุ้นความคิดของผู้เรียนได้คิดกว้างคิดหลากหลายและคิดสร้างสรรค์มากที่สุดตามศักยภาพของผู้เรียน</p> เฉลิมพล มีชัย Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-31 2024-03-31 8 1 342 356 Comparison of Causal Factors Influencing Behavioral Intention of Small-Scale Marathon Events Among Runners with Different Involvement https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/262215 <p>This article aimed to develop a causal relationship model of factors influencing behavioral intention of small-scale marathon event runners and to compare a difference of the causal relationship models among high and low involvement runners. This research was a quantitative research using the questionnaire with reliability value at 0.890. The Sample was 480 runners participated in small-scale marathon events recurring in Bangkok and Perimeter. The data were analyzed by using Confirmatory Factor Analysis and Structural Equation Model. The results found that the causal relationship model of factors influencing behavioral intention was fit. Service quality and destination image had direct effects on satisfaction which acted likewise as a significant mediator affecting behavioral intention indirectly. Furthermore, there were significant direct effects from destination image and satisfaction to behavioral intention. However, there was no significant difference of the models among high and low involved runners. Therefore, small-scale marathon event managers should pay attention to satisfaction because it can play an essential role in behavioral intention consisting of recommendation to others and retention. <br />Service quality should be provided by concentrating on satisfying runners when organizing the events. In addition, the cities hosting the events need to serve destination image to runners for perceiving appreciation during the trips. Consequently, these were advantageous for developing small-scale marathon events sustainably.</p> Paak Phantumabamrung Thee Trongjitpituk Copyright (c) 2023 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-31 2024-03-31 8 1 357 371 การประเมินหลักสูตรวิชาบูรณาการโครงงานฐานวิจัย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนอนุบาลมะนัง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสตูล เขต 1 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/262820 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินหลักสูตรวิชาบูรณาการโครงงานฐานวิจัย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนอนุบาลมะนัง ปีการศึกษา 2564 ใน 4 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านบริบท 2) ด้านปัจจัยเบื้องต้น 3) ด้านกระบวนการ และ 4) ด้านผลผลิต โดยใช้รูปแบบ CIPP Model รูปแบบการวิจัยเชิงปริมาณผู้วิจัยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงจากประชากรทั้งหมด ประกอบด้วย คณะกรรมการสถานศึกษา 5 คน ผู้บริหารสถานศึกษา 3 คน ครูผู้สอน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 5 คน นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2564 26 คน ผู้ปกครองของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2564 10 คน รวมกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 49 คน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า การประเมินหลักสูตรวิชาบูรณาการโครงงานฐานวิจัย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนอนุบาลมะนัง ใน 4 ด้าน ดังนี้ 1)ด้านบริบทผู้บริหารสถานศึกษา กรรมการสถานศึกษา<br />และครูผู้สอน มีความเหมาะสมสอดคล้องโดยรวมอยู่ในระดับ มาก 2) ด้านปัจจัยผู้บริหารสถานศึกษา เห็นตรงกันว่ามีความเหมาะสมสอดคล้องโดยรวมอยู่ในระดับ มากที่สุด และกรรมการสถานศึกษา ครูผู้สอน นักเรียน และผู้ปกครอง เห็นตรงกันว่ามีความเหมาะสมสอดคล้องโดยรวมอยู่ในระดับมาก 3) ด้านกระบวนการ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน ผู้ปกครอง เห็นตรงกันว่ามีความเหมาะสมสอดคล้องโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และ 4) ด้านผลผลิต เรื่องคุณภาพผู้เรียนเมื่อจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ครูเห็นว่ามีความเหมาะสมสอดคล้องในระดับมากที่สุด นักเรียนเห็นว่ามีความเหมาะสมสอดคล้องในระดับมาก<br />ผลการประเมินสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ทั้ง 5 สมรรถนะ ครูและผู้ปกครองเห็นตรงกันว่าคะแนนโดยรวมของนักเรียนมีความเชี่ยวชาญ ในระดับคุณภาพ ระดับ 3 (สามารถ) นักเรียนเห็นว่าสมรรถนะสำคัญของตนเองมีความเชี่ยวชาญ ในระดับคุณภาพ ระดับ 2 (กำลังพัฒนา) และด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ครูให้คะแนนโดยรวมอยู่ในระดับ ดี นักเรียนและผู้ปกครองเห็นตรงกันว่าคะแนนโดยรวมอยู่ในระดับ ดีเยี่ยม ด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนอนุบาลมะนัง ส่วนใหญ่ได้เกรด 3 ขึ้นไป มีผลการเรียนโดยรวมคิดเป็น ร้อยละ 100 สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดร้อยละ 70 </p> บรรณรต จันทร์ประดิษฐ์ ณฐาพัชร์ วรพงศ์พัชร์ ธนาดล สมบูรณ์ วีระ วงศ์สรรค์ Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-31 2024-03-31 8 1 372 392 การบริหารงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดนนทบุรี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/263440 <p>งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1)ศึกษาสภาพปัจจุบันการบริหารงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดนนทบุรี 2)ศึกษาปัญหาและอุปสรรคที่มีต่อการบริหารงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดนนทบุรี และ 3)ศึกษาแนวทางการบริหารงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดนนทบุรี ใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพด้วยวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกจากกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ประกอบด้วย นายกองค์การบริหารส่วนตำบล ประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบล เลขานุการสภาองค์การบริหารส่วนตำบล ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบล เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน ผู้นำชุมชนและประชาชน รวมทั้งสิ้น 18 คน แล้วพรรณนาหาข้อสรุปอย่างเป็นระบบมีเหตุผลอ้างอิงทฤษฎีดำเนินการจัดระเบียบข้อมูล</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1)สภาพปัจจุบันการบริหารงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีสังคมชนบทกึ่งสังคมเมืองเป็นบทสะท้อนปัญหาการบริหารงานที่อยู่ภายใต้ทรัพยากรที่จำกัด เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนที่ไม่มีความชัดเจนในอำนาจหน้าที่ทางกฎหมายจากสภาพการเปลี่ยนทางสังคม เศรษฐกิจกิจ การเมือง และเทคโนโลยี 2)กฎระเบียบ ข้อบังคับ กลุ่มผลประโยชน์ สภาพแวดล้อมทางการเมืองในระดับท้องถิ่น และการมีส่วนร่วมของประชาชน ยังเป็นปัญหาที่คงอยู่ทั้งผลกระทบทางตรงและทางอ้อมในระดับการบริหารงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นท้องถิ่นในจังหวัดนนทบุรี และ3)แนวทางการบริหารงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดนนทบุรี ได้แก่ 3.1)การกำหนดขนาดที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ 3.2)การจัดสรรงบประมาณให้เหมาะสมกับขนาดและภารกิจ 3.3)การส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมที่เหมาะสมกับการบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตำบล และ3.4)การกำหนดแนวทางการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินงานอย่างมีผลสัมฤทธิ์เชิงประจักษ์ภายใต้แนวนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ที่ได้วางไว้อย่างชัดเจนตามแนวทางหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี สู่ความยั่งยืนต่อไป</p> ฉลวย ขันจำนงค์ พภัสสรณ์ วรภัทร์ถิระกุล Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-31 2024-03-31 8 1 393 406 พัฒนารูปแบบการสร้างความตระหนักรู้และพฤติกรรมลดการบริโภค เกลือโซเดียมในประชาชนจังหวัดนครพนม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/266362 <p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้ (Action Research) อยู่ภายใต้โครงการยุทธศาสตร์ลดการบริโภคเกลือและโซเดียมในประเทศไทยปี พ.ศ. 2559-2568 ดำเนินการในจังหวัดนครพนมตั้งแต่มกราคม-ธันวาคม 2565 แบ่งการศึกษาเป็น 4 ระยะ คือ 1) ศึกษาสถานการณ์บริโภคกลือโซเดียม/สร้างชุดข้อมูลอาสาสมัครและชุมชน 2) สร้างรูปแบบความตระหนักรู้การบริโภคเกลือโซเดียมสำหรับประชาชน 3) พัฒนาหลักสูตรการอบรม 4) ประเมินผลรูปแบบและหลักสูตรที่นำไปใช้ในชุมชน ผลการศึกษาดังนี้ 1) ค่าเฉลี่ยการบริโภคเกลือโซเดียมต่อวันของประชาชนสูงเกินค่าแนะนำขององค์การอนามัยโลกและในเพศหญิงสูงกว่าชาย 2) ปัจจัยที่สัมพันธ์กับปริมาณการบริโภคเกลือโซเดียมต่อวัน คือ เพศ อายุ การศึกษา รายได้ต่อเดือน ความชอบรสชาติอาหาร ดัชนีมวลกาย การไม่มีโรคความดันโลหิตสูงและเบาหวาน 3) รูปแบบการสร้างความตระหนักรู้ลดการบริโภคเกลือโซเดียมของประชาชนประกอบด้วย ศึกษาสถานการณ์บริโภคกลือโซเดียมแล้วนำข้อมูลมาออกแบบหลักสูตรและการอบรมให้ความรู้ สร้างกลไกการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย รณรงค์ สร้างกระแส ประชาสัมพันธ์ 4)ผลการนำรูปแบบและหลักสูตรอบรมไปใช้ในชุมชนพบว่า ประชาชนมีความตระหนักรู้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในด้านการรับรู้โอกาสเสี่ยง อุปสรรคของการปฏิบัติ ความรุนแรงของโรค ภาวะคุกคามของโรค และความสามารถของตนเอง แต่การรับรู้ผลประโยชน์การปฏิบัติเพื่อลดความเสี่ยงการบริโภคเกลือโซเดียมไม่มีความแตกต่างทั้งก่อนและหลังโครงการโดยพบว่าอยู่ในระดับดี 5) ผลการประเมินหลักสูตรในภาพรวมอยู่ในระดับดี ทั้งด้านการบรรยาย เนื้อหา และการนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ ผลการศึกษานี้จะนำไปวางแผนแก้ปัญหาและลดการบริโภคเกลือและโซเดียมต่อไป</p> มารดี ศิริพัฒน์ Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-31 2024-03-31 8 1 407 422 การพยากรณ์ราคาขายทรัพย์สินรอการขายประเภทบ้านเดี่ยว ในพื้นที่กรุงเทพมหานครโดยใช้เทคนิคการเรียนรู้ของเครื่อง https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/262491 <p>การนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ นอกจากจะช่วยให้ผู้บริโภคมีข้อมูล<br />ในการตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นแล้ว ยังช่วยให้ผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สามารถนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ รวมถึงสร้างโอกาสและเพิ่มมูลค่าในการแข่งขัน บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของเทคนิคการเรียนรู้ของเครื่องในการสร้างแบบจำลองพยากรณ์ราคาขายทรัพย์สินรอการขายประเภทบ้านเดี่ยวในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยใช้วิธีการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณและใช้แนวคิดการเรียนรู้ของเครื่องเป็นกรอบการวิจัย ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างทรัพย์สินรอการขายประเภทบ้านเดี่ยวในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวน 446 ตัวอย่าง ใช้วิธีการคัดเลือกแบบสะดวกโดยเลือกทรัพย์สินรอการขายประเภทบ้านเดี่ยวในพื้นที่กรุงเทพมหานครที่มีข้อมูลครบถ้วนตามตัวแปรที่กำหนด จากนั้นทำการบันทึกข้อมูลลงในแบบตรวจสอบรายการ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและเทคนิคการเรียนรู้ของเครื่อง ได้แก่ เทคนิคซัพพอร์ตเวกเตอร์แมชชีน เทคนิคต้นไม้กาเดียนบูทสเต็ท เทคนิคโครงข่ายประสาทเทียม และเทคนิคการทำเหมืองข้อมูลแบบรวมกลุ่ม <br />ผลการวิจัยพบว่า สมการพยากรณ์ที่ได้จากการใช้เทคนิค Ensemble Vote ให้ค่าความคลาดเคลื่อนเฉลี่ยกําลังสองในการพยากรณ์ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับแบบจำลองที่เป็นส่วนประกอบ โดยมีค่า RMSE, ค่า R2 และค่า Beta ของแบบจำลองเท่ากับ 3,746,335.580 บาท 0.5377 และ 0.4919 ตามลำดับ จะเห็นได้ว่า การสร้างสมการพยากรณ์ราคาขายทรัพย์สินรอการขายประเภทบ้านเดี่ยวในพื้นที่กรุงเทพมหานครโดยใช้เทคนิคการเรียนรู้ของเครื่องที่หลากหลาย ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวมของสมการพยากรณ์ เนื่องจากการนําตัวจําแนกข้อมูลที่หลากหลายมารวมกันด้วยวิธีการรวมกลุ่ม สามารถช่วยลดปัญหาการเกิดไบแอสของข้อมูลได้และเสริมประสิทธิภาพในการจําแนกข้อมูล ทำให้โมเดลที่ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้ ผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สามารถนำเทคนิคการเรียนรู้ของเครื่องไปใช้วิเคราะห์ข้อมูล<br />เพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากข้อมูลประกอบการตัดสินใจ โดยเทคนิคการเรียนรู้ของเครื่องสามารถสร้างสมการพยากรณ์ได้โดยใช้ข้อมูลที่สามารถหาได้จากเครือข่ายอินเทอร์เน็ตแม้ว่าจะมีข้อมูลจำนวนไม่มากนัก</p> พีรภัทร วัสแสง กองกูณฑ์ โตชัยวัฒน์ Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-31 2024-03-31 8 1 423 439 นโยบายการพัฒนาบทบาทของอาสาสมัครสาธารณสุข ประจำหมู่บ้าน (อสม.) https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/263529 <p>งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1)เพื่อศึกษาสภาพบทบาทของ อสม. ต่อการบริหารจัดการสุขภาพชุมชนในปัจจุบัน 2) เพื่อศึกษาปัญหาอุปสรรคการดำเนินตามบทบาทของ อสม. ในการบริหารจัดการสุขภาพชุมชน และ 3) เพื่อศึกษานโยบายการพัฒนาบทบาทของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) จังหวัดนนทบุรี ใช้ระเบียบวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพด้วยวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกจากกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จากกลุ่มผู้มีส่วนเกี่ยวข้องภายในชุมชน และกลุ่มผู้มีส่วนเกี่ยวข้องภายนอกชุมชน รวมทั้งสิ้น 18 คน แล้วพรรณนาหาข้อสรุปอย่างเป็นระบบมีเหตุผลอ้างอิงทฤษฎีดำเนินการจัดระเบียบข้อมูล</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพบทบาทของ อสม. ต่อการบริหารจัดการสุขภาพชุมชนในปัจจุบัน มีผลมาจากประชาชนในบางพื้นที่ยังไม่ค่อยรับรู้ถึงบทบาทในการทำงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านเท่าที่ควรจากสภาพทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป 2) ปัญหาอุปสรรคการดำเนินตามบทบาทของ<br />อสม. ในการบริหารจัดการสุขภาพชุมชน มีผลมาจากความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและชุมชนที่ขยายเพิ่มมากขึ้น ทำให้คนต่างถิ่นโยกย้ายถิ่นฐานเข้ามาทำงานส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ที่จะต้องได้รับการจัดการดูแลขั้นพื้นฐาน ซึ่งปัญหาเหล่านี้ได้ส่งผลให้อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านและเครือข่ายต้นสังกัดต้องเตรียมพร้อมรับมือกับปัญหาดังกล่าว และ3)นโยบายการพัฒนาบทบาทของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) จำเป็นต้องใช้ความรู้ที่ถูกต้องชัดเจนและเข้าใจง่ายเพื่อให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้สื่อสารให้เข้ากับสถานการณ์และบริบทของพื้นที่ได้อย่างเหมาะสม ในการบริหารจัดการสุขภาพชุมชนที่ยั่งยืนตามนโยบายการพัฒนาบทบาทของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน(อสม.) ให้เอื้อต่อการมีสุขภาพดีของประชาชนต่อไป</p> ดวงกมล ก๊กอึ้ง จรัสพงศ์ คลังกรณ์ Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-31 2024-03-31 8 1 440 452 กลยุทธ์การบริหารคุณภาพทั้งองค์กรของโรงเรียนในโครงการพัฒนาเด็ก และเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร ตามพระราชดำริฯ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ของจังหวัดแม่ฮ่องสอน https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/262884 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ (1) ศึกษาสภาพ ปัญหา และปัจจัยแห่งความสำเร็จในการบริหาร คุณภาพทั้งองค์กรของโรงเรียนในโครงการฯ (2) พัฒนากลยุทธ์การบริหารคุณภาพทั้งองค์กรของโรงเรียน ในโครงการฯ และ (3) ประเมินกลยุทธ์การบริหารคุณภาพทั้งองค์กรของโรงเรียนในโครงการฯ รูปแบบการ วิจัยเป็นแบบผสานวิธี ผู้ให้ข้อมูลประกอบด้วย ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษา นักวิชาการศึกษา ประธานคณะกรรมการสถานศึกษา และนักวิชาการ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถาม ความคิดเห็น แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง แบบบันทึกการประชุมเชิงปฏิบัติการ แบบประเมินกลยุทธ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การแจกแจงความกี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ เนื้อหา<br />ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 1 พบว่า สภาพการบริหารคุณภาพทั้งองค์กรของโรงเรียนใน โครงการฯ ทั้ง 5 องค์ประกอบ เรียงตามความกี่จากมากไปหาน้อยได้ดังนี้ 1) การตระหนักในคุณภาพ 2) การปรับปรุงระบบอย่างต่อเนื่อง 3) การให้ความสำคัญกับผู้รับบริการ 4) การทำงานเป็นทีม และ 5) การศึกษาอบรมและการสกอบรม ตามลำดับ ส่วนปัญหาการบริหารคุณภาพทั้งองค์กรของโรงเรียนใน โครงการฯ เรียงตามลำดับค่าเฉลี่ยรากมากไปหาห้อยได้ดังนี้ 1) การศึกษาอบรมและการสกอบรม 2) การ ให้ความสำคัญกับผู้รับบริการ 3) การตระหนักในคุณภาพ 4) การทำงานเป็นทีม และ 5) การปรับปรุงระบบ อย่างต่อเนื่อง ตามลำดับ ส่วนปัจจัยแห่งความสำเร็จของการบริหารคุณภาพทั้งองค์กรของโรงเรียนในโครงการฯ ได้แก่ บุคลากรงบประมาณ วัสดุอุปกรณ์ และการบริหารจัดการ<br />2. ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 2 พบว่า กลยุทธ์การบริหารคุณภาพทั้งองค์กรของโรงเรียน ในโครงการฯ ประกอบด้วย 1 วิสัยทัศน์ 3 พันธกิจ 3 เป้าประสงค์ 3 ประเด็นกลยุทธ์ 6 กลยุทธ์ 6 ตัวชีวัด 6 มาตรการ และ 6 โครงการ<br />3. ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 3 พบว่า กลยุทธ์การบริหารคุณภาพทั้งองค์กรของโรงเรียน ในโครงการฯ มีความสอดคล้อง ความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์ในภาพรวมอยู่ใน ระดับมากที่สุดองค์ความรู้จากงานวิจัยนี้จะเป็นประโยชน์ต่อหน่วยงานด้นสังกัด และสถานศึกษาสามารถนำกลยุทธ์ การบริหารคุณภาพทั้งองค์กรของโรงเรียนในโครงการฯ ไปปรับใช้ในการกำหนดนโยบายและวางแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาสู่ความเป็นเลิศได้ </p> สยาม เรืองสุกใส ประรบ ขวัญมั่น สุบัน พรเรียง Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-31 2024-03-31 8 1 453 467 การบริหารจัดการสิทธิของแรงงานต่างด้าวในช่วงสถานการณ์วิกฤต โรคระบาดโควิด-19 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/262989 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1)ศึกษาสภาพและปัญหาการบริหารจัดการสิทธิของแรงงานต่างด้าวในช่วงสถานการณ์วิกฤตโรคระบาดโควิด-19 2)ศึกษารูปแบบการบริหารจัดการสิทธิของแรงงานต่างด้าวในช่วงสถานการณ์วิกฤตโรคระบาดโควิด-19 และ3)เสนอแนะแนวทางที่หมาะสมของการบริหารจัดการสิทธิของแรงงานต่างด้าวในช่วงสถานการณ์วิกฤตโรคระบาดโควิด-19 เป็นการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกจากกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ หน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานภาคเอกชน ภาคผู้ทรงคุณวุฒิและแรงงานข้ามชาติสัญชาติพม่ารวมทั้งหมด 25 คน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก แล้วนำมาพรรณนาหาข้อสรุปอย่างเป็นระบบมีเหตุผลอ้างอิงทฤษฎีดำเนินการจัดระเบียบข้อมูล ผลการวิจัยพบว่า 1)สภาพและปัญหาการบริหารจัดการสิทธิของแรงงานต่างด้าวจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นบทสะท้อนสะท้อนมาตรการต่าง ๆ เช่น มาตรการล็อคดาวน์ของแต่ละจังหวัด และการปิดพรมแดน 2)รูปแบบการบริหารจัดการสิทธิของแรงงานต่างด้าวยังไม่มีรูปแบบ/กลไกที่ชัดเจนหรือการดำเนินงานยังไม่ครอบคลุมตามแผน/กิจกรรมที่กำหนดร่วมกันที่จะนำไปสู่รูปแบบปัจจัยความสำเร็จในการขับเคลื่อนเชิงนโยบายและสนับสนุนการดำเนินงานการบูรณาการทำงานระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมระดับจังหวัด/อำเภอ และ3)มีข้อเสนอแนะการศึกษาในครั้งนี้ต้องมีการปรับปรุงรูปแบบการบูรณาการในระดับนโยบายสอดคล้องและเหมาะกับบริบทของพื้นที่ โดยให้ชุมชนและท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการพัฒนาสุขภาพแรงงานข้ามชาติเพื่อจะได้ป้องกันและควบคุมทั้งในด้านการปฏิบัติตัว<br />และด้านของเอกสารในการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต</p> ภัคจิรโชติ สมหน่อ สืบพงศ์ สุขสม Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-31 2024-03-31 8 1 468 483 ทักษะการบริหารงานของผู้บริหารในศตวรรษที่ 21 สังกัดศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนใต้ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/269037 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาระดับทักษะการบริหารงานของผู้บริหาร 2. เปรียบเทียบทักษะการบริหารงานของผู้บริหาร จำแนกตามวุฒิการศึกษา ประสบการณ์ในการทำงาน สถานภาพ พื้นที่ในการปฏิบัติงาน และศาสนา 3. ศึกษาแนวทางการพัฒนาทักษะการบริหารงานของผู้บริหารในศตวรรษที่ 21 สังกัดศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนใต้ งานวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสานระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 11 คน โดยใช้แบบสัมภาษณ์ และครูผู้สอน จำนวน 291 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล มีค่าความเชื่อมั่น .935 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าคะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับทักษะการบริหารงานของผู้บริหารในศตวรรษที่ 21 สังกัดศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนใต้ โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 2) ทักษะการบริหารงานของผู้บริหารในศตวรรษที่ 21 จำแนกตามวุฒิการศึกษา ประสบการณ์ในการทำงาน สถานภาพ พื้นที่ในการปฏิบัติงาน พบว่า ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และจำแนกตามศาสนา พบว่า แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) แนวทางการพัฒนาทักษะการบริหารงานของผู้บริหาร ผลการวิจัยพบว่าทักษะทางเทคโนโลยีและการใช้ดิจิทัลมีค่าเฉลี่ยต่ำสุด ซึ่งผู้บริหารควรพิจารณาให้ความสำคัญในด้านนี้โดยมีการเรียนรู้และทำความเข้าใจให้มากขึ้น ถึงแม้ไม่ได้เป็นผู้ปฏิบัติแต่ก็ควรเรียนรู้ถึงหลักการทำงาน และควรจัดอบรมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อให้ครูมีความรู้ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและนำมาประยุกต์ใช้ในการจัดทำหรือจัดหาเอกสารประกอบหลักสูตรและแบบพิมพ์ต่าง ๆ เพื่อใช้ในการจัดการเรียนรู้</p> กุลชญา กุลถิรวงศ์ สุดาพร ทองสวัสดิ์ จรัส อติวิทยาภรณ์ Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-31 2024-03-31 8 1 484 500 Developing Soft Skills of International Students in Graduate Music Programs https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/269006 <p>This Article aimed to study the application of soft skills development methods in the management of education for international students in graduate programs in music. This research is qualitative. The sample was 6 Ph.D. graduates international students<strong> </strong>in music graduate programs in Thailand.<strong> </strong>They were selected by purposive sampling method. The instrument for collecting data was an interview guideline-analysis data by Content Analysis.</p> <p>The research results were found as follows; The soft skills in this study were problem-solving and creativity skills, readiness to learn and critical thinking skills, adaptability skills, self-motivation and positive attitude skills, communication skills, and teamwork skills. All soft skills can develop through in-class study and by living in different environments when they study abroad. </p> Nicha Pattananon Lim Sin Mei Siriluk Charoenmongcolkij Chuchat Pinpart Krit Niramittham Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-31 2024-03-31 8 1 501 511 The Effect of Inclusive Leadership on Subordinate Behaviors Via The Mediating Roles of Relational Identity and Trust in Chengdu, China https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/273590 <p>This Article aimed to (1) study the effect between inclusive leadership, relational identity, trust, and subordinate behaviors, (2) analyst the inclusive leadership, relational identity, trust effect subordinate behaviors, (3) testify the trust and relational identity play a mediating role between inclusive leadership and subordinate behaviors. This research was quantitative research, collected data from executives of the companies in Chengdu, China sample of 409 respondents via simple random sampling, Analysis of data via SEM by AMOS. The research result was found as follow: 1). the factors that influence inclusive leadership were leadership effectiveness, leadership openness, and leadership accessibility. Factors that influence relational identity were relational identity individual cognition, individual understanding, and individual concentrate. Factors influence Trust were trust cognitive, behavioral, and trust affective.2) the impact of Inclusive leadership, relational identity, and trust of the companies was insignificant. Still, the impact of pay on subordinate behaviors has been found insignificant. 3) The mediating relational identity, and trust impact of subordinate behaviors factors play impact between the independent variables inclusive leadership to pay on subordinate behaviors the dependent variable.</p> Juan Wu Kittiampol Sudprasert Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-31 2024-03-31 8 1 512 528 The Effect of Animation-Based Performance Testing on Undergraduate Students’ Thinking Skills and Motivation https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/273831 <p>The aim of this study was to explore the effect of Animation-based performance testing on undergraduate students’ thinking skills and motivation and to examine whether on how students increase their thinking skill and motivation by using Animation-based performance testing in Psychology courses. In this study, the researcher used sequential mixed method study to conduct the effect of using Animation-based performance testing on students’ thinking skills and motivation in Psychology courses. A total of 123 undergraduate students participated for quantitative study and two of them were implemented reporting individual experiences for the interview. The quantitative study was evaluated by using descriptive statistics such as mean, standard deviation, while, correlation, and regression were used to find out the research question 1; hypothesis 1, and hypothesis 2. Meanwhile, a qualitative study was applying thematic analysis to conduct and interpret the data to answer this research question. The regression analysis showed that Animation-based performance testing on students’ thinking skills has a positive and significant effective (R-square = 0.368; F = 20.752; Beta (β) = 0.565; T-value = 5.344; and P-value = 0.000). Therefore, the regression analysis result showed that Animation-based performance testing on students’ motivation has a positive and significant effective (R-square = 0.057; F = 7.693; Beta (β) = 0.618; T-value = 3.472; and P-value = 0.000). Therefore, two respondents were selected to interview, students revealed that Animation-based learning and teaching in Psychology subject was effective and useful for themselves to enhance thinking skill such as critical thinking skills and increase their motivation.</p> Linatda Kuncharin Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-31 2024-03-31 8 1 529 540