https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/issue/feed
วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย
2025-09-28T00:00:00+07:00
Asst. Prof. Dr.Phumphakhawat Phumphongkhochasorn
eitsthailand64@gmail.com
Open Journal Systems
<p>วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการศึกษาค้นคว้า และเพื่อเผยแพร่บทความวิจัยและบทความวิชาการในมิติเพื่อสนับสนุนการศึกษา การสอน การวิจัย วารสารมุ่งเน้นบทความทางด้านการศึกษา นวัตกรรมการศึกษา นวัตกรรมการบริหารการศึกษา หลักสูตรและการสอน นวัตกรรมการจัดการ ศิลปศาสตร์ และนวัตกรรมการศึกษาเชิงประยุกต์ </p>
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/285283
การพัฒนาเยาวชนในพื้นที่ปัตตานีผ่านการบูรณาการ Hi-STEM เพื่อเสริมสร้างทักษะการเป็นผู้ประกอบการอาหารฮาลาล
2025-02-18T21:02:42+07:00
มูฮำหมัดอามีน หะยีหามะ
ameenfood@gmail.com
อิสมาอีล ราโอบ
h.muhammadameen@ftu.ac.th
<div> <p>การศึกษาในยุคปัจจุบันต้องเผชิญกับความท้าทายที่ซับซ้อน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและศาสนาอย่างสามจังหวัดชายแดนใต้ของประเทศไทย ซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม ระบบการศึกษาไม่เพียงต้องพัฒนาทักษะด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้สอดคล้องกับแนวทาง STEM (Science, Technology, Engineering, and Mathematics)เท่านั้น แต่ยังต้องคำนึงถึงการผสานองค์ความรู้เหล่านี้เข้ากับหลักศาสนาอิสลามและแนวทางฮาลาล เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับบริบททางสังคมของผู้เรียน อย่างไรก็ตาม การบูรณาการระหว่าง STEM กับหลักอิสลามยังคงเป็นความท้าทายสำคัญ<br />ทั้งในแง่ของหลักสูตร วิธีการสอน และการพัฒนาเนื้อหาที่เชื่อมโยงกับหลักศาสนาได้อย่างกลมกลืน การขาดแคลนสื่อการเรียนรู้และบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในการสอนแบบบูรณาการ ส่งผลให้ผู้เรียนในพื้นที่ขาดโอกาสในการพัฒนาทักษะทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่สอดคล้องกับอัตลักษณ์ของตนเองเพื่อตอบโจทย์ปัญหานี้ จึงมีการพัฒนาแนวทางการเรียนรู้ที่เรียกว่า Hi-STEM (Halal and Islamic principles integrated with STEM) ซึ่งเป็นการบูรณาการองค์ความรู้ด้าน STEM เข้ากับหลักการอิสลามและแนวคิดฮาลาล เพื่อให้การศึกษาในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้สามารถพัฒนาไปพร้อมกับการรักษารากฐานทางศาสนาและวัฒนธรรมของชุมชนได้อย่างสมดุล</p> <p>การศึกษาในรูปแบบ STEM (Science, Technology, Engineering, and Mathematics) ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ของประเทศไทยมีความสำคัญเป็นพิเศษ เนื่องจากต้องมีการบูรณาการหลักการอิสลามและแนวทางฮาลาลเข้ากับการเรียนการสอน เพื่อให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมและศาสนาของประชากรในพื้นที่ การบูรณาการนี้เรียกว่า Hi-STEM (Halal and Islamic principles integrated with STEM) ซึ่งเน้นการเรียนรู้ที่ท้าทายและตรงตามความต้องการของผู้ประกอบการในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ Hi-STEM มีความสำคัญในการเสริมสร้างทักษะทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ ควบคู่ไปกับการสร้างความเข้าใจในหลักการอิสลาม ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวันของผู้เรียน การบูรณาการนี้ช่วยให้การเรียนการสอนมีความหมายและยั่งยืน ทำให้ผู้เรียนสามารถประยุกต์ใช้ความรู้และทักษะที่ได้รับในการแก้ไขปัญหาในชีวิตจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ Hi-STEM ยังส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ ความคิดสร้างสรรค์ และการทำงานร่วมกันในทีม ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นในการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนและตอบสนองต่อความต้องการของผู้ประกอบการในพื้นที่ การนำหลักการอิสลามเข้ามาใช้ในการเรียนรู้ STEM ไม่เพียงแต่สร้างความเข้าใจในเรื่องฮาลาล แต่ยังช่วยให้ผู้เรียนมีความพร้อมในการเผชิญกับความท้าทายในยุคปัจจุบันและอนาคต สรุปได้ว่า Hi-STEM เป็นแนวทางการเรียนรู้ที่มีประโยชน์อย่างยิ่งในการพัฒนาทักษะทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมกับการเสริมสร้างความเข้าใจในหลักการอิสลาม ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่มีคุณภาพและตรงตามความต้องการของผู้เรียนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้</p> <p>แนวทาง Hi-STEM (Halal and Islamic principles integrated with STEM) ช่วยบูรณาการหลักวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์เข้ากับหลักการอิสลามและฮาลาล เพื่อพัฒนาเยาวชนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ให้มีทักษะรอบด้าน การศึกษาพบว่าแนวทางนี้ช่วยส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา และการเตรียมความพร้อมสู่การเป็นผู้ประกอบการอาหารฮาลาลอย่างยั่งยืน</p> </div>
2025-09-28T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/284229
การส่งเสริมการบริหารการศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยมาตรฐานทางจริยธรรมบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐในประเทศไทย
2024-12-18T20:33:29+07:00
ณรณชัย ภูแก้ว
nrnchayphukaew@gmail.com
<p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอการส่งเสริมการบริหารการศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยมาตรฐานทางจริยธรรมบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐในประเทศไทย ได้แก่ 1) การส่งเสริมบุคลากรแสดงออกถึงความภาคภูมิใจในการรักษาผลประโยชน์ของทางราชการที่เกี่ยวข้องกับชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ยึดหลักคุณธรรมจริยธรรมในการปฏิบัติงานด้วยหลักธรรมในการทำงานร่วมกัน 2) การส่งเสริมบุคลากรให้ปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริตตามกฎหมาย ไม่ใช้เวลาราชการไปประกอบอาชีพอื่นหรือแสวงหาผลประโยชน์ให้กับตนเอง 3) การส่งเสริมบุคลากรในการตัดสินใจปฏิบัติงานด้วยความถูกต้องโดยยึดหลักกฎหมายว่าด้วยมาตรฐานทางจริยธรรม กล้าคัดค้านหรือโต้แย้งคำสั่งที่ไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ใส่ร้ายบุคคลอื่นให้เกิดความเสื่อมเสีย 4) การส่งเสริมบุคลากรให้ปฏิบัติงานโดยคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว มีจิตสาธารณะ มุ่งมั่น และเสียสละ 5) การส่งเสริมบุคลากรปฏิบัติงานด้วยการมุ่งผลสัมฤทธิ์ของงานให้เกิดคุณภาพตามเป้าหมายอย่างเต็มกำลังความสามารถ ใช้ทรัพยากร และงบประมาณของทางราชการอย่างประหยัด และคุ้มค่า และพัฒนาปรับปรุงวิธีการปฏิบัติงานให้ได้มาตรฐานสูง 6) การส่งเสริมบุคลากรให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเที่ยงธรรม ไม่มีอคติต่อเพื่อนร่วมงาน ไม่เลือกปฏิบัติหรือบริการการศึกษาด้วยความสัมพันธ์ส่วนตัว และ 7) การส่งเสริมบุคลากรให้รักษาภาพลักษณ์ที่ดีของทางราชการ เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับนักศึกษา แสดงออกถึงการรักศักดิ์ศรีตนเอง เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่น การยอมรับ ความเชื่อถือศรัทธาของนักศึกษา และประชาชน</p>
2025-09-28T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/286888
ความผูกพันของพนักงานต่อองค์กรในยุคศตวรรษที่ 21
2025-03-10T22:48:10+07:00
ภัสร์ชนกพรรณ อนุชาติไชย
phaschanokphan.anuc@northbkk.ac.th
อนันต์ ธรรมชาลัย
phaschanokphan.anuc@northbkk.ac.th
รวีภัทร์ ฉัตรไชยเดช
phaschanokphan.anuc@northbkk.ac.th
ตรีลุพธ์ ธูปกระจ่าง
phaschanokphan.anuc@northbkk.ac.th
<p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความผูกพันของพนักงานต่อองค์กรในยุคศตวรรษที่ 21 โดยอ้างอิงแนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า ความผูกพันของพนักงานต่อองค์กรในยุคปัจจุบันประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ 1) อารมณ์ 2) ความรู้สึก/จิตใจ และ 3) ร่างกาย/พฤติกรรม ซึ่งแต่ละองค์ประกอบหลักมีองค์ประกอบย่อยที่สำคัญ โดยในองค์ประกอบหลักที่ 1 (อารมณ์) ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบย่อย ได้แก่ แนวโน้มที่จะลาออก ความพึงพอใจ ความคาดหวัง การแสดงออก และการตัดสินใจลาออก ในองค์ประกอบหลักที่ 2 (ความรู้สึก/จิตใจ) ประกอบด้วย 8 องค์ประกอบย่อย ได้แก่ การรับรู้/ความรู้สึก การได้รับค่าตอบแทน ความยุติธรรม การชื่นชม ความมีคุณค่า รางวัลและการยอมรับ ความมั่นคง และความเข้าใจ และในองค์ประกอบหลักที่ 3 (ร่างกาย/พฤติกรรม) ประกอบด้วย 9 องค์ประกอบย่อย ได้แก่ การรับโอกาสจากผู้บริหาร การหมดไฟ สภาพแวดล้อมในการทำงาน ความสัมพันธ์กับโครงสร้างองค์กร การมีส่วนร่วมจากเพื่อนร่วมงานและสังคม การได้รับอิสระในการทำงาน ความทุ่มเทของร่างกาย การเพิ่มผลผลิต และค่านิยม ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า ความผูกพันของพนักงานต่อองค์กรในยุคศตวรรษที่ 21 นั้นมีความซับซ้อนและมีหลายมิติซึ่งการพัฒนาและส่งเสริมความผูกพันดังกล่าวต้องคำนึงถึงทั้งด้านอารมณ์ ความรู้สึก และพฤติกรรม เพื่อให้พนักงานสามารถมีส่วนร่วมและสร้างผลงานได้อย่างยั่งยืนในองค์กร</p>
2025-09-28T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/286000
การพัฒนารูปแบบการบริหารความเสี่ยงด้านงานงบประมาณ ในโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่พิเศษ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
2025-02-18T20:48:19+07:00
ไพรัตน์ ลิ้มปองทรัพย์
pirat.lim@br.ac.th
สุภัทรา เอื้อวงศ์
pirat.lim@br.ac.th
นันทรัตน์ เจริญกุล
pirat.lim@br.ac.th
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความเสี่ยงในการบริหารงานงบประมาณ 2) ศึกษาแนวทางการบริหารความเสี่ยงด้านงานงบประมาณ และ 3) พัฒนารูปแบบการบริหารความเสี่ยง ด้านงานงบประมาณ รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยแบบผสมผสานวิธี ใช้แนวคิดเกี่ยวกับความเสี่ยง การบริหารความเสี่ยง การบริหารงานงบประมาณในสถานศึกษาเป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัย คือ โรงเรียนมัธยมศึกษา ขนาดใหญ่พิเศษ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานทั่วประเทศ จำนวน 156 โรงเรียน ผู้ให้ข้อมูล คือ ผู้อำนวยการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน และหัวหน้ากลุ่มบริหารงบประมาณ รวมทั้งสิ้น 312 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 4 ชนิด คือ 1) แบบสอบถาม 2) แบบสัมภาษณ์เชิงลึก 3) แบบสนทนากลุ่ม และ 4) แบบประเมินความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพใช้วิเคราะห์เนื้อหาแล้วเขียนบรรยายเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า<br />1) ความเสี่ยงในการบริหารงานงบประมาณ เป็นความเสี่ยงด้านงานแผนงาน 12 ความเสี่ยง และเป็นประเภทความเสี่ยงด้านการดำเนินงาน 31 ความเสี่ยง มากที่สุด และผลการจัดลำดับระดับคะแนนความเสี่ยง อันดับแรก คือ ด้านงานบัญชี ระดับคะแนนความเสี่ยง 15.52<br />2) แนวทางการบริหารความเสี่ยงด้านงานงบประมาณในโรงเรียนมัธยมศึกษา ขนาดใหญ่พิเศษ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กำหนดแนวทางการบริหารความเสี่ยงตามกรอบแนวคิดการวิจัย โดยใช้การบริหารความเสี่ยงด้วยกระบวนการ 5 ขั้นตอน ได้แก่ (1) การกำหนดวัตถุประสงค์ (2) การระบุความเสี่ยง (3) การประเมินความเสี่ยง (4) การจัดการความเสี่ยง (4) การจัดการความเสี่ยง 4 วิธี คือ (4.1) ยอมรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น (4.2) ลดโอกาสที่จะเกิดความเสี่ยง (4.3) หลีกเลี่ยงจากความเสี่ยง (4.4) ถ่ายโอนความเสี่ยง (5) การรายงานและติดตามผล <br />3) รูปแบบการบริหารที่พัฒนาขึ้นมีชื่อว่า “รูปแบบการบริหารความเสี่ยงด้านงานงบประมาณในโรงเรียนมัธยมศึกษา ขนาดใหญ่พิเศษ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาพื้นฐาน” มีองค์ประกอบ 6 ส่วน ประกอบด้วย (1) ชื่อรูปแบบ (2) หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ (3) วัตถุประสงค์ของรูปแบบ <br />4) กระบวนการบริหารของรูปแบบ (5) การกำกับติดตามและประเมินผล (6) ปัจจัย/เงื่อนไขความสำเร็จในการบริหาร และตรวจสอบระดับความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์ ในการนำไปใช้อยู่ในระดับมากที่สุด<br />องค์ความรู้/ข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้ เพื่อให้โรงเรียนได้นำรูปแบบดังกล่าวไปประยุกต์ใช้บริหารความเสี่ยงด้านงานงบประมาณในโรงเรียน ลดความเสี่ยงจากการปฏิบัติงานด้านงานงบประมาณ<br />ในโรงเรียนต่อไป</p>
2025-09-28T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/283076
การพัฒนาศักยภาพพระสงฆ์ด้านสาธารณสงเคราะห์ ผ่านการขับเคลื่อนโครงการของมหาเถรสมาคมในจังหวัดกาญจนบุรี
2024-11-06T13:09:04+07:00
พระครูถาวรกาญจนธรรม
prakhruthawornkanchanatham@gmail.com
พระมหาประกาศิต ฐิติปสิทธิกร
prakasit.mcu@gmail.com
สัญญา สดประเสริฐ
Sanya.mcu@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการขับเคลื่อนโครงการของมหาเถรสมาคม พัฒนาแกนนำพระสงฆ์ขับเคลื่อนงานด้านสาธารณสงเคราะห์และเสนอรูปแบบการขับเคลื่อนโครงการของมหาเถรสมาคมของคณะสงฆ์ในจังหวัดกาญจนบุรี เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 12 รูป / คน ใช้การวิเคราะห์เนื้อหา นำเสนอเชิงพรรณนาด้วยเทคนิคการเล่าเรื่อง</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า<a name="_Toc179612171"></a></p> <ol> <li>การขับเคลื่อนโครงการของมหาเถรสมาคม <a name="_Toc179612172"></a>เป็นการตอบสนองความต้องการของชุมชน เช่น การช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติ การดูแลผู้สูงอายุ และการจัดกิจกรรมสาธารณสงเคราะห์ ส่งผลให้ชุมชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น การทำงานร่วมกันได้เสริมสร้างความเชื่อมั่นในความสามารถของพระสงฆ์และความร่วมมือระหว่างวัดกับชุมชนที่ดีขึ้น ซึ่งทำให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาศักยภาพและการสนับสนุนในการดำเนินโครงการ</li> <li>การพัฒนาแกนนำพระสงฆ์ขับเคลื่อนงานด้านสาธารณสงเคราะห์ มีการพัฒนาศักยภาพพระสงฆ์ โดยการอบรมและการพัฒนาพระสงฆ์ในจังหวัดกาญจนบุรีในทักษะด้านสาธารณสงเคราะห์ผ่านโครงการที่ดำเนินการโดยมหาเถรสมาคม การปรับปรุงความสามารถในการทำงาน การอบรมและการฝึกปฏิบัติช่วยให้พระสงฆ์สามารถนำความรู้ ทักษะ และกลยุทธ์ในการให้บริการแก่ชุมชน ไปปรับใช้ในงานสาธารณสงเคราะห์ได้จริง ทำให้สามารถตอบสนองความต้องการของชุมชนได้ดียิ่งขึ้น</li> <li>รูปแบบการขับเคลื่อนโครงการของมหาเถรสมาคมของคณะสงฆ์ในจังหวัดกาญจนบุรี เกิดจากกระบวนการพัฒนา ซี่งเป็นผลมาจากการทำงานของแกนนำพระสงฆ์ที่เข้าร่วมอบรมพัฒนาจนสามารถทำงานในชุมชน เกิดเป็นผลประจักษ์ พัฒนาเป็น “MONK MODEL” ซึ่งมีองค์ประกอบที่สำคัญ 4 องค์ประกอบ คือ M(Mindset) การปรับเปลี่ยนทัศนคติ O (Organization) การบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ N (Networking) การหาเครือข่ายความร่วมมือตามกรอบ “บวร” เป็นส่วนสำคัญในการทำให้โครงการต่าง ๆ บรรลุผลสำเร็จ และ K (Knowledge) การแบ่งปันความรู้แก่กัน</li> </ol>
2025-09-28T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/284456
แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำตามสถานการณ์กับประสิทธิผล ในการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี
2025-01-10T11:17:34+07:00
ปิยะพล พลับวังกล่ำ
piyapol.707@gmail.com
มีนมาส พรานป่า
6451751602213@pnru.ac.th
เบญจวรรณ ศรีมารุต
6451751602213@pnru.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำตามสถานการณ์ของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาระดับประสิทธิผลการบริหารงานบุคคลของโรงเรียน 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำตามสถานการณ์กับประสิทธิผลการบริหารงานบุคคลโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา และ 4) นำเสนอแนวทางพัฒนาภาวะผู้นำตามสถานการณ์เพื่อเพิ่มประสิทธิผลการบริหารงานบุคคลโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี เป็นการวิจัยแบบผสมผสานวิธี โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.992 จากครูจำนวน 318 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างจากการสุ่มอย่างง่าย และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยใช้แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง จากผู้บริหารสถานศึกษาและผู้บริหารการศึกษา จำนวน 5 คน แล้วนำข้อมูลที่ได้รับมาจากแบบสอบถามไปทำการวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ส่วนข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์มาวิเคราะห์เนื้อหาและสรุปผลแล้วนำเสนอข้อมูลเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำตามสถานการณ์ของผู้บริหารสถานศึกษา ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ประสิทธิผลในการบริหารงานบุคคลโรงเรียน ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก 3) ความ สัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำตามสถานการณ์กับประสิทธิผลการบริหารงานบุคคลของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี พบว่า ภาวะผู้นำตามสถานการณ์กับประสิทธิผลการบริหารงานบุคคลของโรงเรียน ในภาพรวมมีความสัมพันธ์กันในเชิงบวกในระดับสูงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยมีค่าสหสัมพันธ์ (r) เท่ากับ .842** และ 4) แนวทางพัฒนาภาวะผู้นำตามสถานการณ์กับประสิทธิผลในการบริหารงานบุคคลโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารควรมอบหมายงานที่ชัดเจนและเหมาะสม สร้างความไว้วางใจ สนับสนุนให้คำแนะนำที่จำเป็น มีการพัฒนาบุคลากร ติดตามผลการทำงานอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เกิดการพัฒนาทักษะอย่างต่อเนื่อง</p>
2025-09-28T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/288418
รูปแบบกิจกรรมที่ส่งเสริมคุณธรรมที่ปรากฏในหนังสือนิทานชาดก 10 บารมี ของโรงเรียนวิถีพุทธ
2025-05-27T10:47:37+07:00
กนกวรรณ ปรีดิ์เปรม
noono33@hotmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมคุณธรรมที่ปรากฏในหนังสือนิทานชาดก 10 บารมี ของโรงเรียนวิถีพุทธ โดยใช้วิธีวิจัยเชิงผสมผสาน (Mixed Methods Research) ที่ผสมผสานการวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ ทั้งการเก็บข้อมูลจากการสังเกต การสัมภาษณ์ และแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลเชิงบรรยาย</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า โรงเรียนมีความรู้ความเข้าใจในหลักธรรมของนิทานชาดก 10 บารมี โดยมีความรู้ความเข้าใจเรียงตามลำดับดังนี้ 1. วิริยะบารมี ร้อยละ 92 2. ปัญญาบารมี ร้อยละ 91.2 3. ขันติบารมี ร้อยละ 90 และ สัจจะบารมี ร้อยละ 90 4. เนกขัมมะบารมี ร้อยละ 89.8 5. อธิษฐานบารมีร้อยละ 87 6. อุเบกขาบารมี ร้อยละ 86.7 7. เมตตาบารมี ร้อยละ 86 8. ศีลบารมี ร้อยละ 85 9. ทานบารมี ร้อยละ 79.8 และพบว่าโรงเรียนวิถีพุทธได้จัดกิจกรรมหลากหลายที่สอดคล้องกับแต่ละบารมีในนิทานชาดก เช่น กิจกรรมเล่านิทาน การวาดภาพประกอบ การปลูกป่า การทำสมาธิ และการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ และยังพบว่า กิจกรรมที่จัดขึ้นมีความสอดคล้องกับหลักการเรียนรู้เชิงพุทธ โดยเน้นการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ การสะท้อนตนเอง และการมีส่วนร่วมในกลุ่มเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้คุณธรรมอย่างลึกซึ้ง นอกจากนี้ กิจกรรมยังตอบสนองแนวทาง Active Learning โดยเปิดโอกาสให้นักเรียนได้คิดวิเคราะห์ แสดงความคิดสร้างสรรค์ และพัฒนาความรับผิดชอบต่อสังคมผ่านการลงมือปฏิบัติจริง ผลการประเมินแสดงให้เห็นว่านักเรียนที่เข้าร่วมกิจกรรมมีความเข้าใจในหลักธรรมและคุณธรรมเพิ่มขึ้น เช่น ความเมตตากรุณา ความอดทน ความเสียสละ และการรักษาสัจจะ ซึ่งส่งผลต่อพฤติกรรมที่ดีขึ้นในชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ ผลการวิเคราะห์ยังแสดงให้เห็นว่าการจัดกิจกรรมที่ปรับให้เข้ากับบริบทของโรงเรียนและชุมชนช่วยเพิ่มประสิทธิผลของการเรียนรู้<br />ข้อค้นพบที่สำคัญชี้ให้เห็นถึงศักยภาพของนิทานชาดกในฐานะสื่อการเรียนรู้ที่สามารถส่งเสริมคุณธรรมและพฤติกรรมเชิงบวกในกลุ่มนักเรียน ข้อเสนอแนะที่ได้จากการวิจัยนี้รวมถึงการนำรูปแบบกิจกรรมไปขยายผลในโรงเรียนอื่น ๆ การพัฒนาสื่อการสอนเพิ่มเติม และการจัดการฝึกอบรมครูเพื่อส่งเสริมการออกแบบกิจกรรมที่สอดคล้องกับหลัก Active Learning และหลักพุทธศาสนาเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืน</p>
2025-09-28T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/283797
ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อคุณภาพของผู้เรียน ในสหวิทยาเขตนนทบุรี 3 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษานนทบุรี
2024-11-30T14:04:03+07:00
สุวรรณา มานพ
suwanna.m2531@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ (1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา ในสหวิทยาเขตนนทบุรี 3 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี (2) เพื่อศึกษาคุณภาพของผู้เรียน ในสหวิทยาเขตนนทบุรี 3 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี และ (3) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อคุณภาพของผู้เรียน ในสหวิทยาเขตนนทบุรี 3 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 242 คน ได้แก่ ครูในสหวิทยาเขตนนทบุรี 3 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัย (1) ด้านภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา ในสหวิทยาเขตนนทบุรี 3 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี <br />อยู่ในระดับมากที่สุด (2) ด้านคุณภาพของผู้เรียน ในสหวิทยาเขตนนทบุรี 3 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี อยู่ในระดับมากที่สุด และ (3) ผลการวิเคราะห์ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อคุณภาพของผู้เรียน ในสหวิทยาเขตนนทบุรี 3 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี พบว่า มี 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการมีวิสัยทัศน์ดิจิทัล ด้านจริยธรรมในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และด้านการบริหารงานโดยใช้ข้อมูลสารสนเทศ สามารถร่วมกันพยากรณ์คุณภาพของผู้เรียน ได้ร้อยละ 39.1 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
2025-09-28T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/286083
ความตั้งใจในการใช้เทคโนโลยีแชทบอทเพื่อการสื่อสารกับผู้สอน ของนักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พื้นที่จังหวัดปทุมธานี
2025-03-08T21:31:16+07:00
คุณาพร โฉมจิตร
Kunapornc@ptu.ac.th
รัชกฤช ปัทมโสภาสกุล
Kunapornc@ptu.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้ได้ตั้งวัตถุประสงค์ไว้เพื่อ (1) ศึกษาสภาพความตั้งใจในการใช้เทคโนโลยีแชทบอทเพื่อการสื่อสารกับผู้สอน (2) เปรียบเทียบความตั้งใจในการใช้เทคโนโลยีแชทบอทเพื่อการสื่อสารกับผู้สอน จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ (3) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความตั้งใจในการใช้เทคโนโลยีแชทบอท เพื่อการสื่อสารกับผู้สอนของนักศึกษา ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลจากนักศึกษา จำนวน 400 คน ในสถาบันอุดมศึกษาเอกชน 8 แห่ง ในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ความแปรปรวนทางเดียว และการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุ เมื่อพบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติจะทำการทดสอบความแตกต่างเป็นรายคู่โดยวิธี LSD</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า (1) นักศึกษามีความตั้งใจในการใช้เทคโนโลยีแชทบอทเพื่อการสื่อสารกับผู้สอนในระดับมาก (2) ผู้เรียนที่มีชั้นปีที่ศึกษา คณะที่ศึกษา และภูมิลำเนาต่างกัน มีความตั้งใจในการใช้เทคโนโลยีแชทบอทเพื่อการสื่อสารกับผู้สอนแตกต่างกัน และ (3) ปัจจัยทุกด้านสามารถร่วมกันอธิบายความตั้งใจในการใช้เทคโนโลยีแชทบอทเพื่อการสื่อสารกับผู้สอนโดยรวม ได้ร้อยละ 20.30 ทั้งนี้ปัจจัยที่มีอิทธิพลมากที่สุดคือ ปัจจัยแรงกัดดันจากสถาบันการศึกษาอื่น รองลงมาคือปัจจัยการรับรู้ค่าใช้จ่าย และปัจจัยความเข้ากันได้ของเทคโนโลยี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ได้ตั้งไว้</p>
2025-09-28T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/284639
ความสัมพันธ์ระหว่างสถานภาพส่วนบุคคลกับความฉลาดรู้ด้านปัญญาประดิษฐ์ของครูกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี: กรณีศึกษาโรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี
2025-01-10T11:51:21+07:00
ธนิน สิงหนาท
thanin.sin@ku.th
สุชาดา นันทะไชย
thanin.sin@ku.th
สุดารัตน์ สารสว่าง
thanin.sin@ku.th
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับความฉลาดรู้ด้านปัญญาประดิษฐ์ของครูกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี 2) เพื่อเปรียบเทียบระดับความฉลาดรู้ด้านปัญญาประดิษฐ์ของครูฯ จำแนกตามสถานภาพส่วนบุคคล (ได้แก่ เจเนอเรชัน วิทยฐานะ และรายวิชาที่ทำการสอน) และ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสถานภาพส่วนบุคคลกับระดับความฉลาดรู้ด้านปัญญาประดิษฐ์ของครูฯ รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แนวคิดของ Long and Magerko (2020) เป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัยคือโรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี ประชากรคือครูกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จำนวน 32 คน ใช้วิธีเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบทดสอบความฉลาดรู้ด้านปัญญาประดิษฐ์ที่ดัดแปลงจากงานวิจัยของ Hornberger et al. (2023) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ Pearson's Correlation Coefficient ผลการวิจัยพบว่า 1) ครูมีระดับความฉลาดรู้ด้านปัญญาประดิษฐ์อยู่ในระดับปานกลาง (ค่าเฉลี่ย 38.2) 2) ครูที่สอนวิชาคอมพิวเตอร์มีค่าเฉลี่ยคะแนนสูงสุด (45.5) และ 3) รายวิชาที่สอนมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับสูงกับความฉลาดรู้ ด้านปัญญาประดิษฐ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r = .516, p < .01) องค์ความรู้จากงานวิจัยนี้สามารถนำไปใช้ในการพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมเฉพาะทางด้านปัญญาประดิษฐ์สำหรับครูในแต่ละรายวิชา</p>
2025-09-28T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/288467
การพัฒนาแอปพลิเคชัน เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้คำศัพท์ภาษามือไทย สำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยินระดับปฐมวัย
2025-05-27T10:46:46+07:00
สิริลักษณ์ มณีรัตน์
siriluck_man@dusit.ac.th
ภริมา วินิธาสถิตย์กุล
Parima9451@gmail.com
ทรรศนัย โกวิทยากร
siriluck_man@dusit.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1. เพื่อพัฒนาแอปพลิเคชันในการส่งเสริมการเรียนรู้ด้านคำศัพท์ภาษามือไทยเกี่ยวกับชีวิตประจำวันสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยินระดับปฐมวัย 2. เพื่อทดสอบประสิทธิภาพและประสิทธิผลของแอปพลิเคชันในการส่งเสริมการเรียนรู้ด้านคำศัพท์ภาษามือไทยที่เกี่ยวกับชีวิตประจำวันสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยินระดับปฐมวัย 3. เพื่อศึกษาความต้องการการใช้แอปพลิเคชันในการเรียนรู้คำศัพท์ภาษามือไทยของเด็กบกพร่องทางการได้ยินระดับปฐมวัย และการพัฒนาการเรียนรู้ด้านคำศัพท์ภาษามือไทยของเด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยินระดับปฐมวัย ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยินที่กำลังเรียนอยู่ในระดับปฐมวัย โรงเรียนศึกษาพิเศษ จังหวัดนครปฐม และโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์ ภาคเรียนที่ 2/2566 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1. แบบสอบถามการพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้คำศัพท์ภาษามือไทยสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยินระดับปฐมวัย 2. แบบทดสอบวัดการเรียนรู้ของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยินระดับปฐมวัย 3. แบบสอบถามความพึงพอใจการใช้แอปพลิเคชันเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้คำศัพท์ภาษามือไทยสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยินระดับปฐมวัย สถิติที่ใช้ในงานวิจัย ได้แก่ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าร้อยละ การวิเคราะห์ค่าประสิทธิภาพด้วยสูตรคำนวณหาประสิทธิภาพ E1/E2 (75/75)</p> <p>ผลการวิจัยมีดังนี้ สภาพปัญหาแอปพลิเคชันเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้คำศัพท์ภาษามือไทยสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยินระดับปฐมวัยอยู่ในระดับปานกลาง ส่วนความต้องการแอปพลิเคชันเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้คำศัพท์ภาษามือไทยสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยินระดับปฐมวัยอยู่ในระดับมากที่สุด การทดสอบค่าประสิทธิภาพของเครื่องมือ E1/E2 มีค่าเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด คือ มีค่าเท่ากับ E1 = 72.73 และ E2 = 77.20 ความพึงพอใจการใช้แอปพลิเคชัน เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้คำศัพท์ภาษามือไทยสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยินระดับปฐมวัยอยู่ในระดับมากที่สุด</p>
2025-09-28T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/283907
Factors Affecting Teachers’ Intention to Undertake Sexuality Education in Universities in Guangdong Province
2025-05-21T21:23:34+07:00
Yang Lili
jareepornc@hotmail.com
Jareeporn Chotipiboonsub
jareepornc@hotmail.com
<p>This study explores the factors influencing university teachers’ intention to implement sexuality education in Guangdong Province, China, in response to increasing societal attention and policy support for comprehensive sex education. Using a quantitative research approach, data were collected from 357 in-service university teachers through a structured questionnaire, and analyzed via Structural Equation Modeling (SEM). The results indicate that both external environmental factors—such as policy backing, social recognition, and institutional support—and internal factors—namely teachers’ knowledge and attitudes—have significant positive effects on perceived usefulness and teaching intention. Furthermore, perceived usefulness plays a partial mediating role between these factors and teachers’ implementation intention. The model demonstrated good fit indices (CFI=0.991, RMSEA=0.024), confirming the validity of the hypothesized pathways. These findings highlight the importance of providing continuous policy support, cultivating an inclusive school environment, and offering targeted professional training. Strengthening perceived usefulness can effectively enhance teachers’ engagement in sexuality education and contribute to the sustainable implementation of such programs within higher education settings.</p>
2025-09-28T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/286187
การเคลื่อนย้ายการคิดทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนจากประสบการณ์ การจัดกระทำกับวัตถุไปสู่เครื่องมือเชิงนามธรรม: การเข้าถึงตารางหน่วยเพื่อหาขนาดของพื้นที่
2025-03-15T23:05:23+07:00
อาริยา สุริยนต์
ariya_su@npu.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสำรวจหลักฐานการเคลื่อนย้ายการคิดทางคณิตศาสตร์ของนักเรียน และ 2) เพื่อศึกษาลำดับการเคลื่อนย้ายการคิดทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนจากประสบการณ์การจัดกระทำกับวัตถุไปสู่เครื่องมือเชิงนามธรรม ใช้ระเบียบวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ พื้นที่วิจัยเป็นบริบทโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดนครพนม ใช้กรอบแนวคิดนวัตกรรมการศึกษาชั้นเรียนด้วยวิธีการแบบเปิด (TLSOA) (Inprasitha, 2022) ในการพัฒนาคุณภาพชั้นเรียน กลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 9 คน ใช้วิธีคัดเลือกโดยเป็นนักเรียนในบริบทชั้นเรียน TLSOA ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 เครื่องมือวิจัย มี 5 ชนิด ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ ใบกิจกรรม แบบบันทึกการสังเกตชั้นเรียน กล้องบันทึกวีดีทัศน์และกล้องบันทึกภาพนิ่ง เก็บข้อมูลวิจัยหน่วยการเรียนรู้ เรื่อง พื้นที่ จำนวน 4 คาบ วิเคราะห์โพรโทคอลและเนื้อหาแล้วเขียนบรรยายเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า 1) ชั้นเรียนที่ใช้นวัตกรรม TLSOA แสดงให้เห็นหลักฐานการเคลื่อนย้ายการคิดทางคณิตศาสตร์ของนักเรียน โดยครูให้โอกาสนักเรียนได้คิดและค้นพบวิธีการแก้ปัญหาด้วยตนเองจากประสบการณ์สู่การสร้างเครื่องมือเชิงนามธรรมตามพัฒนาการเชิงการรู้ของช่วงวัย 2) การเคลื่อนย้ายการคิดทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนจากประสบการณ์การจัดกระทำกับวัตถุไปสู่เครื่องมือเชิงนามธรรม มีลำดับดังนี้ 2.1) เผชิญสถานการณ์ปัญหาและมีประสบการณ์การจัดกระทำกับวัตถุโดยการแสดงแทนด้วยวัตถุของจริง 2.2) เชื่อมโยงประสบการณ์การจัดกระทำกับวัตถุสู่การสร้างเครื่องมือเชิงนามธรรมโดยการแสดงแทนด้วยสื่อกึ่งรูปธรรม และ 2.3) สร้างเครื่องมือเชิงนามธรรมโดยการแสดงแทนด้วยสัญลักษณ์และความเข้าใจทางคณิตศาสตร์ที่สะท้อนประสบการณ์จริง</p>
2025-09-28T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/283362
ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุของบุคลากรด้านการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุของมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ
2024-11-16T12:26:20+07:00
เกศรินทร์ สมคุณ
ketsarin.s@op.kmutnb.ac.th
ไพโรจน์ พิภพเอกสิทธิ์
ketsarin.s@op.kmutnb.ac.th
สรวงอัยย์ อนันทวิจักษณ์
ketsarin.s@op.kmutnb.ac.th
กฤตชน วงศ์รัตน์
ketsarin.s@op.kmutnb.ac.th
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับปัจจัยการควบคุมภายในพัสดุ ปัจจัยการกำกับดูแลที่ดีด้านพัสดุ และประสิทธิภาพการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุ ของบุคลากรด้านการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุของมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ และ 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุ ของบุคลากรด้านการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุของมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ กลุ่มตัวอย่าง คือ บุคลากรด้านการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุของมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ จำนวน 400 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบไม่ใช้หลักความน่าจะเป็น (Non probability sampling) และดำเนินการสุ่มตัวอย่างตามความสะดวก (Convenience sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยแบบง่าย ผลการวิจัยพบว่า<br />1. ระดับปัจจัยการควบคุมภายในพัสดุ (ภาพรวม) อยู่ในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.31 ปัจจัยการกำกับดูแลที่ดีด้านพัสดุ (ภาพรวม) อยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย 4.20 และประสิทธิภาพการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุของบุคลากรด้านการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุของมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ (ภาพรวม) อยู่ในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.27<br />2. ปัจจัยการควบคุมภายในพัสดุ (ภาพรวม) และปัจจัยการกำกับดูแลที่ดีด้านพัสดุ (ภาพรวม) ส่งผลเชิงบวกต่อประสิทธิภาพการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุ ของบุคลากรด้านการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุของมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ (ภาพรวม) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับน้อยกว่า .01 (Sig. = .000) <br />องค์ความรู้/ข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้ เกิดการตระหนักถึงความสำคัญของระบบควบคุมภายในและการกำกับดูแลที่โปร่งใสช่วยเสริมประสิทธิภาพ ความรวดเร็ว ความคุ้มค่า และจริยธรรมในงานจัดซื้อจัดจ้าง พร้อมทั้งสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรและนโยบายที่ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2025-09-28T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/289004
การพัฒนาสมรรถนะของพระสอนศีลธรรมในโรงเรียนสังกัดสำนักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานในจังหวัดกาญจนบุรี ตามหลัก Mindfulness
2025-06-04T13:25:51+07:00
พระสุภกิจ สุปญฺโญ
vi10.aquare333@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสมรรถนะของพระสอนศีลธรรมในโรงเรียนในปัจจุบัน และ 2) พัฒนาสมรรถนะการสอนของพระสอนศีลธรรมผ่านกิจกรรมที่ออกแบบตามหลัก Mindfulness <br />เป็นการวิจัยเชิงผสมผสาน โดยเก็บข้อมูลเชิงปริมาณผ่านแบบสอบถามและข้อมูลเชิงคุณภาพผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึก กลุ่มประชากรได้แก่พระสอนศีลธรรมในโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานในจังหวัดกาญจนบุรี จำนวน 378 รูป กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยพระสอนศีลธรรมในโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานในจังหวัดกาญจนบุรี จำนวน 191 รูป การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงคุณภาพ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สมรรถนะที่โดดเด่นที่สุด ของพระสอนศีลธรรมคือ คุณลักษณะและเจตคติ (ค่าเฉลี่ย 4.2) เช่น ความซื่อสัตย์ มีวินัย และเป็นแบบอย่างที่ดี ขณะที่ สมรรถนะที่ต้องการพัฒนามากที่สุด คือ การผลิตและใช้สื่อ (ค่าเฉลี่ย 2.9) โดยเฉพาะด้านสื่อดิจิทัลและเนื้อหาทันสมัย 2) กิจกรรมพัฒนา 4 ด้านตามหลัก Mindfulness ได้แก่ (1) บทบาทพระในห้องเรียน (2) การใช้สื่อออนไลน์อย่างมีสติ (3) การสร้างสื่ออินเตอร์แอคทีฟด้วย Canva และ (4) การจัดการข้อมูลด้วย Google Applications ผลการพัฒนาพบว่า พระสอนศีลธรรมมีความรู้และความเข้าใจที่เพิ่มขึ้น ร้อยละ 51.8 ของผู้เข้าร่วมมีความรู้เพิ่มขึ้นในระดับมากที่สุด ความพึงพอใจต่อวิทยากรอยู่ในระดับสูงสุดที่ร้อยละ 60.7 และการบูรณาการ Mindfulness ช่วยเสริมสร้างสมาธิ ความตระหนักรู้ และการจัดการตนเองของพระสอนศีลธรรม</p> <p>การพัฒนาสมรรถนะผ่านกิจกรรมที่ออกแบบตามหลัก Mindfulness มีประสิทธิภาพในการเสริมสร้างทักษะและคุณลักษณะที่จำเป็นสำหรับพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน พร้อมทั้งสนับสนุนบทบาทในการส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรมแก่นักเรียนในยุคปัจจุบัน</p>
2025-09-28T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/283908
On the Musical Structure and Artistic Treatment of Schubert's Art Song "Der Erlkönig"
2025-05-21T21:23:20+07:00
Kun Yang
palphol@siu.ac.th
Palphol Rodloytuk
palphol@siu.ac.th
<p>Art song is a vocal genre of chamber music in European countries, and it is also a general term for popular music songs in the Middle Ages. Among various art songs, the most distinctive feature is that most of their lyrics are derived from folk poetry. The music forms and tunes possess strong expressive power, focusing on showcasing the characters' traits and inner thoughts. Piano accompaniment plays a decisive role in the performance of art songs, often forming a musical texture with the singer. Through their interaction, the poet and composer are integrated, revealing the inner world to the audience, who can clearly comprehend the artistic elegance within.</p> <p>During his music study career, the author gained insights into the artistic image depicted by Schubert through long-term appreciation of his works, thereby developing a profound affection for art songs. Art songs require high artistic appreciation and aesthetic ability from both professionals and enthusiasts. Whether singing or recreating artistic songs, one must be able to clearly perceive the emotional charm and artistic appeal. Through personal advancement, the scientific guidance of a tutor, and the accumulation of artistic song works, the author has found the direction and focus of future research: the analysis of the relationship between sound and emotion. This study offers valuable insights into vocal performance, compositional analysis, and cultural interpretation of Schubert’s <em>Der Erlkönig</em>, providing a reference for future performance practices and interdisciplinary research in vocal music and Romantic-era art songs.</p>
2025-09-28T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/286253
ความสัมพันธ์ระหว่างกำกับดูแลกิจการการปฏิบัติงานด้าน ESG กับการจัดลำดับความน่าเชื่อถือของบริษัทยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
2025-02-25T14:06:42+07:00
นิวัฒน์ บุญหล้า
nwatacc2538@gmail.com
สัมฤทธิ์ ศิริคะเณรัตน์
Nwatacc2538@gmail.com
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างผู้ถือหุ้นของผู้บริหาร และการจัดลำดับความน่าเชื่อถือ 2) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการกำกับดูแลกิจการที่ดี และการจัดลำดับความน่าเชื่อถือ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการปฏิบัติงานด้าน ESG และการจัดลำดับความน่าเชื่อถือ งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้กลุ่มตัวอย่าง คือ บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในกลุ่ม SET 100 ที่ได้รับคัดเลือกเป็นหุ้นยั่งยืน THSI เข้าประเมิน ESG Rating จำนวน 177 บริษัท และเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นข้อมูลทุติยภูมิจาก SET Market Analysis and Reporting Tool: (SETSMART) ย้อนหลังไปตั้งแต่ปี 2564–2566 รวมระยะเวลา 3 ปี มีจำนวนข้อมูลทั้งหมด 432 ข้อมูล สถิติที่ใช้ ได้แก่ การวิเคราะห์ค่าสหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson’s Correlation Coefficient) และการวิเคราะห์ความถดถอยแบบพหุคูณ (Multiple Regression Analysis)<br />ผลการศึกษาพบว่า 1) ความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างผู้ถือหุ้นของผู้บริหาร และการจัดลำดับความน่าเชื่อถือมีความสัมพันธ์ในทิศทางตรงกันข้ามในระดับต่ำ 2) การกำกับดูแลกิจการที่ดี และการจัดลำดับความน่าเชื่อถือมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันในระดับสูง 3) การปฏิบัติงานด้าน ESG และการจัดลำดับความน่าเชื่อถือมีความสัมพันธ์นทิศทางเดียวกันในระดับต่ำมาก ซึ่งผลลัพธ์จากการศึกษานี้นักวิจัยควรศึกษาในปัจจัยอื่น ๆ เพิ่มเติมส่วนระดับคะแนนการกำกับดูแลกิจการที่ดีและการปฏิบัติงานด้าน ESG มีผลต่อการจัดลำดับความน่าเชื่อถือดีขึ้น</p>
2025-09-28T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/283467
การพัฒนาโมเดลปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมในประเทศไทย
2024-11-16T12:28:58+07:00
นพพร เอียดสี
jacknopporn1384@gmail.com
ไพโรจน์ พิภพเอกสิทธิ์
Jacknopporn1384@gmail.com
สรวงอัยย์ อนันทวิจักษณ์
Jacknopporn1384@gmail.com
กฤตชน วงศ์รัตน์
Jacknopporn1384@gmail.com
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการรับรู้ประโยชน์แผงพลังงานแสงอาทิตย์ ทัศนคติต่อแผงพลังงานแสงอาทิตย์ และการตัดสินใจติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์ 2) เพื่อศึกษาการพัฒนาโมเดลปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมในประเทศไทย การออกแบบการวิจัยเป็นเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้บริหารในโรงงานอุตสาหกรรมจำนวน 340 รายที่ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน โดยคัดเลือกโดยใช้วิธีการสุ่มแบบสะดวก เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความเบ้ ความโด่ง และการวิเคราะห์แบบจำลองสมการเชิงโครงสร้าง (SEM) ผลการวิจัยพบว่า<br />1. ระดับการรับรู้ประโยชน์แผงพลังงานแสงอาทิตย์ ภาพรวม พบว่า อยู่ในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.32 ทัศนคติต่อแผงพลังงานแสงอาทิตย์ ภาพรวม พบว่า อยู่ในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.31 และการตัดสินใจติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์ ภาพรวม พบว่า อยู่ในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.41<br />2. การพัฒนาโมเดลปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมในประเทศไทยสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ มีค่า Chi-square หรือ 2 = 476.646, DF = 429, Chi-square/df หรือ 2/df = 1.111, Chi-square-test หรือ 2- test ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ p = .056, RMSEA = .018, CFI = .993, TLI = .990, GFI = .929, AGFI = .902, RMR = .030 และ HOELTER = 341<br />องค์ความรู้/ข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้ ทำให้ทราบตัวแปรที่มีความสำคัญที่ร่วมกันส่งอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อการตัดสินใจติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับโรงงานอุตสาหกรรม และสามารถนำผลการวิจัยไปใช้เป็นแนวทางการดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล</p>
2025-09-28T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/285322
การพัฒนาสตาร์ทอัพด้านอาหารสุขภาพในสถาบันอุดมศึกษา พื้นที่ภาคกลางปริมณฑล
2025-02-18T21:02:00+07:00
ประภาพรรณ เพียรชอบ
prapapan2010@gmail.com
วรรณวีร์ บุญคุ้ม
Prapapan2010@gmail.com
นรินทร์ สังข์รักษา
Prapapan2010@gmail.com
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการดำเนินงานสตาร์ทอัพด้านอาหารสุขภาพในสถาบันอุดมศึกษา พื้นที่ภาคกลางปริมณฑล 2) ศึกษาผลการปฏิบัติงานของสถาบันอุดมศึกษาที่ประสบความสำเร็จในการดำเนินงานสตาร์ทอัพด้านอาหารสุขภาพ พื้นที่ภาคกลางปริมณฑล 3) สร้างและพัฒนารูปแบบการพัฒนาสตาร์ทอัพด้านอาหารสุขภาพในสถาบันอุดมศึกษา พื้นที่ภาคกลางปริมณฑล ระเบียบวิธีวิจัยแบบการวิจัยและพัฒนา (Research and Development: R&D) เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร และการสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ดำเนินการวิจัย 3 ขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาสภาพการดำเนินงานสตาร์ทอัพด้านอาหารสุขภาพในสถาบันอุดมศึกษา พื้นที่ภาคกลางปริมณฑล กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลัก ได้แก่ 1) มหาวิทยาลัยศิลปากร 2 ) มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม และ 3) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ประกอบด้วย ผู้บริหาร อาจารย์ และนักศึกษา ขั้นตอนที่ 2 ศึกษาผลการปฏิบัติงานของสถาบันอุดมศึกษาที่ประสบความสำเร็จในการดำเนินงานสตาร์ทอัพด้านอาหารสุขภาพ พื้นที่ภาคกลางปริมณฑล กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลัก ประกอบด้วย ผู้บริหารมหาวิทยาลัย อาจารย์ และนักศึกษา ระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก สาขาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ขั้นตอนที่ 3 สร้างและพัฒนารูปแบบการพัฒนาสตาร์ทอัพด้านอาหารสุขภาพในสถาบันอุดมศึกษา พื้นที่ภาคกลางปริมณฑล ผลการวิจัยพบว่า (1) สภาพการดำเนินงานสตาร์ทอัพด้านอาหารสุขภาพในสถาบันอุดมศึกษา พื้นที่ภาคกลางปริมณฑล ด้าน 1) องค์กร มีหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจ ดูแลขับเคลื่อนการสร้างผู้ประกอบการ 2) บุคลากร นักศึกษา ศิษย์เก่าได้รับการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะการเป็นผู้ประกอบการจากหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจเป็นหลัก 3) การบริหารจัดการ มีการจัดการด้านหลักสูตร สร้างโฮลดิ้งคอมพานี 4) งบประมาณ มีจำกัด บางส่วนได้รับการสนับสนุนจาก ธนาคาร หรือภาคีภายนอก 5) ระบบนิเวศ เน้นสร้างสิ่งแวดล้อมกระตุ้นความสนใจในการเป็นผู้ประกอบการ 6) ส่วนส่งเสริมหรือสนับสนุนมีศูนย์กลางนวัตกรรมอาหาร และสนับสนุนองค์ความรู้จากคณาจารย์ผู้เชี่ยวชาญ 7) ปัญหาและอุปสรรคมาจากงบประมาณ การจัดการด้านเทคโนโลยี และมาตรฐานประเทศ (2) ผลการปฏิบัติงานของสถาบันอุดมศึกษาที่ประสบความสำเร็จในการดำเนินงานสตาร์ทอัพด้านอาหารสุขภาพ พื้นที่ภาคกลางปริมณฑล โดยเลือกแบบเจาะจงจาก ชื่อเสียงมหาวิทยาลัยหรือได้รับรางวัลด้านสตาร์ทอัพอาหาร คือ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผลการปฏิบัติงาน 1) การมีไอเดียที่แปลกใหม่ 2) การบรรลุเป้าหมายความสำเร็จ ผลักดันงานวิจัยจากการส่งประกวดสู่ความสำเร็จในเชิงธุรกิจ 3) การจัดหาและใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ 4) กระบวนการปฏิบัติงาน มีการผลักดันนโยบายสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมตั้งแต่ระดับสาขาจนถึงระดับมหาวิทยาลัย 5) มีการประเมินประสิทธิผลในการปฏิบัติงาน และ(3) รูปแบบการพัฒนาสตาร์ทอัพด้านอาหารสุขภาพในสถาบันอุดมศึกษา พื้นที่ภาคกลางปริมณฑล มี 7 องค์ประกอบ ได้แก่ 1 M = Man (ทุนมนุษย์) 2 O = Opportunity (โอกาสทางธุรกิจ) 3 D = Digital Technology (ดิจิทัลเทคโนโลยี) 4 E = Ecosystem (ระบบนิเวศ) 5 R = Reengineering (การปรับระบบ) 6 N = New Innovation (นวัตกรรมใหม่) 7 B = Business Model (แบบจำลองธุรกิจ) ซึ่งเป็นรูปแบบที่ผ่านการประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิ ผลการประเมินความถูกต้อง เหมาะสม และสามารถนำไปใช้ได้จริงอยู่ในระดับมากที่สุด</p>
2025-09-28T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/284057
รูปแบบการพัฒนาสมรรถนะสำหรับผู้ฝึกสอนกีฬาบาสเกตบอลระดับชาติ (ขั้นต้นและขั้นกลาง)
2024-12-10T08:45:54+07:00
จักรพันธ์ ชุบไธสง
jakkrapan.c@allied.tu.ac.th
วรวีร์ นาคพนม
rcresearch@rpu.ac.th
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาสมรรถนะของผู้ฝึกสอนกีฬาบาสเกตบอลระดับชาติ (ขั้นต้นและขั้นกลาง) พัฒนารูปแบบการพัฒนาสมรรถนะ และตรวจสอบรูปแบบดังกล่าว การวิจัยใช้แนวคิดการพัฒนาสมรรถนะเป็นกรอบ โดยศึกษาผู้ฝึกสอน 300 คนในสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาในประเทศไทย ขั้นตอนที่ 2 ใช้ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญ 9 คน และผู้ทรงคุณวุฒิ 15 คนในขั้นตอนที่ 3 เครื่องมือวิจัยประกอบด้วยแบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ และแบบประเมิน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1. ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาสมรรถนะสำหรับของผู้ฝึกสอนกีฬาบาสเกตบอลระดับชาติ (ขั้นต้นและขั้นกลาง) ประกอบด้วย ปัจจัยด้านการวางแผนและกำหนดเป้าหมาย การฝึกอบรมและพัฒนา การประเมินและให้ข้อมูลย้อนกลับ และการสนับสนุนและส่งเสริม 2. รูปแบบการพัฒนาสมรรถนะสำหรับของผู้ฝึกสอนกีฬาบาสเกตบอลระดับชาติ (ขั้นต้นและขั้นกลาง) ประกอบด้วย 2 ส่วนหลัก ได้แก่ การระบุปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาสมรรถนะและการกำหนดแนวทางการพัฒนาสมรรถนะที่เป็นระบบและมีประสิทธิภาพ 3. ผลการตรวจสอบรูปแบบโดยผู้ทรงคุณวุฒิพบว่า รูปแบบที่พัฒนาขึ้นมีความถูกต้อง ความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความมีประโยชน์อยู่ในระดับสูง สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาสมรรถนะของผู้ฝึกสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ<br />องค์ความรู้จากงานวิจัยนี้สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาสมรรถนะของผู้ฝึกสอนกีฬาบาสเกตบอลระดับชาติ (ขั้นต้นและขั้นกลาง) ให้มีความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะที่จำเป็นต่อการปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันจะส่งผลต่อการพัฒนาศักยภาพของนักกีฬาและความสำเร็จของทีมในระยะยาว</p>
2025-09-28T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/286610
แนวทางการเพิ่มคุณภาพการบริการของผู้รับบริการโรงพยาบาลในกรณีศึกษา
2025-03-04T10:38:32+07:00
ชนิตา รุ่งแพน
chanitarungpan@gmail.com
เพ็ญศิรินทร์ สุขสมกิจ
chanitarungpan@gmail.com
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับคุณภาพการบริการและความพึงพอใจของผู้รับบริการโรงพยาบาลในกรณีศึกษา และ 2) เพื่อนำเสนอแนวทางการเพิ่มคุณภาพการบริการของผู้รับบริการโรงพยาบาลในกรณีศึกษา รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณใช้แนวคิดการพัฒนาคุณภาพการบริการโดยใช้ทฤษฎีคุณภาพการบริการ(SERVQUAL) เป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัย คือ รพ.ในกรณีศึกษา กลุ่มตัวอย่าง (ผู้เข้ารับบริการโรงพยาบาลในกรณีศึกษา)คือผู้รับบริการติดตามนัดโรคประจำตัว อุบัติเหตุและฉุกเฉิน และไข้หวัด จำนวน 385 คน ใช้วิธีการคัดเลือกแบบไม่ใช้หลักความน่าจะเป็น และดำเนินการสุ่มตัวอย่างตามความสะดวก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 1 ชนิด คือ เครื่องมือเชิงปริมาณ (Quantitative Tools) ได้แก่ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) คุณภาพการบริการ มีระดับปัจจัยด้านความเป็นรูปธรรมของการบริการ มีค่าเฉลี่ยสูงสุด เท่ากับ 3.30 โดยการรู้จักและเข้าใจผู้ใช้บริการ มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด เท่ากับ 3.03 2) ความพึงพอใจ มีระดับปัจจัยด้านการประสานงาน มีค่าเฉลี่ย สูงสุด เท่ากับ 3.15 โดยค่าใช้จ่ายเมื่อใช้บริการ มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด เท่ากับ 2.82</p> <p>2) แนวทางการเพิ่มคุณภาพการบริการของผู้รับบริการโรงพยาบาลในกรณีศึกษา มี 4 แนวทาง ได้แก่ แนวทางที่ 1 การจัดการบุคลากรแบบยืดหยุ่น แนวทางที่ 2 การสนับสนุนและพัฒนาความสามารถทางวิชาชีพ แนวทางที่ 3 การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรบุคลากร และแนวทางที่ 4 การเสริมทัพบุคลากร</p> <p>ข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้ ทราบระดับคุณภาพการบริการและความพึงพอใจของผู้รับบริการเพื่อนำไปพิจารณาหาแนวทางในการเพิ่มคุณภาพการบริการ</p>
2025-09-28T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/283476
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารวิชาการ ของโรงเรียนในสังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 2
2024-11-16T11:43:04+07:00
อรอนงค์ ตวยกระโทก
onanongbb@hotmail.co.th
บรรจบ บุญจันทร์
onanongbb@hotmail.co.th
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการบริหารวิชาการ 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารวิชาการ และ 3) เพื่อสร้างสมการพยากรณ์ปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารวิชาการ โรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นผู้บริหารสถานศึกษาและครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 313 คน ทำการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นตามสัดส่วนจำนวนผู้บริหารสถานศึกษาโดยใช้ขนาดโรงเรียนเป็นชั้นในการสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม ที่มีค่าความเที่ยงตรงเท่ากับ 1.00 และความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.969 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย <br />ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า<br />1. ระดับการบริหารวิชาการโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด คือ ด้านการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา <br />2. ปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารวิชาการโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ปัจจัยที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด คือ ด้านความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชน<br />3. ปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารวิชาการ ผู้บริหาร ครูผู้สอน และงบประมาณ ส่งผลต่อการบริหารวิชาการอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณระหว่างด้านเหล่านี้กับการบริหารวิชาการเท่ากับ 0.663 และด้านเหล่านี้สามารถอธิบายความแปรปรวนการบริหารวิชาการได้ร้อยละ 43.90 สามารถสร้างสมการพยากรณ์ ในรูปคะแนนดิบและสมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐานคือ <br />"Y" ̂ = 1.967+.174X3+.177X1+.201X2 และ "Z" ̂y = .236X3+.271X1+.264X2 ตามลำดับ</p>
2025-09-28T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/285529
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารองค์กรเพื่อมุ่งสู่ความเป็นเลิศ สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจการค้าสมัยใหม่
2025-02-18T20:39:43+07:00
ศิรินทิพย์ กุลจิตรตรี
sirintip.k@rmutp.ac.th
สุวิมล มธุรส
Sirintip.k@rmutp.ac.th
ทศพร พีสะระ
Sirintip.k@rmutp.ac.th
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารองค์กรเพื่อมุ่งสู่ความเป็นเลิศสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจการค้าสมัยใหม่ในรูปแบบการวิจัยเชิงปริมาณ โดยทำการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามออนไลน์จากกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจเอกชนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน 400 คน ผลการวิจัยพบว่า 1) จากการวิเคราะห์ความเหมาะสมของข้อมูล โดย KMO and Barlett’s Test พบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารองค์กรเพื่อมุ่งสู่ความเป็นเลิศสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจการค้าสมัยใหม่ ควรมีปัจจัยเพียง 13 ปัจจัย ได้แก่ ปัจจัยที่ 1 การสร้างองค์ความรู้ ปัจจัยที่ 2 ระบบการปฏิบัติงาน ปัจจัยที่ 3 การบริหารองค์กร ปัจจัยที่ 4 การจัดการแบบใหม่ ปัจจัยที่ 5 การวางแผนองค์กร ปัจจัยที่ 6 การกำหนดนโยบาย ปัจจัยที่ 7 การประเมินผลการปฏิบัติงาน ปัจจัยที่ 8 กระบวนการทำงาน ปัจจัยที่ 9 การสร้างความผูกพัน ปัจจัยที่ 10 การพัฒนาและส่งเสริม ปัจจัยที่ 11 การลดขั้นตอนในการปฏิบัติงาน ปัจจัยที่ 12 การบริหารลูกค้าสัมพันธ์ และปัจจัยที่ 13 การดำเนินการตามเป้าหมาย 2) ผลการทดสอบสมมติฐานการวิจัย จากการวิเคราะห์ความถดถอยเชิงเส้นแบบพหุ พบว่า ปัจจัยที่ 1 ถึง ปัจจัยที่ 13 ส่งผลต่อรูปแบบการบริหารองค์กรเพื่อมุ่งสู่ความเป็นเลิศสำหรับผู้ประกอบการสมัยใหม่อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 สำหรับองค์ความรู้หรือข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้ พบว่า การบริหารองค์กรเพื่อมุ่งสู่ความเป็นเลิศสำหรับผู้ประกอบการสมัยใหม่ควรเริ่มต้นจากการรู้จักองค์กร การวางแผนการดำเนินการหรือแผนปฏิบัติงาน ความต้องการและความคาดหวังของลูกค้า การใช้ข้อมูลจริงในการบริหารจัดการ</p>
2025-09-28T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/282942
คำสแลงภาษาไทยและภาษาจีนในเพจข่าวบันเทิง "ใต้เตียงดารา" และ "Xinlang Yule"
2024-11-01T18:49:39+07:00
เชียน หือ
he.q@ku.th
เมธาวี ยุทธพงษ์ธาดา
he.q@ku.th
<p>งานวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาหน้าที่ของการใช้คำสแลงที่ปรากฏในข่าวบันเทิงไทยและจีน และเปรียบเทียบหน้าที่ของคำสแลงทั้งสองภาษา รวบรวมข้อมูลคำสแลงไทยจากเพจใต้เตียงดารา และคำสแลงจีนจากเพจ Xinlang yule ตั้งแต่ 1 มิ.ย. 2564 ถึง 31 พ.ค. 2565 โดยพบคำสแลงไทยทั้งหมด 629 รูปคำ และคำสแลงจีนทั้งหมด 610 รูปคำ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า คำสแลงไทยมีหน้าที่ของการใช้ทั้งหมด 9 ประเภท ได้แก่ เพื่อเน้นย้ำความ เพื่อกระชับความและความรวดเร็วในการสื่อสาร เพื่อความแปลกใหม่ เพื่อสร้างความสนุกสนานหรืออารมณ์ขัน เพื่อให้เห็นภาพ เพื่อความเป็นกันเอง เพื่อยั่วล้อ เพื่อหลีกเลี่ยงคำต้องห้ามและคำไม่สุภาพ เพื่อเสียดสี และคำสแลงจีนมีหน้าที่ของการใช้ทั้งหมด 10 ประเภท ได้แก่ เพื่อความกระชับและความรวดเร็วในการสื่อสาร เพื่อความแปลกใหม่ เพื่อเน้นย้ำความ เพื่อสร้างความสนุกสนานหรืออารมณ์ขัน เพื่อให้เห็นภาพ เพื่อความเป็นกันเอง เพื่อเสียดสี เพื่อยั่วล้อ เพื่อตำหนิติเตียน เพื่อหลีกเลี่ยงคำต้องห้ามและคำไม่สุภาพ</p>
2025-09-28T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/286611
Analysis of Cross-cultural Management Strategies in Colleges and Universities Based on Gray Clustering Model and Mobile Computing under the Differences of Thai Language and Culture
2025-03-02T22:20:08+07:00
Li Yang
396420995@qq.com
Chongyou Ruan
396420995@qq.com
<p>This Article research focuses on integrating diverse cultural characteristics into teaching, research, and services in higher education institutions. It emphasizes understanding and resolving cultural conflicts positively and innovatively, aiming to enhance university management and campus culture. The paper applies the theory of cross-cultural organizational management and the practice of enterprise management, proposing strategies for improving cross-cultural management in universities. Using a grey clustering model to analyze Thai language and cultural differences, the study quantifies cross-cultural management through data mining and evaluates management strategies. The proposed algorithm, which outperforms conventional methods by 10.65%, improves the fairness and quality of cross-cultural education. It recommends that universities focus on the cross-cultural education of international students, adapt management strategies to their needs, and enhance the overall quality of education.</p>
2025-09-28T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/283564
วิถีแห่งการบำเพ็ญบารมีพระโพธิสัตว์ตามแนวทางพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท
2024-11-19T11:10:05+07:00
ญดา อังศุพาณิชย์
yada.aspn@gmail.com
ปัทมาวดี แสนเขื่อนแก้ว
Yada.aspn@gmail.com
โยตะ ชัยวรมันกุล
Yada.aspn@gmail.com
<p>การวิจัยเรื่อง “วิถีแห่งการบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ตามแนวทางพระพุทธศาสนาเถรวาท” มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาหลักธรรมที่เกี่ยวข้องกับการบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ 2) ศึกษากระบวนการของเส้นทางการบำเพ็ญบารมี และ 3) วิเคราะห์รูปแบบของการบำเพ็ญบารมีในพระพุทธศาสนาเถรวาท</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า “ทศบารมี” หรือบารมี 10 ประการ เป็นหลักธรรมสำคัญที่เป็นรากฐานทางจริยธรรมและจิตวิญญาณในการดำเนินวิถีของพระโพธิสัตว์สู่พระโพธิญาณ โดยเน้นการสั่งสมคุณธรรม ความเสียสละ และปัญญา กระบวนการบำเพ็ญบารมีดำเนินต่อเนื่องหลายภพชาติ และแบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ 1) บารมีสามัญ 2) อุปบารมี และ 3) ปรมัตถบารมี ซึ่งแสดงถึงระดับความลึกซึ้งของการพัฒนาและเสียสละ โดยพระโพธิสัตว์ต้องรักษาปณิธานอันแน่วแน่ตลอดเส้นทาง</p> <p>รูปแบบของการบำเพ็ญบารมีแบ่งออกได้เป็น 3 แนวทาง คือ 1) การออกบวชและการบำเพ็ญพรต 2) การประพฤติพรหมจรรย์ และ 3) การอุทิศตนอย่างเสียสละเพื่อสรรพสัตว์ แม้พระพุทธศาสนาเถรวาทจะเน้นการบรรลุพระอรหันตผลเป็นหลัก แต่แนวทางของพระโพธิสัตว์ก็ยังเป็นทางเลือกที่มีคุณค่าและดำเนินได้อย่างต่อเนื่องสำหรับผู้ปรารถนาพระสัมมาสัมโพธิญาณ</p> <p>การวิจัยนี้นำเสนอความเข้าใจเชิงระบบเกี่ยวกับอุดมคติพระโพธิสัตว์ในพระพุทธศาสนาเถรวาท อันเป็นแนวทางการพัฒนาตนเชิงจริยธรรมและจิตวิญญาณที่สามารถประยุกต์ใช้ได้จริงทั้งในระดับปัจเจกบุคคลและเพื่อประโยชน์ส่วนรวมในสังคมร่วมสมัย</p>
2025-09-28T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/285935
Augmented Reality for Executive Function Development in Students With Hearing Impairments
2025-03-08T21:30:33+07:00
Pattrawadee Makmee
pattrawadee@go.buu.ac.th
Peera Wongupparaj
peera.wo@buu.ac.th
<p>The objective of this research is to develop an Augmented Reality (AR) application to enhance executive brain functions in elementary school students with hearing impairments. The research follows the ASSURE model, incorporating a focus group discussion with students, teachers, administrators, and parents from the School for the Deaf in Chonburi Province, Thailand to refine the application's design, usability, and content appropriateness. Quality assessment was conducted by five experts evaluating key aspects such as activity duration, difficulty level, procedural clarity, and user interface design. <br />A pilot test with five students helped refine the application and develop a user manual. The final testing phase involved 12 students over 8 weeks period, with semi-structured interviews and focus group discussions conducted to assess user engagement, learning outcomes, and curriculum integration. The findings indicate that the AR application includes four interactive learning scenes with three types of activities (problem-solving, matching, and sorting) at adjustable difficulty levels. Pilot testing confirmed usability, while the full implementation demonstrated significant improvements in students' executive functions. These results highlight the potential of AR-based learning tools in enhancing cognitive abilities among students with hearing impairments.</p>
2025-09-28T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/283061
วิถีแห่งการบรรลุธรรมตามแนวพุทธศาสนาเถรวาท
2024-11-06T12:22:48+07:00
นวรัตน์ อังศุพาณิชย์
put.navarat@gmail.com
ปัทมาวดี แสนเขื่อนแก้ว
Put.navarat@gmail.com
พระเจริญพงษ์ วิชัย
Put.navarat@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความหมายของหลักธรรมสำหรับวิถีแห่งการบรรลุธรรมตามแนวพุทธศาสนาเถรวาท 2) เพื่อศึกษากระบวนการบรรลุธรรมตามแนวพุทธศาสนาเถรวาท 3) เพื่อวิเคราะห์ลำดับขั้นตอนในกระบวนการบรรลุธรรมตามแนวพุทธศาสนาเถรวาท รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพโดยใช้เอกสาร (Documentary Research) ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลจากข้อมูลปฐมภูมิและทุติยภูมิแล้วใช้การตีความสร้างข้อสรุปแบบวิธีอุปนัย (Induction) สรุปผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 1 พบว่าความหมายของการบรรลุธรรมตามแนวพุทธศาสนาเถรวาท เป็นการบรรลุธรรมโดยเกิดจากการหลุดพ้น โดยการบรรลุธรรมนั้นนำไปสู่การบรรลุเป็นอริยบุคคลขั้นใดขั้นหนึ่งในพระพุทธศาสนาเถรวาท ได้แก่ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ ซึงสอดคล้องกับ “นิพพานกถา” ว่า นิพพาน หมายถึง สภาพที่ดับทุกข์ ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 2 พบว่าวิถีแห่งการบรรลุธรรมตามแนวพุทธศาสนาเถรวาทเป็นไปตามระบบ ตามธรรมชาติ และตามหลักธรรม ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 3 พบว่าหลักธรรมที่สนับสนุนเกื้อกูลต่อการบรรลุธรรม คือ โพธิปักขิยธรรม 37 ประการ ได้แก่สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 และ อริยมรรคมีองค์ 8 เป็นหลักธรรมที่ช่วยอุดหนุนกัน เป็นกระบวนการให้เกิดความรู้แจ้งเห็นจริง โดยหลักธรรมทั้งหมดนั้นมีความสำคัญต่อการเกื้อหนุนให้เกิดความก้าวหน้า และสนับสนุนกันทุกหลักธรรม เพื่อการบรรลุธรรมตามแนวพุทธศาสนาเถรวาท</p>
2025-09-28T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/284453
การพัฒนาหลักสูตรอบรมเพื่อส่งเสริมทักษะการออกแบบวิจัย ของวิทยาลัยเทคโนโลยีไออาร์พีซี จังหวัดระยอง
2025-01-10T10:55:19+07:00
กุลิสรา ใคร่ครวญ
kurisara.k@irpct.ac.th
ไพรัช สู่แสนสุข
kurisara.k@irpct.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีเป้าหมาย คือ เพื่อสร้างและศึกษาผลการใช้หลักสูตรอบรมเพื่อส่งเสริมทักษะการออกแบบวิจัย ของวิทยาลัยเทคโนโลยีไออาร์พีซี จังหวัดระยอง กลุ่มเป้าหมายคือ 1) ผู้บริหารของสถานศึกษาสังกัดอาชีวศึกษา 2) หัวหน้าแผนกวิชา / หัวหน้าแผนกงาน/อาจารย์และเจ้าหน้าที่ วิทยาลัยเทคโนโลยีไออาร์พีซี โดยกลุ่มเป้าหมายทั้งสิ้น 42 คนเครื่องมือวิจัยประกอบด้วย แบบสัมภาษณ์ แบบประเมิน แบบบันทึกผลการสะท้อนคิดจากกระบวน AAR (After action review) และคู่มืออบรม วิเคราะห์ข้อมูลโดยสรุปเนื้อหาแล้วเขียนบรรยายเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า (1) หลักสูตรอบรมเพื่อส่งเสริมทักษะการออกแบบวิจัย ของวิทยาลัยเทคโนโลยีไออาร์พีซี จังหวัดระยอง มีองค์ประกอบ 1) หลักการ 2) วัตถุประสงค์ 3) โครงสร้าง 4) เนื้อหา 5) (2) ด้านทักษะการออกแบบวิจัย พบว่า มีทักษะอยู่ในระดับดี (3) ด้านทัศนคติที่ดีต่อการทำวิจัย พบว่า ผู้เข้ารับการอบรมเกิดทัศนคติที่ดีต่อการทำวิจัย <br />สรุปได้ว่าหลักสูตรอบรมเพื่อส่งเสริมทักษะการออกแบบวิจัย ของวิทยาลัยเทคโนโลยีไออาร์พีซี จังหวัดระยองสามารถนำไปอบรมกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2025-09-28T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/283578
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความภักดีของลูกค้าที่ใช้บริการขนส่งพัสดุของผู้ให้บริการขนส่งสินค้าทางถนนขนาดกลางและขนาดย่อมในประเทศไทย
2024-11-19T11:19:59+07:00
จิตสุภา พิจิตร์
chitsupha.1999@gmail.com
ไพโรจน์ พิภพเอกสิทธิ์
Chitsupha.1999@gmail.com
สรวงอัยย์ อนันทวิจักษณ์
Chitsupha.1999@gmail.com
กฤตชน วงศ์รัตน์
Chitsupha.1999@gmail.com
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับปัจจัยที่ส่งผลต่อความภักดีของลูกค้าที่ใช้บริการขนส่งพัสดุของผู้ให้บริการขนส่งสินค้าทางถนนขนาดกลางและขนาดย่อมในประเทศไทย 2) เพื่อศึกษาระดับความภักดีของลูกค้าที่ใช้บริการขนส่งพัสดุของผู้ให้บริการขนส่งสินค้าทางถนนขนาดกลางและขนาดย่อมในประเทศไทย 3) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความภักดีของลูกค้าที่ใช้บริการขนส่งพัสดุของผู้ให้บริการขนส่งสินค้าทางถนนขนาดกลางและขนาดย่อมในประเทศไทย รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณใช้แนวคิดการรับรู้คุณภาพการบริการ ภาพลักษณ์องค์กร และความภักดีของลูกค้า เป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัย คือ ลูกค้าที่ใช้บริการขนส่งพัสดุของผู้ให้บริการขนส่งสินค้าทางถนนขนาดกลางและขนาดย่อมในประเทศไทย กลุ่มตัวอย่าง คือ ลูกค้าที่ใช้บริการขนส่งพัสดุของผู้ให้บริการขนส่งสินค้าทางถนนขนาดกลางและขนาดย่อมจำนวน 385 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบไม่ใช้หลักความน่าจะเป็น (Non probability sampling) และดำเนินการสุ่มตัวอย่างตามความสะดวก (Convenience sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 1 ชนิด คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติอ้างอิง การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า<br />1) ระดับปัจจัยการรับรู้คุณภาพการบริการ (ภาพรวม) อยู่ในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.33 และปัจจัยภาพลักษณ์องค์กร (ภาพรวม) อยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย 4.35 <br />2) ระดับความภักดีของลูกค้าที่ใช้บริการขนส่งพัสดุของผู้ให้บริการขนส่งสินค้าทางถนนขนาดกลางและขนาดย่อมในประเทศไทย (ภาพรวม) อยู่ในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.18 <br />3) ปัจจัยการรับรู้คุณภาพการบริการและปัจจัยภาพลักษณ์องค์กรส่งผลทางตรงเชิงบวกต่อความภักดีของลูกค้าที่ใช้บริการขนส่งพัสดุของผู้ให้บริการขนส่งสินค้าทางถนนขนาดกลางและขนาดย่อมในประเทศไทย อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับน้อยกว่า .01 (Sig. = .000) <br />องค์ความรู้/ข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้ ปัจจัยภาพลักษณ์องค์กรมีระดับความสำคัญมากที่สุด มีผลต่อการสร้างความไว้วางใจและความแตกต่างในตลาด และปัจจัยการรับรู้คุณภาพการบริการ มีผลต่อการประเมินความน่าเชื่อถือและความพึงพอใจของลูกค้า และความภักดีของลูกค้าเป็นผลลัพธ์สำคัญที่ช่วยสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวและความยั่งยืนให้แก่องค์กร</p>
2025-09-28T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/283224
วิเคราะห์การจัดการทรัพยากรในการสนับสนุนการจัดการห้องเรียน ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์
2024-11-11T20:45:38+07:00
ชยันต์ สอนบุญเกิด
chayan.so@kmitl.ac.th
ภูเบศ อุทัยวัฒนานนท์
phubade.ut@kmitl.ac.th
<p>การวิจัยนี้มุ่งใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อปรับปรุงการจัดการทรัพยากรและการใช้พื้นที่ในห้องเรียนโดยใช้ข้อมูลของห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2566 ถึง 15 มีนาคม 2567 จำนวนนักศึกษา 116 คน โดยใช้วิธีวิจัยแบบผสานวิธี รวมถึงการเก็บข้อมูลเชิงปริมาณและคุณภาพผ่านการวิเคราะห์ด้วย ปัญญาประดิษฐ์ ในการตรวจจับและบันทึกการเคลื่อนไหวภายในห้องปฏิบัติการ การวิจัยมีวัตถุประสงค์หลักในการวิเคราะห์การจัดการทรัพยากรเพื่อสนับสนุนการจัดการห้องเรียนด้วยปัญญาประดิษฐ์ และประยุกต์ปัญญาประดิษฐ์เพื่อประเมินและปรับปรุงการใช้พื้นที่และทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพมาก โดยปัญญาประดิษฐ์ ถูกนำมาใช้ในการวิเคราะห์พฤติกรรมการเคลื่อนไหวของผู้ใช้งานห้องปฏิบัติการผ่านเทคโนโลยี OpenCV และ Deep Neural Networks (DNN) ซึ่งช่วยให้สามารถตรวจจับและวิเคราะห์การใช้งานพื้นที่และทรัพยากรได้อย่างละเอียด ลดการสูญเสียทรัพยากรและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานในช่วงเวลาที่มีการใช้งานสูงสุด ผลลัพธ์จากการวิจัยได้แสดงให้เห็นว่าการใช้ ปัญญาประดิษฐ์ ในการจัดการห้องเรียนช่วยให้การใช้ทรัพยากรมีความแม่นยำและเหมาะสมมากขึ้น ช่วยให้การจัดการทรัพยากรและพื้นที่ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ สนับสนุนการวางแผนการใช้งานระยะยาวอย่างมีประสิทธิผล</p>
2025-09-28T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/293741
ปัจจัยแห่งความสำเร็จในการบริหารจัดการองค์กรภาครัฐที่ได้รางวัล การบริหารจัดการที่ดี กรณีศึกษาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในกลุ่มจังหวัดภาคกลางปริมณฑล
2025-09-19T12:05:00+07:00
เผ่าพันธุ์ ดอกมะลิป่า
paophan2562@gmail.com
โชติ บดีรัฐ
paophan.d@psru.ac.th
ศรชัย ท้าวมิตร
paophan.d@psru.ac.th
<p>งานวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา สภาพ วิเคราะห์ปัจจัย และแนวทางในการสร้างรูปแบบการบริหารที่ดี กรณีศึกษาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในกลุ่มจังหวัดภาคกลางปริมณฑล เก็บข้อมูลเชิงปริมาณ จากผู้บริหารและบุคลากรขององค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี และเทศบาลนครงปากเกร็ด จำนวน 400 คน และเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 20 คน ใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน เพื่อวิเคราะห์สมการโครงสร้าง ทดสอบความสัมพันธ์ และความสอดคล้องของโมเดล<br />ผลการวิจัยพบว่า <br />1. การบริหารจัดการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ได้รางวัลการบริหารจัดการที่ดี มีปัจจัยอยู่ 2 ปัจจัย คือ ปัจจัยในระดับองค์กร คือ การกำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจและยุทธศาสตร์ในการพัฒนาท้องถิ่น การสร้างความรู้ ความเข้าใจและถ่ายทอดประสบการณ์ให้แก่บุคลากรในองค์กร ลักษณะผู้บริหารมีภาวะความเป็นผู้นำ บุคลากรในองค์กรมีความรู้ ความสามารถ และมีความรับผิดชอบ และการรับฟังความคิดเห็นจากภายนอก และปัจจัยในระดับโครงการ คือ การให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินโครงการ การร่วมมือกันทำงานอย่างใกล้ชิดระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและประชาชน การแปลงวิสัยทัศน์ นโยบาย และยุทธศาสตร์สู่การปฏิบัติงานอย่างแท้จริง และการติดตามและประเมินผลโครงการ <br />2. ปัจจัยความสำเร็จของการบริหารจัดการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ได้รางวัลการบริหารจัดการที่ดี ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน และผลการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) พบว่า ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณ เท่ากับ 0.92 กำลังสองของค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณ เท่ากับ 0.84 <br />3. รูปแบบการบริหารจัดการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีองค์ประกอบสำคัญ 6 องค์ประกอบ คือ ภาวะผู้นำของผู้บริหาร การรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน การนำวิสัยทัศน์สู่การปฏิบัติงาน บุคลากรมีความสามารถและมีความรับผิดชอบ กลยุทธ์ขององค์การและการติดตามประเมินผลโครงการ และระบบการทำงานและการส่งเสริมให้เกิดการทำงานร่วมกัน<br />ข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้ ผู้บริหารขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถนำผลการวิจัยมาใช้พัฒนากลยุทธ์การบริหารเพื่อให้องค์กการสามารถเป็นต้นแบบการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพและตอบสนองความต้องการของประชาชนและพื้นที่อย่างยั่งยืน และสามารถส่งองค์กการขอประเมินรางวัลการบริหารจัดการที่ดี</p>
2025-09-28T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/282665
การพัฒนาตัวชี้วัดคุณธรรมตามแนวพระพุทธศาสนาของผู้บริหารสถานศึกษา
2024-10-21T15:37:52+07:00
ทษมน เอี่ยมสอาด
thasa2510@gmail.com
<p>สถานการณ์ปัจจุบันของระบบการศึกษาไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านคุณธรรมจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพการศึกษาและการพัฒนานักเรียนอย่างยั่งยืน ปัญหาการขาดแนวทางการประเมินคุณธรรมที่ชัดเจนและสอดคล้องกับบริบทสังคมไทยทำให้การพัฒนาผู้บริหารในด้านนี้ขาดทิศทางที่แน่นอน การวิจัยนี้จึงมุ่งพัฒนาตัวชี้วัดคุณธรรมที่อิงหลักพระพุทธศาสนาเพื่อเป็นเครื่องมือในการประเมินและพัฒนาคุณธรรมของผู้บริหารสถานศึกษาให้มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับสังคมไทย บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาแนวคิดและการพัฒนาคุณธรรมตามแนวพระพุทธศาสนาของผู้บริหารสถานศึกษา 2) เพื่อสร้างตัวชี้วัดคุณธรรมตามแนวพระพุทธศาสนาของผู้บริหารสถานศึกษา 3) เพื่อเสนอตัวชี้วัดคุณธรรมตามแนวพระพุทธศาสนาของผู้บริหารสถานศึกษา รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพใช้แนวคิดการพัฒนาตัวชี้วัดคุณธรรมตามแนวพระพุทธศาสนาเป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัย จังหวัดกาญจนบุรี กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 17 รูปคน ใช้วิธีคัดเลือกแบบเจาะจงเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี แบบสัมภาษณ์เชิงลึก ชนิด คือ 1) แบบมีโครงสร้าง 2) แบบสนทนากลุ่ม 3) การสังเกต วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้วิธีการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยเชิงคุณภาพ นำข้อมูลมาวิเคราะห์เนื้อหาและการคืนข้อมูล สรุปนำเสนอผลการวิจัย พบว่า การพัฒนาคุณธรรมตามแนวพระพุทธศาสนาของผู้บริหารสถานศึกษา การนำหลักธรรมของพระพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้ช่วยสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดี ส่งเสริมความโปร่งใส ความยุติธรรม และการเคารพความแตกต่าง ตัวชี้วัดคุณธรรมของผู้บริหารสถานศึกษาช่วยให้ผู้นำตัดสินใจอย่างมีสติการนำหลักธรรมมาใช้ในการบริหารจัดการจะส่งเสริมการพัฒนาคุณลักษณะของนักเรียนและผู้บริหารให้มีจริยธรรม ส่งผลให้สังคมดีขึ้น<br />สรุปผลการวิจัย การพัฒนาตัวชี้วัดคุณธรรมของผู้บริหารสถานศึกษาตามกรอบหลักสัปปุริสธรรม 7 ด้าน ได้แก่ ด้านธัมมัญญู (รู้จักเหตุ) อัตถัญญู (รู้จักผล) อัตตัญญู (รู้จักตน) มัตตัญญู (รู้จักประมาณ) กาลัญญู (รู้จักกาลเวลา) ปริสัญญู (รู้จักชุมชน) ปุคคลัญญู (รู้จักบุคคล) โดยผลการวิจัยนี้ถอดบทเรียนจากประสบการณ์ของผู้บริหารสถานศึกษาที่มีความเชี่ยวชาญ นำเสนอ 35 ตัวชี้วัดที่ส่งเสริมความเป็นผู้นำที่มีจริยธรรม ส่งผลให้การจัดการการเรียนการสอนมีคุณภาพ และนักเรียนมีทักษะที่เหมาะสมกับอนาคต ส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ของโรงเรียนและสังคม</p>
2025-09-28T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/282669
การพัฒนาภาวะผู้นำเชิงพุทธของผู้บริหารที่สร้างการเปลี่ยนแปลง ในสถานศึกษาจังหวัดกาญจนบุรี
2024-10-21T15:40:17+07:00
ปกรณ์กฤษ หวังกุ่ม
pakornkrit.wan@kn.ac.th
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงพุทธของผู้บริหารกับการสร้างการเปลี่ยนแปลงในสถานศึกษา จังหวัดกาญจนบุรี 2) เพื่อค้นหากลไกในการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงพุทธของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงในสถานศึกษาจังหวัดกาญจนบุรี และ 3) เพื่อพัฒนาผู้บริหารสถานศึกษาโดยใช้นวัตกรรมเชิงพุทธเป็นฐานให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งกายและจิต รูปแบบการวิจัยเป็นเชิงคุณภาพ ใช้แนวคิดภาวะผู้นำเชิงพุทธเป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัย คือ สถานศึกษาระดับมัธยมศึกษา ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ คือ ผู้บริหารสถานศึกษา พระสงฆ์ / นักวิชาการ จำนวน 17 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์เชิงลึกแบบมีโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้วิธีการวิเคราะห์ข้อมูล นำข้อมูลมาวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า<br />1. กลไกการพัฒนาภาวะผู้นำของผู้บริหารการศึกษา เป็นกระบวนการเสริมสร้างความสามารถในการนำทางและการบริหารจัดการอย่างมีระบบ ประกอบด้วย 1) การพัฒนาวิสัยทัศน์ 2) การเสริมสร้างทักษะการสื่อสาร 3) การใช้ข้อมูลและการวิเคราะห์ 4) การสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดี 5) การพัฒนาความเป็นผู้นำเชิงพุทธ 6) การพัฒนาตนเองและการเรียนรู้ตลอดชีวิต 7) การสร้างและส่งเสริมการทำงานเป็นทีม 8) การบริหารความเปลี่ยนแปลง <br />2. การส่งเสริมการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงพุทธ ประกอบด้วยการฝึกสติและสมาธิเพื่อความสงบและการตัดสินใจที่ดี การพัฒนาทักษะการฟังเพื่อการสื่อสาร การใช้เครื่องมือวิเคราะห์ตามหลักธรรมเพื่อการตัดสินใจที่เหมาะสม การสร้างโครงการเสริมคุณธรรมเพื่อสร้างวัฒนธรรมที่ดีในองค์กร การใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้และพัฒนาที่สะดวก การสร้างเครือข่ายและกลุ่มสนับสนุนเพื่อการแลกเปลี่ยนความรู้และแรงบันดาลใจ การจัดอบรมเชิงปฏิบัติในการฝึกฝนทักษะ และการประเมินและติดตามผลเพื่อการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างผู้นำที่มีคุณธรรมและสามารถจัดการองค์กร<br />3. กลไกและการส่งเสริมภาวะผู้นำเชิงพุทธเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงไปสู่การสร้างองค์กรวิถีพุทธ โรงเรียนดีมีความสุข ด้วยการนำหลักธรรมพุทธศาสนาเข้ามาประยุกต์ใช้ในการบริหารและพัฒนาโรงเรียนเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่เป็นมิตรและส่งเสริมความสุขของทั้งนักเรียนและบุคลากรในโรงเรียน</p>
2025-09-28T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/282547
พลังสตรีชาวพุทธ: รูปแบบผู้นำสตรีสู่การขับเคลื่อนองค์กรเชิงพุทธ
2024-10-21T15:52:56+07:00
หนึ่งฤทัย พูลลาภ
nuengruethaipoollap@gmail.com
พระมหาศุภวัฒน์ ฐานวุฑฺโฒ
nuong18012514@gmail.com
พระเจริญพงษ์ ธมฺมทีโป
nuong18012514@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสำรวจและรวบรวมข้อมูลการบริหารงานของผู้นำสตรีชาวพุทธ 2) เพื่อวิเคราะห์การบริหารงานสู่การขับเคลื่อนองค์กรเชิงพุทธของผู้นำสตรีชาวพุทธ 3) เพื่อสร้างรูปแบบผู้นำสตรีสู่การขับเคลื่อนองค์เชิงพุทธ รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ การวิจัยในครั้งนี้ผู้วิจัยใช้วิธีการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจากข้อมูลปฐมภูมิและทุติยภูมิโดยการสัมภาษณ์เชิงลึก การสนทนากลุ่ม แล้วใช้การสร้างข้อสรุปแบบวิธีอุปนัย</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ผู้นำสตรีชาวพุทธมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรเชิงพุทธและส่งเสริมการพัฒนากิจกรรมทางศาสนา โดยการบริหารงานของผู้นำสตรีชาวพุทธมีลักษณะเด่นในด้าน การนำหลักธรรมพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้ในการบริหารงาน การบริหารแบบมีส่วนร่วม การสนับสนุนการเรียนรู้และปฏิบัติธรรม การจัดการทรัพยากรบุคคลอย่างมีประสิทธิภาพ และการสร้างความสัมพันธ์กับชุมชนท้องถิ่น 2. การบริหารงานของผู้นำสตรีชาวพุทธมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรเชิงพุทธไปในทิศทางที่ส่งเสริมการพัฒนาทั้งในเชิงบุคคลและชุมชน ความสำเร็จในการบริหารงานนั้นเกิดจากการประยุกต์ใช้หลักธรรมในการตัดสินใจ การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับบุคลากรและชุมชน รวมถึงการสนับสนุนบทบาทของสตรีในศาสนาพุทธ ส่งผลให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองทั้งในด้านศาสนาและสังคม 3. รูปแบบการเป็นผู้นำสตรีชาวพุทธที่มีประสิทธิภาพคือการผสมผสานหลักธรรมพุทธศาสนาเข้ากับความสามารถในการปรับตัวและการสร้างสรรค์ในเชิงบริหารงาน โดยมีความยืดหยุ่นในการนำพาองค์กรให้เจริญก้าวหน้าในยุคปัจจุบัน ทั้งนี้ การส่งเสริมการมีส่วนร่วม การพัฒนาบุคลากร และการสร้างเครือข่ายกับชุมชนและองค์กรพุทธอื่น ๆ ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้องค์กรพุทธสามารถขับเคลื่อนได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน</p>
2025-09-28T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/282664
พุทธจริยศาสตร์ในความเป็นเอตทัคคะของนางวิสาขา
2024-10-21T15:34:13+07:00
ปิยวรรณ สง่าจิตร
piyavan@windowslive.com
พระมหาศุภวัฒน์ ฐานวุฑฺโฒ
piyavan@windowslive.com
บรรพต ต้นธีรวงศ์
piyavan@windowslive.com
<p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเรื่อง “พุทธจริยศาสตร์ในความเป็นเอตทัคคะของนางวิสาขา” ผลการวิจัยพบว่า พุทธจริยศาสตร์มีพื้นฐานอยู่บนชีวทัศน์และโลกที่มุ่งเน้นการหลุดพ้นส่วนตัว และจริยศาสตร์สังคม เพราะนางวิสาขาเป็นมหาอุบาสิกาที่ได้ชื่อเป็นอุปัฏฐายิกาผู้บำรุงด้วยปัจจัย 4 นอกจากนี้นางวิสาขายังมีบทบาทในฐานะต่าง ๆ ได้แก่ บทบาทในฐานะมารดา ในฐานะลูก ลูกสะใภ้ ฐานะภรรยา ฐานะมหาอุบาสิกาและบทบาทด้านการทะนุบำรุงพระพุทธศาสนา โดยการยึดหลักโอวาท 10 ซึ่งสัมพันธ์กับหลักทิศ 6 โดยมีคุณค่าที่เป็นแนวปฏิบัติของสตรีไทยได้ ในฐานะมารดาคุณค่าที่เป็นแนวปฏิบัติตามหลักพรหมวิหาร 4 ทิศ 6 หลักสังคหวัตถุ 4 มีความศรัทธามั่นคงในพระรัตนตรัย โดยการยึดหลักทาน ศีล ภาวนา ไม่แสวงประโยชน์จากพระพุทธศาสนา หมั่นศึกษาหลักคำสอน มีความรู้เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาดี สามารถที่จะปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนา แก้ไขปรับวาทะได้ ด้านการทะนุบำรุงพระพุทธศาสนา คุณค่าที่เป็นแนวปฏิบัติ ได้แก่ การศึกษาหลักคำสอนให้ลึกซึ้งให้เข้าใจ ประพฤติปฏิบัติตามหลักคำสอนเป็นการส่วนตัวให้ยิ่งขึ้นไป ๆ แล้วเผยแพร่คำสอน ทำหน้าที่ของอุบาสิกาในฐานะผู้สอนธรรมนั้นเอง</p>
2025-09-28T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/282862
การบริหารจัดการและเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนที่ได้รับ ผลกระทบปัญหาที่ดินริมฝั่งแม่น้ำป้าสักพังทลายจากภัยน้ำท่วม จังหวัดสระบุรี
2024-11-01T18:41:47+07:00
อำนวย ปิ่นพิลา
supattrasuwannaphat@gmail.com
สนิท สิทธิ
dr.amnuay_@hotmail.com
กอบลาภ อารีศรีสม
dr.amnuay_@hotmail.com
ภาวิณี อารีศรีสม
dr.amnuay_@hotmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาภัยธรรมชาติของแกนนำภาคประชาชนในการดูแล ฟื้นฟูเยียวยาคุณภาพชีวิตของกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบปัญหาที่ดินริมฝั่งแม่น้ำป่าสักพังทลายจากภัยน้ำท่วม 2) เพื่อเสริมสร้างทักษะของแกนนำภาคประชาชนให้มีความเข้าใจถึงการป้องกัน 3) เพื่อทดสอบระดับความเหมาะสม ความเป็นไปได้ด้วยการยอมรับในนโยบายเชิงปฏิบัติการสาธารณะ 4) เพื่อพัฒนาแผนและนโยบายเชิงปฏิบัติการสาธารณะ ใช้การวิจัยเชิงผสมผสาน (Mixed Methods Research) ประกอบด้วย การวิจัยเชิงคุณภาพ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงปริมาณ (Qualitative Research) ประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ประชาชนผู้ที่อาศัยและตั้งครัวเรือนอยู่บริเวณพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำป่าสัก จังหวัดสระบุรี โดยกำหนดขอบเขตครอบคลุมอำเภอวังม่วง อำเภอแก่งคอย อำเภอเฉลิมพระเกียรติ อำเภอเมือง และอำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรีและผู้มีบ้านติดตลิ่ง ไกลตลิ่ง กำหนดกลุ่มเป้าหมายโดยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจงเป็นประชาชนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการป้องกันตลิ่งพังและได้รับผลกระทบปัญหาที่ดินริมฝั่งแม่น้ำป่าสักพังทลายจากภัยน้ำท่วม จังหวัดสระบุรี การศึกษาสภาพทั่วไปของพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำ ข้อมูลพื้นฐานทางเศรษฐกิจและสังคมของชุมชนในพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำ ได้แก่ ลักษณะทางประชากร อาชีพ รายได้ โครงสร้างพื้นฐาน ฯลฯ สถานการณ์และสภาพปัญหาเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการป้องกันตลิ่งพังและได้รับผลกระทบปัญหาที่ดินริมฝั่งแม่น้ำป่าสักพังทลายจากภัยน้ำท่วม จังหวัดสระบุรี ของประชากรกลุ่มเป้าหมายปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการนำไปสู่การมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการป้องกันตลิ่งพังและได้รับผลกระทบปัญหาที่ดินริมฝั่งแม่น้ำป่าสักพังทลายจากภัยน้ำท่วม จังหวัดสระบุรี จำนวน 5 มิติ ประกอบด้วย มิติพุทธสันติวิธี มิติการพัฒนาที่ยั่งยืน มิติการผลักดันและการเปลี่ยนแปลง มิติการจัดการสิ่งแวดล้อมเชิงนิเวศ และมิติการมีส่วนร่วม และการบริหารจัดการและเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนที่ได้รับผลกระทบปัญหาที่ดินริมฝั่งแม่น้ำป่าสักพังทลายจากภัยน้ำท่วม จังหวัดสระบุรี ซึ่งชุมชนในพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำป่าสักมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการป้องกันตลิ่งพังและได้รับผลกระทบปัญหาที่ดินริมฝั่งแม่น้ำป่าสักพังทลายจากภัยน้ำท่วม จังหวัดสระบุรี และสร้างความเชื่อมั่นต่อการดำรงชีวิตให้กับชุมชนอย่างยั่งยืน</p>
2025-09-28T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/282655
รูปแบบการสร้างสัมพันธภาพด้วยหลักพุทธธรรมของพนักงาน ธนาคารกสิกรไทย สำนักงานเขตการบริการและการขาย 1
2025-09-19T13:22:44+07:00
สมชาย บุญมีธารธรรม
kuiy.somchai@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเรื่อง “รูปแบบการสร้างสัมพันธภาพด้วยหลักพุทธธรรมของพนักงานธนาคารกสิกรไทย สำนักงานเขตการบริการและการขาย 1” เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ <br />เก็บรวบรวมข้อมูลในรูปแบบการสัมภาษณ์เชิงลึก ผู้ให้ข้อมูลโดยเลือกจากมีความรู้และประสบการณ์ระดับผู้บริหารธนาคารกสิกรไทย จำนวนรวม 15 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า 1) การสร้างสัมพันธภาพของพนักงานธนาคารกสิกรไทย การสร้างความรักและความผูกพันของพนักงานธนาคารกสิกรไทย จำเป็นอย่างยิ่งที่องค์การต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ส่วนใหญ่ความผูกพันของพนักงานจะมุ่งเน้นไปทางด้านอารมณ์และทางสติปัญญาที่ทุ่มเทให้กับองค์การ 2) ประยุกต์ใช้หลักพุทธธรรมสร้างสัมพันธภาพของพนักงานธนาคารกสิกรไทย ได้แก่ 1) การสร้างสัมพันธภาพของพนักงานของธนาคารกสิกรไทยตามหลักสังคหวัตถุ 4 และ 2) การสร้างสัมพันธภาพของพนักงานของธนาคารกสิกรไทยตามหลักพรหมวิหาร 4 และ 3) รูปแบบการสร้างสัมพันธภาพด้วยหลักพุทธธรรมของพนักงานธนาคารกสิกรไทย สำนักงานเขตการบริการและการขาย 1 คือ การบูรณาการหลักธรรมกับการจัดกิจกรรมขององค์กร ได้แก่ เมตตา การสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตร, กรุณา การช่วยเหลือและพัฒนาพนักงาน, มุทิตา การสร้างกำลังใจและส่งเสริมความสำเร็จ และอุเบกขา การดำเนินงานอย่างยุติธรรมเป็นกลาง</p>
2025-09-28T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/286995
การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ กับการบริหารสถานศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ของโรงเรียนกลุ่ม 3 ศรีวิสุทธิ์
2025-04-08T11:15:01+07:00
ภาณุวิชญ์ บัวแก้วเทศ
phanuwith.b@gmail.com
นงลักษณ์ ใจฉลาด
Phanuwith.b@gmail.com
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ 2) การบริหารสถานศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์กับการบริหารสถานศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารสถานศึกษา 9 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบเจาะจง และครู 94 คน ใช้วิธีการคัดเลือกแบบแบ่งชั้นและการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แบบสอบถามภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา 2) แบบสอบถามการบริหารสถานศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน <br />ผลการวิจัยพบว่า<br />1. ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ ในภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก<br />2. การบริหารสถานศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ในภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก<br />3. ความสัมพันธ์ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์กับการบริหารสถานศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ในภาพรวมมีความสัมพันธ์กันเชิงบวกและมีระดับความสัมพันธ์สูง<br />องค์ความรู้จากงานวิจัยนี้ สามารถนำไปพัฒนาคุณลักษณะด้านภาวะผู้นำและด้านการบริหารสถานศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น</p>
2025-09-28T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/287131
การพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ที่ส่งเสริมความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษ ด้วยการสอนแบบ DR-TA ร่วมกับหลักการเรียนแบบร่วมมือสำหรับนักศึกษาครู คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์
2025-04-08T11:18:40+07:00
เวนุกา ตาลาน
wenuka.t@nsru.ac.th
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสร้างและพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ที่ส่งเสริมความเข้าใจในการอ่าน ด้วยการสอนแบบ DR-TA ร่วมกับหลักการเรียนแบบร่วมมือมีคุณภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบความเข้าใจในการอ่านก่อนและหลังการสอนด้วยรูปแบบการเรียนรู้ที่ส่งเสริมความเข้าใจในการอ่าน ด้วยการสอนแบบ DR-TA ร่วมกับหลักการเรียนแบบร่วมมือ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อรูปแบบการเรียนรู้ที่ส่งเสริมความเข้าใจในการอ่าน ด้วยการสอนแบบ DR-TA ร่วมกับหลักการเรียนแบบร่วมมือ โดยใช้กระบวนการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) พื้นที่วิจัย ได้แก่ นักศึกษาครู คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาสาขาวิชาเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ จำนวน 30 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบเจาะจง (Purpose Sampling) เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ 1) รูปแบบการเรียนรู้ที่ส่งเสริมความเข้าใจในการอ่านด้วยการสอนแบบ DR-TA ร่วมกับหลักการเรียนแบบร่วมมือ 2) แบบทดสอบวัดความเข้าใจในการอ่าน 3) แบบสอบถามความพึงพอใจต่อรูปแบบการเรียนรู้ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าเฉลี่ย <br />ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบค่าที (t-test dependent) <br />ผลการวิจัยพบว่า 1) รูปแบบการเรียนรู้มีประสิทธิภาพในระดับดี 2) ผู้เรียนที่ได้รับการสอนด้วยรูปแบบการเรียนรู้มีคะแนนความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษก่อนเรียนและหลังเรียนแตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) ความพึงพอใจที่มีต่อรูปแบบการเรียนรู้อยู่ในระดับมาก</p>
2025-09-28T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย