https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/issue/feed วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย 2024-09-30T22:37:42+07:00 Asst. Prof. Dr.Phumphakhawat Phumphongkhochasorn eitsthailand64@gmail.com Open Journal Systems <p>วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการศึกษาค้นคว้า และเพื่อเผยแพร่บทความวิจัยและบทความวิชาการในมิติเพื่อสนับสนุนการศึกษา การสอน การวิจัย วารสารมุ่งเน้นบทความทางด้านการศึกษา นวัตกรรมการศึกษา นวัตกรรมการบริหารการศึกษา หลักสูตรและการสอน นวัตกรรมการจัดการ ศิลปศาสตร์ และนวัตกรรมการศึกษาเชิงประยุกต์ </p> https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/266828 กระบวนทัศน์การพัฒนาหลักสูตรสังคมศึกษาแนวดิจิทัล เพื่อส่งเสริมความเป็นพลเมืองดิจิทัลในห้องเรียนวิถีถัดไป 2023-03-12T06:52:32+07:00 ชรินทร์ มั่งคั่ง charin.mangkhang@cmu.ac.th สุวสิรินทร์ สุวรรณจักร์ suwasirin.sk@gmail.com <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ทบทวนกรอบแนวคิดกรอบแนวคิดการศึกษาหลักสูตรสังคมศึกษาแนวดิจิทัล เพื่อส่งเสริมความเป็นพลเมืองดิจิทัลในห้องเรียนวิถีถัดไปและ 2) เสนอแนวทางการพัฒนาหลักสูตรสังคมศึกษาแนวดิจิทัล เพื่อส่งเสริมความเป็นพลเมืองดิจิทัลในห้องเรียนวิถีถัดไป ผลการศึกษาพบว่า หลักสูตรสังคมศึกษาแนวดิจิทัล เพื่อส่งเสริมความเป็นพลเมืองดิจิทัลในวิถีถัดไป เป็นแนวทางพัฒนาการเรียนรู้จากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมดิจิทัลในปัจจุบัน การสร้างพื้นที่ห้องเรียนเสมือนผ่านเทคโนโลยี การสร้างปฏิสัมพันธ์รวมทั้งการใช้สื่อสารสนเทศอย่างหลากหลาย การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมในปัจจุบันส่งผลต่อการเรียนรู้เด็กและเยาวชนในระบบการศึกษา ก่อให้เกิดการเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วและแพร่หลาย จากการเปลี่ยนแปลงข้างต้น การสร้างความฉลาดรู้ทางดิจิทัลและการรู้เท่าทันสื่อแก่ผู้เรียนจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ผู้เรียนเกิดทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ กล่าวคือ การสร้างความตระหนักและการเรียนรู้ทักษะการใช้ดิจิทัลได้อย่างเท่าทันและเหมาะสม ผ่าน 3 มิติ ดังนี้ 1) การมีความรู้และความคิดสร้างสรรค์ทางดิจิทัล 2) คุณธรรม จริยธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคมดิจิทัล และ 3) การมีส่วนร่วมและการเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจดิจิทัล รวมทั้งการประยุกต์ใช้สื่ออย่างสร้างสรรค์เพื่อให้สอดคล้องกับการสร้างพลเมืองดิจิทัลในห้องเรียนวิถีถัดไป ผ่านกระบวนการ Digital Social Studies Curriculum Development Model หรือ 4D Model ดังนี้ 1) วิเคราะห์หลักสูตรและบริบทพื้นถิ่นดิจิทัล (Digital Area Analysis :D) 2) การกำหนดเป้าหมาย (Destination :D) 3) การออกแบบและพัฒนาหลักสูตร (Design and Development :D) และ 4) การประเมินผลเครือข่ายดิจิทัล (Digital Evaluation :D) แนวทางการพัฒนาหลักสูตรสังคมศึกษาแนวดิจิทัลถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์หลักสูตรสังคมศึกษาแบบเดิมที่นำไปสู่การพัฒนาหลักสูตรสังคมศึกษาแนวดิจิทัลที่จะเป็นตัวทำให้เกิดระบบนิเวศการเรียนรู้แบบองค์รวมในด้านสื่อและเทคโนโลยีให้เกิดประสิทธิภาพในการจัดการสังคมเทคโนโลยีพื้นที่ห้องเรียนวิถีถัดไปในอนาคต</p> 2024-09-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/265727 การสมรสเท่าเทียมกันในฐานะปรากฏการณ์ทางสังคม ตามปรัชญากระบวนทรรศน์หลังนวยุค 2023-01-17T11:22:43+07:00 อาทิตย์ สุขอ่ำ s64563826001@ssru.ac.th สิริกร อมฤตวาริน s64563826001@ssru.ac.th <p>ปัจจุบันสังคมไทยและวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่มีพลวัต มีการเคลื่อนไหวและการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอในทุกด้าน รวมไปถึงสภาพแวดล้อมที่ส่งผลให้บุคคลในสังคมต้องปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ผ่านเข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์ ทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนทางความคิดที่ส่งผลต่อบริทบก่อให้เกิดปรากฏการณ์ทางสังคม บทความการวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative research) ตามปรัชญากระบวนทรรศน์ทางเลือกเชิงเหตุผลที่มีอิทธิพลต่อกระแสความคิด โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปรากฏการณ์ทางสังคมเรื่องการสมรสเท่าเทียมกันตามปรัชญากระบวนทรรศน์หลังนวยุค 2) เพื่อวิเคราะห์แนวคิดการขับเคลื่อนทางสังคมของกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+) ที่พบในสังคมไทย ผลการศึกษาพบว่าทัศนคติ ค่านิยมที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ นำไปสู่ความหลากหลายในด้านอุดมการณ์ต่อการขับเคลื่อนทางสังคม ก่อให้เกิดกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+) ที่เกิดขึ้นตามทัศนคติคนรุ่นใหม่ที่ถูกกีดกันและจำกัดพื้นที่ทางสังคมจนเป็นปรากฏการณ์ เช่น การชุมนุม ประท้วง หรือม็อบ เพื่อเรียกร้องสิทธิและความเท่าเทียมกันตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน เพื่อให้มองเห็นถึงแก่นความคิดความสำคัญของปรากฏการณ์ในการต่อสู้กับความคิดแง่ลบในสังคมที่มีผลต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ นำไปสู่การยอมรับที่หลากหลายของสังคมพหุนิยม ผลการวิจัยนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการมองภาพสะท้อนของสังคมในปัจจุบันและในอนาคตต่อผลที่เกิดขึ้นจากโครงสร้างทางสังคมที่มีผลต่อความสำคัญของสถาบันครอบครัว และความมั่นคงของโครงสร้างสังคมในแต่ละส่วนเพราะระบบความสัมพันธ์ที่แตกต่างกันย่อมขึ้นอยู่กับการอบรมสั่งสอนหรือการขัดเกลาที่เป็นไปในลักษณะที่สอดคล้องกัน</p> 2024-09-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/265616 การสอนวิทยาศาสตร์ตามแนวคิดปรัชญาหลังนวยุคสายกลาง 2023-01-07T16:44:28+07:00 ธนวัฒน์ จวนแจ้ง thanawat.jjbird@gmail.com สิริกร อมฤตวาริน Thanawat.jjbird@gmail.com <p>บทความนี้เป็นบทความเชิงปรัชญามีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อวิเคราะห์วิสัยทัศน์และเป้าหมายการสอนวิทยาศาสตร์ตามแนวคิดปรัชญาหลังนวยุคสายกลาง 2) เพื่อประยุกต์ใช้ในการพัฒนาคุณภาพการสอนวิทยาศาสตร์ตามแนวคิดปรัชญาหลังนวยุคสายกลาง โดยศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลของวิสัยทัศน์และเป้าหมายจากเอกสารหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 และหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ที่สอดคล้องตามแนวคิดปรัชญาหลังนวยุคสายกลาง และนำผลการวิเคราะห์ไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาคุณภาพการสอนวิทยาศาสตร์ตามแนวคิดปรัชญาหลังนวยุคสายกลาง<br />ผลการศึกษาพบว่า 1) หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 และหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ได้กำหนดวิสัยทัศน์และเป้าหมายการสอนวิทยาศาสตร์มุ่งเน้นในด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ได้จากการศึกษาความรู้วิทยาศาสตร์ควบคู่ไปกับคุณธรรม จริยธรรมความเป็นมนุษย์ ความตระหนักรู้ถึงผลลัพธ์ต่อโลก ธรรมชาติ มนุษย์และสัตว์ เห็นคุณค่าและใช้ประโยชน์ร่วมกันในสังคม วางใจเป็นกลาง ให้เกียรติผู้ที่มีกระแสความคิดอื่นโดยการใช้เหตุผลในการเจรจา ซึ่งเป็นการกำหนดวิสัยทัศน์และเป้าหมายการสอนวิทยาศาสตร์ที่สอดคล้องตามแนวคิดปรัชญาหลังนวยุคสายกลาง 2) ผลการศึกษาครั้งนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาคุณภาพการสอนวิทยาศาสตร์ตามแนวคิดปรัชญาหลังนวยุคสายกลาง ได้โดยการจัดทำหลักสูตรการสอนและวิธีการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้มีความเหมาะสมตามสาระ 4 สาระ และความสอดคล้องตามแนวคิดปรัชญาหลังนวยุคสายกลางได้</p> 2024-09-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/271512 กระบวนทัศน์การบริหารจัดการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแนวใหม่ 2023-09-08T11:43:20+07:00 สัญญา เคณาภูมิ zumsa_17@hotmail.com วัชราภรณ์ จันทนุกูล chomchob49@gmail.com สามารถ อัยกร Saamm_5@hotmail.com สัญญาศรณ์ สวัสดิ์ไธสง sanyasorn@snru.ac.th <p>การปกครองส่วนท้องถิ่นมีบทบาทสำคัญในประทธิผลของการบริหารราชการแผ่นและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน การเกิดขึ้นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีคุณค่าแก่ชุมชนอย่างยิ่งเนื่องจากสามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง บทความนี้มีวัตถุประสงคเพื่อสังเคราะห์กระบวนทัศน์การบริหารจัดการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแนวใหม่ ซึ่งใช้วิธีการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องในลักษณะการวิจัยเอกสาร ทำการวิเคราะห์เนื้อหาและสังเคราะห์องค์ประกอบการศึกษาพร้อมการนำเสนอเชิงพรรณนาความ ผลการศึกษาพบว่า กระบวนทัศน์การบริหารจัดการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแนวใหม่ ประกอบด้วย (1) การกระจายอำนาจแบบการคืนอำนาจให้กับท้องถิ่น (2) การมีส่วนร่วมแบบหุ้นส่วนของประชาชน (3) การสร้างขีดความสามารถและการเสริมพลังอำนาจ (4) การมีธรรมาภิบาลหลายระดับ (5) การสร้างนวัตกรรมการส่งมอบบริการสาธารณะแก่ประชาชน และ (6) ความเป็นอิสระและความยั่งยืนทางการเงินของท้องถิ่น ดังนั้นกระบวนทัศน์เหล่านี้จะทำให้ท้องถิ่นสามารถตอบสนองความต้องการและแรงบันดาลใจของชุมชนได้ดีขึ้นซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองท้องถิ่นและมีส่วนช่วยในการพัฒนาโดยรวมและความเป็นอยู่ที่ดีของสังคม</p> 2024-09-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/268323 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำที่แท้จริงของผู้บริหารสถานศึกษา และการส่งเสริมสิทธิและเสรีภาพของผู้เรียนตามระบอบประชาธิปไตย ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี กลุ่มอำเภอปากเกร็ด 2023-05-11T09:24:48+07:00 ประภาพรรณ คุณประสิทธิ์ prapapan.ku@ku.th วรรณวิศา สืบนุสรณ์ คล้ายจำแลง wanwisa.sue@ku.th <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับภาวะผู้นำที่แท้จริงของผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี กลุ่มอำเภอปากเกร็ด 2) ระดับการส่งเสริมสิทธิและเสรีภาพของผู้เรียนตามระบอบประชาธิปไตยในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี กลุ่มอำเภอปากเกร็ด และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างระดับภาวะผู้นำที่แท้จริงของผู้บริหารสถานศึกษากับระดับการส่งเสริมสิทธิและเสรีภาพของผู้เรียนตามระบอบประชาธิปไตยในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี กลุ่มอำเภอปากเกร็ด รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงสำรวจ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือครูผู้สอน จำนวน 234 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่น .966 วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์<br />ผลการวิจัยพบว่า<br />1. ภาวะผู้นำที่แท้จริงของผู้บริหารสถานศึกษาในภาพรวมอยู่ในระดับมาก และพบว่าภาวะผู้นำที่แท้จริงด้านที่มีระดับการปฏิบัติสูงที่สุด คือ ด้านคุณธรรมจริยธรรม รองลงมา คือ ด้านการควบคุมตนเองด้านการตระหนักรู้ในตนเอง ด้านคุณธรรมจริยธรรม ด้านความโปร่งใส และด้านที่มีระดับการปฏิบัติต่ำที่สุด คือ ด้านความยุติธรรม<br />2. การส่งเสริมสิทธิและเสรีภาพของผู้เรียนตามระบอบประชาธิปไตยในภาพรวมอยู่ในระดับมาก และพบว่า ด้านที่มีการส่งเสริมสูงสุด คือ ด้านสิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองให้ปลอดภัยจากการถูกละเมิด คือการที่ผู้บริหารสถานศึกษาส่งเสริมให้นักเรียนมีความปลอดภัยทั้งทางร่างกาย และจิตใจ นักเรียนได้รับการคุ้มครองจากการถูกละเมิด ทางร่างกาย ทางวาจา ทางจิตใจ และด้านที่มีระดับการส่งเสริมต่ำที่สุด คือ ด้านสิทธิและเสรีภาพในการพูดแสดงความคิดเห็น คือ ผู้บริหารสถานศึกษาเปิดโอกาสให้นักเรียนได้แสดงความคิดเห็นในเชิงสร้างสรรค์ได้อย่างเสรี เปิดโอกาสให้นักเรียนได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น จัดกิจกรรมชุมนุมเรียกร้องอย่างสันติวิธี โดยผู้บริหารสถานศึกษาได้นำความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของนักเรียนมาใช้ประกอบการบริหารสถานศึกษา และมีการผ่อนปรนกฎระเบียบต่าง ๆ ที่นักเรียนเรียกร้องตามความเหมาะสม<br />3. ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำที่แท้จริงกับการการส่งเสริมสิทธิและเสรีภาพของผู้เรียนตามระบอบประชาธิปไตยในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี กลุ่มอำเภอปากเกร็ด ในภาพรวมมีความสัมพันธ์ทางบวก อยู่ในระดับปานกลาง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ (r=.68, p&lt;.01) <br />องค์ความรู้/ข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้ ทำให้ทราบแนวทางการบริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมสิทธิและเสรีภาพของผู้เรียนตามระบอบประชาธิปไตยที่เหมาะสม หลากหลาย และ การศึกษานี้เป็นส่วนหนึ่งในการอธิบายความสัมพันธ์ของภาวะผู้นำที่แท้จริงกับประสิทธิผลในการบริหารสถานศึกษา</p> 2024-09-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/274855 การสร้างสรรค์นวัตกรรมสามัญประจำตัวครู เพื่อพัฒนาครูผู้สอนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ด้านนวัตกรรมการเรียนรู้ จากอำนาจละมุน: การนิเทศแบบชี้แนะโดยใช้ชุดฝึกอบรมด้วยตนเอง 2024-01-24T11:22:18+07:00 พีรกฤต เครือลุนทีระยุทธ cherkungsci@gmail.com <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อให้ครูมีความรู้และความเข้าใจนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้โดยใช้อำนาจละมุนและ 2) เพื่อให้ครูสร้างนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับอำนาจละมุน นำไปพัฒนาวิชาชีพครูตามมาตรฐานตำแหน่งและคุณภาพผู้เรียน รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยแบบทดลองใช้ทฤษฎีแรงจูงใจ ทฤษฎีภาวะผู้นำ ทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง แนวคิดการจัดการเรียนรู้เชิงรุกและแนวคิดเกี่ยวกับอำนาจละมุลเป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัย คือ กลุ่มเครือข่ายสถานศึกษาที่ 9 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 3 กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 16 คน ซึ่งสมัครเข้าร่วมโครงการพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 3 ชนิด คือ 1) ชุดฝึกอบรมด้วยตนเอง 2) แบบทดสอบ และ 3) แบบประเมินนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบค่าที และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า ชุดฝึกอบรมด้วยตนเอง เรื่อง การสร้างสรรค์นวัตกรรมสามัญประจำตัวครู จำนวน 4 หน่วย โดยมีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.88/83.95 ผลการเปรียบเทียบคะแนนก่อนและหลังใช้ชุดฝึกอบรมด้วยตนเอง เรื่อง การสร้างสรรค์นวัตกรรมสามัญประจำตัวครู มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ครูระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานสร้างนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้จากอำนาจละมุนมีผลการประเมินนวัตกรรมอยู่ในระดับมากที่สุด องค์ความรู้จากงานวิจัยนี้ คือ การนิเทศแบบชี้แนะที่หนุนเสริมและพัฒนาครูผู้สอนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีความแตกต่างกันด้านสมรรถนะการจัดการเรียนรู้จากการพัฒนาด้วยตนเองและครูผู้สอนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานสร้างนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับอำนาจละมุนในพื้นที่การเรียนรู้ได้ด้วยตนเองและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของครูผู้สอน</p> 2024-09-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/266999 สภาพเงื่อนไขและกระบวนการสู่ความสำเร็จในการบริหารจัดการศูนย์ การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา ในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย 2023-05-09T19:50:38+07:00 คำพรทิพย์ ปรัชญาวาที khampornthip@gmail.com นิรันดร์ จุลทรัพย์ Khampornthip@gmail.com นวรัตน์ ไวชมภู Khampornthip@gmail.com <p>วิจัยเชิงคุณภาพนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการบริหารจัดการศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และ 2) ศึกษาเงื่อนไขและกระบวนการขับเคลื่อนไปสู่ความสำเร็จของการเป็นศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษาในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย แบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน ดังนี้ ตอนที่ 1 ทบทวนวรรณกรรมจากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดประเด็นสัมภาษณ์ และตอนที่ 2 สัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 35 คน เครื่องมือที่ใช้ในเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูลโดยผู้ให้ข้อมูลสำคัญเป็นผู้ตรวจสอบทุกครั้งหลังเสร็จสิ้นการสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหาตามแบบของโคไลซี่ ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการบริหารจัดการศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา มี 3 ด้าน ดังนี้ 1. ด้านการขับเคลื่อนหลักสูตรโดยมีการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่สถานศึกษาในกลุ่มสาระการเรียนรู้ 2. ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน และ 3. ด้านการจัดกิจกรรมฐานการเรียนรู้ และ 2) เงื่อนไขที่ส่งผลต่อความสำเร็จของศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา ประกอบด้วย 2 เงื่อนไขหลัก 4 เงื่อนไขรอง 11 เงื่อนไขย่อย และ 3 ประเด็น ส่วนกระบวนการการขับเคลื่อนประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ขั้นที่ 1 การเตรียมความพร้อมในการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาขับเคลื่อนในสถานศึกษา ขั้นที่ 2 การจัดระบบการเรียนรู้ ขั้นที่ 3 การจัดกิจกรรมในโรงเรียนและกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ขั้นที่ 4 การดำเนินการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเพื่อนำมาสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและวิถีชีวิต ขั้นที่ 5 การสร้างเครือข่ายและขยายผล</p> 2024-09-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/272736 การพัฒนาเครื่องมือทดสอบ Field CBR ภาคสนาม 2023-10-30T15:45:55+07:00 วีระชัย วงษ์วีระนิมิตร kitisak.lu@western.ac.th ณัฐกฤษ น้อยก้อน kitisak.lu@western.ac.th กิตติศักดิ์ ฤาแรง kitisak.lu@western.ac.th <p>ปัจจุบันการทดสอบ Field CBR ในการติดตั้งเครื่องมือต้องใช้เวลานาน และมีความปลอดภัยน้อย ซึ่งอาจทำให้เครื่องมือได้รับความเสียหายได้ คณะผู้วิจัยจึงได้ออกแบบชุดพัฒนาทดสอบ Field CBR โดยการนำเอาเหล็กรางน้ำขนาดกว้าง 125 มิลลิเมตร สูง 65 มิลลิเมตร หนา 8 มิลลิเมตร น้ำหนัก 13.4 กิโลเมตรต่อเมตร มีความยาว 1,000 มิลลิเมตร และแผ่นเหล็กรองใต้คานมาเชื่อมประกอบติดกันและอุปกรณ์ช่วยยึดติดกับคานใต้ท้องรถบรรทุก 10 ล้อ (หนักประมาณ 25 ตัน) งานวิจัยนี้ได้ทำการวิเคราะห์ค่าความแปรปรวนพร้อมทั้งเปรียบเทียบประสิทธิภาพในการทำงานระหว่างเครื่องมือ โดยทำการจำลองแปลงทดสอบวัสดุชั้นรองพื้นทาง (ลูกรัง) และชั้นพื้นทาง (หินคลุก) ช่วงกิโลเมตรที่ 0 + 075 ถึงช่วงกิโลเมตรที่ 0 + 550 ของโครงการก่อสร้างโครงการถนนลาดยางสายบ้านรัตนบุรี ถึงบ้านระเวียง ต.รัตนบุรี อ.รัตนบุรี จ.สุรินทร์ ซึ่งได้นำเครื่องมือ Field CBR (ชุดเดิม), Field CBR (ชุดพัฒนา), Dynamic Cone Penetrometer (DCP) และ Sand cone test มาทดสอบวัสดุในชั้นทางแต่ชั้น ๆ ละ 10 จุดทดสอบ โดยมีการเก็บตัวอย่างจากแปลงทดลองมาทดสอบหาคุณสมบัติพื้นฐานต่าง ๆ ทางวิศวกรรมในห้องปฏิบัติการ จากผลศึกษาพบว่าเครื่องมือที่ใช้ทดสอบหาค่า CBR ในสนามของเครื่องมือชุดเดิมกับเครื่องมือชุดพัฒนามีค่าใกล้เคียงกันและค่าความแปรป่วนของเครื่องมือชุดปรับปรุงมีค่าน้อยกว่าชุดเดิม เครื่องมือ CBR ชุดพัฒนาใช้เวลาในการดำเนินงานน้อยกว่าชุดเดิมและมีความปลอดภัยมากขึ้นเนื่องจากมีตัวล็อคติดกับคานไม่สามารถดิ้นหลุดง่าย ผลการทดลองในครั้งนี้พบว่า เครื่องมือ Field CBR (ชุดพัฒนา) สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัยและใช้เวลาในการทดสอบน้อยกว่า เครื่องมือ Field CBR (ชุดเดิม)</p> 2024-09-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/265841 รูปแบบการลดต้นทุนการขนส่งไข่ไหม กรณีศึกษา ศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดขอนแก่น 2023-02-14T15:56:41+07:00 ศุภณัฐ จรพุทธานนท์ supanat.jo@rmuti.ac.th ชลทิพย์ มินคำ Supanat.jo@rmuti.ac.th พิทยารัตน์ รักชาติ Supanat.jo@rmuti.ac.th สานิตย์ ปัตตะเน Supanat.jo@rmuti.ac.th ภาวิน พชรโชติสุธี Supanat.jo@rmuti.ac.th ธีระวัฒน์ จันทึก Supanat.jo@rmuti.ac.th <p>ไข่ไหมเป็นวัตถุดิบสำคัญของการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมโดยศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติจังหวัดขอนแก่นรับผิดชอบขนส่งไข่ไหมให้กับเกษตรกร ได้แก่ จังหวัดขอนแก่นและจังหวัดกาฬสินธุ์และด้วยความต้องการไข่ไหมและต้นทุนขนส่ง เช่น ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าวัสดุอุปกรณ์ ส่งผลให้ต้นทุนขนส่งสูงขึ้นบทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1.ศึกษาระยะทางและต้นทุนรวมขนส่งต่อรอบขนส่ง 2.เพื่อศึกษารูปแบบวิธีดำเนินการลดต้นทุนการขนส่งและเปรียบเทียบต้นทุนจากกิจกรรมลดต้นทุน ในด้านการวิเคราะห์ จำแนก ต้นทุนของการขนส่ง รูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมโดยทฤษฎี วิเคราะห์ห่วงโซ่คุณค่า หลักการบริหาร 4 M และทฤษฎีต้นทุนขนส่งและทฤษฎีตัวแบบขนส่งกระจายสินค้าเป็นกรอบการวิจัย กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลักศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติจังหวัดขอนแก่นเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แบบสัมภาษณ์ 2) สืบค้นข้อมูล 3)ประชุมและการวิเคราะห์เนื้อหาแล้วเขียนบรรยายสรุปผลการวิจัยเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ขนส่งไข่ไหมมีระยะทางรวมเฉลี่ยต่อรอบอยู่ที่ 344 กมและต้นทุนรวมเฉลี่ยต่อรอบอยู่ที่2,637 บาทส่งผลให้เฉพาะต้นทุนขนส่งเฉลี่ยต่อแผ่นอยู่ที่ 98 บาท</li> <li>ผลวิจัยพบว่ารูปแบบลดต้นทุนขนส่งไข่ไหมได้แก่ 1.การปรับเปลี่ยนประเภทวัสดุอุปกรณ์ซึ่งลดต้นทุนคงที่ได้รอบละ 157 บาท 2.การนำรูปแบบเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการซึ่งระยะทางต่อรอบเฉลี่ย 63 กมและต้นทุนรวมลดลงรอบละ 176 บาท</li> </ol> <p>ข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้ในส่วนรูปแบบการลดต้นทุนที่สำคัญได้แก่ 1 การปรับเปลี่ยนประเภทวัสดุอุปกรณ์ 2.การนำรูปแบบเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการ</p> 2024-09-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/268846 นวัตกรรมการจัดการความร่วมมือเชิงบูรณาการเพื่อพัฒนา สถานีอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้า 2023-05-22T10:35:21+07:00 กิตติพงษ์ โสภาพงษ์ kittipongyo27@gmail.com ศุภวัฒน์ สุขะปรเมษฐ dollaya.b19@gmail.com ฐิติมา โห้ลำยอง dollaya.b19@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษามุมมอง ประสบการณ์ ในความร่วมมือเพื่อการพัฒนาสถานีอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้า 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่เอื้อต่อบรรยากาศความร่วมมือเพื่อการพัฒนาสถานีอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้า 3) เพื่อค้นหาแนวทางความร่วมมือที่เป็นนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาสถานีอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้า การวิจัยนี้ดำเนินตามกระบวนการวิจัยเชิงคุณภาพ อาศัยแนวคิดของ McGuire, 2006 เป็นกรอบแนวคิดการวิจัย ใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก พื้นที่การวิจัย คือ สถานที่ปฏิบัติงานของผู้ให้ข้อมูลสำคัญโดยแบ่งเป็น 7 กลุ่ม จำนวน 14 คน เป็นผู้บริหารหรือผู้ประสานหลักของหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และสมาคมวิธีการคัดเลือกกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญแบบเจาะจง (Purposive Sampling) อาศัยการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยกระบวนการวิเคราะห์แก่นสาระ (Thematic Analysis) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง ผลการวิจัยพบว่า 1.แนวทางความร่วมมือของสถานีอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้าเป็นรูปแบบการร่วมลงทุนในทรัพยากรที่แต่ละฝ่ายมีความพร้อมและเชี่ยวชาญ การคัดสรรคู่ค้าต้องมีคุณสมบัติที่โดดเด่นและเป็นมืออาชีพในสายงานที่ตนเองต้องการเพื่อประโยชน์ด้านการตลาด รูปแบบความร่วมมือส่วนใหญ่เป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน 2.ปัจจัยที่เอื้อต่อบรรยากาศความร่วมมือมากที่สุด ได้แก่ ปัจจัยการส่งเสริมและสนับสนุนจากนโยบายของภาครัฐ รองลงมาได้แก่ ปัจจัยทางเศรษฐกิจด้านสินเชื่อเพื่อการลงทุน 3.นวัตกรรมเพื่อความร่วมมือในการพัฒนาสถานีอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้า ได้แก่ การจัดการรูปแบบที่เป็นเอกภาพในการจัดการข้อมูลเพื่อบริการของสถานีและการจัดการผลตอบแทน การจัดการด้านสินเชื่อในรูปแบบ “กองทุนเพื่อการจัดการและพัฒนาสถานีอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้า” และพัฒนาด้านการเพิ่มช่องทางการสื่อสารข้อมูลสถานีและความต้องการให้เกิดสถานีในระหว่างเส้นทางเพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพ</p> 2024-09-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/275174 การจัดการทุนมนุษย์ของอุตสาหกรรมผลิตนมพร้อมดื่มในประเทศไทย 2024-03-04T10:55:52+07:00 อรุณเดช มารัตน์ aroondet@gmail.com เอนก ดาพา Aroondet@pcmtrainingcenter.com วรรณสินท์ สัตยานุวัตร์ Aroondet@pcmtrainingcenter.com อนันต์ ธรรมชาลัย Aroondet@pcmtrainingcenter.com นิรันทร์ ภิรมย์ลาภา Aroondet@pcmtrainingcenter.com <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนารูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการ 2) เพื่อศึกษาแนวทางความเหมาะสมของคู่มือการจัดการ และ 3) เพื่อประเมินคณลักษณะของพนักงานต่อการจัดการองค์กรโดยใช้ต้นแบบคู่มือการจัดการทุนมนุษย์ของอุตสาหกรรมผลิตนมพร้อมดื่มในประเทศไทย รูปแบบการวิจัยเป็นรูปแบบการวิจัยและพัฒนา ใช้แนวคิด หรือทฤษฎี การจัดการทุนมนุษย์เป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัย คือ กลุ่มตัวอย่างจำนวน 45 คน คือพนักงาน จำนวน 25 คน วิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน ส่วนผู้บริหารและนักวิชาการ จำนวน 20 คน โดยการเลือกแบบเจาะจงตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม แบบประเมินความเหมาะสมของคู่มือ การวิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าร้อยละและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และผลการวิจัยพบว่า<br />วัตถุประสงค์ที่ 1 ระบบการจัดการทุนมนุษย์ที่เหมาะสมมี 4 ขั้นตอน 1) วางแผน 2) ปฏิบัติการและสังเกตผล ได้แก่ การสร้างและการจัดการความรู้ การสร้างความผูกพันและการพัฒนาศักยภาพพนักงาน<br />วัตถุประสงค์ที่ 2 คู่มือที่ปรับปรุงขึ้นความสอดคล้องกับการพัฒนาบุคลากรประกอบด้วยการวางแผนดำเนินการ สร้างคู่มือ การนำไปใช้ และการประเมินผลคู่มือการจัดการทุนมนุษย์<br />วัตถุประสงค์ที่ 3 รูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการส่งผลให้หัวหน้างานมีทักษะความสามารถในการสื่อสารมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />= 4.21) รองลงคือมีทักษะการคิดสร้างสรรค์ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />= 4.18) และแก้ไขปัญหาเชิงป้องกันในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=4.06) ตามลำดับ โดยเมื่อหลังดำเนินงานแล้วพบว่าผู้บริหารมีความพึงพอใจต่อคู่มือที่ปรับปรุงขึ้นมีความสอดคล้องกับการพัฒนาบุคลากร ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=4.73) รองลงมาคือด้านแรงงานมีศักยภาพในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.16) และมีแรงงานมีความคิดสร้างสรรค์ในระดับมาก<br />(<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> =4.23) ตามลำดับ </p> 2024-09-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/267263 การศึกษาเปรียบเทียบการตรวจพิสูจน์ลายนิ้วมือแฝงโดยนักเรียนที่ได้รับการอบรมและผู้ตรวจลายนิ้วมือแฝง 2023-04-03T21:55:34+07:00 พชรพร ศรีสุวรรณ pashrasee@gmail.com ศิริรัตน์ ชูสกุลเกรียง pashrapon38@hotmail.com ศุภชัย ศุภลักษณ์นารี pashrapon38@hotmail.com <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการตรวจพิสูจน์รอยลายนิ้วมือแฝงระหว่างนักเรียนที่ได้รับการอบรมกับผู้ตรวจลายนิ้วมือแฝง ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แนวคิดของ Thompson (2012) เป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัย คือ ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 7 จังหวัดนครปฐม โดยแบ่งกลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนที่ได้รับการฝึกอบรมด้านนิติวิทยาศาสตร์เบื้องต้น จำนวน 300 คน และผู้ตรวจลายนิ้วมือแฝงของสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ 5 คน การทดสอบแบ่งออกเป็นการทดสอบเบื้องต้นและการทดสอบเชิงลึก ในการตรวจจุดลักษณะสำคัญพิเศษของรอยลายนิ้วมือแฝง โดยแบบทดสอบเบื้องต้นให้ผู้เข้ารับการทดสอบตรวจลายนิ้วมือแฝงแบบเลือกคำตอบ 4 ตัวเลือก ในการตรวจรอยลายนิ้วมือแฝงจำนวน 10 ข้อส่วนแบบทดสอบเชิงลึกได้คัดเลือกผู้เข้ารับการทดสอบที่ทำคะแนนในแบบทดสอบเบื้องต้นได้เต็มมาแบบอิสระ ทำการสุ่มเลือกนักเรียนที่ได้รับการฝึกอบรมมา 5 คนและผู้ตรวจลายนิ้วมือแฝง 5 คน ผลการวิจัยพบว่านักเรียนที่ได้รับการฝึกอบรมสามารถทำแบบทดสอบลายนิ้วมือแฝงเบื้องต้นได้ถูกต้องทุกข้อเป็นจำนวน 110 คน (36.67 %) ในขณะที่ผู้ตรวจลายนิ้วมือแฝง ทั้ง 5 คน ทำแบบทดสอบได้ถูกต้องทุกข้อ (100 %) และเมื่อใช้แบบทดสอบแบบเชิงลึกในการตรวจจุดลักษณะสำคัญพิเศษของรอยลายนิ้วมือแฝง พบว่านักเรียนที่ได้รับการฝึกอบรมที่ทำคะแนนได้มากที่สุดนั้นตรวจรอยลายนิ้วมือแฝงถูกเป็นจำนวน 5 รอย (62.5%) ในขณะที่ผู้ตรวจลายนิ้วมือแฝงทั้ง 5 คน ตรวจรอยลายนิ้วมือแฝงได้ถูกต้องทั้งหมด 8 รอยทุกคน (100%) ผลการวิเคราะห์สรุปได้ว่าประสบการณ์ในการตรวจรอยลายนิ้วมือแฝงมีผลต่อการตรวจพิสูจน์รอยลายนิ้วมือแฝง สามารถทำให้ปฏิบัติงานตรวจพิสูจน์ได้ถูกต้องและแม่นยำ เพื่อนำไปใช้ในกระบวนการยุติธรรม</p> 2024-09-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/273215 แนวทางการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันเพื่อความสำเร็จ ของผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรมแผงวงจรรวม ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 2023-11-18T15:37:14+07:00 สายัณ สวนยา sayanswnya@gmail.com ทักษญา สง่าโยธิน sayan.suanya@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1)ศึกษาสภาพแวดล้อมการดำเนินธุรกิจของอุตสาหกรรมแผงวงจรรวมในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 2)ศึกษาคุณลักษณะและความสามารถของผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรมแผงวงจรรวมในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และ3)ศึกษาแนวทางการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันเพื่อความสำเร็จของผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรมแผงวงจรรวมในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เป็นการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพเก็บรวบรวมข้อมูลจากการศึกษาเอกสาร การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม การสัมภาษณ์แบบเจาะลึกพร้อมทั้งการสนทนากลุ่ม จากกลุ่มผู้บริหาร ผู้จัดการ พนักงานในบริษัท และนักวิชาการของธุรกิจอุตสาหกรรมแผงวงจรรวมในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลโดยรวมทั้งสิ้น 30 คน แล้วนำมาหาข้อสรุปด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาและเสนอแนะอ้างอิงทฤษฎีดำเนินการจัดระเบียบข้อมูล</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า (1) สภาพแวดล้อมการดำเนินธุรกิจ ประกอบด้วย 1) กระบวนการทำงานที่สอดคล้อง และกระชับ 2) การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ใหม่ ๆ 3) สินค้าที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับองค์กรได้ 4) ความปลอดภัยในการทำงาน 5) การมีเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย 6) การจัดส่งสินค้าได้ตรงเวลา 7) การมีนวัตกรรมที่แตกต่างจากคู่แข่ง 8)การบริหารต้นทุนการผลิต และ9)การมีมุมมองในการบริหารธุรกิจที่แตกต่าง (2) คุณลักษณะและความสามารถของผู้ประกอบการธุรกิจ ได้แก่ 1) การมีเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย 2) มีกระบวนการทำงานที่สอดคล้องและกระชับ 3) เครือข่ายในการทำธุรกิจ 4) ความสามารถในการเข้าใจความต้องการของลูกค้า 5) การมีความคิดสร้างสรรค์ 6) การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ และ 7) การมีบุคลากรที่มีทักษะที่หลากหลาย และ (3) แนวทางการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน ได้แก่ 1) กระบวนการทำงานที่สอดคล้อง และกระชับ 2) การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ใหม่ ๆ 3) สินค้าที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับองค์กรได้ต่อไป</p> 2024-09-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/266410 ผลการดำเนินงานโครงการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ โรงเรียนวัดลานบุญ สำนักงานเขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร 2023-02-20T09:46:22+07:00 วาสนา รังสร้อย wasn1413rung@gmail.com <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1)เพื่อใช้กระบวนการ PLC ยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระดับชาติและกลุ่มสาระการเรียนรู้ และ2)เพื่อใช้กระบวนการ PLC ในการแก้ปัญหาด้านการเรียนการสอนช่วงสถานการณ์ COVID-19 ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงผสมการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล จำนวน 83 คน สถิติการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพจากการสัมภาษณ์ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนโรงเรียนวัดลานบุญ จำนวน 10 คน โดยการตีความหาข้อสรุปอย่างเป็นระบบ ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ผลจากการศึกษาระดับผลการเรียนของผู้เรียนระดับชั้นประถมศึกษา มีค่าเฉลี่ยระดับผลการเรียนที่อยู่ในระดับ 3 ขึ้นไป เฉลี่ยร้อยละ 80% และระดับผลการเรียนของผู้เรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นมีค่าเฉลี่ยระดับผลการเรียนที่อยู่ในระดับ 3 ขึ้นไป เฉลี่ยร้อยละ 80% จากการพัฒนาตามศักยภาพ มีความรู้ ความสามารถ มีทักษะทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารสู่ศตวรรษที่ 21</li> <li>ผลจาการศึกษากระบวนการ PLC สามารถแก้ปัญหาด้านการเรียนการสอนแบบบูรณาการในสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 โดยสามารถสรุปได้ดังนี้ 2.1) ผลลัพธ์ที่เกิดจากกระบวนการ นำไปใช้ในการพัฒนาให้เกิดประโยชน์กับผู้เรียนได้อย่างเป็นรูปธรรมจากจุดเด่นและจุดที่ต้องพัฒนา 2.2)ผลลัพธ์ที่เกิดกับผู้เรียน/ครู/สมาชิกที่เข้าร่วมเครือข่าย PLC สามารถนำวัตกรรมการเรียนรู้ที่ได้รับจากการทำวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน และ 2.3) คุณค่าที่เกิดต่อวงการศึกษา โดยสามารถนำไปใช้พัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนรู้ที่ต้องการให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียน ครูที่เป็นสมาชิกในตามเป้าหมายร่วมกันต่อไป</li> </ol> 2024-09-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/268922 ลักษณะของงานทางคณิตศาสตร์ที่พัฒนาสมรรถนะหลักของนักเรียน ด้านคณิตศาสตร์ในชีวิตประจำวัน 2023-05-26T17:11:12+07:00 สาวิตรี มูลสุวรรณ sawitree.mo@ku.th ต้องตา สมใจเพ็ง fedutts@ku.ac.th ชานนท์ จันทรา feducnc@ku.ac.th ชนิศวรา เลิศอมรพงษ์ chanisvara.l@ku.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาลักษณะของงานทางคณิตศาสตร์ที่พัฒนาสมรรถนะหลักของนักเรียนด้านคณิตศาสตร์ในชีวิตประจำวัน เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ มีกลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย คือ อาจารย์ด้านคณิตศาสตร์ศึกษา ครูคณิตศาสตร์ และนักเขียน / ออกแบบตำราเรียนคณิตศาสตร์ ซึ่งผู้วิจัยเลือกแบบเจาะจง รวมจำนวน 9 คน เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับลักษณะของงานทางคณิตศาสตร์ที่พัฒนาสมรรถนะหลักของนักเรียนด้านคณิตศาสตร์ในชีวิตประจำวัน และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า งานทางคณิตศาสตร์ที่พัฒนาสมรรถนะหลักของนักเรียนด้านคณิตศาสตร์ในชีวิตประจำวันมีลักษณะสำคัญที่ต้องพิจารณาใน 5 มิติ ดังนี้ มิติที่ 1 บริบทที่ใช้ในงาน บริบทควรมีการเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวันของนักเรียนและไม่ซับซ้อนจนเกินความสามารถของนักเรียนในการทำความเข้าใจได้ มิติที่ 2 ปัญหาและคำตอบของปัญหาในงาน ปัญหาควรมีความสมจริง และคำตอบและการหาคำตอบ ควรมีคุณค่าสำหรับนักเรียน มิติที่ 3 ความรู้ความสามารถพื้นฐานที่ใช้ในการทำงาน ควรเน้นการใช้ความรู้ความสามารถที่กำหนดตามขอบเขตของหลักสูตร และมีความยากง่ายของเนื้อหาเหมาะสมกับระดับของนักเรียน มิติที่ 4 กระบวนการในการทำงาน ควรเน้นการบูรณาการความรู้ ทักษะและกระบวนการ เจตคติ รวมถึงคุณลักษณะอันพึงประสงค์ทางคณิตศาสตร์ และส่งเสริมให้เกิดกระบวนการเสริม เช่น การสำรวจ การสืบเสาะ และมิติที่ 5 ความต้องการเชิงการรู้งานหรือระดับ การคิดที่ใช้ในการทำงานให้สำเร็จ ควรเป็นงานที่มีการคิดระดับสูง</p> 2024-09-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/277158 รูปแบบการบริหารวิชาการของเครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพการจัดการศึกษามัธยมศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 2024-04-25T10:06:20+07:00 จิระวัฒน์ ธนะสุนทรไชย์ Jirawat.tana@northbkk.ac.th เสาวณีย์ สิกขาบัณฑิต Jirawat.tana@northbkk.ac.th ปัญญา ธีระวิทยเลิศ Jirawat.tana@northbkk.ac.th <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพและความต้องการจำเป็นในการบริหารวิชาการของเครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพการจัดการศึกษามัธยมศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 2)เพื่อสร้างรูปแบบการบริหารวิชาการของเครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพการจัดการศึกษามัธยมศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 3) เพื่อประเมินคุณภาพของรูปแบบการบริหารวิชาการของเครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพการจัดการศึกษามัธยมศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 4)เพื่อศึกษาผลการใช้รูปแบบการบริหารวิชาการของเครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพการจัดการศึกษามัธยมศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 รูปแบบการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed method Research) กลุ่มตัวอย่างคือผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 160 คน ผู้ให้ข้อมูลเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 7 คน เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย ได้แก่แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ และแบบประเมิน สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความต้องการจำเป็น การวิเคราะห์เนื้อหา<br />ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารวิชาการของเครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพการจัดการศึกษามัธยมศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 ในภาพรวม สภาพที่เป็นอยู่ในการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก สภาพที่ควรจะเป็นในการปฏิบัติอยู่ในระดับมากที่สุด และความต้องการจำเป็นอยู่ในระดับปานกลาง 2)รูปแบบการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 ประกอบด้วย 2 องค์ประกอบหลัก องค์ประกอบที่ 1 การบริหารงานวิชาการ 6 ด้าน คือ ด้านการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ด้านการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ ด้านการวัดผล ประเมินผลการเรียน ด้านการพัฒนาและส่งเสริมแหล่งการเรียนรู้ ด้านการนิเทศการศึกษา และด้านการพัฒนาระบบการประกันคุณภาพภายใน โดยขับเคลื่อนด้วยองค์ประกอบที่2 กระบวนการบริหาร 4 ขั้นตอน คือ การวางแผน การจัดองค์การ การนำ และการควบคุม 3) รูปแบบการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่มัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 โดยภาพรวม มีความถูกต้องอยู่ในระดับมากและความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด 4) หลังการทดลองใช้มีความเป็นไปได้อยู่ในระดับมากที่สุด และความเป็นประโยชน์อยู่ในระดับมาก</p> 2024-09-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/267357 Administration of the Educational Institutions that Promote the Operations of Student Affairs under the Secondary Educational Service Area Office, Area 1 2023-12-09T15:23:07+07:00 Nalinee Sutsavade nalinee.sut@siam.edu <p>This article objective to: 1. study the administration of the educational institutions that promote the operations of student affairs under the Secondary Educational Service Area Office, Area 1; 2. compare the opinions of the administrators and teachers regarding the administration of the educational institutions that promote the operations of student affairs under the Secondary Educational Service Area Office, Area 1; and 3. research suggestions for educational institution management that support the management of the school's student issues. The population consisted of 5,002 administrators and teachers, out of which there were 298 respondents. The instrument used was a questionnaire with three parts. The tools used are questionnaires, statistics, frequency distribution, percentage, Mean, standard deviation, comparing one-way ANOVA, and content analysis.</p> <p>The research results were found as follows:</p> <ol> <li>Overall, the administration of the educational institutions that promote the operations of student affairs in all five dimensions was conducted at a high level. The study of each dimension showed that staffing was conducted at a high level, followed by leadership and control, respectively.</li> <li>The comparison of the opinions revealed that the administrators, group leaders, and teachers with different job positions and different education levels did not have different opinions on the administration of the educational institutions that promote the operations of student affairs.</li> <li>Suggestions for educational institution administration that promote student affairs operations Planning should provide opportunities for those involved in student affairs to participate in plans that are consistent with student affairs operations. Organizing should continually develop skills and knowledge for student development. Leadership should systematically monitor performance according to the learner development plan. Personnel management should create a collaborative network of parents, communities, and other agencies. for student development. Control should use the PDCA operating system. to organize student affairs and continuously monitor them.</li> </ol> <p>Knowledge/findings from this research: School education administration indeed relies on management principles across five key dimensions: planning, organizing, leadership, personnel management, and control. Among these, personnel management holds particular significance for student affairs management. Educational institution administrators can effectively apply personnel management principles to promote student affairs through factors such as: 1. Participation from All Sectors: Encouraging active involvement and collaboration from various stakeholders ensures that student development efforts align with the overarching goals set by the educational institution. 2. Empowerment and Support: Empowering personnel involved in student affairs with the necessary resources, authority, and support enables them to execute their responsibilities effectively. 3. Communication: clear communication and motivation facilitate transparency and accountability, fostering a collaborative environment conducive to achieving desired outcomes. 4. Professional Development: Investing in the professional development of personnel involved in Student affairs equips them with the skills, knowledge, and competencies necessary to address the diverse needs of students effectively. Continuous learning opportunities enhance their capacity to support student growth and success.</p> 2024-09-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/273300 แนวทางการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนและการจัดการศึกษาของโรงเรียนประจำ พักนอนในพื้นที่สูงห่างไกลให้มีสมรรถนะพลเมืองรุ่นใหม่ ในโรงเรียนชุมชนแห่งการเรียนรู้ 2023-11-18T15:43:45+07:00 อรนุช มั่งมีสุขศิริ rabiab@northern.ac.th ระเบียบ สิทธิชัย rabiab@northern.ac.th <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์องค์ประกอบปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียนและการจัดการศึกษาของโรงเรียนประจำพักนอน 2) สังเคราะห์วิธีปฏิบัติที่ดีของโรงเรียนที่เป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ 3) สร้างและพัฒนาแนวทางการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน และการจัดการศึกษาของโรงเรียนประจำพักนอนในพื้นที่สูงห่างไกล รูปแบบการวิจัยเป็นแบบผสานวิธี ใช้แนวคิดการวิจัยและพัฒนาเป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัยคือโรงเรียนประจำพักนอนภาคเหนือ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญคือผู้บริหาร ครู จำนวน 24 คน จาก 6 โรงเรียน ใช้วิธีคัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 3 ชนิด คือแบบสำรวจ แบบประเมินความสำเร็จ และแบบสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์องค์ประกอบ ข้อมูลเชิงคุณภาพ ใช้วิธีวิเคราะห์เนื้อหา แล้วเขียนบรรยายเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า <br />1. องค์ประกอบปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน และการจัดการศึกษาโรงเรียนประจำ พักนอน มี 4 องค์ประกอบ คือ ผู้บริหารและครู การจัดแผนงาน/กิจกรรมการพัฒนาสมรรถนะผู้เรียนให้เป็นพลเมืองรุ่นใหม่ การจัดสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย และ การจัดระบบสิ่งอำนวยความสะดวกสื่อและเทคโนโลยี <br />2. วิธีปฏิบัติที่ดีของโรงเรียนที่เป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ คือการปรับวิสัยทัศน์ของผู้บริหารและครู ผ่านระบบกิจกรรมการเรียนรู้ 3 ส่วน คือ ผู้เรียนเรียนรู้แบบร่วมมือ ครูออกแบบการเรียนรู้เชิงรุกด้วยวงจรชุมชนแห่งการเรียนรู้เชิงวิชาชีพ และการมีส่วนร่วมของพ่อแม่ และคนในชุมชนท้องถิ่น <br />3. แนวทางคือ การพัฒนาโรงเรียนเชิงระบบได้แก่ การจัดปัจจัย กระบวนการ และผลการดำเนินงาน นำไปใช้ 2 ด้านคือด้านพัฒนาผู้เรียน และการจัดการศึกษาของโรงเรียน <br />องค์ความรู้จากงานวิจัยนี้ 1) ผู้เรียนมีสมรรถนะพลเมืองรุ่นใหม่ สามารถใช้ทักษะความรู้ ทักษะอาชีพ ทักษะชีวิต เจตคติและคุณลักษณะที่กำหนด 2) ผู้บริหารและครูพัฒนาวิชาชีพโดยใช้กระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้เชิงวิชาชีพ 3) โรงเรียนประจำพักนอนในพื้นที่สูงห่างไกลมีแนวทางการพัฒนาสมรรถนะผู้เรียนให้เป็นพลเมืองรุ่นใหม่และการจัดการศึกษาของโรงเรียนให้เป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ </p> 2024-09-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/266610 รูปแบบการเสริมสร้างทักษะการสอนของครูในโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนตามหลักพุทธธรรม 2023-02-28T13:50:29+07:00 พระภัทรชัยญกรณ์ ขนฺติยุตฺโต (อูดสวย) pattrachaiyakorn@gmail.com อินถา ศิริวรรณ pattrachaiyakorn@gmail.com พระมหาสมบัติ ธนปญฺโญ pattrachaiyakorn@gmail.com <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพทักษะการสอนของครูในโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการเสริมสร้างทักษะการสอนของครูในโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนตามหลักพุทธธรรม และ 3) เพื่อนำเสนอรูปแบบการเสริมสร้างทักษะการสอนของครูในโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนตามหลักพุทธธรรม เป็นการวิจัยแบบผสมวิธี โดยใช้แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับรูปแบบ การเสริมสร้างทักษะการสอน และ หลักพุทธธรรม เป็นกรอบแนวคิดในการวิจัย พื้นที่ในการวิจัยคือ โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน กลุ่มตัวอย่างและผู้ให้ข้อมูลสำคัญ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ 1) ครูใหญ่ ครู และเจ้าหน้าที่ จำนวน 319 คน 2) ครูใหญ่ จำนวน 207 คน และจัดการสนทนากลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ 9 รูป/ คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย มี 4 ชนิด คือ 1) แบบสอบถาม 2) แบบสัมภาษณ์ 3) แนวคำถามสำหรับการสนทนากลุ่ม และ 4) แบบประเมินรูปแบบ วิเคราะข้อมูลโดยใช้สถิติขั้นพื้นฐานและวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>สภาพทักษะการสอนของครูในโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน ในภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก ทั้ง 4 ด้านคือ 1) ทักษะการนำเข้าสู่บทเรียน 2) ทักษะการใช้สื่อและเทคโนโลยี 3) ทักษะการเร้าความสนใจ และ 4) ทักษะเสริมกำลังใจ</li> <li>การพัฒนารูปแบบการเสริมสร้างทักษะการสอนของครูในโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนตามหลักพุทธธรรม ประกอบด้วย 4 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 หลักการ ส่วนที่ 2 วัตถุประสงค์ ส่วนที่ 3 การเสริมสร้างทักษะการสอนของครูตามหลักพุทธธรรม คือ 1) หลักพุทธลีลาในการสอน 4 2) วิธีการพัฒนาการเสริมสร้างทักษะการสอน 3) กิจกรรมการเสริมสร้างทักษะการสอน 4) การประเมินผล และ ส่วนที่ 4 เงื่อนไขความสำเร็จ</li> <li>รูปแบบการเสริมสร้างทักษะการสอนของครูในโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนตามหลักพุทธธรรม มีความความถูกต้อง ความเหมาะสม ความเป็นไปได้ อยู่ในระดับมาก และความเป็นประโยชน์ อยู่ในระดับมากที่สุด โดยสามารถสรุปองค์ความรู้ในการวิจัยเป็น DABS Model.</li> </ol> <p>องค์ความรู้จากงานวิจัยนี้เป็นรูปแบบในการส่งเสริมและพัฒนาทักษะการสอนของครูที่จะสามารถใช้รูปแบบและแนวทางในการส่งเสริมและพัฒนาครูให้มีความรู้ความสามารถในการจัดการเรียนการสอนควบคู่กับหลักคุณธรรมและจริยธรรมส่งเสริมให้การเรียนมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์ต่อผู้เรียน ผู้สอน และสถานศึกษาต่อไป</p> 2024-09-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/269215 วัฒนธรรมองค์กรที่ส่งผลต่อการทำงานของครูต่างชาติในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2023-06-07T10:32:04+07:00 สุตาภัทร เข็มวงษ์ sutabhat.blue1993@gmail.com บุณฑริกา บูลภักดิ์ sutabhat.blue1993@gmail.com จุไรรัตน์ สุดรุ่ง sutabhat.blue1993@gmail.com <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาวัฒนธรรมองค์กรในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2) เพื่อศึกษาการทำงานของครูต่างชาติในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ 3) เพื่อวิเคราะห์วัฒนธรรมองค์กรที่ส่งผลต่อการทำงานของครูต่างชาติในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แนวคิด ด้านวัฒนธรรมองค์กรที่ได้จากการสังเคราะห์แนวคิดของ Saphier and King (1985) Patterson, Purkey and Parker (1986); Taylor (1991); Cavanagh (1997); และ Kaplan and Owings (2013); และแนวคิดด้านการทำงานของครูต่างชาติที่ได้จากการสังเคราะห์ขอบข่ายการทำงาน (TOR) โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานจำนวน 12 โรงเรียน ผู้ให้ข้อมูล คือ ครูต่างชาติที่ปฏิบัติการสอนวิชาภาษาอังกฤษไม่น้อยกว่า 1 ปีการศึกษา ในโรงเรียนสังกัดสำนักเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 และ 2 จำนวน 393 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามมีลักษณะเป็นแบบตรวจสอบรายการ และแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียรสัน ค่าสถิติที่ใช้วัดความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระ (Tolerance) ค่า Variance Inflation Factor (VIF) ค่าสถิติที่ใช้วัดความเป็นอิสระต่อกันของความคลาดเคลื่อน (Durbin-Watson) และถดถอยพหุคูณแบบปกติ <br />ผลการวิจัยพบว่า 1) การปฏิบัติวัฒนธรรมองค์กรในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานในภาพรวม อยู่ในระดับมาก โดยวัฒนธรรมองค์กรที่ปฏิบัติมากที่สุดคือ ด้านความหลากหลาย 2) การทำงานของครูต่างชาติในภาพรวม อยู่ในระดับมาก โดยการทำงานของครูต่างชาติด้านที่มากที่สุด คือ ด้านการปฏิบัติตน 3) วัฒนธรรมองค์กรที่ส่งผลต่อการทำงานของครูต่างชาติในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานในภาพรวม มากที่สุด คือ ด้านความเป็นเพื่อนร่วมงาน<br />ข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้จะทำให้โรงเรียนได้ทราบถึงวัฒนธรรมองค์กรวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งผลต่อการทำงานของครูต่างชาติ และนำผลการวิจัยมาปรับเปลี่ยนระบบการทำงานร่วมกันของครูชาวไทยและ ครูต่างชาติ นอกจากนี้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานสามารถนำผลการศึกษาเกี่ยวกับการทำงานของครูต่างชาติมาสร้างคู่มือ เพื่อเป็นแนวทางการทำงานของครูต่างชาติภายในโรงเรียน</p> 2024-09-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/281724 แนวทางการมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมผู้สูงอายุผ่านกิจกรรมการลดความเหลื่อมล้ำในเขตเทศบาลเมืองบึงยี่โถ อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี 2024-09-19T11:33:50+07:00 ภัสร์ชนกพรรณ อนุชาติไชย anan.th@northbkk.ac.th อนันต์ ธรรมชาลัย anan.th@northbkk.ac.th ยินดี แก้วช่วย anan.th@northbkk.ac.th ณัฐวุฒิ หอมมาก anan.th@northbkk.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและปัญหาการมีส่วนร่วมในพัฒนาสังคมผู้สูงอายุในเขตเทศบาลเมืองบึงยี่โถ อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี และ 2) วิเคราะห์และนำเสนอแนวทางการมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมผู้สูงอายุผ่านกิจกรรมการลดความเหลื่อมล้ำในเขตเทศบาลเมืองบึงยี่โถ อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี โดยเก็บข้อมูลกับข้าราชการส่วนท้องถิ่น คณะผู้บริหารศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ ประธานมูลนิธิข้างเตียงเคียงกัน คณะกรรมการประจำศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ และสมาชิกศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ รวม 5 กลุ่ม 454 คน ด้วยเครื่องมือแบบสัมภาษณ์เชิงลึก แบบสนทนากลุ่ม และแบบสังเกตการมีส่วนร่วม และนำข้อมูลมาวิเคราะห์ด้วยข้อมูลเชิงเนื้อหาผลการวิจัยพบว่า<br />1. สภาพปัจจุบันมีการขับเคลื่อนนโยบายและแผนในการดูแลผู้สูงอายุด้านการส่งเสริมพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพการในด้าน การให้บริการด้านสาธารณสุข การสร้างหลักประกันสุขภาพทั่วหน้า การส่งเสริมการป้องกันและควบคุมโรค ส่งเสริมการแพทย์แผนไทย การพัฒนาสังคมคุณภาพชีวิต การมีอาสาสมัครสาธารณสุข การจัดตั้งศูนย์ดูแลผู้สูงอายุเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ การสร้างศูนย์การแพทย์บึงยี่โถ เฟส 2 ขยายการรักษาโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดัน ไขมัน โรคไต<br />2. แนวทางการมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมผู้สูงอายุผ่านกิจกรรมการลดความเหลื่อมล้ำประกอบด้วย การเข้าร่วมกิจกรรม การจัดกิจกรรมที่ตรงกับความต้องการ การสนับสนุนการเดินทางมาเข้าร่วมกิจกรรม การประชาสัมพันธ์ และ การมีส่วนร่วมของผู้สูงอายุ <br />องค์ความรู้จากงานวิจัยนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเช่น สาธารณะสุขจังหวัด องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล สามารถนำผลการวิจัยไปประกอบการกำหนดนโนยบายให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนได้ต่อไป</p> 2024-09-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/264743 การแยกสารสำคัญในกัญชา 2022-11-23T06:23:45+07:00 จิราภรณ์ รสสุคนท์ jiraporn.rskn@gmail.com มูฮำหมัด นิยมเดชา jiraporn.rskn@gmail.com <p>กัญชา (Cannabis) มีสารสำคัญหลายชนิด ซึ่งสารสำคัญที่มีการศึกษามากที่สุดคือ กลุ่มแคนนาบินอยด์ (cannabinoids) ได้แก่ delta-9-tetrahydrocannabinol (THC) และ cannabidiol (CBD) โดย delta-9-tetrahydrocannabinol (THC) มีฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ทำให้เกิดประสาทหลอน ความจำแย่ลง ส่วน cannabidiol (CBD) มีฤทธิ์ต่อจิตประสาทน้อยกว่าซึ่งจะไปยับยั้งการทำงานของเอนไซม์</p> <p>การศึกษาวิธีการแยกสารสำคัญในกัญชามีวัตถุประสงค์เพื่อสกัดสารสำคัญของกัญชาด้วยเทคนิคที่แตกต่างกัน และหาตำแหน่งสาระสำคัญของกัญชาบนแผ่น TLC เพื่อนำมาใช้เป็นสารมาตรฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ผลการทดลองพบว่า พืชกัญชาสดจากการทดสอบโดยการนำส่วนของดอก และใบ มาสกัดด้วยตัวทำละลายเอทานอล ทำการแยกด้วยเทคนิค TLC และพิสูจน์เอกลักษณ์ด้วยเทคนิค <sup>1</sup>H-NMR พบว่าพืชกัญชาสดส่วนดอกแบนด์ C (Ff-C) เป็นสาร ∆<sup>9</sup>-THC เมื่อเทียบกับ <sup>1</sup>H-NMR spectrum อ้างอิงของกัญชาจากงานวิจัยก่อนหน้า (Barthlott et al. 2021) ในพืชกัญชาแห้งจากการทดสอบโดยการนำส่วนของ ดอก และใบ มาสกัดด้วยตัวทำละลายเอทานอล ทำการแยกด้วยเทคนิค TLC และพิสูจน์เอกลักษณ์ด้วยเทคนิค <sup>1</sup>H-NMR พบว่ากัญชาแห้งส่วนดอกแบนด์ A (Fd-A) และส่วนใบแบนด์ B (Ld-B) เป็นสาร ∆<sup>9</sup>-THC เมื่อเทียบกับ <sup>1</sup>H-NMR spectrum อ้างอิงของกัญชาจากงานวิจัยก่อนหน้า (Barthlott et al. 2021) และในส่วนของพืชกัญชาอัดแท่งจากการทดสอบโดยการนำพืชกัญชาอัดแท่งมาสกัดเอทานอลด้วยวิธี soxhlet extraction ทำการแยกด้วยเทคนิค TLC และพิสูจน์เอกลักษณ์ด้วยเทคนิค <sup>1</sup>H-NMR พบว่าเป็นสาร CBN จากพืชกัญชาอัดแท่งแบนด์ A (S-A) เมื่อเทียบกับ <sup>1</sup>H-NMR spectrum อ้างอิงของกัญชาจากงานวิจัยก่อนหน้า (Barthlott et al. 2021)</p> 2024-09-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/267825 การศึกษาความสามารถของนักศึกษาครูในการเลือกและนำงานทางคณิตศาสตร์ ไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ 2023-05-09T09:17:25+07:00 เบญจมาศ เหล่าขวัญสถิตย์ blaok@ipst.ac.th วันดี เกษมสุขพิพัฒน์ blaok@ipst.ac.th ชนิศวรา เลิศอมรพงษ์ blaok@ipst.ac.th ทรงชัย อักษรคิด blaok@ipst.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความสามารถของนักศึกษาครู ในการเลือกและนำงานทางคณิตศาสตร์ไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ กลุ่มเป้าหมายในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักศึกษาครูชั้นปีที่ 4 สาขาวิชาการสอนคณิตศาสตร์ คณะศึกษาศาสตร์ ที่เรียนในรายวิชาเรื่องเฉพาะทางการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ (Selected Topics in Mathematics Instruction) ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 18 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมความสามารถในการเลือกและนำงานทางคณิตศาสตร์ไปใช้ และ 2) แบบบันทึกหลังการสอน ข้อมูลจากบันทึกหลังการสอน วีดิทัศน์บันทึกกิจกรรมการเรียนรู้ คำตอบของนักศึกษาครูในใบกิจกรรมการเรียนรู้ และอนุทินถูกนำมาใช้ในการตอบคำถามวิจัย ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า <br />1. นักศึกษาครูทุกคน แสดงความเข้าใจปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับงานทางคณิตศาสตร์ที่มีผลต่อการเรียนรู้ของนักเรียน โดยการออกแบบงานทางคณิตศาสตร์ตามเป้าหมายที่กำหนด <br />2. นักศึกษาครูทุกคน สามารถวางแผนการนำงานทางคณิตศาสตร์ที่ส่งเสริมสติปัญญาขั้นสูงไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ เพื่อเปิดโอกาสในการเรียนรู้ของนักเรียนตามบริบทที่กำหนด <br />3. นักศึกษาครูทุกคน สามารถวิเคราะห์ และสะท้อนคิดเพื่อพัฒนาการนำงานทางคณิตศาสตร์ไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ โดยในบทบาทของผู้สังเกตการสอน นักศึกษาครูวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำของครูและลักษณะของงานทางคณิตศาสตร์ที่ส่งผลต่อโอกาสในการเรียนรู้ของนักเรียนส่วนบทบาทของผู้สอน นักศึกษาครูสะท้อนคิดเกี่ยวกับการเลือกและนำงานทางคณิตศาสตร์ ไปใช้จัดการเรียนรู้ เพื่อนำไปสู่เป้าหมายการเรียนรู้ </p> 2024-09-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/273582 Impact of Anchor's Attributes on Consumer's Online Behavioral Intention in Private University, Sichuan Province, China 2024-06-17T15:25:26+07:00 Liang He napapornk@sau.ac.th Napaporn Khantanapha khantanapha@gmail.com <p>This research aims to analyze the teaching anchor’s attributes factors' effect on consumers’ intrinsic state and consumers’ online behavioral intention, and the mediating role of consumers’ intrinsic state between teaching anchors attributes and consumers’ online behavioral intention. In order to achieve this objective. This research was quantitative research, collected data from private university students in the Sichuan Province of China, sample of 418 respondents. They were selected by systematic random sampling technique has been employed, the instrument for collecting data was a questionnaire with a content validity (IOC) of .892and a reliability value of Cronbach’s alpha coefficient of .879. When the analysis techniques were SPSS, and SEM by AMOS and applied to the collected data, the research found that:</p> <ol> <li>Teaching anchor’s attributes factors were personal charisma, professional level, and interactive ability direct effect on consumers’ intrinsic state classifier by consumer value, consumer trust, and consumer excitement.</li> <li>Mediating role: 2.1). Consumer’s intrinsic state excellence, value, and trust play mediating role impact between teaching anchor’s attributes with personal charisma and online behavioral intention, 2.2). Consumer’s intrinsic state excellence, value, and trust play mediates role impact between teaching anchor with professional level positively and online behavioral intention, 2.3). Consumer’s intrinsic state excellence, value, and trust play mediates role impact between teaching anchor’s attributes with interactive ability positively and online behavioral intention. The Teaching anchor's benefits in personal charisma, professional level, and interactive ability had a direct impact on consumers' intrinsic state classifiers of consumer value, trust, and enthusiasm.</li> </ol> 2024-09-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/266780 กลยุทธ์การบริหารสถานศึกษาในยุคปกติใหม่ 2023-03-12T06:37:39+07:00 ยงยุทธ สงพะโยม yootcross@hotmail.com <p>การศึกษากลยุทธ์การบริหารสถานศึกษาในยุคปกติใหม่เป็นการสำรวจแนวทางและวิธีการที่สถานศึกษาใช้ในการปรับตัวต่อความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์โลก เช่น การแพร่ระบาดของโควิด-19 และการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อวิเคราะห์กลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการสถานศึกษาในบริบทใหม่ โดยมุ่งเน้นที่การสร้างความยืดหยุ่นในการเรียนการสอน การมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และการพัฒนาทักษะของบุคลากร งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทราบกลยุทธ์การบริหารสถานศึกษาในยุคปกติใหม่ วิธีการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ โดยเก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์และการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหาร ครู และผู้ปกครอง ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าการใช้เทคโนโลยีในการเรียนการสอน การสร้างความร่วมมือระหว่างชุมชน และการพัฒนาบุคลากรเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการส่งเสริมการบริหารสถานศึกษาในยุคนี้ นอกจากนี้ การบริหารวิกฤตและการสร้างนวัตกรรมยังเป็นปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จในการดำเนินงาน ดังนั้นงานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงอนาคต โดยใช้เทคนิควิธีวิจัยแบบ EDFR เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลคือแบบสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้างและแบบสอบถาม รวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ 21 คน ใช้เทคนิคการคัดเลือกผู้เชี่ยวชาญแบบเจาะจงตามเกณฑ์ที่กำหนด สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วย ค่ามัธยฐาน (Median) ค่าฐานนิยม (Mode) และค่าพิสัยระหว่างควอไทล์ (Interquartile Range) และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า กลยุทธ์การบริหารสถานศึกษาในยุคปกติใหม่ ประกอบด้วย 7 กลยุทธ์ 47 ประเด็น คือ 1) กลยุทธ์ด้านการพัฒนาบุคลากร 9 ประเด็น 2) กลยุทธ์ด้านการเปลี่ยนแปลงในอนาคต 9 ประเด็น 3) กลยุทธ์ด้านการจัดการ ICT 6 ประเด็น 4) กลยุทธ์ด้านวิชาการ หลักสูตร การสอน และการเรียนรู้ 8 ประเด็น 5) กลยุทธ์ด้านการเงินและงบประมาณ 5 ประเด็น 6) กลยุทธ์ด้านนโยบายยุคปกติใหม่ 6 ประเด็น และ 7) กลยุทธ์ด้านการบริหารทั่วไป 4 ประเด็น สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนากลยุทธ์การบริหารสถานศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการของสังคมและการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาและเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตที่ไม่แน่นอน</p> 2024-09-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/269294 กลยุทธ์การปรับตัวทางการตลาดเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันของอุตสาหกรรมยางผสมสำหรับรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ในประเทศไทย 2023-06-13T16:06:59+07:00 กิตติยา เครือตัน mysheza_zomza@hotmail.com ไพโรจน์ พิภพเอกสิทธิ์ mysheza_zomza@hotmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาลักษณะของสถานประกอบการ 2. ศึกษากลยุทธ์การปรับตัวทางการตลาด และการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันของสถานประกอบการ 3. เปรียบเทียบกลยุทธ์การปรับตัวทางการตลาดกับลักษณะของสถานประกอบการ 4. ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างกลยุทธ์การปรับตัวทางการตลาดกับการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม กลุ่มตัวอย่าง คือ เจ้าของกิจการ หุ้นส่วน/ผู้ถือหุ้น และผู้จัดการ 132 คน สถิติที่ใช้ คือ ได้แก่ ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ประเภทธุรกิจ บริษัทจำกัด 82.58% สถานประกอบการ ขนาดกลาง 53.79% ระยะเวลาดำเนินการ มากกว่า 10 ปี 56.06% จำนวนพนักงาน 51-200 คน 53.79% และ ทุนจดทะเบียน 10-50 ล้านบาท 70.45% 2. กลยุทธ์การปรับตัวทางการตลาด การส่งเสริมการขาย สถานที่ ผลิตภัณฑ์ อยู่ในระดับมากที่สุด และราคา อยู่ในระดับมาก 3. เปรียบเทียบกลยุทธ์การปรับตัวทางการตลาดของอุตสาหกรรมยางผสมกับลักษณะของสถานประกอบการ 5 ด้าน แตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ 4. กลยุทธ์การปรับตัวทางการตลาดมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับความได้เปรียบทางการแข่งขันของอุตสาหกรรมยางผสม 73.30% ความรู้/ข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้สามารถใช้เป็นแนวทางในการปรับตัวทางการตลาดและเพิ่มความได้เปรียบทางการแข่งขันในอุตสาหกรรมยางผสมเชิงพาณิชย์ยานยนต์ในประเทศไทยได้อย่างยั่งยืน</p> 2024-09-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/268084 แนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์อยุธยาเมืองมรดกโลก 2023-05-09T09:10:15+07:00 พัชรินทร์ สมบูรณ์ ppatcharin1112@gmail.com ภัครดา เกิดประทุม 6286010010@western.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ (1) ศึกษาการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์อยุธยาเมืองมรดกโลก (2) ศึกษาปัจจัยแวดล้อมการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์อยุธยาเมืองมรดกโลก (3) ศึกษาการจัดการการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์อยุธยาเมืองมรดกโลก (4) ศึกษาการพัฒนาความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนในแนวการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์อยุธยาเมืองมรดกโลก และ(5) เพื่อพัฒนาแนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์อยุธยาเมืองมรดกโลก ผู้วิจัยดำเนินการวิจัยด้วยวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกจากกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญที่เกี่ยวกับการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์อยุธยาเมืองมรดกโลกจำนวน 25 ท่าน และการสนทนากลุ่ม (Focus group ) จำนวน 10 ท่าน ทำการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยเชิงคุณภาพ พบว่าแนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์อยุธยาเมืองมรดกโลก ประกอบด้วยประเด็นการพัฒนาหลัก 7 ประการ ได้แก่ 1) การให้บริการของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว 2) การประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยว 3) สถานที่ท่องเที่ยว 4) สิ่งอำนวยความสะดวก 5) การบริหารจัดการ 6) กิจกรรมทางการท่องเที่ยว 7) ที่พัก โดยมีแนวทางในการพัฒนาการมีส่วนร่วมของประชาชนแบ่งออกเป็น 5 ระดับ คือ การให้ข้อมูลข่าวสาร การปรึกษาหารือ การเข้ามามีบทบาท ความร่วมมือ และการเสริมอำนาจประชาชน</p> 2024-09-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/273583 Influencing Factors of Consumer Purchasing Behavior on Across Borders E-commerce Platforms in China 2024-08-06T14:38:04+07:00 Tang Lijuan Napapornk@sau.ac.th Napaporn Khantanapha khantanapha@gmail.com <p>This research aims to analyze : 1) characteristic of across-border e-commerce platforms customers, 2)the impact between website qualities, perceived usefulness, perceived ease of use, perceived risk and online interaction, and purchase intention on purchase behavior, 3) mediating role of online interaction, perceived ease of use, and perceived risk on purchase intention behavior.. In order to achieve this objective. This research was quantitative research, collected data from cross-border e-commerce platforms customers in China .sample of 421 respondents. They were selected by convenience random sampling technique has been employed. The instrument for collecting data was a questionnaire with a content validity (IOC) of .883 and a reliability value of Cronbach’s alpha coefficient of .907. Analysis of data via SEM by AMOS. The research result was found as follow:</p> <p>1) The characteristics of cross-border e-commerce platform customers. There are more women than men in the gender of the participants, accounting for 62%. In terms of age, the largest number of participants (34%) were between the ages of 18-25. By level of education, there were more participants with a bachelor's degree or above 33%, frequency of purchase one week of 41 %. 2) Hypothesis test result for the direct impact test found that all of the hypothesis was accepted meaning website quality directly impact perceived ease of use, website quality directly impact perceived usefulness, website quality directly impact perceived risks, perceived usefulness directly impact online interaction, perceived ease of use direct impact consumer purchase intention, perceived risk direct impact consumer purchase intention, purchase intention direct impact purchase behavior, and online interaction direct impact consumer purchase intention. 3) The mediating role of online interactions plays an effect between perceived usefulness on purchase intention, and website quality plays a mediating role between perceived risks on purchase intention the hypothesis is accepted. Perceived ease of use plays a mediating role between purchase intentions on purchase behavior.</p> 2024-09-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/266798 การพัฒนารูปแบบการเรียนรู้แบบผสมผสานโดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับการตอบกลับอัตโนมัติเพื่อส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ สำหรับนักศึกษาปริญญาตรี 2023-03-12T06:47:21+07:00 พิศาล คงเอียด pisan_khongaed@kru.ac.th กฤช สินธนะกุล pisan_khongaed@kru.ac.th จิรพันธุ์ ศรีสมพันธุ์ pisan_khongaed@kru.ac.th <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนารูปแบบการเรียนรู้แบบผสมผสานโดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับการตอบกลับอัตโนมัติ เพื่อส่งเสริมการคิดวิเคราะห์สำหรับนักศึกษาปริญญาตรี 2) เพื่อประเมินความเหมาะสมของรูปแบบการเรียนรู้แบบผสมผสานโดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับการตอบกลับอัตโนมัติ เพื่อส่งเสริมการคิดวิเคราะห์สำหรับนักศึกษาปริญญาตรีวิธีดำเนินการวิจัยมี 6 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2) สังเคราะห์และร่างกรอบแนวคิดรูปแบบการเรียนการสอน 3) สร้างเครื่องมือเพื่อประเมินรูปแบบการเรียนการสอน 4) กำหนดคุณสมบัติของผู้เชี่ยวชาญโดยการคัดเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จำนวน 10 คน สำหรับอภิปรายกลุ่ม 5) จัดประชุมเพื่ออภิปรายกลุ่มและประเมินรูปแบบการเรียนการสอน 6) สรุปผล วิเคราะห์ข้อมูล และปรับปรุงแก้ไข วิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน <br />ผลการวิจัยพบว่า องค์ประกอบของรูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 3 องค์ประกอบ คือ 1) การเตรียมการ 2) กิจกรรมการเรียนการสอน และ 3) การประเมินผล ผลการประเมินความเหมาะสมของรูปแบบการเรียนการสอนที่สังเคราะห์ขึ้น โดยผู้เชี่ยวชาญที่เป็นผู้สอนด้านคอมพิวเตอร์และด้านการศึกษา ทั้งหมดให้การยอมรับรูปแบบการเรียนการสอนที่สังเคราะห์ขึ้น มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />= 4.52, S.D. = 0.58) แสดงให้เห็นว่ารูปแบบการเรียนการสอนที่สังเคราะห์ขึ้นสามารถนำไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนได้จริง</p> 2024-09-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/269310 The Online training to develop skills of using Zoom, MS-Teams, and Google Meet based on the Connectivism theory for the General public during the COVID-19 pandemic 2023-06-13T16:23:35+07:00 Cherisa Nantha cherisa_n@rmutt.ac.th Kobchai Siripongdee cherisa_n@rmutt.ac.th <p>COVID-19 changes all daily routines and forces people to adapt while online technology becomes The New Normal. This study developed an online training course of three popular online video conferences based on connectivism theory for the general public. The aims are; 1) to develop the online training course based on connectivism, 2) to study the skills of using Zoom, MS Teams, and Google Meet, and 3) to study the course’s satisfaction. The researcher applied the ADDIE Model in three steps: 1) a analysis and design, 2) implementation, 3) summary and report. The design of the curriculum took approximately one month, from August to September 2022. There were 35 voluntary samples from 116 participants to answer online questionnaires that had an IOC &gt; 0.5 from three experts. The results show that many elderly educators and workers had never used the online video conference platform until COVID-19 helped them find New Normal. This course can develop all skill levels in three applications, from poor to high. The satisfaction level of the course was high in all aspects.</p> <p>The knowledge gained in this research is able to be beneficial in improving the use of information and communications technology for all academic educators and the human resources of corporations to be more efficient, especially in this New Normal period.</p> 2024-09-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/268256 ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียนเอกชน ในระบบ สังกัดสำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัดสงขลา 2023-05-11T09:22:51+07:00 ศมพรัตว์ เจ๊ะบ่าว somparat2528@gmail.com สุดาพร ทองสวัสดิ์ somparat.jea082@hu.ac.th จรัส อติวิทยาภรณ์ somparat.jea082@hu.ac.th <p>บทความวิจัยเป็นแบบผสมผสาน (Mixed Method) ระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Approach) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Approach) มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารโรงเรียนเอกชนในระบบ สังกัดสำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัดสงขลา 2. ศึกษาประสิทธิผลของโรงเรียนเอกชนในระบบ สังกัดสำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัดสงขลา 3. ศึกษาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารโรงเรียนที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียนเอกชนในระบบ สังกัดสำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัดสงขลา 4. ศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียนเอกชนในระบบ สังกัดสำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัดสงขลา กลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่ม ได้แก่ ผู้บริหารและครูโรงเรียนเอกชนในระบบ สังกัดสำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัดสงขลา ประกอบด้วย ผู้บริหาร จำนวน 15 คน โดยใช้การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง และครู จำนวน 351 คน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล มีค่าความเชื่อมั่นตัวแปรพยากรณ์ เท่ากับ .909 และตัวแปรเกณฑ์ เท่ากับ .908 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าคะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์การถดถอยพหุคูณ <br />1) ปัจจัยที่ส่งผลต่อระดับภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารโรงเรียนเอกชนในระบบสังกัดสำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัดสงขลา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ประสิทธิผลของโรงเรียนเอกชนในระบบ สังกัดสำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัดสงขลา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 3) ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียนเอกชนในระบบ พบว่า ด้านวิสัยทัศน์ ความยืดหยุ่นและปรับตัว และด้านการทำงานเป็นทีม ร่วมกันส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียนเอกชนในระบบ สังกัดสำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัดสงขลา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 4) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียนเอกชนในระบบ สังกัดสำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัดสงขลา (1) ด้านวิสัยทัศน์ ผู้บริหารจะต้องสานต่อวิสัยทัศน์ที่สามารถนำองค์กรไปถึงเป้าหมาย และการบริหารด้วยวิสัยทัศน์ต้องดำเนินการไปตามแผนที่กำหนดไว้และมีความสอดคล้องกับนโยบายการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ (2) ด้านความยืดหยุ่นและปรับตัว ผู้บริหารสถานศึกษาควรมีความยืดหยุ่นในการสถานศึกษาเพื่อให้ตรงกับบริบทและในการแก้ไขปัญหาในสถานศึกษา สนับสนุนและส่งเสริมให้บุคลากรคิดหาวิธีการที่แปลกใหม่และทันสมัยเพื่อนำมาใช้ในการปฏิบัติงาน มีการปรับนโยบายการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ (3) ด้านความคิดสร้างสรรค์ ผู้บริหารเป็นผู้มีคามคิดสร้างสรรค์ เป็นผู้มองการณ์ไกล มีแนวคิดใหม่ ๆ และต้องมีการขับเคลื่อนเป็นผู้นำที่ดี (4) ด้านความเป็นปัจเจกบุคคล ผู้บริหารคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลโดยการเอาใจใส่ความต้องการของแต่ละบุคคลด้วยความเสมอภาคเท่าเทียม ยุติธรรม รับฟังความคิดเห็นของผู้ร่วมงานด้วยความเต็มใจ มอบหมายงานแก่ครูและบุคลากรให้รับผิดชอบงานอย่างทั่วถึง (5) ด้านการทำงานเป็นทีม ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้งานเกิดผลสำเร็จ ผู้บริหารที่มีความสามารถในการกระตุ้นบุคลากรให้สามารถร่วมมือกันทำงานอย่างเป็นทีม ก็ย่อมส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียนโดยภาพรวม และจากการวิจัยทำให้เกิดองค์ความรู้ ด้านภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียน พบว่าภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา ประกอบด้วย 5 ด้าน 1) ความยืดหยุ่นและปรับตัว 2) วิสัยทัศน์ 3) ความคิดสร้างสรรค์ 4) ความเป็นปัจเจกบุคคล 5) การทำงานเป็นทีม และประสิทธิผลของโรงเรียนประกอบด้วย 4 ด้าน 1) ความสามารถในการพัฒนานักเรียนให้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น 2) ความสามารถในการพัฒนานักเรียนให้มีทัศนคติทางบวก 3) ความสามารถในการปรับตัวและพัฒนาให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม 4) ความสามารถในการแก้ไขปัญหาภายในสถานศึกษา</p> 2024-09-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/273591 Impact of Top Managers’ Transformational Leadership on Employee Job Satisfaction in Zhejiang Province, China 2023-12-10T22:11:48+07:00 Juan Zhang 510926951@qq.com Poramet Eamurai poramete@sau.ac.th <p>The research aims to investigate: 1) the general information of respondents, 2) the impacts of transformational leadership, employees’ psychological capital, and job satisfaction, and 3) psychological capital mediating plays a mediating role between top managers’ transformational leadership and employees’ job satisfaction. In order to achieve this objective. This research was quantitative research, collected data from textile employees in 8 cities of Zhejiang province, China .sample of 423 respondents. They were selected by simple random sampling, the instrument for collecting data was a questionnaire with a content validity (IOC) of .901 and a reliability value of Cronbach’s alpha coefficient of .867. Analysis of data via SEM by AMOS. The research result was found as follow:</p> <p>Distribution of demographic characteristics of the 423 respondents, the majority were female employees 58.6%, their ages under 25 years old of 37.6%, education level graduate from junior college, of 60.5%, working not more than 1 year of 39.5%, and most of respondent general employees of 65.7%.</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. Transformational leadership directly affects psychological capital and job satisfaction.</span></p> <p>2. Psychological capital where self-efficacy, hope, resilience, and optimism play a mediating role between top managers’ transformational leadership and employees’ job satisfaction.</p> 2024-09-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/265446 รูปแบบกิจกรรมในการส่งเสริมการเห็นคุณค่าในตนเองของผู้สูงอายุ เขตเทศบาลเมืองคลองแห อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา 2023-01-05T09:55:35+07:00 มาธุรี อุไรรัตน์ mathuree.may@gmail.com วันชัย ธรรมสัจการ mathuree.may@gmail.com <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษารูปแบบกิจกรรมในการส่งเสริมการเห็นคุณค่าในตนเองของผู้สูงอายุในชุมชน เขตเทศบาลเมืองคลองแห อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา รูปแบบการวิจัยเป็นวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้แนวคิดการเห็นคุณค่าในตนเองของคูเปอร์สมิทเป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัย คือ ชุมชนเขตเทศบาลเมืองคลองแห อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ คือ ผู้สูงอายุวัยต้นเพศหญิง จำนวน 13 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 4 ชนิด คือ 1) แบบประเมินการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน (ADL) 2) แบบประเมินภาวะสมองเสื่อม 3) แบบประเมินการเห็นคุณค่าในตนเองของผู้สูงอายุ และ 4) แบบสัมภาษณ์รูปแบบกิจกรรมในการส่งเสริมการเห็นคุณค่าในตนเองของผู้สูงอายุ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ วิเคราะห์เนื้อหาแล้วเขียนบรรยายเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบกิจกรรมที่ผู้สูงอายุในชุมชนเขตเทศบาลเมืองคลองแห อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลาต้องการ คือ กิจกรรมที่หลากหลายเพื่อส่งเสริมและสร้างคุณค่าให้กับตนเอง ซึ่งสามารถสรุปได้เป็น 7 รูปแบบ ได้แก่ 1) กิจกรรมที่สร้างความสนุกสนาน 2) กิจกรรมที่ส่งเสริมสมรรถภาพทางร่างกายและจิตใจ 3) กิจกรรมที่สร้างการเรียนรู้และรายได้ 4) กิจกรรมที่สร้างความสำเร็จ 5)กิจกรรมที่สร้างประโยชน์ 6) กิจกรรมที่สร้างการยอมรับ และ 7) กิจกรรมที่เพิ่มความสัมพันธ์ ซึ่งข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดแนวทางในการจัดกิจกรรมให้สอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริงของผู้สูงอายุ เพื่อส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพที่ดีครอบคลุมทั้งในด้านร่างกายและจิตใจต่อไป รวมถึงรู้สึกมีคุณค่าและสามารถอยู่ร่วมกับครอบครัวและชุมชนได้อย่างมีความสุข</p> 2024-09-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย