https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/issue/feed วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย 2025-03-31T23:38:59+07:00 Asst. Prof. Dr.Phumphakhawat Phumphongkhochasorn eitsthailand64@gmail.com Open Journal Systems <p>วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการศึกษาค้นคว้า และเพื่อเผยแพร่บทความวิจัยและบทความวิชาการในมิติเพื่อสนับสนุนการศึกษา การสอน การวิจัย วารสารมุ่งเน้นบทความทางด้านการศึกษา นวัตกรรมการศึกษา นวัตกรรมการบริหารการศึกษา หลักสูตรและการสอน นวัตกรรมการจัดการ ศิลปศาสตร์ และนวัตกรรมการศึกษาเชิงประยุกต์ </p> https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/275893 ทักษะการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารในโรงเรียนกลุ่มนววัฒนา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2 2024-03-28T15:15:59+07:00 รัชชาวิชช์ วงศ์คำ rutchavit@gmail.com มีนมาส พรานป่า rutchavit@gmail.com <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาทักษะการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 2) เพื่อนำเสนอแนวทางการพัฒนาทักษะการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 รูปแบบการวิจัยแบบผสมผสาน ประชากร คือ ครูในโรงเรียนกลุ่มนววัฒนา จำนวน 156 คน จาก 9 โรงเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล มี 2 แบบ ได้แก่ 1) แบบสอบถามเป็นแบบประมาณค่า 5 ระดับ ที่มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .989 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ 2) แบบสัมภาษณ์อย่างมีโครงสร้าง โดยสัมภาษณ์ผู้บริหาร 3 คนที่เลือกแบบเฉพาะเจาะจง <br />ผลการวิจัยพบว่า <br />1) ทักษะผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าอยู่ในระดับมากทุกด้าน ได้แก่ ทักษะการสื่อสาร ทักษะการบริหารจัดการองค์กร ทักษะทางเทคโนโลยีและการใช้ดิจิทัล ทักษะความคิดสร้างสรรค์ และทักษะมนุษย์ 2) แนวทางการพัฒนาทักษะผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ได้แก่ ทักษะมนุษย์ ซึ่งผู้บริหารสถานศึกษาต้องเปิดรับ เปิดใจ<br />และเปิดกว้างแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา รับฟังความคิดเห็นแล้วจึงนำมาวิเคราะห์เพื่อหาแนวทางการพัฒนาและการแก้ไขปัญหาร่วมกัน มีความรู้และประสบการณ์ในการทำงานทั้ง 4 ฝ่าย ที่ถูกต้องตามกฎระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อนำมาบริหารงานได้มีประสิทธิภาพ และมีความเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม ให้ทันกับโลกยุคปัจจุบัน<br />ข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้ ผู้บริหารสถานศึกษาสามารถใช้ทักษะผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 เป็นแนวทางในการพัฒนาการจัดการศึกษา ให้มีคุณภาพเป็นไปตามมาตรฐานการศึกษา เพื่อให้สถานศึกษาเกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อไป</p> 2025-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/282541 การพัฒนาภูมิศาสตร์วัฒนธรรมเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยววิถีพุทธของวัดในอำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี 2024-10-21T15:48:04+07:00 พระสาโรจน์ สุนทโร saroad0756@gmail.com พระมหาบุญเลิศ อินฺทปญฺโญ Saroad0756@gmail.com พระมหาประกาศิต สิริเมโธ Saroad0756@gmail.com <p style="font-weight: 400;">บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาภูมิศาสตร์วัฒนธรรมในการส่งเสริมการท่องเที่ยววิถีพุทธของวัดในอำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี 2) เพื่อออกแบบและพัฒนาภูมิศาสตร์วัฒนธรรมในการส่งเสริมการท่องเที่ยววิถีพุทธของวัดในอำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี 3) เพื่อถอดบทเรียนการจัดภูมิสถาปัตย์การท่องเที่ยววิถีพุทธของวัดในอำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี ผลการวิจัย พบว่า การพัฒนาภูมิศาสตร์วัฒนธรรมเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยววิถีพุทธในอำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี เป็นการผสมผสานระหว่างธรรมชาติ ศาสนา และวัฒนธรรมท้องถิ่น เพื่อสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวที่มีคุณค่าและยั่งยืน โดยมุ่งเน้นให้ผู้เยี่ยมชมสัมผัสถึงความสงบสุข ศรัทธา และการเรียนรู้เกี่ยวกับพุทธศาสนาในบริบทของพื้นที่ที่เป็นเอกลักษณ์ การวิจัยนี้มุ่งเน้นวัดสำคัญ 4 แห่ง ได้แก่ วัดถ้ำมังกรทอง วัดถ้ำเขาแหลม วัดถ้ำมุณีนาถ และวัดถ้ำเขาปูน ซึ่งแต่ละวัดมีความโดดเด่นในด้านภูมิศาสตร์และวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงกับท้องถิ่น การพัฒนาและออกแบบภูมิศาสตร์วัฒนธรรมในการส่งเสริมการท่องเที่ยววิถีพุทธมีองค์ประกอบสำคัญ 6 ด้าน ได้แก่ ด้านทรัพยากรท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ความสำคัญเกี่ยวกับพุทธศาสนา การส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน การบริการนักท่องเที่ยว การมีส่วนร่วมของชุมชน และการสร้างจิตสำนึกแก่ผู้เกี่ยวข้อง การถอดบทเรียนและสร้างเครือข่ายการท่องเที่ยววิถีพุทธถูกเรียกว่า "ภูมิทัศน์การท่องเที่ยววัดตามวิถีอริยสัจ 4" โดยแบ่งวัดตามหลักอริยสัจ 4 คือ วัดถ้ำมังกรทอง (ทุกข์) วัดถ้ำเขาแหลม (สมุทัย) วัดถ้ำมุนีนาถ (นิโรธ) และวัดถ้ำเขาปูน (มรรค) ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยให้การพัฒนาภูมิศาสตร์วัฒนธรรมสามารถอนุรักษ์และเผยแพร่คุณค่าทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ พร้อมส่งเสริมการเรียนรู้เกี่ยวกับพุทธศาสนา ช่วยเสริมสร้างศรัทธาและสั่งสมบุญให้กับผู้มาเยือนในอนาคต</p> 2025-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/278642 การพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการแนวใหม่ของคุรุสภาส่วนภูมิภาค 2024-06-14T16:44:07+07:00 ฉัตรกุล ตรงคมาลี iamchatkul@hotmail.com รัชฎาพร เกตานนท์ trongkamalee_c@su.ac.th <p>กรอบนโยบายการพัฒนาประเทศและสถานการณ์ปัจจุบัน มีความจำเป็นต้องเร่งพัฒนาและปรับตัวเพื่อลดช่องว่างของการปฏิบัติงานให้มีศักยภาพที่เหมาะสม บนหลักการบริหารงานภาครัฐแนวใหม่ เพื่อรับมือกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงและเสริมสร้างความสามารถของภาครัฐ ให้มีประสิทธิภาพเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้เพื่อการบริหารจัดการเพื่อการพัฒนา และสร้างระบบบริหารจัดการ สร้างระบบที่ส่งเสริมการพัฒนาบุคลากร ให้มีทักษะที่จำเป็นในการให้บริการภาครัฐดิจิทัล รวมทั้งปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบ ให้เอื้อต่อการพัฒนา ดังนั้นผู้วิจัยจึงสนใจการศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการแนวใหม่ของคุรุสภาส่วนภูมิภาค เพื่อจะนำไปสู่การเป็นรูปแบบการบริหารจัดการแนวใหม่ที่สามารถพัฒนาและนำไปใช้ประโยชน์ทางการด้านบริหารงานในส่วนภูมิภาคขององค์กรวิชาชีพครูและบุคลากรทางการศึกษาต่อไป<br />การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันในการบริหารจัดการคุรุสภาส่วนภูมิภาค 2) ศึกษาวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศในการบริหารจัดการแนวใหม่ของคุรุสภาส่วนภูมิภาค และ 3) ศึกษารูปแบบการบริหารจัดการแนวใหม่ของคุรุสภาส่วนภูมิภาค เป็นการวิจัยแบบผสม ในรูปแบบการวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ ดำเนินการวิจัย 3 ขั้นตอน ดังนี้ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันในการบริหารจัดการคุรุสภาส่วนภูมิภาค โดยเก็บข้อมูลจากแบบสำรวจ ผู้บริหารสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด พนักงานเจ้าหน้าที่คุรุสภาส่วนภูมิภาค และผู้รับบริการ ขั้นตอนที่ 2) ศึกษาวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศของการบริหารงานคุรุสภาส่วนภูมิภาค จังหวัดต้นแบบ (พหุกรณีศึกษา) โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้บริหารสำนักงานเลขาธิการคุรุสภา ศึกษาธิการจังหวัด และพนักงานเจ้าหน้าที่คุรุสภาส่วนภูมิภาค 3) พัฒนารูปแบบการบริหารจัดการแนวใหม่ของคุรุสภาส่วนภูมิภาค จากการวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลจากขั้นตอนที่ 1 และขั้นตอนที่ 2 จากนั้นประเมินความถูกต้องและความเหมาะสมของรูปแบบ โดยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 ท่าน ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพปัจจุบันในการบริหารจัดการคุรุสภาส่วนภูมิภาค พบว่า 1) ความคิดเห็นของผู้บริหารสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนความคิดเห็นของพนักงานเจ้าหน้าที่คุรุสภาส่วนภูมิภาค ภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ความคิดเห็นของผู้บริหารสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดและพนักงานเจ้าหน้าที่คุรุสภาส่วนภูมิภาค ต่อการบริหารจัดการคุรุสภาส่วนภูมิภาคโดยการนำนโยบายสู่การปฏิบัติ ภาพรวมอยู่ในระดับมาก และ 3) ผู้รับบริการมีความคิดเห็นต่อการให้บริการของคุรุสภาส่วนภูมิภาค ภาพรวมอยู่ในระดับมาก <br />2. วิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศการบริหารงานคุรุสภาส่วนภูมิภาค พบว่า ปัจจัยแห่งความสำเร็จ ได้แก่ 1) บุคลากรศักยภาพสูง 2) การบริหารจัดการเชิงรุก การบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วม การบริหารจัดการแบบการบูรณาการความร่วมมือ 3) การพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารเทศ และการสร้างทักษะ ความรู้ ความสามารถด้านเทคโนโลยีดิจิทัล 4) การทำงานเป็นทีม 5) การสร้างและพัฒนาเครือข่าย และ 6) ความพร้อมด้านทรัพยากรสนับสนุนการบริหารจัดการ<br />3. รูปแบบการบริหารจัดการแนวใหม่ของคุรุสภาส่วนภูมิภาค มี 6 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) การร่วมมือกันระหว่างองค์กร 2) การทำงานเป็นทีม 3) เทคโนโลยีสารสนเทศ 4) การมุ่งผลสัมฤทธิ์ 5) การสร้างและพัฒนาเครือข่ายในพื้นที่ และ 6) ทักษะความเข้าใจและใช้เทคโนโลยีดิจิทัล <br />องค์ความรู้งานวิจัยนี้จะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาโครงสร้าง กำหนดรูปแบบการบริหารจัดการที่เหมาะสม และการขับเคลื่อนนโยบายที่ตอบสนองพันธกิจตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดได้อย่างเต็มศักยภาพ</p> 2025-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/281306 The Factors of Behavioral Intention Affecting User Loyalty on Knowledge Payment Platforms in China 2024-09-05T09:53:22+07:00 Luo Beibei spiritlb@hotmail.com Patima Rungruang spiritlb@hotmail.com Ampol Navavongsathian spiritlb@hotmail.com <p>Background: In the increasingly competitive and segmented market of knowledge payment platforms in China, it is essential to grasp the aspects that effect behavioral intention and user loyalty in order to ensure the long-term viability of the platform. Aims: The current research aims to examine the variables that influence behavioral intention and user loyalty on knowledge payment platforms in China. Methodology: To achieve this, a complete theoretical model is developed, drawing upon the Unified Theory of Acceptance and Use of Technology (UTAUT), perceived risk theory, and user loyalty theory. The proposed model incorporates social influence, performance expectancy, effort expectancy, and perceived risk as independent variables. It evaluates the direct and indirect effects of these factors on behavioral intention and user loyalty. Results: In this research, a sample of 462 valid respondents obtained from an online survey was analyzed using Structural Equation Model (SEM). The results of the data analysis confirmed that social influence, performance expectancy, and effort expectancy had a favorable impact on behavioral intention and user loyalty. In contrast, there was a significant inhibitory effect on perceived risk. Behavioral intentions, on the other hand, mediated the effects of social influence, performance expectations, effort expectations, and perceived risk on user loyalty.<br />Conclusion: The findings indicate strong empirical support for platform administrators and marketers to implement strategies that enhance user experience, reduce perceived risks, and leverage social influence. Effectively executing these strategies is essential for building customer loyalty and achieving sustained success in the knowledge payment industry. This research provides valuable insights into the relationships among these factors within the context of knowledge payment platforms in China, setting the stage for future research.</p> 2025-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/277952 ปัจจัยและแนวทางการป้องกันการกระทำผิดซ้ำในผู้ต้องขังคดียาเสพติด “กรณีศึกษาจากเรือนจำกลางนครปฐมและเรือนจำกลางบางขวาง” 2024-05-26T17:58:29+07:00 พรกมล ยังดี verdantns@gmail.com พชรพร ศรีสุวรรณ Verdantns@gmail.com ศิริรัตน์ ชูสกุลเกรียง Verdantns@gmail.com ศุภชัย ศุภลักษณ์นารี Verdantns@gmail.com อรทัย เขียวพุ่ม Verdantns@gmail.com <p>การกระทำผิดซ้ำในปัจจุบันมีอัตราการกระทำผิดเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง และยังเป็นที่ได้รับความสนใจของสังคมในปัจจุบัน งานวิจัยชิ้นนี้มีวัตถุประสงค์ในการศึกษาเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อการกระทำผิดซ้ำ แนวทางในการป้องกันการกระทำผิดซ้ำในผู้ต้องขังคดียาเสพติดที่อยู่ในเรือนจำกลางนครปฐมและเรือนจำกลางบางขวาง โดยการศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงคุณภาพ ใช้ประเด็นการสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกเพื่อใช้ในการเก็บข้อมูลงานวิจัย กลุ่มตัวอย่างเป็นกลุ่มตัวอย่างคัดเลือกด้วยวิธีเฉพาะเจาะจง โดยการกำหนดคุณสมบัติ จำนวน 6 กลุ่ม ได้แก่ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจากเรือนจำ จำนวน 4 คน (แบ่งเป็นเรือนจำละ 2 คน) พยาบาลวิชาชีพ 1 คน ผู้บริหารเรือนจำ<br />1 คน และอีก 3 คนมาจากกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งประกอบด้วย ผู้บริหารกรมสุขภาพจิต 1 คน แพทย์ 1 คน และนักจิตวิทยา 1 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหาและจำแนกหมวดหมู่ประเด็นเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า ครอบครัวเป็นปัจจัยหลักที่มีผลต่อการกระทำผิดซ้ำของผู้ต้องขังคดียาเสพติด อย่างไรก็ตามรายได้ที่ไม่เพียงพอต่อการเลี้ยงดูครอบครัวและการไม่ประกอบอาชีพก็ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการกระทำผิดซ้ำในผู้ต้องขังคดียาเสพติด นอกจากนี้หลักสูตรการฝึกอบรมด้านอาชีพและการเข้าร่วมโครงการฟื้นฟูผู้ต้องขังยังเป็นวิธีการป้องกันและลดกระทำผิดซ้ำในคดียาเสพติดได้อีกด้วย ข้อสรุปจากการศึกษาวิจัยในครั้งนี้อาจเป็นประโยชน์ในการหาวิธีป้องกันการกระทำผิดซ้ำของผู้ต้องขังที่ ต้องโทษคดียาเสพติดที่อยู่เรือนจำในประเทศไทย ซึ่งจะสามารถช่วยยกระดับและป้องกันความปลอดภัย สาธารณะให้กับคนในสังคมได้ต่อไป</p> 2025-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/279611 การพัฒนานักศึกษาครูด้วยการบูรณาการแนวคิดจิตปัญญาศึกษา การเป็นพี่เลี้ยง และการวิจัยเป็นฐาน คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี 2024-07-16T09:42:34+07:00 มิตภาณี พุ่มกล่อม pianohawi@gmail.com กรัณย์พล วิวรรธมงคล karanphon@gmail.com <p>การพัฒนานักศึกษาครูเป็นภาระกิจสำคัญของสถาบันการผลิตครูเพื่อออกไปรับใช้สังคมและการพัฒนาประเทศชาติ บทบาทสำคัญของการผลิครูต้องช่วยให้เกิดความรู้ ทักษะ ความสามารถและคุณลักษณะของความเป็นครู ซึ่งในปัจจุบันได้มีการพัฒนาครูอย่างหลากหลายและพบปัญหาในการปฏิบัติงานของครูต่อการพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน จึงทำให้ต้องพัฒนากระบวนการพัฒนานักศึกษาครูด้วยการบูรณาการแนวคิดจิตปัญญาศึกษา การเป็นพี่เลี้ยงและการวิจัยเป็นฐาน การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนากระบวนการพัฒนานักศึกษาครู 2) ศึกษาผลการพัฒนาครู และ 3) ถอดบทเรียนการพัฒนาครูด้วยการบูรณาการแนวคิดจิตปัญญาศึกษา การเป็นพี่เลี้ยงและการวิจัยเป็นฐาน กลุ่มเป้าหมายได้แก่ อาจารย์พี่เลี้ยงนิเทศ จำนวน 11 คน นักศึกษาครูชั้นปีที่ 5 สาขาวิชาวิทยาศาสตร์จำนวน 10 คน สาขาสังคมศึกษาจำนวน 5 คน รวมจำนวน 15 คน เครื่องมือได้แก่ คู่มือการพัฒนานักศึกษาครูฯ แบบทดสอบความรู้ความเข้าใจครูพี่เลี้ยงและนักศึกษาครู แบบประเมินความสามารถในการจัดการเรียนรู้ แบบประเมินความสามารถการวิจัยในชั้นเรียน และแบบประเมินคุณลักษณะความเป็นครูของนักศึกษา สถิติที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า <br />1. กระบวนการพัฒนานักศึกษาครูด้วยแนวคิด CCR ประกอบด้วย 5 ขั้นตอนดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 ร่วมทบทวนความเข้าใจเป้าหมายการพัฒนา ขั้นตอนที่ 2 เตรียมความพร้อมการพัฒนาวิชาชีพ ขั้นตอนที่ 3 นำไปสู่การปฏิบัติงานในวิชาชีพ ขั้นตอนที่ 4 ร่วมประสานติดตามผล การปฏิบัติงาน ขั้นตอนที่ 5 สะท้อนและสรุปบทเรียน <br />2. ผลการใช้กระบวนการพัฒนานักศึกษาครู ได้ผลดังนี้ 2.1) ความรู้ความเข้าใจของครูพี่เลี้ยง มีค่าคะแนนเฉลี่ย 19.26 คิดเป็นร้อยละ 64.20 ส่วนนักศึกษาครู มีค่าคะแนนเฉลี่ย 18.05 คิดเป็นร้อยละ 60.66 2.2) ความสามารถในการจัดการเรียนรู้โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2.3) ความสามารถการวิจัยในชั้นเรียนของนักศึกษาครูภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง และ 2.4) คุณลักษณะความเป็นครูของนักศึกษาครูโดยภาพรวมมีคะแนนเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก <br />3. ผลการถอดบทเรียนกระบวนการพัฒนานักศึกษาครูตามแนวคิด (CCR) มีประเด็นเกี่ยวกับการพัฒนาตามกลไกความร่วมมือร่วมใจ การส่งเสริมการบริหารจัดการ การออกแบบกิจกรรมสร้างความเป็นครู และเงื่อนไขสำคัญผู้ปฏิบัติหากไม่ศึกษาอย่างลุ่มลึกจะไม่สามารถลงสู่การปฏิบัติให้เกิดผลสำเร็จได้</p> 2025-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/276816 การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันความตั้งใจซื้อซ้ำในเทศกาลช้อปปิ้งออนไลน์ ในประเทศไทย 2024-04-10T17:28:22+07:00 นิเวศน์ ธรรมะ niwet.t@rumail.ru.ac.th เมธาวี อนิวรรตนพงศ์ Niwet.t@rumail.ru.ac.th วัชรพงษ์ ตันฑ์พรชัย Niwet.t@rumail.ru.ac.th ชัยทัต แซ่ตั้ง Niwet.t@rumail.ru.ac.th <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาองค์ประกอบเชิงยืนยันความตั้งใจซื้อซ้ำในเทศกาลช้อปปิ้งออนไลน์ ในประเทศไทย 2) เพื่อตรวจสอบความสอดคล้องระหว่างโมเดลโครงสร้างองค์ประกอบเชิงยืนยันความตั้งใจซื้อซ้ำในเทศกาลช้อปปิ้งออนไลน์ ในประเทศไทย รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณใช้แนวคิดการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันเป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัย คือประเทศไทย กลุ่มตัวอย่างคือผู้มีประสบการณ์ซื้อสินค้าในเทศกาลช้อปปิ้งออนไลน์ จำนวน 340 คน จากผู้ที่มีประสบการณ์ในเทศกาลช้อปปิ้งออนไลน์ ภายใน 6 เดือนโดยวิธีคัดเลือกแบบสะดวก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือแบบสอบถามออนไลน์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน ผลการวิจัยพบว่า<br />องค์ประกอบเชิงยืนยันความตั้งใจซื้อซ้ำในเทศกาลช้อปปิ้งออนไลน์ ในประเทศไทย ประกอบด้วย4 องค์ประกอบ คือ 1) การสื่อสารเชิงความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร 2) คุณภาพที่รับรู้ 3) ความภักดีต่อแบรนด์และ 4) ความตั้งใจซื้อซ้ำ ซี่งพบว่าโมเดลโครงสร้างองค์ประกอบมีความสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ทุกตัว <br />ข้อค้นพบนี้เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับนักวิจัยและผู้ที่สนใจพัฒนาต่อยอดกลยุทธ์การตลาดในมิติการสื่อสารเชิงความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร การสร้างการรับรู้ด้านคุณภาพของแบรนด์ การสร้างความภักดีต่อแบรนด์และการซื้อซ้ำในเทศกาลช้อปปิ้งออนไลน์ต่อไป </p> 2025-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/283929 แนวทางการพัฒนาสมรรถนะบุคลากรสายวิชาการที่ส่งผลต่อ ผลการดำเนินงานมหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคกลาง 2024-12-10T08:29:59+07:00 คณิต เรืองขจร khanit.r@rmutsb.ac.th อนันต์ ธรรมชาลัย Khanit.rue@nortbkk.ac.th พิศมัย จารุจิตติพันธ์ Khanit.rue@nortbkk.ac.th ภัสร์ชนกพรรณ อนุชาติไชย Khanit.rue@nortbkk.ac.th <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อวิเคราะห์สมรรถนะบุคลากรที่มีผลต่อผลการดำเนินงานมหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคกลาง และ 2) เพื่อนำเสนอแนวทางการพัฒนาสมรรถนะบุคลากรสายวิชาการของมหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคกลาง รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยแบบผสานวิธีใช้แนวคิด สมรรถนะและแนวคิดผลการดำเนินงาน เป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัย คือมหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคกลางจำนวน 14 แห่ง การวิจัยนี้เก็บข้อมูลเชิงปริมาณโดยการใช้แบบสอบถามกับกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งเป็นบุคลากรสายวิชาการของมหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคกลาง จำนวน 400 ราย ด้วยการสุ่มอย่างง่าย และเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก ผู้บริหารที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาสมรรถนะบุคลากรสายวิชาการโดยคัดเลือกแบบเจาะจง จำนวน 17 คน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้สถิติตเชิงพรรณนา วิเคราะห์สถิติถดถอยเชิงพหุคูณ และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพจากการวิเคราะห์เนื้อหา<br />ผลการวิจัยพบว่า สมรรถนะบุคลากรสายวิชาการ ทั้ง 5 ด้าน สามารถร่วมกันอธิบายความสัมพันธ์และส่งผลต่อผลการดำเนินงานมหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคกลาง ได้ร้อยละ 51.5 โดยมีปัจจัยด้านการมุ่งผลสัมฤทธิ์ ที่ส่งผลต่อผลการดำเนินงานมหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคกลาง อย่างมีนัยยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ด้านการทำงานเป็นทีม และการสั่งสมความเชี่ยวชาญในอาชีพ ที่ส่งผลต่อผลการดำเนินงานมหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคกลาง อย่างมีนัยยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จากผลการวิจัยสามารถนำเสนอ แนวทางการพัฒนาสมรรถนะบุคลากรสายวิชาการที่ส่งผลต่อผลการดำเนินงานของมหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคกลาง จำนวน 3 แนวทาง ประกอบด้วย 1) กลุ่มแนวทางการสร้างเครือข่ายความร่วมมือในการพัฒนาบุคลากร 2) แนวทางการยกระดับการการพัฒนาสมรรถนะบุคลากรสายวิชาการเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงและขับเคลื่อนภารกิจของมหาวิทยาลัย 3) แนวทางการพัฒนาและปรับปรุงแผนการดำเนินงานของมหาวิทยาลัยอย่างต่อเนื่อง</p> 2025-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/278784 การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบไฮบริดเพื่อเสริมสร้างทักษะ การช่วยฟื้นคืนชีพของนักศึกษาพยาบาลภายใต้สถานการณ์ การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 2024-06-19T13:04:06+07:00 ทัชมาศ ไทยเล็ก b.tutchamat@gmail.com วรรณศิริ นิลเนตร wansiri.n@psu.ac.th จุฑารัตน์ คงเพ็ชร wansiri.n@psu.ac.th อำไพพร ก่อตระกูล wansiri.n@psu.ac.th <p>สถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ส่งผลให้เกิดการปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดการเรียนการสอนรายวิชาปฏิบัติของนักศึกษาพยาบาล การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ<br />มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบไฮบริดเพื่อเสริมสร้างทักษะการช่วยฟื้นคืนชีพของนักศึกษาพยาบาลภายใต้สถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาพยาบาล ชั้นปีที่ 4 จำนวน 55 คน และอาจารย์พยาบาลจำนวน 11 คน เครื่องมือวิจัย ประกอบด้วย หุ่นจำลองสมรรถนะสูง วิดีทัศน์สาธิตการช่วยฟื้นคืนชีพ และแบบสอบถามความพึงพอใจ ตรวจสอบคุณภาพของแบบสอบถามได้ค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหาเท่ากับ 1 และค่าสัมประสิทธิ์ของครอน บาค เท่ากับ .90 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา<br />ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบไฮบริดเพื่อเสริมสร้างทักษะการช่วยฟื้นคืนชีพของนักศึกษาพยาบาลภายใต้สถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ประกอบด้วย<br />1) การศึกษาวิดีทัศน์สาธิตการช่วยฟื้นคืนชีพ 2) การฝึกปฏิบัติการช่วยฟื้นคืนชีพแบบเผชิญหน้า โดยมีผู้เรียนและผู้สอนอยู่ในห้องรวมกันไม่เกิน 5 คน 3) การทำแบบฝึกหัดรายบุคคล และ 4) การสรุปความรู้การช่วยฟื้นคืนชีพแบบออนไลน์ กลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการสอนแบบไฮบริดเพื่อเสริมสร้างทักษะการช่วยฟื้นคืนชีพของนักศึกษาพยาบาล โดยรวมอยู่ในระดับดีมาก (M = 4.40, SD =.476)<br />ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่จะนำรูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบไฮบริดเพื่อเสริมสร้างทักษะการช่วยฟื้นคืนชีพของนักศึกษาพยาบาลไปใช้ ในการจัดการเรียนการสอน ในกรณีที่สถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อโคโรนา 2019 รุนแรงหรือมีเหตุพิเศษอื่น ๆ จนไม่สามารถจัดการเรียนการสอนในคลินิกได้ </p> 2025-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/281510 การพัฒนาชุดการเรียนรู้รายวิชาชีววิทยา ตามแนวคิดเชิงออกแบบ ร่วมกับอิงสถานที่เป็นฐาน เพื่อส่งเสริมทักษะการคิดเชิงระบบ และเจตคติ ต่อสิ่งแวดล้อม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 2024-09-11T13:39:06+07:00 วีรภัฏศาสตรา ชมภู weeraphatshadthar58205673@gmail.com กรัณย์พล วิวรรธมงคล krutimepmk@gmail.com สัมฤทธิ์ มากสง krutimepmk@gmail.com <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาและหาประสิทธิภาพชุดการเรียนรู้รายวิชาชีววิทยาตามแนวคิดเชิงออกแบบร่วมกับอิงสถานที่เป็นฐาน 2) ศึกษาผลการเรียนรู้รายวิชาชีววิทยา ก่อนเรียนและหลังเรียน 3) ศึกษาทักษะการคิดเชิงระบบก่อนเรียน ระหว่างเรียน และหลังเรียน และ 4) ศึกษาพัฒนาการเจตคติต่อสิ่งแวดล้อมของนักเรียน เป็นการวิจัยประเภทการวิจัยและพัฒนา ตัวอย่างการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 ที่กำลังเรียนในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 29 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย (Sample random sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) ชุดการเรียนรู้รายวิชาชีววิทยา ตามแนวคิดเชิงออกแบบร่วมกับอิงสถานที่เป็นฐาน 2) แผนการจัดการเรียนรู้ 3) แบบทดสอบวัดทักษะการคิดเชิงระบบ 4) แบบสังเกตพฤติกรรมการคิดเชิงระบบ และ 5) แบบประเมินเจตคติต่อสิ่งแวดล้อม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐาน และ การทดสอบค่าที (Dependent Samples t–test)<br />ผลการวิจัยพบว่า 1) ชุดการเรียนรู้รายวิชาชีววิทยาที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น จำนวน 4 เล่ม ได้แก่ เล่มที่ 1 เรื่องเหลือเชื่อ เนื้อเยื่อพืช เล่มที่ 2 ถอดรหัสบริษัทขนส่งอาหารของพืช เล่มที่ 3 ความมหัศจรรย์ของร่างกายพืช และ เล่มที่ 4 ห้องครัวของพืช มีค่าประสิทธิภาพเท่ากับ 82.45/80.69 82.31/81.03 82.15/80.69 และ 82.39/81.72 ตามลำดับ และมีค่าประสิทธิภาพเฉลี่ยรวมเท่ากับ 81.16/80.71 2) ผลการเรียนรู้มีค่าเฉลี่ยคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ทักษะการคิดเชิงระบบหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และมีพัฒนาการเพิ่มขึ้นจากระดับพอใช้เป็นระดับดี ตามลำดับ และ 4) เจตคติต่อสิ่งแวดล้อมของผู้เรียนมีการพัฒนาขึ้นระหว่างเรียนโดยใช้ชุดการเรียนรู้รายวิชาชีววิทยาที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นจากระดับพอใช้เป็นระดับดี</p> 2025-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/277980 ความต้องการจำเป็นในการนิเทศการสอนเพื่อส่งเสริมการจัดการเรียน การสอน Unplugged Coding ระดับประถมศึกษาตอนต้นของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 2 2024-05-26T18:07:43+07:00 เกวลิน สนธิ kewa.yingnan@gmail.com บุณฑริกา บูลภักดิ์ Kewa.yingnan@gmail.com ปัญญา อัครพุทธพงศ์ Kewa.yingnan@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นในการนิเทศการจัดการเรียนการสอน Unplugged Coding ระดับประถมศึกษาตอนต้นของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการเขต 2 รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้แนวคิดการจัดการเรียนการสอนเป็นกรอบในการวิจัย ซึ่งประกอบด้วย 1) การแปลงหลักสูตรไปสู่การสอน 2) การจัดการเรียนการสอน 3) การใช้สื่อและพัฒนาสื่อการเรียนการสอน และ 4) การวัดและประเมินผลการเรียนการสอน ประชากรที่ใช้ในการวิจัยโดยการสุ่มแบบเจาะจง คือ โรงเรียนประถมศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการเขต 2 จำนวน 71 แห่ง ผู้ให้ข้อมูลจากแต่ละโรงเรียนประกอบด้วยหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จำนวน 1 คน และครูวิชาวิทยาการคำนวณระดับประถมศึกษาตอนต้น จำนวน 3 คน รวมผู้ให้ข้อมูลทั้งสิ้น จำนวน 284 คน ผู้ทรงคุณวุฒิตรวจประเมินประสิทธิภาพด้านเนื้อหาโดยมีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) อยู่ที่ 0.67-1.00 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามแนวทางการนิเทศการสอนเพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนการสอน Unplugged Coding ระดับประถมศึกษาตอนต้นของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 2 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการหาค่า ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีความต้องการจำเป็น ผลการวิจัย พบว่า การนิเทศการสอนด้านที่มีความต้องการจำเป็นที่สุด คือ ด้านการแปลงหลักสูตรไปสู่การสอน มีค่า PNImodified เท่ากับ 0.229 รองลงมา คือ ด้านการวัดและประเมินผลการเรียนการสอนและด้านการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน มีค่า PNImodified เท่ากับ 0.203 และ 0.199 ตามลำดับ</p> 2025-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/276918 แนวทางการบริหารงานบุคคลโดยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 4 2024-04-10T17:48:51+07:00 สุดารัตน์ ชุ่มใจ sudarut211991@gmail.com กษิฎิฏฏ์ มีพรหม Krueins@gmail.com <p>งานวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นของการบริหารงานบุคคลโดยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล 2. เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารงานบุคคลโดยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 4 การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสมวิธี โดยใช้การวิจัยเชิงปริมาณ และการวิจัยเชิงคุณภาพ ได้กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารสถานศึกษา ครู และบุคลากรทางการศึกษา รวมทั้งสิ้นจำนวน 310 คน โดยใช้ตารางของเครจซี่และมอร์แกน (Krejcie, 1970) จากการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย โดยกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างที่ระดับความเชื่อมั่น 95% เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถาม และแบบประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ความต้องการจําเป็น (PNI_modified)<br />ผลการวิจัย พบว่า <br />1. สภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารงานบุคคลโดยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 4 ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก และความต้องการจำเป็นสูงสุด ได้แก่ ด้านการสรรหาและบรรจุแต่งตั้ง<br />2. แนวทางการบริหารงานบุคคลโดยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 4 มี 6 แนวทาง <br />ข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้ ทำให้ได้รับทราบข้อมูลของการบริหารงานบุคคลโดยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลของโรงเรียน ที่ได้แสดงถึงสภาพการบริหารงานบุคคลที่เป็นอยู่ ขอบข่ายการบริหารงานบุคคลที่มีความจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาโดยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และสามารถนําแนวทางไปพัฒนาให้ดีขึ้นอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพในบริบทของโรงเรียนต่อไป</p> 2025-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/278786 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลักการใช้ภาษาไทยของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ร่วม กับการใช้ผังกราฟิก 2024-06-19T13:06:18+07:00 สุกัญญา อังเพชร sukanyaangpetch@gmail.com อธิกมาส มากจุ้ย sukanyaangpetch@gmail.com <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลักการใช้ภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับการใช้ผังกราฟิก และ 2) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับการใช้ผังกราฟิก รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/2 โรงเรียนสาธิตเกษตรฯ กำแพงแสน<br />ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 39 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่ม (Cluster Sampling) โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้<br />2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ 3) แบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิจัยแบบก่อนทดลอง แบบแผนการทดลองแบบกลุ่มเดียวสอบก่อนและสอบหลัง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย (M) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) และสถิติการทดสอบทีแบบกลุ่มตัวอย่างที่ไม่เป็นอิสระต่อกัน ผลการวิจัยพบว่า<br />1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลักการใช้ภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หลังการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับการใช้ผังกราฟิกสูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05<br />2. ความคิดเห็นของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับการใช้ผังกราฟิกในภาพรวมอยู่ในระดับเห็นด้วยมาก</p> 2025-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/275304 ปัจจัยการตลาดที่มีผลต่อการซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวชนิดซอง ในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทย 2024-03-04T11:08:12+07:00 ทัศนีย์ ฟักหอม 63611019@kmitl.ac.th กุลกัญญา ณ ป้อมเพ็ชร์ 63611019@kmitl.ac.th <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยการตลาดที่มีผลต่อการซื้อและพฤติกรรมการซื้อผลิตภัณฑ์ และ 2) เพื่อเปรียบเทียบปัจจัยการตลาดที่มีผลต่อการซื้อผลิตภัณฑ์ จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และจำแนกตามพฤติกรรมการซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวชนิดซอง รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณใช้แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับส่วนประสมทางการตลาดและแนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อเป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัย โดยทำการสุ่มทั้งหมด 8 จังหวัดที่มีจำนวนประชากรมากที่สุด ได้แก่ จังหวัดนครศรีธรรมราช, สุราษฎร์ธานี, ตรัง, ชุมพร, กระบี่, ภูเก็ต, พังงา และระนอง โดยการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ผู้บริโภคที่มีประสบการณ์ในการซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวชนิดซองในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทย ในการตอบแบบสอบถาม จำนวนทั้งสิ้น 400 ชุด เฉลี่ยจังหวัดละ 50 ชุด เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 1 ชนิด คือ แบบสอบถามเรื่องปัจจัยการตลาดที่มีผลต่อการซื้อและพฤติกรรมการซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวชนิดซองในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิตค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติการวิเคราะห์เชิงอนุมาน การทดสอบ (Independent t-test) การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One Way ANOVA) และการเปรียบเทียบรายคู่ โดยวิธี Least-Significant Different (LSD)<br />ผลการวิจัยพบว่า 1. ผู้บริโภคในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทยส่วนใหญ่มีเหตุผลในการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวชนิดซอง คือ เลือกเพราะคุณภาพและคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ รองลงมา คือ เลือกเพราะตราผลิตภัณฑ์ มีโอกาสในการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวชนิดซอง คือ ใช้เป็นประจำทุกวัน เช้า-เย็น รองลงมา คือ ใช้เฉพาะบางโอกาส เช่น ใช้เมื่อเวลาเป็นสิว หรือแต้มเฉพาะจุด มีความถี่ในการซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวชนิดซอง คือ ซื้อสัปดาห์ต่อครั้ง มีปริมาณในการซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวชนิดซองในแต่ละครั้ง คือ 1 ซองต่อครั้ง มีค่าใช้จ่ายในการซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวชนิดซองในแต่ละครั้ง คือมากกว่า 200 บาทขึ้นไป และมีช่องทางในการซื้อผลิตภัณฑ์ คือ ร้านสะดวกซื้อ เช่น Watson, Boots 2. ผู้บริโภคในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุระหว่าง 21 - 30 ปี รองลงมามีอายุระหว่าง 31- 40 ปี ส่วนใหญ่มีสถานภาพโสด มีระดับการศึกษาอยู่ระดับปริญญาตรี รองลงมา คือ ระดับต่ำกว่าปริญญาตรี มีอาชีพเป็นพนักงานบริษัทเอกชน รองลงมา คือ มีอาชีพพนักงานรัฐและข้าราชการ และมีรายได้ระหว่าง 20,001 - 30,000 บาทต่อเดือน รองลงมา คือ มีรายได้น้อยกว่าหรือเท่ากับ 20,000 บาท<br />ข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้ ทำให้ได้รับทราบข้อมูลของการศึกษาเรื่องปัจจัยการตลาดที่มีผลต่อการซื้อและพฤติกรรมการซื้อผลิตภัณฑ์ ที่ได้แสดงถึงปัจจัยส่วนบุคคล, พฤติกรรมการซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวชนิดซอง และปัจจัยการตลาดที่มีผลต่อการซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวชนิดซอง เพื่อใช้เป็นข้อมูลและแนวทางในการศึกษาอิทธิพลของส่วนประสมทางการตลาดในอนาคตที่มีผลต่อการซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวชนิดซองในพื้นที่ภูมิภาคอื่น ๆ เช่น ภาคเหนือ, ภาคกลาง หรือภาคอีสาน เพื่อให้ทราบความคิดเห็นที่แตกต่าง และหลากหลายเพิ่มมากขึ้น เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาใช้เป็นแนวทางในการปรับเปลี่ยนสิ่งต่าง ๆ ให้เข้ากับผู้บริโภคในอนาคต</p> 2025-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/281929 การพัฒนารูปแบบการจัดแสงด้วยแอลอีดีแบบแถบ เพื่อส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย 2024-09-25T14:12:48+07:00 ชยภัทร ประไพพรเลิศ sirathan@nmu.ac.th ศิรธันย์ ชัยธรธนาวัฒน์ sirathan@nmu.ac.th วรรณอาภา จารุประพาฬ sirathan@nmu.ac.th <p>เด็กปฐมวัยเป็นช่วงสำคัญของการพัฒนาทั้งทางร่างกายและสมอง ซึ่งมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วในด้านการรับรู้และการปรับตัว การส่งเสริมพัฒนาการในช่วงนี้จึงมีความสำคัญในการสร้างรากฐานที่ดีให้กับเด็ก ทั้งในด้าน IQ, EQ และการเรียนรู้ นอกจากนี้ การใช้วิธีการที่เหมาะสมกับพัฒนาการ เช่น การจัดแสงที่เหมาะสม สามารถส่งเสริมพัฒนาการได้ เช่น การกำกับตนเอง การนอนหลับ และการเจริญอาหาร ซึ่งแสงสีมีผลกระทบเชิงบวกต่อพฤติกรรมและการเรียนรู้ของเด็ก ในการวิจัยครั้งนี้เป็นการใช้รูปแบบการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) โดยมีผู้ให้ข้อมูลประกอบไปด้วยครูผู้ดูแลเด็กในศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนรวม 17 คน เด็กนักเรียนชั้นอนุบาล 2 กลุ่มตัวอย่าง 23 คน และเด็กนักเรียนชั้นอนุบาล 2 กลุ่มทดลอง จำนวน 19 คน โดยใช้การเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยนี้ คือ แบบสอบถามและแบบบันทึกการสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยวิธีการหาความถี่ (Frequency) หาร้อยละ (Percentage) หาค่าเฉลี่ย (Mean) หาส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และวิเคราะห์เนื้อหา (Content analysis) ผลการวิจัยพบว่า1)การส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยด้านการกำกับตนเอง ด้านการเจริญอาหาร และด้านการนอนหลับด้วยการเก็บข้อมูลเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาล 2 ก่อนการใช้ห้องที่มีการการจัดแสงด้วย LED แบบแถบใน 3 ด้าน คือ ด้านการกำกับตนเอง ด้านการเจริญอาหาร และด้านการนอนหลับด้วย จำนวน 23 คน โดยภาพรวมอยู่ในระดับน้อย (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />= 1.65)2) การส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยด้านการกำกับตนเอง ด้านการเจริญอาหาร และด้านการนอนหลับด้วยการเก็บข้อมูลเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาล 2 หลังการใช้ห้องที่มีการการจัดแสงด้วย LED แบบแถบใน 3 ด้าน คือ ด้านการกำกับตนเอง (แสงสีเขียว) ด้านการเจริญอาหาร (แสงสีแดง) และด้านการนอนหลับ (แสงสีฟ้า) จำนวน 19 คน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />= 4.72)</p> 2025-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/278184 อุปกรณ์ตรวจเช็ควงจรสายไฟฟ้าภายในอาคารโดยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ 2024-06-04T19:08:56+07:00 มนตรี สุขชุม Jem.thitipong1234@gmail.com ปวิตรี อัตบุตร Jem.thitipong1234@gmail.com ธิติพงษ์ แก้วเขียว jem.thitipong1234@gmail.com ทศพล กำจรพิสิฐ Jem.thitipong1234@gmail.com วัฒนา โฉมเอม Jem.thitipong1234@gmail.com <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาและคิดค้นที่จะออกแบบและสร้างอุปกรณ์ตรวจเช็ควงจรสายไฟฟ้าภายในอาคาร ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้ในงานตรวจเช็คคู่สายของวงจรไฟฟ้าก่อนเข้าตู้ควบคุมหรือก่อนเข้าสายอุปกรณ์ต่าง ๆ รูปแบบของการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงทดลอง โดยใช้วิธีการทดลองจะทดลองวงจรของคู่สายด้วยสาย IEC 01 ขนาดสาย 2.5 ตารางมิลลิเมตร ระยะความยาวสายที่แตกต่างกันออกไปคือ 100 เมตร 75 เมตร และ 50 เมตร ซึ่งวงจรที่ใช้ในการทดลองจะใช้การเรียงคู่สายของวงจรและการสุ่มคู่สายของวงจรในการทดลอง ผลการวิจัยพบว่า <br />1. อุปกรณ์ตรวจเช็ควงจรสายไฟฟ้าภายในอาคาร ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สามารถตรวจวัดสายไฟฟ้าขนาดไม่เกิน 4 ตารางมิลลิเมตรได้และสามารถทดสอบได้พร้อมกัน 6 คู่สาย<br />2. การแสดงผลการทดสอบวงจรของคู่สายจะแสดงผ่านหน้าจอ LCD โดยแสดงชื่อคู่สายของวงจรไฟฟ้าในรูปแบบ L(x) N(x) ประมวลผลและแสดงผลในระยะเวลาไม่เกิน 1 นาที ได้<br />ชุดทดสอบที่พัฒนาขึ้น เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อผู้ปฏิบัติงาน และประยุกต์ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เพื่ออำนวยความสะดวก ลดเวลาในการปฏิบัติงานของผู้ปฏิบัติงานหรือผู้ทดสอบการเช็คคู่สายของวงจรไฟฟ้าภายในอาคารได้</p> 2025-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/279860 ศักยภาพการบริหารจัดการด้วยหลัก 6MS กลุ่มวิสาหกิจชุมชนฮับแม่วิน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ 2024-07-16T09:32:43+07:00 จารุณี ศรีบุรี pheungjaru@gmail.com ยุทธการ ไวยอาภา pheungjaru@gmail.com กีรติ ตระการศิริวานิช pheungjaru@gmail.com วุฒิพงษ์ ฉั่วตระกูล pheungjaru@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาศักยภาพการบริหารจัดการกลุ่มวิสาหกิจชุมชนฮับแม่วิน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ และศึกษาแนวทางการบริหารจัดการกลุ่มวิสาหกิจชุมชนด้วยหลัก 6MS<br />สู่มาตรฐานรีสอร์ท ชุมชน เป็นการวิจัยแบบผสมผสานวิธี ได้เก็บข้อมูลกลุ่มประชากรตัวอย่างจาก ผู้นำชุมชนชน และสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจฮับแม่วิน รวมทั้งสิ้นจำนวน 113 คนจากรายชื่อสมาชิกชุมชน แบ่งเป็น <br />5 กลุ่ม คือ 1) กลุ่มทอผ้าและหัตถกรรม 2) กลุ่มที่พัก 3) กลุ่มจิตอาสาเพื่อชุมชน 4)กลุ่มนวดเพื่อสุขภาพ 5) กลุ่มผู้นำการท่องเที่ยว ในด้านการบริหารจัดการด้วยหลัก 6Ms โดยใช้แบบสอบถาม และการสนทนากลุ่ม เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) กลุ่มวิสาหกิจชุมชนฮับแม่วินมีศักยภาพการบริหารจัดการในด้านการบริหารจัดการงานองค์กรสูงสุด รองลงมาคือ ด้านบริหารจัดการด้านคน และด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ ด้านการบริหาร จัดการตลาด อยู่ในระดับปานกลาง 2) แนวทางการบริหารจัดการกลุ่มวิสาหกิจชุมชนสู่มาตรฐานรีสอร์ทชุมชน ตามหลักการบริหารจัดการด้วยหลัก 6Ms พบว่า ควรพัฒนาส่งเสริมในเรื่องการเต็มใจให้บริการของสมาชิกกลุ่มด้วยความสุภาพ มีการส่งเสริมสมาชิกในกลุ่มวิสาหกิจชุมชนฮับแม่วิน ให้ได้รับเงินตอบแทนจากการทำงานอย่างเป็นธรรม มีรูปแบบการให้บริการที่พักสื่อให้เห็นถึงวิถีการดำเนินชีวิตที่เรียบง่ายแบบสังคมชนบท วัฒนธรรมท้องถิ่นที่มีเอกลักษณะเฉพาะ ต้องมีการดำเนินงานอย่างมีความรับผิดชอบต่อนักท่องเที่ยว ควรมีการส่งเสริมด้านการใช้อุปกรณ์ให้เหมาะสมอาทิ เครื่องจักร อุปกรณ์ และเครื่องมือเครื่องใช้ที่ดีในการบริหารงานของวิสาหกิจชุมชน และควรมีการนำผล ความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวที่มาพัฒนาการตลาดต่อไป </p> 2025-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/277106 รูปแบบการบริหารแรงงานทางด้านการบัญชีของธุรกิจขนาดกลางขนาดย่อม ในกรุงเทพมหานคร 2024-05-26T18:13:03+07:00 รุ่งอรุณ กระแสร์สินธุ์ lek_rungarun@yahoo.co.th วิษณุ เพ็ชรไทย rungarun@tni.ac.th ใกล้รุ่ง กระแสร์สินธุ์ rungarun@tni.ac.th วุฒิคุณ วรคุปต์รัตนากุล rungarun@tni.ac.th <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความรู้ที่ได้จากลูกค้า ด้านคุณสมบัติ ด้านความสามารถและด้านนวัตกรรมของแรงงานด้านบัญชีประเภทธุรกิจขนาดกลางขนาดย่อม และศึกษาความรู้ที่ได้จากลูกค้าต่อด้านคุณสมบัติ ความสามารถ และด้านนวัตกรรมของแรงงานด้านบัญชีประเภทธุรกิจขนาดกลางขนาดย่อม เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ มีแบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางขนาดย่อมในกรุงเทพมหานคร จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 คน ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย ทดสอบสมมติฐานด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าร้อยละ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และตัวแบบสมการโครงสร้าง <br />ผลการศึกษา พบว่า ความรู้ที่ได้จากลูกค้ามีอิทธิพลทางตรงต่อการประยุกต์ใช้ความรู้ให้เกิดประโยชน์ ด้านคุณสมบัติและความสามารถของแรงงานด้านบัญชีมีอิทธิพลทางตรงต่อการประยุกต์ใช้ความรู้ให้เกิดประโยชน์ ส่วนด้านนวัตกรรมมีอิทธิพลทางตรงต่อการประยุกต์ใช้ความรู้ให้เกิดประโยชน์ และการประยุกต์ใช้ความรู้ให้เกิดประโยชน์ มีอิทธิพลทางตรงต่อความสามารถด้านนวัตกรรมของแรงงานด้านบัญชี ส่วนผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า ความรู้ที่ได้จากลูกค้า ไม่มีอิทธิพลต่อการประยุกต์ใช้ความรู้ให้เกิดประโยชน์ โดยมีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทาง = .16 และ ค่า t-stat = 1.739 ด้านคุณสมบัติและความสามารถของแรงงานด้านบัญชีมีอิทธิพลต่อการประยุกต์ใช้ความรู้ให้เกิดประโยชน์ โดยมีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทาง = .60 และค่า t-stat = 3.489 นวัตกรรม มีอิทธิพลต่อการประยุกต์ใช้ความรู้ให้เกิดประโยชน์ โดยมีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทาง = .71 และ ค่า t-stat = 3.489 และการประยุกต์ใช้ความรู้ให้เกิดประโยชน์ มีอิทธิพลต่อความสามารถด้านนวัตกรรมของแรงงานด้านบัญชี โดยมีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทาง <br />= .68 และค่า t-stat = 7.939</p> 2025-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/278855 การพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ด้วยการจัด การเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยรูปแบบ STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหา DAPIC เรื่อง ความน่าจะเป็น สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 2024-06-19T13:09:08+07:00 กำธร คงอรุณ kamtonk57@gmail.com <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาแนวทางการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยรูปแบบ STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหา DAPIC ที่พัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง <br />ความน่าจะเป็น สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และ 2) เพื่อพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ด้วยจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยรูปแบบ STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหา DAPIC เรื่อง ความน่าจะเป็น สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 รูปแบบการวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพโดยมีกลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเทศบาล 3 (ชาญวิทยา) จังหวัดเพชรบูรณ์ จำนวน 20 ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม ใช้รูปการวิจัยเชิงปฏิบัติการจำนวน 3 วงจร เวลา 9 ชั่วโมง เครื่องมือที่ใช้ในการทำวิจัย คือ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบสะท้อนผลการจัดการเรียนรู้ ใบกิจกรรม และแบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหา ทำการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหาและตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้า<br />ผลการวิจัยพบว่า 1) แนวทางการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยรูปแบบ STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหา DAPIC ที่พัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ มีประเด็นที่ควรเน้น ได้แก่ การทบทวนความรู้เดิมเพื่อให้นักเรียนสามารถเชื่อมโยงความรู้เดิมไปสู่เนื้อหาใหม่ได้ การนำเสนอสถานการณ์ปัญหาควรเป็นสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตจริงของนักเรียน การแบ่งกลุ่มควรคละความสามารถหรือคละเพศของนักเรียน เพื่อให้นักเรียนสามารถทำงานร่วมกันได้ การเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และการเสริมแรงทางบวกเพื่อส่งเสริมเจตคติที่ดีต่อการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ 2) หลังการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยรูปแบบ STAD ร่วมกับกระบวนการแก้ปัญหา DAPIC ทำให้นักเรียนส่วนใหญ่มีความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์อยู่ในระดับดี จำนวน 18 คน คิดเป็นร้อยละ 90 </p> 2025-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/275397 การบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อสมรรถนะครูผู้สอน ในศตวรรษที่ 21 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษามุกดาหาร 2024-03-04T11:12:03+07:00 มีนารัตน์ วงศ์เสน่ห์ w.meenarad@pccm.ac.th สุมาลี ศรีพุทธรินทร์ w.meenarad@pccm.ac.th จารุวรรณ เขียวน้ำชุม w.meenarad@pccm.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาและเปรียบเทียบการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาและเปรียบเทียบสมรรถนะครูผู้สอนในศตวรรษที่ 21 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษากับสมรรถนะครูผู้สอนในศตวรรษที่ 21 และ 4) ศึกษาอำนาจพยากรณ์ของการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลสมรรถนะครูผู้สอนในศตวรรษที่ 21 กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 268 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้เกณฑ์ร้อยละ ได้มาโดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานโดยใช้ค่าทีแบบเป็นอิสระ วิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว วิเคราะห์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน <br />ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมาก ผลการเปรียบเทียบจำแนกตามสถานภาพและขนาดของสถานศึกษา พบว่า โดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2) สมรรถนะครูผู้สอนในศตวรรษที่ 21 โดยรวมอยู่ในระดับมาก ผลการเปรียบเทียบจำแนกตามสถานภาพ พบว่า โดยรวมไม่แตกต่างกัน ผลการเปรียบเทียบจำแนกตามขนาดของสถานศึกษา พบว่าโดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) การบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษากับสมรรถนะครูผู้สอนในศตวรรษที่ 21 มีความสัมพันธ์กันทางบวกในระดับสูงอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01 4) ตัวแปรการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาที่ร่วมส่งผลต่อสมรรถนะครูผู้สอนในศตวรรษที่ 21 โดยพยากรณ์ได้ร้อยละ 85 <br />ข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้ ได้สารสนเทศเพื่อเป็นแนวทางในการวางแผนเพื่อพัฒนาการบริหารงานวิชาการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้การพัฒนาสมรรถนะครูผู้สอนในศตวรรษที่ 21 ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น <br />5 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านการจัดการเรียนการสอนและพัฒนากระบวนการเรียนรู้ 2) ด้านการใช้สื่อเทคโนโลยีและการส่งเสริมแหล่งเรียนรู้ 3) ด้านการส่งเสริมความเข้มแข็งทางวิชาการประสานความร่วมมือภายในและภายนอก 4) ด้านการวัดผลประเมินผลและดำเนินการเทียบโอนผลการเรียน และ 5) ด้านการวางแผนงานวิชาการ</p> 2025-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/281993 รูปแบบการพัฒนากลยุทธ์เชิงบูรณาการการบริหารสถานศึกษา ตามแนวพุทธศาสตร์กับเทคโนโลยีสร้างสรรค์ สำหรับโรงเรียนระดับประถมศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2024-10-03T13:44:15+07:00 พรทิวา ชนะโยธา porntiwa.chu@gmail.com พระเมธีวัชราภรณ์ Porntiwa.cha@mbu.ac.th ธงชัย สมบูรณ์ Porntiwa.cha@mbu.ac.th <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการบริหารสถานศึกษาตามแนวพุทธศาสตร์กับเทคโนโลยีสร้างสรรค์ ของโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก 2) พัฒนารูปแบบกลยุทธ์เชิงบูรณาการการบริหารสถานศึกษาตามแนวพุทธศาสตร์กับเทคโนโลยีสร้างสรรค์ สำหรับโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก และ 3) ประเมินรับรองรูปแบบที่สร้างขึ้น รูปแบบการวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา กรอบการวิจัยใช้แนวคิด กลยุทธ์ การบริหารสถานศึกษา หลักทางพุทธศาสตร์ และเทคโนโลยีสร้างสรรค์ พื้นที่วิจัย คือ โรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหาร ครู จำนวน 400 คน ใช้วิธีการสุ่มแบบชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แบบสอบถามสภาพการบริหารสถานศึกษาตามแนวพุทธศาสตร์กับเทคโนโลยีสร้างสรรค์ 2) แบบสัมภาษณ์ แนวทางการพัฒนากลยุทธ์เชิงบูรณาการการบริหารสถานศึกษาตามแนวพุทธศาสตร์กับเทคโนโลยีสร้างสรรค์ 3) แบบประเมินรับรองรูปแบบ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา <br />ผลการวิจัยพบว่า 1. สถานศึกษามีความต้องการจำเป็นในการบริหารแบบพุทธศาสตร์และเทคโนโลยีสร้างสรรค์ในภาพรวมระดับสูง PNImodified 0.340 <br />2. ผลการพัฒนารูปแบบกลยุทธ์เชิงบูรณาการการบริหารสถานศึกษาตามแนวพุทธศาสตร์กับเทคโนโลยีสร้างสรรค์ มีกลยุทธ์หลัก จำนวน 11 กลยุทธ์ ได้แก่ ด้านการบริหารวิชาการ 3 กลยุทธ์ ด้านการบริหารงบประมาณ 3 กลยุทธ์ ด้านการบริหารบุคคล 3 กลยุทธ์ ด้านการบริหารทั่วไป 2 กลยุทธ์<br />3. ผลการประเมินรับรองรูปแบบกลยุทธ์ที่สร้างขึ้นในภาพรวมอยู่ในระดับมากทั้งด้านความเหมาะสม (4.45) และความเป็นไปได้ (4.31) <br />องค์ความรู้จากงานวิจัยนี้ ศึกษาธิการจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำผลการวิจัยไปใช้วางกลยุทธ์ เพื่อบริหารโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก ตามแนวพุทธศาสตร์ร่วมกับเทคโนโลยีสร้างสรรค์</p> 2025-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/278185 ชุดควบคุมแสงสว่างหลอด LED อัตโนมัติโดยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ 2024-06-21T07:39:39+07:00 ปวิตรี อัตบุตร Suriyong.ngamcharoen@gmail.com มนตรี สุขชุม Suriyong.ngamcharoen@gmail.com ณัฐพงษ์ ขันคำ Suriyong.ngamcharoen@gmail.com อนุวัฒน์ พลูสวัสดิ์ Suriyong.ngamcharoen@gmail.com สุริยงค์ งามเจริญ suriyong.ngamcharoen@gmail.com <p>งานวิจัยนี้เป็นการนำเสนอชุดควบคุมแสงสว่างหลอดแอลอีดีอัตโนมัติโดยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ โดยการจับความเข้มของแสงด้วยตัวต้านทานไวแสง (LDR : Light Dependent Resistor) จับความเข้มของแสงที่อยู่ภายนอกส่งผลค่า Lux ของแสงที่เข้ามาเพิ่มเติมให้ชุดควบคุมแสงสว่างหลอดแอลอีดีอัตโนมัติโดยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ โดยการปรับแรงดันไฟฟ้ากระแสตรงแปรผกผันตามความเข้มของแสงกำหนดค่าให้พอดีเหมาะสมต่อความต้องการ ให้มีความประสงค์เพื่อช่วยประหยัดพลังงานไฟฟ้าจากการทำงาน ปกติคือเปิดเมื่อต้องการใช้งาน ไม่สามารถควบคุมความสว่างได้ ไม่ว่าแสงสว่างจะน้อยหรือมากเพียงใดตัวหลอดไฟจะทำงานเต็มที่ตลอด ระบบแสงสว่างที่ถูกควบคุมโดยโปรแกรมแลปวิวเป็นหลอดแอลอีดี ที่ทำงานร่วมกับตัวควบคุมฟัซซีลอจิกการตรวจวัดความเข้มแสงใช้ตัวต้านทานปรับค่าตามแสงในการตรวจวัด กำหนดให้การตอบสนองของสัญญาณเอาต์พุตของระบบมีความเหมาะสมกับความต้องการ โดยเล็งเห็นหลอดแอลอีดี ซึ่งเป็นหลอดที่ใช้กันเป็นที่แพร่หลายในชีวิตประจำวันจึงคำนึงถึงการประหยัดพลังงานของหลอดแอลอีดี และทำยังไงให้หลอดแอลอีดีทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดและประหยัดพลังงานอีกด้วย</p> 2025-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/280028 ความสัมพันธ์ระหว่างการเรียนรู้ด้วยเกมและการส่งเสริมทักษะการคิด เชิงนวัตกรรมในการบริหารจัดการธุรกิจ 2024-07-26T15:32:58+07:00 กิตติยา แก้วสะเทือน kittiya_ka@rmutto.ac.th กฤษมันต์ วัฒนาณรงค์ kittiya_ka@rmutto.ac.th <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ด้วยเกมเพื่อส่งเสริมทักษะการคิดเชิงนวัตกรรมในการบริหารจัดการธุรกิจ 2) เพื่อศึกษาผลการใช้รูปแบบการเรียนรู้ด้วยเกมในการส่งเสริมทักษะการคิดเชิงนวัตกรรมในการบริหารจัดการธุรกิจ และ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของความรู้ในการออกแบบนวัตกรรมและทักษะการคิดเชิงนวัตกรรมหลังเรียนด้วยรูปแบบการเรียนรู้ด้วยเกม การวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยคือ นักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 4 สาขาวิชาการท่องเที่ยวและการโรงแรม จำนวน 38 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แบบประเมินทักษะการคิดเชิงนวัตกรรม และ 2) แบบทดสอบความรู้ในการออกแบบนวัตกรรม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติแบบไม่อิงพารามิเตอร์ โดยใช้สถิติ Wilcoxon Signed-Rank Test และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบสเปียร์แมน<br />ผลการวิจัยพบว่า 1) รูปแบบที่พัฒนาขึ้นมี 5 ขั้นตอน ได้แก่ 1) กำหนดเป้าหมายที่ท้าทาย 2) ระดมสมอง 3) สร้างสรรค์ผลงาน 4) นำเสนอผลงาน และ 5) ประเมินผล ผลการประเมินความเหมาะสมของรูปแบบการเรียนรู้ด้วยเกม ด้วยวิธี CVR เท่ากับ 1.00 แสดงว่ารูปแบบการเรียนรู้มีความเหมาะสม 2) ทักษะการคิดเชิงนวัตกรรมของผู้เรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างความรู้และทักษะการคิดเชิงนวัตกรรมของผู้เรียนไม่มีความสัมพันธ์กัน<br />องค์ความรู้จากงานวิจัยนี้พบว่ารูปแบบการเรียนรู้ด้วยเกมประกอบโดยการสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้แบบเกมมิฟิเคชัน การจัดกิจกรรมและประเมินผลการเรียนรู้ด้วยเกมเป็นฐาน สามารถส่งเสริมทักษะการคิดเชิงนวัตกรรม และผู้เรียนสามารถสร้างนวัตกรรมในการบริหารจัดการธุรกิจได้</p> 2025-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/277185 ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อ แผ่นเทอร์โมพลาสติกของนักกิจกรรมบำบัดในประเทศไทย 2024-04-23T10:59:00+07:00 สุรชาต ทองชุมสิน surachart.suk@mahidol.edu สุภัททา เฉื่อยฉ่ำ supatta.chu@mahidol.edu รมณีย์ โรจน์อัศวเสถียร rommanee.roj@mahidol.edu คมศักดิ์ สินสุรินทร์ komsak.sin@mahidol.edu <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สำรวจพฤติกรรมการซื้อแผ่นเทอร์โมพลาสติกของนักกิจกรรมบำบัดในประเทศไทย และ 2) สำรวจปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อการเลือกซื้อแผ่นเทอร์โมพลาสติกของนักกิจกรรมบำบัดในประเทศไทย รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยแบบการสำรวจ ผู้เข้าร่วมในการศึกษา ได้แก่ นักกิจกรรมบำบัดที่มีการสั่งซื้อแผ่นเทอร์โมพลาสติกในประเทศไทย จำนวน 63 คน โดยใช้แบบสอบถามอิเล็กทรอนิกส์เป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล จากนั้นวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา โดยการหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า<br />1. นักกิจกรรมบำบัดส่วนใหญ่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมการซื้อแผ่นเทอร์โมพลาสติก ดังนี้ต่อไปนี้ หน่วยงานมีงบประมาณในการสั่งซื้อมากกว่า 40,000 บาทต่อปี (ร้อยละ 28.57) มีจำนวนการสั่งซื้อแผ่นเทอร์โมพลาสติก จำนวน 1-5 แผ่นต่อปี (ร้อยละ 44.44) และราคาซื้อแผ่นเทอร์โมพลาสติกขนาดมาตรฐาน อยู่ที่ 4,500-5,000 บาทต่อแผ่น (ร้อยละ 26.98) อย่างไรก็ตาม นักกิจกรรมบำบัดคาดหวังให้แผ่นเทอร์โมพลาสติกมีราคาอยู่ในช่วง 3,000-3,500 บาทต่อแผ่น (ร้อยละ 22.22)<br />2. ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่มีผลต่อการเลือกซื้อแผ่นเทอร์โมพลาสติกในระดับมากที่สุดคือปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์ ได้แก่ หัวข้อการใช้งาน (ค่าเฉลี่ย 4.56) และหัวข้อคุณภาพของวัสดุ (ค่าเฉลี่ย 4.52)<br />การศึกษานี้สรุปได้ว่านักกิจกรรมบำบัดมีงบประมาณและจำนวนในการสั่งซื้อแผ่นเทอร์โมพลาสติกค่อนข้างน้อย นอกจากนี้ ปัจจุบันมีราคาการสั่งซื้อ/นำเข้าสูงกว่าราคาที่คาดหวังไว้ ซึ่งในการเลือกซื้อแผ่นเทอร์โมพลาสติก นักกิจกรรมบำบัดจะคำนึงถึงปัจจัยผลิตภัณฑ์เป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหัวข้อการนำไปใช้งานและคุณภาพของวัสดุ</p> 2025-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/278863 The Exploring of Chinese Traditional Landscape Painting into Ceramic Art 2024-06-19T13:01:27+07:00 Quanjin Gao gaoheng826@163.com Sone Simatrang gaoheng826@163.com Eakachat Joneurairatana gaoheng826@163.com <p>Traditional Chinese landscape painting makes the natural landscape as the main subject of painting. It is influenced by Taoism and advocates the beauty of nature. <br />Through an in-depth analysis of the case, the researcher summarises the meaning of the creation of landscape painting in terms of composition, colour, space, etc.; an in-depth analysis of the elements of birds, mountains, water, sky, fish, etc. in landscape painting summarises the metaphorical meaning and philosophical thinking of Taoism to prepare for the transformation of landscape painting into the creation of ceramic art.<br />The meaning of this research is to study the aesthetic characteristics of traditional Chinese landscape painting, understand its significance; study the form of contemporary ceramic art, explore its connection with landscape painting. The results of this research is transform 2D landscape painting into ceramic art works and through the ceramic art works reflect the beauty of nature.</p> 2025-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/275614 ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการบริหารงาน วิชาการในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษามุกดาหาร 2024-03-04T11:20:41+07:00 ดวงดาว มงคลสวัสดิ์ m.duangdao@pccm.ac.th สุมาลี ศรีพุทธรินทร์ m.duangdao@pccm.ac.th จารุวรรณ เขียวน้ำชุม m.duangdao@pccm.ac.th <div>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาและเปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ จำแนกตามสถานภาพและขนาดของสถานศึกษา (2) ศึกษาและเปรียบเทียบการบริหารงานวิชาการ จำแนกตามสถานภาพและขนาดของสถานศึกษา (3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์กับการบริหารงานวิชาการ และ(4) ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารถานศึกษาที่ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และครู จำนวน 268 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้เกณฑ์ร้อยละ ได้มาโดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานโดยใช้ค่าทีแบบเป็นอิสระ วิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว วิเคราะห์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</div> <div> ผลการวิจัยพบว่า (1) ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์โดยรวมอยู่ในระดับมาก ผลการเปรียบเทียบจำแนกตามสถานภาพ พบว่า โดยรวมไม่แตกต่างกัน ผลการเปรียบเทียบจำแนกตามขนาดของสถานศึกษา พบว่า โดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (2) การบริหารงานวิชาการโดยรวมอยู่ในระดับมาก ผลการเปรียบเทียบจำแนกตามสถานภาพพบว่า โดยรวมไม่แตกต่างกัน ผลการเปรียบเทียบจำแนกตามขนาดของสถานศึกษา พบว่าโดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (3) ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์กับการบริหารงานวิชาการมีความสัมพันธ์กันทางบวกในระดับค่อนข้างสูง (4) ตัวแปรภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ร่วมส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการ โดยร่วมกันพยากรณ์ได้ร้อยละ 70 </div> <div>ข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้ ได้สารสนเทศเพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ ของผู้บริหารสถานศึกษา และเป็นข้อมูลในการพัฒนาการบริหารงานวิชาการให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น</div> 2025-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/278261 การพัฒนาโปรแกรมการพัฒนาวิชาชีพครู ในการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ฐานสมรรถนะตามแนวสืบเสาะ 2024-06-21T07:40:23+07:00 พินิจนันท์ เนื่องจากอวน phinitnan4605@gmail.com กันตพัฒน์ กิตติอัชวาลย์ phinitnan.n@lawasri.tru.ac.th ทวีศักดิ์ ขวัญไตรรงค์ phinitnan.n@lawasri.tru.ac.th วันวิสาข์ ลิจ้วน phinitnan.n@lawasri.tru.ac.th อาทิตย์ เนื่องอุดม phinitnan.n@lawasri.tru.ac.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อพัฒนาความสามารถของครูวิทยาศาสตร์ประจำการในการจัดการเรียนรู้สมรรถนะทางวิทยาศาสตร์ตามแนวสืบเสาะ 2) เพื่อพัฒนาโปรแกรมการพัฒนาวิชาชีพครูเพื่อจัดการเรียนรู้สมรรถนะทางวิทยาศาสตร์ตามแนวสืบเสาะ รูปแบบการวิจัยเป็นแบบผสมผสานใช้แนวคิดในการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะเป็นกรอบการวิจัย กลุ่มที่ศึกษาคือครูผู้สอนวิทยาศาสตร์จำนวน 18 คน เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยได้แก่ 1) แบบประเมินกิจกรรมการเรียนรู้ 2) แบบบันทึกการสังเกตการสอน 3) แบบบันทึกภาคสนาม ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงบรรยายและการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัยมีดังนี้ 1) หลังการเข้าร่วมโปรแกรมการพัฒนาวิชาชีพครู พบว่าครูมีความสามารถในการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ฐานสมรรถนะตามแนวสืบเสาะ แต่มีข้อจำกัดในการจัดการเรียนรู้ตามแนวสืบเสาะที่มุ่งเน้นการส่งเสริมทักษะการคิดขั้นสูงให้แก่ผู้เรียน 2) แนวทางการพัฒนาโปรแกรมการพัฒนาครูในการจัดการเรียนรู้สมรรถนะทางวิทยาศาสตร์ตามแนวสืบเสาะ ประกอบไปด้วย (1) การพัฒนาวิชาชีพออนไลน์ (2) การโค้ชจากผู้เชี่ยวชาญ (3) การสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ (4) การเสริมสร้าง ความรู้ ทักษะ เจตคติและสมรรถนะ (5) การสะท้อนการปฏิบัติการสอน (6) การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์แบบสืบเสาะ (7) ใช้กลยุทธ์ที่หลากหลาย ข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้เป็นประโยชน์ให้กับสถาบันการผลิตและพัฒนาครูที่จะนำแนวทางดังกล่าวไปใช้พัฒนาครูวิทยาศาสตร์ต่อไปในอนาคต</p> 2025-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/277549 การพัฒนาทักษะความคิดสร้างสรรค์ในการวาดภาพ โดยการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดเชิงออกแบบ รายวิชาศิลปะสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนลาซาลกรุงเทพ 2024-06-04T19:25:13+07:00 ธนพนธ์ ครองสระน้อย sukanya_bo@rmutt.ac.th สุกัญญา บุญศรี sukanya_bo@rmutt.ac.th สมชาติ บุญศรี sukanya_bo@rmutt.ac.th <p>การพัฒนาทักษะความคิดสร้างสรรค์ในการวาดภาพด้วยการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดเชิงออกแบบเป็นกระบวนการศึกษาที่เน้นการส่งเสริมทักษะคิดวิเคราะห์และทักษะการแก้ปัญหา ส่งเสริมการทำงานร่วมกับผู้อื่น การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบทักษะความคิดสร้างสรรค์ในการวาดภาพหลังได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดเชิงออกแบบ ในรายวิชาศิลปะ ของนักเรียนกับเกณฑ์ร้อยละ 70<br />2) เปรียบเทียบทักษะความคิดสร้างสรรค์ในการวาดภาพของนักเรียนระหว่างกลุ่มที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดเชิงออกแบบ และกลุ่มที่ได้การจัดการเรียนรู้แบบปกติการวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลองกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่ได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม จำนวน 2 ห้องเรียน ห้องเรียนละ 30 คน โดยแบ่งเป็นห้องที่สอนแบบแนวคิดเชิงออกแบบ กับห้องที่สอนปกติ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดเชิงออกแบบในรายวิชาศิลปะ และ 2) แบบประเมินทักษะวาดภาพความคิดสร้างสรรค์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ และเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยด้วย t-test (one sample และ Independent) ผลการวิจัยเผยให้เห็นว่า<br />1. ผลการเปรียบเทียบทักษะความคิดสร้างสรรค์ในการวาดภาพหลังได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดเชิงออกแบบของนักเรียน สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05<br />2. ผลการเปรียบเทียบทักษะความคิดสร้างสรรค์ในการวาดภาพที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดเชิงออกแบบหลังเรียนสูงกว่ากลุ่มที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนแบบปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระดับ .05<br />องค์ความรู้ที่ได้จากงานวิจัยนี้ มุ่งศึกษาผลของการพัฒนาทักษะความคิดสร้างสรรค์ในการวาดภาพด้วยการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดเชิงออกแบบ พบว่านักเรียนมีทักษะความคิดสร้างสรรค์ในการวาดภาพสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แสดงว่าการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดเชิงออกแบบมีประสิทธิภาพในการพัฒนาทักษะความคิดสร้างสรรค์ในการวาดภาพ ส่งเสริมให้นักเรียนคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหา และทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดี</p> 2025-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/279042 รูปแบบการพัฒนาธุรกิจสื่อพอดแคสต์ในประเทศไทย 2024-07-04T20:58:12+07:00 อ้อมใจ บุษบง ormmylove@hotmail.com กุลทิพย์ ศาสตระรุจิ ormchai.b@rmutk.ac.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษารูปแบบการพัฒนาธุรกิจสื่อพอดแคสต์ในประเทศไทยเป็นรูปแบบการวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก โดยการเลือกกลุ่มตัวอย่างที่มีประสบการณ์จากผู้ผลิตสื่อที่ทำธุรกิจสื่อพอดแคสต์ในประเทศไทย จำนวน 5 คน <br />พบข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึกด้วยวิธีการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง จากผู้ผลิตสื่อที่ทำธุรกิจสื่อพอดแคสต์ในประเทศไทย จากงานวิจัยพบว่า ด้านรูปแบบการพัฒนาธุรกิจสื่อพอดแคสต์ในประเทศไทย ทางผู้ผลิตต้องแสดงอัตลักษณ์ของช่องให้มีความชัดเจน และต้องมีความสร้างสรรค์ของรายการอยู่เสมอ ร่วมถึงผู้ดำเนินรายการพอดแคสต์ก็มีส่วนสำคัญอย่างมากในการที่ผู้ฟังจะเลือกรับฟัง การใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเข้ามาร่วมนำเสนอรายการพอดแคสต์ในทุกช่องทาง มีส่วนสำคัญอย่างมาก อาทิ เฟซบุ๊กยูทูป และติ๊กต็อก รวมถึงช่องผลิตรายการพอดแคสต์ได้มีการผลิตวิดีโอพอดแคสต์ผ่านทางช่องยูทูป เพื่อเข้ามาเสริมรายการพอดแคสต์ เนื่องจากคนไทยชอบฟังทั้งเสียงและดูภาพประกอบ อีกทั้งมีการสร้างกิจกรรมพิเศษแบบออนไลน์ และการทำทอส์กโชว์ ก็นับเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างผู้ฟังกับช่องได้เป็นอย่างดี จึงเป็นแนวทางการพัฒนาธุรกิจสื่อพอดแคสต์ในประเทศไทยต่อไป งานวิจัยชิ้นนี้จึงเป็นประโยชน์ต่อผู้ผลิตรายการพอดแคสต์ที่ใดได้รู้แนวการพัฒนารูปแบบของสื่อพอดแคสต์ เพื่อสร้างสรรค์สื่อให้การทำงานสื่อพอดแคสต์มีความเข้มแข็งในอนาคต</p> 2025-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/275885 การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ชุมชนโดยใช้วิจัยเป็นฐานวิชาศึกษาอิสระทางพระพุทธศาสนาสำหรับนิสิตมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย 2024-03-11T10:14:11+07:00 พระเจริญพงษ์ วิชัย Jaroen1phong@gmail.com พระมหาประกาศิต ฐิติปสิทธิกร charoenphong.wi@mcu.ac.th <p>กระบวนการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถสร้างความรู้ได้ด้วยตนเองและส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิตมีความสำคัญต่อการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ การวิจัยนี้ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนากระบวนการเรียนรู้ชุมชนโดยใช้วิจัยเป็นฐานวิชาศึกษาอิสระทางพระพุทธศาสนา กลุ่มตัวอย่าง นิสิต จำนวน 16 รูป/คน กำหนดแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1) แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม 2) คู่มือกระบวนการเรียนรู้ชุมชนโดยใช้วิจัยเป็นฐาน 3) แบบประเมินประสิทธิผล วิเคราะห์ข้อมูลโดยการจำแนกกลุ่มข้อมูล ตีความและประมวลผลข้อมูลแล้วเขียนบรรยายเชิงพรรณนา <br />ผลการวิจัย พบว่า การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ชุมชนตามแนวคิด CCS มี 7 ขั้นตอน (1) จัดเวทีค้นหาปัญหา (2) ลงพื้นที่สำรวจปัญหา (3) จัดเวทีค้นหาแนวทางแก้ปัญหา (4) ขับเคลื่อนการแก้ปัญหา (5) ถอดบทเรียน (6) สังเคราะห์และคืนข้อมูลแก่ชุมชน (7) จัดทำรายงานการวิจัย บูรณาการกับการเรียนรู้โดยใช้วิจัยเป็นฐาน 2 แบบ (1) ผู้สอนใช้ผลวิจัยและกระบวนการวิจัยในการสอน (2) ผู้เรียนใช้ผลวิจัยและกระบวนการวิจัยในการเรียน ทดลองใช้กับนิสิตในการศึกษาอิสระเรื่องการพัฒนากิจกรรมวิถีพุทธเพื่อเสริมสร้างสุขภาวะจิตของผู้สูงอายุชุมชนวัดบางหลวง ผลการประเมินประสิทธิผลของกระบวนการเรียนรู้ชุมชนโดยใช้วิจัยเป็นฐานวิชาศึกษาอิสระทางพระพุทธศาสนา สามารถช่วยกระตุ้นผู้เรียนให้มีทักษะการสร้างความรู้ด้วยตนเอง นำองค์ความรู้ด้านพระพุทธศาสนาเชิงบูรณาการไปใช้ในการฝึกปฏิบัติแก้ไขปัญหาของชุมชน <br />องค์ความรู้จากการวิจัย คือ การสร้างเครื่องมือที่นำไปใช้ในกระบวนการเรียนรู้ชุมชนโดยใช้วิจัยเป็นฐาน คือ “ต้นไม้อริยสัจ” ต้นที่ 1 (ต้นปัญหา) เครื่องมือเก็บข้อมูลศึกษาปัญหา ค้นหาสาเหตุ และผลกระทบ ต้นที่ 2 (ต้นปัญญา) เครื่องมือระดมความคิดกำหนดเป้าหมาย แนวทาง วิธีการแก้ปัญหา ระบุผลกระทบ นำไปสู่ข้อตกลงร่วมกันดำเนินการแก้ไขปัญหาของชุมชน</p> 2025-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/282540 แท็กซี่สายยิ้ม: รูปแบบการเสริมสร้างจิตบริการของคนขับรถแท็กซี่ ในเขตกรุงเทพมหานคร 2024-10-21T15:43:50+07:00 กชกร มณฑลวรรณ kojchakorn.phd@gmail.com พระมหาบุญเลิศ อินฺทปญฺโญ piyavan@windowslive.com พระมหาประกาศิต สิริเมโธ piyavan@windowslive.com <p class="5175">การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อวิเคราะห์สภาพปัญหาการให้บริการของคนขับรถแท็กซี่ในเขตกรุงเทพมหานคร เพื่อพัฒนากิจกรรมการเสริมสร้างจิตบริการของคนขับรถแท็กซี่ในเขตกรุงเทพมหานคร และเพื่อเปลี่ยนแปลงรูปแบบการให้บริการของคนขับรถแท็กซี่ให้เป็น แท็กซี่สายยิ้มในเขตกรุงเทพมหานคร เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม โดยการใช้เครื่องมือจัดกิจกรรมเชิงปฏิบัติการประกอบด้วย AIC และ Workshop กับผู้เข้าร่วมจำนวน 10 คน ที่เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย นำเสนอผลโดยการใช้เทคนิคการเล่าเรื่อง <br />ผลการวิจัย พบว่า 1) สภาพปัญหาการให้บริการของคนขับรถแท็กซี่ พบว่า มีข้อเรียนจากผู้ใช้บริการรถแท็กซี่ 5 ประเด็นหลัก คือ การปฏิเสธผู้โดยสาร การแสดงกิริยาวาจาไม่สุภาพ การขับรถประมาทน่าหวาดเสียว การไม่ใช้มาตรค่าโดยสาร และการใช้มาตรค่าโดยสารผิดปกติ 2) การเสริมสร้างจิตบริการของคนขับรถแท็กซี่ ใช้กิจกรรมการอบรมเชิงปฏิบัติการ ประกอบด้วย การให้ความรู้เรื่องการเคารพกฎหมาย การให้บริการอย่างมืออาชีพ การควบคุมอารมณ์ตนเอง จากนั้นได้ปฏิบัติการโดยการออกให้บริการประชาชนเป็นระยะเวลา 10 วัน โดยการกำกับติดตามด้วยการวัดความพึงพอใจผ่านช่องทาง QR CODE จากผู้รับบริการรถแท็กซี่ 3) รูปแบบการให้บริการของ แท็กซี่สายยิ้ม มีการเปลี่ยนแปลงโดยพบว่า ข้อร้องเรียนต่อพฤติกรรมการให้บริการของรถแท็กซี่สายยิ้มลดลงร้อยละ 80 แท็กซี่สายยิ้มทุกท่านเกิดความภาคภูมิใจมองเห็นคุณค่าในอาชีพความเป็นผู้ขับขี่รถแท็กซี่มากยิ่งขึ้น ความพึงพอใจในการใช้บริการที่ผู้โดยสารประเมินในขณะรับบริการจากแท็กซี่สายยิ้มทั้ง 10 คน อยู่ในระดับพึงพอใจมาก โดยมีคะแนนเฉลี่ย 3.51 และเกิดเครือข่ายแท็กซี่สายยิ้มที่จัดกิจกรรมการจัดตั้งกลุ่มสนทนาทุกวันเสาร์ จัดตั้งกลุ่มไลน์กลุ่มคนขับรถแท็กซี่ เพื่ออัพเดทสถานการณ์เรื่องราวรถแท็กซี่ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน</p> 2025-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/278552 A preliminary study on the construction of leadership development model for university teachers 2024-06-14T16:40:27+07:00 Haiyan Liu 393667820@qq.com Suchada Bubpha 393667820@qq.com <p>Based on the theoretical research on teacher leadership, this paper adopts the qualitative research method of grounded theory and takes 10 outstanding teachers in universities as the research objects. Qualitative research data are obtained through interviews and text analysis. With the help of qualitative analysis software Nvivo12,the data are analyzed. The leadership development of university teachers is summarized into four dimensions: moral leadership, teaching leadership, scientific research leadership and team leadership, and the theoretical analysis framework model of the leadership development of university teachers is initially constructed. In order to further verify the rationality of the model and provide a measurement basis for the leadership development of college teachers, this study adopts quantitative research method, and takes 317 college teachers as subjects, and uses SPSS software for reliability analysis, validity analysis, correlation analysis and other methods to conduct large-sample empirical testing of the designed model. The four-dimensional model of college teachers' leadership development has been further verified.</p> 2025-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/281283 A Study of Educations Supplies, Research Supplies and Community Service Supplies Effect Quality of Education in University and Society Value 2024-09-05T09:56:14+07:00 Si Liu 191114164@qq.com Ampol Navavongthian n_ampol@yahoo.com Wang-Kun Chen n_ampol@yahoo.com <p>The mismatch between supply and demand among university graduates, schools and enterprises in China is prominent. This study suggests that we should think from the perspective of the supply chain and explore the overall process of education supplies, research supplies and community service supplies providing society value through the quality of education in university, and use the structural equation model to build the overall framework of the education supply chain, and use AMOS and SPSS to verify whether the structural equation is established.<br />The results show that education supplies, research supplies and community service supplies have a positive impact on the quality of education in university. The quality of education in university has a positive impact on society value. Education supplies, research supplies and community service supplies have a positive impact on society’s values. The quality of education in university has a mediating effect on education supplies, research supplies and community service supplies and society’s values. The article finally proposes prospects for deeper research on the education supply chain in the future.</p> 2025-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/277617 การวิเคราะห์สหสัมพันธ์แคนนอนิคอลระหว่างคุณภาพการจัดการเรียนรู้ กับประสิทธิภาพในการสอน และปัจจัยพยากรณ์ ความเป็นครูมืออาชีพของอาจารย์มหาวิทยาลัย 2024-06-04T19:24:48+07:00 ศิริพร เสริตานนท์ lasiriporn@gmail.com <p>“ความเป็นครู มิใช่คุณสมบัติสำหรับครูเท่านั้น หากแต่เป็นคุณสมบัติที่จะช่วยอำนวยประโยชน์เกื้อกูลมากแก่ทุกคนและกิจทุกอย่าง บัณฑิตทั้งหลายแต่ละคณะแต่ละคน ล้วนเป็นผู้มีพื้นฐานวิชาการแน่นแฟ้นดีอยู่แล้ว น่าจะศึกษาเรื่องความเป็นครูให้เห็นจริง และอบรมให้บังเกิดขึ้นพร้อมในตนเองบ้างเพื่อประโยชน์ส่วนรวมกับในชาติบ้านเมืองของเรา ...” (พระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 13 พฤศจิกายน 2559)<br />บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์ความสัมพันธ์แคนนอนิคอลระหว่างคุณภาพการจัดการเรียนรู้กับประสิทธิภาพในการสอนของอาจารย์มหาวิทยาลัย 2) ศึกษารูปแบบความสัมพันธ์ของคุณภาพการจัดการเรียนรู้ กับประสิทธิภาพการสอน และ 3) ศึกษาปัจจัยที่ร่วมกันพยากรณ์ความเป็นครูมืออาชีพของอาจารย์มหาวิทยาลัย เป็นงานวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แนวคิดและทฤษฏีที่เกี่ยวข้องกับครูมืออาชีพ คุณภาพการจัดการเรียนรู้ และ ประสิทธิภาพการสอนของครูอาจารย์เป็นกรอบการวิจัยกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้เรียนในมหาวิทยาลัยเอกชนจำนวน 386 คน มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบไม่อาศัยความน่าจะเป็น ในกลุ่มวิชาสังคมศาสตร์-มนุษยศาสตร์ และกลุ่มวิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นปีที่ 1-4 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามออนไลน์ 1 ชุด วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป ด้วยสถิติพื้นฐาน และสถิติอ้างอิง<br />ผลการวิจัยพบว่า <br />1. ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 1 ความสัมพันธ์แคนนอนิคอลระหว่างชุดคุณภาพการจัดการเรียนรู้ กับชุดประสิทธิภาพในการสอนของอาจารย์มหาวิทยาลัย มีค่าสหสัมพันธ์แคนนอนิคอลในระดับสูงมาก (0.922) และมีนัยสำคัญทางสถิติ<br />2. ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 2 ค่าน้ำหนักความสำคัญแคนนอนิคอล ระหว่างตัวแปรคุณภาพการจัดการเรียนรู้ กับประสิทธิภาพในการสอนของอาจารย์มหาวิทยาลัย อยู่ในระดับปานกลาง <br />(-0.401 ถึง - 0.507). <br />3. ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 3 ตัวแปรคุณภาพการจัดการเรียนรู้ กับ ประสิทธิภาพการสอน ร่วมกันพยากรณ์ความเป็นครูมืออาชีพของอาจารย์มหาวิทยาลัยได้ร้อยละ 79.2 ซึ่งอยู่ในระดับสูง<br />สรุปภาพรวมผลการวิจัยได้ว่า ความสัมพันธ์ของคุณภาพการจัดการเรียนรู้ กับประสิทธิภาพการสอน มีความสัมพันธ์กันสูงมาก ตัวแปรแคนนอนิคอลของประสิทธิภาพการสอนด้านความเป็นมืออาชีพของอาจารย์จะส่งผลอย่างมากต่อตัวแปรประสิทธิภาพการสอนในทิศทางเดียวกัน และคุณภาพการจัดการเรียนรู้กับ ประสิทธิภาพการสอน ร่วมกันพยากรณ์ความเป็นครูมืออาชีพของอาจารย์มหาวิทยาลัยได้ในระดับสูง </p> 2025-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/279349 จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และภาวะคุกคามของการพัฒนาภาวะผู้นำที่ไว้วางใจได้ของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษา 2024-07-04T21:12:01+07:00 สิทธิพงศ์ สมเดช sittipong.sd@hotmail.com พงษ์ลิขิต เพชรผล sittipong.sd@hotmail.com ธีรภัทร กุโลภาส sittipong.sd@hotmail.com <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และภาวะคุกคามของการพัฒนาภาวะผู้นำที่ไว้วางใจได้ของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษา ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมวิธีพหุระยะ มีกลุ่มตัวอย่าง คือ โรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้มาโดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน และผู้ให้ข้อมูลประกอบไปด้วย ผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการ และครู ทั้งสิ้น 1,185 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบสุ่มหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบประเมินจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส ภาวะคุกคามของการพัฒนาภาวะผู้นำที่ไว้วางใจได้ของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงบรรยายคำนวณค่าสถิติพื้นฐาน ได้แก่ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีความต้องการจำเป็น<br />ผลวิจัยพบว่า 1) จากการศึกษาสภาพภายใน (จุดแข็ง จุดอ่อน) พบว่า จุดแข็งมากที่สุดคือ การเรียนรู้รายบุคคลผ่านการเป็นที่ปรึกษาด้านสมรรถนะในการบริหารจัดการ รองลงมาคือ การเรียนรู้รายบุคคลผ่านการเป็นพี่เลี้ยงในด้านสมรรถนะในการบริหารจัดการ ส่วนจุดอ่อนสูงสุด คือการเรียนรู้แบบกลุ่มผ่านการอบรมแบบพักแรมในด้านสมรรถนะในการบริหารจัดการ และในการเรียนรู้แบบกลุ่มผ่านการอบรมแบบพักแรมด้านความพึ่งพาได้ในคำพูดและการกระทำที่สุจริตรองลงมา และ 2) จากการศึกษาสภาพภายนอก (โอกาส ภาวะคุกคาม) พบว่า ปัจจัยทางเทคโนโลยีเอื้อต่อการพัฒนาด้านสมรรถนะการบริหารจัดการผ่านการเป็นโค้ชมากที่สุด และปัจจัยทางเทคโนโลยีเอื้อต่อการพัฒนาด้านสมรรถนะการบริหารจัดการผ่านการเรียนรู้ผ่านระบบอนไลน์และสื่ออิเล็กทรอนิกส์รองลงมา ในทางตรงกันข้าม ปัจจัยทางเทคโนโลยีเป็นภาวะคุกคามต่อการเรียนรู้แบบกลุ่มผ่านแฟ้มสะสมงานในด้านความเห็นอกเห็นใจและด้านความพึ่งพาได้ในคำพูดและการกระทำที่สุจริต </p> 2025-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/279199 Study Room of University under the Background of Characteristic Culture: Research on Interior Space Environment Design 2025-03-22T16:22:11+07:00 Xiangyan Li 328941353@qq.com Supachai Joe Areerungruang supachai3833@Gmail.com <p>Ningxia, located in northwestern China, has a long history and is home to multiple ethnic groups, boasting a rich cultural heritage. With the development of modern education, effectively integrating and showcasing this multiculturalism in university study spaces, particularly at Northern Nationalities University, has become an important issue. The design of study rooms must not only meet functional requirements but also reflect and convey the cultural characteristics of the region.<br />This study employs literature reviews and field investigations to explore how to integrate the multicultural elements of Ningxia into the design of study rooms, ensuring that these designs meet modern educational needs while also showcasing the unique regional culture. The findings reveal that incorporating Ningxia's multicultural elements not only enriches the cultural atmosphere of the study rooms but also significantly enhances students' learning experiences and cultural identity. Furthermore, specific design techniques, such as optimizing spatial layouts and cleverly integrating cultural elements, can effectively promote communication and cooperation among students, enhancing the functionality and aesthetics of the learning environment.<br />The study’s implications suggest that culturally inclusive design strategies can serve as a model for other universities, contributing to regional cultural preservation, inclusive education, and sustainable campus development.</p> 2025-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/279148 การจัดการมหาวิทยาลัยสู่ความเป็นเลิศ ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ 2024-07-04T21:03:07+07:00 อมรรัตน์ เอกชาวนา amornratakechowna@gmail.com ฐิติมา โห้ลำยอง amorntat@rmutr.ac.th อธิธัช สิรวริศรา amorntat@rmutr.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อสังเคราะห์และกำหนดองค์ประกอบและตัวชี้วัดของการจัดการมหาวิทยาลัยสู่ความเป็นเลิศด้านการจัดการนวัตกรรมของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ 2) เพื่อสร้างรูปแบบการจัดการมหาวิทยาลัยสู่ความเป็นเลิศ 3) เพื่อตรวจสอบรูปแบบการจัดการมหาวิทยาลัยสู่ความเป็นเลิศ การวิจัยนี้ใช้ระเบียบการวิจัยแบบผสมผสาน โดยการศึกษาทบทวนวรรณกรรมและสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ 9 ท่าน ใช้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 285 คน โดยใช้เครื่องมือเป็นแบบสัมภาษณ์และแบบสอบถาม <br />ผลการวิจัยพบว่า 1) การวิเคราะห์องค์ประกอบและตัวชี้วัดของการจัดการมหาวิทยาลัยสู่ความเป็นเลิศได้ 16 องค์ประกอบ ได้แก่ 1)ภาวะผู้นำของผู้บริหาร 2)การปฏิบัติงานที่เป็นเลิศ 3)การบริหารทรัพยากรมนุษย์ 4)วัฒนธรรมองค์การ 5)การจัดการความรู้ 6)มุมมองในเชิงระบบ 7)การนำองค์กรอย่างมีวิสัยทัศน์ 8)ความเป็นเลิศที่มุ่งเน้นผู้เรียนและลูกค้ากลุ่มอื่น 9)การให้ความสำคัญกับคน 10)การเรียนรู้ระดับองค์กรและความคล่องตัว 11)การมุ่งเน้นความสำเร็จ 12)การจัดการเพื่อนวัตกรรม 13)การจัดการโดยใช้ข้อมูลจริง 14)การสร้างประโยชน์ให้สังคม 15)จริยธรรมและความโปร่งใส 16)การส่งมอบคุณค่าและผลลัพธ์ 2) รูปแบบการจัดการมหาวิทยาลัยสู่ความเป็นเลิศด้านการจัดการนวัตกรรมของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ ได้แก่ หลักการ องค์ประกอบของรูปแบบการจัดการมหาวิทยาลัยสู่ความเป็นเลิศ และกระบวนการจัดการมหาวิทยาลัยสู่ความเป็นเลิศ 3) การประเมินรูปแบบการจัดการมหาวิทยาลัยสู่ความเป็นเลิศมีความถูกต้อง ความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์ อยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2025-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/275910 The Effect of Business Model Innovation on Enterprise Performance: Application of Non-Monetary Indicators in SMEs 2024-03-28T15:22:42+07:00 Yu Zhao davidguo2024@gmail.com Suprawin Nachangmai david.guohui@northcm.ac.th Guo Hui david.guohui@northcm.ac.th <p>Business model innovation (BMI) is crucial for long-term success in today's dynamic market characterized by rapid technical advancements and a complex network economy. This study examines the complex relationship between BMI and business performance, with a focus on non-monetary indicators. Expanding on prior studies, the study demonstrates that BMI's influence extends beyond simple value generation or proposal. The study presents the notion of value co-creation, which serves as a mediating mechanism connecting BMI dimensions to increased enterprise performance. This concept encompasses co-production and value-in-use. The study adopted a mixed-method approach that includes theoretical analysis and empirical data from Chinese SMEs. Four research variables were used, value co-creation as a mediator, enterprise performance as dependent variable, business model innovation as independent variable and the control factors. In data analysis, reliability and validity were tested using techniques such as CFA model fitness test, Cronbach’s alpha, and KMO and Bartlett's test. SEM technique was used to evaluate the hypothesis. The study’s findings shows that all BMI characteristics improve performance, both financially and non-financially. Value co-creation, particularly co-production and value-in-use, greatly improves the favorable relationship between BMI and performance, with company size serving as an important moderator. These findings contribute to resource-based theory's understanding of BMI's role in SME success and broaden value co-creation theory. The research presents a novel theoretical model that includes value co-creation as a mediator, providing a comprehensive framework for assessing BMI's impact on businesses.</p> <p>While giving useful insights, the study admits limits in literature depth and data collecting breadth, recommending more research for model improvement and practical applicability development.</p> 2025-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/274900 Exploring the Impact of Constructionism on Fostering Creative Thinking 2024-03-25T22:30:34+07:00 Puthyrom Tep puthyrom.tep@dsil.ac.th Surat Tanprasertkul puthyrom.tep@dsil.ac.th <p>In this article, constructionism, a learner-centered learning theory, is explored in terms of how it contributes to the development of creative thinking. It presents the way in which the creativity principles are associated with the active learning, problem-solving, personal relevance, collaboration, and tangible outcomes. It discusses theoretical foundations of constructionism as they relate to cognitive development and creativity: how constructionism enhances both interactive learning and cognitive growth. Plus, it provides practical approaches for instructional designers and educators to effectively integrate constructionism into the educational environment. These approaches included a project-based learning, autonomous learning, and interdisciplinary approaches. The article posits that the integration of constructionism and creativity can foster the development of creative thinking and problem-solving skills in learners. These skills are essential for individuals to cope with the complexities and opportunities of a continuously developing globalized world.</p> 2025-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jeir/article/view/282179 การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการบริหารการศึกษาสำหรับการปรับปรุง การเรียนรู้เฉพาะบุคคล สำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดร้อยเอ็ด 2024-10-21T15:11:56+07:00 สุภัทรศักดิ์ คำสามารถ Supattarasak@gmail.com สุริมาศ นาครอด Supattarasak@gmail.com จันทราภรณ์ สีสวย Supattarasak@gmail.com <p>บทความนี้สำรวจการนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในการบริหารการศึกษาเพื่อปรับปรุงการเรียนรู้เฉพาะบุคคลที่สำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดร้อยเอ็ด โดยการตรวจสอบศักยภาพของ (AI) ในการปรับประสบการณ์การเรียนรู้ให้ตรงกับความต้องการของนักเรียนแต่ละคน การเพิ่มประสิทธิภาพผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และการปรับปรุงกระบวนการบริหารงาน โดยการใช้เทคโนโลยีปัญญา ประดิษฐ์ (AI) การศึกษาในครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อแสดงให้เห็นว่าการนำวิธีการเรียนรู้เฉพาะบุคคลมาใช้สามารถปรับปรุงคุณภาพ และประสิทธิภาพของการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิผล การศึกษานี้สำรวจ การประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการบริหารการศึกษาเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้เฉพาะบุคคล ในสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดร้อยเอ็ด โดยเน้นศักยภาพของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการปรับประสบการณ์การเรียนรู้ให้เหมาะสมกับความต้องการเฉพาะบุคคลของนักเรียน จัดการความหลากหลายในห้องเรียน และเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารงานด้านการศึกษา การใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ช่วยผู้บริหารสามารถวิเคราะห์ข้อมูลของนักเรียนเพื่อสร้างแผนการเรียนเฉพาะบุคคล แก้ไขปัญหาที่พบ และปรับวิธีการสอนอย่างต่อเนื่องเพื่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ดีขึ้น<br />ปัญญาประดิษฐ์ AI ยังสนับสนุนการจัดการความหลากหลายของนักเรียนโดยการจัดกลุ่มตามความสามารถ ปรับหลักสูตรให้เหมาะสม และให้การสนับสนุนเชิงรุกตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารการศึกษาผ่านการลดงานที่ซ้ำซ้อน การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อการตัดสินใจ และการติดตามผลแบบเรียลไทม์ของนักเรียนและครูผ่านระบบ เช่น ระบบจัดการการเรียนรู้ (Learning Management Systems: LMS) ซึ่งช่วยให้กระบวนการจัดการด้านการศึกษาเป็นไปอย่างครอบคลุม ตอบสนอง และขับเคลื่อนด้วยข้อมูล การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าการบูรณาการปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ากับการบริหารการศึกษาสามารถแก้ไขปัญหา เช่น ข้อจำกัดด้านทรัพยากร ความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงการศึกษา ความต้องการที่หลากหลายของนักเรียน และผลการวิจัย ช่วยให้ผู้กำหนดนโยบาย และนักการศึกษามีแนวทางเชิงปฏิบัติในการพัฒนา และนำกลยุทธ์ที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไปใช้เพื่อปรับปรุงคุณภาพ และความเท่าเทียมในการศึกษาในบริบทที่มีความหลากหลาย</p> 2025-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย