วารสารพุทธจิตวิทยา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp <p><strong> วารสารพุทธจิตวิทยา</strong> มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการเผยแพร่บทความวิจัย บทความวิชาการ และ บทความปริทรรศน์ของนักวิจัย นักวิชาการ คณาจารย์ และนักศึกษา ด้วยหวังให้เป็นตลาดแห่งองค์ความรู้ที่สามารถค้นคว้า ถ่ายทอด และแลกเปลี่ยนความรู้ในด้านต่าง ๆ อย่างหลากหลาย วารสารมุ่งเน้นเปิดรับบทความทางด้านจิตวิทยา พระพุทธศาสนา พฤติกรรมศาสนา สังคมวิทยา การศึกษาเชิงประยุกต์และสหวิทยาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ โดยทุกบทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ได้ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ทั้งนี้เปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ วารสารมีค่าเผยแพร่บทความในวารสาร 6,000 บาท</p> ภาควิชาจิตวิทยา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย th-TH วารสารพุทธจิตวิทยา 2774-1095 การพัฒนาเครือข่ายและสร้างความเข้มแข็งของพระนักเผยแผ่พระพุทธศาสนาลุ่มแม่น้ำโขง https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/271570 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษากิจกรรม การมีส่วนร่วม แนวทางการพัฒนาเครือข่ายและ สร้างกลไกการพัฒนาเครือข่ายและสร้างความเข้มแข็งของพระสงฆ์พระนักเผยแผ่พระพุทธศาสนาลุ่มแม่น้ำโขง เป็นการวิจัยแบบผสมวิธี ทั้งวิจัยเชิงปริมาณและวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง ข้อมูลเชิงปริมาณนั้นทำการเก็บแบบสอบถาม เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์เชิงพรรณนา <br />ผลการวิจัยพบว่า <br />1. กิจกรรมและการมีส่วนร่วมในการพัฒนาเครือข่ายและสร้างความเข้มแข็งของพระนักเผยแผ่พระพุทธศาสนาลุ่มแม่น้ำโขง พบว่า ระดับความคิดเห็นของผู้ตอบสอบถามมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.67 อยู่ในระดับดี และมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.61 ต่อกิจกรรมและการมีส่วนร่วมในการพัฒนาเครือข่ายฯ อาทิเครือข่ายมีความเชื่อมโยงร่วมมือกัน มีการสนับสนุนและเปลี่ยนองค์ความรู้และมีสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน <br />2. แนวทางการพัฒนาเครือข่ายและสร้างความเข้มแข็งของพระนักเผยแผ่พระพุทธศาสนาลุ่มแม่น้ำโขง พบว่า มีการบริหารงานด้วยองค์ประกอบ 3 ประการ ได้แก่ 1) หลักพุทธธรรมที่ใช้ในการบริหารการพัฒนาเครือข่าย 2) แนวทางการจัดการเครือข่าย 3) องค์ประกอบการพัฒนาเครือข่าย ได้แก่ 1) การรับรู้ที่เหมือนกัน 2) มีมุมมองที่เหมือนกัน 3) มีวิสัยทัศน์ร่วมกัน 4) มีความสนใจหรือผลประโยชน์ร่วมกัน 5) การมีส่วนร่วมของสมาชิก 6) การเสริมสร้างซึ่งกันและกัน 7) การเกื้อหนุนพึ่งพากัน 8) มีปฏิสัมพันธ์ในเชิงแลกเปลี่ยน <br />3. การสร้างกลไกการพัฒนาเครือข่ายและสร้างความเข้มแข็งของพระนักเผยแผ่พระพุทธศาสนาลุ่มแม่น้ำโขง พบว่ามีกลไกดังนี้คือ 1) กลไกการสื่อสารรูปแบบออนไลน์ที่ทันสมัย 2) กลไกการประชุมแลกเปลี่ยนและทำกิจกรรรมร่วมกันของเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง 3) กลไกการพัฒนาศักยภาพพระสงฆ์นักเผยแผ่ลุ่มน้ำโขง และ 4) กลไกนวัตกรรมทางความคิดประเด็นการสื่อสารเผยแพร่รูปแบบใหม่ ๆ </p> อุเทน ลาพิงค์ พระมหาฉัตรชัย สุฉตฺตชโย (มูลสาร) พระอธิวัฒน์ รตนวณฺโณ (ธรรมวัฒน์ศิริ) Copyright (c) 2024 วารสารพุทธจิตวิทยา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-31 2024-03-31 9 1 15 25 การเปิดเผยเรื่องสำคัญในการตรวจสอบกับผลตอบแทนหุ้น https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/266574 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความความสัมพันธ์ของการเปิดเผยเรื่องสำคัญในการตรวจสอบในภาพรวมต่อผลตอบแทนหุ้นใน 3 ช่วงเหตุการณ์และความสัมพันธ์ของการเปิดเผยเรื่องสำคัญในการตรวจสอบรายประเด็น ต่อผลตอบแทนหุ้น ใน 3 ช่วงเหตุการณ์ ได้แก่ (1) ช่วงระยะเวลา 3 วัน (-1, +1), (2) ช่วงระยะเวลา 5 วัน (-1, +3), และ (3) ช่วงระยะเวลา 7 วัน (-1, +5) งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาเชิงประจักษ์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รวมทั้งสิ้น 256 บริษัท ข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือข้อมูลจากหน้ารายงานของผู้สอบบัญชีรับอนุญาตของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และราคาปิดของหุ้น ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 - ปี พ.ศ. 2560 วิเคราะห์โดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์การถดถอยสหสัมพันธ์ ผลการวิจัยพบว่า ไม่พบความสัมพันธ์ ของการเปิดเผยเรื่องสำคัญในการตรวจสอบในภาพรวมต่อผลตอบแทนหุ้น แต่พบความสัมพันธ์ในทิศทางลบอย่างมีนัยสำคัญของการเปิดเผยเรื่องสำคัญในการตรวจสอบใน 2 ประเด็น คือ ประเด็นการด้อยค่าของสินทรัพย์ต่อผลตอบแทนหุ้นในช่วงเหตุการณ์ 5 วัน (-1,+3) (P-value = 0.058) และ ช่วง 7 วัน (-1,+5) (P-value = 0.021) และประเด็นค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ 1 ช่วงเหตุการณ์ คือ ช่วง 3 วัน (-1,+1) (P-value = 0.080)</p> พรพิมล อิฐรัตน์ ญาณินท์ ตั้งภิญโญพุฒิคุณ ธีรพรรณ อึ๊งภาภรณ์ Copyright (c) 2024 วารสารพุทธจิตวิทยา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-31 2024-03-31 9 1 26 36 รูปแบบการจัดการศึกษาสำหรับผู้เรียนหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้น เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการเป็นผู้ประกอบการ ของวิทยาลัยเทคนิคบางแสน https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/271795 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพและแนวทางการจัดการศึกษาสำหรับผู้เรียนหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้น เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการเป็นผู้ประกอบการ ของวิทยาลัยเทคนิคบางแสน 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการศึกษาสำหรับผู้เรียนหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้น เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการเป็นผู้ประกอบการ ของวิทยาลัยเทคนิคบางแสน 3) เพื่อทดลองใช้รูปแบบการจัดการศึกษาสำหรับผู้เรียนหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้น เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการเป็นผู้ประกอบการ ของวิทยาลัยเทคนิคบางแสน 4) เพื่อประเมินผลการใช้รูปแบบการจัดการศึกษาสำหรับผู้เรียนหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้น เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการเป็นผู้ประกอบการ ของวิทยาลัยเทคนิคบางแสน การวิจัยนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา กำหนด 4 ตอน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครูผู้สอน จำนวน 36 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางเครจซี่และมอร์แกน และทำการสุ่มอย่างง่าย และครูฝึกสถานประกอบการ จำนวน 14 คน ผู้เรียนหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้น จำนวน 280 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ แบบรายงาน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา<br />ผลการวิจัยพบว่า <br />1) สภาพการจัดการศึกษาสำหรับผู้เรียนหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้น ภาพรวมค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง และแนวทางการจัดการศึกษาสำหรับผู้เรียนหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้น พบว่า มี 4 แนวทาง <br />2) รูปแบบที่สร้างขึ้นมี 4 องค์ประกอบ ได้แก่ 2.1) การพัฒนาสมรรถนะครูผู้สอน 2.2) กระบวนการเสริมสร้างสมรรถนะผู้เรียน 2.3) การพัฒนาหลักสูตรร่วมกับสถานประกอบการ 2.4) การติดตามและประเมินผลผู้เรียน <br />3) ผลการทดลองใช้รูปแบบ พบว่า 3.1) ความพึงพอใจของผู้ร่วมกิจกรรมทดลองใช้รูปแบบภาพรวมค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด ( <img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />= 4.64, S.D = 0.35) 3.2) ความรู้ ความเข้าใจของผู้ร่วมกิจกรรมทดลองใช้รูปแบบ ภาพรวมค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ( <img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />= 4.28, S.D = 0.47) <br />4) ผลการประเมินการใช้รูปแบบ พบว่า 4.1) ผลสัมฤทธิ์สมรรถนะผู้เรียนหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้น สรุปภาพรวมสมรรถนะ จำนวนผู้เรียนที่ผ่านการประเมิน คิดเป็นร้อยละ 95.95 4.2) ความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อรูปแบบ ภาพรวมค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด ( <img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />= 4.60, S.D = 0.40) </p> จุรี ทัพวงษ์ ปวริศา จรดล นภาภรณ์ ธัญญา Copyright (c) 2024 วารสารพุทธจิตวิทยา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-31 2024-03-31 9 1 37 50 A Study of the Effective English Teaching Strategies for the Multicultural Classroom at Mahachulalornkornrajavidyalaya University, Chiang Mai Campus https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/268100 <p>The objectives of the research aim 1) to study the effective English teaching strategies in using for the multicultural classroom, 2) to explore the Attitudes and Perceptions of different cultural students in the multicultural classroom at Mahachulalornkornrajavidyalaya University, Chiang Mai campus, and 3) to propose the guideline for the effective English teaching strategies in using for the multicultural classroom at Mahachulalornkornrajavidyalaya University, Chiang Mai campus<strong>.</strong> This research employed the mixed method, the Quantitative and the Qualitative research. For the quantitative, the sampling groups were forty-seven 4<sup>th</sup>-year B.A. students in the Faculty of Humanities of Mahachulalongkornrajavidyalaya University, Chiang Mai Campus, including monks, novices, and laypersons. The research instrument was a five-level scale questionnaire. The results of study the of effective English teaching strategies for multicultural classrooms, including the effective English teaching strategies, Attitudes, and Perceptions were high rates. In the qualitative research, in-depth interviews were conducted by interviewing the key informants by recording the sound and transcript into the passage. In addition, nine key informants who are the lecturers of the Faculty of Humanities were interviewed. The results of the in-depth interview indicated that effective English teaching strategies for multicultural classrooms must be included, supporting students in participation, teachers being the facilitators, and adjusting pedagogies along with students’ level. In the case of attitude, teachers in the multicultural classroom must be; loving-kindness<strong>, </strong>treat students equally, and be curious about students’ lifestyles. The terms of perceptions of teachers in the multicultural classroom were; realization of language (mother tongue), seeking of student’s history, and acknowledging educational background. Additionally, the appropriate guidelines for effective English teaching strategies for the multicultural classroom proposed that teachers must integrate any activities and exercises to form cultural acceptance, and learn from each other teachers must play the role of facilitator.</p> Phra Theeratphid Salawinphonphana Wisuttichai Chaiyasit Samran Khansamrong Copyright (c) 2024 วารสารพุทธจิตวิทยา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-31 2024-03-31 9 1 51 61 การศึกษาศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวเชิงศาสนาในเขตอำเภอเมือง จังหวัดพะเยา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/271985 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวเชิงศาสนาในเขตอำเภอเมือง จังหวัดพะเยา กลุ่มตัวอย่าง คือ ตัวแทนนักท่องเที่ยวชาวไทย จำนวน 400 คน ซึ่งได้กำหนดเป็นกลุ่มตัวอย่างโดยสุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณา</p> <p>ศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวเชิงศาสนาในเขตอำเภอเมือง จังหวัดพะเยา โดยรวมอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.53 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า นักท่องเที่ยวชาวไทยมีความความคิดเห็นด้านสภาพแวดล้อม มากที่สุด โดยมีความคิดเห็นในระดับมาก ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.75 รองลงมา คือ ด้านคุณค่าของแหล่งท่องเที่ยว โดยมีความคิดเห็นในระดับมาก ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.66 และที่น้อยที่สุด คือ ด้านการมีส่วนร่วมของชุมชน โดยมีความคิดเห็นในระดับมาก ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.42 และแหล่งท่องเที่ยวเชิงศาสนามีคุณค่าต่อคนในชุมชนท้องถิ่น เป็นสถานที่กราบไหว้สักการะบูชาที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจของคนในชุมชน อีกทั้งยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับคนในชุมชนท้องถิ่นอีกด้วย นอกจากนี้ การเข้าถึงและสิ่งอำนวยความสะดวกทางแหล่งท่องเที่ยวเชิงศาสนาจำเป็นต้องพัฒนาให้มีความพร้อมในการรองรับให้มากขึ้น รวมทั้งควรให้ความสำคัญด้านคุณค่าของแหล่งท่องเที่ยวที่มีความเก่าแก่ทางประวัติศาสตร์ของสถานที่ท่องเที่ยวให้เป็นที่รู้จัก ด้านการมีส่วนร่วมของชุมชน พบว่าคนในชุมชนเต็มใจต้อนรับนักท่องเที่ยว และคนในชุมชนมีรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น เช่น การขายสินค้า การให้บริการนักท่องเที่ยว นอกจากนี้แหล่งท่องเที่ยวเชิงศาสนาควรพัฒนาช่องทางการประชาสัมพันธ์ที่ทันสมัยและหลากหลายมากขึ้นด้วย โดยเฉพาะการใช้ช่องทางประชาสัมพันธ์ทางสังคม เช่น การส่งข่าวสารผ่าน Facebook หรือ Line เนื่องจากการปฏิบัติแบบนี้เป็นวิธีการสื่อสารที่รวดเร็ว ไปได้ไกลและประหยัดเงินมากกว่าช่องทางอื่น ๆ</p> พัจน์พิตตา ศรีสมพงษ์ Copyright (c) 2024 วารสารพุทธจิตวิทยา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-31 2024-03-31 9 1 62 77 การศึกษาการบาดเจ็บของนักกีฬาปันจักสีลัตที่ได้รับบาดเจ็บจากการแข่งขัน ในการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 45 “พลศึกษาเกมส์” https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/268522 <p>การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมาย เพื่อศึกษาการบาดเจ็บของนักกีฬาปันจักสีลัตที่ได้รับบาดเจ็บจากการแข่งขัน ในการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 45 ”พลศึกษาเกมส์” ประชากรที่ใช้ในงานวิจัย ได้แก่ นักกีฬาปันจักสีลัตที่เข้าร่วมการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 45 จำนวนทั้งสิ้น 100 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสังเกต และแบบสัมภาษณ์ การสุ่มกลุ่มตัวอย่างใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง เก็บรวบรวมข้อมูลการบาดเจ็บจากการแข่งขัน จำนวน 100 คน <br />และสังเกตการณ์แข่งขันของนักกีฬาปันจักสีลัต ที่ได้รับการบาดเจ็บจากการแข่งขันเพื่อเข้าสัมภาษณ์ ได้กลุ่มตัวอย่างที่บาดเจ็บจากการแข่งขัน จำนวน 30 คน การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ หาค่าร้อยละ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า การบาดเจ็บจากการแข่งขัน ได้แก่ (1) ตำแหน่งที่ได้รับบาดเจ็บมากที่สุด คือ ข้อเท้า และเท้า นิ้วเท้า พบการบาดเจ็บเท่ากัน คือ ร้อยละ 26.7 รองลงมา คือ ขาท่อนบน ร้อยละ 23.3 หัวเข่า<br />ร้อยละ 20.0 (2) ลักษณะของการบาดเจ็บที่พบมากในการแข่งขัน คือ กล้ามเนื้อฟกช้ำ ร้อยละ 66.7 เป็นการบาดเจ็บระดับมาก (3) การบาดเจ็บจากการแข่งขันที่เกิดจากสาเหตุภายนอกจากการปะทะกัน ร้อยละ 100.0 การบาดเจ็บจากสาเหตุภายใน ส่วนมากพบว่านักกีฬามีการบาดเจ็บในอดีต ร้อยละ 43.3 และ (4) การปฐมพยาบาลในช่วงการแข่งขัน ส่วนมากใช้วิธีการน้ำแข็งประคบ ร้อยละ 83.3 นวด ร้อยละ 50.0 นักกีฬาส่วนมากรับการรักษาจาก โค้ช ผู้ฝึกสอน ร้อยละ 80.0 </p> สุริยัณย์ หัวหิน อิสรีย์ ศุภเลิศจารุภัทร์ ทิพย์วดี กิจถาวร รพี แหละหลีหมีน ศรีวรรณ เสนพงษ์ สฤษเดช แซมมณี Copyright (c) 2024 วารสารพุทธจิตวิทยา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-31 2024-03-31 9 1 78 84 การพัฒนารูปแบบตลาดวัฒนธรรมท้องถิ่นผ่านกลไกรัฐและประชาสังคม เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนในชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์จังหวัดแม่ฮ่องสอน https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/269474 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสำรวจและสังเคราะห์รูปแบบตลาด 2) เพื่อศึกษาแนวทางในการจัดการตลาด 3) เพื่อถ่ายทอดและนำเสนอตลาดวัฒนธรรมท้องถิ่นผ่านกลไกรัฐและประชาสังคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนในชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์จังหวัดแม่ฮ่องสอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบสัมภาษณ์ การสนทนากลุ่ม ประชากรแก่นักท่องเที่ยว กลุ่มผู้ใช้บริการจำนวน 9 แห่ง ตัวแทนตลาด ผู้นำท้องถิ่น พระสงฆ์ ปราชญ์ชุมชน ตัวแทนสถานศึกษาในพื้นที่ ตัวแทนสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ลักษณะของตลาดมีทั้งแบบโรงเรือน กึ่งโรงเรือน และหาบเร่/แผงลอย ขนาดของตลาดขึ้นอยู่กับพื้นที่และจำนวนของประชากร เวลาทำการของตลาด พบว่ามีทั้งเปิดทุกวันและเปิดบางวันผสมกันไป จุดประสงค์การมาตลาดอันดับสูงที่สุด คือ ชื้อสินค้า จำนวน 540 คน คิดเป็นร้อยละ 100 ท่องเที่ยว จำนวน 441 คิดเป็นร้อยละ 81.67 และพบปะเพื่อนฝูง จำนวน 16 คน คิดเป็นร้อยละ 2.96 ตลาดที่ผู้ตอบแบบสำรวจเคยใช้บริการมากที่สุดเป็นตลาดแผงลอย/เปิดตามวัน มากที่สุด 540 คน คิดเป็นร้อยละ 98 การสังเคราะห์รูปแบบ พบว่า การบริหารจัดการ มีส่วนร่วมเชิงพหุภาคี การ<em>สนทนากลุ่มพบว่า </em>ต้องสะท้อนศักยภาพชุมชนของการจัดการตลาดภายในชุมชน ท้องถิ่น เข้าถึงหลักการท่องเที่ยว เพื่อชื่นชมกับเอกลักษณ์ ความงดงามทางวัฒนธรรมปัจจัยใดที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพิ่มขีดความสามารถในการท่องเที่ยว มาตรฐาน ปรับปรุงการเผยแพร่ ส่งเสริมการขายตลาดในโลกออนไลน์ แนวทางการพัฒนา พบว่า 1) แนวทางการส่งเสริมด้านชุมชนท้องถิ่น 2) การส่งเสริมด้านวัฒนธรรม 3) การสร้างศักยภาพของชุมชน 4) อัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ 5) การสร้างเครือข่ายตลาดเชิงการท่องเที่ยวเพื่อขับเคลื่อนตลาดกลุ่มชาติพันธุ์</p> พิมภัสสร เด็ดขาด เขมินทรา ตันธิกุล นพรัตน์ กันทะพิกุล Copyright (c) 2024 วารสารพุทธจิตวิทยา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-31 2024-03-31 9 1 85 98 ผลการสอนซินเนคติกส์ร่วมกับรูปแบบ EKKE เพื่อส่งเสริมทักษะการเขียนสร้างสรรค์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/275034 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการเขียนสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบการสอนซินเนคติกส์ร่วมกับรูปแบบ EKKE และ 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หลังได้รับการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบการสอนซินเนคติกส์ร่วมกับรูปแบบ EKKE รูปแบบการวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดสองครั้ง กลุ่มเป้าหมายคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านบ่อผุด จังหวัดสุราษฎร์ธานี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ภาษาไทยตามรูปแบบการสอนซินเนคติกส์ร่วมกับรูปแบบ EKKE จำนวน 5 แผน 2) แบบทดสอบอัตนัยวัดทักษะการเขียนสร้างสรรค์ และ 3) แบบวัดความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ภาษาไทยตามรูปแบบการสอนซินเนคติกส์ร่วมกับรูปแบบ EKKE สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วย ค่าเฉลี่ยและการทดสอบค่าทีของกลุ่มตัวอย่างสองกลุ่มที่ไม่เป็นอิสระจากกัน ผลการวิจัย พบว่า<br />1. ทักษะการเขียนสร้างสรรค์ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้พบว่านักเรียนมีค่าเฉลี่ยคะแนนทักษะการเขียนสร้างสรรค์ก่อนการจัดการเรียนรู้เท่ากับ 12.13 และมีค่าเฉลี่ยคะแนนทักษะการเขียนสร้างสรรค์หลังการจัดการเรียนรู้เท่ากับ 21.37 ซึ่งทักษะการเขียนสร้างสรรค์ของนักเรียนหลังจัดการเรียนรู้สูงกว่าก่อนจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01<br />2. ระดับความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้ภาษาไทยตามรูปแบบการสอนซินเนคติกส์ร่วมกับรูปแบบ EKKE พบว่า มีระดับความพึงพอใจในภาพรวมอยู่ที่ระดับมาก (𝑥̅=3.59) และความพึงพอใจที่มีค่าสูงที่สุด (𝑥̅=4.20) ได้แก่ นักเรียนมีความสุขกับการเรียน</p> สุมิตตา สุพิทักษ์ อลิสรา ชมชื่น เชิดชัย อุดมพันธ์ Copyright (c) 2024 วารสารพุทธจิตวิทยา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-31 2024-03-31 9 1 99 111 รูปแบบการบริหารสถานศึกษาสู่การเป็นโรงเรียนคุณภาพตามแนวคิดแบบ SMART School Model ของโรงเรียนเทศบาลท่าตูม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/271095 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพและปัญหาการบริหารสถานศึกษา 2) สร้างและพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษา 3) ทดลองใช้รูปแบบการบริหารสถานศึกษา และ4) ประเมินรับรองคุณภาพรูปแบบการบริหารสถานศึกษาสู่การเป็นโรงเรียนคุณภาพตามแนวคิดแบบ SMART School Model ของโรงเรียนเทศบาลท่าตูม กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ โรงเรียนเทศบาลท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ จำนวน 73 คน ประกอบด้วย ผู้อำนวยการ ครูและบุคลากรทางการศึกษาของโรงเรียนเทศบาลท่าตูม ซึ่งเลือกด้วยวิธีแบบเฉพาะเจาะจง ปีการศึกษา 2564 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า (1) ผลจากการการวิเคราะห์ความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพและปัญหาการบริหารสถานศึกษาจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 151 คน ประกอบด้วย ผู้อำนวยการ ครูและบุคลากรทางการศึกษา และผู้มีส่วนได้เสีย พบว่า มีระดับสภาพที่เป็นจริง โดยรวมทุกด้านอยู่ในระดับมาก (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=3.74) (2) ผลสร้างและพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษา ด้วยกระบวนการสนทนากลุ่ม จำนวน 9 คน นำไปสู่รูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่มีความสัมพันธ์ขององค์ประกอบการเป็นโรงเรียนคุณภาพ ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ จำนวน 20 ตัวบ่งชี้ ได้แก่ องค์ประกอบที่ 1 ความเป็นเลิศของผู้บริหาร องค์ประกอบที่ 2 ความเป็นเลิศของครู องค์ประกอบที่ 3 ความเป็นเลิศของนักเรียน และองค์ประกอบที่ 4 ความเป็นเลิศของสิ่งแวดล้อม และผลการประเมินความเหมาะสมของคู่มือการใช้รูปแบบ โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยระดับความเหมาะสม อยู่ในระดับมากที่สุด (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=4.70) (3) ผลทดลองการใช้รูปแบบ พบว่า ด้านการบริหารของโรงเรียนเทศบาลท่าตูม ในภารงาน 5 ด้าน มีค่าเฉลี่ยระดับความพึงพอใจสูงสุด อยู่ในระดับมากในทุก ๆ ด้าน และ (4) ผลการประเมินรับรองคุณภาพรูปแบบการบริหารสถานศึกษา ในด้านความถูกต้อง ความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และอรรถประโยชน์ มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=4.18)</p> พงษ์ศักดิ์ อินทร์สอน อดิศร ศิริ นภาภรณ์ ธัญญา Copyright (c) 2024 วารสารพุทธจิตวิทยา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-31 2024-03-31 9 1 112 128 การพัฒนาหลักสูตรภาษาอังกฤษคิดสร้างสรรค์ ตามแนวคิดการบูรณาการเนื้อหากับภาษา โดยใช้กระบวนการ STEAM4 Innovator โรงเรียนวิทยปัญญามัธยม กรุงเทพมหานคร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/271497 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการ 2) พัฒนาหลักสูตรภาษาอังกฤษคิดสร้างสรรค์ 3) ศึกษาผลการใช้หลักสูตรภาษาอังกฤษคิดสร้างสรรค์ และ 4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนในหลักสูตรภาษาอังกฤษคิดสร้างสรรค์ตามแนวคิดการบูรณาการเนื้อหากับภาษาโดยใช้กระบวนการ STEAM4 Innovator กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวิทยปัญญามัธยม กรุงเทพมหานคร จำนวน 30 คน ปีการศึกษา 2565 ซึ่งผู้วิจัยเลือกวิธีการสุ่มแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1) หลักสูตรภาษาอังกฤษคิดสร้างสรรค์ 2) แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3) แบบประเมินความคิดสร้างสรรค์ โดยมีการวัดประเมิน 4 ด้าน ประกอบด้วย (1) ด้านความคิดคล่องแคล่ว (2) ด้านความคิดยืดหยุ่น (3)ด้านความคิดริเริ่ม และ (4) ด้านความคิดละเอียดลออ และ 4) และแบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบที และหาประสิทธิภาพของหลักสูตร โดยใช้ E1/E2</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า (1) ผลจากการการวิเคราะห์สภาพปัญหาและความต้องการ พบว่า มีปัญหาโดยรวมอยู่ในระดับมาก (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=3.72) และและมีความต้องการพัฒนาโดยรวมอยู่ในระดับมาก (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=4.20) (2) ผลการพัฒนาหลักสูตร ประกอบด้วย สภาพปัญหาและความสำคัญจำเป็นของหลักสูตร หลักการของหลักสูตร จุดมุ่งหมาย ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ คำอธิบายรายวิชา โครงสร้างเนื้อหา เวลาเรียน โครงสร้างเนื้อหาและเวลา แนวการจัดกิจกรรม สื่อ อุปกรณ์/แหล่งเรียนรู้ การวัดและประเมินผลหน่วยการเรียน 6 หน่วย แผนการจัดการเรียน 6 แผน ใช้เวลาเรียน 36 คาบ ผลการประเมินความเหมาะสมของหลักสูตร โดยผู้เชี่ยวชาญ มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=4.51) หลักสูตรมีประสิทธิภาพเท่ากับ 79.08/78.67 และแผนการจัดการเรียนรู้ มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=3.74) (3) ผลการใช้หลักสูตร พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนตามหลักสูตรภาษาอังกฤษคิดสร้างสรรค์ที่พัฒนาขึ้นสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในระดับ .01 และความสามารถในการคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังได้รับวิธีการจัดการเรียนรู้อยู่ในระดับ ดีมาก (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=4.51) และ (4) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อหลักสูตรอยู่ในระดับมากที่สุด (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=4.55)</p> นุศรา สุโง๊ะ นภาภรณ์ ธัญญา สุภาพร แพรวพนิต ศิลปชัย บูรณพานิช อดิศร ศิริ Copyright (c) 2024 วารสารพุทธจิตวิทยา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-31 2024-03-31 9 1 129 142 พุทธจิตวิทยาตามแนวการสอนหลักสูตรครูสมาธิของสมเด็จพระญาณวชิโรดม (วิริยังค์ สิรินฺธโร) เพื่อสร้างเสริมสุขภาวะองค์รวม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/266252 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาวิเคราะห์คุณลักษณะและองค์ประกอบของความเป็นรูปแบบแนวคิดพุทธจิตวิทยา 2) เพื่อสังเคราะห์องค์ประกอบหรือปัจจัยเกี่ยวกับคำว่ารูปแบบพุทธจิตวิทยา และ 3) เพื่อนำเสนอรูปแบบพุทธจิตวิทยาตามแนวการสอนหลักสูตรครูสมาธิของสมเด็จพระญาณวชิโรดม (วิริยังค์ สิรินฺธโร) เพื่อสร้างเสริมสุขภาวะองค์รวม เป็นวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลจาก ผู้เชี่ยวชาญด้านสมาธิจำนวน 21 รูป/คน ใช้วิธีเลือกแบบเจาะจง ตามคุณสมบัติที่กำหนด และสุ่มตัวอย่างแบบสโนว์บอลล์ โดยใช้แบบสัมภาษณ์เชิงลึกเก็บรวบรวมข้อมูล เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ มีทั้งหมด 3 รูปแบบ ดังนี้ 1. แบบสัมภาษณ์ข้อมูลเชิงลึก 2. แบบคำถามสนทนากลุ่ม 3. แบบคำถามการประชุมผู้เชี่ยวชาญพิเศษ<br />ผลการวิจัยพบว่า <br />1. คุณลักษณะและองค์ประกอบที่โดดเด่นตามแนวการสอนหลักสูตรครูสมาธิของสมเด็จพระญาณวชิโรดม (วิริยังค์ สิรินฺธโร) 5 ประการที่สำคัญ คือ สุขภาวะองค์รวม 4 ด้าน, พลังจิตตานุภาพ, สัมมาสมาธิ, สมาธิไฮเทค, แนวการสอนหลักสูตรครูสมาธิของสมเด็จพระญาณวชิโรดม (วิริยังค์ สิรินฺธโร) <br />2. พบว่า สัทธรรม 3 เป็นแก่นของพระพุทธศาสนา ได้แก่ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธแนวการสอนหลักสูตรครูสมาธิสมเด็จสมเด็จพระญาณวชิโรดม (วิริยังค์ สิรินฺธโร) เป็น “พุทธปัญญา” ความเพียร 4 หรือ ปธาน 4 คือ หลักธรรมสัมมัปปธาน 4 ได้แก่ สังวรปธาน (เพียรป้องกัน) ปหานปธาน (เพียรแก้ไข) ภาวนาปธาน (เพียรพัฒนา) อนุรักขนาปธาน (เพียรรักษาให้ยั่งยืน) อุปาทกมนสิการ (การคิดแบบเร้ากุศล) กล่าวถึงอุปาทกมนสิการนั้นเป็นอาหารของสติสัมปชัญญะ การที่บุคคลจะกระทำดี พูดจาดีมีปิยวาจาได้นั้น ต้องเริ่มจากการที่คิดดีหรือการคิดที่เป็นบุญเป็นกุศลจิตที่ดีงามเป็นประการแรกและเป็นประการที่สำคัญ ตามแนวการสอนหลักสูตรครูสมาธิของสมเด็จพระญาณวชิโรดม (วิริยังค์ สิรินฺธโร) เหมาะสำหรับบุคคลทุกเพศทุกวัย ทั้งสมถะและวิปัสสนา ปฎิบัตจนเกิดนิพพิทาญาณ เกิดญาณทัสสนะเห็นตามความเป็นจริง หรือเรียกว่ามีธรรมะจักษุ ในความจริงทั้ง 4 ประการ คือปรมัตถธรรม จิต เจตสิก รูป นิพพาน<br />3. รูปแบบพุทธจิตวิทยาตามแนวการสอนหลักสูตรครูสมาธิของสมเด็จพระญาณวชิโรดม (วิริยังค์ สิรินฺธโร) เพื่อสร้างเสริมสุขภาวะองค์รวม ได้แก้ การสร้างปัญญา 3 อย่าง คือ สุตมยปัญญา (รู้ลึก) ปัญญาที่เกิดจากการฟังในคำสอน ในเนื้อหาหลักสูตรครูสมาธิ จินตามยปัญญา (รู้ปฏิบัติ) เป็นปัญญาที่เกิดจากการโยนิโสมนสิการ การคิดอย่างมีเหตุผล และภาวนามยปัญญา (รู้จริง) เป็นปัญญาจากการปฏิบัติสมถะและวิปัสสนา </p> ณญาน นลินขวัญ เมธาวี อุดมธรรมานุภาพ วิชชุดา ฐิติโชติรัตนา สิริวัฒน์ ศรีเครือดง Copyright (c) 2024 วารสารพุทธจิตวิทยา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-31 2024-03-31 9 1 143 153 การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมเพื่อส่งเสริมสมรรถนะครูผู้สอนรายวิชาวิทยาการคำนวณ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 2 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/270322 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับสมรรถนะของครูผู้สอนรายวิชาวิทยาคำนวณ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 2 2) เพื่อพัฒนาและรับรองหลักสูตรฝึกอบรมเพื่อส่งเสริมสมรรถนะครูผู้สอนรายวิชาวิทยาการคำนวณ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 2 3) เพื่อทดลองใช้หลักสูตรฝึกอบรมเพื่อส่งเสริมสมรรถนะครูผู้สอนรายวิชาวิทยาการคำนวณ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 2 และ 4) เพื่อประเมินและรับรองคุณภาพหลักสูตรฝึกอบรมเพื่อส่งเสริมสมรรถนะครูผู้สอนรายวิชาวิทยา การคำนวณ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 2 รูปแบบการวิจัยการพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมเพื่อส่งเสริมสมรรถนะครูผู้สอนรายวิชาวิทยาการคำนวณ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 2 กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูผู้สอนรายวิชาการคำนวณ โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่ประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 2 จำนวน 27 คน สุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Random sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แบบสอบถามสมรรถนะความรู้ของครูผู้สอนรายวิชาวิทยาคำนวณ 2) แบบประเมินความเหมาะสมของหลักสูตรฝึกอบรมฯ 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน(ก่อนเรียน/หลังเรียน) และ 4) แบบการประเมิน Joint Committee on Standards for Educational Evaluation สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสถิติ t-test (Dependent) ผลการวิจัย พบว่า 1) สมรรถนะการจัดการเรียนรู้ของครูผู้สอนรายวิชาวิทยาคำนวณ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 2 อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />) 4.10 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) 0.31 2) หลักสูตรฝึกอบรมเพื่อส่งเสริมสมรรถนะครูผู้สอนรายวิชาวิทยาการคำนวณ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 2 มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />) 4.55 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) 0.32 3) เมื่อเปรียบเทียบระหว่างคะแนนก่อนและหลังการฝึกอบรม พบว่า คะแนนสอบหลังการฝึกอบรมสูงกว่าก่อนฝึกอบรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 4) ความมีประโยชน์ ความเป็นไปได้ ความเหมาะสม<br />และความถูกต้องโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> จิรภา ศรีนวล Copyright (c) 2024 วารสารพุทธจิตวิทยา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-31 2024-03-31 9 1 154 162 การประยุกต์ใช้การจัดการเรียนรู้แบบ OK5R เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านภาษาไทย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/273752 <p>การอ่านเป็นทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาหาความรู้และพัฒนาคุณภาพชีวิต การอ่านที่มีประสิทธิภาพจะต้องอ่านแล้วจับใจความสำคัญได้ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือผู้เรียนเกือบทุกระดับการศึกษามักอ่านจับใจความยังไม่เป็นที่น่าพอใจเท่าที่ควร นักวิชาการทางภาษาจึงหาวิธีการเพื่อให้ผู้เรียนฝึกอ่านอย่างมีขั้นตอนและสัมฤทธิ์ผลในการเรียนรู้ วิธีหนึ่งที่น่าสนใจที่ช่วยให้การอ่านจับใจความสำคัญมีประสิทธิภาพคือ การจัดการเรียนรู้แบบ OK5R ของ Walter Pauk มี 7 ขั้นตอน ได้แก่ 1. การอ่านอย่างคร่าว ๆ (Overview) 2. หาแนวความคิดหลัก (Key Idea) 3. อ่านแต่ละอนุเฉท (Read-R1) 4. จดบันทึกใจความสำคัญของอนุเฉท (Record-R2) 5. พูดเพื่อระลึกสิ่งที่อ่าน (Recite-R3) 6. ทบทวน (Review-R4) และ 7. สะท้อนความคิด (Reflect-R5) หากผู้สอนมีความประสงค์ให้การจัดการเรียนรู้มีความน่าสนใจกว่าเดิม ควรมีการประยุกต์ขั้นตอนกิจกรรมการเรียนรู้โดยนำการจัดการเรียนรู้รูปแบบอื่นมาใช้สอนร่วมด้วย เช่น การจัดการเรียนรู้แบบการสร้างแรงบันดาลใจโดยใช้บุคคลต้นแบบ การจัดการเรียนรู้โดยใช้คำถาม การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคเพื่อนคู่คิด การจัดการเรียนรู้โดยใช้แผนผังความคิด การจัดการเรียนรู้แบบนำตนเอง เป็นต้น อันจะนำมาซึ่งการสร้างบรรยากาศในชั้นเรียนที่ท้าทาย มีประสิทธิภาพตรงตามเป้าหมาย และประสบความสำเร็จในการเรียนรู้มากขึ้น</p> อรรถวุฒิ มุขมา Copyright (c) 2024 วารสารพุทธจิตวิทยา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-03-31 2024-03-31 9 1 1 14