วารสารพุทธจิตวิทยา
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp
<p><strong> วารสารพุทธจิตวิทยา</strong> <strong>ISSN: 2774-1095 (Online)</strong> มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการเผยแพร่บทความวิจัย บทความวิชาการ และ บทความปริทรรศน์ของนักวิจัย นักวิชาการ คณาจารย์ และนักศึกษา ด้วยหวังให้เป็นตลาดแห่งองค์ความรู้ที่สามารถค้นคว้า ถ่ายทอด และแลกเปลี่ยนความรู้ในด้านต่าง ๆ อย่างหลากหลาย วารสารมุ่งเน้นเปิดรับบทความทางด้านจิตวิทยา พระพุทธศาสนา พฤติกรรมศาสนา สังคมวิทยา การศึกษาเชิงประยุกต์และสหวิทยาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ โดยทุกบทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ได้ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ในลักษณะปกปิดรายชื่อ (Double blind peer-reviewed) ทั้งนี้เปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ วารสารมีค่าเผยแพร่บทความในวารสาร 4,500 บาท</p>
ภาควิชาจิตวิทยา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
th-TH
วารสารพุทธจิตวิทยา
2774-1095
-
การจัดการศึกษาแบบมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายโดยใช้จังหวัดเป็นฐาน
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/278104
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทราบการจัดการศึกษาแบบมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายโดยใช้จังหวัดเป็นฐาน รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยอนาคตด้วยเทคนิค EDFR ผู้ให้ข้อมูลประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 21 คน แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1) กลุ่มผู้บริหารระดับนโนบาย จำนวน 7 คน 2) กลุ่มผู้บริหารระดับปฎิบัติการ จำนวน 7 คน และ 3) กลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิหรือนักวิชาการ จำนวน 7 คน ใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสัมภาษณ์ไม่มีโครงสร้าง และแบบสอบถาม สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล คือ มัธยฐาน ฐานนิยม และพิสัยระหว่างควอไทล์<br />ผลการวิจัยพบว่า การจัดการศึกษาแบบมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายโดยใช้จังหวัดเป็นฐาน จำแนกออกเป็น 7 ด้าน 71 ประเด็น ได้แก่ 1) ด้านกฎหมายและข้อบัญญัติโครงสร้างการจัดการศึกษา 2) ด้านปัจจัยสนับสนุนการจัดการศึกษา 3) ด้านการวางแผน 4) ด้านการบริหารงบประมาณ 5) ด้านการบริหารวิชาการ 6) ด้านการบริหารบุคคล 7) ด้านการวัดและประเมินผล โดยมีประเด็นสำคัญ คือ การบัญญัติหรือแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับโครงสร้างการบริหารจัดการศึกษาระดับจังหวัดโดยอาศัยการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ให้มีความเป็นเอกภาพและเป็นรูปธรรม กำหนดให้มีตำแหน่ง “การศึกษาจังหวัดหรือที่มีชื่อเรียกอย่างอื่น” เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้จัดการศึกษาระดับจังหวัดโดยการสรรหาจากทุกภาคส่วน ให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการอำนวยการจัดการศึกษาระดับจังหวัด ประกอบด้วยผู้ว่าราชการจังหวัด นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดและผู้บริหารหน่วยงานที่จัดการศึกษาระดับจังหวัด และให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการดำเนินการจัดการศึกษาระดับจังหวัดโดยมีตำแหน่ง “การศึกษาจังหวัดหรือที่มีชื่อเรียกอย่างอื่น” ทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการ ซึ่งผลดังกล่าวผู้วิจัยจะเผยแพร่ให้ผู้มีอำนาจหรือมีส่วนเกี่ยวข้องพิจารณานำไปใช้ประโยชน์ในการปรับปรุงพัฒนาการจัดการศึกษาแบบมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายโดยใช้จังหวัดเป็นฐาน ให้มีความเหมาะสม สามารถบริหารจัดการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพและส่งผลให้การศึกษาของประเทศมีคุณภาพดียิ่งขึ้นต่อไป</p>
วรรณดน สุขาทิพยพันธุ์
นุชนรา รัตนศิระประภา
Copyright (c) 2025 วารสารพุทธจิตวิทยา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
155
167
-
การประเมินกลุ่มอาการโรคซึมเศร้าในนิสิต: ความหมายและองค์ประกอบ
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/278143
<p>การวิจัยเชิงคุณภาพนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการให้ความหมายและองค์ประกอบของการประเมินกลุ่มอาการโรคซึมเศร้าในนิสิต ผู้ให้ข้อมูลที่สำคัญได้แก่ผู้ทรงคุณวุฒิที่ปฏิบัติงานที่ศูนย์ความเป็นเลิศทางจิตวิทยา <br />คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง จำนวน 9 ท่าน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งมีโครงสร้าง เก็บข้อมูลด้วยวิธีการใช้การสัมภาษณ์โดยนักวิจัยเพื่อสร้าง ข้อมูล โดยยังไม่มีข้อกำหนดในการเข้าถึงฉันทามติหรือตัดสินใจ การวิเคราะห์ข้อมูล ใช้การวิเคราะห์เนื้อหา โดยอาศัยหลักการตรวจสอบความถูกต้องด้วยเทคนิคการ วิเคราะห์สามเส้า โดยเน้นการตรวจสอบสามเส้าด้านทฤษฎีเป็นหลัก ผลการศึกษาพบว่า (1) กลุ่มอาการโรคซึมเศร้าในนิสิตหมายถึงภาวะซึมเศร้าที่มีมากกว่าอารมณ์เศร้า และเป็นพยาธิสภาพแบบหนึ่งที่พบได้ในหลาย ๆ โรคทางจิตเวช (2) องค์ประกอบของกลุ่มอาการโรคซึมเศร้าในนิสิต ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบคือ การเปลี่ยนแปลงในเรื่องความคิด การเรียนรู้ อารมณ์และพฤติกรรมของบุคคล (3) การประเมินกลุ่มอาการโรคซึมเศร้าในนิสิต ประกอบด้วยการประเมิน 7 ประเด็น คือ ประวัติปัจจัยทางชีวภาพหรือพันธุกรรม ความตึงเครียดในครอบครัว เหตุการณ์สะเทือนใจ ความสามารถในการปรับตัว ความเครียดเรื้อรัง อาการที่ผู้มารับบริการบอกเล่า และอาการแสดงที่ผู้ให้บริการตรวจสอบพบ จากข้อค้นพบดังกล่าวผู้วิจัยเสนอแนะว่า องค์ความรู้ที่ได้จากการวิจัยสามารถนำไปให้ความรู้ ความเข้าใจ และสร้างแบบประเมินกลุ่มอาการโรคซึมเศร้าเบื้องต้นสำหรับนิสิตได้</p>
กรรณิกา พันธ์ศรี
รังสรรค์ โฉมยา
ศุภชัย ตู้กลาง
วรวรรณ ฝอยพิกุล
Copyright (c) 2025 วารสารพุทธจิตวิทยา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
168
180
-
การออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน ตำบลหนองตูม อำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/278662
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการออกแบบผลิตภัณฑ์ชุมชน ตำบลหนองตูม อำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน ตำบลหนองตูม อำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ และ เพื่อสร้างรูปแบบการส่งเสริมคุณค่าและมูลค่าของผลิตภัณฑ์ชุมชน ตำบลหนองตูม อำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ โดยรูปแบบการวิจัย เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี ได้แก่ การวิจัยเชิงคุณภาพ และการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม โดยใช้แนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ แนวคิดการสร้างมูลค่าเพิ่มของผลิตภัณฑ์ และหลักการทางพระพุทธศาสนา พื้นที่วิจัย คือ ตำบลหนองตูม อำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ มีกลุ่มเป้าหมายและผู้ให้ข้อมูลสำคัญ คือ กลุ่มวิสาหกิจชุมชน สมาชิกกลุ่มทอผ้าย้อมสีธรรมชาติบ้านโนนเสลา หมู่ที่ 6 ตำบลหนองตูม อำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ ใช้วิธีคัดเลือกด้วยการสุ่มแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง และ การสนทนากลุ่มย่อย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหาแล้วเขียนบรรยายเชิงพรรณนา <br />ผลการวิจัยพบว่า<br />1. วิสาหกิจชุมชน กลุ่มทอผ้าย้อมสีธรรมชาติ บ้านโนนเสลา หมู่ที่ 6 ต.หนองตูม อ.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ ประกอบด้วยแม่บ้านวัยกลางคนและผู้สูงอายุ ถ่ายทอดองค์ความรู้การทอผ้าและออกแบบลายผ้าจากรุ่นสู่รุ่น อนุรักษ์ลายขิดแบบดั้งเดิม และสร้างสร้างลายขิดแบบใหม่ๆ พัฒนาผลิตภัณฑ์หลากหลายประเภท ตามความต้องการของลูกค้า และต้องการได้รับความรู้ด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์อย่างเป็นระบบ และด้านการตลาด รวมถึงความร่วมมือจากภาครัฐและเอกชน เพื่อส่งเสริมให้การทอผ้าลายขิดเป็นอาชีพที่ยั่งยืน<br />2. การพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน ผ่านกระบวนการระดมความคิดแบบมีส่วนร่วมของกลุ่มชุมชนและคณะผู้วิจัย ได้แนวคิด 3 แบบ ได้แก่ (1) การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่จากลายผ้าแบบดั้งเดิม เช่น ย่ามผ้าขิดลายขอเจ้าฟ้า เป็นต้น (2) การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่จากลายผ้าแบบใหม่ที่มีอยู่ ซึ่งเป็นจุดเด่น มีความเป็นอัตลักษณ์ของชุมชน เช่น ย่ามผ้าขิดลายแห่นาคโหด (3) พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่จากลายผ้าที่ออกแบบขึ้นใหม่ จากการวิจัยแบบมีส่วนร่วมนี้ สะท้อนอัตลักษณ์ชุมชน ได้แก่ ผ้าขิดลายพระธาตุหนองสามหมื่นสำหรับใส่กรอบรูป เป็นภาพแขวนผนังเป็นของที่ระลึก <br />3. รูปแบบการส่งเสริมคุณค่าและมูลค่าของผลิตภัณฑ์ชุมชนใช้แนวคิดที่เชื่อมโยงกับประเพณีและวัฒนธรรมของชุมชน เริ่มจากการตระหนักถึงความสำคัญขององค์ความรู้การทอผ้าขิด เพื่อสืบสานวัฒนธรรม ถ่ายทอดเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีเรื่องราวสะท้อนอัตลักษณ์ชุมชน สร้างกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อเพิ่มมูลค่า ด้วยการเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อออนไลน์ <br />องค์ความรู้จากงานวิจัยนี้ คือ กระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อส่งเสริมคุณค่าและมูลค่าผลิตภัณฑ์ AGPIAI 6 ขั้นตอน ได้แก่ (1) วิเคราะห์ตนเองและลูกค้า (Self and Customer Analysis) (2) มองหา เป้าหมาย ชัดเจน (Clear Goal Identification) (3) ภูมิใจ มุ่งเน้น แผนการ (Pride and Strategic Commitement) <br />(4) ทำงาน ซื่อสัตย์ มุ่งมั่น (Integrity And Determined Execution (5) ทุกขั้น ประเมิน ใส่ใจ (Continuous Evaluation and Attention To Detail) และ (6) ไตร่ตรอง แก้ไข พัฒนา (Reflection, Adjustment And Improvement) ซึ่งเป็นการบูรณาการหลักอิทธิบาท 4 วงจรเดมมิ่ง (PDCA) เพื่อส่งเสริมคุณค่าและมูลค่าของผลิตภัณฑ์</p>
สุภาพรรณ เพิ่มพูล
ณฐภัทร อ่ำพันธุ์
Copyright (c) 2025 วารสารพุทธจิตวิทยา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
181
197
-
การพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการน้ำเชิงพุทธบูรณาการบนฐานภูมิปัญญาท้องถิ่นผ่านกลไกการมีส่วนร่วมของชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/278814
<p>บทความวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสำรวจและสังเคราะห์องค์ความรู้ทางพระพุทธศาสนา <br />และภูมิปัญญาท้องถิ่นในการจัดการน้ำของชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการน้ำเชิงพุทธ 3) เพื่อขับเคลื่อนและถ่ายทอดรูปแบบการบริหารจัดการน้ำเชิงพุทธบูรณาการบนฐานภูมิปัญญาท้องถิ่นแบบมีส่วนร่วมของชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ กลุ่มประชากรได้แก่กลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิผู้ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ชุมชน 5 แห่ง จำนวน 75 รูป/คนเครื่องมือในงานวิจัยได้แก่ แบบสัมภาษณ์ และแบบสนทนากลุ่ม <br />ผลการวิจัยพบว่า พื้นที่ของชุมชนที่มีความหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์เกิดการสังเคราะห์องค์ความรู้โดยใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นการจัดการทรัพยากรน้ำตามหลักธรรมสังคหวัตถุ 4 หลักมัชฌิมาปฏิปทา หลักการเศรษฐกิจพอเพียงที่สอดคล้องกับการพัฒนารูปแบบในการการจัดหา การพัฒนาพื้นที่การเกษตร การใช้อุปโภคบริโภค การใช้เพื่อวัตถุประสงค์ต่าง ๆ รูปแบบการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียนำมาการออกแบบเครือข่ายให้สอดคล้องกับเป้าหมายการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ ประยุกต์ใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศในการจัดการน้ำ ร่วมทั้งสร้างรูปแบบการมีส่วนในการทำงานการประสานระหว่างชุมชมอย่างเป็นรูปธรรมผ่านการขับเคลื่อนและถ่ายทอดรูปแบบการเรียนรู้ภายในครอบครัว ชุมชนจากรุ่นสู่ รุ่นให้รู้จักเพียงพอในการบริโภคกับทรัพยากรธรรมชาติบนถ่ายทอดผ่านหลักธรรมโดยมีวัดเป็นศูนย์กลางซึ่งถือเป็นหัวใจพื้นฐานสำคัญของการเป็นวิถีพุทธแนวทางเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธตามวิถีของคนในท้องถิ่น</p>
พิมภัสสร เด็ดขาด
เขมินทรา ตันธิกุล
อุเทน ลาพิงค์
Copyright (c) 2025 วารสารพุทธจิตวิทยา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
198
209
-
การศึกษาความคุ้มค่าคุณค่าและเพิ่มพูนการท่องเที่ยวมิติใหม่พัฒนาศักยภาพ การท่องเที่ยววัฒนธรรมเชิงพุทธย้อนรอยประวัติศาสตร์ลุ่มน้ำเจ้าพระยา-ป่าสัก
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/279304
<p>วิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาสภาพบริบททั่วไป ปัญหาและอุปสรรคการท่องเที่ยววัฒนธรรมเชิงพุทธย้อนรอยประวัติศาสตร์ลุ่มน้ำเจ้าพระยา-ป่าสัก 2. เพื่อศึกษารูปแบบเครือข่ายเส้นทางการท่องเที่ยววัฒนธรรมเชิงพุทธย้อนรอยประวัติศาสตร์ลุ่มน้ำเจ้าพระยา-ป่าสัก 3. เพื่อนำเสนอรูปแบบการพัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยววัฒนธรรมเชิงพุทธย้อนรอยประวัติศาสตร์ลุ่มน้ำเจ้าพระยา-ป่าสัก ผู้วิจัยได้ทำการศึกษา กลุ่มตัวอย่างได้แก่นักท่องเที่ยวและผู้นำชุมชนในเขตพื้นที่ 6 จังหวัดภาคกลาง เครื่องมือในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ แบบรายการตรวจสอบ (check lists) ข้อมูลเชิงปริมาณ เป็นการสอบถามความคิดเห็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยววัดต่อการพัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยววัฒนธรรมเชิงพุทธทั้งหมด 1,150 คน กลุ่มตัวอย่าง 764 คน สัมภาษณ์แบบเจาะจงเจ้าอาวาสหรือผู้แทนเจ้าอาวาส 23 รูปและผู้นำชุมชนทั้งสิ้น 60 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติพรรณนาและสถิติอนุมาน วิเคราะห์เนื้อหาข้อมูลบรรยายเชิงพรรณนา <br />ผลการวิจัยพบว่า <br />1) การวิเคราะห์ความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพและปัญหานักท่องเที่ยวผู้เดินทางมาเที่ยววัดเป็นประชากรจำนวนทั้งหมด 1,150 คน จากกลุ่มตัวอย่าง 764 คน ประกอบด้วย นักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติ พบว่า ความคิดเห็นของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่มีต่อการพัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมพุทธย้อนรอยประวัติศาสตร์ โดยรวมทุกด้านอยู่ในระดับมากที่สุด (X=4.25) และผลจากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณาการสัมภาษณ์เจ้าอาวาส พบว่า ปัจจัยทั้ง 5 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านการพัฒนาและฟื้นฟูมรดก เป็นการเสนอแนะให้แก่หน่วยงานภาครัฐและท้องถิ่น 2) ด้านรูปแบบการท่องเที่ยววัดจัดให้มีงบประมาณและการประชาสัมพันธ์ให้ชุมชนและสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาและต่อยอดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวสมบูรณ์ 3) ด้านมาตรการอำนวยความสะดวก ให้วัดจัดที่จอดรถ ป้ายชี้ทางบอก เส้นทางมาวัดและอำนวยต่อการเข้าจอดแก่นักท่องเที่ยว 4) ด้านความร่วมมือกับท้องถิ่น มีความร่วมมือหลายภาคส่วนในจังหวัดและหน่วยงานอื่น 5) ด้านการบริหารจัดการการท่องเที่ยววัด วัดมีการบริหารจัดการ ให้มีการจัดกิจกรรมร่วมบุญที่เกี่ยวข้องทางพระพุทธศาสนาและประวัติศาสตร์เป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียง เป็นต้น<br />2. แหล่งเรียนรู้และแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่เหมาะสมเกิดคุณค่าและเป็นแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมมี 6 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) ประวัติศาสตร์แหล่งท่องเที่ยววัฒนธรรมไทยที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ 2) แหล่งวัฒนธรรมชุมชนเข้มแข็ง 3) ภูมิปัญญาและงานหัตถกรรมพื้นถิ่น 4) เชิดชูวีรกรรมนักรบผู้กล้าในอดีต 5) เอกลักษณ์และอัตลักษณ์ที่โดดเด่นของชุมชนมอญ 6) ศรัทธาและบูชาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ <br />3. รูปแบบการพัฒนาที่ได้สังเคราะห์เส้นทางท่องเที่ยวเป็น 6 เส้นทางหลักได้แก่ 1) เส้นทางย้อนรอยประวัติศาสตร์ราชธานีกรุงเก่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 2) เส้นทางเรียนรู้และท่องเที่ยววัฒนธรรมเชิงพุทธแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมที่เป็นวัด ภูมิปัญญาและงานหัตถกรรมพื้นถิ่น จังหวัดอ่างทอง 3) เส้นทางเรียนรู้และท่องเที่ยววัฒนธรรมเชิงพุทธอิงประวัติศาสตร์ธรรมสถานวีรชนคนกล้า จังหวัดสิงห์บุรี 4) เส้นทางเรียนรู้และท่องเที่ยววัฒนธรรมเชิงพุทธ ศิลปะและอาหารพื้นถิ่น วิถีชุมชนลุ่มน้ำเจ้าพระยาและวัดเก่าแก่คู่เมือง ขอพรหลวงปู่ศุข จังหวัดชัยนาท 5) เส้นทางเรียนรู้และท่องเที่ยววัฒนธรรมเชิงพุทธ โบราณสถาน โบราณวัตถุของคนยุคก่อนประวัติศาสตร์และในอดีตราชธานีวัดคู่วัง ชุมชนมอญที่มีความเป็นเอกลักษณ์โดดเด่น จังหวัดลพบุรี 6) เส้นทางเรียนรู้และท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมเชิงพุทธบูชาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ รอยพระพุทธบาทและเสริมสิริมงคลวัดพระพุทธฉาย วัดเขาแก้ววรวิหารและชุมชนไท-ยวนต้นตาล แหล่งท่องเที่ยววัฒนธรรมเข้มแข็งของชุมชนพึ่งพาตนเอง จังหวัดสระบุรี</p>
ศักดิ์ชัย โพธิ์สัย
วิเชียร ปริชาโน
วีรกานต์ กนกกมเลศ
นิลรัตน์ กลิ่นจันทร์
Copyright (c) 2025 วารสารพุทธจิตวิทยา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
210
223
-
ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการจัดเรียนการสอนออนไลน์ในสถานการณ์โควิด 19 (Covid-19) ของสถาบันอุดมศึกษา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/272659
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาพฤติกรรมและการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ 2) เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการจัดเรียนการสอนออนไลน์ และ 3) เพื่อเสนอแนะแนวทางการแก้ปัญหาพฤติกรรมการจัดเรียนการสอนออนไลน์ในสถานการณ์โควิด 19 (Covid-19) ของสถาบันอุดมศึกษา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ดำเนินการวิจัยแบบผสานวิธี ด้วยการใช้การวิจัยเชิงคุณภาพ และการวิจัยเชิงปริมาณ ประกอบด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก จำนวน 6 รูป/คน และการวิจัยเชิงปริมาณ ด้วยการวิจัยเชิงสำรวจจำนวน 351 รูป/คน โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปวิเคราะห์ข้อมูลทางสังคมศาสตร์ ซึ่งผู้วิจัยได้ผลการวิเคราะห์ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า <br />1. สภาพปัญหาพฤติกรรมและการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ พบว่า สภาพปัญหาพฤติกรรมและการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ในสถานการณ์โควิด 19 (Covid-19) ของสถาบันอุดมศึกษา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผลการศึกษาพบว่า ปัญหาการเรียนการสอนออนไลน์ มี 8 ด้าน คือ 1) ด้านผู้สอน การใช้เวลาในการเตรียมการสอนแบบออนไลน์เพิ่มขึ้น การสอนที่ไม่มีความหลากหลาย ขาดการมีปฏิบัติสัมพันธ์กับผู้เรียน ผู้สอนควบคุมห้องเรียนไม่ทั่วถึง รวมทั้งอุปกรณ์ในการเรียนที่ต้องเพิ่มขึ้น ขาดทักษะการใช้อุปกรณ์ และเป็นการเพิ่มภาระค่าใช้จ่าย 2) ด้านผู้เรียน ให้ความร่วมมือน้อยกว่าการเรียนในชั้นเรียน ทำให้เกิดช่องว่างในการเรียนรู้มากขึ้น ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนลดลง ขาดทักษะในการใช้อุปกรณ์เสริม และเป็นการเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อ จัดหา อุปกรณ์ ของผู้เรียนเพิ่มขึ้น 3) ด้านเนื้อหา เนื้อหาตามหลักสูตรนั้นไม่เอื้อต่อการจัดการเรียนแบบออไลน์ บางรายวิชามีเนื้อหาที่ต้องปฏิบัติ การออกแบบการเรียนการสอนได้ไม่เหมาะสมต่อการเรียนรู้ 4) ด้านสื่อการเรียนและแหล่งเรียนรู้ ขอบเขตกว้างเกินไป แหล่งข้อมูลในการเรียนรู้เข้าถึงยาก ขาดทักษะในการใช้เครื่องมือ 5) ด้านกระบวนการเรียนรู้ที่ไม่มีความหลากหลาย ทำให้ไม่เกิดแรงจูงใจในการเรียน ขาดทักษะการปฏิบัติ ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ของเนื้อหา 6) ด้านระบบการติดต่อสื่อสาร การจัดการเรียนการสอนแบบทางเดียวเป็นส่วนส่วนมาก มีความยุ่งยากในระบบการสื่อสาร ต้องใช้อุปกรณ์เพิ่มมากขึ้น ผู้เรียนไม่ค่อยติดตามข่าวสาร <br />7) ด้านระบบเครือข่ายเทคโนโลยี อุปกรณ์เพื่อศึกษาไม่พร้อม สัญญาณอินเตอร์เน็ตไม่เสถียร จึงต้องเป็นการเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ที่เพิ่มขึ้นจากการใช้จ่ายปกติทั้งของผู้สอนและผู้เรียน 8) ด้านการวัดและการประเมินผล ยึดติดกับการวัดและการประเมินแบบเดิม ขาดทักษะในการบันทึกในระบบ การควบคุมการทดสอบยากขึ้น เกิดปัญหาการทุจริตในการทดสอบได้ง่าย<br />2. ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการจัดเรียนการสอนออนไลน์ในสถานการณ์โควิด 19 พบว่า ภาพรวมอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย 3.84 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน .334) สำหรับผลพิจารณาเป็นรายด้าน เรียงลำดับจากค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย คือ ด้านผู้เรียน (ค่าเฉลี่ย 3.94 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน .441) ด้านระบบเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศและการติดต่อสื่อสาร (ค่าเฉลี่ย 3.93 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน .517) ด้านกระบวนการจัดการเรียนรู้ (ค่าเฉลี่ย 3.89 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน .454) ด้านการวัดและการประเมินผล (ค่าเฉลี่ย 3.77 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน .657) ด้านเนื้อหาและสื่อการเรียน/แหล่งเรียนรู้ (ค่าเฉลี่ย 3.75 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน .612) และด้านผู้สอน (ค่าเฉลี่ย 3.74 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน .432) ตามลำดับ<br />3. เสนอแนะแนวทางการแก้ปัญหาพฤติกรรมการจัดเรียนการสอนออนไลน์ในสถานการณ์โควิด 19 พบว่า ผู้สอนออกแบบวิธีการจัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์ โดยต้องพิจารณารูปแบบการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับลักษณะรายวิชา คำนึงถึงความแตกต่างของผู้เรียนแต่ละคน ควรวิเคราะห์เนื้อหาวิชาให้เหมาะสมสำหรับการเลือกใช้วิธีการจัดการเรียนรู้ มีความทันสมัยหลากหลายและเข้าใจง่าย เช่น รูปภาพ วิดีโอคลิป เสียงพูด ดนตรีประกอบ เพื่อกระตุ้นความสนใจ เพื่อให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาในด้านการเรียนรู้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ ผู้สอนควรมีการจัดกระบวนการสอนให้เหมาะสม เพื่อให้การเรียนการสอนเกิดความราบรื่น สอดคล้องตามแผนการสอน รวมทั้งผู้เรียนให้ความร่วมมือตลอดระยะเวลาของการเรียน วัดประเมินผลการเรียนเพื่อสรุปผลหรือทดสอบความรู้ของผู้เรียน สะท้อนคิดของผู้เรียนและทบทวนหลังการปฏิบัติการสอนว่าประสบผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ของรายวิชา</p>
สายหยุด มีฤกษ์
พระครูโสภณปริยัตยานุกิจ
พระครูปลัดอรรณพ ปญฺญาสาโร
พระสมุห์โชคดี วชิรปญฺโญ
ณัฐพร พึ่งธรรม
Copyright (c) 2025 วารสารพุทธจิตวิทยา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
224
235
-
การพัฒนาทุนทางจิตวิทยาเชิงบวกของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยการให้การปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีการรู้คิดและพฤติกรรม
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/279681
<p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง เพื่อเปรียบเทียบทุนทางจิตวิทยาเชิงบวกของนักเรียนกลุ่มทดลองที่ได้รับการปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีการรู้คิดและพฤติกรรม ก่อนการทดลองและหลังการทดลอง และเพื่อเปรียบเทียบทุนทางจิตวิทยาเชิงบวกของนักเรียนระหว่างกลุ่มทดลองที่ได้รับการปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีการรู้คิดและพฤติกรรมกับกลุ่มควบคุมที่ได้รับการดูแลตามระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ประชากรเป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสิรินธรราชวิทยาลัย จำนวน 217 คน กลุ่มตัวอย่างจำนวน 16 คน โดยการคัดเลือกจากนักเรียนกลุ่มที่มีคะแนนทุนทางจิตวิทยาเชิงบวกต่ำกว่าเปอร์เซ็นไทล์ที่ 25 ลงมา สุ่มอย่างง่ายเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มทดลองได้รับการปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีการรู้คิดและพฤติกรรม และกลุ่มควบคุมได้รับการดูแลตามระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แบบวัดทุนทางจิตวิทยาเชิงบวกของนักเรียนมีค่าดัชนีความสอดคล้อง ระหว่าง 0.67 – 1.00 ค่าความเชื่อมั่น .989 2) การปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีการรู้คิดและพฤติกรรม ค่าดัชนีความสอดคล้อง ระหว่าง 0.67 – 1.00 การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงเปรียบเทียบโดยใช้ Paired-Sample t-test และ Independence t-test <br />ผลการศึกษาพบว่า ทุนทางจิตวิทยาเชิงบวกของนักเรียนกลุ่มทดลองหลังได้รับการปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีการรู้คิดและพฤติกรรมแตกต่างจากก่อนเข้าร่วมการปรึกษากลุ่มอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 และทุนทางจิตวิทยาเชิงบวกของนักเรียนระหว่างกลุ่มทดลองที่ได้รับการปรึกษากลุ่มแบบทฤษฎีการรู้คิดและพฤติกรรมกับกลุ่มควบคุมที่ได้รับการดูแลตามระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001</p>
วุฒินันท์ สมคะเณ
กาญจนา สุทธิเนียม
ชลพร กองคำ
Copyright (c) 2025 วารสารพุทธจิตวิทยา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
236
246
-
กลยุทธ์การพัฒนาคุณลักษณะภาวะผู้นำในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจังหวัดอุดรธานี
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/275833
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษากรอบแนวคิดคุณลักษณะภาวะผู้นำในศตวรรษที่ 21 <br />ของผู้บริหารสถานศึกษา 2) วิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และภัยคุกคามของการพัฒนาคุณลักษณะภาวะผู้นำในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษา 3) ออกแบบกลยุทธ์การพัฒนาคุณลักษณะภาวะผู้นำในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษา รูปแบบการวิจัยแบบผสมผสาน มี 3 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 กลุ่มผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 9 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง ระยะที่ 2 กลุ่มผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 15 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง ระยะที่ 3 กลุ่มผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 9 คน ด้วยวิธีการสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญ(Connoisseurship) ประเมินกลยุทธ์โดยผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 234 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี แบบสอบถาม และแบบประเมิน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน SWOT Analysis ค่าดัชนีลำดับความต้องการจำเป็น PNImodified และ TOWS Matrix ผลการวิจัยพบว่า1 ) กรอบแนวคิดคุณลักษณะภาวะผู้นำในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษา มี 8 องค์ประกอบ ได้แก่ การมีวิสัยทัศน์ ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ การใช้สื่อเทคโนโลยี และสารสนเทศ การติดต่อสื่อสาร การสร้างเครือข่ายความร่วมมือ <br />การตัดสินใจ การสร้างแรงจูงใจ และการเป็นต้นแบบที่ดี 2) จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และภัยคุกคามของการพัฒนาคุณลักษณะภาวะผู้นำในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษามี 4 จุดแข็ง 4 จุดอ่อน 3 โอกาส และ 1 ภัยคุกคาม 3) กลยุทธ์การพัฒนาคุณลักษณะภาวะผู้นำในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจังหวัดอุดรธานี ประกอบด้วย 8 กลยุทธ์หลัก ข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้ ผู้บริหารสถานศึกษาสามารถนำกลยุทธ์การพัฒนาไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาคุณลักษณะภาวะผู้นำในศตวรรษที่<br />21 ให้สอดคล้องตามบริบทของแต่ละพื้นที่</p>
ประสิทธิ์ คำกิ่ง
ชุติมา มุสิกานนท์
Copyright (c) 2025 วารสารพุทธจิตวิทยา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
247
259
-
Thai Characteristics According to Perspectives of Volunteers Driving the Philosophy of Sufficiency Economy
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/279953
<p>The research article aimed to study the perspectives of volunteers driving the Philosophy of sufficiency economy from each generation on Thai characteristics. Qualitative research methods were used with semi-structured group conversation with key informants who were Philosophy of Sufficiency Economy (PSE) volunteers, distributed in generation and separated into 4 groups of conversation, totalling 32 persons. Analyse the results of volunteers' perspectives by counting word frequency, separated by age group and overall.<br />The research found that volunteers identified 28 Thai characteristics. Main character is the habit of kindness, and followed characters were friendly, companions, adaptive, and helpful. Generations shown some differences in view such as:<br />1. The Baby Boomer generation volunteers identified key Thai characteristics as adaptability, application (or practicality), friendliness, helpfulness, kindness, and sharing.<br />2. The generation X volunteers identified key Thai characteristics as smiley, adaptive, companions, humble, kindness, helpful, sharing, and simplicity. <br />3. The generation Y volunteers identified key Thai characteristics as kindness, friendly, adaptive, courteous, flexible, and sensitive. <br />4. The generation Z volunteers identified key Thai characteristics as kindness, companions, apply, friendly, and helpful.<br />The research results could be used to establish guideline principles that motivate Thai people to join in driving social development according to PSE policy and any societal development, suitable with the characteristics of Thai people. </p>
Anek Suwanbundit
Akarakarn Wichaidit
Ravich Takaew
Metha Harimtepathip
Copyright (c) 2025 วารสารพุทธจิตวิทยา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
260
268
-
การพัฒนาระบบบริหารโรงเรียนเอกชนบนแพลตฟอร์มดิจิทัล ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/279400
<p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. เพื่อศึกษาองค์ประกอบของระบบบริหารโรงเรียนเอกชนบนแพลตฟอร์มดิจิทัลในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก 2. เพื่อพัฒนาระบบบริหารโรงเรียนเอกชนบนแพลตฟอร์มดิจิทัลในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก 3. เพื่อประเมินความเป็นไปได้และประโยชน์ของระบบบริหารโรงเรียนเอกชนบนแพลตฟอร์มดิจิทัลในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก วิธีวิจัยครั้งนี้ใช้วิธีการวิจัยแบบผสานวิธีโดยในแต่ละวัตถุประสงค์มีวิธีวิจัยดังนี้ 1. การศึกษาองค์ประกอบของระบบบริหารโรงเรียนเอกชนบนแพลตฟอร์มดิจิทัลในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก จากประชากร ที่เป็นเอกสาร ตำรา งานวิจัย และผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารโรงเรียนเอกชน ด้วยเครื่องมือการบันทึกข้อมูลเชิงคุณภาพ แล้ววิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ 2. การพัฒนาระบบบริหารโรงเรียนเอกชนบนแพลตฟอร์มดิจิทัลในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ด้วยการประมวลองค์ประกอบมาเป็นโครงสร้างของระบบบริหารโรงเรียนเอกชนบนแพลตฟอร์มดิจิทัลในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก โดยผู้วิจัย และ 3.ประเมินความเป็นไปได้และประโยชน์ของระบบบริหารโรงเรียนเอกชนบนแพลตฟอร์มดิจิทัลในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ด้วยการสอบถามจากประชากรที่เป็นผู้บริหารที่ใช้ระบบบริหารโรงเรียนเอกชนในเขตพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ด้วยแบบแบบสอบถาม แล้วนำมาวิเคราะห์ด้วยค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน<br />ผลการวิจัยพบดังนี้ <br />1. องค์ประกอบของระบบบริหารระบบบริหารโรงเรียนเอกชนบนแพลตฟอร์มดิจิทัลในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกประกอบด้วย 1.1 ปัจจัยนำเข้าของระบบบริหารระบบบริหารโรงเรียนเอกชน 1.2 กระบวนการของระบบบริหารระบบบริหารโรงเรียนเอกชน 1.3 ผลผลิตขอระบบบริหารระบบบริหารโรงเรียนเอกชน และ 1.4 ผลย้อนกลับของระบบบริหารระบบบริหารโรงเรียนเอกชน<br />2. ระบบบริหารโรงเรียนเอกชนบนแพลตฟอร์มดิจิทัลในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ประกอบด้วย 2.1 ระบบระบบบริหารโรงเรียนเอกชนบนแพลตฟอร์มดิจิทัลในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกที่พัฒนาขึ้นมีชื่อว่า รูปแบบการบริหารโรงเรียนอัจฉริยะในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC Smart School Management Model) 2.2 หลักการของระบบบริหารโรงเรียนเอกชนบนแพลตฟอร์มดิจิทัลในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกได้แก่ การประยุกต์เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ: การใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลช่วยให้ข้อมูล การติดต่อสื่อสาร และการจัดการงานต่าง ๆ รวดเร็ว โปร่งใส และเป็นระบบ 2.3 วัตถุประสงค์ของระบบบริหารโรงเรียนเอกชนบนแพลตฟอร์มดิจิทัลในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารโรงเรียน: ช่วยให้การจัดการทรัพยากร งบประมาณ และบุคลากรในโรงเรียนมีประสิทธิภาพมากขึ้น 2.4 กระบวนการดำเนินงานของระบบบริหารโรงเรียนเอกชนบนแพลตฟอร์มดิจิทัลในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ประกอบด้วย ผู้ส่งสาร สารที่ส่ง ช่องทาการงสื่อสาร ผู้รับสาร และผลย้อนกลับ 2.5 การประเมินผลด้วยการวัดความพึงพอใจของผู้ใช้งานในระบบ<br />3. ผลการประเมินความเป็นไปได้และประโยชน์ของระบบบริหารโรงเรียนเอกชนบนแพลตฟอร์มดิจิทัลในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามมีความคิดเห็นเกี่ยวกับความเหมาะสมของระบบการพัฒนาระบบบริหารโรงเรียนเอกชนบนแพลตฟอร์มดิจิทัลในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก โดยรวมอยู่ในระดับมาก (x ̅= 4.20, S.D. = 0.77)</p>
สุพรรณี ดิคซอน-สมิธ
Copyright (c) 2025 วารสารพุทธจิตวิทยา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
269
281
-
ความต้องการจำเป็นและแนวทางในการพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดปรากฏการณ์เป็นฐาน โดยใช้ชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ของผู้เรียนในจังหวัดสุพรรณบุรี
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/279241
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นในการพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ 2) นำเสนอแนวทางในการพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดปรากฏการณ์เป็นฐาน โดยใช้ชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ของผู้เรียนในจังหวัดสุพรรณบุรี กลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้บริหารโรงเรียน จำนวน 3 คน ครูที่สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ จำนวน 24 คน และผู้ที่มีส่วนได้เสีย จำนวน 9 คน รวมผู้ให้ข้อมูล จำนวน 36 คน ซึ่งได้จากการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง โดยใช้แบบประเมินที่มีค่าความสอดคล้องอยู่ระหว่าง 0.80-1.00 แบบสอบถาม มีค่าความสอดคล้องระหว่าง 0.60-1.00 <br />และแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง มีค่าความสอดคล้องระหว่าง 0.80-1.00 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติเชิงอนุมานด้วยการหาค่าความต้องการจำเป็น (PINmodified) และวิเคราะห์เนื้อหา <br />ผลการวิจัย พบว่า 1) สภาพปัจจุบันของนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้อยู่ในระดับมาก และสภาพที่พึงประสงค์อยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อวิเคราะห์ความต้องการจำเป็น พบว่า การวิเคราะห์ผู้เรียน มีความต้องการจำเป็นสูงสุด (PNImodified = .251) รองลงมา คือ การจัดการเรียนรู้เชิงรุก 2) แนวทางการพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ ได้แก่ การอบรม การประชุมเชิงปฏิบัติการ การบูรณาการแบบสอดแทรกกับการปฏิบัติงาน การพัฒนาการวางแผนที่มุ่งเน้นวิสัยทัศน์ของโรงเรียนเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ และการนิเทศ ซึ่งสามารถใช้เป็นแนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ของครูผู้สอนให้มีประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้นได้</p>
ณัฐฐา รัตนปัญญา
วริศนันท์ เดชปานประสงค์
สุดใจ เขียนภักดี
เดชกุล มัทวานุกูล
มนูญพงศ์ ชัยพันธุ์
อดิศร ศิริ
Copyright (c) 2025 วารสารพุทธจิตวิทยา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
289
294
-
ทักษะการบริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียน ในสังกัดสำนักงานการศึกษาเอกชน จังหวัดยะลา
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/279505
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับทักษะการบริหารของโรงเรียนสังกัดสำนักงานการศึกษาเอกชน จังหวัดยะลา 2) ศึกษาระดับประสิทธิผลของโรงเรียนสังกัดสำนักงานการศึกษาเอกชน จังหวัดยะลา 3) ทักษะการบริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียนสังกัดสำนักงานการศึกษาเอกชน จังหวัดยะลา และ 4) ศึกษาแนวทางการพัฒนาทักษะการบริหารของผู้บริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียน สังกัดสำนักงานการศึกษาเอกชน จังหวัดยะลา กลุ่มตัวอย่าง ที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน ของสถานศึกษาในสำนักงานการศึกษาเอกชน จังหวัดยะลา ประจำปีการศึกษา 2566 กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางของ Krejce and Morgan (1970) ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 335 คน แต่ในการวิจัยครั้งนี้ใช้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 331 คน จำแนกเป็นผู้บริหารสถานศึกษา 65 คน และครูผู้สอน 266 คน จากโรงเรียนจำนวน 65 โรงเรียนใช้การสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi – Stage Random Sampling) ใช้แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และโดยใช้ค่าสหสัมพันธ์อย่างง่ายของเพียร์สัน (Pearson's Product Moment Correlation) <br />ผลการวิจัยพบว่า 1) ทักษะการบริหารของโรงเรียนสังกัดสำนักงานการศึกษาเอกชน จังหวัดยะลา ด้านทักษะด้านความรู้ ความคิด ในภาพรวมทุกด้านในระดับมาก โดยทักษะด้านมโนภาพ มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด และทักษะด้านความรู้ ความคิด มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด 2) ประสิทธิผลของโรงเรียนสังกัดสำนักงานการศึกษาเอกชน จังหวัดยะลาโดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยด้านความสามารถในการแก้ไขปัญหา มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด ส่วนด้านความสามารถพัฒนานักเรียนให้มีทัศนะทางบวก มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด และ 3) ทักษะการบริหารกับประสิทธิผลของโรงเรียนสังกัดสำนักงานการศึกษาเอกชน จังหวัดยะลา โดยรวมมีความสัมพันธ์กันในทางบวกอยู่ในระดับสูงมาก (rXY = 0.974)</p>
สารีนี ยูเละ
ฟาริด อับดุลลอฮ์หะซัน
อะห์มัด ยี่สุ่นทรง
Copyright (c) 2025 วารสารพุทธจิตวิทยา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
295
306
-
แนวทางการบริหารจัดการเพื่อความสำเร็จ ของธุรกิจรถบัสไฟฟ้าประจำทางในกรุงเทพมหานคร
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/279829
<p>งานนี้มีวัตถุประสงค์ ประการแรกเพื่อศึกษสภาพแวดล้อมทั่วไป และสภาพแวดล้อมอุตสาหกรรมของธุรกิจรถบัสไฟฟ้าประจำทางในกรุงเทพมหานคร ประการที่สองเพื่อศึกษาสมรรถนะธุรกิจของรถบัสไฟฟ้าประจำทางในกรุงเทพมหานคร ประการที่สามเพื่อศึกษาเพื่อศึกษาความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจรถบัสไฟฟ้าประจำทางในกรุงเทพมหานคร และประการที่สี่เพื่อศึกษาแนวทางในการบริหารจัดการเพื่อความสำเร็จของธุรกิจรถบัสไฟฟ้าประจำทางในเขตกรุงเทพมหานคร โดยงานวิจัยนี้ผู้วิจัยได้ใช้เครื่องมือวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก การวิเคราะห์เอกสาร การวิเคราะห์แก่นสาระ และการวิเคราะห์เนื้อหา<br />ผลการวิจัยพบว่า สภาพปัจจุบันและปัญหาของธุรกิจรถบัสไฟฟ้าประจำทางในกรุงเทพมหานคร ส่วนใหญ่เป็นปัญหาด้านมลภาวะทางสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะอันตรายของมลพิษฝุ่น ละออง ของ PM 2.5 ที่เกิดจากการเผาไหม้จากเครื่องยนต์ ทั้งอายุการใช้งานของรถบัสประจำทางมีมากกว่า 20 ปี เครื่องยนต์มีสภาพเก่า จำนวนรถไม่เพียงพอกับความต้องการของประชาชน และขาดการเชื่อมโยงกับระบบการขนส่งรูปแบบอื่น ทางภาครัฐได้ร่วมกับองค์กรเอกชนแก้ปัญหามลพิษและใส่ใจกับสภาพแวดล้อม ได้ทำการปรับเปลี่ยนระบบขนส่งเป็นรถบัสประจำทางไฟฟ้า 1.2 ล้านคันในปี 2568 ทั้งยังช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมและได้รถบัสประจำทางพลังงานสะอาดแบบ 100 % ทางด้านองค์กรเอกชนได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ และเงินทุน จากภายนอกทำให้การผลิตได้ตรงตามเป้าหมาย และมีการผสมผสานการตลาดเพื่อสังคมและตลาดแบบบูรณาส่งผลให้มีการสั่งซื้อสินค้ามากขึ้น และได้รถบัสไฟฟ้าปนะจำทางที่มีคุณภาพ เหมาะสมกับราคาและรักษาสิ่งแวดล้อม ดังนั้นการบริหารจัดการเพื่อควาสำเร็จของธุรกิจรถบัสไฟฟ้าประจำทางในกรุงเทพมหานคร ต้องมีการทำงานสอดคล้องกันทั้งสภาพแวดล้อมทั่วไป สมรรถนะองค์กร ความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ การตลาดเพื่อสังคมและการตลาดแบบบูรณาการ ที่ทำงานประสานกันทุกภาคส่วนทำให้เกิดความสำเร็จขึ้น</p>
สุริยะ แกล้วทนงค์
ตรีเนตร ตันตระกูล
Copyright (c) 2025 วารสารพุทธจิตวิทยา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
307
322
-
การบริหารจัดการแรงงานต่างชาติเพื่อการแก้ไขปัญหาแรงงานเมียนมาร์ ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายในเขตชายแดน จังหวัดระนอง
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/279115
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาแรงงานเมียนมาร์ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายในเขตชายแดน จังหวัดระนอง 2) เพื่อศึกษาผลกระทบจากปัญหาแรงงานเมียนมาร์ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายในเขตชายแดน จังหวัดระนอง 3) เพื่อศึกษาการบริหารจัดการแรงงานต่างชาติเพื่อการแก้ไขปัญหาแรงงานเมียนมาร์ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายในเขตชายแดน จังหวัดระนอง และ 4) เพื่อศึกษาการบริหารจัดการแรงงานต่างชาติเพื่อการแก้ไขปัญหาแรงงาน เมียนมาร์ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายในเขตชายแดน จังหวัดระนอง เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ รวมทั้งสิ้น 30 คน โดยเลือกกลุ่มข้อมูลแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์เชิงลึกและการสนทนากลุ่ม โดยทำการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา<br />ผลการวิจัย พบว่า สภาพปัญหาแรงงานเมียนมาร์ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายส่งผลกระทบแก่จังหวัดระนอง ในด้านเศรษฐกิจ ด้านความมั่นคง ด้านสังคม และด้านสาธารณสุขในการบริหารจัดการแรงงานต่างชาติ ประกอบด้วย 5 ด้าน ได้แก่ 1) การควบคุม กำกับ ดูแลกระบวนการเข้ามาระหว่างการทำงานและกลับออกไปของแรงงานต่างชาติ 2) การกำหนดมาตรฐานการจ้างแรงงานต่างชาติให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล 3) การติดตามและประเมินผล 4) การบริหารจัดการแรงงานต่างชาติที่มีประสิทธิภาพ และ 5) การจัดระบบแรงงานเพื่อลดการพึ่งพาแรงงานต่างชาติ สำหรับการบริหารจัดการแรงงานต่างชาติเพื่อการแก้ไขปัญหาแรงงานเมียนมาร์ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายในเขตชายแดน จังหวัดระนอง ประกอบด้วย 3 แนวทาง ได้แก่ 1) การควบคุมและการดำเนินการทางกฎหมาย 2) การสร้างงานและโอกาสในประเทศต้นทาง และ 3) การเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ ซึ่งจังหวัดระนองซึ่งเป็นพื้นที่ชายแดนที่ติดกับประเทศเมียนมาร์ มักประสบปัญหาแรงงานเมียนมาร์ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของสังคมหลายด้าน ทั้งในเรื่องความปลอดภัย การแพร่ระบาดของโรค ภาระต่อระบบสาธารณสุข การแข่งขันในตลาดแรงงาน และความขัดแย้งทางวัฒนธรรมในชุมชน การที่แรงงานเหล่านี้อยู่นอกระบบกฎหมายยังเปิดช่องให้เกิดการค้ามนุษย์และการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ<br />การแก้ไขปัญหานี้จึงต้องอาศัยการบริหารจัดการแรงงานต่างชาติอย่างเป็นระบบ โดยส่งเสริมให้แรงงานเข้ามาอย่างถูกต้องตามกฎหมายผ่านระบบ MOU หรือการขึ้นทะเบียนแรงงาน ควบคู่กับการเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบพื้นที่ชายแดนและสร้างความร่วมมือกับรัฐบาลประเทศเพื่อนบ้าน นอกจากนี้ ยังควรส่งเสริมความเข้าใจและการอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรมเพื่อให้เกิดความสงบสุขในชุมชน การจัดการอย่างเป็นระบบจะช่วยลดปัญหาสังคมและส่งเสริมให้แรงงานต่างชาติสามารถมีส่วนร่วมในระบบเศรษฐกิจไทยได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย</p>
เบญญา แคล่วคล่อง
พราวพิชชา เถลิงพล
Copyright (c) 2025 วารสารพุทธจิตวิทยา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
323
331
-
แนวทางการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันเพื่อความสำเร็จของผู้ประกอบการธุรกิจเครื่องสำอางไทยในการเข้าสู่ตลาดประเทศตะวันออกกลาง
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/279116
<p>งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาหาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อกลยุทธ์เพื่อความสำเร็จในการเข้าสู่ตลาดกลุ่มประเทศตะวันออกกลางของผู้ประกอบธุรกิจเครื่องสำอาง โดยใช้ระเบียบการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยมีกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 2 กลุ่ม จึงใช้ผู้ให้สัมภาษณ์เป็น จำนวนรวมทั้งหมด 24 ท่าน แบ่งเป็น 1. กลุ่มนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจส่งออกผลิตภัณฑ์เครื่องสําอางจากทางส่วนราชการและภาคเอกชน รวมทั้งหมด 5 ท่าน 2. ผู้ประกอบการไทยหน่วยงานภาคเอกชนที่ส่งออกผลิตภัณฑ์เครื่องสําอางไทยไปยังกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง โดยคัดเลือกด้วยวิธีแบบเจาะจง จากผู้ประกอบการเครื่องสําอางไทยจากกระทรวงพาณิชย์ที่มีประสบการณ์ในการส่งออกมาแล้วมากกว่า 3 ปี รวมทั้งหมด 19 บริษัท โดยคัดเลือกผู้ประกอบการหน่วยงานภาคเอกชนจากข้อมูลยอดผู้ส่งออกเครื่องสำอางของผู้ประกอบการไทยที่ส่งออกเครื่องสำอางไปยังตะวันออกกลางนั้นได้มาจากจากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ เป็นข้อมูลผู้ประกอบการส่งออกผลิตภัณฑ์ประเภท เครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว ไปยังตะวันออกกลางระหว่าง มกราคม - ธันวาคม 2565 จำนวนทั้งสิ้น 226 ราย ซึ่งมีประวัติการการส่งออกถูกต้องตามระเบียบของกระทรวงพาณิชย์ และทำการวิเคราะห์กลุ่ม โฟกัสกรุ๊ป (Focus Group) เพื่อยืนยันผลการวิจัยกับกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (Key Informants) เพื่อยืนยันผลการวิจัยได้แก่ ผู้ประกอบการไทยหน่วยงานภาคเอกชนที่ส่งออกผลิตภัณฑ์เครื่องสําอางไทย และผู้เชี่ยวชาญผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง นักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญ ด้านการตลาดหรือกลยุทธ์ เพื่อสรุปกรอบแนวคิดการวิจัยแนวทางการพัฒนากลยุทธ์ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง จำนวน 5 ท่าน เพื่อทราบถึงปัจจัยสำคัญสู่ความเป็นผู้นำในตลาดผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง<br />ผลการวิจัยเชิงคุณภาพพบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จสำหรับผู้ประกอบการเครื่องสำอางไทยในการเข้าสู่ตลาดประเทศตะวันออกกลาง ผู้ประกอบการและผู้เชี่ยวชาญมีความเห็นสอดคล้องตรงกันในทุกประเด็นหัวข้อกับการให้ความสำคัญกับปัจจัย เช่นการปัจจัยการตลาด ลักษณะทั่วไป ของผู้ประกอบการ การจัดการทรัพยากรขององค์กร และสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจ แต่มีส่วนรายละเอียดแยกย่อยที่แตกต่างกันตามแต่ละมุมมองของแต่ละองค์กร และนำข้อมูลงานวิจัยนี้นำมาวิเคราะห์การใช้แนวทางในการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน และสิ่งที่ได้จากการวิจัย คือแนวทางการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันเพื่อความสำเร็จของผู้ประกอบการธุรกิจเครื่องสำอางไทย มี 2 วิธีดังนี้คือ 1. สร้างความแตกต่างในด้านคุณภาพสินค้า 2. สร้างความแตกต่างของภาพลักษณ์ในการออกงานแสดงสินค้าเพื่อหาตัวแทนขาย</p>
พีระสิทธิ์ เดชอนันตชาติ
ปวิตพล ไพบูลย์
Copyright (c) 2025 วารสารพุทธจิตวิทยา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
332
343
-
สิทธิการรักษาผู้ป่วยวิกฤตฉุกเฉินและข้อขัดข้องต่อการเข้ารับการบริบาลตามนโยบาย “เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่” ในโรงพยาบาลเอกชน
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/279587
<p>สิทธิการรักษาผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต หรือ สิทธิ UCEP (Universal Coverage for Emergency Patients)เป็นสิทธิการรักษาพยาบาลฉุกเฉินตามนโยบายของรัฐบาลไทย โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่ใกล้ที่สุดได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยไม่คำนึงถึงสิทธิการรักษาหรือความสามารถในการชำระเงิน UCEP ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลฉุกเฉินในช่วง 72 ชั่วโมงแรกหรือจนกว่าอาการจะพ้นวิกฤต โดยสิทธิ UCEP นี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่างสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) อย่างไรก็ตาม แม้จะมีสิทธิ UCEP แต่ผู้ป่วยยังคงประสบปัญหาในการเข้ารับการรักษาโดยเฉพาะเมื่อไปโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งอาจเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ อาทิ <br />การปฏิเสธผู้ป่วย การเรียกเก็บเงิน การไม่รับหรือไม่สามารถส่งต่อไปยังสถานพยาบาลที่มีศักยภาพสูงกว่าหรือสถานพยาบาลตามสิทธิ รวมถึงการขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิ UCEP ของบุคลากรและประชาชนทั่วไป<br />บทความนี้ได้วิเคราะห์และนำเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสิทธิ UCEP เช่น การเพิ่มการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับสิทธิ UCEP การกำกับดูแลโรงพยาบาลเอกชนให้ปฏิบัติตามสิทธิ UCEP อย่างเคร่งครัด การพัฒนาระบบส่งต่อผู้ป่วย และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของสังคมในการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับสิทธิ UCEP อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งระหว่างระบบบริการสาธารณสุขกับแผนกอุบัติเหตุและฉุกเฉินทั้งในโรงพยาบาลรัฐและโรงพยาบาลเอกชน โดยเฉพาะในโรงพยาบาลเอกชนนั้นนับเป็นความท้าทายที่เกิดขึ้นและต้องการการแก้ไขที่เป็นระบบและมีส่วนร่วมในการตกลงร่วมมือกัน จึงนำเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิ UCEP โดยเฉพาะที่แผนกอุบัติเหตุและฉุกเฉินของโรงพยาบาลต่าง ๆ รวมถึงการส่งเสริมการป้องกันโรคและการดูแลตนเองเมื่อเจ็บป่วยขั้นพื้นฐานให้แก่ประชาชน การเพิ่มการเข้าถึงบริการปฐมภูมิ การฝึกการกู้ชีพขั้นต้นให้แก่ประชาชน การเพิ่มทรัพยากรให้แผนกอุบัติเหตุและฉุกเฉิน การพัฒนาระบบการประสานงาน การป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรง และการส่งเสริมสวัสดิภาพของบุคลากร โดยสรุป บทความนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของสิทธิ UCEP ในการคุ้มครองผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต และนำเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ป่วยทุกคนสามารถเข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพและทันท่วงที </p>
ปูชนิยะดา วิเชียรธรรม
วราลี อภินิเวศ
อุทัย สติมั่น
พระเมธีวัชรบัณฑิต (หรรษา ธมฺมหาโส)
Copyright (c) 2025 วารสารพุทธจิตวิทยา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
10 2
344
353