วารสารพุทธจิตวิทยา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp <p><strong> วารสารพุทธจิตวิทยา</strong> <strong>ISSN: 2774-1095 (Online)</strong> มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการเผยแพร่บทความวิจัย บทความวิชาการ และ บทความปริทรรศน์ของนักวิจัย นักวิชาการ คณาจารย์ และนักศึกษา ด้วยหวังให้เป็นตลาดแห่งองค์ความรู้ที่สามารถค้นคว้า ถ่ายทอด และแลกเปลี่ยนความรู้ในด้านต่าง ๆ อย่างหลากหลาย วารสารมุ่งเน้นเปิดรับบทความทางด้านจิตวิทยา พระพุทธศาสนา พฤติกรรมศาสนา สังคมวิทยา การศึกษาเชิงประยุกต์และสหวิทยาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ โดยทุกบทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ได้ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ในลักษณะปกปิดรายชื่อ (Double blind peer-reviewed) ทั้งนี้เปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ วารสารมีค่าเผยแพร่บทความในวารสาร 6,000 บาท</p> ภาควิชาจิตวิทยา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย th-TH วารสารพุทธจิตวิทยา 2774-1095 การประยุกต์ใช้จิตวิทยาเชิงพุทธในการปลูกฝังทักษะชีวิต เพื่อป้องกันโรคซึมเศร้าในเด็กปฐมวัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/275329 <p>โรคซึมเศร้าในเด็กสามารถเกิดขึ้นได้และนับเป็นปัญหาที่ส่งผลร้ายแรงต่อพัฒนาการเจริญเติบโตทางความคิด เป็นตัวฉุดรั้งพัฒนาการในด้านต่างๆของปัจเจกบุคคล ไม่ว่าจะเป็นทางกายและทางจิตใจ และเนื่องจากเด็กเป็นอนาคตของชาติ จึงส่งผลกระทบต่อการเติบโตของประเทศชาติ ในด้านการสร้างทรัพยากรมนุษย์ให้มีคุณภาพ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอแนะแนวทางการประยุกต์หลักธรรมในพระพุทธศาสนาที่มีองค์ความรู้ในเชิงจิตวิทยาที่สามารถนำมาปลูกฝังทักษะให้แก่ชีวิตเด็กปฐมวัย โดยมุ่งเน้นการนำมาป้องกันการเกิดโรคซึมเศร้าที่สามารถเกิดขึ้นได้ในเด็ก เพื่อให้เกิดเป็นเกราะป้องกัน โดยการสร้างความรู้ความเข้าใจให้เด็กมีความเข้าใจโลกและชีวิตด้วยวิธีการของพุทธจิตวิทยา อันนำไปสู่ประโยชน์สูงสุดคือความหลุดพ้นจากสภาวะแห่งความเป็นทุกข์ ซึ่งหลักพุทธจิตวิทยาสามารถนำมาแก้ไขปัญหาในด้านจิตใจและสร้างปัญญาในการคิดวิเคราะห์ให้เห็นโลกตามความเป็นจริงได้ ซึ่งโรคซึมเศร้าในเด็กเป็นอาการป่วยทางจิต ที่เป็นปัญหาทางด้านจิตใจของคน โดยมองปัญหาไปที่ปัญหาทั่วไปหรือปัญหาพื้นฐานของชีวิตที่สามารถเกิดขึ้นได้เป็นธรรมดา เพราะมนุษย์ยังมีความบกพร่องและไม่สมบูรณ์ มนุษย์จึงมีความทุกข์ จึงเกิดเป็นคำถามว่าจะทำอย่างไรเพื่อป้องกันมิให้จิตใจที่บอบบางของเด็กสามารถอยู่รอดได้ในโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์</p> <p>จากการศึกษาหลักธรรมที่สามารถนำมาช่วยในการสร้างทักษะชีวิตเด็กปฐมวัยและยังสามารถช่วยป้องกันและเยียวยาโรคซึมเศร้าได้ เช่น หลักอานาปณสติ, หลักพรมวิหารและหลักภาวนา ตามแนวพระพุทธศาสนา โดยหลักอานาปาณสติคือการเจริญสมาธิ โดยการกำหนดลมหายใจ เพื่อให้เกิดการตระหนักรู้ในตนเองและเกิดสติ หลักพรมวิหารนำมาใช้ในการปลูกฝังทักษะชีวิตเด็กในด้านการสร้างความเห็นอกเห็นใจและสร้างจิตใจให้มีความเมตตา หลักภาวนา เป็นหลักการที่ส่งเสริมการพัฒนาการให้แก่เด็กในด้านการยอมรับและการปรับตัว หลักธรรมทั้งสามนี้มีผลทั้งในด้านการเยียวยาสภาพจิตใจด้านลบและการพัฒนาสภาพจิตใจด้านบวก อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางกาย จิตใจ และทางสังคม หลักพุทธจิตวิทยาในการสร้างทักษะแก่ชีวิตให้แก่เด็กจึงจำเป็นอย่างยิ่งในการที่นำหลักธรรมเหล่านี้เข้าไปพัฒนาให้เกิดความสุขและความสมบูรณ์ในชีวิต</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong><strong>: </strong><strong>ทักษะชีวิต, เด็กปฐมวัย, จิตวิทยาเชิงพุทธ, ป้องกันโรคซึมเศร้า</strong></p> อันธิกา ภูวภิรมย์ขวัญ Copyright (c) 2024 วารสารพุทธจิตวิทยา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-31 2024-12-31 9 4 686 699 การพัฒนาสุขภาวะองค์รวมด้วยหลักภาวนา 4 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/278471 <p>การพัฒนา คือ ภาวนา หมายถึง การทำให้เป็นให้มีขึ้น, การฝึกอบรม, การพัฒนา ซึ่งมีการพัฒนาอยู่ 4 ประเภทเรียกว่า ภาวนา 4 ประกอบด้วย กายภาวนา, ศีลภาวนา, จิตภาวนา, และปัญญาภาวนา สุขภาพและระบบสุขภาพมีความหมายที่สอดคล้องกับสุขภาวะองค์รวมแนวพุทธ ซึ่งหมายถึง การทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ อย่างมีความสัมพันธ์กันระหว่างกายกับสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ กายที่สัมพันธ์กับสังคม กายที่สัมพันธ์กับจิตใจ หรือความรู้สึกนึกคิด และปัญญา คือ ความรู้ความเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ดำเนินไปเพื่อต้องการความสุข การจะไปสู่เป้าหมายของชีวิตได้นั้น จะต้องกำจัดทุกข์ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ ด้วยการพัฒนาทั้ง 4 ด้านไปพร้อม ๆ กัน จนไปสู่ภาวิต 4 ผู้ที่ได้เจริญกาย ศีล จิต และปัญญาแล้ว คือ ผู้ที่พัฒนาแล้วอย่างแท้จริง</p> ณญาน นลินขวัญ เมธาวี อุดมธรรมานุภาพ สิริวัฒน์ ศรีเครือดง Copyright (c) 2024 วารสารพุทธจิตวิทยา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-31 2024-12-31 9 4 700 710 พระพุทธศาสนากับการดำเนินชีวิตในยุคดิจิทัล: การปรับตัวและความท้าทาย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/280998 <p>บทความนี้มุ่งศึกษารูปแบบการเข้าถึง การสื่อสารแนวทางใหม่ๆ การปรับเปลี่ยนของพุทธศาสนาในยุคดิจิทัลที่เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมและเทคโนโลยีที่กําลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว 2.ประเด็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อการเข้าถึงพุทธศาสนาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและอาจเกิดในอนาคต 3. นำเสนอวิธีการปรับตัว<br />และการพัฒนาปรับเปลี่ยนรูปแบบการเข้าถึงการศึกษาเกี่ยวกับหลักธรรมคําสอนของพุทธศาสนาให้มีประสิทธิภาพ พบว่า ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวัน พระพุทธศาสนาต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาบทบาทและคุณค่าในสังคมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การปรับตัวของพระพุทธศาสนาในยุคนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะในเรื่องการใช้เทคโนโลยีในการเผยแผ่คำสอน การสอนธรรมออนไลน์ และการใช้โซเชียลมีเดีย อย่างไรก็ตาม การปรับตัวดังกล่าวยังมีความท้าทายในเรื่องของการรักษาความบริสุทธิ์ของคำสอนและการดึงดูดความสนใจของผู้คน พระพุทธศาสนาจึงต้องพัฒนาวิธีการใหม่ ๆ ในการเผยแผ่คำสอนเพื่อให้ยังคงมีความสำคัญในชีวิตประจำวันของผู้คนในยุคดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ</p> กนกวรรณ ปรีดิ์เปรม Copyright (c) 2024 วารสารพุทธจิตวิทยา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-31 2024-12-31 9 4 711 722 บทบาทครูในการสร้างการเรียนรู้ตามแนวทางพุทธจิตวิทยาสู่การเปลี่ยนแปลง https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/275331 <p>บทความนี้สะท้อนให้เห็นว่า ครูมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนทั้งด้านวิชาการและคุณธรรม จริยธรรม โดยมุ่งเน้นให้ผู้เรียนนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงและเป็นผู้นำทางสังคม ครูจึงต้องมีความรู้ความสามารถรอบด้าน มีจรรยาบรรณในวิชาชีพ และสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลาย การสร้างการเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลงตามแนวพุทธจิตวิทยา เป็นการนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา อริยมรรค 8 และอิทธิบาท 4 มาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน ซึ่งเน้นการพัฒนาสติปัญญาและคุณธรรมจริยธรรมควบคู่กันไป เกิดองค์ความรู้ใหม่ที่ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจในตนเองและผู้อื่นมากขึ้น สามารถนำไปสู่การพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องแบบองค์รวม พัฒนาทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และสติปัญญา มีจิตใจที่เข้มแข็ง เข้าใจธรรมชาติและความเป็นจริงของชีวิต เพื่อให้ผู้เรียนพัฒนาความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ และมีความสุขในการใช้ชีวิต บทความนี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของบทบาทครูในการสร้างการเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลงที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้เรียนและสังคม ที่เน้นการอบรมศีล สมาธิ และปัญญา อันนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตและการเปลี่ยนแปลงทั้งต่อตนเอง ครอบครัว และสังคมอย่างยั่งยืน</p> อันธิกา ภูวภิรมย์ขวัญ Copyright (c) 2024 วารสารพุทธจิตวิทยา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-31 2024-12-31 9 4 723 734 ผลการเรียนรู้เชิงรุกที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความคิดสร้างสรรค์ในรายวิชาสุนทรียศาสตร์ และดารวิจารณ์งานศิลปะสำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/275914 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังจัดการเรียนรู้เชิงรุก และ (2) เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยความคิดสร้างสรรค์ก่อนและหลังจัดการเรียนรู้เชิงรุก ในรายวิชาสุนทรียศาสตร์และดารวิจารณ์งานศิลปะสำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 สาขาศิลปะ จำนวน 24 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มด้วยวิธีจับสลาก เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุก 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ซึ่งเป็นแบบทดสอบชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ มีค่าความเที่ยงตรงเท่ากับ 0.67 – 1.00 มีค่าความยากเท่ากับ 0.39 – 0.78 มีค่าอำนาจจำแนกเท่ากับ 0.21 – 0.79 และมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.793 และ 3)แบบประเมินความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งผ่านการตรวจสอบคุณภาพด้านความเหมาะสมในระดับมากที่สุด (𝑥̅ = 4.55) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบค่าที</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการจัดการเรียนรู้เชิงรุก มีค่าคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 16.36 สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้เชิงรุกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 2) ด้านความคิดสร้างสรรค์หลังจัดการเรียนรู้เชิงรุก มีค่าคะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 14.64 สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้เชิงรุกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้เชิงรุกดังกล่าวสามารถส่งเสริมความสามารถในการเรียนและความคิดสร้างสรรค์ ในรายวิชาสุนทรียศาสตร์และดารวิจารณ์งานศิลปะของนักศึกษาได้</p> อัมพร ศิลปเมธากุล วิรินธร อักษรนิตย์ อดิศร ศิริ Copyright (c) 2024 วารสารพุทธจิตวิทยา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-31 2024-12-31 9 4 578 587 ผลของการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดพหุปัญญาที่มีต่อทักษะสมองเพื่อความสำเร็จ ด้านจดจ่อใส่ใจและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/272774 <p>การวิจัยเชิงทดลองครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ทักษะสมองเพื่อความสำเร็จ ด้านจดจ่อใส่ใจระหว่างก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดพหุปัญญาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดพหุปัญญาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 3) ความสัมพันธ์ระหว่างทักษะสมองเพื่อความสำเร็จ ด้านจดจ่อใส่ใจและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มเป้าหมายในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านบุดี อำเภอเมือง จังหวัดยะลา ซึ่งเป็นโรงเรียนในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา เขต 1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 32 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบพหุปัญญา จำนวน 6 แผน 12 ชั่วโมง 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม มีค่าความเชื่อมั่น .86 และ 3) แบบประเมินทักษะสมองเพื่อความสำเร็จ ด้านจดจ่อใส่ใจ มีค่าความเชื่อมั่น .76 ใช้แบบแผนการทดลองแบบทดสอบก่อนและหลังแบบกลุ่มเดียว (One Group Pre-test Post-test) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test) และ correlation coefficient ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดพหุปัญญามีทักษะสมองเพื่อความสำเร็จ ด้านจดจ่อใส่ใจหลังการจัดการเรียนรู้สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2) นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดพหุปัญญามีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการจัดการเรียนรู้สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) ทักษะสมองเพื่อความสำเร็จ ด้านจดจ่อใส่ใจและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีความสัมพันธ์เชิงบวกระดับสูงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> มุสลิม หะยีสะมะแอ อริยา คูหา มัฮดี แวดราแม Copyright (c) 2024 วารสารพุทธจิตวิทยา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-31 2024-12-31 9 4 588 603 รูปแบบกิจกรรมพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานที่ตอบสนองการให้บริการด้านการ ท่องเที่ยววัฒนธรรมเชิงพุทธย้อนรอยประวัติศาสตร์ลุ่มน้ำเจ้าพระยา-ป่าสัก https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/276346 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อพัฒนารูปแบบปัจจัยส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพ และมาตรฐานที่ตอบสนองการให้บริการด้านการท่องเที่ยววัฒนธรรมเชิงพุทธย้อนรอยประวัติศาสตร์ลุ่มน้ำเจ้าพระยา-ป่าสัก2) เพื่อเปรียบเทียบรูปแบบปัจจัยส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานที่ตอบสนองการให้บริการด้านการท่องเที่ยววัฒนธรรมเชิงพุทธย้อนรอยประวัติศาสตร์ลุ่มน้ำเจ้าพระยา-ป่าสัก 3) เพื่อนำเสนอการใช้รูปแบบโปรแกรมกิจกรรมหลักสูตรการพัฒนาคุณภาพ และมาตรฐานที่ตอบสนองการให้บริการด้านการท่องเที่ยววัฒนธรรมเชิงพุทธย้อนรอยประวัติศาสตร์ลุ่มน้ำเจ้าพระยา-ป่าสัก รูปแบบการวิจัยเชิงผสมผสานวิธี โดยใช้วิธีศึกษาวิจัยเอกสาร วิจัยเชิงสำรวจ การศึกษาภาคสนาม การวิจัยเชิงปริมาณ การวิจัยเชิงคุณภาพ โดยเก็บรวบรวมข้อมูลพื้นที่ในการวิจัยประชากรทั้ง 6 จังหวัดภาคกลาง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยใช้แบบสัมภาษณ์&nbsp;&nbsp;&nbsp; เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลหลักจำนวน 20 รูป/คน และสนทนากลุ่มจำนวน 9 รูป/คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหาแล้วบรรยายเชิงพรรณนา สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบทีสำหรับประชากรสองกลุ่มที่เป็นอิสระกัน และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า 1. พัฒนารูปแบบปัจจัยส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพ และมาตรฐานที่ตอบสนองการให้บริการด้านการท่องเที่ยววัฒนธรรมเชิงพุทธย้อนรอยประวัติศาสตร์ลุ่มน้ำเจ้าพระยา-ป่าสัก&nbsp; นักท่องเที่ยวมีความคิดเห็นต่อการท่องเที่ยวโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด มี 4 ด้าน คือ 1.ด้านสภาพแวดล้อม 2.ด้านเทคโนโลยีให้บริการ 3.ด้านสิ่งอำนวยความสะดวก 4.ด้านการบริหารจัดการ&nbsp; 2. เปรียบเทียบรูปแบบปัจจัยส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานที่ตอบสนองการให้บริการด้านการท่องเที่ยววัฒนธรรมเชิงพุทธย้อนรอยประวัติศาสตร์ลุ่มน้ำเจ้าพระยา-ป่าสัก พบว่า มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 แสดงว่าปัจจัยด้านเพศของนักท่องเที่ยวที่ไปเที่ยวในเขตพื้นที่ 6 จังหวัดภาคกลางมีอิทธิพลต่อการพัฒนาการท่องเที่ยววัฒนธรรมเชิงพุทธ 3.การใช้รูปแบบโปรแกรมกิจกรรมหลักสูตรการพัฒนาคุณภาพ และมาตรฐานที่ตอบสนองการให้บริการด้านการท่องเที่ยววัฒนธรรมเชิงพุทธย้อนรอยประวัติศาสตร์ลุ่มน้ำเจ้าพระยา-ป่าสัก ด้วยการส่งเสริมการท่องเที่ยวตามโมเดล “ETCM”4 ด้าน คือ&nbsp; 1) สภาพแวดล้อม (Environment) 2. เทคโนโลยี (Technology) 3. ความสะดวก (Convenience) 4.การบริหารจัดการ (Management)</p> พระใบฎีกากิตติพงษ์ สีลสุทฺโธ พระครูพิพิธปริยัติกิจ สิริวัฒน์ ศรีเครือดง เมธาวีอุดม ธรรมานุภาพ วิชชุดา ฐิติโชติรัตนา ประสิทธิ์ แก้วศรี Copyright (c) 2024 วารสารพุทธจิตวิทยา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-31 2024-12-31 9 4 604 618 การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ แบบบูรณาการสำหรับนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/273682 <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนาและหาประสิทธิภาพของหลักสูตรฝึกอบรมเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ สำหรับนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา 2) เพื่อประเมินประสิทธิผลของหลักสูตรฝึกอบรมเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ สำหรับนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา&nbsp; กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา สาขาหลักสูตรและการสอน ปีการศึกษา 2566 จำนวน 7 คน มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น เครื่องมือการวิจัย ประกอบด้วย หลักสูตรฝึกอบรมเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ สำหรับนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา แบบประเมินความสามารถในการออกแบบการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ แบบประเมินความสามารถในการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ และแบบประเมินความคิดเห็นของนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาที่มีต่อหลักสูตร วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัย พบว่า 1 หลักสูตรฝึกอบรมเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ สำหรับนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา &nbsp;พัฒนาขึ้นอย่างมีระบบมีประสิทธิภาพ โดยมีหลักการที่มุ่งเน้นการเรียนรู้แบบบูรณาการเนื้อหาและการปฏิบัติ วัตถุประสงค์เพื่อให้นักศึกษาได้เรียนรู้การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้และการปฏิบัติการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ มีเนื้อหาเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ ขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรประกอบด้วย ขั้นตอนที่ 1 การสำรวจ (S: Survey) ขั้นตอนที่ 2 การวิเคราะห์หลักสูตร (A:Analysis) ขั้นตอนที่ 3 การพัฒนาหลักสูตร (D: Development) ขั้นตอนที่ 3 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ (L: Learning Activity Management) และขั้นตอนที่ 4 การประเมินหลักสูตรเพื่อการสะท้อนผล ER: Evaluation for Reflection) &nbsp;2 ประเมินประสิทธิผลของหลักสูตรฝึกอบรมเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ มีดังนี้ 2.1) ความสามารถในการออกแบบการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ อยู่ในระดับดีมาก นักศึกษาสามารถออกแบบการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการได้&nbsp; มีองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้มีความสอดคล้องกัน เป็นไปตามแนวทางการเรียนรู้แบบบูรณาการเนื้อหาและการปฏิบัติเกิดการเรียนรู้แบบบูรณาการ ได้ตามจุดประสงค์ 2.2) ความสามารถในการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ อยู่ในระดับดีมาก นักศึกษาสามารถออกแบบการจัดการเรียนรู้ได้ถูกต้องชัดเจนเหมาะสมกับระดับของผู้เรียนวัยผู้ใหญ่ บรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้การปฏิบัติและจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นแบบบูรณาการเนื้อหาและการปฏิบัติ 2.3) ความคิดเห็นของนักศึกษาที่มีต่อหลักสูตรเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ อยู่ในระดับมากที่สุด</p> นภาภรณ์ ธัญญา เดือนเพ็ญพร ชัยภักดี สุภาพร แพรวพนิต Copyright (c) 2024 วารสารพุทธจิตวิทยา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-31 2024-12-31 9 4 619 633 ผลของโปรแกรมการสร้างความเข้มแข็งทางใจและการเห็นคุณค่าแท้ในตนเองของวัยรุ่น https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/278215 <p>งานวิจัยเรื่อง ผลของโปรแกรมการสร้างความเข้มแข็งทางใจและการเห็นคุณค่าแท้ในตนเองของวัยรุ่น มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาแนวทางการสร้างความเข้มแข็งทางใจและการเห็นคุณค่าแท้ในตนเองของวัยรุ่น &nbsp;2) เพื่อพัฒนาโปรแกรมการสร้างความเข้มแข็งทางใจและการเห็นคุณค่าแท้ในตนเองของวัยรุ่น 3) เพื่อประเมินผลของโปรแกรมการสร้างความเข้มแข็งทางใจและการเห็นคุณค่าแท้ในตนเองของวัยรุ่น ใช้วิธีวิจัยแบบผสานวิธี เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ โปรแกรมกิจกรรมสร้างความเข้มแข็งทางใจและการเห็นคุณค่าแท้ในตนเอง และแบบวัดความเข้มแข็งทางใจและการเห็นคุณค่าแท้ในตนเอง วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาและสร้างข้อสรุปแบบอุปนัย วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติบรรยาย ผลการวิจัย พบว่า แนวทางการสร้างความเข้มแข็งทางใจและการเห็นคุณค่าแท้ในตนเองของวัยรุ่น ประกอบด้วย&nbsp; 1. การฝึกสมาธิ&nbsp; 2. การได้ทำในสิ่งที่ชอบ &nbsp;3. การฝึกสติ โปรแกรมการสร้างความเข้มแข็งทางใจและการเห็นคุณค่าแท้ในตนเองวัยรุ่น เป็นโปรแกรม 1 วัน ที่ผสมผสานระหว่างการทำกิจกรรม และการฝึกสติ สมาธิแบบง่ายๆ ประกอบด้วย 9 กิจกรรม &nbsp;โปรแกรม การสร้างความเข้มแข็งทางใจและการเห็นคุณค่าแท้ในตนเองช่วยให้ของวัยรุ่นมีความเข้มแข็งทางใจและเห็นคุณค่าแท้ของตนเองได้มากขึ้น การมีความเข้มแข็งทางใจทำให้วัยรุ่นมีความเพียรพยายาม และการเห็นคุณค่าแท้ในตนเองทำให้วัยรุ่นใช้ชีวิตอย่างถูกต้องดีงาม</p> สิริวัฒน์ ศรีเครือดง พรทิพย์ เกศตระกูล Copyright (c) 2024 วารสารพุทธจิตวิทยา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-31 2024-12-31 9 4 634 645 การพัฒนาหมู่บ้านต้นแบบสันติสุขตามหลักคำสอนของศาสนาในชุมชนบ้านตลาดแขก จังหวัดนครศรีธรรมราช https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/273920 <p>การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาวิถีการดำเนินชีวิตการอยู่ร่วมกันแบบพหุวัฒนธรรมในชุมชนบ้านตลาดแขก 2) เพื่อส่งเสริมกิจกรรมการพัฒนาหมู่บ้านต้นแบบสันติสุขตามหลักคำสอนของศาสนาในชุมชนบ้านตลาดแขก 3) เพื่อนำเสนอรูปแบบกิจกรรมการพัฒนาหมู่บ้านต้นแบบสันติสุขตามหลักคำสอนของศาสนาในชุมชนบ้านตลาดแขก การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสำรวจการรับรู้ชุมชนสันติสุข แบบประเมินความพึงพอใจ การสัมภาษณ์เชิงลึก กิจกรรมเสวนา การสังเกตแบบมีส่วนร่วม และการจัดกิจกรรมสื่อสร้างสรรค์สันติสุข โดยมีผู้ให้ข้อมูลสำคัญและกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 66 รูป/คน ผลการวิจัยพบว่า 1) ชุมชนบ้านตลาดแขก เป็นต้นแบบการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขตามหลักคำสอนของแต่ละศาสนามายาวนาน มีความเป็นพหุวัฒนธรรมที่อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข เข้าใจในความแตกต่าง เคารพในความเชื่อของแต่ละศาสนา และแบ่งปันไม่แบ่งแยก 2) ส่งเสริมด้วยกระบวนการในการปฏิบัติการผ่านกิจกรรม ได้แก่ (1) การถอดบทเรียนชุมชน (2) การลงพื้นที่สำรวจข้อมูลครอบครัวในโครงการวิจัย (3) การจัดประชุมกลุ่มย่อยผู้นำชุมชน เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้านพหุวัฒนธรรม (4) การสำรวจพื้นที่บริบทชุมชน (5) การสร้างเครือข่ายและการสนับสนุนจากภาครัฐ และ (6) กิจกรรมสื่อสร้างสรรค์สันติสุข ในหัวข้อ “นครบันทึก มรดกวัฒนธรรม ชุมชนบ้านตลาดแขกสันติสุข” เพื่อบันทึกเรื่องราวผ่านการเล่าเรื่องราวจากผู้นำศาสนา ผู้นำชุมชน วิถีการดำเนินชีวิตของคนในชุมชนที่อยู่ร่วมกันมายาวนานอย่างสันติสุข 3) รูปแบบกิจกรรมการพัฒนาหมู่บ้านต้นแบบสันติสุขตามหลักคำสอนของศาสนาประกอบด้วย (1) การประสานเครือข่าย (2) สร้างความร่วมมือ (3) เสริมพลังเยาวชน สะท้อนความคิดผ่านมุมมองของเยาวชนโดยใช้แนวทาง UFAS คือ Understand สร้างความเข้าใจ Faith สร้างศรัทธา Appreciate การเห็นคุณค่า Sustainable พัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อปลูกสำนึกสู่เยาวชน</p> กมลาศ ภูวชนาธิพงศ์ อำนาจ บัวศิริ ทิพย์ธิดา ณ นคร อุดม จันทิมา Copyright (c) 2024 วารสารพุทธจิตวิทยา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-31 2024-12-31 9 4 646 658 การพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือเพื่อส่งเสริมพื้นที่สร้างสรรค์ทุนวัฒนธรรมทางสังคม ผ่านคนสามวัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/275593 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือเพื่อส่งเสริมพื้นที่สร้างสรรค์ทุนวัฒนธรรมทางสังคมผ่านคนสามวัย โดยมีความประสงค์เพื่อที่จะ (1) ศึกษารูปแบบการสร้างความร่วมมือเพื่อส่งเสริมพื้นที่สร้างสรรค์ด้วยทุนวัฒนธรรมทางสังคม (2) ศึกษาพัฒนากระบวนการส่งเสริมพื้นที่สร้างสรรค์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ทุนวัฒนธรรมทางสังคมผ่านคนสามวัยและ (3) เพื่อพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือเพื่อส่งเสริมพื้นที่สร้างสรรค์ทุนวัฒนธรรมทางสังคมผ่านคนสามวัย จากการเก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและชุมชน การเก็บข้อมูลภาคสนามในขอบเขตบริเวณพื้นที่ชุมชน ศูนย์การเรียนรู้โรงเรียนชุมชนวัดสุเมธ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และบริเวณพื้นที่ชุมชนตำบลบ้านใหม่ อบต.สำเภาล่ม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ด้วยการสัมภาษณ์ สังเกตและสนทนากลุ่ม โดยเชื่อมโยงความรู้เกี่ยวกับแนวคิดและหลักการทางศาสนาในการอยู่ร่วมกันของชุมชนพื้นที่สร้างสรรค์ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;</p> <p>ผลการศึกษาวิจัยพบว่า ลักษณะความเป็นชุมชนของพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยามีปัจจัยเหมาะสมที่สามารถสร้างสรรค์เป็นพื้นที่ทุนทางวัฒนธรรม และการมีส่วนร่วมของชุมชนภายใต้การใช้พื้นที่ทางสังคมผ่านรูปแบบกิจกรรมอาทิเช่น กิจกรรมการฝึกอบรมการทำผลิตภัณฑ์จากวัสดุธรรมชาติท้องถิ่น สินค้าจากผ้าพิมพ์ลายใบไม้ธรรมชาติ ภายใต้การสร้างพื้นที่สร้างสรรค์จากคนทุกช่วงวัยของชุมชนนำไปสู่การจุดประกายให้ประชาชนเจ้าของพื้นที่ตระหนักถึงอัตลักษณ์อันดีงามของชุมชน รูปแบบการสร้างความร่วมมือเพื่อส่งเสริมพื้นที่สร้างสรรค์ด้วยทุนวัฒนธรรมทางสังคม โดยในด้านกายเน้นความสัมพันธ์ของคนในชุมชน ยอมรับความแตกต่างในการนับถือศาสนาเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขบนพื้นฐานการดำเนินชีวิตแบบพหุวัฒนธรรม ในด้านจิต เน้นการอยู่ร่วมกันโดยปฎิบัติตามหลักศาสนา ภายใต้สังคหวัตถุ 4 หลักธรรมอิทธิบาท 4 และ หลักสัปปุริสธรรม7 ด้านสังคมเป็น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; แนวทางการอยู่ร่วมกันอย่างสร้างสรรค์บนพื้นฐานของหลักฎิบัติที่ดีต่อกัน ด้านปัญญานั้นเน้นการรักษาวิถีชุมชนภายใต้การปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงและยังสามารถวิถีของชุมชนไว้ได้ อีกทั้งยังสามารถถ่ายทอดสู่คนรุ่นต่อไปได้</p> พระมหานันทวิทย์ แก้วบุตรดี กมลาศ ภูวชนาธิพงศ์ พระภาวนาวชิรวิเทศ วิ. มนัสนันท์ ประภัสสรพิทยา หนึ่งธิดา สาริศรี Copyright (c) 2024 วารสารพุทธจิตวิทยา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-31 2024-12-31 9 4 659 676 การศึกษาทักษะการเรียนรู้ชีวิตในยุคดิจิทัล ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นอำเภอปากเกร็ด สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี จังหวัดนนทบุรี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/272391 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาองค์ประกอบทักษะการเรียนรู้ชีวิตในยุคดิจิทัล ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น อำเภอปากเกร็ด&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี จังหวัดนนทบุรี ผู้วิจัย ได้ดำเนินการกระบวนการวิจัยกับประชากร และกลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ในพื้นที่อำเภอปากเกร็ด สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี จังหวัดนนทบุรี &nbsp;โดยมีจำนวนประชากร&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; 7,631 คน และจำนวนกลุ่มตัวอย่าง 366 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าร้อยละ (Percentage) และค่าเฉลี่ย (Mean) มาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) ตามวิธีของลิเคิร์ท (Likert) และใช้ตารางการคำนวณค่า&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ขนาดกลุ่มตัวอย่างของ (Krejcie &amp; Morgan) กำหนดระดับความเชื่อมันที่ 95 %&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า องค์ประกอบทักษะการเรียนรู้ชีวิตในยุคดิจิทัล ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น อำเภอปากเกร็ด สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี จังหวัดนนทบุรี ประกอบด้วยองค์ประกอบ&nbsp; 4 ด้านและมีผล ดังนี้&nbsp; 1) องค์ความรู้สำหรับทักษะการเรียนรู้ชีวิตในยุคดิจิทัล&nbsp; &nbsp; อยู่ในระดับมาก&nbsp; 2) การส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ชีวิตในยุคดิจิทัล อยู่ในระดับมาก&nbsp; 3) สื่อและแหล่งเรียนรู้ทักษะการเรียนรู้ชีวิตในยุคดิจิทัล อยู่ในระดับ&nbsp; &nbsp; &nbsp; มากที่สุด 4) การประยุกต์ใช้ทักษะการเรียนรู้ชีวิตในยุคดิจิทัล อยู่ในระดับมากที่สุดและมีระดับความเชื่อมั่นขององค์ประกอบทั้ง 4 ด้าน ในระดับ&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ความเชื่อมั่นที่ 95 %</p> <p>&nbsp;&nbsp;</p> พัณบงกช ปาณมาลา กิตติชัย รุจิมงคล ประสิทธิ์ ศรเดช Copyright (c) 2024 วารสารพุทธจิตวิทยา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-31 2024-12-31 9 4 677 685