https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/issue/feed
วารสารพุทธจิตวิทยา
2023-12-31T23:32:08+07:00
พระมหาเผื่อน กิตฺติโสภโณ,ผศ.ดร.
[email protected]
Open Journal Systems
<p><strong> วารสารพุทธจิตวิทยา</strong> มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการเผยแพร่บทความวิจัย บทความวิชาการ และ บทความปริทรรศน์ของนักวิจัย นักวิชาการ คณาจารย์ และนักศึกษา ด้วยหวังให้เป็นตลาดแห่งองค์ความรู้ที่สามารถค้นคว้า ถ่ายทอด และแลกเปลี่ยนความรู้ในด้านต่าง ๆ อย่างหลากหลาย วารสารมุ่งเน้นเปิดรับบทความทางด้านจิตวิทยา พระพุทธศาสนา พฤติกรรมศาสนา สังคมวิทยา การศึกษาเชิงประยุกต์และสหวิทยาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ โดยทุกบทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ได้ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ทั้งนี้เปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ วารสารมีค่าเผยแพร่บทความในวารสาร 6,000 บาท</p>
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/258908
พึ่งใหม่: พลังแห่งจิต (สมาธิลืมตา)
2022-05-18T14:52:00+07:00
ธันยพร กริชติทายาวุธ
[email protected]
<p>เพื่อให้บุคคลแต่ละคนมีทักษะในการดูแลรักษาสุขภาวะที่ดีทางจิตใจ การมีความตั้งใจที่ต่อเนื่อง มีสมาธิในการทำสิ่งต่าง ๆ ให้สำเร็จนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ก็ไม่ง่ายที่จะมีเอาชนะใจตนเอง ตั้งใจมีสมาธิได้อย่างต่อเนื่องจนทำกิจบรรลุผลมีประสิทธิภาพ บทความนี้นำเสนอแนวทางในการปรับสภาพจิตใจด้วยการนำสมาธิมาใช้ขณะทำกิจในชีวิตประจำวันซึ่งเป็นการพัฒนาอัจฉริยภาพให้กับสมองและจิตใจควบคู่กันในทางปฏิบัติ ในบทความนี้ จึงเน้นถึงความสำคัญของการมีที่พึ่งใหม่ที่จะทำให้ทรัพยากรคน ให้เป็นคนที่มีสมองและจิตใจที่ไหลลื่นไม่ติดขัดในการจัดการกับกิจการงานทุกชนิด เพื่อให้การทำงานมีคุณภาพมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล เพื่อสร้างพลังจิตใจที่แข็งแรงให้แก่ตนเอง มีสมองและจิตใจที่พร้อมในการทำการงานต่างๆนั้น ก็ไม่พ้นการมีสมาธิที่ดี ด้วยการเข้าใจและมีทักษะการใช้สมาธิแบบลืมตา จะเป็นทางออกที่มาช่วยให้ใช้ในชีวิตจริงได้ ให้มีกายและใจมีสุขภาวะที่ดีได้ รวมถึงการทำให้มีสภาวะลื่นไหล (flow) การสำรวจภาวะแห่งความสุขของจิตใจที่เรียกว่า ภาวะลื่นไหล เป็นความรู้สึกของการมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ในกิจกรรมที่สร้างสรรค์ ที่จะพามนุษย์ออกจากความเครียด มีสมองและจิตใจที่ไหลลื่นไม่ติดขัดได้ตลอดทั้งวัน ในเนื้อหานี้จะต่างไปจากการทำสมาธิเพื่อการ "ตื่นรู้" แต่อย่างไรก็ตาม ผลที่ได้จากการทำสมาธิแบบต่าง ๆ นั้น จะเป็นประสบการณ์ที่ต้องประสบเอง ต้องรู้เองจากการทำสมาธิ</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารพุทธจิตวิทยา
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/266785
An analytical study of speech style from the literary works of Somdet Phra Buddhakhosacariya (P.A. Payutto)
2023-12-02T16:14:03+07:00
Phrakru Phrathipwachiratham (Wichai Chanthalak)
[email protected]
<p>The purpose of this research was to study and analyze the literary speech style of Somdet Phra Buddhaghosacariya (P.A. Payutto), who has many interesting speech styles to present Dhamma messages in the context or situation of using speech style as follows: 1) Frozen Style, 2) Formal Style, 3) Consultative Style, 4) Casual Style and 5) Intimate Style. Somdet Phra Buddhaghosacariya (P.A. Payutto) applies these speech styles in his writings to convey the meaning of the content of Dhamma to the readers to understand more clearly. In addition, the use of the speech style of Somdet Phra Buddhaghosacariya (P.A. Payutto) also has outstanding literary beauty.</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารพุทธจิตวิทยา
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/271108
แนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพด้านการจัดการความปลอดภัยในการทำงานของ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ในประเทศไทย
2023-11-27T14:14:37+07:00
สงกรานต์ เม่นทอง
[email protected]
มีชัย สีเจริญ
[email protected]
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาการจัดการความปลอดภัยในการทำงานของ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และ 2) เพื่อศึกษาแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการความปลอดภัยในการทำงานของ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ประชากรที่ใช้ศึกษาในขั้นตอนนี้คือ ผู้จัดการโครงการ วิศวกรหรือสถาปนิก เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ผู้ควบคุมงานโครงการ ซึ่งได้กำหนดเป็นกลุ่มตัวอย่างโดยสุ่มตัวอย่างน่าจะเป็น ด้วยวิธีการสุ่มแบบง่าย โดยใช้จำนวนทั้งหมดจำนวน 93 หน่วยงานก่อสร้าง เนื่องจากขนาดกลุ่มตัวอย่างมีค่อนข้างน้อย ผู้วิจัยจึงเก็บข้อมูลทุกหน่วยงานก่อสร้างทั่วประเทศไทยได้ขนาดกลุ่มตัวอย่างจำนวน 159 คน ซึ่งกำหนดให้เป็นผู้ตอบแบบสอบถามและการสนทนากลุ่ม กับผู้ให้ข้อมูล ในเชิงลึกที่เกี่ยวกับปัญหาและแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพด้านการจัดการความปลอดภัยในการทำงาน จำนวน 7 คน โดยวิธีการคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง</p> <p>ผลการวิจัยพบว่าแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพด้านการจัดการความปลอดภัยในการทำงานของ บริษัท<br />อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ทั้ง 8 ด้านประกอบด้วย 1) ภาวะผู้นำและการจัดการด้านความปลอดภัย 2) การอบรมผู้บริหาร 3) การตรวจสอบความปลอดภัยตามแผน 4) กฎความปลอดภัยของหน่วยงาน 5) การฝึกอบรมพนักงาน 6) การรณรงค์ส่งเสริม 7) การจ้างและบรรจุพนักงาน 8) การควบคุมการจัดซื้อ แนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพด้านการจัดการความปลอดภัยในการทำงานของ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ควรพัฒนาเพิ่มขึ้นทั้ง 8 ด้าน ตามแนวทางที่ได้ศึกษาวิจัยเพื่อเป็นการยกระดับประสิทธิภาพด้านการจัดการความปลอดภัยในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารพุทธจิตวิทยา
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/268706
การเสริมสร้างการตระหนักรู้ในผลของการเสพสารกลุ่มแอมเฟตามีนด้วยการปรึกษากลุ่ม ตามแนวคิดเกสตัลท์ของผู้เสพสารเสพติด
2023-08-18T08:02:59+07:00
ดำรงศักดิ์ ยืนยาว
[email protected]
ดลดาว วงศ์ธีระธรณ์
[email protected]
ชมพูนุท ศรีจันทร์นิล
[email protected]
<p>งานวิจัยนี้ศึกษาผลของการปรึกษากลุ่มตามแนวคิดเกสตัลท์ที่มีต่อการเสริมสร้างการตระหนักรู้ในผลของการเสพสารกลุ่มแอมเฟตามีน โดยใช้การวิจัยเชิงทดลองประเภทสองตัวประกอบแบบวัดซ้ำหนึ่งตัวประกอบ<br />กลุ่มตัวอย่างคือผู้เข้ารับการบำบัดยาเสพติดแบบควบคุมตัวไม่เข้มงวด ณ ศูนย์บำบัดรักษายาเสพติดที่ผ่านเกณฑ์ในการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างและมีคะแนนการตระหนักรู้ในผลของการเสพสารกลุ่มแอมเฟตามีนจากการทำแบบสำรวจตนเองต่ำที่สุดจำนวน 16 คน ใช้วิธีการสุ่มอย่างง่ายในการแบ่งกลุ่มตัวอย่างออกเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มทดลองจำนวน 8 คนและกลุ่มควบคุมจำนวน 8 คน กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการปรึกษากลุ่มตามแนวคิดเกสตัลท์ จำนวน 12 ครั้ง ครั้งละ 90 นาที เป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์ ส่วนกลุ่มควบคุมได้รับการบำบัดตามโปรแกรมของสถานบำบัดตามปกติ เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล คือแบบประเมินการตระหนักรู้ในผลของการเสพสารกลุ่มแอมเฟตามีน แบ่งการวัดผลออกเป็น 3 ระยะ คือ ระยะก่อนการทดลอง ระยะหลังการทดลองและระยะติดตามผลการทดลอง โดยใช้การวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติพร้อมทั้งวิเคราะห์เนื้อหาจากประสบการณ์ของผู้เข้ารับการปรึกษาเพื่อใช้อภิปรายผลร่วมกับข้อมูลเชิงสถิติ <br />ผลการวิจัยพบว่า (1) มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างวิธีการทดลองกับระยะเวลาในการทดลองและ (2) ผู้รับการบำบัดในกลุ่มทดลองที่ได้รับการปรึกษากลุ่มตามโปรแกรมการวิจัยมีคะแนนการตระหนักรู้ในผลของการเสพสารกลุ่มแอมเฟตามีนสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารพุทธจิตวิทยา
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/266833
สมรรถนะของพระธรรมทูตเพื่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา
2023-08-18T08:02:17+07:00
พระมหาเรวัตร์ ผมหอม
[email protected]
ทักษ์ อุดมรัตน์
[email protected]
วรินทร บุญยิ่ง
[email protected]
ชนัดดา ภูหงส์ทอง
[email protected]
<p>บทความวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสมรรถนะของพระธรรมทูตในการเผยแผ่พระพุทธ ศาสนาในพื้นที่ชายแดน ไทย – เมียนมา 2) เพื่อประเมินสมรรถนะของพระธรรมทูตในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นการวิจัยแบบผสมผสานวิธีเก็บข้อมูลจากพระธรรมทูต จำนวน 15 รูป ใช้วิธีเลือกแบบเจาะจง และใช้แบบสัมภาษณ์ประกอบกับการสนทนากลุ่มเป็นเครื่องมือ ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ผลการวิจัยพบว่า การศึกษาสมรรถนะของพระธรรมทูตในพื้นที่ชายแดน ไทย - พม่า มีอุปสรรคในเรื่องของภาษาการสื่อสาร และวัฒนธรรม เนื่องจากบริบทของคนในพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นชาวชนเผ่าชาติพันธ์ไม่สามารถสื่อภาษาไทยได้ จึงเข้าไม่ถึงธรรมหลักธรรมคำสอนของพุทธศาสนาการเผยแผ่จึงเป็นสิ่งที่ท้าทายและยาก พระธรรมทูตจึงต้องมีบทบาทและหน้าที่สำคัญของอย่างยิ่งและต้องมีการปรับตัวทัศนคติความคิดและวิธีการต่าง ๆ พยายามสร้างความสัมพันธ์กับทุกศาสนา ทุกสถานที่หรือทุกสังคมที่เข้าไป จึงเป็นคุณสมบัติสำคัญของพระธรรมทูตที่ต้องตั้งมั่นในความดีเข้าใจปัญหาและความต้องการของถิ่นฐานที่จะไป มีวิธีการสื่อสารอย่างได้ผลและมุ่งมั่นต่ออุดมการณ์ของพระพุทธศาสนา จึงจะสามารถเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล การประเมินสมรรถนะของพระธรรมทูตในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในพื้นที่ชายแดน ไทย – เมียนมา พบว่า การเผยแผ่จะขับเคลื่อนไปได้ด้วยดีต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญคือ บุคลากรในการเผยแผ่ การเผยแผ่พระพุทธศาสนาจำเป็นต้องมีกองงานพระธรรมทูตส่วนกลาง <br />และสมรรถนะที่เป็นคุณลักษณะในการเผยแผ่ได้แก่ 1. สมรรถนะของพระธรรมทูต ผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ 2. สมรรถนะในการพัฒนาและการปฏิบัติศาสนกิจของพระสงฆ์ไทยในพื้นที่ชายแดนโดยปฏิบัติตามหลักการสำคัญ และ 3. สมรรถนะที่ประกอบด้วยคุณธรรม 4 ประการ</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารพุทธจิตวิทยา
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/272080
การเผยแผ่พระพุทธศาสนา ผ่านวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา ฉบับมุขปาฐะ
2023-12-05T10:34:39+07:00
พระมหาฉัตรชัย สุฉตฺตชโย
[email protected]
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) ศึกษารูปแบบการเผยแผ่พระพุทธศาสนาโดยพระสงฆ์ผ่านวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาฉบับมุขปาฐะ 2) พัฒนารูปแบบการเผยแผ่พระพุทธศาสนาฯ และ 3. เพื่อนำเสนอการเผยแผ่พระพุทธศาสนาโดยพระสงฆ์ฯ เป็นการวิจัยแบบผสมผสานวิธี เชิงปริมาณกลุ่มตัวอย่าง คือ เจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส ผู้ช่วยเจ้าอาวาส และเลขานุการ ในเขตพื้นที่เทศบาลนครเชียงใหม่ จำนวน 313 รูป เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยด้วยแบบสอบถาม วิเคราะห์ด้วยวิธีทางสถิติหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเชิงคุณภาพผู้ให้ข้อมูลสำคัญ คือ พระสงฆ์และผู้เชี่ยวชาญด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่เกี่ยวข้องจำนวน 4 รูป โดยใช้แบบสัมภาษณ์ เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการเผยแผ่พระพุทธศาสนา จำแนกออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการเผยแผ่พุทธศาสนาแบบเชิงรุก ด้านการเผยแผ่พุทธศาสนาแบบเชิงรับ และ ด้านการเผยแผ่พุทธศาสนาแบบผสมผสาน ด้านการเผยแผ่พุทธศาสนาแบบเชิงรุก พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.84 ซึ่งเป็นความคิดเห็นในระดับมาก และ มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 0.45 ด้านการเผยแผ่พุทธศาสนาแบบเชิงรับ พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.12 ซึ่งเป็นความคิดเห็นในระดับปานกลาง และมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 0.71 และ ด้านการเผยแผ่พุทธศาสนาแบบผสมผสาน พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.68 ซึ่งเป็นความคิดเห็นในระดับมาก และมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 0.52 การพัฒนารูปแบบการเผยแผ่พระพุทธศาสนา 1. รูปแบบการท่องจำด้วยวาจาและการสาธยาย 2. รูปแบบการเผยแผ่โดยการพิมพ์ 3. รูปแบบการใช้สื่อวิทยุโทรทัศน์ 4. รูปแบบการสื่อสารโดยโทรคมนาคมและดิจิตอล และ 5. รูปแบบการเผยแผ่ผ่านทางอินเทอร์เน็ต การเผยแผ่พระพุทธศาสนาผ่านวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาฉบับมุขปาฐะ นำเสนอผ่าน การเผยแผ่ตามประเพณีคณะสงฆ์และตามประเพณีไทย การเผยแผ่แบบปรับปรุงให้เหมาะสมกับสภาพสังคมปัจจุบัน </p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารพุทธจิตวิทยา
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/269281
รูปแบบการพัฒนาศูนย์ปฏิบัติธรรมพุ่มวนารามสร้างสุขภาวะองค์รวมตามแนวพุทธจิตวิทยา
2023-08-18T07:59:22+07:00
ตระกูล พุ่มงาม
[email protected]
สิริวัฒน์ ศรีเครือดง
[email protected]
สุวัฒสัน รักขันโท
[email protected]
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาแนวคิดและทฤษฎีรูปแบบการพัฒนาศูนย์ปฏิบัติธรรมพุ่มวนารามสร้างสุขภาวะองค์รวมตามแนวพุทธจิตวิทยา 2) เพื่อพัฒนารูปแบบของศูนย์ปฏิบัติธรรมพุ่มวนารามสร้างสุขภาวะองค์รวมตามแนวพุทธจิตวิทยา และ 3) เพื่อนำเสนอและประเมินรับรองรูปแบบการพัฒนาศูนย์ปฏิบัติธรรมพุ่มวนารามสร้างสุขภาวะองค์รวมตามแนวพุทธจิตวิทยา รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ พื้นที่ในการวิจัยศูนย์ปฏิบัติธรรมพุ่มวนาราม ผู้ให้ข้อมูลหลักจำนวน ทั้งสิ้น 19 รูปหรือคน ใช้วิธีคัดเลือกแบบเจาะจง (purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยใช้แบบสัมภาษณ์เชิงลึกและการสนทนากลุ่ม (Focus Group) วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหาแล้วบรรยายเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. แนวคิดและทฤษฎีรูปแบบการพัฒนาศูนย์ปฏิบัติธรรมพุ่มวนารามสร้างสุขภาวะองค์รวมตามแนวพุทธจิตวิทยา ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบ คือ 1) หลักพุทธธรรมเฉพาะที่สำคัญนำสู่การปฏิบัติให้จิตสงบและเกิดพลังสมาธิ 2) แนวคิดและทฤษฎีจิตวิทยาที่นำมาใช้ในการการพัฒนาศูนย์ปฏิบัติธรรมและผู้มาปฏิบัติธรรม ได้แก่ แนวคิดและทฤษฎีจิตวิทยาลำดับความต้องการของ มาสโลว์ (Maslow) 3) แนวคิดสถาปัตยกรรมและภูมิสถาปัตย์</p> <ol start="2"> <li>รูปแบบการพัฒนาศูนย์ปฏิบัติธรรมพุ่มวนารามสร้างสุขภาวะองค์รวมตามแนวพุทธจิตวิทยา ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ คือ 1) องค์ประกอบด้านสถานที่ คือ พุทธภูมิสถาปัตยกรรม 2) องค์ประกอบด้านการจัดการอาคารสถานที่ปฏิบัติธรรม 3) องค์ประกอบด้านการจัดการการสอนหลักธรรมและการปฏิบัติธรรม ได้แก่วิปัสสนากรรมฐาน 4) องค์ประกอบด้านการบริหารจัดการศูนย์ปฏิบัติธรรมที่สัมพันธ์เกื้อกูลกัน</li> </ol> <p>3. ผลการนำเสนอและประเมินรับรองรูปแบบการพัฒนาศูนย์ปฏิบัติธรรมพุ่มวนารามสร้างสุขภาวะองค์รวมตามแนวพุทธจิตวิทยา มีองค์ประกอบที่สำคัญที่ทำให้เกิดการพัฒนาศูนย์ปฏิบัติธรรม คือ 1) ผู้สอน ผู้บรรยาย 2) แนวทางที่ใช้ถ่ายทอดในการปฏิบัติ 3) สถานที่ 4) การประชาสัมพันธ์ 5) การสร้างการรับรู้ ความเชื่อมั่นแก่ผู้ปฏิบัติธรรม 6) การสร้างเครือข่าย 7) ระบบการจัดการศูนย์ปฏิบัติธรรม 8) ความเป็นศูนย์ปฏิบัติธรรมที่มีคุณภาพ </p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารพุทธจิตวิทยา
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/267526
ผลของโปรแกรมการเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพจิตแบบออนไลน์ต่อภาวะซึมเศร้า ในนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย
2023-08-26T13:19:52+07:00
วรลักษณ์ อินทร์เดช
[email protected]
ชมชื่น สมประเสริฐ
[email protected]
รังสิมันต์ สุนทรไชยา
[email protected]
<p>การวิจัยกึ่งทดลองในครั้งนี้ เป็นการศึกษาผลของการเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพจิตแบบออนไลน์ต่อภาวะซึมเศร้าในนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายในจังหวัดนครสวรรค์ ภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2565 คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างตามเกณฑ์คัดเข้าจำนวน 60 คน ที่ ทั้งเพศหญิงและเพศชาย สุ่มนักเรียนเข้ากลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 30 คน ด้วยวิธีการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) กลุ่มทดลองได้รับการเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพจิตแบบออนไลน์ ประกอบด้วย8 กิจกรรม ดำเนินกิจกรรม 1 ครั้ง/สัปดาห์ ครั้งละ 90 นาที รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 8 สัปดาห์ ส่วนกลุ่มควบคุมจะได้รับการดูแลตามปกติ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) การเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพจิตแบบออนไลน์<br />2) แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล 3) แบบประเมินภาวะซึมเศร้าในวัยรุ่น แปลเป็นภาษาไทยโดย อุมาพร ตรังสมบัติ (2540) โดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติทดสอบค่าที (t-test) ซึ่งผลการวิจัยสามารถสรุปได้ดังนี้</p> <p>1) ค่าเฉลี่ยคะแนนภาวะซึมเศร้าของกลุ่มทดลองหลังได้รับโปรแกรมการเสริมสร้างความรอบด้านสุขภาพจิตแบบออนไลน์ มีค่าเฉลี่ย (M = 36.50, SD = 5.53) ต่ำกว่าก่อนการทดลอง (M = 40.37, SD = 7.70) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t = 2.04, p<.05)</p> <p>2) ผลต่างของค่าเฉลี่ยคะแนนภาวะซึมเศร้าของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย ระหว่างก่อนและหลังที่ได้รับโปรแกรมการเสริมสร้างความรอบด้านสุขภาพจิตแบบออนไลน์ ของกลุ่มทดลอง (1 = -3.87, SD = 10.41) กับกลุ่มควบคุม (2= 1.13, SD = 8.73) มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t = -2.02, p < .05)</p> <p> สรุปได้ว่า โปรแกรมการเสริมสร้างความรอบด้านสุขภาพจิตแบบออนไลน์มีประสิทธิผลทำให้ภาวะซึมเศร้าของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย ลดลงได้มากกว่าการได้รับการดูแลตามปกติ </p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารพุทธจิตวิทยา
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/269472
บทบาทพระสงฆ์ในการดูแลช่วยเหลือด้านสุขภาพจิตและจิตสังคมในช่วงการระบาดโควิด-19 ในชุมชนชนบทแห่งหนึ่ง จังหวัดขอนแก่น
2023-12-21T20:51:45+07:00
ศันสนีย์ จันทสุข
[email protected]
กาญจนา จัตุพันธ์
[email protected]
พิทยา ศรีเมือง
[email protected]
<p>การวิจัยเชิงคุณภาพนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์และบทบาทพระสงฆ์ในการดูแลช่วยเหลือด้านสุขภาพจิตและจิตสังคมที่มีพระสงฆ์เข้าไปเกี่ยวเนื่องในช่วงการระบาดโควิด-19 มีผู้เข้าร่วมวิจัยเป็นสมาชิกในชุมชนแห่งหนึ่ง ในจังหวัดขอนแก่น รวมจำนวน 13 คน เป็นชาย 8 คน หญิง 5 คน อายุ 25-76 ปี เก็บข้อมูลในช่วงเดือนพฤศจิกายน ปี 2565 โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกด้วยแนวคำถามกึ่งมีโครงสร้าง การสัมภาษณ์ใช้เวลา 40-60 นาที เสียงที่ได้จากการบันทึกถูกถอดความแบบคำต่อคำ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลแบบแก่นสาระ ผลการวิจัยพบว่า พระสงฆ์มีบทบาทการดูแลช่วยเหลือด้านสุขภาพจิตและจิตสังคมในสถานการณ์การระบาดโควิด -19 ใน 2 ลักษณะ คือ (1) การเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 โดยพระสงฆ์มีบทบาทในการเป็นต้นแบบการเข้ารับการฉีดวัคซีน สร้างเสริมกำลังใจในการทำงานแก่ผู้นำชุมชนด้วยหลักพุทธธรรม และปรับเปลี่ยนทัศนคติของคนในชุมชนที่มีต่อวัคซีน และ (2) การดำเนินชีวิตประจำวันที่เกี่ยวข้องกับวัดคือศูนย์กลางการกระจายเครื่องอุปโภคบริโภค และการบิณฑบาตเป็นการให้การปฐมพยาบาลทางใจเบื้องต้น ในการวิจัยนี้ พระสงฆ์มีบทบาทสำคัญในการดูแลช่วยเหลือด้านสุขภาพจิตและจิตสังคมในช่วงการระบาดโควิด-19 ในระดับชุมชน ดังนั้น ควรส่งเสริมพระสงฆ์มีส่วนร่วมกับคนในชุมชนในการสร้างเสริมสุขภาพจิต เช่น การถวายความรู้เกี่ยวกับสุขภาพจิตและการดูแลช่วยเหลือสุขภาพจิต ที่เหมาะสมตามบริบทเชิงพื้นที่และมิติทางสังคมวัฒนธรรม รวมทั้งสอดคล้องกับหลักศาสนาต่อไป</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารพุทธจิตวิทยา
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/267631
รูปแบบการดูแลชีวิตระยะท้ายบนฐานทุนวัฒนธรรม
2023-11-02T15:52:14+07:00
ยุทธนา วรุณปิติกุล
[email protected]
<p>การวิจัยเชิงคุณภาพนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการดูแลคุณภาพชีวิตและรูปแบบการดูแลชีวิตระยะท้ายจากกรณีศึกษา 2) สังเคราะห์แนวคิดและรูปแบบการดูแลชีวิตระยะท้ายบนฐานทุนวัฒนธรรม เครื่องมือในการวิจัยประกอบด้วยการวิเคราะห์เอกสารและการลงพื้นที่ การสังเกตการณ์อย่างมีส่วนร่วม การสัมภาษณ์เชิงลึก และการสนทนากลุ่ม ผู้ให้ข้อมูลหลัก คือผู้นำองค์กรด้านการดูแลผู้ป่วยระยะท้าย 5 แห่งแตกต่างกันตามปัญหาสุขภาพต่างช่วงเวลา ประกอบด้วย สถานดูแลผู้ป่วยเอดส์ระยะสุดท้าย วัดพระบาทน้ำพุ ,อโรคยาศาล สถานบริบาลผู้ป่วยมะเร็ง ,กลุ่มคิลานธรรม,ชมรมชายผ้าเหลืองเพื่อเพื่อนผู้ป่วยระยะท้าย,ชีวามิตรวิสาหกิจเพื่อสังคม เก็บข้อมูลวิจัยระหว่าง พฤศจิกายน พ.ศ. 2564-กันยายน พ.ศ.2565</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) รูปแบบการดูแลชีวิตระยะสุดท้ายบนฐานทุนวัฒนธรรม มีองค์ประกอบ ดังนี้<br />1. ทุนทางวัฒนธรรมในตัวบุคคล ได้แก่ผู้นำองค์กร 2. ทุนวัฒนธรรมและการมีส่วนร่วมของสังคม-ชุมชน 3. พินัยกรรมชีวิตซึ่งเป็นมิติทางกฎหมายในการแสดงเจตนาและมิติทางจิตวิญญาณ 2) องค์ความรู้จากการศึกษานี้สามารถสังเคราะห์เป็นรูปแบบการดูแลชีวิตระยะท้ายเพื่อการตายอย่างสงบ ได้แก่ แนวคิดปลูกต้นไม้จิตปัญญาในสวนพระพุทธเจ้า หรือการพัฒนาจิตและปัญญาของบุคคลที่จะนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายการตายดี</p> <p>ผู้วิจัยเสนอแนะว่ารูปแบบการดูแลชีวิตระยะสุดท้ายบนฐานทุนวัฒนธรรม มี 3 รูปแบบที่เหมาะสม คือ<br />1. รูปแบบการดูแลชีวิตระยะท้ายที่บ้านและชุมชน 2. รูปแบบสถานบริบาลชีวิตระยะท้าย(Hospice)ในบริบทท้องถิ่น และ 3. รูปแบบสถานบริบาลโดยวัดหรือองค์การทางศาสนา ซึ่งทุนทางวัฒนธรรมและการสนับสนุนจากสังคมเป็นปัจจัยสำคัญของการดำเนินกิจกรรมการดูแลชีวิตระยะสุดท้ายทำให้องค์กรที่ไม่ใช่ภาครัฐสามารถอยู่รอดและดำเนินกิจกรรมการดูแลชีวิตระยะสุดท้ายได้อย่างต่อเนื่อง จึงควรสนับสนุนให้เกิดความเข้มแข็งและยั่งยืน</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารพุทธจิตวิทยา
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/269653
ความเหนื่อยล้าจากการเห็นอกเห็นใจของผู้ให้การปรึกษาเชิงจิตวิทยา: การวิจัยเชิงปรากฏการณ์วิทยาแบบบรรยาย
2023-12-10T23:24:00+07:00
กิตติทัต แสงส่ง
[email protected]
ชมพูนุท ศรีจันทร์นิล
[email protected]
สุรีพร อนุศาสนนันท์
[email protected]
<p>ในปัจจุบันงานวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับความเหนื่อยล้าจากการเห็นอกเห็นใจส่วนใหญ่จะเกิดช่องว่างในเรื่องของโครงสร้างและความหมาย เนื่องจากโครงสร้างและความหมายในปัจจุบันยังไม่มีความตายตัว ไม่หยุดนิ่งมีข้อขัดแย้งในการให้ความหมาย มีการทับซ้อนกันของความหมายและมีความหมายใหม่ๆเกิดขึ้นตลอดเวลา งานวิจัยเชิงปรากฏการณ์วิทยาแบบบรรยายนี้จึงมุ่งทำความเข้าใจโครงสร้างและความหมายของประสบการณ์ความเหนื่อยล้าจากการเห็นอกเห็นใจของผู้ให้การปรึกษาเชิงจิตวิทยา โดยเก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกกึ่งโครงสร้างและการบรรยายด้วยการเขียนกับผู้เข้าร่วมวิจัยที่เป็นผู้ให้การปรึกษาเชิงจิตวิทยาที่มีประสบการณ์ความเหนื่อยล้าจากการเห็นอกเห็นใจจำนวน 4 คน และวิเคราะห์ข้อมูลตามขั้นตอนของการวิจัยเชิงปรากฏการณ์วิทยาแบบบรรยายของกีออกี ผลการวิจัยแสดงให้เห็นถึงโครงสร้างทั่วไปของความเหนื่อยล้าจากการเห็นอกเห็นใจของผู้ให้การปรึกษาเชิงจิตวิทยาที่ประกอบไปด้วย 1. การขาดหรือมีประสบการณ์ในวิชาชีพที่จำกัด 2. การเกิดความรู้สึกร่วมไปกับความทุกข์ของผู้รับบริการ 3. การที่ไม่สามารถช่วยเหลือผู้รับบริการได้ 4. การไม่สามารถรับมือกับสภาวะอารมณ์ด้านลบจากการทำงานที่เกินขีดความสามารถของตัวเอง 5. การได้รับผลกระทบด้านลบทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ การทำงาน และความสัมพันธ์ ผู้วิจัยอภิปรายผลการวิจัยดังกล่าวเชื่อมโยงกับงานวิจัยที่เกี่ยวข้องและให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการนำผลการวิจัยไปใช้ในการดูแลตนเองของผู้ให้การปรึกษา(ฝึกหัด)และข้อเสนอแนะสำหรับการวิจัยในอนาคต </p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารพุทธจิตวิทยา
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/267653
จินตนาการต่อความตายและการออกแบบชีวิตของผู้สูงวัยที่พำนักในเมืองใหญ่
2023-07-16T10:26:08+07:00
ละเอียด แจ่มจันทร์
[email protected]
<p> การวิจัยเชิงคุณภาพ นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาจินตนาการต่อความตาย 2) การออกแบบชีวิตของผู้สูงวัย กลุ่มตัวอย่างคือผู้สูงวัยในจังหวัดกรุงเทพมหานคร คัดเลือกแบบเจาะจง และเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึก ใช้แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยการเปรียบเทียบเนื้อหาในคำสัมภาษณ์และสรุปเป็น ผลการวิจัยพบว่าผู้สูงวัย มีจินตนาการต่อความตาย 4 ด้าน คือ 1) ความเป็นรูปธรรมในมิติชีวภาพเมื่อร่างกายหยุดทำงาน 2) การรับรู้เชิงนามธรรม สัมพันธ์กับความเชื่อทางศาสนาของตนเอง 3) ความคาดหวังเมื่อใกล้ตาย คือ ตายตามธรรมชาติไม่ยื้อชีวิต รับรู้เกี่ยวกับการรักษาโรค มีการเตรียมตัวให้พร้อมตายดี และเลือกสถานที่ตายที่บ้านมากกว่าโรงพยาบาล 4) ความเชื่อหลังการตาย เชื่อว่าการจุติไปยังภพภูมิอื่นขึ้นอยู่กับบาปหรือบุญที่กระทำเมื่อมีชีวิต สร้างกรรมดีด้วยการบริจาคร่างกาย โลหิต ทรัพย์ สิ่งของ ทำบุญ และไม่เบียดเบียนชีวิตผู้อื่น </p> <p>การออกแบบชีวิตของผู้สูงวัยมี 3 ด้าน คือ 1) ด้านสังคมและวัฒนธรรม ประกอบด้วย มีกลุ่มเพื่อนพูดคุยหรือไปมาหาสู่กันได้ เชื่อมั่นในความสามารถตนเอง มีความเป็นอิสระและพึ่งตนเอง กลับบ้านเกิดเมื่อถึงวัยต้องพึ่งพาผู้อื่น 2) ด้านเศรษฐกิจ มีการจัดการทรัพย์สิน มีเงินออมพอเพียงในการดำรงชีพ 3) ด้านสุขภาพและการเรียนรู้ ให้ความสำคัญการดูแลสุขภาพร่างกาย อาหาร ออกกำลังกายและฝึกสมอง มีการเรียนรู้ตามอัธยาศัยจากประสบการณ์ตรงในชีวิต การอ่าน ฟัง การพบเพื่อนและงานอดิเรก ติดตามข่าวสารจากสื่อโทรทัศน์และโทรศัพท์มือถือ ผลการวิจัยสามารถประยุกต์ใช้ในการเตรียมสารสนเทศก่อนวัยสูงอายุ การศึกษาต่อเนื่องสำหรับผู้สูงอายุ และการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุ</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารพุทธจิตวิทยา
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/270407
แนวทางการจัดการการสื่อสารในการต่อต้านการก่อการร้ายโครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล
2023-11-14T20:36:12+07:00
ศุภชัย สินธุเศรษฐ
[email protected]
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาการจัดการการสื่อสารในการต่อต้านการก่อการร้ายโครงการรถไฟฟ้ามหานครสายเฉลิมรัชมงคล และ 2) เพื่อเสนอแนะการจัดการการสื่อสารในการต่อต้านการก่อการร้ายโครงการรถไฟฟ้ามหานครสายเฉลิมรัชมงคลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น งานวิจัยชิ้นนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการสำรวจเอกสาร และการสัมภาษณ์เชิงลึก กลุ่มผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ภายในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและนักวิชาการ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า การจัดการการสื่อสารที่พบแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ 1) แบบเป็นทางการ โดยมีการจัดตั้งศูนย์กลางในการบริหารจัดการเหตุฉุกเฉิน มีระเบียบ ข้อกำหนด และรูปแบบการสื่อสารที่ชัดเจนตามบทบาทหน้าที่งานและสายการบังคับบัญชาและสั่งการ ในการสื่อสารเชิงป้องกันการก่อการร้าย และ 2) แบบไม่เป็นทางการ ได้แก่ การใช้ Social Media ในโทรศัพท์มือถือ และการใช้วิทยุสื่อสาร มีความเหมาะสมในการใช้งานในช่วงวิกฤต เนื่องจากมีความรวดเร็วและยืดหยุ่นในการสื่อสาร รวมไปถึงการภายนอกกรณีเหตุการก่อการร้ายเกิดขึ้นรุนแรงจะมีการประสานไปยังหน่วยงานระดับประเทศ เช่น ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายสากล เป็นต้น</p> <p>ทั้งนี้พบปัญหาอุปสรรคที่พบ อุปกรณ์สื่อสาร ในการรับส่งไม่ชัดเจน การฝึกซ้อมในการตอบโต้เหตุรุนแรงทำได้น้อยครั้ง การสื่อสารไปยังกลุ่มคนพิเศษ เช่น ชาวต่างชาติ ผู้พิการทางการได้ยิน การบิดเบือนข้อมูลข่าวสารจากสื่อโซเซียล เป็นต้น โดยข้อเสนอแนะของผู้วิจัย ได้แก่ พัฒนารหัสสำหรับใช้ในการสื่อสารสำหรับโซเซียล การนำเทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุนลดภาระของบุคลากร ควรจัดทำมาตรฐานในการปฏิบัติงาน (SOP) และการพัฒนาแนวทางในการสื่อสารกับชาวต่างชาติและผู้พิการ เป็นต้น</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารพุทธจิตวิทยา
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/267766
วิถีสู่ความผาสุกทางใจผ่านการผสานลมหายใจ กาย และจิตของผู้ฝึกโยคะ
2023-08-18T08:00:56+07:00
พชร โตอ่วม
[email protected]
ธีรวรรณ ธีระพงษ์
[email protected]
<p>การวิจัยครั้งนี้มุ่งศึกษากระบวนการพัฒนาความผาสุกทางใจในกลุ่มผู้ฝึกโยคะ โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกด้วยแนวคำถามกึ่งโครงสร้าง ซึ่งมีครูโยคะเป็นผู้นำเข้าสู่ผู้ให้ข้อมูลหลัก และเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบลูกโซ่ร่วมกับการใช้แบบวัดความผาสุกทางใจเพื่อคัดเลือกผู้ฝึกโยคะที่ประสบกับความผาสุกทางใจจำนวน 6 คน ผลการวิจัยพบว่า กระบวนการพัฒนาความผาสุกทางใจของผู้ฝึกโยคะ ประกอบด้วย 1. จากกายสู่ใจ ผู้ฝึกจะเริ่มรับรู้และตระหนักถึงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายผ่านการเคลื่อนไหวและหายใจก่อนที่จะสัมผัสถึงความเบากายสบายใจ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อเนื่องให้เกิด 2. สุขสงบสร้างความเพียร และ 3. เจียรนัยโลกภายใน โดยชั่วโมงการฝึกโยคะที่เพิ่มมากขึ้น ช่วยให้ผู้ฝึกโยคะได้ใช้เวลาทบทวนตนเองจนเริ่มยอมรับถึงกายและใจ รับรู้ถึงความสามารถในการจัดการสถานการณ์ต่าง ๆ รวมถึงมองหาประสบการณ์ใหม่ ๆ เพื่อพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง จากนั้นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่เกิดขึ้นจะช่วยสร้างความสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้างให้แน่นแฟ้นผ่าน 4. (ก) เข้าใจตนจนเข้าถึงใจผู้อื่น อีกทั้งยังช่วยเปิดใจผู้ฝึกที่สวมบทบาทครูสอนโยคะให้ได้เรียนรู้บทเรียนใหม่ ๆ จาก 4. (ข) นักเรียน คุรุคนสำคัญ สุดท้ายการหมั่นฝึกโยคะด้วยใจที่เชื่อมั่นและศรัทธาอย่างต่อเนื่องก่อให้เกิด 5. ยิ่งฝึก ยิ่งตระหนักรู้ ยิ่งเปิดโลกแห่งปัญญา ซึ่งสะท้อนถึงความเข้าใจอย่างถ่องแท้ที่ผู้ฝึกโยคะมีต่อตนเองและโลกภายนอก และที่สำคัญโยคะยังได้กลายมาเป็นวิถีแห่งชีวิตที่เปี่ยมด้วยความหมาย และมอบอิสรภาพในการบัญญัติบรรทัดฐานชีวิตของตนเอง</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารพุทธจิตวิทยา
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/265690
โมเดลสมการโครงสร้างพลังศักยภาพแห่งตนในการส่งเสริม พลังความคิดเชิงบวกตามแนวพุทธจิตวิทยาของพนักงานธุรกิจยานยนต์
2023-07-16T10:21:14+07:00
นรินทร์ชิตา ศีลประชาวงศ์
[email protected]
สิริวัฒน์ ศรีเครือดง
[email protected]
วิชชุดา ฐิติโชติรัตนา
[email protected]
<p>การวิจัยแบบผสานวิธีครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบการสร้างพลังศักยภาพแห่งตนในการส่งเสริมพลังความคิดเชิงบวกของพนักงานธุรกิจยานยนต์ตามหลักพุทธธรรมและทฤษฎีจิตวิทยา 2) พัฒนาและตรวจสอบโมเดลสมการโครงสร้างพลังศักยภาพแห่งตนในการส่งเสริมพลังความคิดเชิงบวกตามแนวพุทธจิตวิทยาของพนักงานบริษัทธุรกิจยานยนต์ 3) นำเสนอโมเดลสมการโครงสร้างพลังศักยภาพแห่งตนในการส่งเสริมพลังความคิดเชิงบวกตามแนวพุทธจิตวิทยาของพนักงานธุรกิจยานยนต์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ การวิจัยเชิงคุณภาพใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกเแบบเฉพาะเจาะจงจำนวน 19 รูป/ท่าน และการสนทนากลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ 9 ท่าน การวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถามกับกลุ่มตัวอย่างเป็นพนักงานธุรกิจยานยนต์จำนวน 458 คน การวิเคราะห์เชิงปริมาณใช้สถิติแบบบรรยายและวิเคราะห์ด้วยโปรแกรม LISREL เพื่อตรวจสอบความสอดคล้องของโมเดลกับข้อมูลเชิงประจักษ์ ผลการวิจัย พบว่า โมเดลสมการโครงสร้างที่พัฒนาขึ้นมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ พิจารณาจาก ค่าไค-สแควร์ c 2 = 0.29 , df = 4 , c 2 /df= 0.25 ,p-value = 0.99, GFI= 1.000, AGFI= 0.997, RMR= 0.0123, RMSEA= 0.086 ผ่านเกณฑ์ทุกตัว พลังศักยภาพแห่งตน ปัจจัยส่งเสริมคุณลักษณะของพนักงาน และ ปัจจัยแวดล้อมพลังศักยภาพทางใจ สามารถร่วมกันอธิบายความแปรปวนของพลังความคิดเชิงบวกได้ถึงร้อยละ 97.20 ทั้งปัจจัยส่งเสริมคุณลักษณะและปัจจัยแวดล้อมเป็นตัวแปรส่งผ่านที่ดี ดังนั้นจึงสามารถสรุปได้เป็น METTATRON+ MODEL ซึ่งเป็นการส่งเสริมพลังทางจิตใจจากหลักธรรมพละ 5 สู่พลังความคิดเชิงบวก<br />มีแนวทางการรักษาพลังความคิดบวกอย่างยั่งยืน คือ PLUS เป็นการสร้างดุลยภาพทางความคิด ทั้งคิดบวกและการรู้จักหยุดคิดด้วยจิตว่าง</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารพุทธจิตวิทยา
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/270479
ปัญหาและอุปสรรคในการจัดการเรียนการสอนวิชาการฝึกยุทธวิธีตำรวจ ตามหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการตำรวจ หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2561 โรงเรียนนายร้อยตำรวจ
2023-11-24T09:44:40+07:00
รัตน์ชัย บูรณาภา
[email protected]
ดิฐภัทร บวรชัย
[email protected]
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาปัญหาและอุปสรรคในการจัดการเรียนการสอนวิชาการฝึกยุทธวิธีตำรวจ 1–4 ให้บรรลุกับมาตรฐานการเรียนรู้ ตามหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการตำรวจ หลักสูตรปรับปรุงพ.ศ. 2561 2) เพื่อศึกษาแนวทางในการจัดการเรียนการสอนวิชาการฝึกยุทธวิธีตำรวจ 1–4 <br />ให้บรรลุกับมาตรฐานการเรียนรู้ 3) เพื่อเสนอแนะแนวทางในการจัดการเรียนการสอนวิชาการฝึกยุทธวิธีตำรวจ <br />1–4 ให้บรรลุกับมาตรฐานการเรียนรู้ กลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญที่ใช้ในการสัมภาษณ์เชิงลึก ได้แก่ ผู้บริหารโรงเรียนนายร้อยตำรว จ 2 คน อาจารย์ผู้รับผิดชอบหลักสูตรและอาจารย์ประจำหลักสูตร 2 คน นักเรียนนายร้อยตำรวจ <br />4 คน อาจารย์ประจำวิชาการฝึกยุทธวิธีตำรวจ 1 – 4 2 คนกรรมการทวนสอบผลสัมฤทธิ์มาตรฐานการเรียนรู้ <br />2 คน เจ้าหน้าที่ประกันคุณภาพการศึกษา 2 คน ผู้ใช้บัณฑิต 2 คนรวมจำนวน 16 คน เครื่องมือที่ใช้ใน การวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ชิงลึก การวิเคราะห์ใช้วิธีวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนาการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า มีปัญหา ได้แก่ ด้านหลักสูตร ด้านการสอน ด้านการวัดผลประเมินผล ด้านการบริหารจัดการและการดำเนินการให้บรรลุผลสำเร็จ ปัญหาเกี่ยวกับผู้บริหารหรือเจ้าหน้าที่ในการฝึกยุทธวิธีตำรวจ ได้แก่ ด้านบุคคลากร ด้านการจัดการของผู้บริหาร ส่วนแนวทางในการจัดการเรียนการสอนวิชายุทธวิธีตำรวจ ได้แก่ การดำเนินการของผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ในการฝึก การบูรณาการร่วมกันกับภาควิชาการและการฝึก และการฝึกการปฏิบัติยุทธวิธีตำรวจต้องคำนึงถึงหลักกฎหมาย ได้แก่ มีอะไรที่ทำได้และทำไม่ได้</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารพุทธจิตวิทยา
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/268007
ปัจจัยด้านองค์การและปัจจัยส่วนบุคคลที่ส่งผลต่อผลิตภาพของพนักงานที่ทำงานที่บ้าน ในช่วงการแพร่ระบาดของโรค COVID-19: กรณีศึกษาบริษัทผู้ผลิตและให้บริการผลิตภัณฑ์เหล็กกล้าแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรปราการ
2023-11-14T21:01:17+07:00
ชูเกียรติ จากใจชน
[email protected]
จิราภรณ์ โภชกปริภัณฑ์
[email protected]
สุวัลลี สัตยาอภิธาน
[email protected]
รุ่งฤดี กล้าหาญ
[email protected]
ศุภมิตร บัวเสนาะ
[email protected]
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับของปัจจัยด้านองค์การ ปัจจัยส่วนบุคคลและผลิตภาพของพนักงานที่ทำงานที่บ้านในช่วงการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านองค์การ ปัจจัยส่วนบุคคล กับผลิตภาพของพนักงานที่ทำงานที่บ้านในช่วงการแพร่ระบาดของโรค COVID-19<br />และ 3) เพื่อศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุของผลิตภาพของพนักงานที่ทำงานที่บ้านในช่วงการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 โดยใช้ปัจจัยด้านองค์การ และปัจจัยส่วนบุคคล ร่วมกันเป็นตัวแปรพยากรณ์ รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างจำนวน 214 คน ใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามเกี่ยวกับปัจจัยด้านองค์การ ปัจจัยส่วนบุคคล และผลิตภาพ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์สหสัมพันธ์ และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1. ปัจจัยด้านองค์การ ปัจจัยส่วนบุคคล และผลิตภาพของพนักงานที่ทำงานที่บ้านในช่วงการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 อยู่ในระดับปานกลางถึงมาก 2. ปัจจัยด้านองค์การ ได้แก่ การสนับสนุนจากองค์การ การสนับสนุนจากผู้บังคับบัญชา สัมพันธภาพกับเพื่อนร่วมงาน และการสนับสนุนด้านอุปกรณ์ดิจิทัลมีความสัมพันธ์ทางบวกกับผลิตภาพอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (r=.497, .475, .617 และ .586 ตามลำดับ) ปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ ความสามารถทางด้านดิจิทัล สุขภาพจิต ความเครียดในงาน และความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว <br />มีความสัมพันธ์ทางบวกกับผลิตภาพอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (r=.599, .647, .506 และ .705<br /><br /></p> <p> </p> <p>ตามลำดับ) และ 3. ความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว และความสามารถทางด้านดิจิทัล ร่วมกันพยากรณ์ผลิตภาพได้ โดยมีประสิทธิภาพของการพยากรณ์ 80.2%</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารพุทธจิตวิทยา
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/271013
ความเข้มแข็งทางใจและเจตคติในการใช้สื่อสังคมออนไลน์ตามหลักหลักสัปปุริสธรรม 7 ของนักเรียนแพทย์ทหาร
2023-12-06T09:26:22+07:00
ปูชนิยะดา วิเชียรธรรม
[email protected]
พระครูสังฆรักษ์เอกภัทร อภิฉนฺโท
[email protected]
<p>การศึกษาวิจัยเชิงสำรวจนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความเข้มแข็งทางใจและเจตคติการใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ของนักเรียนแพทย์ทหาร วิทยาลัยแพทยศาสตร์แห่งหนึ่ง ปีการศึกษา 2563 กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักเรียนแพทย์ทหาร ที่กำลังศึกษาอยู่ชั้น ปีที่ 1-6 ปีการศึกษา 2563 จำนวน 201 คน<br />เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น จำนวน 3 ชุด ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบสอบถามความเข้มแข็งทางใจและเจตคติการใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ตามหลักสัปปุริสธรรม 7 มีค่าความเที่ยงของแบบสอบถามทั้งฉบับ เท่ากับ 0.97 และค่าความเชื่อมั่นของแบบวัดทั้งฉบับ โดยใช้วิธีการหาสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค (Cronbach’s Alpha coefficient) เท่ากับ 0.99 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ด้วยการแจกแจงความถี่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า นักศึกษาแพทย์ทหารส่วนใหญ่เป็นเพศชาย (ร้อยละ 62) เกิดระหว่างปี พ.ศ. 2543<br />(ร้อยละ 42) เข้าศึกษาในปี พ.ศ. 2561(ร้อยละ 36) กำลังศึกษาอยู่ในชั้นปีที่ 3 (ร้อยละ 44) มีเกรดเฉลี่ยสะสมอยู่ระหว่าง 3.25-3.49 (ร้อยละ 39) โดยสื่อสังคมออนไลน์ที่นิยมใช้คือ Line Facebook YouTube และ Instagram ช่วงเวลาที่ใช้จะอยู่ระหว่าง 04-.01-08.00น. โดยมีความในการเข้าใช้งานมากกว่า 1 ครั้ง/วัน (ร้อยละ 96) โดยใช้เวลามากกว่า 3 ชั่วโมง (ร้อยละ 35) อุปกรณ์ที่ใช้งานคือโทรศัพท์มือถือ/สมาร์ทโฟน(ร้อยละ 95) เครือข่ายสังคมออนไลน์ที่ใช้บริการมากที่สุดคือ Line เหตุผลหลักในการใช้คือเพื่อค้นหาเพื่อนใหม่(ร้อยละ 90) ส่วนใหญ่มีเพื่อน 501 คนขึ้นไป (ร้อยละ43) มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อเดือนต่ำกว่าหรือเท่ากัน 10,000 บาท(ร้อยละ 78) ในด้านความเข้มแข็งทางใจของนักเรียนแพทย์ทหาร ชี้ว่า โดยภาพรวมนักเรียนแพทย์ทหารฯ มีความเข้มแข็งทางในอยู่ในระดับมาก ( =3.64, =0.93) เมื่อพิจารณารายด้านโดยเรียงลำดับตามคะแนนเฉลี่ย พบว่า นักเรียนแพทย์ทหารมีความเข้มแข็งทางใจด้านการจัดการกับปัญหา มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับ มาก ( =3.64, =0.87) ด้านกำลังใจ <br />มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับ มาก ( =3.53, =0.95) ด้านความทนทานทางอารมณ์ ค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับ ปานกลาง ( =3.48 S.D.=0.98) ตามลำดับ ผลการวิจัยดังกล่าวแสดงให้เห็นว่านักเรียนฯมีความทนทานทางอารมณน้อยกว่าความเข้มแข็งทางใจด้านอื่นๆ ดังนั้น หากมีการจัดกิจกรรมอบรมให้ความรู้แก่นักเรียนฯเพื่อเสริมสร้างให้ความสามารถทีดีขึ้นในการบริหารจัดการอารมณ์ที่ดีขึ้นก็จะเป็นประโยชน์ต่อการเรียนและการใช้ชีวิตของนักเรียนแพทย์ทหาร ในด้านเจตคติในการใช้สื่อสังคมออนไลน์โดยประยุกต์จากหลักสัปปุริสธรรม 7 โดยภาพรวม นักเรียนแพทย์ทหารระดับคะแนนเฉลี่ยเจตคติในการใช้สื่อสังคมออนไลน์ประยุกต์ตามหลักสัปปุริสธรรม 7 อยู่ในระดับ มาก ( =4.00, =0.78) เมื่อพิจารณาด้านที่มีค่าเฉลี่ยคะแนนน้อยที่สุดสามอันดับแรก พบว่า กาลัญญุตา(ความเป็นผู้รู้จักกาล) ( =3.79, =0.82) ปริสัญญุตา(ความเป็นผู้รู้จักชุมชน) ( =3.98, =0.78) <br />และความเป็นผู้รู้จักตน(อัตตัญญุตา) ( =4.01, =0.75) มีค่าเฉลี่ยคะแนนน้อยที่สุด ผลการวิจัยนี้สะท้อนให้เห็นว่าควรมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมให้นักเรียนแพทย์ด้านการบริหารจัดการเวลาในการใช้สื่อสังคมออนไลน์ การปฏิบัติตนอย่างเหมาะสมในสื่อสังคมออนไลน์และการสำเสนอตนเองตลอดจนการรักษาความเป็นตัวในสื่อสังคมออนไลน์</p>
2023-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารพุทธจิตวิทยา