https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/issue/feed วารสารพุทธจิตวิทยา 2024-09-30T04:16:51+07:00 พระมหาเผื่อน กิตฺติโสภโณ,ผศ.ดร. jbp.mcu@gmail.com Open Journal Systems <p><strong> วารสารพุทธจิตวิทยา</strong> <strong>ISSN: 2774-1095 (Online)</strong> มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการเผยแพร่บทความวิจัย บทความวิชาการ และ บทความปริทรรศน์ของนักวิจัย นักวิชาการ คณาจารย์ และนักศึกษา ด้วยหวังให้เป็นตลาดแห่งองค์ความรู้ที่สามารถค้นคว้า ถ่ายทอด และแลกเปลี่ยนความรู้ในด้านต่าง ๆ อย่างหลากหลาย วารสารมุ่งเน้นเปิดรับบทความทางด้านจิตวิทยา พระพุทธศาสนา พฤติกรรมศาสนา สังคมวิทยา การศึกษาเชิงประยุกต์และสหวิทยาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ โดยทุกบทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ได้ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ในลักษณะปกปิดรายชื่อ (Double blind peer-reviewed) ทั้งนี้เปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ วารสารมีค่าเผยแพร่บทความในวารสาร 6,000 บาท</p> https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/279601 An Investigation of Sensory Processing Sensitivity in Thai Undergraduate Students: Exploring Causal Relationships with Positive Psychological Factors 2024-08-06T16:05:44+07:00 Tawin Pichyathaninkul tawin.pich@gmail.com Patcharaporn Srisawat patcharapom@g.swu.ac.th Wilailak Langka wilailakl@swu.ac.th <p>The objectives of this research are as follows: (1) to compare the level of Sensory Processing Sensitivity (SPS) between two groups of late adolescents, including a Highly Sensitive Person (HSP) and a non-Highly Sensitive Person (non-HSP); and (2) to explore the causal models of positive psychological factors, and SPS in late adolescence, included 306 undergraduate students from simple random sampling, majoring in the Faculty of Education from three universities in Bangkok, Thailand, who collaborated with members of the Council of University Presidents of Thailand. The research instruments are the general information (six demographic questions) and three psychological scales for undergraduate students (Highly Sensitive Person, Psychological Capital (Psycap), and Self-Compassion, evaluated in five-rating scales). These three scales were determined with Cronbach's alpha coefficient of 0.925, 0.909, and 0.852, respectively. All the data are calculated in descriptive, and causal model analysis. This research found that the SPS in the samples was normalized t-score at a percentile rank of 3.30-100.00. Furthermore, the Lisrel 12.4.3.0 can explore the causal model of samples with about 37.20% of model consistency to represent the samples. Moreover, the model’s Total Effect (TE) of the model was considered as TE = -0.66 between SPS and Self-compassion. In contrast, SPS and Psycap are considered as TE= 0.18. Investigations into the influence of positive psychological factors on Thai undergraduate students are essential to determine how these factors can be leveraged to mitigate potential challenges associated with Sensory Processing Sensitivity (SPS) and ultimately enhance their Psychological Capital (Psycap), thereby promoting academic success.</p> 2024-09-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารพุทธจิตวิทยา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/271957 การศึกษาแนวทางการพัฒนาและปรับปรุงหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษาที่เน้นผลลัพธ์การเรียนรู้ ตามเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา พ.ศ. 2565: สาขาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น 2024-06-05T13:24:11+07:00 นิตยา สำเร็จผล patchara.aew@gmail.com ศิลปชัย บูรณพานิช patchara.aew@gmail.com พัชรา แย้มสำราญ patchara.aew@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาและปรับปรุงหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษาตามเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรระดับอุดมศึกษา พ.ศ. 2565 สาขาหลักสูตรและการสอน ทำการวิจัยโดยการรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการทำวิจัยเชิงปฏิบัติการ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ประกอบด้วย คณาจารย์ บัณฑิตวิทยาลัย สาขาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น จำนวน 10 คน นิสิตและผู้สำเร็จการศึกษาในสาขาหลักสูตรและการสอน ระดับปริญญาโทและเอก จำนวน 13 คน (customers) ผู้ใช้บัณฑิตจากสาขาหลักสูตรและการสอน ทั้งภาครัฐและเอกชน (stakeholders) จำนวน 12 คน เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย 1) แนวคำถามในการสัมภาษณ์และประเด็นคำถามในการสนทนากลุ่มย่อย (Focus Group Discussion) เกี่ยวกับความคิดเห็นในการจัดการศึกษาหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา สาขาหลักสูตรและการสอนที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน และความคิดเห็นเกี่ยวกับคุณลักษณะที่คาดหวังของผู้เรียน และผู้สำเร็จการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา สาขาหลักสูตรและการสอน 2) แบบฟอร์มหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษาสาขาหลักสูตรและการสอนที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น และ 3) แบบตรวจสอบความสอดคล้องของหลักสูตรกับเกณฑ์มาตรฐานคุณวุฒิระดับบัณฑิตศึกษา ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา </p> <p>ผลการวิจัยพบว่า แนวทางในการจัดทำหลักสูตรที่เน้นผลลัพธ์การเรียนรู้ตามเกณฑ์มาตรฐานคุณวุฒิระดับบัณฑิตศึกษา หลักสูตรศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาหลักสูตรและการสอน ประกอบด้วยขั้นตอนดังนี้</p> <p>ขั้นที่ 1 การศึกษาสาระสำคัญของประเด็นที่ต้องนำมาใช้ในการจัดทำหลักสูตรให้สอดคล้องกับเกณฑ์มาตรฐานคุณวุฒิระดับบัณฑิตศึกษา</p> <p>ขั้นที่ 2 การกำหนดผลลัพธ์การเรียนรู้ของหลักสูตร (Program Learning Outcomes : PLO) </p> <p>ขั้นที่ 3 การออกแบบหลักสูตรให้สอดคล้องกับผลลัพธ์การเรียนรู้ของหลักสูตร</p> <p>ขั้นที่ 4 การจัดทำรายละเอียดของหลักสูตร ให้มีประเด็นครบถ้วนตามเกณฑ์ที่กำหนด </p> <p>ขั้นที่ 5 การตรวจสอบความสอดคล้องของรายละเอียดหลักสูตรกับเกณฑ์การตรวจสอบและรับรองหลักสูตร</p> 2024-09-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารพุทธจิตวิทยา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/278370 การเปรียบเทียบปัจจัยทางประชากรศาสตร์และสุขภาพจิตเชิงบวกของนักศึกษาที่มีความหลากหลายทางเพศ 2024-06-18T10:17:04+07:00 ชุณิภา เปิดโลกนิมิต chunipha@hotmail.com <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสุขภาพจิตเชิงบวกของนักศึกษาที่มีความหลากหลายทางเพศ และ 2) เปรียบเทียบปัจจัยทางประชากรศาสตร์และสุขภาพจิตเชิงบวกของนักศึกษาที่มีความหลากหลายทางเพศ งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงปริมาณแบบเชิงสำรวจ กลุ่มตัวอย่างคือนักศึกษาที่มีความหลากหลายทางเพศที่กำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยภาครัฐ กรุงเทพมหานครจำนวน 400 คน เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามสุขภาพจิตเชิงบวกโดยมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.96 และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ค่าสถิติที<br />(t-test) และ ความแปรปรวนทางเดียว (one-way Anova) ผลการศึกษาพบว่า นักศึกษาที่มีความหลากหลายทางเพศมีสุขภาพจิตเชิงบวกโดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากโดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด ได้แก่ การเห็นคุณค่าในตนเอง (M=4.19, SD= 0.63) การยอมรับตนเอง (M =4.16, SD= 0.50) และความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล (M=4.05, SD= 0.61) เมื่อเปรียบเทียบตามปัจจัยทางประชากรศาสตร์ พบว่า นักศึกษาชายมีสุขภาพจิตเชิงบวกสูงกว่านักศึกษาหญิงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t = 6.753, p &lt; .05) และนักศึกษาที่มีอัตลักษณ์ทางเพศแบบชายรักชายมีสุขภาพจิตเชิงบวกสูงกว่ากลุ่มอื่นๆ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 ผลการวิจัยนี้ให้ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับสุขภาพจิตเชิงบวกของนักศึกษาที่มีความหลากหลายทางเพศและชี้ให้เห็นแนวทางในการวิจัยและพัฒนาการส่งเสริมสุขภาพจิตให้แก่นักศึกษากลุ่มนี้ต่อไป</p> 2024-09-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารพุทธจิตวิทยา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/272654 การพัฒนากระบวนการและการสร้างเครือข่ายการแนะแนววิถีพุทธสำหรับบุคลากร ทางการศึกษาในสังคมไทย 2024-06-21T07:23:06+07:00 สายหยุด มีฤกษ์ Sayyud.mrk@mcu.ac.th พระสมุห์โชคดี วชิรปญฺโญ Sayyud.mrk@mcu.ac.th วิชชุดา ฐิติโชติรัตนา Sayyud.mrk@mcu.ac.th พรทิพย์ วรรณวิโรจน์ Sayyud.mrk@mcu.ac.th พระครูปลัดมารุต วรมฺงโล Sayyud.mrk@mcu.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อการสังเคราะห์และถอดองค์ความรู้การแนะแนวต้นแบบในประเทศไทย 2) เพื่อพัฒนานวัตกรรมกระบวนการแนะแนววิถีพุทธสำหรับบุคลกรทางการศึกษาในสังคมไทย 3) เพื่อสร้างเครือข่ายกระบวนการแนะแนววิถีพุทธสำหรับบุคลกรทางการศึกษาในประเทศไทย ดำเนินการวิจัยคุณภาพ (Qualitative Research) ศึกษาข้อมูลจาก (Documentary Research) แหล่งข้อมูลทุติยภูมิ ควบคู่กับการวิจัยเชิงปฏิบัติการภาคสนาม (Action Research) มุ่งเน้นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมจากแหล่งข้อมูลปฐมภูมิจากศูนย์แนะแนวต้นแบบ 4 จังหวัด 4 โรงเรียน สัมภาษณ์ครูแนะแนวและบุคลากรทางการศึกษา จำนวน 8 รูป/คน สนทนากลุ่ม (Focus Group) โดยผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญ จำนวน 12 รูป/คน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. การสังเคราะห์และถอดองค์ความรู้การแนะแนวต้นแบบในประเทศไทยมีกระบวนการแนะแนวเป็นกระบวนการที่ช่วยให้ผู้เรียน ได้รู้จักและเข้าใจตนเองอย่างถูกต้อง รู้ขอบเขตความสามารถของตน เห็นคุณค่าของตน มีทักษะและวิจารณญาณในการ ตัดสินและแก้ปัญหาได้ด้วยตนเองอย่างฉลาด และวางแนวทางการดำเนินชีวิตได้อย่างถูกต้องเหมาะสมและรู้เท่าทัน สามารถปรับตัวเข้ากับบุคคลอื่นและสิ่งแวดล้อมได้เป็นอย่างดี มีสุขภาพจิตที่ดี เป็นสมาชิกที่ดีมีประโยชน์ต่อครอบครัวและสังคม ขอบข่ายการแนะแนวต้นแบบในประเทศไทย แนะแนวเป็นงานบริการแนะแนวในโรงเรียนที่มุ่งให้ความช่วยเหลือนักเรียนในด้านต่าง ๆ เป็นงานที่มีขอบข่ายการแนะแนว 3 ด้าน คือ การแนะแนวด้านการศึกษา การแนะแนวด้านอาชีพ และการแนะแนวด้านส่วนตัวและสังคม 2. การพัฒนานวัตกรรมกระบวนการแนะแนววิถีพุทธสำหรับบุคลกรทางการศึกษาในสังคมไทย เป็นนวัตกรรมที่เป็นกระบวนการ พัฒนาต่อยอดงานแนะแนวที่ดำเนินการอยู่ให้มีประสิทธิภาพและมีคุณค่ามากขึ้นโดยการประยุกต์ใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเข้ามาผสานกับการดำเนินงานแนะแนว ประกอบด้วยโมดูลการฝึกอบรม 6 โมดูล ประกอบด้วย โมดูลที่ 1 คุณค่าของงานแนะแนววิธีพุทธ โมดูลที่ 2 เสริมศรัทธาครูแนะแนววิถีพุทธ โมดูลที่ 3 ครูแนะแนวหัวใจพุทธ โมดูลที่ 4 ขอบข่ายงานแนะนววิถีพุทธ โมดูลที่ 5 บริการแนะแนววิถีพุทธสู่การปฏิบัติ 3. สร้างเครือข่ายกระบวนการแนะแนววิถีพุทธสำหรับบุคลกรทางการศึกษาในประเทศไทยมีการจัดประชุมสัมมาเชิงปฏิบัติการเพื่อสร้างเครือข่ายกระบวนการแนะแนววิถีพุทธ เพื่อหาสมาชิกในการขับเคลื่อนเครือข่าย มีขั้นตอนการสร้างเครือข่าย 3 ขั้นตอน 1) ขั้นตอนการสร้างผู้นำ 2) ขั้นตอนการสร้างจิตสำนึก 3) ขั้นตอนการแสวงหาสมาชิกเครือข่าย มีองค์ประกอบของเครือข่าย 1) มีสมาชิกเครือข่าย 5 โรงเรียน 2) มีศูนย์ประสานงานที่ภาควิชาจิตวิทยาการศึกษาและการแนะแนวคณะครุศาสตร์ และ 3) มีวัตถุประสงค์ในการสร้างเครือข่ายเพื่อการจัดบริการแนะแนว 5 บริการในสถานศึกษา</p> 2024-09-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารพุทธจิตวิทยา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/266263 A Study of Improving English Speaking Skills for The IELTS Test of Students at Foreign Trade University of Hanoi in Vietnam 2024-03-21T03:47:10+07:00 Phan Thi Tho thophan.rabbit@gmail.com <p>University in Hanoi, Vietnam; and 3) To propose strategies and techniques to improve speaking skills for IELTS of students at Foreign Trade University in Hanoi, Vietnam. This research is a mixed research design between quantitative and qualitative. A questionnaire was used to collect qualitative data from 120 Vietnamese students at Foreign Trade University in Hanoi, Vietnam. Furthermore, an in-depth interview was conducted with five key informants teaching IETST at some universities in Hanoi, Vietnam, and English centers. According to the results of research, there are five problems related to Speaking techniques of the IELTS Speaking Test, which include: 1) insufficient practice time, 2) poor pronunciation, 3) grammatical errors, 4) inability to speak fluently, and 5) unnatural style and incorrect pronunciation.</p> 2024-09-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารพุทธจิตวิทยา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/278510 การพัฒนาสมรรถนะการให้คำปรึกษากลุ่มเพื่อเสริมสร้างความหยุ่นตัวของผู้สูงอายุ สำหรับนักศึกษาครู มหาวิทยาลัยราชภัฏ โดยการฝึกอบรมเชิงจิตวิทยา 2024-07-12T10:07:24+07:00 วิมพ์วิภา บุญกลิ่น wimma74@hotmail.com มณฑิรา จารุเพ็ง wimma74@hotmail.com พัชราภรณ์ ศรีสวัสดิ์ wimma74@hotmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาโปรแกรมฝึกอบรมเชิงจิตวิทยาเพื่อพัฒนาสมรรถนะการให้คำปรึกษากลุ่มเพื่อเสริมสร้างความหยุ่นตัวของผู้สูงอายุสำหรับนักศึกษาครู และ 2) เปรียบเทียบสมรรถนะการให้คำปรึกษากลุ่มเพื่อเสริมสร้างความหยุ่นตัวของผู้สูงอายุของนักศึกษาครูที่เข้าร่วมโปรแกรมฝึกอบรมเชิงจิตวิทยาก่อนการทดลอง หลังการทดลอง และการติดตามผล กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 ใช้เพื่อหาแนวทางในการพัฒนาโปรแกรม ได้แก่ นักวิชาการ จำนวน 8 คน และกลุ่มที่ 2 ใช้ในการทดลอง ได้แก่ นักศึกษาครู มหาวิทยาลัยราชภัฏ จำนวน 8 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบวัดสมรรถนะการให้คำปรึกษากลุ่มเพื่อเสริมสร้างความหยุ่นตัวของผู้สูงอายุสำหรับนักศึกษาครู และโปรแกรมฝึกอบรมเชิงจิตวิทยา มีคุณภาพของโปรแกรมอยู่ในระดับมากที่สุด (M=4.73, SD=0.48) สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ความแปรปรวนซ้ำ ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1) โปรแกรมฝึกอบรมเชิงจิตวิทยาเพื่อพัฒนาสมรรถนะการให้คำปรึกษากลุ่มเพื่อเสริมสร้างความหยุ่นตัวของผู้สูงอายุสำหรับนักศึกษาครู มหาวิทยาลัยราชภัฏ มีจำนวน 14 ครั้ง โดยมีการประยุกต์ใช้ทฤษฎีทางจิตวิทยามาใช้ในการฝึกอบรม และ 2) นักศึกษาครูที่เข้าร่วมโปรแกรมฝึกอบรมเชิงจิตวิทยามีสมรรถนะการให้คำปรึกษากลุ่มเพื่อเสริมสร้างความหยุ่นตัวของผู้สูงอายุก่อนการทดลอง หลังการทดลอง และการติดตามผล มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> 2024-09-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารพุทธจิตวิทยา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/273964 โมเดลสมการโครงสร้างปัจจัยการบริหารจัดการที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิผล การป้องกันและควบคุมการติดเชื้อโควิด 19 ของโรงงานอุตสาหกรรม ประเภทการผลิต ภาคตะวันออก ประเทศไทย 2024-09-16T15:50:47+07:00 เพียงใจ บุญสุข phiangjai.boonsuk@gmail.com ประภาเพ็ญ สุวรรณ Phiangjai.boonsuk@gmail.com <p>การแพร่ระบาดของโควิด 19 ทำให้เกิดการเจ็บป่วยและการเสียชีวิตอย่างมาก การระบาดยังส่งผลต่อ ระบบสุขภาพ สังคมและเศรษฐกิจของประเทศอย่างรุนแรง โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมการผลิต การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยการบริหารจัดการและประสิทธิผลของการป้องกันและควบคุมการติดเชื้อโควิด 19 ของโรงงานอุตสาหกรรม 2) พัฒนาโมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของปัจจัยการบริหารจัดการและประสิทธิผลของการป้องกันและควบคุมการติดเชื้อโควิด 19 และ3) สร้างแผนภาพเส้นทางและน้ำหนักของตัวชี้วัดสาเหตุของตัวแปรประสิทธิผล ผู้ให้ข้อมูล 380 คน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงปริมาณ และวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันและเส้นทางอิทธิพล (Path Analysis) โดยใช้โปรแกรม ลิสเรล</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ผู้ให้ข้อมูลมีการรับรู้ในภาพรวมเกี่ยวกับประสิทธิผลของการป้องกันและควบคุมการติดเชื้อโควิด 19 อยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.31) เมื่อจำแนกรายด้าน พบว่า การรับรู้ของพนักงานต่อกิจกรรมการดำเนินงานการป้องกันและควบคุมโควิด 19 และความพึงพอใจของพนักงาน อยู่ในระดับมากที่สุด<br />มีค่าเฉลี่ยการรับรู้เท่ากับ 4.33 และ 4.30 ตามลำดับ ปัจจัยการบริหารจัดการทุกด้านมีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .00 (KMO=0 .938, df=1.275) โมเดลสมการโครงสร้างมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ในทุกด้าน (c<sup>2</sup>= 86.416, df=75, p-value=0.173, c<sup>2</sup>/df =1.152, CFI=0.997, GFI =0.973, AGFI=0.951, RMSEA=0.020, RMR=0.003) พบว่า ปัจจัยการจัดสิ่งแวดล้อม การบริหารจัดการองค์การ การมีส่วนร่วม มีอิทธิพลทางตรงต่อประสิทธิผลการป้องกันและควบคุมการติดเชื้อโควิด 19 และสามารถพยากรณ์ตัวแปรประสิทธิผลได้ร้อยละ 96.0, 14.0 และ 8.0 ตามลำดับ </p> 2024-09-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารพุทธจิตวิทยา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/268082 รูปแบบการเสริมสร้างสติและการเห็นคุณค่าในตนเองเพื่อความสุขของผู้สูงอายุในสังคมไทย 2023-08-14T10:07:29+07:00 ณัฐชยานันทน์ ทองสาริ nutchayanun.to@kmids.ac.th เมธาวี อุดมธรรมานุภาพ Nutchayanun.t@kmids.ac.th สิริวัฒน์ ศรีเครือดง Nutchayanun.t@kmids.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาคุณลักษณะที่เสริมสร้างความสุขตามหลักพุทธจิตวิทยาสำหรับผู้สูงอายุในสังคมไทย 2) เพื่อสร้างรูปแบบการพัฒนาสติและการเห็นคุณค่าในตนเองตามหลักพุทธจิตวิทยาเสริมสร้างความสุขของผู้สูงอายุในสังคมไทย และ 3) เพื่อนำเสนอรูปแบบการพัฒนาสติและการเห็นคุณค่าในตนเองตามหลักพุทธจิตวิทยาเสริมสร้างความสุขของผู้สูงอายุในสังคมไทย เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกโดยเก็บข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 17 รูปหรือคน และการจัดสนทนากลุ่มเฉพาะ โดยผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้อง จำนวน 17 รูปหรือคน รวมถึงการจัดประชุมผู้เชี่ยวชาญพิเศษเพื่อให้การรับรองรูปแบบงานวิจัยอีกจำนวน 9 รูปหรือคน ผ่านกระบวนการวิเคราะห์สังเคราะห์ด้วยเครื่องมือทางระเบียบวิธีวิจัยที่ได้รับการยอมรับ</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1. ปัจจัยที่เสริมสร้างความสุขตามหลักพุทธจิตวิทยาสำหรับผู้สูงอายุในสังคมไทยโดยรวมของผู้สูงอายุ ได้แก่ หลักพุทธธรรม คือ สติปัฎฐาน 4 และภาวนา 4 และทฤษฎีจิตวิทยา คือ ทฤษฎีแนวคิดเชิงบวก PERMA Model และทฤษฎีจิตวิทยาการเห็นคุณค่าในตนเองของ Cooper smith ที่มีความสอดคล้องและเหมาะสมกับการเสริมสร้างสติและการเห็นคุณค่าในตนเองเพื่อความสุขของผู้สูงอายุในสังคมไทย ใน 4 ด้านคือ ด้านร่างกาย ด้านจิตใจ ด้านสังคม และด้านสติปัญญา 2. รูปแบบการเสริมสร้างสติและการเห็นคุณค่าในตนเองเพื่อความสุขของผู้สูงอายุในสังคมไทย เป็นการสร้างรูปแบบการเสริมสร้างสติและการเห็นคุณค่าในตนเองเพื่อความสุขของผู้สูงอายุในสังคมไทย โดยการบูรณาการ ๓ หลักพุทธธรรม ทฤษฎีจิตวิทยา และแนวคิดเกี่ยวกับผู้สูงอายุในสังคมไทย เรียกว่า รูปแบบ “LOVES Model” ประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญ 6 ประการ คือ 1) ชื่อรูปแบบ 2) หลักการและเหตุผล 3) วัตถุประสงค์ 4) เนื้อหาของรูปแบบ 5) การนำรูปแบบไปใช้งาน และ 6) การติดตามและประเมินผลเนื้อหารูปแบบ ซึ่งส่งผลต่อ<br />การเสริมสร้างสติและการเห็นคุณค่าในตนเองเพื่อความสุขของผู้สูงอายุในสังคมไทยอย่างแท้จริง 3. การนำเสนอรูปแบบการเสริมสร้างสติและการเห็นคุณค่าในตนเองเพื่อความสุขของผู้สูงอายุในสังคมไทย ที่เรียกว่า รูปแบบ “LOVES Model” ประกอบด้วย 1) L - Lifelong learning การเรียนรู้ตลอดชีวิต 2) Opportunity การเห็นโอกาสทุกชั่วขณะ 3) V – Value การเห็นคุณค่าในตนเอง 4) E – Equality in life การมีประสิทธิภาพในการดำเนินชีวิต 5) S - Self-Esteem การเห็นคุณค่าในตนเอง และการเคารพนับถือตนเอง</p> 2024-09-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารพุทธจิตวิทยา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/278971 การเสริมสร้างวุฒิภาวะทางอาชีพของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยโปรแกรมการให้คำปรึกษาทางอาชีพแบบกลุ่ม 2024-07-08T13:13:18+07:00 สุมาลี ขำอิน sumalee.kh@ku.th พัชราภรณ์ ศรีสวัสดิ์ s_patcharaporn@hotmail.com วิไลลักษณ์ ลังกา w_langka@hotmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาโปรแกรมการให้คำปรึกษาทางอาชีพแบบกลุ่มเพื่อเสริมสร้างวุฒิภาวะทางอาชีพของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 2) เพื่อเปรียบเทียบวุฒิภาวะทางอาชีพของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายกลุ่มทดลองระยะก่อนการทดลอง ระยะหลังการทดลอง และระยะการติดตามผล 3) เพื่อเปรียบเทียบวุฒิภาวะทางอาชีพของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายระยะก่อนการทดลอง ระยะหลังการทดลอง และระยะการติดตามผล ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จำนวน 16 คน คัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง โดยพิจารณาจากคะแนนแบบวัดวุฒิภาวะทางอาชีพที่มีคะแนนต่ำกว่าเปอร์เซ็นต์ไทล์ที่ 25 ลงมา โดยแบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 8 คน และกลุ่มควบคุม 8 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบวัดวุฒิภาวะทางอาชีพของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จำนวน 32 ข้อ มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ .95 และโปรแกรมการให้คำปรึกษาทางอาชีพแบบกลุ่มเพื่อเสริมสร้างวุฒิภาวะทางอาชีพของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย การวิเคราะห์ความแปรปรวนวัดซ้ำแบบทางเดียว และการวิเคราะห์ความแปรปรวนวัดซ้ำแบบสองทางเป็นการเปรียบเทียบรายคู่ ผลการวิจัยพบว่า 1) โปรแกรมการให้คำปรึกษาทางอาชีพแบบกลุ่ม ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นจัดสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ครั้งละ 60-90 นาที รวมทั้งสิ้น 10 ครั้ง คลอบคลุมองค์ประกอบ ได้แก่ การวางแผนอาชีพ การสำรวจอาชีพ การตัดสินใจ และข้อมูลของโลกการทำงาน โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการให้คำปรึกษากลุ่ม จำนวน 6 ทฤษฎี ร่วมกับการใช้แบบจำลองการคิด (CIP Model) และเทคนิคการตั้งเป้าหมายแบบ SMART 2) นักเรียนกลุ่มทดลองมีวุฒิภาวะทางอาชีพสูงกว่าก่อนการทดลอง หลังการทดลอง และติดตามผลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) นักเรียนกลุ่มทดลองมีวุฒิภาวะทางอาชีพหลังการทดลอง และติดตามผลสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จากผลการวิจัยที่ได้ ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะว่าการจัดโปรแกรมการให้คำปรึกษาทางอาชีพแบบกลุ่มสามารถเสริมสร้างวุฒิภาวะทางอาชีพได้แต่ควร ควรมีความรู้ ความเข้าใจ และมีทักษะพื้นฐานของการให้คำปรึกษาทางอาชีพแบบกลุ่มเพื่อก่อให้เกิดความถูกต้องและมีประสิทธิภาพสูงสุด</p> 2024-09-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารพุทธจิตวิทยา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/269486 The Use of English Vocabulary of Master’s Degree Students in Buddhist Educational Administration of the Faculty of Education at Mahachulalongkornrajavidlaya University 2024-03-13T13:08:35+07:00 Phra Authen Apiwatthano (Bunsam) phraauthen1990@gmail.com Veerakarn Kanokkamalade phraauthen1990@gmail.com Phra Wichian Parichano phraauthen1990@gmail.com <p>The objectives of this research were (1) to study the use of English vocabulary by the Second year Master’s Degree Students in Buddhist Educational Administration of the Faculty of Education and(2) to analyze English vocabulary used by the Second-year Master’s Degree Students in Buddhist Educational Administration of the Faculty of Education. This study used a mixed methodology to address research inquiries, incorporating quantitative and qualitative data. It analyzed 22 questionnaires distributed to 30 second-year students to identify issues with English vocabulary and propose solutions. Additionally, five key informant teachers were interviewed to gain insight into their experiences teaching English as a second language. The study aimed to offer effective strategies for addressing English vocabulary challenges.</p> <p> The result of the findings was found as follows: The problems in this study showed that most of the students faced difficulties in the use of English vocabulary in a very short period, lack of vocabulary, and loss of confidence to use with others, which were totaled rate at a medium level (M= 3.37, SD = 0.91). A study on English vocabulary use found that many respondents need to motivate themselves and use different strategies, such as reading English books, listening to music, watching movies, and practicing with others, to improve their skills. which were totaled rate at a high level (M= 3.56, SD = 0.90). According to the interview, most of the teachers reported that students lacked confidence, lacked skills in learning languages, and the ways to solve the problems were to build the confidence, motivation, and practice more and more in their daily lives.</p> 2024-09-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารพุทธจิตวิทยา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/278985 ผลของโปรแกรมฝึกทักษะการกำกับอารมณ์ร่วมกับการส่งเสริมการรับรู้ความสามารถของตน ในการกำกับอารมณ์ต่อพฤติกรรมเสี่ยงฆ่าตัวตายในนักศึกษาพยาบาล 2024-06-26T20:42:01+07:00 กฤษดา ทองทับ pooh-cu@hotmail.com ฐาศุกร์ จันประเสริฐ pooh-cu@hotmail.com อมราพร สุรการ pooh-cu@hotmail.com <p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมฝึกทักษะการกำกับอารมณ์ร่วมกับการส่งเสริมการรับรู้ความสามารถของตนในการกำกับอารมณ์ต่อพฤติกรรมเสี่ยงฆ่าตัวตายในนักศึกษาพยาบาล กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาพยาบาล ของสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร คัดเลือกจากเกณฑ์คัดเข้าจำนวน 40 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 20 คน กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมฝึกทักษะการกำกับอารมณ์ร่วมกับการส่งเสริมการรับรู้ความสามารถของตนในการกำกับอารมณ์ ประกอบด้วย 6 กิจกรรม ใช้เวลากิจกรรมละ 90 – 120 นาที เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แบบวัดการรับรู้ความสามารถของตนในการกำกับอารมณ์ 2) แบบวัดพฤติกรรมเสี่ยงฆ่าตัวตาย และ 3) โปรแกรมฝึกทักษะการกำกับอารมณ์ร่วมกับการส่งเสริมการรับรู้ความสามารถของตนในการกำกับอารมณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและวิเคราะห์ความแปรปรวนพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) หลังการทดลองผลของค่าเฉลี่ยคะแนนการรับรู้ความสามารถของตนในการกำกับอารมณ์และค่าเฉลี่ยคะแนนพฤติกรรมเสี่ยงฆ่าตัวตายระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม มีความแปรปรวนที่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;.05) โดยมีค่าขนาดอิทธิพล หรือ Partial Eta Squared เท่ากับ .351 </p> <p>2) หลังการทดลอง กลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมฝึกทักษะการกำกับอารมณ์ร่วมกับการส่งเสริมการรับรู้ความสามารถของตนในการกำกับอารมณ์ มีค่าเฉลี่ยคะแนนการรับรู้ความสามารถของตนในการกำกับอารมณ์สูงขึ้นกว่าก่อนทดลอง และค่าเฉลี่ยคะแนนพฤติกรรมเสี่ยงฆ่าตัวตายลดลงกว่าก่อนทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt; .05)</p> <p>สรุปได้ว่า โปรแกรมฝึกทักษะการกำกับอารมณ์ร่วมกับการส่งเสริมการรับรู้ความสามารถของตนในการกำกับอารมณ์มีประสิทธิภาพ สามารถส่งเสริมให้นักศึกษาพยาบาลมีการรับรู้ความสามารถของตนในการกำกับอารมณ์เพิ่มมากขึ้นและสามารถลดพฤติกรรมเสี่ยงฆ่าตัวตายของนักศึกษาพยาบาลได้</p> 2024-09-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารพุทธจิตวิทยา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/275129 การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามหลักพุทธวิธี ผ่านห้องเรียนเมตาเวิร์ส ร่วมกับ การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เพื่อพัฒนาทักษะการรู้เท่าทันสื่อและสารสนเทศ สำหรับนิสิตระดับปริญญาตรี 2024-08-19T13:29:22+07:00 พิชญาภา ยวงสร้อย khunnueng09@gmail.com วิวัฒน์ มีสุวรรณ์ khunneung09@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามหลักพุทธวิธี ผ่านห้องเรียนเมตาเวิร์ส ร่วมกับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เพื่อพัฒนาทักษะการรู้เท่าทันสื่อและสารสนเทศ สำหรับนิสิตระดับปริญญาตรี 2) เพื่อสร้างและตรวจสอบคุณภาพของรูปแบบฯ 3) เพื่อศึกษา ผลการใช้รูปแบบฯ ดังนี้ 3.1) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการรู้เท่าทันสื่อและสารสนเทศหลังเรียนด้วยรูปแบบฯ กับเกณฑ์ร้อยละ 75 3.2) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนิสิตที่ต่อรูปแบบฯ และ 4) เพื่อรับรองรูปแบบการจัดการเรียนรู้ฯ กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นิสิตมหาวิทยาลัยนเรศวร ปีการศึกษา 2/2566 ที่ลงทะเบียนเรียน ในรายวิชา 001226 วิถีชีวิตในยุคดิจิทัล กลุ่ม 1 จำนวน 356 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ 1) รูปแบบการจัดการเรียนรู้ฯ 2) แบบประเมินทักษะการรู้เท่าทันสื่อและสารสนเทศ<br />3) แบบสอบถามความคิดเห็นของนิสิตที่ต่อรูปแบบฯ ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>องค์ประกอบของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนา ประกอบด้วย 1) หลักการ/แนวคิด<br />2) จุดมุ่งหมาย/วัตถุประสงค์ 3) กระบวนการเรียน/ขั้นการสอน ซึ่งประกอบด้วยขั้นย่อย 4 ขั้น ได้แก่ 3.1) รู้ปัญหาอย่างแยบคาย (ทุกข์ ร่วมกับ โยนิโสมนสิการ) 3.2) เข้าใจถึงต้นเค้า สาวหาเหตุ (สมุทัย ร่วมกับ สัปปุริสธรรม 7) 3.3) แก้ไขด้วยใจรัก (สมุทัย ร่วมกับ อิทธิบาท 3.4) เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป (มรรค ร่วมกับ <br />กฏไตรรักษณ์) และ 4) การวัดและประเมินผล</li> <li>รูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนามีการนำเสนอตามแนวคิดของ Joyce, Weil and Calhoun <br />มีกรอบในการนำเสนอ 4 ตอน ได้แก่ ตอนที่ 1 ที่มาของรูปแบบการเรียนการสอน ตอนที่ 2 รูปแบบการเรียนการสอน ตอนที่ 3 การนำรูปแบบการจัดการเรียนรู้ไปใช้ ตอนที่ 4 ผลทางตรงและทางอ้อมที่เกิดกับผู้เรียน เมื่อนำไปตรวจสอบคุณภาพกับผู้เชี่ยวชาญ พบว่า มีค่าความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด</li> <li>ผลศึกษาผลการใช้รูปแบบฯ</li> </ol> <p> 3.1) นิสิตมีทักษะการรู้เท่าทันสื่อและสารสนเทศหลังเรียนด้วยรูปแบบฯ สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> <p> 3.2) นิสิตส่วนใหญ่มีความเห็นว่า รูปแบบฯ มีกิจกรรมการเรียนรู้ที่สามารถพัฒนาทักษะการรู้เท่าทันสื่อและสารสนเทศได้ดีขึ้น และเป็นรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่ยกระดับการเรียนรู้ขึ้นไปอีกขั้น</p> <ol start="4"> <li>ผู้ทรงคุณวุฒิทั้ง 3 ท่าน ให้การรับรองว่ารูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนามีความเหมาะสมสามารถนำไปใช้จัดการเรียนการสอนได้</li> </ol> 2024-09-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารพุทธจิตวิทยา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/275675 การพัฒนาสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ของครูตามแนวคิดการมุ่งประสบการณ์ทางภาษาเพื่อส่งเสริมทักษะการอ่าน เขียนของนักเรียน 2024-09-16T15:49:26+07:00 ศิลปชัย บูรณพานิช patchara.aew@gmail.com นภาภรณ์ ธัญญา patchara.aew@gmail.com พัชรา แย้มสำราญ patchara.aew@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษากระบวนการพัฒนาสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ของครูตามแนวคิดการมุ่งประสบการณ์ทางภาษาเพื่อส่งเสริมทักษะการอ่าน เขียนของนักเรียน 2) หาค่าดัชนีประสิทธิผลของกระบวนการพัฒนาสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ของครูตามแนวคิดการมุ่งประสบการณ์ทางภาษาเพื่อส่งเสริมทักษะการอ่าน เขียนของนักเรียน โดยรูปแบบการวิจัยและพัฒนา (R&amp;D) กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูผู้สอนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุพรรณบุรี เขต 2 จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่1) กิจกรรมการเรียนรู้แบบมุ่งประสบการณ์ทางภาษา ที่คณะผู้วิจัยสร้างขึ้น จำนวน 8 กิจกรรม 2) แบบประเมินสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ของครู และ 3) แบบบันทึกข้อมูลการสังเกตชั้นเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การหาค่าดัชนีประสิทธิผล (Effectiveness Index : EI) และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. กระบวนการพัฒนาสมรรถนะการจัดการเรียนรู้แบบมุ่งประสบการณ์ของครูเพื่อส่งเสริมทักษะการอ่าน เขียนของนักเรียน ประกอบด้วยขั้นตอนการดำเนินการ 3 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนที่ 1 การฝึกอบรมและให้ความรู้โดยใช้กิจกรรมฐานการเรียนรู้ กิจกรรมการทดลอง และการสร้างชิ้นงาน ทั้งในลักษณะเป็นกลุ่มและงานเดี่ยว ขั้นตอนที่ 2 การปฏิบัติการออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้แบบมุ่งประสบการณ์ทางภาษาเพื่อส่งเสริมทักษะการอ่าน เขียนและการจัดการเรียนรู้ตามแผนในชั้นเรียน และขั้นตอนที่ 3 การติดตามและประเมินผลการจัดการเรียนรู้แบบมุ่งประสบการณ์ทางภาษาเพื่อส่งเสริมทักษะการอ่าน เขียนของนักเรียน โดยคณะผู้วิจัย ศึกษานิเทศก์ และผู้บริหารสถานศึกษา 2. ดัชนีประสิทธิผลของกระบวนการพัฒนาสมรรถนะการจัดการเรียนรู้แบบมุ่งประสบการณ์ทางภาษาของครูเพื่อส่งเสริมทักษะ<br />การอ่าน เขียนของนักเรียน มีค่าเท่ากับ 0.6315 แสดงว่าครูมีความรู้และความสามารถเพิ่มขึ้น 0.6315 หรือคิดเป็นร้อยละ 63.15 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ได้กำหนดไว้</p> 2024-09-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารพุทธจิตวิทยา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/271482 การพัฒนารูปแบบกิจกรรมส่งเสริมคุณลักษณะสุจริตของนักเรียน ระดับประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระแก้ว เขต 1 2024-03-19T22:36:38+07:00 วิภารัตน์ แสงแก้ว viparat0@gmail.com นภาภรณ์ ธัญญา viparat0@gmail.com ศิลปชัย บูรณพานิช viparat0@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนารูปแบบกิจกรรมส่งเสริมคุณลักษณะสุจริตของนักเรียนระดับประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระแก้ว เขต 1 2) เพื่อทดลองใช้รูปแบบกิจกรรมส่งเสริมคุณลักษณะสุจริตของนักเรียนระดับประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระแก้ว เขต 1 3) เพื่อประเมินประสิทธิภาพรูปแบบกิจกรรมส่งเสริมคุณลักษณะสุจริตของนักเรียนระดับประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระแก้ว เขต 1 รูปแบบกิจกรรมส่งเสริมคุณลักษณะสุจริต กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 4-6 โรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระแก้ว เขต 1 จำนวน 10 โรงเรียน นักเรียน 661 คน จากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Random sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แบบสอบถาม 2) แบบประเมินคุณลักษณะสุจริตของนักเรียน 3) แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียน 4) แบบการประเมิน Joint Committee on Standards for Educational Evaluation สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสถิติ t-test (Dependent) ผลการวิจัย พบว่า 1)การส่งเสริมคุณลักษณะสุจริตของนักเรียนยังขาดคุณลักษณะสุจริตทั้ง 5 ประการ ได้แก่ ทักษะกระบวนการคิด มีวินัย ซื่อสัตย์สุจริต อยู่อย่างพอเพียง และมีจิตสาธารณะ 2)ผลการเปรียบเทียบคุณลักษณะสุจริตของนักเรียน หลังการทำกิจกรรม คะแนนเฉลี่ย (M=4.47, SD=0.48) สูงกว่าก่อนกิจกรรม คะแนนเฉลี่ย (M=2.49, SD=0.56) ทุกกิจกรรม และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อกิจกรรมการส่งเสริมคุณลักษณะสุจริต อยู่ในระดับมากที่สุด 3) รูปแบบกิจกรรมส่งเสริมคุณลักษณะสุจริตของนักเรียน พบว่า ผลการประเมินประสิทธิภาพความสอดคล้องกับมาตรฐานการประเมิน (Joint Committee on Standards for Educational Evaluation) ทั้ง 4 ด้าน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2024-09-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารพุทธจิตวิทยา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/277760 การศึกษากิจกรรมการรู้เท่าทันสื่อของพระภิกษุตามแนวพุทธจิตวิทยา 2024-06-17T18:24:02+07:00 พุทธชาติ แผนสมบุญ saha70@gmail.com โกศล จึงเสถียรทรัพย์ saha70@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสถานการณ์การรู้เท่าทันสื่อของพระสงฆ์ 2) พัฒนาชุดฝึกอบรมการรู้เท่าทันสื่อตามแนวพุทธจิตวิทยาสำหรับพระสงฆ์ 3) ศึกษาผลของกิจกรรมการรู้เท่าทันสื่อตามแนวพุทธจิตวิทยาสำหรับพระสงฆ์ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบ Mixed Methods โดยผู้วิจัยได้นำเสนอขั้นตอนการวิจัยเป็น 4 ระยะ ซึ่งในระยะที่ 1 วิจัยเชิงปริมาณ ระยะที่ 2 วิจัยเชิงปริมาณ ระยะที่ 3 วิจัยเชิงปริมาณด้วยวิธีวิจัยกึ่งทดลอง ระยะที่ 4 ขยายผลเป็นการอบรมเชิงปฏิบัติการ เลือกกลุ่มเป้าหมาย ในวัตถุประสงค์ข้อที่ 1 กลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 คน วัตถุประสงค์ข้อที่ 2 ใช้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 280 คน และวัตถุประสงค์ข้อที่ 3 ใช้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 70 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบวัดพฤติกรรมการรู้เท่าทันสื่อด้านความรู้ ด้านกายภาพ ด้านสังคม ด้านจิตใจ และด้านปัญญา การสัมภาษณ์ การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย วิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันเปรียบเทียบค่าเฉลี่ย 2 กลุ่ม วิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) พระสงฆ์กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ มีความรู้เรื่องการรู้เท่าทันสื่อภาพรวมในระดับมาก (M=4.01, SD=0.65) 2) ชุดฝึกอบรมการรู้เท่าทันสื่อตามแนวพุทธจิตวิทยาสำหรับพระสงฆ์ เพื่อให้เกิดพฤติกรรมรู้เท่าทันสื่อ 4 ด้าน ได้แก่ ด้านกายภาพ ด้านสังคม ด้านจิตใจและด้านปัญญา รวมกิจกรรมทั้งสิ้น 11 กิจกรรม ใช้เวลาในการอบรม 3 วัน รวม 18 ชั่วโมง โดยการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน (CFA) พบว่ามี จำนวน 7 องค์ประกอบ ( <sup> </sup>= 12.69, df = 7, p = 0.080, GFI =.987, AGFI= 0.949 และ RMR = 0.0109) 3) ผลการฝึกอบรมพบว่า หลังเข้าร่วมกิจกรรม พระสงฆ์มีคะแนนการรู้เท่าทันสื่อเพิ่มขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และในระยะขยายผล</p> 2024-09-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารพุทธจิตวิทยา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/278100 การศึกษาบริบทเชิงพื้นที่และคุณภาพชีวิตของชาวประมงพื้นบ้านหลังเผชิญวิกฤตน้ำมันรั่ว ในทะเลเขตพื้นที่จังหวัดระยอง 2024-09-16T15:49:18+07:00 สุทธิพงศ์ ปานเพ็ชร sutthipongparn1872@gmail.com ศราวุฒิ อินทพนม sutthipongparn1872@gmail.com <p>การวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบริบทเชิงพื้นที่ ระดับคุณภาพชีวิตและความต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวประมงพื้นบ้านหลังเผชิญวิกฤตน้ำมันรั่วในทะเลในเขตพื้นที่จังหวัดระยอง กลุ่มตัวอย่างคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจงเป็นผู้ประกอบอาชีพประมงพื้นบ้านในจังหวัดระยองที่อยู่ในเขตพื้นที่ที่ได้รับการพัฒนาเป็นระยะเวลา 1 ปี หลังเผชิญวิกฤตน้ำมันรั่วในทะเล จำนวน 380 คน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่ายโดยการจับสลากเลือกรายชื่อของชาวประมงพื้นบ้านตามทะเบียนองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นกับกรมประมง เก็บข้อมูลโดยการใช้แบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นร่วมกับใช้วิธีการสังเกตและสัมภาษณ์ ดังนี้ 1) ข้อมูลส่วนบุคคล 2) บริบทเชิงพื้นที่ 3) คุณภาพชีวิตและ 4) ความต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวประมงพื้นบ้าน วิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติด้วยการแจกแจงความถี่ หาค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) บริบทเชิงพื้นที่จังหวัดระยอง ชาวประมงพื้นบ้านส่วนใหญ่มีการประกอบอาชีพประมงพื้นบ้านสืบทอดมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ มีผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์เข้ามาทำมาหากิน ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาอุตสาหกรรมในด้านสิ่งแวดล้อม ด้านสุขภาพ และการประกอบอาชีพ แสดงถึงการมีภูมิหลังที่เปราะบางตามมายาคติที่ทับซ้อนกันใน 6 ด้าน ได้แก่ ด้านภูมิประวัติศาสตร์ ด้านประวัติศาสตร์ ด้านสังคม ด้านการพัฒนา ด้านสุขภาพ และด้านอาชีพและการลงทุน 2) ระดับคุณภาพชีวิตของชาวประมงพื้นบ้านในจังหวัดระยอง อยู่ในระดับปานกลาง 3 ด้าน ได้แก่ ด้านครอบครัว (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=3.72, S.D.=0.73) ด้านสุขภาพ อนามัย และโภชนาการ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=3.24, S.D.= 0.64) และด้านชีวิตการทำงาน (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=3.17, S.D.= 0.63) ตามลำดับ และคุณภาพชีวิตอยู่ในระดับน้อย 4 ด้าน ได้แก่ ด้านการศึกษา (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=2.92, S.D.= 2.69) ด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยในการทำงาน ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=2.92, S.D.= 0.64) ด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจและการกระจายรายได้ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> =2.67, S.D.= 0.71 และด้านประชารัฐ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> =2.48, S.D.= 0.78) ตามลำดับ 3) ความต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวประมงพื้นบ้าน สูงที่สุด 3 ลำดับแรก ได้แก่ ด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจและการกระจายรายได้ ด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยในการทำงาน และด้านชีวิตการงาน คิดเป็นร้อยละ 23.7, 16.8 และ 16.6 ตามลำดับ จากผลการวิจัย ผู้วิจัยเสนอแนะว่าการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวประมงพื้นบ้านควรดำเนินการอย่างสอดคล้องกับความต้องการของชุมชน มีความต่อเนื่องและสนับสนุนให้เกิดความยั่งยืนในทุกมิติ</p> 2024-09-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารพุทธจิตวิทยา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/271105 การเพิ่มคุณค่าของชีวิตด้วยจิตคิดบวก 2024-06-12T17:30:13+07:00 พระอธิการเทวินทร์ เทวญาโณ (ใจแก้ว) jaikaew2000@gmail.com ทวีรัตน์ รุ่งสิทธิวัฒน์ Jaikaew2000@gmail.com ภทพร พฤกษาโรจนกุล Jaikaew2000@gmail.com <p>การเพิ่มคุณค่าของชีวิตด้วยจิตคิดบวก สภาวะจิตเชิงบวกตามแนวพุทธจิตวิทยาการคิดเชิงบวกเป็นตัวแปรที่บ่งบอกถึงการมีสุขภาพทางกายและจิตที่ดีของบุคคล เป็นกระบวนการทางสภาวะจิตที่เกิดจากการรับรู้แปลความหมาย ไปในทางที่ดีเน้นการฝึกฝนจิตใจให้คิดแต่เรื่องดี โดยเรื่องของความจริงและการเพิ่มคุณค่าของชีวิตโดยนำหลักพุทธศาสนาจะซึ่งความสำคัญกับการเจริญปัญญาควบคู่กับการเจริญสติด้วยหลักธรรมวิหาร 4 เป็นการฝึกจิตดีและถูกต้องเหมาะสม ดังนั้นความสำคัญของการเพิ่มคุณค่าของชีวิตด้วยจิตคิดบวกเป็นการหามุมมองที่เป็นบวก มีแง่คิดที่ดี มุมมองที่ทำให้เรามีกำลังใจ กระบวนการของไตร่ตรองความจากจิตที่ดีจากภายในตนอย่างลึกซึ้งด้วยพลังแห่งสติและสัมปชัญญะจะสามารถสร้างพลังความเชื่อมั่นและศรัทธาที่ถูกต้องภายในจิตใจมีวิริยะความเพียรพยายามน้อมจิตให้มีความคิดดีอยู่เสมอมีสมาธิในการมุ่งมั่นตั้งใจและมีพลังแห่งปัญญา เพื่อจัดการกับการเพิ่มคุณค่าของชีวิตด้วยจิตคิดบวกเพราะฉะนั้น ถ้าสามารถคิดในเชิงบวกได้ตลอดเวลาแปลว่าสามารถมีชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีคุณภาพและความสุข</p> <p>การคิดเชิงบวก มีชีวิตที่ดีงามและมีความสุขความคิดเชิงบวกเป็นทักษะของมนุษย์ที่เพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างสรรค์ผลลัพธ์ในทิศทางที่ดีโดยยอมรับสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริงต้องรู้จักแยกแยะตัวความคิดให้พิจารณาถึงคุณประโยชน์และโทษของความคิดนั้นปัญหาทุกอย่างมองให้เป็นคุณค่าในการพัฒนาตนเองและเป็นแนวทางเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์มองวิกฤตเป็นโอกาสสู่ความสำเร็จการจิตเชิงบวกตามแนวพุทธจิตวิทยาด้วยการเจริญปัญญาจนรู้แจ้งได้ด้วยตนเองและเข้าถึงเป้าหมายการดับปัญหาที่แท้จริงของชีวิตในอริยสัจสี่และมรรคมีองค์ 8</p> 2024-09-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารพุทธจิตวิทยา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/273009 ผลกระทบการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ต่อแรงงานนอกระบบ: การเรียนรู้ที่จะอยู่รอดของกลุ่มวินมอเตอร์ไซต์และกลุ่มคนเย็บผ้าที่บ้าน 2024-09-18T20:31:37+07:00 มยุรี เสือคำราม m.suacamram@gmail.com บวร ทรัพย์สิงห์ m.suacamram@gmail.com สุภาพร แพรวพนิต m.suacamram@gmail.com ประสิทธิ์ ศรเดช m.suacamram@gmail.com <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายการปรับตัวของแรงงานนอกระบบในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แรงงานนอกระบบเป็นกลุ่มที่ทำงานโดยไม่มีสัญญา/นายจ้างที่แน่นอนและไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายแรงงาน การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้เกิดมาตรการล็อคดาวน์ และเกิดชีวิตวิถีใหม่ แรงงานต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด บทความนี้นำเสนอสถานการณ์ก่อนโควิดและการปรับตัวในช่วงการแพร่ระบาดของโควิดใน 2 กลุ่มอาชีพ ได้แก่ วินมอเตอร์ไซต์และคนเย็บผ้าที่บ้าน วินมอเตอร์ไซต์ส่วนใหญ่เป็นเพศชายและเป็นรายได้หลักของครอบครัว ในขณะที่คนเย็บผ้าที่บ้านส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ทำงานอยู่กับบ้านโดยต้องดูแลคนในครอบครัวด้วย ทั้งสองกลุ่มอาชีพมีรายได้ที่ไม่มั่นคง เมื่อมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กลุ่มวินมอเตอร์ไซต์สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานไปสู่การส่งอาหารจากแอพลิเคชั่นออนไลน์ได้ ส่วนกลุ่มคนเย็บผ้าที่บ้านหลายรายถูกเลิกจ้างงานและไม่สามารถปรับตัว แม้ว่าภาครัฐจะเข้ามาช่วยอบรมให้ความรู้เรื่องการขายของออนไลน์ แต่คนเย็บผ้าส่วนใหญ่อยู่ในวัยกลางคนไม่ชำนาญเทคโนโลยี และยังกังวลต่อรายได้จากการขายของออนไลน์</p> 2024-09-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารพุทธจิตวิทยา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/274560 The Development of Mantra in Esoteric Buddhism within Mahāyāna and Varayāna Buddhism 2024-09-18T20:30:39+07:00 Yang Yang Teh yang.systemic@gmail.com Sanu Mahatthanadull yang.systemic@gmail.com <p>This paper (1) examined the development of mantra recitation in Esoteric Buddhism within Mahāyāna and Varayāna Buddhism, (2) briefly analysed the essence and historical development of Esoteric Buddhism from India to China and other regions, (3) examined the current and future development of mantras in Esoteric Buddhism, and (4) examines the benefit of the application of two mantras from Varayāna Buddhism, the Six-syllable Mantra (Om Mani Padme Hum) and the Energy Mantra, in improvement of one’s spiritual, physical health and mental health.</p> 2024-09-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารพุทธจิตวิทยา