https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/issue/feed วารสารพุทธจิตวิทยา 2025-02-28T00:00:00+07:00 พระมหาเผื่อน กิตฺติโสภโณ,ผศ.ดร. jbp.mcu@gmail.com Open Journal Systems <p><strong> วารสารพุทธจิตวิทยา</strong> <strong>ISSN: 2774-1095 (Online)</strong> มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการเผยแพร่บทความวิจัย บทความวิชาการ และ บทความปริทรรศน์ของนักวิจัย นักวิชาการ คณาจารย์ และนักศึกษา ด้วยหวังให้เป็นตลาดแห่งองค์ความรู้ที่สามารถค้นคว้า ถ่ายทอด และแลกเปลี่ยนความรู้ในด้านต่าง ๆ อย่างหลากหลาย วารสารมุ่งเน้นเปิดรับบทความทางด้านจิตวิทยา พระพุทธศาสนา พฤติกรรมศาสนา สังคมวิทยา การศึกษาเชิงประยุกต์และสหวิทยาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ โดยทุกบทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ได้ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ในลักษณะปกปิดรายชื่อ (Double blind peer-reviewed) ทั้งนี้เปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ วารสารมีค่าเผยแพร่บทความในวารสาร 4,500 บาท</p> https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/277431 การพัฒนาความสามารถในการอ่านจับใจความภาษาไทยของนักศึกษาปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ KWL Plus ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคโต๊ะกลม 2024-12-25T00:43:58+07:00 อรรถวุฒิ มุขมา oatinlove.thai@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ออกแบบและหาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ให้เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 2) เปรียบเทียบความสามารถในการอ่านจับใจความภาษาไทยของนักศึกษาก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ และ 3) ศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบ KWL Plus ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคโต๊ะกลมของนักศึกษาปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม <br />กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม ภาคปกติ ที่เรียนวิชา GELT1001 ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 50 คน 1 ห้องเรียน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม ด้วยวิธีการจับสลาก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดความสามารถด้านการอ่านจับใจความ และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละ และการทดสอบค่าที (t) แบบไม่เป็นอิสระต่อกัน (t-test dependent)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) การออกแบบการจัดการเรียนรู้การอ่านจับใจความภาษาไทยโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ KWL Plus ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคโต๊ะกลม มี 5 ขั้นตอน ประกอบด้วย ขั้นที่ 1 ขั้น K (What you know = นักศึกษารู้อะไรมาบ้าง) ขั้นที่ 2 ขั้น W (What you want to Know = นักศึกษาต้องการเรียนรู้อะไร) ขั้นที่ 3 ขั้น L (What you have learned = นักศึกษาเรียนอะไรไปแล้ว) ขั้นที่ 4 ขั้น Plus1 (How do you summarize important ideas = นักศึกษาสรุปความคิดสำคัญว่าอย่างไร) ขั้นที่ 5 ขั้น Plus2 (How is knowledge presented and evaluated = นักศึกษานำเสนอความรู้และประเมินผลอย่างไร) ซึ่งในทุกขั้นตอนได้ใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคโต๊ะกลมร่วมด้วย ส่วนแผนการจัดการเรียนรู้การอ่านจับใจความภาษาไทยโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ KWL Plus ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคโต๊ะกลมมีประสิทธิภาพ (E<sub>1</sub>/E<sub>2</sub>) เท่ากับ 94.67/80.07 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 2) ความสามารถในการอ่านจับใจความภาษาไทยของนักศึกษาหลังการจัดการเรียนรู้แบบ KWL Plus ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคโต๊ะกลมสูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) ความพึงพอใจของนักศึกษาต่อการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /><em>=</em><em> 4.70</em> <em>และ </em><em>S.D. =</em><em> 0.49</em>)</p> 2025-02-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารพุทธจิตวิทยา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/277670 ไสยศาสตร์กับการพัฒนาคุณภาพชีวิต 2024-11-15T16:12:58+07:00 อัครกาญจน์ วิชัยดิษฐ์ ravich.ta@ssru.ac.th รวิช ตาแก้ว ravich.ta@ssru.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ วิจักษ์และวิธาน ไสยศาสตร์เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักกระบวนทัศน์ปรัชญาหลังสมัยใหม่แนวทางสายกลาง ใช้วิธีวิจัยทางปรัชญา โดยรวบรวมข้อมูลหลักประเภทเอกสารนำมาสู่การตีความเชิงปรัชญาของกาดาเมอร์ตามทฤษฎีการหลอมรวมครอบฟ้าตามผู้อ่าน และนำเสนอผ่านวิภาษวิธี ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ไสยศาสตร์ตีความในเชิงอภิปรัชญาเป็นแนวคิดทวินิยมคือ มีความเป็นจริงของจิตและความเป็นจริงของสสารอยู่ร่วมกัน จิตมีพลัง สสารก็มีพลัง ต่างฝ่ายต่างมีพลังและสามารถใช้พลังเพื่อให้เกิดผลได้</li> <li>การวิเคราะห์ด้วยวิภาษวิธีพบว่า 1) ฝ่ายตรงข้ามได้แก่ ผู้ถือกระบวนทัศน์สมัยใหม่ เสนอเหตุผลไว้ว่า พึงจำแนกแยกแยะไสยศาสตร์ในระบบเครือข่ายความรู้ (knowledge network) ส่วนใดที่เป็นองค์ความรู้ที่ไม่ชัดเจน หรือการได้มาซึ่งความรู้ไม่อาจตรวจสอบได้ในเชิงประจักษ์ก็ควรละเว้นไว้ไม่นำมาใช้งาน ส่วนที่กรองไว้แล้วย่อมเป็นแต่ส่วนดีฝ่ายเดียว เป็นองค์ความรู้ที่ชัดเจนและมีความน่าเชื่อถือของวิธีการและกระบวนการได้มาซึ่งความรู้ เมื่อจะต้องประยุกต์ใช้ในชีวิตหรือในด้านต่าง ๆ ย่อมที่จะตรวจสอบสอบทวนความถูกต้องได้และพิจารณาตามหลักจริยศาสตร์เชิงบรรทัดฐาน 2) วิจารณ์เหตุผลฝ่ายตรงข้ามได้ว่า ฝ่ายตรงข้ามมีความไม่เป็นกลางต่อไสยศาสตร์ เป็นอคติตามแนวคิดของฟรานซิส เบคอน ซึ่งเป็นเทวรูปแห่งตลาดนัดและเทวรูปแห่งโรงละคร อันเป็นอคติจากภาษาและอคติจากความโน้มเอียงทางวัฒนธรรม ประเพณีและศาสนา ทำให้กดข่มไสยศาสตร์ไว้ว่าเป็นความเชื่อในเรื่องเหลวไหล ไร้สาระ เป็นความงมงาย เป็นเรื่องของผู้ไร้การศึกษา และ 3) เหตุผลฝ่ายผู้วิจัยตามกระบวนทัศน์หลังสมัยใหม่ได้แก่ (1) ไสยศาสตร์เป็นความจริงตามปรัชญาสัมบูรณ์นิยม (2) ไสยศาสตร์เป็นความเชื่อพื้นฐานของสังคม (3) ลัทธิปฏิบัตินิยมใหม่รับรองความดีของไสยศาสตร์ และ (4) ไสยศาสตร์รองรับพลังของการสร้างสรรค์ การปรับตัว การร่วมมือ และการแสวงหาตามหลักปรัชญากระบวนทัศน์หลังสมัยใหม่ได้</li> <li>วิจักษ์คุณค่าของความหมายและภาพของความเป็นจริงยืนยันได้ว่าไสยศาสตร์สามารถประยุกต์ใช้เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตได้ด้วยกระบวนทัศน์ปรัชญาหลังสมัยใหม่แนวทางสายกลาง</li> <li>วิธานผลการวิจัยได้ว่าสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในระดับปัจเจกบุคคลและในระดับสังคมเพื่อสนับสนุนการสร้างองค์รวมของความสัมพันธ์อันเกื้อกูลระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ มนุษย์กับธรรมชาติ และระหว่างมนุษย์กับสิ่งเหนือธรรมชาติ </li> </ol> 2025-02-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารพุทธจิตวิทยา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/278815 การพัฒนานวัตกรรมบอร์ดเกมเพื่อส่งเสริมวิธีการคิดแบบโยนิโสมนสิการของกลุ่มนักเรียนสามเณรโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษาที่มีความหลากหลาย ทางชาติพันธุ์ จังหวัดเชียงใหม่ 2025-02-25T11:59:31+07:00 เขมินทรา ตันธิกุล nokkmtcnx@gmail.com ทองสาย ศักดิ์วีระกุล nokkmtcnx@gmail.com นพรัตน์ กันทะพิกุล nokkmtcnx@gmail.com อุเทน ลาพิงค์ nokkmtcnx@gmail.com <p>บทความวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) สร้างนวัตกรรมบอร์ดเกม 2) ศึกษาประสิทธิ์ผลการใช้ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาในการใช้นวัตกรรมบอร์ดเกมเพื่อส่งเสริมทักษะการคิดแบบโยนิโสมนสิการของกลุ่มนักเรียนสามเณรโรงเรียนพระปริยัติธรรมที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ จังหวัดเชียงใหม่ กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักเรียนสามเณรจำนวน 425 รูป เครื่องมือในการวิจัยประกอบด้วยแบบสอบถามความต้องการนวัตกรรมบอร์ดเกม แบบประเมินความพึงพอใจในการใช้นวัตกรรมใช้วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบน มาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า การสร้างนวัตกรรมบอร์ดเกมผสมผสานเรื่องราวเนื้อหา เหตุการณ์ หลักธรรทาง<br />พุทธสุภาษิต ศาสนพิธีที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาโดยใช้ชื่อว่า “นักแสวงบุญแห่งพุทธภูมิ” ประสบการณ์ที่ได้รับคือวิธีการคิดแบบโยนิโสมนสิการ เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดสัมมาทิฐิ จากความรู้ในการเล่น ประสิทธิ์ผลการใช้ตัวเกมมีการตั้งจุดประสงค์ของการเล่นโดยใช้การกำหนดข้อคำถาม ผู้เล่นจะได้รับการพัฒนาจิตและปัญญาหรือเกิดความรักในความรู้ที่ได้ศึกษาพระพุทธศาสนา ฝึกสมาธิเพื่อให้จิตสงบกิจกรรมเกมช่วยสร้างศรัทธาต่อการเรียนเป็นอันมากผ่านการฝึกใช้ความคิดพิจารณา ส่งเสริมให้พัฒนาปัญญามีผลต่อการพัฒนาจิตของผู้เล่นได้อย่างสำคัญและสามารถนำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเกมมาประยุกตใช้ประกอบการเรียเพื่อสอนให้นักเรียนนำความรู้ไปใช้แก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน กลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจการใช้นวัตกรรมบอร์ดเกมเพื่อส่งเสริมทักษะการคิดแบบโยนิโสมนสิการของกลุ่มนักเรียนสามเณรโรงเรียนพระปริยัติธรรมที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์จังหวัดเชียงใหม่ โดยรวมอยู่ในระดับ พึงพอใจมาก อยู่ในระดับ พึงพอใจมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />= 4.01, S.D. = 0.40)</p> 2025-02-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารพุทธจิตวิทยา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/278382 การพัฒนาระบบบริหารโรงเรียนนอกระบบสอนภาษาญี่ปุ่น ตามแนวคิดกระบวนการเสริมสร้างอัตลักษณ์การศึกษา 2024-12-25T00:46:13+07:00 นภัสลัคน์ วีรณรงค์ชยกุล chengnapatsalak@gmail.com ปรีชา วิหคโต chengnapatsalak@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษากรอบแนวคิดการบริหารโรงเรียนนอกระบบและแนวคิดกระบวนการเสริมสร้างอัตลักษณ์การศึกษา 2) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ในการบริหารโรงเรียนนอกระบบสอนภาษาญี่ปุ่นตามแนวคิดกระบวนการเสริมสร้างอัตลักษณ์การศึกษา 3) เพื่อพัฒนาระบบบริหารโรงเรียนนอกระบบสอนภาษาญี่ปุ่นตามแนวคิดกระบวนการเสริมสร้างอัตลักษณ์การศึกษา วิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยแบบผสมวิธีพหุระยะ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย ได้แก่ โรงเรียนนอกระบบสอนภาษาญี่ปุ่น จำนวน 71 โรง ผู้ให้ข้อมูล คือ ผู้บริหารโรงเรียนและบุคลากรทางการศึกษาในโรงเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม และแบบประเมินระบบ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าดัชนี PNI<sub>modified</sub> และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า</p> <p>ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 1 ผลการประเมินกรอบแนวคิดที่ใช้ในการวิจัยโดยผู้เชี่ยวชาญ มีความเหมาะสมทุกองค์ประกอบ</p> <p>ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 2 สภาพปัจจุบันของการบริหารโรงเรียนนอกระบบสอนภาษาญี่ปุ่นตามแนวคิดกระบวนการเสริมสร้างอัตลักษณ์การศึกษา โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ส่วนสภาพที่พึงประสงค์ โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด</p> <p>ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 3 ระบบบริหารโรงเรียนที่พัฒนาขึ้น คือ ระบบบริหารโรงเรียนนอกระบบสอนภาษาญี่ปุ่นที่เน้นการพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการ ตามแนวคิดกระบวนการเสริมสร้างอัตลักษณ์การศึกษา ด้านการกำหนดอัตลักษณ์การศึกษา ด้านการสื่อสารอัตลักษณ์การศึกษา และด้านการสร้างเครือข่ายการศึกษา องค์ประกอบที่นำมาใช้ในการพัฒนาระบบ ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ (1) บริบทหรือสภาพแวดล้อม ได้แก่ นโยบายการศึกษา/แผนพัฒนาการศึกษาเอกชน และ ความต้องการของผู้เรียน ชุมชน สังคม (2) ปัจจัยนำเข้า ได้แก่ ครู/ผู้สอนและบุคลากรทางการศึกษาในโรงเรียน โครงสร้างการบริหารจัดการ สิ่งอำนวยความสะดวกในโรงเรียน และ ระบบสารสนเทศ (3) กระบวนการหรือระบบย่อย ได้แก่ การกำหนดอัตลักษณ์การศึกษา การสื่อสารอัตลักษณ์การศึกษา และการสร้างเครือข่ายการศึกษา (4) ผลผลิต ได้แก่ คุณภาพการบริหารจัดการ และ (5) ข้อมูลป้อนกลับ ได้แก่ ข้อเสนอแนะในการปรับปรุง โดยมีผลการประเมินระบบบริหารโรงเรียนฯ ที่พัฒนาขึ้น ในด้านความเป็นประโยชน์ ด้านความเป็นไปได้ ด้านความเหมาะสม และด้านความถูกต้องแม่นยำ<br />ทุกด้านมีค่าเฉลี่ยในระดับมากที่สุด</p> <p>องค์ความรู้ที่ได้จากงานวิจัยนี้ คือ การพัฒนาระบบบริหารโรงเรียนนอกระบบสอนภาษาญี่ปุ่น โดยใช้แนวคิดกระบวนการเสริมสร้างอัตลักษณ์การศึกษาของโรงเรียนนอกระบบสอนภาษาญี่ปุ่น ซึ่งสามารถนำองค์ประกอบของระบบที่ได้จากงานวิจัยนี้ไปใช้ในการพัฒนาระบบบริหารโรงเรียน เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพและความเชื่อมั่นในระบบบริหารโรงเรียน ให้ผู้เรียนพัฒนาศักยภาพและเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพเพื่อก้าวเข้าสู่การพัฒนาอนาคตทางการศึกษาของประเทศไทย</p> 2025-02-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารพุทธจิตวิทยา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/286061 พัฒนานวัตกรรมกระบวนการแนะแนววิถีพุทธสำหรับบุคลกรทางการศึกษาในสังคมไทย 2025-02-25T12:01:20+07:00 สายหยุด มีฤกษ์ Sayyud.mrk@mcu.ac.th พระครูโสภณปริยัตยานุกิต Sayyud.mrk@mcu.ac.th ชาติชาย พิทักษ์ธนาคม Sayyud.mrk@mcu.ac.th อิทธิพล แก้วพิลา Sayyud.mrk@mcu.ac.th พระครูปลัดมารุต วรมงฺคโล Sayyud.mrk@mcu.ac.th <p>การครั้งนี้วิจัยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อวิเคราะห์กระบวนการแนะแนววิถีพุทธสำหรับบุคลากรทางการศึกษาในสังคมไทย 2) เพื่อพัฒนานวัตกรรมกระบวนการแนะแนววิถีพุทธสำหรับบุคลากรทางการศึกษาในสังคมไทย 3) เพื่อทดลองใช้และประเมินนวัตกรรมกระบวนการแนะแนววิถีพุทธสำหรับบุคลากรทางการศึกษาในสังคมไทย เป็นการวิจัยแบบการวิจัยและพัฒนา โดยแบ่งการดำเนินการวิจัยเป็น 2 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 พัฒนานวัตกรรมกระบวนการแนะแนววิถีพุทธฯ และระยะที่ 2 การทดลองใช้และตรวจสอบคุณภาพของนวัตกรรมกระบวนการแนะแนววิถีพุทธฯ มีกลุ่มประชากร คือ ครูแนะแนวในสถานศึกษาที่มีประสบการณ์ในการทำงานแนะแนวและนิสิตคณะครุศาสตร์ สาขาวิชาการสอนพระพุทธศาสนาและจิตวิทยาแนะแนว สาขาวิชาการสอนพระพุทธศาสนา และสาขาวิชาจิตวิทยาแนะแนว จำนวนทั้งหมด 18 รูป/คน มีการสัมภาษณ์ ทดลองใช้นวัตกรรมฯ (6 โมดูล) และประเมินนวัตกรรมฯ </p> <p>ผลการวิจัย พบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. กระบวนการแนะแนววิถีพุทธสำหรับบุคลากรทางการศึกษาในสังคมไทย มีองค์ประกอบที่สำคัญใน </span><span style="font-size: 0.875rem;">3 ด้าน คือ 1) ด้านขอบข่ายการแนะแนววิถีพุทธ เป็นการส่งเสริมให้ครูแนะแนวหรือบุคลากรทางการศึกษาที่ทำหน้าที่ให้บริการแนะแนวให้มีความรู้ความเข้าใจหลักธรรม ได้แก่ กัลยาณมิตร ไตรสิกขา พละ 5 อิทธิบาท 4 พรมวิหารธรรม มรรคมีองค์ 8 และโยนิโสนมสิการ เพื่อนำหลักธรรมดังกล่าวมาผสมผสานในการจัดกิจกรรมหรือบริการแนะแนว 2) บริการแนะแนววิถีพุทธ บริการแนะแนว 5 บริการเป็นกระบวนการพื้นฐานของงานแนะแนวมีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นการส่งเสริมพัฒนาการ การป้องกันปัญหา และการแก้ไขปัญหาของผู้เรียน และเป็นกระบวนการที่ช่วยให้ผู้เรียนเจริญงอกงามและพัฒนาได้อย่างเต็มที่ 3) ครูแนะแนววิถีพุทธ ครูผู้ทำหน้าที่ให้บริการแนะแนวเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการเอื้อให้การดำเนินงานแนะแนวบรรลุเป้าประสงค์ ซึ่งมีคุณลักษณะที่สำคัญคือมีความเป็นกัลยาณมิตร</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. นวัตกรรมกระบวนการแนะแนววิถีพุทธสำหรับบุคลากรทางการศึกษาในสังคมไทย เป็นนวัตกรรมที่เป็นกระบวนการพัฒนาต่อยอดงานแนะแนวที่ดำเนินการอยู่ให้มีประสิทธิภาพและมีคุณค่ามากขึ้นโดยการประยุกต์ใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเข้ามาผสานกับการดำเนินงานแนะแนว ประกอบด้วยโมดูลการฝึกอบรม 6 โมดูล ประกอบด้วย โมดูลที่ 1 คุณค่าของงานแนะแนววิธีพุทธ โมดูลที่ 2 เสริมศรัทธาครูแนะแนววิถีพุทธ โมดูลที่ 3 ครูแนะแนวหัวใจพุทธ โมดูลที่ 4 ขอบข่ายงานแนะแนววิถีพุทธ โมดูลที่ 5 บริการแนะแนววิถีพุทธสู่การปฏิบัติ</span></p> <p style="font-weight: 400;">3. นวัตกรรมกระบวนการแนะแนววิถีพุทธสำหรับบุคลากรทางการศึกษาในสังคมไทยมีองค์ความรู้ที่เกิดขึ้นใน 3 ประการ คือ ประการแรก เตรียมความพร้อมภายในจิตใจของครู ซึ่งเป็นคุณลักษณะภายในของครูผู้ทำหน้าที่แนะแนวที่มีจิตใจที่ประกอบด้วยเมตตากรุณา มีความเป็นกัลยาณมิตรกับผู้เรียน ประการที่ 2 ครูผู้ทำหน้าที่งานแนะแนวได้นวัตกรรมที่มีความน่าสนใจ ทันสมัย เข้าถึงได้ง่ายและไม่เสียค่าใช้จ่ายในการใช้นวัตกรรมฯ ก่อให้เกิดคุณค่าต่อบุคลากรทางการศึกษาสามารถนำกระบวนการแนะแนววิถีพุทธไปใช้พัฒนาการทำงานในหน้าที่ของตน เกิดความสุขในการปฏิบัติงาน และเป็นการส่งเสริมให้ประสิทธิภาพการแนะแนวในสถานศึกษาเพิ่มขึ้นมีความสุขในการปฏิบัติงาน เป็นประโยชน์ช่วยพัฒนาสังคมให้มีความยั่งยืน ส่งผลให้ประเทศชาติมีความเจริญ ประการที่ 3 ผู้เรียนได้รู้จักและเข้าใจตนเอง สามารถศึกษาเล่าเรียนและดำเนินชีวิตได้เหมาะสมกับศักยภาพของตน</p> 2025-02-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารพุทธจิตวิทยา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/280131 การศึกษาแนวทางการพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ของครูผู้สอนเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ของผู้เรียนในจังหวัดสุพรรณบุรี 2025-02-25T11:59:56+07:00 อดิศร ศิริ adi867444@gmail.com เอกนารี สวัสดิ์นที adi867444@gmail.com ทนันเดช ยงค์กมล adi867444@gmail.com ชาลินี ปลูกผลงาม adi867444@gmail.com ฐิติ ลาภอนันต์ adi867444@gmail.com <p>บทความวิจัยการฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาแนวทางการพัฒนาครูและสถานศึกษา โดยใช้แนวคิดชุมชนแห่งการเรียนรู้เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ของผู้เรียนในจังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มเป้าหมายในการวิจัยคือ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการพัฒนาโรงเรียน ได้แก่ ครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ จำนวน 36 คน โดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง ใช้วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยใช้วิธีการจำแนกประเภทข้อมูล (Typological analysis) เครื่องมือวิจัย คือ ศึกษาและวิเคราะห์เอกสาร แบบสัมภาษณ์ และแบบบันทึกภาคสนาม โดยมีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามเท่ากับ 0.88 วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห์เนื้อหา และสถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ การวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า แนวทางการพัฒนาครูและสถานศึกษา มีองค์ประกอบสำคัญ 7 ประการคือ 1) การสร้างวิสัยทัศน์ของโรงเรียนร่วมกัน 2) การสร้างวัฒนธรรมองค์กรแบบสร้างสรรค์มีการทำงานร่วมกันแบบร่วมมือรวมพลัง 3) การพัฒนาให้ครูมีความรู้ ความเข้าใจทักษะในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล 4) การพัฒนาผ่านการเรียนรู้ผ่านโปรแกรมทางสื่อออนไลน์ 5) การสร้างทีมชุมชนแห่งการเรียนรู้วิชาชีพในสถานศึกษา (PLC) 6) การจัดสภาพแวดล้อมการทำงานที่เอื้อให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน และ7) การนิเทศ ติดตาม และประเมินผล ซึ่งในการขับเคลื่อนสถานศึกษาให้เป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ได้ จะต้องการส่งเสริมและพัฒนาคือ การบูรณาการกระบวนการทำงานร่วมกับฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง มีการใช้กลไกการนิเทศเพื่อกำกับติดตามการดำเนินงาน และ เรียนรู้ต่อยอดและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง</p> 2025-02-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารพุทธจิตวิทยา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/276513 การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันของภูมิคุ้มกันทางจิตในยุคชีวิตวิถีใหม่ของนิสิตนักศึกษาระดับปริญญาตรี สังกัดสถาบันอุดมศึกษา 2025-01-16T21:01:09+07:00 ประสาร ศรีพงษ์เพลิด sarnsri146@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันของภูมิคุ้มกันทางจิตในยุคชีวิตวิถีใหม่ของนิสิตนักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่นิสิตนักศึกษาระดับปริญญาตรี ปีที่ 1-4 จำนวน 5 แห่ง ปีการศึกษา 2566 ในสถาบันอุดมศึกษา จำนวน 1,026 คน ที่ได้มาโดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นแบบสอบถามภูมิคุ้มกันทางจิตในยุคชีวิตวิถีใหม่ของนิสิตนักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษามีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 25 ข้อ โดยมีค่าอำนาจจำแนกรายข้ออยู่ระหว่าง 0.21 – 0.67 และมีความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.82 การวิเคราะห์องค์ประกอบในครั้งนี้ใช้การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า การวิเคราะห์องค์ประกอบของภูมิคุ้มกันทางจิตในยุคชีวิตวิถีใหม่ของนิสิตนักศึกษา ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบได้แก่ 1) สติสัมปชัญญะ 2) ความหวัง 3) การพึ่งพาตนเอง 4) การเผชิญปัญหา 5) ความยืดหยุ่น พบว่า มีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยมี ค่าไค-สแควร์ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?x^{2}" alt="equation" />) เท่ากับ 1.29 df=2, p=.52, ค่า GFI=1.00 ค่า AGFI=1.00, ค่า RMSEA=0.00, ค่า SRMR=0.01 มีค่าน้ำหนักองค์ประกอบมาตรฐานอยู่ระหว่าง 0.59-0.68 ซึ่งทุกองค์ประกอบมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แสดงว่า โมเดลการวัดภูมิคุ้มกันทางจิตในยุคชีวิตวิถีใหม่สามารถวัดองค์ประกอบของภูมิคุ้มกันทางจิตในยุคชีวิตวิถีใหม่ของนิสิตนักศึกษาได้</p> 2025-02-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารพุทธจิตวิทยา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/276364 การพัฒนานวัตกรรมการรู้คิดแบบมีส่วนร่วมของชุมชนต่อการท่องเที่ยววัฒนธรรมเชิงพุทธย้อนรอยประวัติศาสตร์ลุ่มน้ำเจ้าพระยา-ป่าสัก 2024-12-16T20:37:16+07:00 กิตติพงษ์ สีลสุทฺโธ phrakittipong789@gmail.com สุเทพ สุทฺธิญาโณ phrakittipong789@gmail.com ประยูร สุยะใจ phrakittipong789@gmail.com สุพิศ ผ่องศิริ phrakittipong789@gmail.com สรายุทธ อุดม phrakittipong789@gmail.com <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อพัฒนานวัตกรรมการรู้คิดแบบมีส่วนร่วมของชุมชนต่อการท่องเที่ยววัฒนธรรมเชิงพุทธย้อนรอยประวัติศาสตร์ลุ่มน้ำเจ้าพระยา-ป่าสัก 2) เพื่อศึกษาประสิทธิผลนวัตกรรมการรู้คิดแบบมีส่วนร่วมของชุมชนต่อการท่องเที่ยววัฒนธรรมเชิงพุทธ ย้อนรอยประวัติศาสตร์ลุ่มน้ำเจ้าพระยา-ป่าสัก 3) เพื่อนำเสนอรูปแบบนวัตกรรมการรู้คิดแบบมีส่วนร่วมของชุมชนต่อการท่องเที่ยววัฒนธรรมเชิงพุทธย้อนรอยประวัติศาสตร์ลุ่มน้ำเจ้าพระยา-ป่าสัก รูปแบบการวิจัยเชิงผสมผสานวิธี โดยใช้วิธีศึกษาวิจัยเอกสาร วิจัยเชิงสำรวจ การศึกษาภาคสนาม การวิจัยเชิงปริมาณ การวิจัยเชิงคุณภาพ โดยเก็บรวบรวมข้อมูลพื้นที่ในการวิจัยประชากรทั้ง 6 จังหวัดภาคกลาง โดยใช้วิธีการคัดเลือกแบบอาสาสมัคร เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยใช้แบบสัมภาษณ์เชิงลึก ผู้ให้ข้อมูลหลักจำนวน 20 รูป/คน อบรม 2 วัน กับกลุ่มผู้เข้าร่วมโปรแกรมกิจกรรมรูปแบบการพัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยววัฒนธรรมเชิงพุทธ จำนวน 30 รูป/คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหาแล้วบรรยายเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. พัฒนานวัตกรรมการรู้คิดแบบมีส่วนร่วมของชุมชนต่อการท่องเที่ยววัฒนธรรมเชิงพุทธย้อนรอยประวัติศาสตร์ลุ่มน้ำเจ้าพระยา-ป่าสัก มี 3 วิธี คือ 1) การให้โอกาสคนดีสามารถจะนำชุมชนช่วยตัดสินใจแก้ปัญหา 2) มีส่วนรู้ส่วนเห็นร่วมมือในกิจกรรมศิลปะประเพณีวิถีวัฒนธรรมพื้นบ้าน 3) วิถีประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่นสร้างคุณค่าเชิงเศรษฐกิจ 2. ประสิทธิผลนวัตกรรมการรู้คิดแบบมีส่วนร่วมของชุมชนต่อการท่องเที่ยววัฒนธรรมเชิงพุทธย้อนรอยประวัติศาสตร์ลุ่มน้ำเจ้าพระยา-ป่าสัก มี 4 ด้าน คือ 1) ด้านการสืบสานชุมชนยังยึดมั่นในขนบธรรมเนียมวัฒนธรรม และประเพณีของชุมชน 2) ด้านการอนุรักษ์ ชุมชนมีการอนุรักษ์ตลาดต้าน้ำโบราณบ้านต้นตาล และหอวัฒนธรรมพื้นบ้านไทยวน 3) ด้านการพัฒนาชุมชนบ้านต้นตาล ได้จัดตั้งองค์กรชุมชน และกลุ่มอาชีพภายในชุมชน 4) ด้านการต่อยอด คือ เศรษฐกิจจากการรวมกลุ่มอาชีพทางวัฒนธรรมของคนในชุมชนมาทำธุรกิจท่องเที่ยว 3. รูปแบบนวัตกรรมการรู้คิดแบบมีส่วนร่วมของชุมชนต่อการท่องเที่ยววัฒนธรรมเชิงพุทธย้อนรอยประวัติศาสตร์ลุ่มน้ำเจ้าพระยา-ป่าสัก มีรูปแบบ 4 คือ 1) รูปแบบการพัฒนาการท่องเที่ยววัฒนธรรมเชิงพุทธ 2) รูปแบบการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ 3) รูปแบบการท่องเที่ยวงานชมวัฒนธรรมและประเพณี<br />4) รูปแบบการท่องเที่ยวชมวิถีชีวิตในชนบท</p> 2025-02-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารพุทธจิตวิทยา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/278737 การพัฒนาทักษะการคิดสร้างสรรค์และสมรรถนะการรวมพลังทำงานเป็นทีม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน ร่วมกับบอร์ดเกม 2025-02-13T11:51:19+07:00 จริยา ลาวรรณ์ jariya_la@kkumail.com ดนิตา ดวงวิไล dchann@kku.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1.เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของบอร์ดเกม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐานร่วมกับบอร์ดเกม โดยกำหนดเกณฑ์ประสิทธิภาพ 80/80 2.เพื่อเปรียบเทียบทักษะด้านการคิดสร้างสรรค์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยบอร์ดเกมโดยใช้การจัดการเรียนรู้สร้างสรรค์เป็นฐานร่วมกับบอร์ดเกม 3.เพื่อพัฒนาสมรรถนะการรวมพลังทำงานเป็นทีม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนด้วยบอร์ดเกมโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐานร่วมกับบอร์ดเกม นักเรียนร้อยละ 80 ผ่านเกณฑ์ในระดับสามารถร้อยละ 75 ขึ้นไป กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนแก่นนครวิทยาลัย จำนวน 1 ห้อง จำนวนนักเรียนทั้งหมด 42 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Custer Random Sampling) ใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยในการสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1.แผนการจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐานร่วมกับบอร์ดเกม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 5 แผน 12 ชั่วโมง 2. แบบทดสอบวัดทักษะด้านการคิดสร้างสรรค์ก่อนเรียน-หลังเรียน แบบอัตนัย จำนวน 10 ข้อ 3. แบบประเมินสมรรถนะการรวมพลังทำงานเป็นทีม จำนวน 15 ข้อ 4. บอร์ดเกม จำนวน 5 ชุด</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า</p> <ol> <li>ประสิทธิภาพของบอร์ดเกม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐานร่วมกับบอร์ดเกม มีประสิทธิภาพเท่ากับ 85.70/81.4 ตามเกณฑ์เกณฑ์ที่กำหนดไว้</li> <li>ผลการเปรียบเทียบทักษะด้านการคิดสร้างสรรค์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยบอร์ดเกมโดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้สร้างสรรค์เป็นฐานร่วมกับบอร์ดเกม นักเรียนมีผลการทดสอบหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</li> <li> ผลการศึกษาการพัฒนาสมรรถนะการรวมพลังทำงานเป็นทีม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนโดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐานร่วมกับบอร์ดเกม นักเรียนร้อยละ 100 มีสมรรถนะการรวมพลังทำงานเป็นทีมร้อยละ 91.22 ขึ้นไปซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด</li> </ol> 2025-02-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารพุทธจิตวิทยา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/278696 การพัฒนาทักษะการคิดแก้ปัญหาและการคิดเชิงระบบของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสมองเป็นฐานร่วมกับบอร์ดเกม 2025-02-22T18:45:55+07:00 ธนิดา วรยศ thanidaworayos@gmail.com ดนิตา ดวงวิไล dchann@kku.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของบอร์ดเกม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสมองเป็นฐานร่วมกับบอร์ดเกม โดยกำหนดเกณฑ์ประสิทธิภาพ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการคิดแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสมองเป็นฐานร่วมกับบอร์ดเกม 3) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการคิดเชิงระบบของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสมองเป็นฐานร่วมกับบอร์ดเกม กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนแก่นนครวิทยาลัย จำนวน 40 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบสมองเป็นฐานร่วมกับบอร์ดเกม 2) แบบทดสอบวัดทักษะการคิดแก้ปัญหา 3) แบบทดสอบวัดทักษะการคิดเชิงระบบ สถิติที่ใช้สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ค่าประสิทธิภาพ E<sub>1</sub>/E<sub>2</sub> และการทดสอบที</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) บอร์ดเกมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด และมีค่าประสิทธิภาพเท่ากับ 81.75/85.50 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด 2) ทักษะการคิดแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้พบว่า นักเรียนมีคะแนนทดสอบหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยนักเรียนร้อยละ 80 มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับร้อยละ 80.21 3) ทักษะการคิดเชิงระบบของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ก่อนและหลังจัดการเรียนรู้พบว่า นักเรียนมีคะแนนทดสอบหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยนักเรียนร้อยละ 80 มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับร้อยละ 81.88</p> 2025-02-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารพุทธจิตวิทยา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/277714 ความเห็นแก่ตัวทางจริยธรรมตามทัศนะของไอน์ แรนด์ 2024-11-15T16:15:07+07:00 พระครูศรีธรรมานุสิฐ ธวชฺชโย promjat@yahoo.com พระมหาดนัยพัชร์ คมฺภีรปญฺโญ promjat@yahoo.com <p>บทความนี้นำเสนอแนวคิดของ ไอน์ แรนด์เกี่ยวกับความเห็นแก่ตัวทางจริยธรรม ซึ่งมีหน้าที่ความรับผิดชอบของแต่ละคนอยู่แล้ว หลักสำคัญของบทความนี้คือเหตุผลการที่บุคคลมีความเห็นแก่ตัวแล้วจะละเมิดสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่นได้หรือไม่ และมีเหตุผลอันใดที่ต้องทำอย่างนั้น นอกจากนี้แล้วยังมีเรื่องของความซื่อสัตย์และความยุติธรรมเข้ามาเกี่ยวข้องอีกด้วย ในกรณีที่มีการกระทำความเห็นแก่ตัว เจตจำนงเสรีก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งของมนุษย์ในการเป็นคนเห็นแก่ตัว เป้าหมายรวมถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการกระทำของตนเองด้วย เพื่อแสดงให้เห็นว่าความเห็นแก่ตัวของไอน์ แรนด์นี้เป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป เพราะฉะนั้นแล้ว เธอจึงสนับสนุนให้คนมีความเห็นแก่ตัว เพราะความเห็นแก่ตัวส่งเสริมให้ผู้คนรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเองและรับผิดชอบต่อตนเองมากกว่าการพึ่งพาคำแนะนำหรือการสนับสนุนจากบุคคลอื่น ส่วนการเห็นแก่ส่วนรวมนั้นไอน์ แรนด์ไม่สนับสนุน</p> <p>ซึ่งจากการศึกษาแนวคิดของไอน์ แรนด์แล้ว ได้เห็นว่าการที่บุคคลจะเห็นแก่ตัวได้นั้นต้องมีเหตุผล และเหตุผลนั้นต้องประกอบด้วยศีลธรรมเพื่อให้มองเห็นว่าความเห็นแก่ตัวนั้นเป็นไปในทางบวก และไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่น</p> 2025-02-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารพุทธจิตวิทยา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/275505 การสร้างพลังปัญญาทางอารมณ์ตามวิถีพุทธจิตวิทยา 2024-08-19T14:05:13+07:00 อันธิกา ภูวภิรมย์ขวัญ unthika@hotmail.co.th <p>พลังปัญญาทางอารมณ์ในพระพุทธศาสนานั้นปรากฎมานานแล้ว ซึ่งจะเห็นจากหลักธรรมที่เกี่ยวข้องกับการใช้ปัญญามากำกับอารมณ์ โดยวิธีการที่สามารถสร้างพลังทางปัญญาได้นั้นเกิดขึ้นจากการปฏิบัติโดยการฝึกจิต ซึ่งพุทธวิธีที่พระพุทธเจ้าทรงสอนในการทำจิตให้มั่นคงเพื่อเป็นการสร้างฐานพลังงานเพื่อส่งผ่านออกไปยังพฤติกรรมภายนอก โดยการฝึกปฏิบัติให้ครอบคลุมทั้งการรักษาศีล การฝึกสมาธิ และการฝึกฝนให้เกิดปัญญาโดยพุทธวิธีคือ หลักภาวนา, หลักสติปัฏฐาน 4, หลักโยนิโสมนัสสิการ และหลักพรหมวิหาร ซึ่งหลักธรรมทั้งสี่ข้างต้นสอดคล้องกับแนวคิดทางจิตวิทยาตะวันตกที่นำเสนอการสร้าง 5 ทักษะ ได้แก่ การตระหนักรู้ในตนเอง, การมีแรงจูงใจ, การรับรู้และเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่นและทักษะสังคม โดยพื้นฐานของการฝึกจิตและปฏิบัติเพื่อสร้างสมดุลในจิตใจ ระหว่างความคิดและความรู้สึก จะนำพาไปสู่การแสดงออกทางพฤติกรรม บทความวิชาการนี้มุ่งศึกษาเรื่องพลังปัญญาทางอารมณ์โดยมุ่งเน้นตามพุทธวิธี เพราะพระพุทธศาสนามีธรรมมะที่ลึกซึ้งในการสอนเรื่องของการสร้างพลังงานทางจิต ด้วยการสร้างพลังงานทางจิตเป็นประโยชน์ต่อการกำกับและควบคุมอารมณ์ ซึ่งส่งผลต่อการพัฒนาอย่างลึกซึ้งในตัวบุคคลและครอบครัว สำหรับบุคคลที่สามารถจัดการกับอารมณ์ตนเองได้ดีนั้น จะกลายเป็นคนที่มีความสุขและประสบความสำเร็จในชีวิตและนำพาความสุขมาสู่ครอบครัวให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข ดังนั้นแล้วมนุษย์ทั่วไปสามารถสร้างพลังปัญญาทางอารมณ์ด้วยตนเองได้ด้วยการฝึกฝนตนเองและบ่มเพาะความคิดเพื่อสร้างพลังงานบวกให้เกิดขึ้นในชีวิต</p> 2025-02-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารพุทธจิตวิทยา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jbp/article/view/271496 คุณค่าของการเจริญสติ 2024-12-16T20:51:10+07:00 ณญาน นลินขวัญ mindfulness599@gmail.com วิชชุดา ฐิติโชติรัตนา Mindfulness599@gmail.com เมธาวี อุดมธรรมานุภาพ Mindfulness599@gmail.com <p>บทความนี้นำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับสติและการเจริญสติ ซึ่งมีรากฐานจากพุทธศาสนาและได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางในวงการจิตวิทยาและการแพทย์ตะวันตก สติหมายถึงการระลึกรู้ตัว การมีความตื่นตัวและตระหนักรู้ในปัจจุบันขณะ โดยไม่ตัดสินหรือประเมินค่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ส่วนการเจริญสติคือกระบวนการฝึกฝนให้จิตใจมีสติอย่างต่อเนื่อง องค์ประกอบของสติมีหลากหลายมุมมอง ทั้งในแง่ของสติปัฏฐาน 4 ในพุทธศาสนา และแนวคิดของนักวิชาการตะวันตกที่กล่าวถึงเจตนา ความใส่ใจ และท่าทีของจิตใจ บทความนี้ยังอภิปรายถึงบทบาทสำคัญของสติในการควบคุมจิตใจ การจัดการอารมณ์ และการเพิ่มความตระหนักรู้ รวมถึงประโยชน์ของการเจริญสติในการลดความเครียด พัฒนาสมาธิ ส่งเสริมสุขภาพกายและใจ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและการเรียนรู้ ตลอดจนการพัฒนาทักษะการตัดสินใจและแก้ปัญหา นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงอานิสงส์ของสติในทางพุทธศาสนา ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาจิตใจขั้นสูงและการบรรลุธรรม บทความสรุปว่าการเจริญสติเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตในทุกมิติ ช่วยให้เผชิญความท้าทายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และนำไปสู่ชีวิตที่มีความสุขและสมดุลมากขึ้น</p> 2025-02-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารพุทธจิตวิทยา