วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal <p>English : Journal of Humanities and Social Sciences Mahasarakham University</p> <p>ภาษาไทย : วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม </p> <p>ISSN: 2672-9733 (Online)</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong></p> <p>วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มีนโยบายในการส่งเสริม เผยแพร่ผลงานวิชาการและงานวิจัยที่มีคุณค่าต่อการพัฒนาองค์ความรู้ทางวิชาการ และ เป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเชิงวิชาการโดยครอบคลุมวิทยาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ การศึกษา ทัศนศิลป์ ศิลปะการแสดง ดุริยางคศิลป์ รัฐศาสตร์ ภาษา วรรณกรรม</p> <p>กำหนดการตีพิมพ์ปี ละ 6 ฉบับ ออกราย 2 เดือน คือ</p> <p>ฉบับที่ 1 มกราคม – กุมภาพันธ์/ ฉบับที่ 2 มีนาคม – เมษายน/ฉบับที่ 3 พฤษภาคม – มิถุนายน/ฉบับที่ 4 กรกฎาคม – สิงหาคม /ฉบับที่ 5 กันยายน – ตุลาคม และ ฉบับที่ 6 พฤศจิกายน – ธันวาคม</p> <p>โดยรูปแบบผลงานที่วารสารจะรับพิจารณา มี 3 ประเภท คือ บทความวิชาการ บทความวิจัย และบทวิจารณ์หนังสือ บทความวิชาการและบทความวิจัยที่จะนำมา ตีพิมพ์วารสารมหาวิทยาลัยมหาสารคามจะต้องได้รับการตรวจสอบทางวิชาการ (double-blind peer review) โดยใช้ผู้พิจารณา 3 คน (Three Reviewers) ทั้งภายในและภายนอก จากหลากหลายมหาวิทยาลัย เพื่อให้วารสารมีคุณภาพในระดับมาตรฐานสากล และนำไปอ้างอิงได้ ผลงานที่ส่งมาตีพิมพ์ จะต้องมีสาระ งานทบทวนความรู้เดิมและเสนอความรู้ ใหม่ที่ทันสมัยรวมทั้งข้อคิดเห็นที่เกิดประโยชน์ต่อผู้อ่าน ผลงานไม่เคยถูกนำไปตีพิมพ์เผยแพร่ใน วารสารอื่นใดมาก่อน และไม่ได้อยู่ในระหว่างการพิจารณาลงวารสารใดๆ</p> th-TH h.pathom@gmail.com (ศ.ดร.ปฐม หงษ์สุวรรณ) humanmsu@gmail.com (Jirarat Puseerit) Wed, 06 Nov 2024 10:17:22 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 หลักการการป้องกันปัญหายาเสพติด: การประยุกต์จากหลักคำสอนของศาสนาอิสลาม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/270896 <p> บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอหลักการและแนวทางในการป้องกันปัญหายาเสพติด ประยุกต์จากหลักคำสอนของศาสนาอิสลาม โดยการศึกษาเอกสารจากแหล่งข้อมูลที่สำคัญ คือ คัมภีร์อัลกุรอาน หนังสืออัลหะดีษ เอกสารงานวิจัยและบทความวิชาการ จากการศึกษาพบว่าศาสนาอิสลามได้กำหนดบทบัญญัติต่าง ๆ ทั้งที่เป็นข้อปฏิบัติและข้อห้าม โดยมีจุดประสงค์เพื่อรักษาผลประโยชน์พื้นฐานของมนุษย์ทั้งห้าประการ ได้แก่ ศาสนา ชีวิต ทรัพย์สิน สติปัญญา และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ศาสนาอิสลามมีบทบัญญัติห้ามสิ่งเสพติดเพื่อประโยชน์ในการดูแลสติปัญญาของมนุษย์ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าประการดังกล่าวไม่ให้เสียหาย เพราะสิ่งเสพติดทุกชนิดเป็นโทษต่อระบบสมองของผู้เสพ ทำให้ผู้เสพมึนเมาไม่ได้สติ อาจจะก่ออาชญากรรมร้ายแรง ละเมิดต่อศีลธรรมอันดีงาม หลักการป้องกันปัญหายาเสพติดประยุกต์จากหลักคำสอนของศาสนาอิสลาม ครอบครัวต้องให้ความสำคัญในการดูแลอบรมลูก ต้องคบเพื่อนที่ดีเคร่งศาสนา และอย่าฟุ่มเฟือย</p> อิสมาแอล เจะเล็ง Copyright (c) 2024 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/270896 Thu, 31 Oct 2024 00:00:00 +0700 พลวัตเศรษฐกิจ “ภาคประมง” ของจังหวัดสมุทรสาคร หลังพ.ศ.2500 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/271667 <p> บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในภาคประมงของจังหวัดสมุทรสาคร ในช่วงเวลาหลังพ.ศ.2500 ใช้ระเบียบวิธีวิจัยทางประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล ทั้งจากเอกสารลายลักษณ์อักษรและไม่ใช่ลายลักษณ์อักษร รวมทั้งการลงพื้นที่ภาคสนามเพื่อสืบค้นข้อมูลและสัมภาษณ์บุคคล<br /> ผลการศึกษา พบว่าภูมิศาสตร์ตำแหน่งที่ตั้งของสมุทรสาครที่อยู่ในลุ่มน้ำท่าจีนตอนล่าง มีความสำคัญในฐานะเมืองยุทธศาสตร์ทางการเมืองและเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง สามารถใช้เส้นทางคมนาคมทั้งทางน้ำและทางบกเชื่อมต่อกับพื้นที่อื่น อีกทั้งยังมีพื้นที่บางส่วนอยู่บริเวณปากแม่น้ำออกทางทะเลได้ อาชีพประมงจึงได้รับความนิยมและเป็นอาชีพดั้งเดิมของชุมชนบริเวณนี้ ข้อค้นพบเรื่องการเติบโตทางเศรษฐกิจของประมงพาณิชย์ พบว่าปัจจัยภายนอก ได้แก่ นโยบายการพัฒนาของรัฐที่เข้ามาในพื้นที่ทั้งในเรื่องการส่งเสริมเทคโนโลยีจับสัตว์น้ำที่ทันสมัย นโยบายการพัฒนาพื้นที่ปริมณฑลกรุงเทพฯ เพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจและการเคลื่อนย้ายแรงงาน นโยบายด้านการประมงพาณิชย์ ส่วนปัจจัยภายใน ได้แก่ การบริหารจัดการอย่างต่อเนื่องของเจ้าของธุรกิจประมง การสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์ทางสังคมรูปแบบเครือญาติและกลุ่มทางสังคม</p> สิริวรรณ สิรวณิชย์ Copyright (c) 2024 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/271667 Thu, 31 Oct 2024 00:00:00 +0700 ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการประเมินรายได้จากการประกอบกิจการที่มีผลต่อการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/266573 <p> การแสดงรายได้จากการประกอบกิจการเป็นองค์ประกอบสำคัญในงบการเงินและมีผลต่อการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอข้อมูลต่อผู้ประกอบการเกี่ยวกับความเข้าใจผิดในการประเมินรายได้จากการประกอบกิจการที่มีผลต่อการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล โดยรวบรวมและสำรวจข้อมูลจากข้อกฎหมายและข้อหารือของกรมสรรพากร ผู้ประกอบกิจการต้องแสดงรายได้จากการประกอบกิจการในแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล (ภ.ง.ด.50) รายการที่ 6 หมวดรายได้อื่น ซึ่งประกอบด้วย (1) กำไรจากการจำหน่ายทรัพย์สิน เช่น รายได้จากการจำหน่ายสินทรัพย์ที่ยึดคืนจากการเช่าซื้อ และรายได้จากการขายหรือขายฝากอสังหาริมทรัพย์ (2) กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา (3) ดอกเบี้ยรับ เช่น รายได้ดอกเบี้ยรับจากการให้กู้ยืมเงิน และรายได้ดอกเบี้ยรับจากการฝากธนาคาร (4) เงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งกำไร (5) เงินชดเชยค่าภาษีอากร และ (6) รายได้อื่นนอกเหนือ ความเข้าใจผิดที่พบเกี่ยวกับการประเมินรายได้เหล่านี้มีผลต่อการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลซึ่งผู้ประกอบการควรให้ความสนใจ เช่น (1) การรับรู้รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ให้ถือตามราคาขายจริงแต่ต้องไม่ต่ำกว่าราคาประเมินทุนทรัพย์ และ (2) การรับรู้รายได้ดอกเบี้ยรับจากการให้กู้ยืมต้องรับรู้รายได้ในอัตราดอกเบี้ยที่ไม่น้อยกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำหรืออัตราดอกเบี้ยที่กิจการจ่ายไปเนื่องจากการกู้ยืมแล้วแต่กรณี เป็นต้น</p> ศิริรัตน์ เจนศิริศักดิ์ Copyright (c) 2024 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/266573 Thu, 31 Oct 2024 00:00:00 +0700 ความจริงสูงสุดในพระพุทธศาสนา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/270909 <p> บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาเกี่ยวกับความจริงสูงสุดในพุทธศาสนาที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระพุทธศาสนา และในเอกสารที่เกี่ยวข้อง อาทิ หนังสือศาสนาเปรียบเทียบ พจนานุกรมพุทธศาสตร์ และหลักปฏิบัติเพื่อถึงความจริงสูงสุด จากการศึกษาเกี่ยวกับความจริงสูงสุดในระบบความเชื่อของพุทธศาสนาพบว่า “นิพพาน” นั้นเป็นความจริงสูงสุดของพุทธศาสนา แบ่งแยกออกเป็น 2 ประเภท 1. สอุปาทิเสสนิพพาน (นิพพานยังมี อุปาทิเหลือ) 2. อนุปาทิเสสนิพพาน (นิพพานไม่มีอุปาทิเหลือ) ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบหลักสัจธรรมด้วยการตรัสรู้คือธรรมะ และได้นำแนวทางมาเผยแพร่เพื่อให้ผู้ปฏิบัติได้บรรลุเป้าหมายของชีวิต<br /> จากการศึกษาเกี่ยวกับความจริงสูงสุดพบว่า แนวทางและหลักปฏิบัติเพื่อการที่จะเข้าถึงนิพพานได้นั้น บุคคลต้องฝึกฝนอบรมตนเองและปฏิบัติตามหลักมัชฌิมาปฏิปทา หรือการปฏิบัติตามทางสายกลาง ได้แก่ อริยมรรคมีองค์ 8 คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ เขาก็ย่อมบรรลุถึงความหลุดพ้น (นิพพาน)</p> ฟารุก ขันราม, กัมปนาท บัวเจริญ Copyright (c) 2024 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/270909 Thu, 31 Oct 2024 00:00:00 +0700 อุปลักษณ์เชิงมโนทัศน์เกี่ยวกับพระเจ้าในบทเพลงนมัสการพระเจ้าแบบอีสานของคริสเตียน https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/274621 <p><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">&nbsp; บทความนี้เพื่อศึกษาอุปลักษณ์เชิงมโนพิจารณาเกี่ยวกับพระเจ้าในบทเพลงในพระเจ้าแบบอีสานของคริสเตียนโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากหนังสือร้องสรรเสริญพระเจ้าและจากช่องยูทูบในปริมาณ 226 บทเพลงที่จะมีเฉพาะบทเพลงที่มีการใช้ภาษาและ ขับร้องร้องอีสาน</span></span></p> <p><strong>&nbsp; </strong><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">ผลการศึกษาอุปลักษณ์เชิงมโนทัศน์เกี่ยวกับพระเจ้าในบทเพลงของพระเจ้าแบบเดียวกับที่อีสานปรากฏให้เห็นอุปลักษณ์เชิงสัญลักษณ์เกี่ยวกับพระเจ้าทั้งหมดจำนวน 18 ประเภท อุปลักษณ์เชิงมโนติดตามเกี่ยวกับพระเจ้าส่วนใหญ่คือ [พระเจ้าคือเทพ] รองพระเจ้าคือ [พระเจ้าคือธรรมชาติ] [พระเจ้าคือจอมทัพ] [พระเจ้าคือเครื่องกำบังภัย] [พระเจ้าคือพ่อ] [พระเจ้าที่มาเยือนคือ] [พระเจ้าคือครู] [พระเจ้าคือกษัตริย์] [พระเจ้าคือพระธรรม] [พระเจ้าคือพระธรรม] อาหาร] [พระเจ้าคือพระเจ้า] [พระเจ้าคือเจ้านาย] [พระเจ้าคือหมอ] [พระเจ้าคือการเดินทาง] [พระเจ้าคือเพื่อน] [พระเจ้าคือคนรัก] [พระเจ้าคือสิ่งของที่มีค่า] และ [พระเจ้าคือบ้าน] ต่อ</span></span></p> กฤษฎา อุ่นลาวรรณ, มุจลินทร์ ลักษณะวงษ์ Copyright (c) 2024 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/274621 Thu, 31 Oct 2024 00:00:00 +0700 การศึกษาปรัชญาจีนด้านการฝึกฝนคุณธรรมในจิตใจและการช่วยเหลือผู้อื่นในวรรณกรรมจีนโบราณ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/274747 <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อการศึกษาวรรณกรรมจีนโบราณในมุมมองปรัชญาจีนด้านการฝึกฝนคุณธรรมภายในจิตใจให้ตนเองและช่วยเหลือผู้อื่น มีวิธีการดำเนินการวิจัยโดยใช้การศึกษาวิจัยเอกสาร มีขั้นตอนในการค้นคว้าเอกสารงานจากหนังสือหลัก 7 เล่ม รวมทั้งผลงานวิจัยและระเบียบวิธีที่เกี่ยวข้องมาวิเคราะห์วรรณกรรมจีนโบราณในมุมมองปรัชญาจีนด้านการฝึกฝนคุณธรรมภายในจิตใจในยุคที่เห็นได้เด่นชัด แล้วนำเสนอข้อมูลเชิงข้อความพรรณนา โดยมีผลสรุปที่แบ่งตามลักษณะเด่นตามยุคได้ดังนี้ 1. เทพนิยาย บทกวีสะท้อนความทุกข์ยากของสังคมและปรัชญาในรูปแบบร้อยแก้วยุคก่อนราชวงศ์ฉิน ในเทพนิยายจีนหลายเรื่องได้สะท้อนถึงตัวละครที่มีความรู้ความสามารถและความดีเสมือนเทพเจ้าที่คอยช่วยเหลือมวลมนุษย์ ส่วนบทกวีในคัมภีร์ซือจิงก็เน้นสะท้อนความทุกข์ยากของสังคม เสียดสี ยกย่องสรรเสริญ รวมทั้งประเพณี พิธี มารยาท จนได้รับการยกย่องเป็นคัมภีร์ใช้สอนปรัชญาของสำนักขงจื่อ ปรัชญาในรูปแบบร้อยแก้วยุคก่อนราชวงศ์ฉินที่มีหลายสำนัก แต่สำนักขงจื่อกับเหลาจื่อก็ถือเป็นผลงานวรรณกรรมที่มีอิทธิพลต่อความคิดคนจีนสูงสุด โดยเฉพาะปรัชญาขงจื่อที่มุ่งเน้นหลักเมตตาธรรมที่ฝึกฝนคุณธรรมภายในจิตใจให้ตนเองและช่วยเหลือผู้อื่น 2. บันทึกประวัติศาสตร์เพื่อชนรุ่นหลังยุคราชวงศ์ฮั่น เช่น ซือหม่าเชียนนักประวัติศาสตร์สมัยราชวงศ์ฮั่น หรือแม้กระทั่ง 3.กวีรักชาติและปรัชญากวียุคราชวงศ์ถัง-ซ่ง ผลงานของพวกเขาเหล่านั้น มีจำนวนไม่น้อยที่สะท้อนแก่นแท้ของมุมมองปรัชญาจีนที่แสดงความเป็นห่วงเป็นใยประเทศชาติและประชาชน</p> กาญจนา สิริสิทธิมหาชน Copyright (c) 2024 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/274747 Thu, 31 Oct 2024 00:00:00 +0700 การเปลี่ยนแปลงของคนจนเมืองภายใต้ผลกระทบของการพัฒนาเมืองขอนแก่น : ฉากทัศน์ฐานจากการสำรวจ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/273795 <p>งานวิจัยเชิงสำรวจนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงของคนจนเมืองภายใต้ผลกระทบจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของเมืองขอนแก่น เก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์โดยใช้แบบสัมภาษณ์กับกลุ่มตัวอย่างที่เป็นคนจนเมืองในเขตเทศบาลนครขอนแก่น รวม 506 ราย ได้มาโดยการสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย ตามบัญชีรายชื่อสมาชิกชุมชนที่รวบรวมโดยผู้นำชุมชนในเขตเทศบาลนครขอนแก่น &nbsp;ใช้แบบสัมภาษณ์เป็นเครื่องมือในการรวบรวมข้อมูลการวิจัย วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา ประกอบด้วย ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่าการเปลี่ยนแปลงของคนจนเมืองขอนแก่น ประกอบด้วย การเปลี่ยนกายภาพของชุมชนจากการกลายเป็นเมือง การเปลี่ยนอาชีพของคนจนเมือง การแสวงหาสิทธิความเป็นเจ้าของ “บ้าน” กับการลงหลักปักฐานในนครใหญ่ รูปแบบความสัมพันธ์กับเมืองในฐานะชนชั้นที่ถูกแบ่งแยกด้วยต้นทุนทางเศรษฐกิจ และการมีส่วนร่วมทางการเมืองเพื่อนำมาเป็นหนทางสู่การมีส่วนร่วมในการพัฒนาเมือง</p> ธนพฤกษ์ ชามะรัตน์, มนต์ชัย ผ่องศิริ, รสิตา ดาศรี, กฤษดา ปัจจ่าเนย์, พัชนีย์ เมืองศรี Copyright (c) 2024 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/273795 Thu, 31 Oct 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่มีผลต่อพฤติกรรมการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพรูปแบบอาหารคลีนของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/273789 <p> การศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่มีผลต่อพฤติกรรมการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพรูปแบบอาหารคลีนของประชาชน ในเขตเทศบาลเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนบุคคลกับพฤติกรรม การบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพรูปแบบอาหารคลีน 2. เพื่อเปรียบเทียบปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด กับพฤติกรรมการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพรูปแบบอาหารคลีนของประชาชน ในเขตเทศบาลเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษา คือ ประชาชนในเขตเทศบาลเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา จำนวน 400 คน ใช้วิธีการสุ่มแบบตามความสะดวก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติแจกแจงความถี่ ร้อยละ และค่า F-test ผลการวิจัย พบว่า ประชาชนในเขตเทศบาลเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา ที่เคยรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพรูปแบบอาหารคลีน ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุ 26-35 ปี การศึกษาปริญญาตรีหรือเทียบเท่า สถานภาพโสด อาชีพพนักงานบริษัท นับถือศาสนาพุทธ และรายได้ต่อเดือน 10,001-20,000 บาท เหตุผลที่รับประทาน เพื่อควบคุมน้ำหนัก รับประทาน 3-4 ครั้ง/สัปดาห์ ค่าใช้จ่ายต่อครั้ง 101 – 200 บาท ซื้อในห้างสรรพสินค้า ตนเองตัดสินใจเลือกใช้บริการ และส่วนใหญ่รับประทานเวลาตอนเย็น และปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดกับพฤติกรรมของผู้บริโภคอาหารเพื่อสุขภาพรูปแบบอาหารคลีน พบว่า ด้านสถานที่จัดจำหน่าย ด้านการส่งเสริมการตลาด ด้านบุคลากร ด้านกระบวนการให้บริการ และ ด้านสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพรูปแบบอาหารคลีน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย เพื่อเป็นข้อมูลให้แก่ผู้ประกอบการร้านอาหารคลีนในเขตเทศบาลเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา วางแผนกลยุทธ์ในการผลิตอาหารคลีนเพื่อสุขภาพตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคต่อไป</p> จันติมา จันทร์เอียด Copyright (c) 2024 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/273789 Thu, 31 Oct 2024 00:00:00 +0700 แนวทางการจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชน ตำบลเกาะใหญ่ อำเภอกระแสสินธุ์ จังหวัดสงขลา ภายใต้นโยบาย สะอาด ปลอดภัย เป็นธรรม ยั่งยืน รักษ์สิ่งแวดล้อม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/270064 <p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางการจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชน ตำบลเกาะใหญ่ อำเภอกระแสสินธุ์ จังหวัดสงขลา ภายใต้นโยบาย สะอาด ปลอดภัย เป็นธรรม ยั่งยืน รักษ์สิ่งแวดล้อม วิธีดำเนินการวิจัยเป็นการวิจัย เชิงคุณภาพ ด้วยวิธีการสัมภาษณ์แบบเจาะลึกผู้ให้ข้อมูลหลักกลุ่มที่ 1 และ 2 ใช้การสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง กลุ่มที่ 3 ใช้การสุ่มตัวอย่างแบบสะดวก ส่วนการตรวจสอบข้อมูล ใช้วิธีการตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้า วิธีการวิเคราะห์เนื้อหา โดยการสรุปความของเนื้อหา (Summative Content Analysis) เพื่อสรุปเป็นผลการวิจัย 5 ด้าน ซึ่งพบว่า “ด้านความสะอาด” ควรส่งเสริมการเรียนรู้ร่วมกันในชุมชน ดูแลรักษาความสะอาดพื้นที่โดยกำหนดเป็นเครื่องมือร่วมกัน “ด้านความปลอดภัย” ควรมีกติกาด้านความปลอดภัย ส่งเสริม ขวัญและกำลังใจการทำงานของ อาสาสมัครหมู่บ้านให้สามารถเชื่อมโยงการท่องเที่ยว โดยชุมชน “ด้านความเป็นธรรม” ควรสนับสนุนให้ภาคเอกชนร่วมลงทุนในชุมชน และมีการกระจายผลประโยชน์ที่เป็นธรรม ลงสู่ชุมชน “ด้านความยั่งยืน” ควรมีการพัฒนาการคมนาคม สร้างจิตสำนึกที่เข้าใจในวิถีชีวิตและวัฒนธรรม มีการประชาสัมพันธ์ ข้อมูลชุมชน และ “ด้านรักษ์สิ่งแวดล้อม” มีการถ่ายทอดความรู้ ภูมิปัญญาท้องถิ่นจากนักสื่อความหมายท้องถิ่น เพื่อดึงดูด ความสนใจให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้ตระหนักถึงคุณค่าของการรักษ์สิ่งแวดล้อม</p> ธเนศ ยุคันตวนิชชัย Copyright (c) 2024 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/270064 Thu, 31 Oct 2024 00:00:00 +0700 องค์ความรู้เชิงนิเวศแบบดั้งเดิมในนวนิยายของมาลา คำจันทร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/271506 <p> บทความเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ความรู้เชิงนิเวศแบบดั้งเดิมในนวนิยายของมาลา คำจันทร์ โดยศึกษาจากนวนิยาย จำนวน 13 เรื่อง แนวคิดที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ แนวคิดการวิจารณ์เชิงนิเวศ แนวคิดองค์ความรู้เชิงนิเวศแบบดั้งเดิม และแนวคิดสัตวศึกษา ผลการศึกษาพบว่า นวนิยายของมาลา คำจันทร์ ปรากฏองค์ความรู้เชิงนิเวศแบบดั้งเดิมที่แสดงให้เห็นว่า ชาวล้านนามีวิธีการมองโลกและธรรมชาติอย่างเป็นองค์รวม โดยนักเขียนนำเสนอผ่าน 3 ประเด็น ได้แก่ ประเด็นแรก องค์ความรู้เชิงนิเวศแบบดั้งเดิมคือ องค์ความรู้เชิงนิเวศแบบดั้งเดิมเกี่ยวกับภูมิศาสตร์ องค์ความรู้เชิงนิเวศแบบดั้งเดิมเกี่ยวกับป่าไม้ และองค์ความรู้เชิงนิเวศแบบดั้งเดิมเกี่ยวกับมนุษย์และสัตว์ ประเด็นที่สอง องค์ความรู้เชิงนิเวศแบบดั้งเดิมที่เกี่ยวกับวิถีชีวิตคนล้านนา เช่น องค์ความรู้เชิงนิเวศแบบดั้งเดิมเกี่ยวกับมนุษย์ ข้าว ดิน น้ำ และป่า และประเด็นที่สาม องค์ความรู้เชิงนิเวศแบบดั้งเดิมกับการอนุรักษ์ธรรมชาติ เป็นการสะท้อนวิธีคิดของชาวล้านนาที่ให้ความสำคัญกับธรรมชาติภายใต้ระบบทุนนิยม โดยสรุปแล้วบทความนี้เป็นการแสดงให้เห็นวิธีคิดของชาวล้านนาที่ให้ความสำคัญต่อธรรมชาติ และมองว่ามนุษย์คือส่วนหนึ่งของระบบนิเวศที่ต้องพึ่งพาอาศัยธรรมชาติ</p> รัตนาวดี ปาแปง, ธัญญา สังขพันธานนท์ Copyright (c) 2024 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/271506 Thu, 31 Oct 2024 00:00:00 +0700 ภูมิปัญญาชาวบ้านจากตำรายา ตำบลทรายขาว อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/272352 <p> การวิจัยครั้งนี้มุ่งวิเคราะห์ภูมิปัญญาทางภาษาที่ปรากฏในตำรายา ตำบลทรายขาว อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี และเพื่อศึกษาภูมิปัญญา ความเชื่อ ในการรักษาโรคที่ปรากฏในตำรา ซึ่งเป็นวิจัยเชิงคุณภาพโดยเก็บข้อมูลภาคสนามและการวิเคราะห์ สังเคราะห์เอกสาร ข้อมูลที่ใช้เป็นข้อมูลปฐมภูมิจากตำรายาซึ่งเป็นลายลักษณ์อักษรโดยคัดเลือกเอกสารที่มีสภาพสมบูรณ์ไม่เปื่อยขาด มีเนื้อหาสมบูรณ์เท่านั้น จำนวน 45 ตำรับยา รวมทั้งพิจารณาด้านการใช้ภาษา ทั้งนี้ได้สัมภาษณ์เจ้าของตำรายาและหมอพื้นบ้านเพื่อให้ได้ข้อมูล<br />ผลการวิจัยปรากฏดังนี้<br /> 1. ภูมิปัญญาทางภาษาที่ปรากฏในตำรายา จำแนกได้ 2 ลักษณะ คือ 1) ภูมิปัญญาด้านกลวิธีในการบันทึกตำรายา จำแนกได้ 2 ลักษณะ คือ การขึ้นต้นสูตรยา แบ่งออกเป็นการขึ้นต้นด้วยประเภทการรักษา การขึ้นต้นด้วยชื่อยาโดยตรง และการขึ้นต้นโดยนำเอาอาการของโรคมาเป็นชื่อยา และการใช้คำลงท้ายสูตรยาแต่ ละขนาน แบ่งออกเป็นการลงท้ายด้วยการแจ้งสรรพคุณในการรักษาที่ดี และการลงท้ายด้วยข้อความมนต์คาถา 2) ภูมิปัญญาด้านการใช้ภาษาถิ่นใต้ เป็นการใช้คำศัพท์เฉพาะภาษาถิ่นทั้งด้านเสียงและความหมายของคำ และบันทึกลายลักษณ์ตามสำเนียงภาษาถิ่นใต้ที่ใช้ในการพูดผสมผสานกับภาษาไทยมาตรฐาน ทำให้คนในพื้นที่สามารถเข้าใจข้อความในตำรายาได้<br /> 2. ภูมิปัญญาด้านความเชื่อเกี่ยวกับการรักษา จำแนกได้ 3 ความเชื่อ คือ 1) คติความเชื่อเรื่อง พระรัตนตรัย อำนาจเหนือธรรมชาติ 2) ความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ โดยถูกชี้นำความเชื่อดังกล่าวผ่านชนิดยา วิธีการปรุงยา ใช้วิธีการกล่าวถึงอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่สืบทอดกันมาช้านาน เพื่อให้ผู้ใช้เห็นว่ายาสมุนไพรที่ใช้รับการรักษานั้นมีค่า สร้างขวัญและกำลังใจให้กับผู้ป่วยรวมถึงญาติผู้ป่วย และเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเจ้าของตำรายา และ 3) ความเชื่อด้วยการเลือกสมุนไพรมาใช้ในการรักษา เช่น ความเชื่อเรื่องของ “สี” ของพืชในการรักษา ตัวอย่าง พืชที่มีสีแดง เช่น เจตมูลเพลิง ช่วยบำรุงโลหิต </p> สวพร จันทรสกุล, เวคิน วุฒิวงศ์, ขวัญตา ทวีสุข Copyright (c) 2024 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/272352 Thu, 31 Oct 2024 00:00:00 +0700 การวิเคราะห์อนุภาคและความขัดแย้งที่ผสมผสานในนวนิยายชุดหิมวันต์รัญจวน https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/271749 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อวิเคราะห์อนุภาคที่ปรากฏในนวนิยายชุดหิมวันต์รัญจวน และเพื่อวิเคราะห์ความขัดแย้งที่ผสมผสานที่ปรากฏในตัวละครเอกในนวนิยายชุดหิมวันต์รัญจวน ผลการวิจัยพบว่า อนุภาคในนวนิยายชุดหิมวันต์รัญจวน แบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1) อนุภาคตัวละคร พบ 2 อนุภาค คือ อนุภาคตัวละครที่เป็นอมนุษย์ แบ่งได้ 5 ประเภท ได้แก่ สัตว์หิมพานต์ วิทยาธร คนธรรพ์ เทวดา และมักกะลีผล ส่วนอนุภาคตัวละครที่เป็นมนุษย์ พบ 2 ประเภท คือ ฤๅษี และมนุษย์ผู้มีดวงจิตของสัตว์หิมพานต์ 2) อนุภาควัตถุหรือสิ่งของ 5 ประเภท ได้แก่ ของวิเศษของอมนุษย์กึ่งเทวะ ของวิเศษที่มีอำนาจปกป้องคุ้มครอง ของวิเศษที่ได้จากสัตว์หิมพานต์ ของวิเศษที่เป็นพืชในป่าหิมพานต์ และของวิเศษที่เป็นเครื่องผูกมัดจองจำ 3) อนุภาคเหตุการณ์หรือพฤติกรรม พบ 6 อนุภาค ดังนี้ อนุภาคการสมพาสผิดธรรมชาติ อนุภาค การซ่อนตัว อนุภาคการแปลงร่าง อนุภาคการเกิดใหม่ อนุภาคประตูข้ามมิติ และอนุภาคเหตุการณ์เกี่ยวกับการใช้เวทมนตร์ <br />ด้านความขัดแย้งที่ผสมผสานที่ปรากฏในตัวละครเอกในนวนิยายชุดหิมวันต์รัญจวน พบเพียง 2 ตัวละคร ได้แก่ สิงห์ ตัวละครเอกจากนวนิยายเรื่องมนตราราชสีห์ มีความขัดแย้งที่ผสมผสานระหว่างความอ่อนโยน มีเมตตาและความเด็ดขาด และอิลวราช หรือ อิลวา จากนวนิยายเรื่องร่ายรักกินรา มีความขัดแย้งที่ผสมผสานระหว่างมีเมตตา อ่อนโยน และเป็นผู้ดุดันมีโทสจริต ขณะที่ตัวละครเอกส่วนใหญ่มักเป็นตัวละครแบบอุดมคติ มีความดีพร้อมในทุกด้าน จึงไม่ปรากฏด้านตรงข้ามที่เป็นความขัดแย้งที่ผสมผสานในตัวละครนั้นๆ</p> สุประวีณ์ แสงอรุณเฉลิมสุข Copyright (c) 2024 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/271749 Thu, 31 Oct 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนากลยุทธ์เสริม สร้างนักประดิษฐ์ระดับอาชีวศึกษาด้วย TOWS MATRIX https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/276785 <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน ของสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ และสภาพแวดล้อมภายนอกในการพัฒนานักประดิษฐ์ระดับอาชีวศึกษาให้มีสมรรถนะเชิงนวัตกรรม 2) เพื่อพัฒนากลยุทธ์เสริมสร้างนักประดิษฐ์ระดับอาชีวศึกษา โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลโดยวิธีการสนทนากลุ่มย่อยกับกลุ่มผู้ให้ข้อมูลคนสำคัญจำนวน 10 คน ที่มีความเกี่ยวข้อง มีส่วนได้ส่วนเสีย และดำเนินภารกิจพัฒนานักประดิษฐ์ระดับอาชีวศึกษา เพื่อวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อนของของสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) รวมถึงสภาพแวดล้อมภายนอกที่ส่งผลต่อการพัฒนานักประดิษฐ์ระดับอาชีวศึกษาในทุกมิติ จากนั้น จึงทำการระดมสมองเพื่อกำหนดกลยุทธ์การเสริมสร้างนักประดิษฐ์ระดับอาชีวศึกษากับกลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลักโดยใช้วิธีการวิเคราะห์ TOWS MATRIX ผลการศึกษาพบว่ากลยุทธ์ที่ใช้สำหรับเสริมสร้างนักประดิษฐ์ระดับอาชีวศึกษาแบ่งออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่ 1) กลยุทธ์ด้านทรัพยากรบุคคล โดยจัดหลักสูตรฝึกอบรม/กิจกรรมส่งเสริมทักษะการประดิษฐ์และนวัตกรรม ที่มุ่งเน้นองค์ความรู้ที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 พัฒนาบุคลากร สายอาชีวศึกษาให้มีทักษะและความรู้ด้านการวิจัยและนวัตกรรมที่เข้ากับยุคสมัยผ่านระบบ mentoring ตลอดจนการสร้างหลักสูตรเสริมทักษะรวมถึงเครื่องมือการเรียนรู้ที่เหมาะสมและเข้ากับยุคสมัยแก่วิทยากรและผู้จัดการโครงการสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมสายอาชีวศึกษา 2) กลยุทธ์ด้านกระบวนการ โดยสร้างกลไกผลักดันผลงานสิ่งประดิษฐ์สู่ตลาดโดยการจับคู่ธุรกิจกับนักประดิษฐ์สายอาชีวศึกษา พัฒนาต่อยอดให้สิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมสายอาชีวศึกษามีระดับความพร้อมใช้ทางเทคโนโลยี (TRL) หรือมีระดับความพร้อมใช้ทางด้านสังคม (SRL) ถึงขั้นระดับสูงสุด พัฒนาระบบติดตาม ประเมินผล และ 3) กลยุทธ์ด้านนโยบาย โดยพัฒนาเครือข่ายร่วมมือในการสร้างโอกาสพัฒนาทักษะ สร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ และการฝึกประสบการณ์ ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างนักประดิษฐ์สายอาชีวศึกษากับนักประดิษฐ์ต่างประเทศ ส่งเสริมการแข่งขัน การประกวด และเชิดชูเกียรติแก่นักประดิษฐ์สายอาชีวศึกษา ตลอดจนสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างสถานบันอาชีวศึกษาและภาคอุตสาหกรรมเพื่อระดมทุนวิจัยและสนับสนุนทรัพยากรเพื่อการวิจัยและนวัตกรรม</p> อรอนงค์ สิงห์บุบผา, ชลวิทย์ เจียรจิตต์ Copyright (c) 2024 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/276785 Thu, 31 Oct 2024 00:00:00 +0700 การบริหารจัดการและการใช้ประโยชน์จากความหลากหลายของทรัพยากรแบบมีส่วนร่วมบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา จังหวัดสุรินทร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/272400 <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความหลากหลายของทรัพยากรแบบมีส่วนร่วมบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา จังหวัดสุรินทร์ 2) เพื่อวิเคราะห์ปัญหา อุปสรรค และข้อจำกัดของการบริหารจัดการและการใช้ประโยชน์จากความหลากหลายของทรัพยากรแบบมีส่วนร่วมบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา จังหวัดสุรินทร์ และ 3) เพื่อนำเสนอแนวทางบูรณาการการบริหารจัดการเพื่อปกป้องคุ้มครอง อนุรักษ์ ฟื้นฟู และใช้ประโยชน์ความหลากหลายของทรัพยากรแบบมีส่วนร่วมบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา จังหวัดสุรินทร์ อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ให้ข้อมูลหลัก ได้แก่ ประชาชนที่อาศัยอยู่ในชุมชนเป้าหมายและบุคลากรของหน่วยงานภาครัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้อง จำนวน 120 คน โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ และเชิงปริมาณ ผลการวิจัยพบว่า 1) ความหลากหลายของทรัพยากร ได้แก่ ทรัพยากรธรรมชาติ ทรัพยากรที่มนุษย์สร้างขึ้น และทรัพยากรวัฒนธรรมและภูมิปัญญา โดยการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากรในท้องถิ่นของประชาชนในชุมชน และปัจจัยสนับสนุนในการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากรในท้องถิ่น สามารถทำนายการจัดการตนเองต่อทรัพยากรในท้องถิ่นของชุมชนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 2) ปัญหาและอุปสรรคเกิดจากประชาชนบางคนไม่ให้ความร่วมมือ ไม่เคารพกติการ่วมกัน และชาวบ้านมีหนี้สินมากที่สุด และ 3) ชุมชนท้องถิ่นต้องใช้กลไกการบริหารจัดการที่ดีและการสร้างการมีส่วนร่วมจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ควรมีการให้ความรู้ ปลูกฝังทัศนคติ จิตสำนึกที่ถูกต้อง โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนในชุมชน ต้องมีการประชุมและสร้างความเข้าใจในชุมชนให้มีข้อตกลงในการใช้และอนุรักษ์ทรัพยากรเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมสูงสุด</p> อุบลวรรณ สุวรรณภูสิทธิ์, ลดาวัลย์ ปัญตะยัง, ศรัณย์ ศิลาเณร Copyright (c) 2024 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/272400 Thu, 31 Oct 2024 00:00:00 +0700