https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/issue/feed วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม 2025-03-05T14:09:42+07:00 ศ.ดร.ปฐม หงษ์สุวรรณ h.pathom@gmail.com Open Journal Systems <p>English : Journal of Humanities and Social Sciences Mahasarakham University</p> <p>ภาษาไทย : วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม </p> <p>ISSN: 2672-9733 (Online)</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong></p> <p>วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มีนโยบายในการส่งเสริม เผยแพร่ผลงานวิชาการและงานวิจัยที่มีคุณค่าต่อการพัฒนาองค์ความรู้ทางวิชาการ และ เป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเชิงวิชาการโดยครอบคลุมวิทยาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ การศึกษา ทัศนศิลป์ ศิลปะการแสดง ดุริยางคศิลป์ รัฐศาสตร์ ภาษา วรรณกรรม</p> <p>กำหนดการตีพิมพ์ปี ละ 6 ฉบับ ออกราย 2 เดือน คือ</p> <p>ฉบับที่ 1 มกราคม – กุมภาพันธ์/ ฉบับที่ 2 มีนาคม – เมษายน/ฉบับที่ 3 พฤษภาคม – มิถุนายน/ฉบับที่ 4 กรกฎาคม – สิงหาคม /ฉบับที่ 5 กันยายน – ตุลาคม และ ฉบับที่ 6 พฤศจิกายน – ธันวาคม</p> <p>โดยรูปแบบผลงานที่วารสารจะรับพิจารณา มี 3 ประเภท คือ บทความวิชาการ บทความวิจัย และบทวิจารณ์หนังสือ บทความวิชาการและบทความวิจัยที่จะนำมา ตีพิมพ์วารสารมหาวิทยาลัยมหาสารคามจะต้องได้รับการตรวจสอบทางวิชาการ (double-blind peer review) โดยใช้ผู้พิจารณา 3 คน (Three Reviewers) ทั้งภายในและภายนอก จากหลากหลายมหาวิทยาลัย ไม่อยู่ในสถาบันเดียวกับผู้ส่งบทความ เพื่อให้วารสารมีคุณภาพในระดับมาตรฐานสากล และนำไปอ้างอิงได้ ผลงานที่ส่งมาตีพิมพ์ จะต้องมีสาระ งานทบทวนความรู้เดิมและเสนอความรู้ ใหม่ที่ทันสมัยรวมทั้งข้อคิดเห็นที่เกิดประโยชน์ต่อผู้อ่าน ผลงานไม่เคยถูกนำไปตีพิมพ์เผยแพร่ใน วารสารอื่นใดมาก่อน และไม่ได้อยู่ในระหว่างการพิจารณาลงวารสารใดๆ</p> https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/275683 สงครามอสมมาตร: ยุทธวิธีนอกแบบของผู้ก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย 2024-02-26T16:05:38+07:00 ณัฏฐินี ปิยะศิริพนธ์ natthineep@nu.ac.th <p>ครบรอบ 20 ปีของเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ซึ่งถือได้ว่าเป็นความท้าทายต่อสังคมไทยในทุกภาคส่วนที่จำเป็นต้องหันมาทำความเข้าใจถึงปฏิบัติการของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่ เพื่อนำไปสู่การมีส่วนร่วมในการสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นจริงสู่สังคม ซึ่งส่งผลต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งและความรุนแรงอย่างมีเอกภาพและทิศทางที่ชัดเจน แม้ว่าจำนวนเหตุการณ์ความไม่สงบมีแนวโน้มลดลง แต่ยังคงมีการปฏิบัติการก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่มาโดยตลอด การก่อเหตุความไม่สงบตลอดระยะเวลา 20 ปีนั้นเป็นปฎิบัติการของการต่อสู้ในแนวคิดของการทำสงครามนอกแบบ หรือการทำสงครามจรยุทธ์หรือสงครามกองโจร มีลักษณะของความเป็นสงครามอสมมาตรที่เกิดขึ้นระหว่างตัวแสดงที่เป็นรัฐและตัวแสดงที่ไม่ใช่รัฐ ซึ่งก็คือระหว่างรัฐและกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่ ปัจจุบันมีเพียงกลุ่มเดียว คือ ขบวนการแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปาตานี (Barisan Revolusi Nasional Melayu Patani: BRN) ที่ยังคงมีการปฏิบัติการการต่อสู้ทุกรูปแบบทั้งการขับเคลื่อนงานการทหารที่ใช้ความรุนแรง และการขับเคลื่อนงานการเมืองทั้งในเรื่องของการปลุกระดมบ่มเพาะ การจุดประเด็นต่าง ๆ เพื่อขยายผลไปยังสื่อทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการเจรจาต่อรองกับรัฐบาลไทย โดยมีเป้าหมายเพื่ออิสรภาพหรือการแบ่งแยกดินแดนให้เกิดรัฐใหม่</p> 2025-02-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/275895 บางลาไม่เคยลาก่อน: การเดินทาง การหยุดพัก และบ้านที่ไม่ใช่บ้าน 2024-03-06T11:32:57+07:00 ภูริณัฐ พฤกษ์เนรมิตร hanma_bagi@hotmail.com <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาลักษณะการโหยหาอดีตที่ปรากฏในเรื่องสั้น บางลาไม่เคยลาก่อน ของ เกริกศิษฏ์ พละมาตร์ ศึกษาด้วยระเบียบวิธีวิจัยเชิงเอกสาร นำเสนอผ่านการพรรณนาวิเคราะห์ ผลการศึกษาพบว่า เรื่องสั้นนำเสนอความแปลกแยกของปัจเจกชนในสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ผ่านการใช้ภาพของ “โอเอซีส” ที่เป็นแหล่งชุมนุมของคนชายขอบเป็นภาพแทนของบ้านเกิด เพื่อแสดงถึงการโหยหาพื้นที่ที่จะได้แสดงออกถึงตัวตนโดยที่ไม่ถูกกดทับจากสิ่งรอบข้าง ทั้งยังแสดงให้เห็นวิกฤตที่เกิดขึ้นในสังคม และภาพของคนกลุ่มหนึ่งที่ต้องเบียดเสียดและดิ้นรนอยู่ในสังคมที่ตนรู้สึกแปลกต่างออกไป โอเอซีส จึงเป็นสัญลักษณ์ของแหล่งพักพิงของบรรดาผู้ที่ไม่อาจเป็นเนื้อเดียวกับสังคม ให้ออกมาแสดงตัวตนท่ามกลางหมู่คนชายขอบ บรรเทาและฟื้นฟูตัวเองให้พอรู้สึกผ่อนคลายลงได้บ้าง แต่ไม่ใช่สิ่งที่ถาวรคงทน</p> 2025-02-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/275289 ทิศทางและแนวทางการศึกษาคติชนสมัยใหม่ในสังคมไทย 2024-02-09T00:31:49+07:00 พลกฤษณ์ วสีวิวัฒน์ phollakrit_was@nstru.ac.th สุภาวดี วสีวิวัฒน์ supawadee_nan@nstru.ac.th ชญาดา ชูชัยสิงหะกุล chayada_cho@nstru.ac.th จตุพร เจริญพรธรรมา jatuporn_jar@nstru.ac.th <p>บทความวิชาการนี้มุ่งสำรวจทิศทางและเสนอแนวทางการศึกษาคติชนสมัยใหม่ในสังคมไทย โดยสังเคราะห์ผลงานที่ศึกษาเรื่องเล่าสมัยใหม่ เพลงร้องเล่นสมัยใหม่ และปริศนาคำทายสมัยใหม่ อีกทั้งนำเอกสารที่เกี่ยวข้องกับคติชนสมัยใหม่มาประกอบการศึกษา พบว่า ทิศทางการศึกษาคติชนสมัยใหม่ ในสังคมไทยอยู่ในระยะเริ่มต้น แต่ก็มีแนวโน้มความสนใจเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่เป็นการศึกษาเรื่องเล่าสมัยใหม่ จึงยังมีข้อมูลให้ศึกษาอีกจำนวนมาก ส่วนแนวทางการศึกษาคติชนสมัยใหม่ในสังคมไทยอาจเป็นการรวบรวมคติชนร่วมสมัยชนิดแยกย่อยหรือคติชนของกลุ่มคนต่าง ๆ มาศึกษา เก็บข้อมูลโดยสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญหรือจากสื่อสมัยใหม่ แล้วจึงวิเคราะห์ลักษณะของคติชน พร้อมนำแนวคิดทฤษฎีทางมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์มาประกอบการศึกษา จะทำให้เข้าใจความคิดความเชื่อของกลุ่มคนและปรากฏการณ์ในสังคมร่วมสมัยได้อีกทางหนึ่ง การศึกษาคติชนสมัยใหม่อาจช่วยขยายขอบเขตของคติชนวิทยาในสังคมไทยให้กว้างขวางออกไป ทำให้คติชนวิทยาเป็นศาสตร์ที่ร่วมสมัย และเห็นแนวโน้มของการศึกษาในอนาคตชัดเจนขึ้น </p> 2025-02-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/277893 การศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในจังหวัดนครราชสีมา 2024-05-15T11:01:46+07:00 กิตติศักดิ์ กลิ่นหมื่นไวย kittiya_kitty@hotmail.com <p>การวิจัยนี้เป็นการศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในจังหวัดนครราชสีมา เป็นการวิจัยเชิงปริมาณโดยใช้วิธีวิจัยเชิงสำรวจ โดยการใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูลและนำข้อมูลที่ได้มาประมวลผลโดยใช้ค่าสถิติ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย การวิเคราะห์สหสัมพันธ์และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่า พฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในจังหวัดนครราชสีมา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก(=4.20) สำหรับความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด (7Ps) ส่งผลต่อพฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในจังหวัดนครราชสีมา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก(=4.19) ทั้ง 7 ปัจจัย (7Ps) เมื่อวิเคราะห์เป็นรายด้าน พบว่า ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์และบริการมีค่าเฉลี่ยมากที่สุด(=4.36) และรองลงมาคือ ปัจจัยด้านราคา(=4.28) ปัจจัยด้านบุคลากร(=4.25) ปัจจัยด้านช่องทางการจัดจำหน่าย(=4.21) ปัจจัยด้านการส่งเสริมการตลาด(=4.14) ปัจจัยด้านลักษณะทางกายภาพและการนำเสนอ(=4.13) และปัจจัยด้านกระบวนการ(=3.97) ตามลำดับ ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาท่องเที่ยวในจังหวัดนครราชสีมา มีผลต่อพฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวในทุกปัจจัย และอิทธิพลของปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดมีผลต่อพฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในจังหวัดนครราชสีมาในทุกปัจจัย(7Ps) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> 2025-02-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/275985 บทบาทของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการจัดการแหล่งเรียนรู้ ในสถานศึกษา สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ กลุ่ม 2 2024-03-08T12:49:06+07:00 ธนกฤษ มวยทองดี niwat2534pnru@hotmail.com นิวัตต์ น้อยมณี nw.noymanee@gmail.com อัศวิน เสนีชัย atsavin555@hotmail.com <p>การศึกษาวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาระดับบทบาทของผู้บริหารสถานศึกษา และระดับการจัดการแหล่งเรียนรู้ในสถานศึกษา ความสัมพันธ์ระหว่างบทบาทของผู้บริหารสถานศึกษากับการจัดการแหล่งเรียนรู้ในสถานศึกษา และศึกษาบทบาทของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการจัดการแหล่งเรียนรู้ในสถานศึกษา สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ กลุ่ม 2 กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างคือ ครูผู้สอน โดยเทียบตารางเครจซี่และมอร์แกน จำนวน 155 คน จากนั้นดำเนินการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ โดยเทียบสัดส่วนของครูตามสัดส่วนของแต่ละสถานศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษารวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ความเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์สมการถดถอยพหุคูณแบบมีขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า<br />1) ระดับบทบาทของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ กลุ่ม 2 โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านการมีภาวะผู้นำที่ดี ด้านการบริหารงานวิชาการ และการวัดและประเมินผล ด้านการพัฒนา ส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษา และด้านการสร้างขวัญกำลังใจและแรงจูงใจ ตามลำดับ<br />2) ระดับการจัดการแหล่งเรียนรู้ในสถานศึกษา สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ กลุ่ม 2 โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านกายภาพอาคารสถานที่ บรรยากาศและสิ่งแวดล้อม ด้านการบริหารจัดการ และด้านปฏิสัมพันธ์ครู ผู้ปกครองและชุมชน ตามลำดับ<br />3) ความสัมพันธ์ระหว่างบทบาทของผู้บริหารสถานศึกษากับการจัดการเรียนรู้ในสถานศึกษา สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ กลุ่ม 2 มีความสัมพันธ์ทางบวกต่อกันในระดับมากที่สุด มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ () เท่ากับ .820 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01<br />4) บทบาทของผู้บริหารสถานศึกษา ด้านการมีภาวะผู้นำที่ดี และด้านการบริหารงานวิชาการ และการวัดและประเมินผล ส่งผลต่อการจัดการแหล่งเรียนรู้ในสถานศึกษา สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ กลุ่ม 2 และสามารถพยากรณ์การจัดการแหล่งเรียนรู้ในสถานศึกษา สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ กลุ่ม 2 ได้ร้อยละ 70.90 </p> 2025-02-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/276373 ความสัมพันธ์ระหว่างทุนสังคมและความยากจน: กรณีศึกษาพื้นที่เทศบาลตำบลปากชม จังหวัดเลย 2024-03-21T14:40:15+07:00 ภูมิ เพชรกาญจนาพงศ์ poome.pet@gmail.com ขวัญคณิศร์ อินทรตระกูล Kwankanit.int@lru.ac.th สุพรรณี พฤกษา supannee.pru@gmail.com รุ่งกานต์ อินทวงศ์ rungkarn.int@lru.ac.th สัญชัย เกียรติทรงชัย poome.pet@nida.ac.th <p>สำคัญในการออกแบบนโยบายทางสังคมอื่นๆเพื่อการช่วยเหลือกลุ่มคนเหล่านี้ในอนาคต งานวิจัยชิ้นนี้ใช้ฐานข้อมูลระบบบริหารจัดการข้อมูลการพัฒนาคนแบบชี้เป้า (TP Map) ในการกำหนดกลุ่มประชากรคนจนในพื้นที่เทศบาลตำบลปากชม จังหวัดเลย เครื่องมือในการเก็บข้อมูลประกอบด้วยแบบสอบถาม สัมภาษณ์แบบกลุ่ม และสัมภาษณ์เชิงลึก โดยพบว่าคนจนจากฐานข้อมูล TP Map นั้นมีทุนสังคมที่ต่ำ เนื่องจากฐานะที่ยากจนทำให้ยากต่อการเข้าร่วมกลุ่มหรือเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆของชุมชนเพราะขาดแคลนเวลาและทุนทรัพย์ซึ่งเป็นทรัพยากรที่สำคัญในการเข้าร่วมกิจกรรมต่างของชุมชน นอกจากนี้ผลจากการที่ทุนทางสังคมต่ำทำให้คนจนในพื้นที่ศึกษาไม่สามารถเข้าถึงทรัพยากรในเครือข่ายทางสังคมของชุมชน เช่น ความช่วยเหลือจากคนในชุมชน หรือข่าวสารต่างๆ และต้องพึ่งพาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมากกว่าบุคคลอื่นในชุมชนเดียวกันที่มีรายได้และต้นทุนสังคมที่สูงกว่า จากผลการศึกษาดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่านโยบายเศรษฐกิจและสังคมในระดับชุมชนเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชนที่ต้องอาศัยเครือข่ายสังคมเป็นหลักในการดำเนินการ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมการรวมกลุ่มชุมชน สหกรณ์ กองทุน อาจจะไม่มีความเหมาะสมต่อกลุ่มคนยากจนซึ่งมีทุนสังคมน้อยในชุมชนส่งผลในการได้รับประโยชน์จากนโยบายดังกล่าวน้อยกว่าคนอื่นๆในชุมชนเดียวกัน</p> 2025-02-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/274766 ทัศนคติของผู้เรียนต่อการเรียนภาษาจีนผ่านกิจกรรมบทบาทสมมติ 2024-01-17T15:23:05+07:00 เยาวลักษณ์ วิสุทธิ์สิริ yaowaluk.w@psu.ac.th มนาภรณ์ บ้านเพิง manaporn.na@psu.ac.th อัสมา ทรรศนะมีลาภ asama.ta@psu.ac.th <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบทัศนคติของผู้เรียนที่มีต่อการเรียนภาษาจีนก่อนการจัดการเรียนรู้และหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมบทบาทสมมติ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาหลักสูตรภาษาจีนเพื่อการสื่อสารทางธุรกิจ ที่ลงทะเบียนเรียนในรายวิชา 936-240 ภาษาจีน 3 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ <strong>&nbsp;</strong>วิทยาเขตสุราษฎร์ธานี จำนวนทั้งสิ้น 52 คน โดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยและเก็บรวบรวมข้อมูล คือ ชุดฝึกกิจกรรมบทบาทสมมติเพื่อพัฒนาทักษะการพูดภาษาจีน แบบสอบถามทัศนคติของผู้เรียนที่มีต่อการเรียนภาษาจีน แบบสัมภาษณ์กึ่งมีโครงสร้าง สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย (x̅) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และสถิติ t-test dependent ผลการศึกษาวิจัยพบว่า ทัศนคติของผู้เรียนที่มีต่อการเรียนภาษาจีนก่อนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมบทบาทสมมติอยู่ในระดับมาก (x̅ = 4.20) และทัศนคติของผู้เรียนที่มีต่อการเรียนภาษาจีนหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมบทบาทสมมติอยู่ในระดับมากที่สุด (x̅ = 4.37) ผลการเปรียบเทียบพบว่าทัศนคติของผู้เรียนที่มีต่อการเรียนภาษาจีนหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมบทบาทสมมติสูงขึ้นกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> 2025-02-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/277089 การรับรู้โฆษณาผ่านติ๊กต็อกและปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ของผู้บริโภคห้างสรรพสินค้าโรบินสันสุราษฎร์ธานี 2024-04-17T15:40:23+07:00 ระพีพันธ์ เผ่าชู dr.rapeepann@gmail.com จันทิมา แสงดี juntima300758@gmail.com นนทิภัค เพียรโรจน์ rapeepan.p@psu.ac.th <p>ธุรกิจค้าปลีกกลุ่มห้างสรรพสินค้ากำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายจากการเพิ่มขึ้นของคู่แข่งขันในการทำตลาดอีคอมเมิร์ช ส่งผลให้ผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการซื้อสินค้าและบริการต่างไปจากเดิม ห้างสรรพสินค้า โรบินสันสุราษฎร์ธานีมุ่งใช้สื่อโฆษณาติ๊กต็อกเชื่อมโยงธุรกิจกับผู้บริโภค เพื่อเพิ่มยอดขายให้สูงขึ้น การวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนบุคคล ระดับการรับรู้โฆษณาผ่านติ๊กต็อก ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด และระดับการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ของผู้บริโภคห้างสรรพสินค้าโรบินสันสุราษฎร์ธานี 2) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง การรับรู้โฆษณาผ่านติ๊กต็อกและปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด และ 3) ศึกษาอิทธิพลของการรับรู้โฆษณาผ่านติ๊กต็อกและปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่มีต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ของผู้บริโภคห้างสรรพสินค้าโรบินสันสุราษฎร์ธานี เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริโภคที่มีประสบการณ์ซื้อผลิตภัณฑ์และรับรู้โฆษณาผ่านติ๊กต็อกของห้างสรรพสินค้าโรบินสันสุราษฎร์ธานี ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา จำนวน 213 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบตามสะดวก ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า การรับรู้โฆษณาผ่านติ๊กต็อกมีความสัมพันธ์กับปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด อีกทั้ง การรับรู้โฆษณาผ่าน ติ๊กต็อกและปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ของผู้บริโภคห้างสรรพสินค้า โรบินสันสุราษฎร์ธานี ผลการวิจัยนี้นำไปใช้เป็นแนวทางกำหนดกลยุทธ์ทางการตลาด เพื่อขยายฐานลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่ใช้สื่อสังคมออนไลน์ติ๊กต็อกเพิ่มขึ้น กระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ การเพิ่มยอดขายและสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันให้ธุรกิจค้าปลีกท้องถิ่นต่อไป</p> 2025-02-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/276235 การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันอันดับที่สองการใช้หลักอิทธิบาท 4 ในการบริหารงานของผู้บริหารสถานศึกษา 2024-03-17T08:33:20+07:00 ศิริพร เสริตานนท์ lasiriporn@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาองค์ประกอบของอิทธิบาท 4 ในการบริหารงานของผู้บริหารสถานศึกษา โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณและรูปแบบความสัมพันธ์เชิงโครงสร้าง กลุ่มตัวอย่างคือ ข้าราชการครูของกลุ่มเครือข่ายสถานศึกษาอำเภอเถิน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำปาง เขต 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 255 คน ซึ่งได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster) โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือวิจัย ซึ่งมีความตรงเชิงเนื้อหาระหว่าง 0.60-1.00 ความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ 0.96 และตำถามเป็นรายด้าน มีค่าความเชื่อมั่นระหว่าง 0.79- 0.93 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติการวิเคราะห์องค์ประกอบ 2 วิธี คือ 1) การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปสำหรับการวิเคราะห์สถิตืทางสังคมศาสตร์ และ 2) การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันอันดับที่สอง ด้วยโปรแกรม LISREL 8.72<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลจากวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ (EFA) พบว่าตัวแปรต่างๆ มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.000 KMO เท่ากับ .879 แสดงว่าตัวแปรต่างๆสามารถนำไปใช้วิเคราะห์องค์ประกอบได้ 2) ผลการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันอันดับที่สอง พบว่า โมเดลที่ปรับใหม่ (Modified Model) สอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยพิจารณาจาก ค่า Chi-square (X<sup>2</sup>) เท่ากับ 13.57 องศาอิสระ (df) เท่ากับ 14 ค่าสถิติทดสอบ p-value เท่ากับ 0.482, GFI เท่ากับ 0.990 AGFI เท่ากับ 0.950, RMR เท่ากับ 0.0033 และ RMSEA เท่ากับ 0.000 จากการพิจารณาค่าดัชนีที่ผ่านเกณฑ์ จึงสรุปได้ว่าโมเดลมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยได้องค์ประกอบเป็น 12 องค์ประกอบ จาก 40 ตัวแปร แสดงว่าองค์ประกอบเชิงยืนยันอันดับที่สองที่พัฒนาขึ้นมีความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้างดี สามารถประยุกต์ใช้กับศึกษาการบริหารงานในสถานศึกษาโดยใช้อิทธิบาท 4 ได้</p> 2025-02-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/272138 การจัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศวัฒนธรรมอย่างมีส่วนร่วมของชุมชน หมู่บ้านควายห้วยลำพอก ตำบลกุดหวาย อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ 2023-09-30T22:55:41+07:00 ศิวาพร พยัคฆนันท์ siwaporn@srru.ac.th อัครเดช สุพรรณฝ่าย akkharadet.s@srru.ac.th อาภาพร บุญประสพ jajee_jajee@hotmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาศักยภาพการจัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศวัฒนธรรมอย่างมีส่วนร่วมของชุมชน 2) ศึกษาระดับการมีส่วนร่วมและความสำเร็จของการจัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศวัฒนธรรมของชุมชน และ 3) พัฒนารูปแบบการจัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศวัฒนธรรมอย่างมีส่วนร่วมของหมู่บ้านควายห้วยลำพอก ตำบลกุดหวาย อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ ผลการวิจัย พบว่า หมู่บ้านควายห้วยลำพอก มีศักยภาพในการเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศวัฒนธรรม เพราะมีทรัพยากรการท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่อยู่ในชุมชนที่มีวิถีความเป็นอยู่และวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ เป็นทรัพยากรที่ดึงดูดใจทางการท่องเที่ยว มีการจัดการผลกระทบจากการจัดกิจกรรมท่องเที่ยว มีการให้ความรู้ถึงคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติ มีการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยว และมีการจัดการข้อมูลเพื่อให้บริการนักท่องเที่ยวและมีศักยภาพบุคลากร สำหรับการมีส่วนร่วมของชุมชนในกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศวัฒนธรรม พบว่า คนในชุมชนมีส่วนร่วม ทั้งการวางแผนบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยว การร่วมทำนุบำรุงรักษา การปฏิบัติตามแผนในการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยว การติดตามและประเมินผลการท่องเที่ยวและการได้รับประโยชน์จากการท่องเที่ยว เมื่อประเมินความสำเร็จของการจัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศวัฒนธรรม พบว่า นักท่องเที่ยวได้รับประสบการณ์ มีความพึงพอใจในการท่องเที่ยว ชุมชนเกิดการพัฒนาและมีความสุขจากการทำงานร่วมกัน สำหรับการศึกษารูปแบบการจัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศวัฒนธรรมอย่างมีส่วนร่วมของชุมชน พบว่า ชุมชนร่วมกันพัฒนา 5 ประเด็น คือ 1) เอกลักษณ์ร่วมของชุมชน 2) ความหลากหลายของกิจกรรมท่องเที่ยว 3) ศักยภาพ ของบุคลากรท่องเที่ยว 4) การบริหารจัดการในรูปแบบกลุ่ม และ 5) เน้นกระบวนการมีส่วนร่วม เพื่อให้เป็นชุมชนท่องเที่ยวเชิงนิเวศวัฒนธรรมที่คนในพื้นที่ได้รับประโยชน์จากการท่องเที่ยวร่วมกันต่อไป</p> <p> </p> 2025-02-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/273668 เพลงเปียโนอีสานสรภัญญ์ : สรภัญญ์วอลซ์ 2023-12-05T18:39:30+07:00 สิทธิพงษ์ ยอดนนท์ joy.pianoviolin@gmail.com นคร วงศ์ไชยรัตนกุล roiet2557@gmail.com <p style="font-weight: 400;">การวิจัยสร้างสรรค์เรื่อง เพลงเปียโนอีสานสรภัญญ์&nbsp; มีวัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อสร้างสรรค์บทเพลงเปียโนจากทำนองสรภัญญ์อีสาน ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพและการสร้างสรรค์ โดยผู้วิจัยเก็บข้อมูลทำนองสรภัญญ์จากคณะสรภัญญ์ในภาคอีสานตอนกลาง 3 คณะ ได้แก่ คณะเพชรฮ่องฮี จังหวัดกาฬสินธุ์ คณะดอกฟ้าสรภัญญ์ จังหวัดร้อยเอ็ด คณะบ้านท่าประทาย จังหวัดมหาสารคาม แล้วนำเอาทำนองที่ได้จากการศึกษามาสร้างสรรค์เป็นบทเพลงสำหรับการแสดงเดี่ยวเปียโน ผลการวิจัยพบว่า</p> <p style="font-weight: 400;">&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; เพลงสรภัญญ์วอลซ์&nbsp; (Sorapan&nbsp; Waltz) เป็นการนำเอาทำนองสรภัญญ์อีสานจากทำนองกลอนลา ของคณะดอกฟ้าสรภัญญ์ บ้านหนองตาไก้ มาใช้เป็นแนวคิดหลักในการสร้างสรรค์ โดยใช้ทฤษฎีการประพันธ์เพลงแบบดนตรีตะวันตกมาใช้เป็นทฤษฎีในการสร้างสรรค์ เช่น ขั้นคู่ ทรัยแอด คอร์ด การเรียบเรียงเสียงประสาน การสร้างทำนองเพลง การแปรทำนอง เป็นต้น เพลงสรภัญญ์วอลซ์&nbsp; เริ่มต้นเพลงจะเป็นทำนองสรภัญญ์กลอนลาของบ้านหนองตาไก้ แล้วมือซ้ายจะบรรเพลงเป็น ริธึม (Rhythm) แบบจังหวะวอลซ์ ซึ้งได้แนวคิดมาจากเพลงวอลซ์ ของดนตรีในสมัยโรแมนติก โน้ต มือซ้ายจะมีความห่างของเสียงระหว่างโน้ตจะค่อนข้างกระโดด เพื่อให้ผู้บรรเลงใด้แสดงฝีมือและความชำนาญในการบรรเลง ท่อนที่สองผู้วิจัยได้สร้างสรรค์ทำนองขึ้นมาใหม่โดยอาศัยแนวคิดทำนองสรภัญญ์กลอนลาของคณะดอกฟ้าสรภัญญ์ มาเป็นแนวคิดหลักในการแปรทำนอง</p> 2025-02-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/277535 สุริยปกรณัม : การศึกษาในมิติแห่งเทพปกรณัมและมิติแห่งสังคมและวัฒนธรรม 2024-05-01T11:47:05+07:00 สุกัญญาโสภี ใจกล่ำ sukunyasopee@gmail.com <p>บทความวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความหมายอันศักดิ์สิทธิ์ของพระอาทิตย์ในมิติแห่ง เทพปกรณัมและอิทธิพลของพระอาทิตย์ที่ส่งมายังมิติสังคมและวัฒนธรรมตามทฤษฎีคติชนวิทยา 3 มิติ ผลการวิจัยพบว่า เทพปกรณัมแสดงให้เห็นความหมายของพระอาทิตย์ในมิติแห่งเทพปกรณัม 3 ลักษณะ คือ พระอาทิตย์ในฐานะเทพเจ้า ผู้ควบคุมกาละ และผู้ควบคุมชะตาชีวิต ซึ่งแสดงบทบาทในลักษณะที่เป็นนามธรรม ส่วนอิทธิพลของพระอาทิตย์ที่ส่งผลต่อมิติสังคมและวัฒนธรรม คือ การเกิดปฏิทิน การสร้างนาฬิกา การเกิดตำราโหราศาสตร์ ซึ่งการทำความเข้าใจความหมายและความสำคัญของพระอาทิตย์ใน เทพปกรณัมนั้น จะทำให้ผู้ที่ศึกษาเห็นสัจธรรมของจักรวาล คือ การเกิดและการเสื่อมสลาย อันเป็น การชี้แนะให้มนุษย์รู้จักการละกิเลสและทำจิตให้บริสุทธิ์ เพื่อดำเนินชีวิตให้รอดปลอดภัยจนไปถึงเป้าหมายสูงสุดในชีวิต </p> 2025-02-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/277147 อิทธิพลของลักษณะผู้ประกอบการต่อความสำเร็จของธุรกิจสตาร์ทอัพในประเทศไทย:บทบาทของตัวแปรคั่นกลาง ความสามารถทางนวัตกรรม และความได้เปรียบทางการแข่งขัน 2024-04-19T17:19:39+07:00 อมราวดี วงศ์เทพ amaravadee24@gmail.com ศศิวิมล สุขบท sasiwemon.s@psu.ac.th อิศรัฏฐ์ รินไธสง idsaratt.r@psu.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลของลักษณะผู้ประกอบการโดยมีความสามารถนวัตกรรมและความได้เปรียบในการแข่งขันเป็นตัวแปรคั่นกลางที่ส่งผลต่อความสำเร็จของธุรกิจสตาร์ทอัพ ใช้ทฤษฎี Resource-based View Theory (Barney, 1991) เป็นฐานในการศึกษา ประชากรที่ศึกษาเป็นผู้ประกอบการธุรกิจสตาร์ทอัพในประเทศไทย หน่วยสุ่มเป็นธุรกิจสตาร์ทอัพ จำนวน 554ราย โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบความน่าจะเป็น ใช้ตัวแบบสมการโครงสร้าง (SEM) ในการวิเคราะห์ ผลการศึกษาแสดงให้เห็นอิทธิพลของความสามารถนวัตกรรม และความได้เปรียบในการแข่งขันในฐานะตัวแปรส่งผ่านความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะผู้ประกอบการ และความสำเร็จของธุรกิจสตาร์ทอัพในประเทศไทย ผลการวิเคราะห์ข้อมูลสามารถยืนยันสมมติฐานการวิจัยซึ่งพบว่า ลักษณะผู้ประกอบการส่งผลทางตรงและทางอ้อมกับความสำเร็จของธุรกิจสตาร์ทอัพ ผ่านอิทธิพลของความสามารถทางนวัตกรรม และความได้เปรียบทางการแข่งขัน องค์ความรู้ใหม่ในธุรกิจสตาร์ทอัพ เช่น การสร้างนวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์ในการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า นำไปสู่การการสร้างความแตกต่างให้กับสินค้า ทำให้ยากต่อการลอกเลียนแบบ เพื่อใช้เป็นแรงขับเคลื่อนให้กับผู้ประกอบการในการนำความสามารถนวัตกรรม การสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันให้กับธุรกิจ ส่งผลต่อความสำเร็จของธุรกิจ บทความวิจัยนี้เป็นการเติมเต็มองค์ความรู้ให้กับแวดวงวิชาการในด้านบทบาทของตัวแปรคั่นกลาง ความสามารถทางนวัตกรรม ความได้เปรียบทางการแข่งขัน ที่ส่งผลต่อความสำเร็จของธุรกิจสตาร์ทอัพ</p> 2025-02-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/276850 การพัฒนาสารานุกรมดนตรีพื้นบ้านอีสานตอบสนองการศึกษาวิจัย วัฒนธรรมทางดนตรีในสังคมพหุวัฒนธรรม 2024-04-04T18:09:19+07:00 อัครวัตร เชื่อมกลาง akr.a@hotmail.com สุวิชชาน อุ่นอุดม Aodac269@gmail.com สุธีระพงษ์ พินิจพล suteerapougpinitpol@gmail.com ดิษยพงษ์ หกสุวรรณ Dissayapong@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษารวบรวมองค์ความรู้ดนตรีพื้นบ้านอีสาน พัฒนาเป็นสารานุกรมดนตรีพื้นบ้านอีสานที่มีความเป็นปัจจุบัน ใช้วิธีวิจัยแบบผสมผสาน โดยการศึกษาจากเอกสาร ภาคสนาม การสนทนากลุ่ม และการศึกษาความคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่จะนำงานวิจัยไปใช้ กลุ่มเป้าหมายได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรีและภาษา ปราชญ์ชาวบ้านและศิลปินพื้นบ้านอีสาน กลุ่มตัวอย่างการศึกษาความคิดเห็นของผู้มีส่วนที่จะนำงานวิจัยไปใช้ ได้แก่ นักศึกษา นักวิชาการ นักวิจัยทางด้านดนตรี โดยการใช้การสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบวิเคราะห์เอกสาร แบบสัมภาษณ์ และแบบสอบถามความคิดเห็น สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ผลวิจัย การรวบรวมคำและวิเคราะห์เอกสารเกี่ยวกับดนตรีพื้นบ้านอีสาน ได้ข้อมูลเพื่อตั้งเป็นแกนคำในเบื้องต้น การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหาจากการลงพื้นที่สัมภาษณ์และการสนทนากลุ่ม ทำให้ได้ข้อมูลของคำในวัฒนธรรมดนตรีพื้นบ้านอีสาน ได้ข้อสังเกตุดังนี้ 1)บางคำเป็นคำที่มีความหมายเหมือนกัน แต่ชื่อเรียกแตกต่างกันในแต่ละท้องถิ่น 2)คำบางคำมีหลายความหมาย 3)ข้อมูลในบางประเด็นยังไม่ชัดเจนยังหาข้อสรุปไม่ได้ จึงมุ่งศึกษาคำที่มีข้อสรุปแล้วในเบื้องต้น ในส่วนสารานุกรมฯ ประกอบไปด้วย คำอธิบายความ ภาพประกอบ และโน้ตเพลง จำนวน 50 คำ การศึกษาความคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่จะนำงานวิจัยไปใช้ด้านรูปแบบและเนื้อหาพบว่า ในภาพรวมอยู่ในระดับเหมาะสมมาก เป็นฐานข้อมูลดนตรีพื้นบ้านอีสานในเชิงวิชากรที่มีภาพประกอบ คำอธิบายโดยละเอียด และโน้ตเพลงจากปราชญ์ศิลปินพื้นบ้านที่เป็นปัจจุบัน </p> 2025-02-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม