https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/issue/feed วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม 2025-11-13T11:26:05+07:00 ศ.ดร.ปฐม หงษ์สุวรรณ h.pathom@gmail.com Open Journal Systems <p>English : Journal of Humanities and Social Sciences Mahasarakham University</p> <p>ภาษาไทย : วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม </p> <p>ISSN: 2672-9733 (Online)</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong></p> <p>วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มีนโยบายในการส่งเสริม เผยแพร่ผลงานวิชาการและงานวิจัยที่มีคุณค่าต่อการพัฒนาองค์ความรู้ทางวิชาการ และ เป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเชิงวิชาการโดยครอบคลุมวิทยาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ การศึกษา ทัศนศิลป์ ศิลปะการแสดง ดุริยางคศิลป์ รัฐศาสตร์ ภาษา วรรณกรรม</p> <p>กำหนดการตีพิมพ์ปี ละ 6 ฉบับ ออกราย 2 เดือน คือ</p> <p>ฉบับที่ 1 มกราคม – กุมภาพันธ์/ ฉบับที่ 2 มีนาคม – เมษายน/ฉบับที่ 3 พฤษภาคม – มิถุนายน/ฉบับที่ 4 กรกฎาคม – สิงหาคม /ฉบับที่ 5 กันยายน – ตุลาคม และ ฉบับที่ 6 พฤศจิกายน – ธันวาคม</p> <p>โดยรูปแบบผลงานที่วารสารจะรับพิจารณา มี 3 ประเภท คือ บทความวิชาการ บทความวิจัย และบทวิจารณ์หนังสือ บทความวิชาการและบทความวิจัยที่จะนำมา ตีพิมพ์วารสารมหาวิทยาลัยมหาสารคามจะต้องได้รับการตรวจสอบทางวิชาการ (double-blind peer review) โดยใช้ผู้พิจารณา 3 คน (Three Reviewers) ทั้งภายในและภายนอก จากหลากหลายมหาวิทยาลัย ไม่อยู่ในสถาบันเดียวกับผู้ส่งบทความ เพื่อให้วารสารมีคุณภาพในระดับมาตรฐานสากล และนำไปอ้างอิงได้ ผลงานที่ส่งมาตีพิมพ์ จะต้องมีสาระ งานทบทวนความรู้เดิมและเสนอความรู้ ใหม่ที่ทันสมัยรวมทั้งข้อคิดเห็นที่เกิดประโยชน์ต่อผู้อ่าน ผลงานไม่เคยถูกนำไปตีพิมพ์เผยแพร่ใน วารสารอื่นใดมาก่อน และไม่ได้อยู่ในระหว่างการพิจารณาลงวารสารใดๆ</p> https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/280377 โฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับสาเหตุการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ในสมุดปกขาวของเยอรมัน ค.ศ. 1914 2024-08-02T14:21:13+07:00 วัศพล ธรรมรักษา wasapol.thum@gmail.com <p>เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ขึ้นในทวีปยุโรปใน ค.ศ. 1914 ระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรที่มีอังกฤษ ฝรั่งเศส และรัสเซีย เป็นผู้นำฝ่ายหนึ่ง กับฝ่ายมหาอำนาจกลางที่มีเยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการี เป็นผู้นำอีกฝ่ายหนึ่ง ประเทศคู่สงครามทั้งสองฝ่ายได้ตีพิมพ์เอกสารโฆษณาชวนเชื่อที่เรียกว่าสมุดปกสีต่างๆออกเผยแพร่ ได้แก่ สมุดปกสีฟ้าของอังกฤษ สมุดปกเหลืองของฝรั่งเศส สมุดปกส้มของรัสเซีย สมุดปกขาวของเยอรมัน สมุดปกแดงของออสเตรีย-ฮังการี เป็นต้น มีเนื้อหาพยายามชี้ให้เห็นว่าตนมิได้เป็นผู้ก่อสงคราม ขณะเดียวกันก็โจมตีฝ่ายตรงข้ามว่าเป็นผู้ก่อสงคราม บทความวิชาการนี้มีจุดประสงค์เพื่ออธิบายและวิเคราะห์เนื้อหาสมุดปกขาวของเยอรมันฉบับแปลเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศเยอรมันได้ตีพิมพ์เผยแพร่ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1914 ว่ามีเนื้อหาตรงตามข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์หรือไม่อย่างไร ผลการศึกษาพบว่าเนื้อหาสมุดปกขาวของเยอรมันมุ่งให้ความชอบธรรมกับออสเตรีย-ฮังการีในการใช้กำลังทหารกับเซอร์เบีย หลังเกิดเหตุลอบปลงพระชนม์อาร์ชดุ๊กฟรานซิส เฟอร์ดินันด์ รวมถึงกล่าวหารัสเซียและฝรั่งเศสว่าเป็นฝ่ายยั่วยุ ให้ความขัดแย้งบานปลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่ไม่ได้กล่าวถึงการละเมิดความเป็นกลางของเบลเยียมโดยเยอรมนี ซึ่งส่งผลให้อังกฤษเข้าร่วมสงคราม</p> 2025-10-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/280196 กลไกการเสริมสร้างทักษะเทคโนโลยีในยุคดิจิทัลของสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society) กรณีศึกษา ชุมชนมัสยิดอัต-ตักวา 2024-07-27T13:09:41+07:00 จิราภรณ์ สุภิสิงห์ supising.jiraporn@gmail.com สุริยะ ทวีบุญญาวัตร sun54phd9@gmail.com สมเกียรติ บุญรอด somkeit_kpl1@hotmail.com จิรลักษณ์ กัลหะ sun54phd9@gmail.com ชูชีพ พุทธประเสริฐ choocheep_phu@g.cmru.ac.th ศิริมาศ โกศัลย์พิพัฒน์ sirimas_kos@cmru.ac.th <p>การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและปัญหาการใช้เทคโนโลยีในยุคดิจิทัลของสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society) กรณีศึกษา ชุมชนมัสยิดอัต-ตักวา 2) เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยเอื้อต่อความสำเร็จในการเสริมสร้างทักษะเทคโนโลยีในยุคดิจิทัล ของสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society) กรณีศึกษา ชุมชนมัสยิดอัต-ตักวา และ 3) เพื่อศึกษากลไกการเสริมสร้างทักษะเทคโนโลยีในยุคดิจิทัล ของสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society) กรณีศึกษา ชุมชนมัสยิดอัต-ตักวา วิธีดำเนินการวิจัย ดำเนินการโดยวิธีการวิจัยแบบผสานวิธี ผู้ให้ข้อมูล เลือกแบบเจาะจง ได้แก่ ผู้สูงอายุในชุมชนมัสยิดอัตตักวา คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงใหม่ สมาชิกคณะกรรมการมัสยิด ผู้บริหารศูนย์การเรียนรู้ศิลปะและวิทยาศาสตร์อัลกุรอาน รวมทั้งหมด 46 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ การสัมภาษณ์เชิงลึก แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง แบบบันทึกการประชุม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา และจำแนกตามประเด็น ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพปัจจุบันของการใช้เทคโนโลยีในยุคดิจิทัลของสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society) กรณีศึกษา ชุมชนมัสยิดอัต-ตักวา ประกอบด้วย 12 ด้าน ปัญหาการใช้เทคโนโลยีในยุคดิจิทัลของสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society) กรณีศึกษา ชุมชนมัสยิดอัต-ตักวาประกอบด้วย 14 ด้าน 2. ปัจจัยเอื้อต่อความสำเร็จในการเสริมสร้างทักษะเทคโนโลยีในยุคดิจิทัลของสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society) กรณีศึกษา ชุมชนมัสยิดอัต-ตักวา ประกอบด้วย 4 ด้าน 3. กลไกการเสริมสร้างเทคโนโลยีในยุคดิจิทัลของสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society) กรณีศึกษา ชุมชนมัสยิดอัต-ตักวา ประกอบด้วยขั้นตอนปฏิบัติงาน 11 ขั้นตอน</p> 2025-10-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/281483 การพัฒนาภาวะผู้นำด้านความฉลาดทางอารมณ์ของผู้บริหารเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตยุคบานี่ในสถานศึกษา สังกัดสำนักเขตพื้นที่การศึกษาการศึกษาประถมศึกษา จังหวัดสุพรรณบุรี 2024-09-06T23:43:26+07:00 ณฏฐพร สิงห์สร natataporn1223@gmail.com ณัฐกา สงวนวงษ์ natataporn1223@gmail.com ลำพอง กลมกูล natataporn1223@gmail.com เริงวิชญ์ นิลโคตร natataporn1223@gmail.com ณัฐพัชร สายเสนา natataporn1223@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำด้านความฉลาดทางอารมณ์ของผู้บริหารและการพัฒนาคุณภาพชีวิตยุคบานี่ในสถานศึกษา 2) ศึกษาความสัมพันธ์ภาวะผู้นำด้านความฉลาดทางอารมณ์ของผู้บริหารกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตยุคบานี่ในสถานศึกษา และ 3) นำเสนอแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำด้านความฉลาดทางอารมณ์ของผู้บริหารเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตยุคบานี่ในสถานศึกษา เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี เชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 294 คน เครื่องมือคือแบบสอบถามมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .98 สถิติที่ใช้คือ ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน เชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 20 คน เป็นการเลือกแบบเจาะจง เครื่องคือแบบสัมภาษณ์ สังเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา และตรวจสอบด้วยเทคนิคสามเส้า ผลการศึกษาพบว่า 1) ภาวะผู้นำด้านความฉลาดทางอารมณ์ของผู้บริหาร และการพัฒนาคุณภาพชีวิตยุคบานี่ในสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2) ความสัมพันธ์ภาวะผู้นำด้านความฉลาดทางอารมณ์ของผู้บริหารกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตยุคบานี่ในสถานศึกษามีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับสูงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 3) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำด้านความฉลาดทางอารมณ์ของผู้บริหาร คือ การฝึกอบรมและพัฒนา การสร้างสภาพแวดล้อมสนับสนุน การประเมินและติดตามผล การสร้างแรงจูงใจ การใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือใหม่ และการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในที่ทำงาน</p> 2025-10-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/280846 การเสนอภาพความเป็นหญิงของศิลปินชายในเนื้อเพลงคัดสรรของวงมารูนไฟฟ์ 2024-08-18T07:48:05+07:00 ทศพล อินทร์ผล totsapon.ton@g.swu.ac.th วิริยา ด่านกำแพงแก้ว Wiriyagd@g.swu.ac.th <p>งานวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาลักษณะเฉพาะทางเพศสภาพที่ปรากฏอยู่ในเนื้อเพลงคัดสรรจากศิลปินวง Maroon 5 ซึ่งเป็นวงดนตรีศิลปินชายที่มีอิทธิพลในประวัติศาสตร์ดนตรีร่วมสมัย กรอบแนวคิดของความเป็นหญิงและความเป็นชายจากหลากหลายงานวิจัยเกี่ยวกับเพศสภาพ ถูกนำมาใช้ในการวิเคราะห์เนื้อเพลงดังกล่าว โดยผลการวิจัยครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าภาวะพึ่งพิงหรือการพึ่งพาคนอื่น อันเป็นลักษณะของความเป็นหญิง ปรากฏอยู่ในบทเพลงที่ถ่ายทอดโดยศิลปินชายอย่างเห็นได้ชัด ผลการวิจัยเรื่องนี้สนับสนุนการหักล้างทัศนคติแบบเหมารวมในเรื่องเพศผ่านเนื้อร้องในบทเพลง โดยผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าการจบความสัมพันธ์ของคู่รัก ซึ่งเป็นประเด็นหลักของเนื้อเพลงวงนี้ นำเสนอให้เห็นว่าฝ่ายชายไม่สามารถจัดการกับอารมณ์ความรู้สึกของตนเองได้และต้องการที่พึ่งพิงทางอาวรณ์จากหญิงคนรัก ซึ่งแตกต่างจากภาพลักษณ์โดยทั่วไปของความเป็นชายที่มักจะต้องแสดงความเป็นผู้นำทางอารมณ์</p> 2025-10-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/280818 การสื่อสารสีเทา : การเข้าถึงบริการยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัยในประเทศไทย 2024-08-16T21:58:11+07:00 นภดล พิมสาร nopphadol.p@hitap.net ภิชารีย์ กรุณายาวงศ์ picharee.k@hitap.net ธนายุต เศรณีโสภณ Thanayut.s@hitap.net มันตา กรกฎ manta.k@hitap.net อธิพร เรืองทวีป Atiporn.r@hitap.net กุมารี พัชนี Kumaree.p@hitap.net <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบการสื่อสารประชาสัมพันธ์ในปัจจุบันของการยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัยของสายด่วนการตั้งครรภ์ไม่พร้อม (1663) โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัย<br />เชิงคุณภาพ ผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึก และการสัมภาษณ์กลุ่ม มีผู้ให้ข้อมูลหลัก คือ ผู้บริหาร บุคลากรทางการแพทย์ที่ให้บริการยุติการตั้งครรภ์ในสถานพยาบาลเครือข่ายที่เป็นพื้นที่กลุ่มตัวอย่าง และเจ้าหน้าที่/อาสาสมัครให้บริการของสายด่วนการตั้งครรภ์ไม่พร้อม (1663) รวมทั้งสิ้น 42 คน ผลการศึกษาวิจัย พบว่า ในปัจจุบันการสื่อสารประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้และเข้าถึงช่องทางการยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัย มีผู้ส่งสาร แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ 1) สายด่วนการตั้งครรภ์ไม่พร้อม (1663) มีการส่งข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อที่หลากหลาย เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มผู้รับสารที่มีความแตกต่างกัน และยังได้รับความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายในการประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางต่าง ๆ <br />2) สถานพยาบาล ภาครัฐจะไม่มีการใช้สื่อประชาสัมพันธ์ในทุกรูปแบบ ผู้รับบริการส่วนใหญ่จะได้รับการส่งต่อจากภาคีเครือข่าย ส่วนสถานพยาบาลภาคเอกชนบางแห่ง มีการใช้สื่อทุกรูปแบบ และ<br />มีการพัฒนาเนื้อหาให้ทันสมัย เพื่อสร้างการรับรู้ไปยังกลุ่มเป้าหมาย โดยข้อเสนอแนะเชิงนโยบายต่อสายด่วนการตั้งครรภ์ไม่พร้อม (1663) คือ การพัฒนาระบบการให้บริการเพื่อรองรับผู้รับบริการที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งการเพิ่มช่องทางการสื่อสาร และกลวิธีการสื่อสารให้มีความทันสมัยมากขึ้น</p> 2025-10-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/281043 ปัจจัยการพัฒนาสมรรถนะที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของข้าราชการส่วนท้องถิ่นจังหวัดเชียงราย 2024-08-24T18:59:32+07:00 วราดวง สมณาศักดิ์ waraduang.som@crru.ac.th ประยูร อิมิวัตร์ prayoon6318@gmail.com นวลนภา จุลสุทธิ nualnapa.chull@gmail.com ภูริพัฒน์ แก้วศรี khunphuripat@gmail.com อรุณี อินเทพ arunee.int@crru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับปัจจัยการพัฒนาสมรรถนะและประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของข้าราชการส่วนท้องถิ่นจังหวัดเชียงราย และ 2) ปัจจัยการพัฒนาสมรรถนะที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของข้าราชการส่วนท้องถิ่นจังหวัดเชียงราย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยข้าราชการส่วนท้องถิ่นจังหวัดเชียงราย จำนวน 365 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับปัจจัยการพัฒนาสมรรถนะและประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของข้าราชการส่วนท้องถิ่นจังหวัดเชียงรายอยู่ในระดับมาก และ 2) ปัจจัยการพัฒนาสมรรถนะที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของข้าราชการส่วนท้องถิ่นจังหวัดเชียงรายอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ได้แก่ การพัฒนาวิธีการสอนฝึกอบรมเชิงนวัตกรรม การพัฒนาโค้ชและการให้คำปรึกษา และการพัฒนารายบุคคลตามความสามารถ ซึ่งปัจจัยทั้งสามสามารถร่วมกันอธิบายความผันแปรได้ร้อยละ 78.0 โดยสมการถดถอยในรูปแบบคะแนนมาตรฐาน คือ ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน = 0.260 (การพัฒนาวิธีการสอนฝึกอบรมเชิงนวัตกรรม) + 0.226 (การพัฒนาโค้ชและการให้คำปรึกษา) + 0.217 (การพัฒนารายบุคคลตามความสามารถ) ปัจจัยเหล่านี้สอดคล้องกับหลักการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ยุคใหม่ที่เน้นการเรียนรู้ผ่านวิธีการทันสมัย การให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด และการพัฒนาตามศักยภาพเฉพาะบุคคล หากนำมาประยุกต์ใช้อย่างจริงจังจะช่วยยกระดับสมรรถนะและประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรท้องถิ่นได้อย่างเป็นรูปธรรม</p> 2025-10-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/280993 แรงจูงใจของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่ใช้บริการโรงแรม Pet-Friendly Hotel Chains ในเขตอำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 2024-08-22T14:22:09+07:00 วิภาพร อาชากิ่งแก้ว ball822@hotmail.com วรรษิดา บุญญาณเมธาพร worarak.suc@nida.ac.th <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาพฤติกรรมและความต้องการของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่ใช้บริการโรงแรมในเครือ Pet-Friendly ในเขตอำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 2) เพื่อศึกษาแรงจูงใจของนักท่องเที่ยวชาวไทยในการเลือกใช้บริการโรงแรมเหล่านี้ และ 3) เพื่อวิเคราะห์อิทธิพลของแรงจูงใจที่มีต่อการตัดสินใจใช้บริการโรงแรมในเครือ Pet-Friendly ในพื้นที่ดังกล่าว การวิจัยครั้งนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างคือ นักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาท่องเที่ยวและใช้บริการโรงแรมในเครือ Pet-Friendly เช่น ไอบิส หัวหิน (โรงแรมระดับ 3 ดาวในเครือแอคคอร์ด) ดุสิต ดีทู หัวหิน (โรงแรมระดับ 4 ดาวในเครือดุสิต) และไฮแอท รีเจนซี่ หัวหิน (โรงแรมในเครือไฮแอท) ในเขตอำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 400 คน ข้อมูลที่ได้ถูกวิเคราะห์โดยใช้สถิติพื้นฐาน เช่น ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ตลอดจนการวิเคราะห์ปัจจัยสำรวจ (Exploratory Factor Analysis - EFA) เพื่อทำความเข้าใจแรงจูงใจและปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกโรงแรมของผู้บริโภค ผลการทดสอบสมมติฐานแสดงให้เห็นว่า แรงจูงใจทั้งในด้าน "ผลัก" (Push Factors) และ "ดึง" (Pull Factors) มีอิทธิพลอย่างมีนัยสำคัญต่อการตัดสินใจของนักท่องเที่ยวชาวไทยในการเลือกใช้บริการโรงแรมในเครือ Pet-Friendly โดยเฉพาะปัจจัยดึงดูด เช่น สิ่งอำนวยความสะดวกและการบริการของโรงแรม มีบทบาทสำคัญต่อการตัดสินใจของนักท่องเที่ยว ข้อมูลนี้สามารถนำไปใช้ในการพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาดและปรับปรุงการบริการของโรงแรมเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น</p> 2025-10-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/280442 พัฒนาการของตัวละครเอกผ่านแนวคิด “การผจญภัยของวีรบุรุษ” ในภาพยนต์เรื่อง “ชีวิตพิศวงของ วอลเตอร์ มิตตี้” ภาพยนตร์ปี พ.ศ. 2556 2024-08-05T12:36:17+07:00 ศาสตรา มาพร sattra.ma@cpru.ac.th บรรจง บุรินประโคน banjong.bu@rmu.ac.th ภัสรา นามแสง sattra.ma@cpru.ac.th มัทนาภรณ์ แสนศักดิ์ sattra.ma@cpru.ac.th <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์พัฒนาการของตัวเอกในภาพยนตร์ ชีวิตพิศวงของ วอลเตอร์ มิตตี้ ซึ่งดัดแปลงมาจากเรื่องสั้นของ เจมส์ เธอร์เบอร์ ในปี ค.ศ. 1939 โดยใช้แนวคิด "เส้นทางของวีรบุรุษ" ตามแนวคิดของคริสโตเฟอร์ โวกเลอร์ ซึ่งใช้ในการวิเคราะห์การเขียนบทภาพยนตร์ ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าการเดินทางของตัวเอกในบทภาพยนต์เรื่อง ชีวิตพิศวงของ วอลเตอร์ มิตตี้ มีการเดินทางผ่านทุกขั้นตอนของ "การผจญภัยของวีรบุรุษ" ตั้งแต่ "โลกปกติ" จนถึงขั้นตอนสุดท้าย "การกลับมาพร้อมกับน้ำอมฤต" ดังนั้น การผจญภัยในเรื่องนี้ส่งผลต่อบุคลิกภาพของตัวเอกทั้งด้านร่างกายและจิตใจ สรุปได้ว่า ในภาพยนตร์ชีวิตพิศวงของ วอลเตอร์ มิตตี้ แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของตัวเอกจากคนขี้อายที่มักจะฝันกลางวันเป็นคนกล้าหาญในช่วงสุดท้ายของเรื่อง การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าผู้เขียนบทภาพยนตร์ได้ใช้โครงสร้างการเล่าเรื่องของ สอดคล้องกับแนวคิดของคริสโตเฟอร์ โวกเลอร์ ในบทภาพยนต์เรื่องนี้ด้วย</p> 2025-10-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/281037 การศึกษาสภาพปัจจุบันและปัญหาของการจัดการเรียนรู้ เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะความเป็นพลเมืองโลกของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ 2024-08-24T10:58:01+07:00 สิริมน ฤดี sirimonr66@nu.ac.th ณัฐเชษฐ์ พูลเจริญ nattachetp@nu.ac.th อัจฉรา ศรีพันธ์ atcharas@nu.ac.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและปัญหาของการจัดการเรียนรู้ เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะความเป็นพลเมืองโลกของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ โดยเป็นการวิจัยแบบผสานวิธี (Mixed methods) เครื่องมือวิจัย คือ แบบสอบถาม และแนวคำถามในการสัมภาษณ์ ประชากร คือ นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) วิทยาลัยในสังกัดคณะกรรมการการอาชีวศึกษาจังหวัดพิจิตร จำนวน 3 สถานศึกษา โดยมีกลุ่มตัวอย่างให้ข้อมูล จำนวน 328 คน ได้มาจากการสุ่มตามสูตรของ Krejcie &amp; Morgan เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 2 ชนิด คือ 1) แบบสอบถาม 2) แนวคำถามในการสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า สภาพปัจจุบันของการจัดการเรียนรู้ มีการจัดการเรียนรู้อยู่ในระดับปานกลาง ( ค่าเฉลี่ย ( = 3.22 ) และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ( S.D.) = 0.92 ) ส่วนปัญหาของการจัดการเรียนรู้ พบปัญหา ได้แก่ ผู้เรียนขาดความสนใจและความกระตือรือร้นในการเรียนรู้เกี่ยวกับความเป็นพลเมืองโลก ความหลากหลายของผู้เรียน คือ ความแตกต่างในด้านความรู้ ทักษะ และความสนใจของผู้เรียน ทำให้การจัดการเรียนรู้และการวัดผลเป็นไปได้ยาก ผู้เรียนมุ่งเน้นความสำคัญที่ให้กับคะแนน มากกว่าการเรียนรู้และพัฒนาทักษะที่จำเป็น ขาดความเชื่อมโยงระหว่างการเรียนรู้กับชีวิตจริง คือ ผู้เรียนไม่เห็นความสำคัญของการเรียนรู้ความเป็นพลเมืองโลกในการใช้ชีวิตประจำวัน</p> 2025-10-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/278673 การปรับปรุงประสิทธิภาพการส่งสินค้า กรณีศึกษา บริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าแห่งหนึ่ง 2024-06-10T14:55:07+07:00 สุชาดี ธำรงสุข choosana.t@bid.kmutnb.ac.th ชุษณา เทียนทอง choosana.t@bid.kmutnb.ac.th <p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษากระบวนการทำงานของการส่งสินค้า 2) เพื่อเพิ่มค่าความสามารถในการจัดส่งสินค้าได้ตรงตามเวลา 3) เพื่อสร้างแบบเฝ้าติดตามสถานการณ์ขนส่งสินค้า จากการหาค่าการส่งมอบสินค้าตรงเวลาด้วยค่าร้อยละ และค่าเฉลี่ย จากนั้นทำการวิเคราะห์การส่งมอบสินค้าล่าช้าด้วยการวิเคราะห์แบบพาเรโต และหาสาเหตุของปัญหาด้วยแผนผังก้างปลา นำปสู่การแนวทางการแก้ไข ด้วยการประยุกต์ใช้โปรแกรม Microsoft Excel ในการสร้างเครื่องมือติดตามสถานการณ์การส่งสินค้า และประยุกต์ใช้ Factor Rating Method ในการคัดเลือกบริษัทขนส่งภายนอกที่เหมาะสม โดยมอบหมายคำสั่งซื้อที่อยู่ในพื้นที่ ที่มีการส่งมอบสินค้าล่าช้ามากที่ได้จากการวิเคราะห์ คือพื้นที่ ภาคเหนือตอนบน และภาคใต้ผล การเปรียบเทียบก่อนและหลังการปรับปรุงค่าส่งมอบตรงเวลา เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 ระยะเวลา 1 เดือน ของ ทั้ง 2 พื้นที่เพิ่มขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 96 และ 97 ตามลำดับ และจากการใช้บริษัทขนส่งภายนอกควบคู่กัน การจัดส่งด้วยบริษัทขนส่งภายนอกที่ได้จากการคัดเลือกสามารถส่งมอบสินค้าตรงเวลาเฉลี่ย ร้อยละ 96.5 มากกว่าและสอดคล้องกับเป้าหมายขององค์กรที่ ร้อยละ 95 การจัดส่งด้วยบริษัทขนส่งภายนอกรายปัจจุบัน จากการนำเครื่องมือติดตามสถานการณ์ส่งสินค้ามาใช้ มีค่าการส่งมอบตรงเวลาที่เพิ่มขึ้น เฉลี่ยร้อยละ 16.8 แต่ยังคงต่ำกว่าเป้าหมายขององค์กร ผู้วิจัยจึงมีข้อเสนอแนะในการศึกษาครั้งถัดไปเพื่อเพิ่มค่าการส่งสินค้าตรงเวลาต่อไปในส่วนที่ยังไม่ถึงเป้าหมายขององค์กร งานวิจัยนี้ช่วยให้บริษัทมีแนวทางในการปรับปรุงกระบวนการจัดส่งสินค้า เพิ่มประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือในการบริการจัดส่งแก่ลูกค้า นอกจากนี้ผลการวิจัยจากกรณีศึกษายังสามารถนำไปปรับใช้ในหน่วยงานหรือองค์กรอื่น ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดส่งและบรรลุเป้าหมายการส่งมอบสินค้าให้ตรงตามเวลา</p> 2025-10-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/279799 เกมแร็กนาร็อกออนไลน์กับกระแสเด็กติดเกมในสังคมไทย: ประวัติศาสตร์เกมออนไลน์ ทศวรรษ 2540 – 2550 2024-07-12T15:31:38+07:00 สุรศักดิ์ สาระจิตร์ surasaksar@pim.ac.th <p>ที่ผ่านมาการศึกษาเกมแร็กนาร็อกออนไลน์ที่เปิดให้บริการโดยบริษัทเอเชียซอฟท์ (Asiasoft) จำกัดเพียงแค่ทำความเข้าใจพฤติกรรมของผู้เล่นในกลุ่มเด็กเป็นหลัก ซึ่งยังขาดองค์ความรู้ในองค์ประกอบตัวเกมและบริบทความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับเกม การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์คือ 1. ศึกษาปัจจัยความสำเร็จของเกมแร็กนาร็อกออนไลน์ที่ส่งผลให้เกิดกระแสเด็กติดเกมในสังคมไทย และ 2. ศึกษาปัจจัยที่ทำให้แร็กนาร็อกประสบกระแสความซบเซา ผลการวิจัยพบว่า ระบบเกมทำให้ผู้เล่นต้องวางเป้าหมายและแนวทางการเล่นที่เหมาะสมกับตนเอง จนเกิดเป็นอารมณ์ร่วมในการเล่น และสามารถนำความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในเกมออกมาสู่โลกแห่งความจริงได้ ทำให้ผู้เล่นต้องอาศัยอยู่ในโลกเสมือนจริงของเกมเป็นเวลานาน ผู้เล่นชื่นชอบตัวละครเกมที่ออกแบบคล้ายตัวการ์ตูนญี่ปุ่น และคุ้นเคยกับระบบเกมที่หลากหลาย รวมถึงเทคโนโลยีการติดต่อสื่อสารบนโลกออนไลน์ที่มีอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว จึงเป็นเรื่องง่ายที่จะโอบรับเกมแร็กนาร็อกไว้เป็นศูนย์กลางความบันเทิงในยามว่าง ด้วยเหตุนี้พื้นที่การใช้ชีวิตของผู้เล่นจึงเต็มไปด้วยคนที่เล่นเกม บทสนทนา ความสนใจและความรู้เกี่ยวกับเกมออนไลน์จึงจำเป็นสำหรับการเข้าสังคม โดยเฉพาะในกลุ่มเด็ก ทำให้การเล่นเกมออนไลน์ขยายเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว จนเกิดเป็นวัฒนธรรมเฉพาะกลุ่มที่ใช้ภาษาเกมคล้าย ๆ กัน เพื่อสร้างการยอมรับในกลุ่มพวกพ้องของตนเอง ทั้งนี้ พฤติกรรมการใช้โปรแกรมช่วยเล่นทำให้เกมประสบกับกระแสความซบเซาเรื่อยมา รวมถึงสภาวะการแข่งขันอันดุเดือดในธุรกิจอุตสาหกรรมผู้ให้บริการเกมออนไลน์ในไทย ทำให้ผู้เล่นมีทางเลือกที่หลากหลาย แร็กนาร็อกออนไลน์จึงต้องปิดตัวลงในปี 2559 การวิจัยนี้พยายามพัฒนาแนวทางการศึกษาเกมในด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ด้วยการวิเคราะห์ทั้งตัวเกม ผู้เล่น และบริบทที่อยู่รายล้อมทั้งตัวเกมและผู้เล่นจากตัวอย่างเกมแร็กนาร็อกออนไลน์ในสังคมไทย ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการศึกษาเกมอื่น ๆ ด้วยโจทย์การวิจัยเฉพาะของเกมเหล่านั้นในเชิงมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์</p> 2025-10-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/279992 การพัฒนาแอปพลิเคชันนิทานความเป็นจริงเสริม ชุด มรดกภูมิปัญญา “โขนกรุงศรี” บนทุนทางวัฒนธรรมและสังคมของชุมชน สำหรับโรงเรียนประถมศึกษา 2024-07-19T17:21:23+07:00 อัจฉราพรรณ กันสุยะ kajcharapun@aru.ac.th สุพินดา เพชรา psupinda@aru.ac.th ปิยะ มีอนันต์ psupinda@aru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ออกแบบและพัฒนาแอปพลิเคชันนิทานความเป็นจริงเสริม 2) ศึกษาผลการใช้แอปพลิเคชันนิทานความเป็นจริงเสริม ชุด มรดกภูมิปัญญา “โขนกรุงศรี” สำหรับโรงเรียนประถมศึกษา โดยใช้กระบวนการวิจัยและพัฒนา ดำเนินการวิจัย 4 ขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 สำรวจข้อมูลเพื่อพัฒนานวัตกรรม โดยการศึกษาเอกสารและการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ทรงคุณวุฒิ 5 คน ขั้นตอนที่ 2 สร้างและพัฒนานวัตกรรม โดยผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 10 คน และครูผู้สอนในระดับประถมศึกษา จำนวน 20 คน ขั้นตอนที่ 3 ทดลองเพื่อตรวจสอบนวัตกรรม กับนักเรียนในระดับประถมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนประตูชัย จำนวน 40 คน และโรงเรียนวัดโคกช้าง (ราษฎร์บำรุง) จำนวน 24 คน รวมจำนวน 64 คน ได้มาด้วยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือ ได้แก่ แบบทดสอบประวัติโขน และแบบวัดจิตสำนึกรักษ์ท้องถิ่น วิเคราะห์ด้วยค่าสถิติที และวิเคราะห์เนื้อหา และขั้นตอนที่ 4 ประเมินและปรับปรุงนวัตกรรม ประเมินความพึงพอใจของครูต่อการใช้แอปพลิเคชัน จำนวน 5 คน<br />ผลการวิจัยพบว่า (1) ผลการออกแบบและพัฒนาแอปพลิเคชันนิทานความเป็นจริงเสริม โดยผู้เชี่ยวชาญ ในภาพรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด และคู่มืออยู่ในระดับมาก ผลการประเมินประสิทธิภาพด้านเทคนิคและการออกแบบแอปพลิเคชันและคู่มือโดยครูผู้สอน ภาพรวมมีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด ตามลำดับ (2) ผลการใช้แอปพลิเคชันนิทานความเป็นจริงเสริม พบว่า นักเรียนระดับประถมศึกษาตอนปลายมีผลการเรียนรู้ประวัติโขน หลังจัดกิจกรรมการเรียนรู้บูรณาการด้วยแอปพลิเคชันนิทาน สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มีจิตสำนึกรักษ์ท้องถิ่นภาพรวมอยู่ในระดับมาก และครูผู้สอนมีความพึงพอใจในระดับมากที่สุดต่อการนำแอปพลิเคชันไปใช้</p> 2025-10-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/280239 การวิจัยกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 2024-07-29T13:10:07+07:00 อัจฉราพรรณ โพธิ์ทอง atcharaphan.pho@mahidol.edu <p>มหาวิทยาลัยมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ มุ่งเน้นการผลิตบัณฑิตที่มีความรู้และทักษะในการแก้ไขปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมผ่านการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความท้าทายระดับโลก บทความฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของการวิจัยและนำเสนอแนวทางการส่งเสริมให้ SDGs เป็นวาระสำคัญในการดำเนินงานวิจัยของมหาวิทยาลัยใน 2 ประเด็นหลัก คือ 1) บทบาทของงานวิจัยสามารถขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนได้ เนื่องจาก 1.1) งานวิจัยช่วยรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันในบริบทต่างๆ 1.2) งานวิจัยช่วยปรับเป้าหมาย SDGs ให้เข้ากับบริบทและความต้องการของท้องถิ่น 1.3) งานวิจัยช่วยประเมินผลกระทบของนโยบายหรือการดำเนินการต่างๆ ที่มีต่อ SDGs 1.4) งานวิจัยช่วยพัฒนาแนวทางหรือวิธีการใหม่ๆ ในการบรรลุเป้าหมาย SDGs 1.5) งานวิจัยมีบทบาทสำคัญในการพัฒนากระบวนการติดตามและประเมินผลอย่างเป็นระบบ 1.6) งานวิจัยช่วยสร้างความตระหนักรู้ในเรื่องของ SDGs แก่สาธารณชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 2) แนวทางการส่งเสริมให้ SDGs เป็นวาระสำคัญในการดำเนินงานวิจัยของมหาวิทยาลัย ได้แก่ 2.1) การผนวก SDGs เข้าไปในการบริหารจัดการ วัฒนธรรมองค์กร และการปฏิบัติของมหาวิทยาลัยในประเด็นการวิจัย 2.2) สนับสนุนแนวทางการวิจัยแบบบูรณาการข้ามศาสตร์ 3.3) ส่งเสริมและสนับสนุนให้นักวิชาการทำวิจัยเพื่อคิดค้นนวัตกรรมเพื่อพัฒนาด้านเทคโนโลยีต่างๆ 3.4) การสร้างความรู้เข้าใจเกี่ยวกับ SDG ให้แก่นักวิชาการผ่านช่องทางต่างๆ 3.5) วิเคราะห์จุดแข็งด้านงานวิจัยของมหาวิทยาลัย โดยพิจารณาจากความสอดคล้องกับ SDGs รวมถึงระบุตัวนักวิจัยหลักให้ชัดเจน 3.6) รายงานผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัยที่สนับสนุนเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง และ 3.7) ส่งเสริมให้นักวิจัยสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับนักวิจัยระดับโลก ดังนั้น งานวิจัยจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยช่วยให้เข้าใจปัญหาและค้นหาวิธีแก้ไขที่เหมาะสมนำไปสู่การบรรลุเป้าหมาย SDGs</p> 2025-10-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/280563 การออกแบบเกมความเป็นจริงผสมผสานสำหรับฝึกบรรเลงฆ้องวง 2024-08-08T10:22:31+07:00 โอภาส แก้วต่าย opas.kt@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาการออกแบบเกมความเป็นจริงผสมผสานที่เหมาะสมกับการบรรเลงฆ้องวง 2) เพื่อพัฒนาเกมความเป็นจริงผสมผสานสำหรับฝึกการบรรเลงฆ้องวง 3) เพื่อช่วยฝึกหัดและสร้างเสริมประสบการณ์ในการบรรเลงดนตรีไทยฆ้องวง การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงวิจัยและพัฒนา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาเป็นบุคคลทั่วไป ชาย หญิง จำนวน 30 คน ได้มาโดยการกำหนดด้วยวิธีการสุ่มแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง แบบประเมินคุณภาพ และแบบสอบถาม ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ วิธีการวิเคราะห์เนื้อหา ใช้สถิติ คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบทีแบบจับคู่ ผลการวิจัยพบว่า 1) พบว่าค่าเฉลี่ยของคุณภาพเกมอยู่ในระดับดี โดยมีคะแนนเฉลี่ยรวม 4.26 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานรวม 0.18 2) มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างคะแนนก่อนเล่นเกมและหลังเล่นเกม โดยค่า p-value น้อยกว่า 0.001 ซึ่งบ่งชี้ว่าความแตกต่างที่พบมีนัยสำคัญทางสถิติ กล่าวคือเกมความเป็นจริงผสมผสานฝึกบรรเลงฆ้องวงมีประสิทธิผลในการพัฒนาทักษะของผู้เล่น 3) ค่าเฉลี่ยความพึงพอใจอยู่ที่ 4.20 ซึ่งอยู่ในระดับมาก</p> 2025-10-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม