https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humannstru62/issue/feed
วารสารวิชาการสังคมมนุษย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช ISSN : 2774-1141 (Online)
2024-06-27T14:21:17+07:00
ผศ.ดร.เชษฐา มุหะหมัด
human.nstru62@gmail.com
Open Journal Systems
<p><strong>วารสารวิชาการสังคมมนุษย์ เลขมาตรฐานสากล ISSN : 2774-1141 (Online)</strong> เป็นวารสารวิชาการของคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแหล่งเผยแพร่องค์ความรู้ทางด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ส่งเสริมและสนับสนุนให้อาจารย์ นักวิชาการ นักศึกษาและผู้ที่สนใจได้มีโอกาสเผยแพร่ผลงานวิชาการและผลงานวิจัยทางด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ประยุกต์ โดยเปิดรับบทความในกรอบวิชาการด้านมนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ประยุกต์ ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ในประเภทบทความวิจัย (research article) บทความวิชาการ (academic article) บทความปริทัศน์ (review article) และบทความวิจารณ์หนังสือ (book review) ซึ่งบทความทุกบทความ จะผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิในด้านนั้นๆ ไม่น้อยกว่า 3 ท่าน ในรูปแบบผู้ประเมินและผู้แต่งไม่ทราบชื่อซึ่งกันและกัน <strong>(double-blind review)</strong> กำหนดออกวารสารปีละ 2 ฉบับ ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน และ ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม</p> <p>กองบรรณาธิการเปิดรับบทความ โดยส่งผ่านระบบ ThaiJo และดำเนินการตามระบบตามมาตรฐาน TCI เพื่อให้ทุกบทความมีคุณภาพ เกิดประโยชน์ทางวิชาการและสังคม ตามเป้าหมายหลักของวารสารวิชาการ</p>
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humannstru62/article/view/269216
แนวทางการพัฒนาทักษะการสื่อสารภาษาไทยของนักศึกษาในบทบาทของสถาบันอุดมศึกษากับการเปลี่ยนแปลงของปรากฏการณ์ทางภาษาในศตวรรษที่ 21
2024-04-11T10:20:11+07:00
เบญจวรรณ ศริกุล
benjawon.honey@gmail.com
<p> บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอแนวทางการพัฒนาทักษะการสื่อสารภาษาไทยของนักศึกษาในบทบาทของสถาบันอุดมศึกษากับการเปลี่ยนแปลงของปรากฏการณ์ทางภาษาในศตวรรษที่ 21 โดยการทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อนำเสนอในประเด็นความสำคัญของการสื่อสาร ปัญหาในการสื่อสารภาษาไทยของนักศึกษา ตลอดจนเสนอแนวทางในการพัฒนา จากการศึกษาวิเคราะห์จากเอกสาร พบว่า ทักษะการสื่อสารเป็นทักษะที่จำเป็นและสำคัญในการดำรงชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการทำงาน ซึ่งนักศึกษาจำเป็นที่จะต้องเพิ่มพูนความรู้และความสามารถ แต่จากสถานการณ์การใช้ภาษาไทยของนักศึกษาในปัจจุบัน พบว่า การเปลี่ยนแปลงของปรากฏการณ์ทางภาษาไทยในศตวรรษที่ 21 ส่งผลให้การใช้ภาษาไทยมีความผิดเพี้ยนไปจนกระทั่งมีผลต่อการใช้ภาษาไทยของนักศึกษาในระดับมาก ดังนั้นแนวทางการพัฒนาทักษะการสื่อสารภาษาไทยของนักศึกษา จึงควรเริ่มที่หลายสถาบันควรมีการปรับเปลี่ยนเนื้อหาของรายวิชาภาษาไทยเพื่อการสื่อสารให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน เน้นประเด็นการนำไปใช้ให้ถูกตาสถานการณ์และบริบท นำแนวคิดการจัดการเรียนรู้โดยใช้ภาระงานเป็นฐาน (Task - Based Learning) มาปรับใช้กับการเรียนการสอน และจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตรให้นักศึกษาได้เข้าร่วมเพื่อเสริมทักษะการสื่อสารภาษาไทย</p>
2024-05-28T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการสังคมมนุษย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช ISSN : 2774-1141 (Online)
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humannstru62/article/view/274680
Foreign Guests’ Satisfaction with Hotel Front Office Staff’s English-Speaking Communication Ability and Cross-Cultural Communication
2024-03-15T09:02:24+07:00
Sarinrat Sertpunya
sarinrat.se@northbkk.ac.th
Tanuya Petsong
sarinrat.se@northbkk.ac.th
Prasit Nakpathumswat
sarinrat.se@northbkk.ac.th
<p> This study investigated foreign guests’ satisfaction with hotel front office’s English-speaking communication ability case study Novotel Bangkok Bangna Hotel and focused on English Skills and Cross-Cultural communication.</p> <p> The objectives of this study were to find out the level of foreign guests’ satisfaction with hotel front office’s English-Speaking communication ability case study Novotel Bangkok Bangna Hotel and to find out the ways to improve Novotel Bangkok Bangna Hotel front office’s English-Speaking communication ability Cross-Cultural communication.</p> <p> The research instrument in this study was a questionnaire asking about personal data, guests’ satisfaction with Novotel Bangkok Bangna Hotel front office’s English-speaking communication ability, 20 closed-ended questions using a Likert rating scale and an open–ended question. The questionnaire was distributed to 100 foreign quests both male and female, who stayed at Novotel Bangkok Bangna Hotel from March 1- 31, 2023. The convenience sampling method was used in this study. The data were analyzed and presented in descriptive statistics in the from of frequency, Percentage and mean using the Statistical Package for the Social Sciences (SPSS).</p> <p> The finding show that most guests were male and businesspeople. They came from Asian countries and visited the hotel to do business. Overall the guests’ satisfaction with Novotel Bangkok Bangna Hotel front office’s English-Speaking communication ability was at a high level with a 4.03 mean score. Moreover, overall the guests’ satisfaction with Novotel Bangkok Bangna Hotel front office with the Cross- Cultural communication was at a high level with a 4.04 mean score. For the open–ended question, none respondents offered any opinions in this part, indicating that Novotel Bangkok Bangna Hotel front office’s English-Speaking communication ability was sufficient.</p>
2024-06-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการสังคมมนุษย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช ISSN : 2774-1141 (Online)
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humannstru62/article/view/266241
การโหยหาอดีตสู่ประเพณีประดิษฐ์ในพื้นที่การท่องเที่ยวในสังคมไทย
2024-06-09T14:28:38+07:00
ยุทธกาน ดิสกุล
yuttkan2644@gmail.com
<p> บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทบทวนแนวคิดการโหยหาอดีตและประเพณีประดิษฐ์ผ่านบริบทการท่องเที่ยว ซึ่งผู้วิจัยได้นำข้อมูลจากการทบทวนวรรณกรรมมาวิเคราะห์ สังเคราะห์ โดยผลการศึกษาพบว่า ทั้งแนวคิดการโหยหาอดีตและประเพณีประดิษฐ์ต่างมีจุดร่วมในการพิจารณา 2 ประการคือ 1) การผลิตซ้ำทางวัฒนธรรม โดยการสร้างภาพตัวแทนทางวัฒนธรรมในอดีตที่สามารถสะท้อนผ่านกระบวนการรื้อฟื้นประเพณีตลอดจน การสร้างสรรค์งานเทศกาล รวมทั้งการจำลองสถานที่ท่องเที่ยวเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคสินค้าทางวัฒนธรรม และ 2) การประกอบสร้างอัตลักษณ์ท้องถิ่นในพื้นที่ท่องเที่ยว อันเกิดจากการสร้างความหมายของความเป็นท้องถิ่นโดยอาศัยปฏิบัติการทางวัฒนธรรมในการกำหนดและเลือกสรรจากการพัฒนาศักยภาพทุนวัฒนธรรมที่ปรากฎอยู่ในท้องถิ่น เพื่อนำไปสู่การกำหนดรูปแบบ เนื้อหา วิธีการนำเสนอ ตลอดจนบทบาทหน้าที่ในบริบทของการท่องเที่ยว ในขณะเดียวกันการประกอบสร้างอัตลักษณ์ความเป็นท้องถิ่นดังกล่าวมิใช่แค่เพียงเพื่อตอบสนองเป้าหมายเศรษฐกิจหรือการสร้างรายได้ผ่านการท่องเที่ยวเพียงเท่านั้น หากแต่มีการช่วงชิงความหมายความเป็นท้องถิ่นผ่านบริบทของเวทีการท่องเที่ยว</p>
2024-06-26T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการสังคมมนุษย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช ISSN : 2774-1141 (Online)
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humannstru62/article/view/276015
พฤติกรรมทางสังคมของเด็กปฐมวัย กรณีโรงเรียนมูลนิธิสหมิตรศึกษา ตำบลท่าเรือ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช
2024-03-14T15:00:45+07:00
วรดี เลิศไกร
wardeelertgrai@gmail.com
เพียงจิต ด่านประดิษฐ์
d.piengjit1288@gmail.com
สุวิมล นราอาจ
suwimon202504@gmail.com
<p> พฤติกรรมทางสังคมของเด็กปฐมวัย กรณีโรงเรียนมูลนิธิสหมิตรศึกษา ตำบลท่าเรือ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราชมีวัตถุประสงค์ในการวิจัยเพื่อ 1.เพื่อศึกษาบริบทแวดล้อมทางสังคมที่มีต่อพฤติกรรมทางสังคมของเด็กปฐมวัยในโรงเรียน 2.เพื่อศึกษาพฤติกรรมทาง<br />สังคมจากเหตุการณ์และกิจกรรมสมมุติในโรงเรียนของเด็กปฐมวัย ใช้การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยการวิเคราะห์ สังเคราะห์ ถอดบทเรียนการพัฒนาในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น โดยใช้กระบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมของเด็กปฐมวัย ผลการวิจัยพบว่า บริบทแวดล้อมทางสังคม มีผลต่อพฤติกรรมสังคม บริบทในรถรับส่ง เด็กปฐมวัยจะพยายามปรับตัว มีพฤติกรรมร่มมือที่แสดงออกมาโดยตรงและแสดงออกด้วยวาจา บริบทในโรงเรียนให้ความสำคัญกับเพื่อนและครูมาก การแสดงออกโดยการเข้าไปหาอยู่ใกล้ชิด จะแสดงพฤติกรรมร่มมือ ห่วงใยและพฤติกรรมด้วยวาจา </p> <p><span style="font-size: 0.875rem;"> ผลการวิจัยพฤติกรรมทางสังคมจากเหตุการณ์และกิจกรรมสมมุติในโรงเรียน พบว่า พฤติกรรมทางสังคมของเด็กปฐมวัย เป็นพฤติกรรมเชิงบวกเป็นหลัก เป็นพฤติกรรมที่ต้องการทำความดี เพื่อให้คนรอบข้างในสังคมชื่นชมตามที่ตนคาดหวัง หากไม่เป็นไปตามที่หวังจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้วแสดงออกไป มีการปรับ เปลี่ยนไปตามลักษณะการตอบสนองของบุคคล กลุ่มคนคาดหวังในแต่ละช่วงวัน การตอบสนองจากบุคคลเป้าหมาย (ครู หรือนักเรียนรุ่นพี่) จะมีผลต่อการเก็บจำ และนำมาใช้ปฏิบัติซ้ำๆ จนเป็นพฤติกรรมประจำตัวของเด็กหรือกลุ่มเด็กนั้น เด็กจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจากสิ่งเร้าหรือบริบท โดยเฉพาะการปรับตัวตามคำชี้แนะชี้นำจากบุคคลเป้าหมาย </span></p>
2024-06-26T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการสังคมมนุษย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช ISSN : 2774-1141 (Online)
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humannstru62/article/view/266626
รูปแบบการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ที่ยั่งยืนโดยชุมชน
2024-06-20T09:52:11+07:00
พรฟ้า สุทธิคุณ
pornfarsutthikhun@gmail.com
ประกอบ ใจมั่น
Pornfarsutthikhun@gmail.com
<p> บทความนี้นำเสนอเกี่ยวกับรูปแบบการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ที่ยั่งยืนโดยชุมชน ซึ่งเป็นการจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชน มีเป้าหมายอยู่ที่การอยู่ร่วมกันกับทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน ภายใต้เงื่อนไขoโยบายการท่องเที่ยวของรัฐบาล ซึ่งในปัจจุบันพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวได้เปลี่ยนแปลงไป นักท่องเที่ยวต้องมีการส่วนร่วมกับกิจกรรมการท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับปัญหาด้านการจัดการทรัพยากรท่องเที่ยว จึงเกิดการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ที่เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยว และชุมชนท้องถิ่นได้มีส่วนร่วมในการจัดการท่องเที่ยวร่วมกัน เนื่องจากประเทศไทยมีทรัพยากรการท่องเที่ยวที่สมบูรณ์จึงมีโอกาสที่จะพัฒนาเป็นการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ การจัดการท่องเที่ยวตามกรอบแนวคิดของการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ที่ยั่งยืนโดยชุมชน พบว่า ประเทศไทยมีปัจจัยสนับสนุนหลายประการ ในการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ที่ยั่งยืนโดยชุมชนที่มีแบบแผนที่ชัดเจน ในการสร้างองค์ความรู้เพื่อการจัดการท่องเที่ยวแบบใหม่ ให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง สร้างรายได้ให้กับชุมชน นำไปสู่การพัฒนาการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนต่อไปในอนาคต</p>
2024-06-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการสังคมมนุษย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช ISSN : 2774-1141 (Online)
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humannstru62/article/view/276102
การดำเนินชีวิตตามหลักอิทธิบาท 4 ของประชาชนในพื้นที่ตำบลคลองน้อย อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี
2024-06-27T14:21:17+07:00
พระจิรศักดิ์ จารุวณฺโณ (ทองประดู่)
champ.ckp@gmail.com
สมเกียรติ ตันสกุล
champ.ckp@gmail.com
กันตภณ หนูทองแก้ว
chan19Tara799@gmail.com
<p> งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการดำเนินชีวิตตามหลักอิทธิบาท 4 ของประชาชนในพื้นที่ตำบลคลองน้อย อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี และ 2) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินชีวิตตามหลักอิทธิบาท 4 ของประชาชนในพื้นที่ตำบลคลองน้อย อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Methods Research) ในการวิจัยเชิงปริมาณ เก็บรวบรวมข้อมูล จากประชาชนในพื้นที่ตำบลคลองน้อย จำนวน 361 คน สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสัมภาษณ์เชิงลึกแบบมีโครงสร้าง จากผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 5 คน ผลการวิจัยพบว่า <br />1.การดำเนินชีวิตตามหลักอิทธิบาท 4 ของประชาชนในพื้นที่ตำบลคลองน้อย อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยรวมอยู่ในระดับมาก (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" /> = 4.15, S.D. = 0.62) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านโดยเรียงลำดับตามค่าเฉลี่ยจากสูงสุดไปต่ำสุด พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านฉันทะ (ความพอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น) (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" /> = 4.21, S.D. = 0.65) รองลงมาคือ ด้านวิริยะ (ความเพียรพยายามทำในสิ่งนั้น) (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" /> = 4.19, S.D. = 0.68) และด้านจิตตะ (การเอาใจฝักใฝ่ในสิ่งนั้น) (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" /> = 4.16, S.D. = 0.67) ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านวิมังสา (การพิจารณาไตร่ตรองเหตุผลในสิ่งนั้น) (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" /> = 4.05, S.D. = 0.70) ตามลำดับ 2.ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินชีวิตตามหลักอิทธิบาท 4 ของประชาชนในพื้นที่ตำบลคลองน้อย อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี 1) ด้านฉันทะ ได้แก่ การปลูกฝังให้ประชาชนมีความรักในการงานหรือหน้าที่ของตนเอง 2) ด้านวิริยะ ได้แก่ สนับสนุนประชาชนได้ทำในสิ่งที่ตนเองรัก พอใจหรือมีความรู้สึกร่วมกับสิ่งนั้น 3) ด้านจิตตะ ได้แก่ ควรสนับสนุนให้ประชาชนตระหนักถึงหน้าที่ความรับผิดชอบของตน ประโยชน์จากงาน อาชีพ หน้าที่ ที่มีต่อตนเองและส่วนรวม และ 4) ด้านด้านวิมังสา ได้แก่ การทบทวนตนเองอยู่เสมอ ทั้งในส่วนของการทำงาน การดำเนินชีวิต</p>
2024-06-28T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการสังคมมนุษย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช ISSN : 2774-1141 (Online)
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humannstru62/article/view/276101
การพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักพรหมวิหารธรรมของประชาชนในเขตพื้นที่ตำบลบางชนะ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี
2024-06-20T09:51:12+07:00
พระอธิการภูวนาท จารุธมฺโม (ชูทอง)
chan19Tara799@gmail.com
<p> งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักพรหมวิหารธรรมของประชาชนในเขตพื้นที่ตำบลบางชนะ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี 2) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแนวทางในการส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักพรหมวิหารธรรมของประชาชนในเขตพื้นที่ตำบลบางชนะ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) ที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ประชาชนในเขตพื้นที่ตำบลบางชนะ อำเภอเมือง จังหวัด สุราษฎร์ธานี จำนวน 325 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าความเที่ยงตรง ค่าความเชื่อมั่น ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1)การพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักพรหมวิหารธรรมของประชาชนในเขตพื้นที่ตำบลบางชนะ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยรวม ค่าเฉลี่ย (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" width="9" height="10" /> = 4.15) อยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือด้านอุเบกขา (ความวางเฉย ไม่ดีใจไม่เสียใจเมื่อผู้อื่นถึงความวิบัติ) ค่าเฉลี่ย (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" width="9" height="10" /> = 4.31) อยู่ในระดับมาก รองลงมาคือ ด้านมุทิตา (พลอยยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี) ค่าเฉลี่ย (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" width="9" height="10" /> = 4.14) อยู่ในระดับมาก และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดคือด้านเมตตา (ความสงสารคิดจะช่วยให้พ้นทุกข์) ค่าเฉลี่ย (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" width="9" height="10" /> = 4.06) อยู่ในระดับมาก ตามลำดับ 2)ข้อเสนอแนะแนวทางในการส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักพรหมวิหารธรรมของประชาชนในเขตพื้นที่ตำบลบางชนะ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ส่วนใหญ่เห็นว่าควรให้ความสำคัญโดยการส่งเสริมให้ประชาชนนำหลักธรรมมาปฏิบัติ ทำให้ประชาชนในชุมชนมีความรัก ความปรารถนาดีต่อกัน มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน มีสัมพันธภาพอันดีในชุมชน ส่งเสริมให้ทุกคน มุ่งสร้างประโยชน์แก่ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว จัดฝึกอาชีพ และจัดหาตลาดชุมชนให้ผู้เข้าฝึกอาชีพสามารถจำหน่ายสินค้าที่ได้จากการฝึกอบรมอาชีพ เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจากการสร้างอาชีพให้แก่ประชาชน ผู้นำชุมชน ควรส่งเสริมในเรื่องประเพณีวัฒนธรรมของท้องถิ่น เพื่อให้ประชาชนคนรุ่นหลังได้อนุรักษ์วัฒนธรรมพื้นเมือง การส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักพรหมวิหารธรรมของประชาชนในเขตพื้นที่ตำบลบางชนะ ประกอบด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ถือเป็นหลักธรรมของผู้มีจิตใจสูง การให้อภัย ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีความยินดีเสียสละ ทำให้สังคมอยู่อย่างมีความสุข เป็นคุณลักษณะที่จำเป็นต้องมีในตัวบุคคลและควรปลูกฝังให้เกิดขึ้นในตนและลูกหลานต่อไป</p>
2024-06-28T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการสังคมมนุษย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช ISSN : 2774-1141 (Online)
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humannstru62/article/view/265208
การพัฒนาการสื่อสารภาษาอังกฤษเพื่อการบริการสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ในจังหวัดนครศรีธรรมราช
2024-06-20T09:54:10+07:00
คมสิทธิ์ สิทธิประการ
komsit.s@rmutsv.ac.th
ภัชญาภา ทองใส
patchayapa.t@rmutsv.ac.th
วิกรม ฉันทรางกูร
vikrom.c@rmutsv.ac.th
กฤตพร แซ่แง่ สายจันทร์
Kritaporn.s@rmutsv.ac.th
<p> การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความต้องการใช้ภาษาอังกฤษ เพื่อสร้างคู่มือภาษาอังกฤษ เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังการพัฒนาการสื่อสารภาษาอังกฤษและเพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้ประกอบการ SMEs ที่มีต่อการพัฒนาการสื่อสารภาษาอังกฤษเพื่อการบริการ กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ประกอบการ SMEs ขนาดย่อมประเภทร้านอาหารและเครื่องดื่มในอำเภอขนอม อำเภอสิชลและอำเภอท่าศาลา จำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์สนทนากลุ่ม แบบทดสอบก่อนและหลังการพัฒนาการสื่อสารภาษาอังกฤษ คู่มือการสื่อสารภาษาอังกฤษเพื่อการบริการและแบบประเมินความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานและค่า t-test</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า ผู้ประกอบการ SMEs มีความต้องการพัฒนาการสื่อสารภาษาอังกฤษเพื่อการบริการ ในหัวข้อเรื่อง การต้อนรับ การรับรายการอาหารและการจ่ายเงิน การบอกทิศทาง การร้องเรียน การกล่าวขอบคุณและกล่าวลาลูกค้า ผลสัมฤทธิ์ทางการพัฒนาการสื่อสารภาษาอังกฤษเพื่อการบริการมีคะแนนทดสอบหลังการพัฒนาสูงกว่าคะแนนทดสอบก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และผู้ประกอบการ SMEs มีความพึงพอใจต่อการพัฒนาการสื่อสารภาษาอังกฤษเพื่อการบริการในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.23) แสดงให้เห็นว่าการถ่ายทอดองค์ความรู้ผ่านคู่มือภาษาอังกฤษเพื่อการบริการช่วยพัฒนาทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษของผู้ประกอบการ SMEs ประเภทร้านอาหารและเครื่องดื่มให้ดีขึ้นได้</p>
2024-06-28T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการสังคมมนุษย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช ISSN : 2774-1141 (Online)