https://so03.tci-thaijo.org/index.php/human/issue/feed วารสารจิตวิทยาพุทธศาสตร์ประยุกต์เพื่อสังคม 2025-06-13T00:00:00+07:00 Assoc. Prof. Dr. Siriwat Srikhruedong siriwatmcu@gmail.com Open Journal Systems <p><strong>วารสารจิตวิทยาพุทธศาสตร์ประยุกต์เพื่อสังคม (JPBS) </strong></p> <p><strong>ISSN</strong>: 3056-9834</p> <p><strong>วัตถุประสงค์และขอบเขตการตีพิมพ์</strong> <strong>: <br /></strong>เพื่อเผยแพร่ผลงานวิชาการและผลงานวิจัยด้านจิตวิทยา จิตวิทยาประยุกต์ พระพุทธศาสนา และพระพุทธศาสนาประยุกต์กับศาสตร์ต่าง ๆ โดยรับตีพิมพ์บทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> <p><strong>กำหนดออก :</strong> 2 ฉบับต่อปี <br /> ฉบับที่ 1 มกราคม-มิถุนายน และฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม</p> <p><strong>ประเภทบทความที่รับตีพิมพ์ :</strong><br />1. บทความวิชาการทั่วไป (Academic Article)<br />2. บทความวิจัย (Research Article)</p> <p><strong>การพิจารณาและคัดเลือกบทความ<br /></strong>บทความที่ส่งมารับการตีพิมพ์จะถูกพิจารณาเบื้องต้นจากกองบรรณาธิการ เพื่อตรวจความตรงตามวัตถุประสงค์ของวารสารและตรวจรูปแบบการเขียนบทความตามที่วารสารกำหนด เมื่อผู้เขียนปรับแก้ตามคำแนะนำเบื้องต้นของกองบรรณาธิการแล้ว จะถูกส่งต่อให้ผู้ทรงคุณวุฒิกลั่นกรองบทความ (Peer Review) ที่มีคุณวุฒิ ความรู้และความเชี่ยวชาญตรงกับสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง จำนวนไม่น้อยกว่า 3 คน โดยผู้เขียนบทความและผู้ทรงคุณวุฒิผู้พิจารณาบทความจะไม่ทราบชื่อ นามสกุล หน่วยงาน หรือข้อมูลระหว่างกัน (Double-Blinded Peer review) ผ่านระบบ ThaiJO</p> <h3 class="font-600 text-lg font-bold">อัตราค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์บทความ</h3> <p class="whitespace-pre-wrap break-words">วารสารจิตวิทยาพุทธศาสตร์ประยุกต์เพื่อสังคม (JPBS) กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์บทความ ดังนี้</p> <ol class="-mt-1 [li&gt;&amp;]:mt-2 list-decimal space-y-2 pl-8" style="font-style: normal; font-variant-caps: normal; font-weight: 400; letter-spacing: normal; orphans: auto; text-align: start; text-indent: 0px; text-transform: none; white-space: normal; widows: auto; word-spacing: 0px; -webkit-text-stroke-width: 0px; text-decoration: none; caret-color: #000000; color: #000000;"> <li class="whitespace-normal break-words">บทความวิชาการทั่วไป 2,500 บาท</li> <li class="whitespace-normal break-words">บทความวิจัย ระดับปริญญาโท 3,000 บาท</li> <li class="whitespace-normal break-words">บทความวิจัย ระดับปริญญาเอก 4,000 บาท</li> <li class="whitespace-normal break-words">บทความวิชาการทั่วไปหรือบทความวิจัยที่ได้รับทุนสนับสนุนการวิจัย 4,000 บาท</li> <li class="whitespace-normal break-words">บทความวิชาการทั่วไปหรือบทความวิจัยที่ใช้ประกอบการขอกำหนดตำแหน่งทางวิชาการ 5,000 บาท</li> </ol> <h3 class="font-600 text-lg font-bold">เงื่อนไขการชำระค่าธรรมเนียม</h3> <ol class="-mt-1 [li&gt;&amp;]:mt-2 list-decimal space-y-2 pl-8" style="font-style: normal; font-variant-caps: normal; font-weight: 400; letter-spacing: normal; orphans: auto; text-align: start; text-indent: 0px; text-transform: none; white-space: normal; widows: auto; word-spacing: 0px; -webkit-text-stroke-width: 0px; text-decoration: none; caret-color: #000000; color: #000000;"> <li class="whitespace-normal break-words">วารสารจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเมื่อบทความได้รับการพิจารณาเบื้องต้นจากกองบรรณาธิการให้เข้าสู่กระบวนการส่งผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาบทความ</li> <li class="whitespace-normal break-words">วารสารขอสงวนสิทธิ์คืนเงินเฉพาะกรณีที่บทความถูกปฏิเสธการตีพิมพ์จากผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาบทความ จำนวน 2 ใน 3 ท่าน</li> </ol> <h3 class="font-600 text-lg font-bold">ช่องทางการชำระเงิน</h3> <p class="whitespace-pre-wrap break-words"><em><strong>หมายเหตุสำคัญ</strong></em> รับชำระผ่านการโอนเงินเข้าบัญชีเท่านั้น ไม่รับชำระเป็นเงินสดทุกกรณี</p> <h2 class="font-600 text-base font-bold">รายละเอียดบัญชีธนาคาร</h2> <ul class="-mt-1 [li&gt;&amp;]:mt-2 list-disc space-y-2 pl-8" style="font-style: normal; font-variant-caps: normal; font-weight: 400; letter-spacing: normal; orphans: auto; text-align: start; text-indent: 0px; text-transform: none; white-space: normal; widows: auto; word-spacing: 0px; -webkit-text-stroke-width: 0px; text-decoration: none; caret-color: #000000; color: #000000;"> <li class="whitespace-normal break-words"><strong>ธนาคาร:</strong> ธนาคารกรุงเทพ สาขาเทสโก้โลตัสบางปะอิน</li> <li class="whitespace-normal break-words"><strong>ชื่อบัญชี:</strong> วารสาร มจร มนุษยศาสตร์ปริทรรศน์</li> <li class="whitespace-normal break-words"><strong>เลขที่บัญชี:</strong> 934-0-21833-9</li> </ul> <hr /> <p class="whitespace-pre-wrap break-words"><strong>สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม</strong> กองบรรณาธิการวารสารจิตวิทยาพุทธศาสตร์ประยุกต์เพื่อสังคม (JPBS)</p> https://so03.tci-thaijo.org/index.php/human/article/view/287832 รูปแบบการบริหารจัดการบุคลากรในสภาวะวิกฤติของผู้บริหารในองค์กรตามแนวพุทธจิตวิทยา 2025-04-14T14:25:25+07:00 ธนศักดิ์ พรทัพพสาร pthana8911@gmail.com วิชชุดา ฐิติโชติรัตนา pthana8911@gmail.com นภัทร แก้วนาค pthana8911@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาแนวคิดและทฤษฎีการบริหารบุคลากรในสภาวะวิกฤติ 2. เพื่อการพัฒนารูปแบบการบริหารบุคลากรตามแนวพุทธจิตวิทยา และ 3. เพื่อประเมินรูปแบบการบริหารจัดการบุคลากรในสภาวะวิกฤติของผู้บริหารองค์กรตามแนวพุทธจิตวิทยา การวิจัยครั้งนี้ใช้วิธีวิจัย คือ การวิจัยเชิงคุณภาพและการวิจัยแบบวิจัยเอกสาร ใช้แบบสัมภาษณ์เชิงลึกเก็บข้อมูลจากผู้ให้สัมภาษณ์เชิงลึก 19 รูป/คน และการสนทนากลุ่ม จำนวน 12 รูป/คน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. การบริหารบุคลากรในสภาวะวิกฤติเน้นภาวะผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ การสื่อสารที่ชัดเจน และการตัดสินใจอย่างมีสติ ปรับตัวรวดเร็วและส่งเสริมขวัญกำลังใจของบุคลากร โดยผสานหลักพุทธจิตวิทยา เช่น เมตตา สติและโยนิโสมนสิการ เพื่อสร้างความมั่นคงทางจิตใจและประสิทธิภาพในการทำงาน 2. การพัฒนารูปแบบการบริหารบุคลากรตามแนวพุทธจิตวิทยามุ่งเน้นการใช้สติ เมตตาและโยนิโสมนสิการในการบริหารจัดการ เสริมสร้างความเข้าใจตนเองและผู้อื่น ลดความเครียด และส่งเสริมความสุขในการทำงานอย่างยั่งยืน 3. ผลการประเมินพบว่า รูปแบบการบริหารตามแนวพุทธจิตวิทยามีความเหมาะสม ชัดเจนและสามารถนำไปใช้ได้จริงในสภาวะวิกฤติ ช่วยเสริมสร้างสติ เมตตา ความร่วมมือและลดความตึงเครียดในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ การประเมินผลโดยการจำลองสถานการณ์แสดงให้เห็นว่า รูปแบบการบริหารนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง ผลลัพธ์การประเมินรูปแบบการนำองค์ความรู้ที่ได้เสนอแนวคิด "ผู้บริหารพุทธปัญญา" มีประโยชน์ มีความเหมาะสมและถูกต้องครอบคลุม สามารถบริหารบุคลากรในสภาวะวิกฤติได้ ใน Thanasak’s Model ที่ได้รับนำไปสู่การพัฒนาผู้บริหารพุทธปัญญา เก่ง ดี มีสุข</p> 2025-06-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารจิตวิทยาพุทธศาสตร์ประยุกต์เพื่อสังคม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/human/article/view/287361 ปัจจัยที่ส่งผลต่อภาวะหมดไฟในการเรียนของนิสิตวิชาชีพครูพลศึกษา 2025-04-06T12:37:34+07:00 มิ่งขวัญ ภิญโญยาง mingkhwan.phinyoyang@g.swu.ac.th ภารดี กำภู ณ อยุธยา paradeek@g.swu.ac.th ธรรมโชติ เอี่ยมทัศนะ thammachota@g.swu.ac.th <p>การวิจัยเชิงปริมาณฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อภาวะหมดไฟในการเรียนของนิสิตวิชาชีพครูพลศึกษา โดยแบ่งปัจจัยที่ศึกษาออกเป็น 4 ปัจจัย ได้แก่ ความยืดหยุ่นทางจิตใจ ความฉลาดทางอารมณ์ ความยึดมั่นผูกพันในการเรียนและกิจกรรมทางกาย กลุ่มตัวอย่างคือ นิสิตระดับปริญญาตรี สาขาวิชาพลศึกษา ชั้นปีที่ 1-4 ปีการศึกษา 2566 จากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ รวมทั้งสิ้น 871 คน โดยใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นและสุ่มอย่างง่ายตามเกณฑ์ของ Yamane ได้ขนาดกลุ่มตัวอย่าง 250 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อภาวะหมดไฟในการเรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ Pearson’s Correlation และ Multiple Regression Analysis</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ทางลบอย่างมีนัยสำคัญกับภาวะหมดไฟในการเรียน ได้แก่ ความฉลาดทางอารมณ์ ความยึดมั่นผูกพันในการเรียน และกิจกรรมทางกาย ที่ระดับนัยสำคัญ .05 2. ปัจจัยที่สามารถพยากรณ์ภาวะหมดไฟในการเรียนได้อย่างมีนัยสำคัญ 3 ปัจจัย ได้แก่ ความฉลาดทางอารมณ์ ความยืดหยุ่นทางจิตใจ และความยึดมั่นผูกพันในการเรียน โดยเรียงลำดับจากผลกระทบมากไปน้อย 3. ปัจจัยที่ไม่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับภาวะหมดไฟในการเรียนของนิสิตวิชาชีพครูพลศึกษา ได้แก่ กิจกรรมทางกาย สมการพยากรณ์ปัจจัยที่ส่งผลต่อภาวะหมดไฟในการเรียนของนิสิตวิชาชีพครูพลศึกษา ในรูปคะแนนดิบ ได้แก่ Y = 4.15 (Constant) + 0.27X<sub>1</sub> *- 0.70X<sub>2</sub> * - 0.22X<sub>3</sub> * +0.00X<sub>4</sub> สมการพยากรณ์ปัจจัยที่ส่งผลต่อภาวะหมดไฟในการเรียนของนิสิตวิชาชีพครูพลศึกษา ในรูปคะแนนมาตรฐาน ได้แก่ Z= 0.18X<sub>1</sub> *- 0.55X<sub>2</sub> * -</p> 2025-06-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารจิตวิทยาพุทธศาสตร์ประยุกต์เพื่อสังคม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/human/article/view/286276 การพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุตามหลักภาวนา 4 ของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในอำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน 2025-03-14T13:52:48+07:00 รัชนีกร ตาเสน linforgrame@gmail.com พระครูสุตนันทบัณฑิต - Linforgrame@gmail.com ธีรทัศน์ โรจน์กิจจากุล Linforgrame@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาระดับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ในอำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน 2. เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างหลักภาวนา 4 กับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ในอำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน 3. เพื่อนำเสนอการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุตามหลักภาวนา 4 ของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ในอำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี ประกอบด้วย การวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้กลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้สูงอายุจากตำบลสถานและตำบลสันทะ จำนวน 258 คน ได้จากคำนวณโดยใช้สูตรของ ทาโร่ ยามาเน่ (Taro Yamane) เครื่องมือที่ใช้คือ แบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่น 0.749 ค่า IOC 0.783 วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ทดสอบค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิจัยเชิงคุณภาพด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 10 คน ประกอบด้วย ผู้บริหารโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ผู้นำท้องที่กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ปฏิบัติงานด้านพระพุทธศาสนา ผู้ปฏิบัติงานด้านรัฐประศาสนศาสตร์ ผู้นำชุมชน สำหรับการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างและวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ในอำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<img id="output" style="font-size: 0.875rem;" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /><span style="font-size: 0.875rem;"> = 3.72) และการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักภาวนา 4 ของผู้สูงอายุของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ในอำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (</span><img id="output" style="font-size: 0.875rem;" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> <span style="font-size: 0.875rem;">= 3.92) 2. ความสัมพันธ์ระหว่างหลักภาวนา 4 กับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ในอำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน โดยภาพรวม มีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับปานกลาง (R=0.443**) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และ 3. นำเสนอการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุตามหลักภาวนา 4 ของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ในอำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน โดยการนำหลักภาวนา 4 มาใช้ในเป็นแนวทางแบบองค์รวมทั้งทางร่างกาย เศรษฐกิจ สังคม จิตวิญญาณ ตลอดจนส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีความรอบรู้ด้านสุขภาพ สามารถดูแลตัวเองเบื้องต้นได้ สังคม ชุมชนควรให้ผู้สูงอายุมีส่วนร่วมในกิจกรรมของชุมชน เพิ่มทักษะให้ผู้สูงอายุมีจิตใจที่เข้มแข็งใช้ชีวิตอยู่อย่างมั่นคงกับสิ่งแวดล้อมทางกายภาพของร่างกายที่มีเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นพลวัต เป็นราษฎรอาวุโสที่มีคุณภาพอาศัยอยู่ในสังคมได้อย่างเต็มภาคภูมิ</span></p> 2025-06-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารจิตวิทยาพุทธศาสตร์ประยุกต์เพื่อสังคม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/human/article/view/287797 การพัฒนาความสามารถการคิดเชิงวิพากษ์วรรณคดีไทยโดยใช้กลวิธี REAP ร่วมกับบทเรียนออนไลน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 2025-04-16T14:43:54+07:00 กนกวรรณ เพชรไทย praekp14@gmail.com ทรงภพ ขุนมธุรส songphopk@nu.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อสร้างและพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กลวิธี REAP ร่วมกับบทเรียนออนไลน์เพื่อพัฒนาความสามารถด้านการคิดเชิงวิพากษ์วรรณคดีไทยสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 2. เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการคิดเชิงวิพากษ์วรรณคดีไทยสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้กลวิธี REAP ร่วมกับบทเรียนออนไลน์ 3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กลวิธี REAP ร่วมกับบทเรียนออนไลน์ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 ที่เรียนในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนอุลิตไพบูลย์ชนูปถัมภ์ ได้มาโดยวิธีสุ่มอย่างง่ายด้วยการจับสลาก โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กลวิธี REAP ร่วมกับบทเรียนออนไลน์ 2) บทเรียนออนไลน์ 3) แบบวัดความสามารถการคิดเชิงวิพากษ์วรรณคดี เป็นแบบทดสอบจำนวน 1 ฉบับใช้ทดสอบทั้งก่อนเรียนและหลังเรียน 4) แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบค่าทีแบบไม่เป็นอิสระต่อกัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลการหาคุณภาพแผนการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาความสามารถด้านการคิดเชิงวิพากษ์วรรณคดีไทยโดยใช้กลวิธี REAP ร่วมกับบทเรียนออนไลน์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 พบว่ามีความเหมาะสมของแผนในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 2. นักเรียนมีความสามารถด้านการคิดเชิงวิพากษ์วรรณคดีไทยหลังการจัดการเรียนรู้สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กลวิธี REAP ร่วมกับบทเรียนออนไลน์อยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2025-06-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารจิตวิทยาพุทธศาสตร์ประยุกต์เพื่อสังคม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/human/article/view/287740 การพัฒนาความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ของผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ร่วมกับบอร์ดเกมชมรมยอดนักสืบ 2025-04-14T14:12:29+07:00 ปาวียา เอมอ่อน paweeya61@gmail.com ทรงภพ ขุนมธุรส paweeaya61@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ร่วมกับบอร์ดเกมชมรมยอดนักสืบเพื่อพัฒนาความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ของผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 2. เพื่อเปรียบเทียบความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ของผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก่อนและหลังเรียนโดยใช้กระบวนการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น และ 3 เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อกระบวนการจัดการเรียนรู้ เป็นการวิจัยเชิงทดลอง กลุ่มทดลองที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1 โรงเรียนอุลิตไพบูลย์ชนูปถัมภ์ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 30 คน ได้มาโดยวิธีสุ่มอย่างง่ายด้วยการจับสลาก 1 ห้องเรียน จากทั้งหมด 4 ห้อง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1. แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (5E) ร่วมกับบอร์ดเกมชมรมยอดนักสืบ จำนวน 9 ชั่วโมง 2. แบบวัดความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ 3. แบบวัดความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อกระบวนเรียนรู้ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าความแตกต่างของค่าเฉลี่ยค่า t-test</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ร่วมกับบอร์ดเกมชมรมยอดนักสืบเพื่อพัฒนาความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ของผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีความเหมาะสมของแผนอยู่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.75, S.D. = 0.33) 2. ความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ของผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังการจัดการเรียนรู้สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 และ 3. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อกระบวนการจัดการเรียนรู้อยู่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.62, S.D. = 0.52)</p> 2025-06-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารจิตวิทยาพุทธศาสตร์ประยุกต์เพื่อสังคม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/human/article/view/286173 การบูรณาการหลักอิทธิบาทธรรมเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารจัดการของเทศบาลตำบลปัว อำเภอปัว จังหวัดน่าน 2025-03-10T13:27:49+07:00 ภูดิท อินไทย phuditi56@gmail.com ธีรทัศน์ โรจน์กิจจากุล phuditi56@gmail.com ธิติวุฒิ หมั่นมี phuditi56@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาระดับประสิทธิภาพการบริหารจัดการเทศบาลตำบลปัว อำเภอปัว จังหวัดน่าน 2. เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างหลักอิทธิบาทธรรมกับประสิทธิภาพการบริหารจัดการเทศบาลตำบลปัว อำเภอปัว จังหวัดน่าน และ 3. เพื่อนำเสนอการพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารจัดการเทศบาลตำบลปัว อำเภอปัว จังหวัดน่าน ตามหลักอิทธิบาทธรรม โดยการวิจัยเป็นแบบผสานวิธี ด้วยการวิจัยเชิงปริมาณ มีประชากร คือ ประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 8,786 คน ที่อาศัยอยู่ในเขตเทศบาลตำบลปัว กลุ่มตัวอย่าง 383 คน ได้จากสูตรของทาโร่ ยามาเน่ และการวิจัยเชิงคุณภาพโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 10 คน ประกอบด้วย กลุ่มผู้บริหารท้องถิ่น กลุ่มผู้บริหารระดับสูง กลุ่มผู้แทนประชาชน กลุ่มนักวิชาการด้านรัฐประศาสนศาสตร์และผู้ปฏิบัติงานด้านพระพุทธศาสนา ใช้แบบสัมภาษณ์เชิงลึกแบบมีโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับประสิทธิภาพการบริหารจัดการเทศบาลตำบลปัว อำเภอปัว จังหวัดน่าน โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 3.16) และระดับการบริหารจัดการของเทศบาลตำบลปัว อำเภอปัว จังหวัดน่านโดยบูรณาการหลักอิทธิบาทธรรม มีภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 3.20) 2. ความสัมพันธ์ระหว่างหลักอิทธิบาทธรรมกับประสิทธิภาพการบริหารจัดการเทศบาลตำบลปัว อำเภอปัว จังหวัดน่าน โดยภาพรวมมีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับสูงมาก (R = .874**) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และ 3. การพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารจัดการเทศบาลตำบลปัว อำเภอปัว จังหวัดน่าน ตามหลัก อิทธิบาทธรรม ประกอบด้วย 1) หลักฉันทะ รักในงานที่เราทำ พอใจในงานที่ตนเองปฏิบัติอยู่ ตระหนักในหน้าที่ของตนเอง 2) หลักวิริยะ ปฏิบัติงานอย่างสุดความสามารถด้วยความพยายาม ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคและความยากลำบาก มุ่งมั่นพยายามหาทางแก้ไขปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นจนกว่าการปฏิบัติงานจะสำเร็จ 3) หลักจิตตะ ใส่ใจในการบริหารคน บริหารงาน การปฏิบัติงาน เอาจิตฝักใฝ่ไม่ปล่อยจิตให้ฟุ้งซ่านเลื่อนลอย และ 4) หลักวิมังสา หมั่นไตร่ตรองพิจารณาหาเหตุผลในสิ่งนั้น หมั่นใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญตรวจตราหาเหตุผล และตรวจสอบข้อบกพร่องอยู่เสมอ เมื่อพบข้อผิดพลาดให้คิดวางแผนหาวิธีแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้น</p> 2025-06-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารจิตวิทยาพุทธศาสตร์ประยุกต์เพื่อสังคม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/human/article/view/287634 การพัฒนาความสามารถการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบ OK5R ร่วมกับตำนานจังหวัดสุโขทัย 2025-04-06T13:00:50+07:00 พิชยา แป้นเงิน pichaya0038@gmail.com กฤธยากาญจน์ โตพิทักษ์ pichayap66@nu.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. เปรียบเทียบความสามารถการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน 2. เปรียบเทียบความสามารถการอ่านจับใจความระหว่างหลังเรียนกับเกณฑ์ร้อยละ 75 และ 3. ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการพัฒนาความสามารถการอ่านจับใจความด้วยการจัดการเรียนรู้แบบ OK5R ร่วมกับตำนานจังหวัดสุโขทัย กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 โรงเรียนอุดมดรุณี จำนวน 40 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบ OK5R ร่วมกับตำนานจังหวัดสุโขทัย 2) แบบทดสอบวัดความสามารถการอ่านจับใจความ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการพัฒนาความสามารถการอ่านจับใจความ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบค่าทีแบบไม่เป็นอิสระต่อกัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ความสามารถการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังการจัดการเรียนรู้สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยทางสถิติที่ระดับ .05 2. ความสามารถการอ่านการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 คะแนนการทดสอบหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3. ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการพัฒนาความสามารถการอ่านจับใจความด้วยการจัดการเรียนรู้แบบ OK5R ร่วมกับตำนานจังหวัดสุโขทัยอยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2025-06-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารจิตวิทยาพุทธศาสตร์ประยุกต์เพื่อสังคม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/human/article/view/275077 การจัดการความเครียดโดยใช้หลักอริยสัจ 4 ตามหลักพุทธจิตวิทยาของนิสิตมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย 2024-03-01T15:14:13+07:00 พระธีระพงษ์ ธีรปญฺโญ (สลายทอง) theboy0953104828@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาวิธีการจัดการความเครียดโดยใช้อริยสัจ 4 ของนิสิตมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย 2. เพื่อศึกษาระดับการจัดการความเครียดโดยใช้อริยสัจ 4 ของนิสิตมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย 3. เพื่อเปรียบเทียบการจัดการความเครียดโดยใช้อริยสัจ 4 ของนิสิตมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย โดยจำแนกตามสถานภาพ คณะ ชั้นปี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและสถานภาพครอบครัว กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาได้แก่ นิสิตมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย จำนวน 316 คน โดยใช้การสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิและการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ค่าร้อยละ (%) ค่าเฉลี่ย (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการทดสอบความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA)</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1. นิสิตมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ส่วนใหญ่มีวิธีการจัดการความเครียดโดยใช้อริยสัจ 4 คือ เมื่อเกิดความเครียดจากความผิดพลาด นิสิตจะหาแนวทางแก้ไขอย่างสุดความสามารถ 2. นิสิตมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยมีการจัดการความเครียดโดยใช้หลักอริยสัจ 4 มีค่าเฉลี่ยโดยรวมระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.12) 3. นิสิตมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยที่มีสถานภาพ คณะที่ศึกษา ชั้นปีที่ศึกษา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สถานภาพครอบครัวแตกต่างกัน มีการจัดการความเครียดโดยใช้หลักอริยสัจ 4 ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> 2025-06-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารจิตวิทยาพุทธศาสตร์ประยุกต์เพื่อสังคม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/human/article/view/287766 โมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของปัจจัยทางพุทธจิตวิทยาที่ส่งผลต่อการเสริมสร้างภูมิต้านทานทางอารมณ์และจิตใจของพนักงานบริษัทเอกชน 2025-05-15T10:09:21+07:00 กัญกร คำพรรณ์ kanyakorn.khamphan4235@gmail.com สิริวัฒน์ ศรีเครือดง siriwatmcu@gamil.com วิชชุดา ฐิติโชติรัตนา Zoon_wlem@hotmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. พัฒนาโมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของปัจจัยทางพุทธจิตวิทยาที่ส่งผลต่อการเสริมสร้างภูมิต้านทานทางอารมณ์และจิตใจของพนักงานบริษัทเอกชน 2. ตรวจสอบความสอดคล้องของโมเดลที่ผู้วิจัยพัฒนากับข้อมูลเชิงประจักษ์ และ 3. วิเคราะห์เส้นทางอิทธิพลของปัจจัยทางพุทธจิตวิทยาที่ส่งผลต่อการเสริมสร้างภูมิต้านทานทางอารมณ์และจิตใจของพนักงานบริษัทเอกชน เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี แบ่งเป็นระยะที่ 1 การวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ พนักงานบริษัทเอกชนระดับปฏิบัติการในกรุงเทพมหานคร จำนวน 400 คน คัดเลือกโดยการสุ่มแบบเจาะจง ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือวิจัย วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและทดสอบสมมติฐานด้วยการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามเท่ากับ .961 ระยะที่ 2 การวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้เชี่ยวชาญด้านพุทธศาสนาและพุทธจิตวิทยา ผู้ประกอบการพนักงานระดับบริหารและปฏิบัติการ รวม 11 คน คัดเลือกโดยการสุ่มแบบเจาะจง ใช้การสนทนากลุ่มในการเก็บรวบรวมข้อมูลความคิดเห็นเกี่ยวกับความเป็นไปได้และแนวทางในการนำโมเดลที่ผู้วิจัยพัฒนาไปใช้กับพนักงานบริษัทเอกชน วิเคราะห์ข้อมูลโดยสรุปความคิดเห็นและอธิบายเชิงบรรยาย</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. โมเดลความความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของปัจจัยทางพุทธจิตวิทยาที่ส่งผลต่อการเสริมสร้างภูมิต้านทานทางอารมณ์และจิตใจของพนักงานบริษัทเอกชนประกอบด้วย 6 ตัวแปร คือ การเสริมสร้างภูมิต้านทานทางอารมณ์และจิตใจ ทักษะการแก้ปัญหา การตระหนักรู้ในตน การพัฒนาจิตสำนึก การควบคุมตนเอง และ ทักษะทางสังคม 2) โมเดลที่ผู้วิจัยพัฒนาสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ มีค่า χ² = 43.68, df = 60, χ²/df = 0.73, p = 0.94, GFI = 0.99, AGFI = 0.96, SRMR = 0.01, RMSEA = 0.00 และ CFI = 1.00 โดยตัวแปรทั้งหมดร่วมกันทำนายการเสริมสร้างภูมิต้านทานทางอารมณ์และจิตใจของพนักงานบริษัทเอกชนได้ร้อยละ 93 และ 3) ตัวแปรทั้งหมดมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อการเสริมสร้างภูมิต้านทานทางอารมณ์และจิตใจของพนักงานบริษัทเอกชน โดยการพัฒนาจิตสำนึกมีค่าอิทธิพลรวมมากที่สุด รองลงมา คือการควบคุมตนเอง การตระหนักรู้ในตนและทักษะทางสังคมตามลำดับ โดยทักษะการแก้ปัญหาเป็นตัวแปรส่งผ่าน ผลจากการสนทนากลุ่มพบว่าผู้ทรงคุณวุฒิทุกคนมีความเห็นตรงกันว่า โมเดลที่ผู้วิจัยพัฒนาสามารถนำไปออกแบบเครื่องมือเพื่อเสริมสร้างภูมิต้านทานทางอารมณ์และจิตใจให้กับพนักงานบริษัทเอกชนได้</p> 2025-06-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารจิตวิทยาพุทธศาสตร์ประยุกต์เพื่อสังคม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/human/article/view/286965 การพัฒนาความสามารถการอ่านคิดวิเคราะห์โดยใช้การเรียนรู้แบบซิปปา CIPPA MODEL ร่วมกับหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 2025-03-25T12:33:37+07:00 อรทัย พาดี orathai.p@chs.ac.th น้ำทิพย์ องอาจวาณิชย์ namthipo@nu.ac.th <p>การวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1. พัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้การเรียนรู้แบบซิปปา CIPPA MODEL ร่วมกับหนังสืออิเล็กทรอนิกส์มาใช้พัฒนาความสามารถการอ่านคิดวิเคราะห์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 2. เปรียบเทียบความสามารถการอ่านคิดวิเคราะห์ของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยการเรียนรู้แบบซิปปา CIPPA MODEL ร่วมกับหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ 3. ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 40 คน โรงเรียนเฉลิมขวัญสตรี จังหวัดพิษณุโลก ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 ซึ่งได้มาโดยการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้พัฒนาความสามารถการอ่านคิดวิเคราะห์ ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบ CIPPA MODEL ร่วมกับหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ 2) หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เรื่องการอ่านคิดวิเคราะห์ 3) แบบทดสอบวัดความสามารถการอ่านคิดวิเคราะห์ 4) แบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนทีมีต่อการจัดการเรียนรู้ สถิติที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่า t-test dependent</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ความสามารถการอ่านคิดวิเคราะห์โดยใช้การเรียนรู้แบบซิปปา CIPPA MODEL ร่วมกับหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.64, S.D. = 0.50) สามารถพัฒนาการอ่านคิดวิเคราะห์ของผู้เรียนได้เป็นอย่างดี 2. นักเรียนมีความสามารถอ่านคิดวิเคราะห์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนรู้แบบ CIPPA MODEL ร่วมกับหนังสืออิเล็กทรอนิกส์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ .05 3. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ ภาพรวมระดับมากที่สุด</p> 2025-06-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารจิตวิทยาพุทธศาสตร์ประยุกต์เพื่อสังคม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/human/article/view/287967 ศิลปะการสื่อสารเพื่อการปล่อยวางของพระพุทธเจ้า : กรณีส่งพระราชบิดาสู่สุคติ 2025-04-14T14:36:19+07:00 เจนจิรา กุลวงศ์ jenjira.kw@bru.ac.th คณพศ สุคนธี khanaphot.thot@gmail.com <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ศิลปะการสื่อสารของพระพุทธเจ้าในวาระสุดท้ายของพระเจ้าสุทโธทนะและถอดบทเรียนสำหรับการประยุกต์ใช้ในการดูแลผู้ป่วยระยะท้ายในบริบทปัจจุบัน ผลการวิเคราะห์พบว่า พระพุทธเจ้าทรงใช้กลยุทธ์การสื่อสารที่ละเอียดอ่อน ประกอบด้วย 1. การเลือกใช้ภาษาที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง หลีกเลี่ยงศัพท์ธรรมะที่ซับซ้อน 2. การใช้อุปมาอุปไมยเชื่อมโยงกับประสบการณ์ของผู้ฟัง 3. การลำดับเนื้อหาจากง่ายไปหายาก จากรูปธรรมสู่นามธรรม 40 การใช้น้ำเสียงและอวัจนภาษาที่แสดงความเมตตา และ 5. การเลือกหลักธรรมที่เหมาะสมกับสถานการณ์ โดยเฉพาะไตรลักษณ์และอริยสัจ 4</p> <p>ศิลปะการสื่อสารที่โดดเด่นคือ ความสมดุลระหว่างความจริงและความเมตตา การเคารพในศักดิ์ศรีของผู้กำลังจะจากไปและการส่งเสริมการปล่อยวางอย่างมีปัญญา ซึ่งสามารถนำผลจากการวิเคราะห์มาประยุกต์ใช้ในการดูแลผู้ป่วยระยะท้ายปัจจุบัน ได้แก่ การสื่อสารอย่างมีสติและจริงใจ การใช้หลักธรรมเป็นแนวทางเมื่อเผชิญการจากลา การช่วยให้เข้าใจว่า การปล่อยวาง คือ การปลดปล่อย ไม่ใช่การละทิ้ง การสร้างสภาพแวดล้อมที่สงบและเอื้อต่อการปล่อยวางและการเปิดพื้นที่ให้จัดการเรื่องคั่งค้าง บทความนี้สะท้อนให้เห็นว่า การสื่อสารในวาระสุดท้ายไม่ใช่เพียงการปลอบโยน แต่เป็นการเปิดทางให้เกิดปัญญาและการตื่นรู้ แสดงให้เห็นว่าความรักที่แท้จริงคือการนำพาสู่การหลุดพ้น ไม่ใช่การยึดครอง</p> 2025-06-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารจิตวิทยาพุทธศาสตร์ประยุกต์เพื่อสังคม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/human/article/view/286751 มรณานุสติ : รู้เท่าทันเมื่อเผชิญหน้าต่อความตาย 2025-04-03T15:05:32+07:00 บงกช จันศิริ oilyaducks@gmail.com พระครูสังฆรักษ์เอกภัทร อภิฉนฺโท oilyaducks@gmail.com วีรชัย คำธร oilyaducks@gmail.com <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อบอกความสำคัญและวิธีการปฏิบัติมรณานุสติเพื่อการเตรียมตัวตายอย่างสงบและการประยุกต์ใช้มรณานุสติในบริบทปัจจุบัน ซึ่งความสำคัญของมรณานุสติ การใช้ความตายมาพิจารณาถึงความจริงที่ว่าชีวิตนั้นแสนสั้นและไม่แน่นอนนำมาเป็นวิธีการปฏิบัติมรณานุสติเพื่อการเตรียมตัวตายอย่างสงบคือการมองเห็นความตายอย่างมีปัญญา อันเป็นแนวทางการเจริญมรณานุสติที่ละเอียดและครอบคลุม เพื่อให้ผู้ปฏิบัติได้พิจารณาความตายในหลากหลายแง่มุม อันจะนำไปสู่ความเข้าใจในสัจธรรมของชีวิต ตระหนักว่าความตายเป็นธรรมชาติ เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับทุกชีวิตเห็นความไม่เที่ยงและความว่างเปล่าของสิ่งต่าง ๆ ทั้งร่างกาย ทรัพย์สิน ยศฐาบรรดาศักดิ์ และแม้แต่เวลาชีวิตเหลือน้อยและไม่แน่นอน กระตุ้นให้ใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าและทำความดีทำให้จิตใจไม่หวาดหวั่นเมื่อเผชิญกับความสูญเสีย ตระหนักว่าทุกคนล้วนต้องเผชิญกับความตายเช่นกัน การประยุกต์ใช้มรณานุสติในบริบทปัจจุบันมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การเจริญมรณานุสติช่วยให้เรายอมรับความจริงของการพลัดพรากและการสูญเสีย การตระหนักว่าเราไม่รู้ว่าจะจากโลกนี้ไปเมื่อใด เป็นแรงผลักดันให้เร่งสร้างคุณงามความดี ทำประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่นด้วยความไม่ประมาท</p> 2025-06-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารจิตวิทยาพุทธศาสตร์ประยุกต์เพื่อสังคม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/human/article/view/283620 ครูแนะแนววิถีพุทธกับการพัฒนาผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 2024-12-04T11:31:19+07:00 สุขเกษม บุญประกอบพร sukboon1984@gmail.com <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอคุณลักษณะของครูแนะแนว กระบวนการแนะแนวเพื่อพัฒนานักเรียนในยุคที่การเรีบนรู้ไร้ขีดกำกัด ครูแนะแนววิถีพุทธ คือ บุคลากรทางการศึกษาที่ปฏิบัติหน้าที่ในสถานศึกษา ด้วยจรรยาบรรณวิชาชีพและเอื้ออำนวยผู้เรียนด้วยความเป็นกัลยาณมิตร เพื่อพัฒนาศักยภาพเป็นพลเมืองที่ดี มีสุขภาวะ บนพื้นฐานพรหมวิหารธรรม เตรียมเยาวชนสู่โลกในศตวรรษที่ 21 มีความฉลาดเท่าทันการใช้เทคโนโลยีในโลกไร้พรมแดน กระบวนการแนะแนววิถีพุทธ จึงต้องจัดบริการแนะแนว 5 ด้าน คือ 1. บริการรวบรวมข้อมูลนักเรียนเป็นรายบุคคล 2. บริการสารสนเทศ 3. บริการการปรึกษาเชิงจิตวิทยา 4. บริการจัดวางตัวบุคคล 5. บริการติดตามและประเมินผล ให้ครอบคลุม 3 ขอบข่าย การแนะแนวด้านศึกษา การสร้างเจตคติที่ดีต่อการเรียนการพัฒนาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา รักการเรียนรู้ตลอดชีวิต การแนะแนวด้านอาชีพ มีเจตคติที่ดีต่อการทำงาน เข้าใจเกี่ยวกับโลกอาชีพทั้งปัจจุบันและอนาคต คันพบตนเองและตัดสินใจ วางแผนเส้นทางการศึกษา เตรียมตัวและพัฒนาตนเอง มีทักษะในการประกอบอาชีพและการแนะแนวด้านส่วนตัวและสังคม มีเป้าหมายต่ออาชีพในอนาคต โดยคำนึงถึงพัฒนาการของผู้เรียน การรับรู้ ความเข้าใจ อารมณ์ สังคม ค่านิยมและเจตคติต่อโลกอาชีพ การตระหนักรับรู้อาชีพ สำรวจอาชีพ วางแผนอาชีพ พัฒนาอัตลักษน์แห่งตน ทำความเข้าใจจุดแข็ง พัฒนาความสามารถและกำหนดบทบาท ท่าที แบบแผนการดำรงชีวิต จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนมองเห็นเส้นทางการศึกษาและอาชีพที่เหมาะสม</p> <p>การแนะแนววิถีพุทธ จึงต้องอาศัยหลักธรรมในทางพระพุทธศาสนาเพื่อเป็นเหมือนปัจจัยภายนอก คือ กัลยาณมิตร คู่กับปัจจัยภายใน คือ โยนิโสนมสิการ ความคิดที่ลึกซึ้งแยบคาย เมื่อคนรู้จักคิด หรือคิดเป็นแล้ว ก็จะเกิดปัญญา แก้ไขปัญหาถูกต้อง เป็นสัมมาทิฏิ คือกระบวนการที่แบ่งเป็น 3 ขั้นตอน คือ อบรมในด้านความประพฤติ อบรมในด้านจิตใจ และอบรมในทางปัญญา กระบวนการแห่งการศึกษาภายในตัวบุคคลนี้ เรียกว่า ไตรสิกขา</p> 2025-06-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารจิตวิทยาพุทธศาสตร์ประยุกต์เพื่อสังคม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/human/article/view/284857 แนวทางการเสริมสร้างการกำกับตนเองใน BANI World จากการทำวิทิสาสมาธิ 2025-03-03T10:19:54+07:00 สรรเสริญ จงผดุงสัตย์ sansern44@gmail.com เมธาวี อุดมธรรมานุภาพ laocup@gmail.com <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อเสนอแนวทางการเสริมสร้างการกำกับตนเองผ่านการทำสมาธิที่เรียกว่า “วิทิสาสมาธิ” โดยนำเสนอข้อมูลเชิงทฤษฎี และสนับสนุนด้วยงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งแสดงแนวทางปฏิบัติอย่างง่าย ซึ่งสามารถนำไปเสริมทักษะการกำกับตนเองได้ด้วยตนเอง จึงเหมาะอย่างมากในโลกปัจจุบันที่เรียกว่า BANI World</p> <p>การกำกับตนเอง หรือ Self-regulation หมายถึง ความสามารถในการควบคุมความคิด อารมณ์ และพฤติกรรมเพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ จึงมีความสำคัญมากในโลกปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความเปราะบาง ความวิตกกังวล ความคาดการณ์ได้ยาก ซึ่งนักวิชาการเรียกว่า BANI World ถ้ามนุษย์ไม่สามารถกำกับตนเองในการดำรงชีวิตภายใต้สภาพแวดล้อมที่ท้าทายที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วและไม่แน่นอน ก็ไม่สามารถฟันผ่าอุปสรรคและประสบความสำเร็จในชีวิต การงาน รวมถึงเป้าหมายสำคัญที่ตั้งไว้ได้ จากงานวิจัยพบว่าการทำสมาธิสามารถเสริมการกำกับตนเองได้ เนื่องจากเป็นการพัฒนาการรับรู้ในอารมณ์ของตน จึงทำให้สามารถควบคุมอารมณ์ และจัดการพฤติกรรมของตน และทำให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่วางไว้ และการเสริมสร้างการกำกับตนเองที่ง่าย รวดเร็ว และเป็นระบบ คือการสมาธิในวิธีที่เรียกว่า “วิทิสาสมาธิ” ซึ่งเป็นการทำสมาธิที่ใช้เวลาวันละ 15 นาที แบ่งเป็น 3 ช่วง คือ เช้า 5 นาที กลางวัน 5 นาที และเย็น 5 นาที และสถานที่ปฏิบัติจะเป็นที่ใดก็ได้ เพียงแค่นั่งในท่าที่สบาย และบริกรรมซ้ำ ๆ อย่างตั้งใจ เนื่องจากเป้าหมายหลักของวิทิสาสมาธิ คือการปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอในทุกๆ วัน เพื่อเพิ่มพลังจิตหรือกำลังใจอย่างต่อเนื่อง แม้นเป็นการฝึกสมาธิในช่วงเวลาสั้น ๆ ก็ยังสามารถสร้างและสะสมพลังจิตหรือกำลังใจ ให้เพียงพอสำหรับการใช้งานในชีวิต ประจำวัน จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาทำสมาธิแบบปกติที่อาจใช้เวลานาน</p> 2025-06-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารจิตวิทยาพุทธศาสตร์ประยุกต์เพื่อสังคม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/human/article/view/286591 7 วิธีพัฒนาชีวิตตามแนวพุทธจิตวิทยา 2025-03-03T10:38:58+07:00 ประพีร์ บุรี kanokwanboonkane@gmail.com พระถวิล ใยปางแก้ว prapeebbitec@gmail.com <p>บทความนี้มุ่งนำเสนอความสอดคล้องระหว่างหลัก 7 อุปนิสัยสู่ความสำเร็จที่ยอดเยี่ยม ของ Stephen R. Covey กับหลักสัปปุริสธรรม 7 ในพระพุทธศาสนา โดยวิเคราะห์เปรียบเทียบพื้นฐานแนวคิด จุดร่วมและจุดต่างของทั้งสองหลักการ ผลการศึกษาพบความสอดคล้องที่น่าสนใจระหว่างทั้งสองแนวคิด ได้แก่ การคิดเชิงรุก สอดคล้องกับธัมมัญญุตา (รู้จักเหตุ) การเริ่มต้นด้วยจุดหมายปลายทาง สอดคล้องกับอัตถัญญุตา (รู้จักผล) การทำสิ่งสำคัญก่อน สอดคล้องกับมัตตัญญุตา (รู้จักประมาณ) การคิดแบบชนะ-ชนะ สอดคล้องกับอัตตัญญุตาและปริสัญญุตา (รู้จักตนและรู้จักชุมชน) การเข้าใจผู้อื่นก่อน สอดคล้องกับปุคคลัญญุตา (รู้จักบุคคล) การผนึกพลัง สอดคล้องกับกาลัญญุตา (รู้จักกาล) และการลับเลื่อยให้คมอยู่เสมอ สอดคล้องกับการบูรณาการสัปปุริสธรรมทั้ง 7 ข้อ บทความนี้ได้นำเสนอแนวทางการประยุกต์ใช้ทั้งสองแนวคิดในชีวิต ประจำวัน โดยแสดงให้เห็นว่าการบูรณาการจุดเด่นของทั้งสองหลักการสามารถนำไปสู่การพัฒนาตนเองอย่างสมดุลและยั่งยืน ทั้งในด้านพฤติกรรม อารมณ์ และปัญญา ซึ่งจะช่วยให้บุคคลเผชิญความท้าทายในชีวิตได้อย่างมั่นคง เข้าใจตนเองและผู้อื่นอย่างลึกซึ้ง และดำเนินชีวิตอย่างมีสติ มีคุณธรรม อันจะนำไปสู่ความสุขที่แท้จริงและยั่งยืน</p> 2025-06-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารจิตวิทยาพุทธศาสตร์ประยุกต์เพื่อสังคม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/human/article/view/286263 พุทธจิตวิทยากับการเสริมสร้างความยุติธรรมในสังคมไทยร่วมสมัย 2025-03-03T10:32:37+07:00 กิฏโชค พัธณะนิติ Kitchoke555@gmail.com คณพล ตุ้ยสุวรรณ Kitchoke555@gmail.com <p>บทความนี้มุ่งนำเสนอการประยุกต์ใช้แนวคิดพุทธจิตวิทยาในการเสริมสร้างความยุติธรรมในสังคมไทยร่วมสมัย โดยศึกษาแนวคิดพื้นฐานของพุทธจิตวิทยาซึ่งประกอบด้วยสามองค์ประกอบหลัก ได้แก่ ความเข้าใจธรรมชาติของจิตที่สามารถพัฒนาได้ผ่านกระบวนการจิตตภาวนา หลักไตรลักษณ์ที่อธิบายลักษณะของสรรพสิ่ง และการผสมผสานเทคนิคการบำบัดสมัยใหม่กับหลักธรรมทางพุทธศาสนา การประยุกต์ใช้พุทธจิตวิทยาในการเสริมสร้างความยุติธรรมดำเนินการผ่านสามมิติ คือ การพัฒนาจิตสำนึกเชิงจริยธรรม การเสริมสร้างความเมตตากรุณา และการแก้ไขความขัดแย้ง ในสังคมไทยร่วมสมัยได้มีการนำไปปฏิบัติทั้งในระดับนโยบาย ระดับชุมชน และระดับบุคคล อย่างไรก็ตาม ยังพบความท้าทายสำคัญในการผสมผสานแนวคิดดั้งเดิมกับสังคมสมัยใหม่ ข้อจำกัดด้านความเข้าใจในสังคมพหุวัฒนธรรมและการขาดบุคลากรผู้เชี่ยวชาญ จึงมีข้อเสนอแนะให้พัฒนาหลักสูตรและการฝึกอบรม ส่งเสริมการวิจัย สร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน และพัฒนาเทคโนโลยีในการเผยแพร่องค์ความรู้ เพื่อนำไปสู่การสร้างสังคมที่มีความยุติธรรมและสันติสุขอย่างยั่งยืน</p> 2025-06-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารจิตวิทยาพุทธศาสตร์ประยุกต์เพื่อสังคม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/human/article/view/285889 การพัฒนาการคิดเชิงคำนวณในการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ของนักเรียนประถมศึกษา 2025-03-17T13:47:36+07:00 นลินี ทองขาว nalinee.t@lawasri.tru.ac.th <p>การคิดเชิงคำนวณ (Computational Thinking) เป็นทักษะที่มีความสำคัญในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วและการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 เนื่องจากการคิดเชิงคำนวณส่งเสริมให้นักเรียนมีความสามารถในการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนทั้งในชีวิตประจำวันและในห้องเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวิชาคณิตศาสตร์ที่มีลักษณะของกระบวนการแก้ปัญหาคล้ายคลึงกับองค์ประกอบของการคิดเชิงคำนวณ 4 องค์ประกอบ ได้แก่ การย่อยปัญหา (Decomposition) การแยกข้อมูลสำคัญ (Abstraction) การระบุความสัมพันธ์ของข้อมูลสำคัญ (Pattern Recognition) และการแก้ไขปัญหาเป็นขั้นตอน (Algorithm) ซึ่งการพัฒนาการคิดเชิงคำนวณในระดับประถมศึกษา ครูจำเป็นต้องมีแนวทางการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลายและเหมาะสมกับช่วงวัยของนักเรียน บทความวิชาการนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่อนำเสนอแนวทางการสอนในการพัฒนาการคิดเชิงคำนวณในวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนประถมศึกษา โดยศึกษาจากงานวิจัยที่มีความเกี่ยวข้องและสังเคราะห์แนวทางการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ที่ส่งเสริมการคิดเชิงคำนวณของนักเรียนประถมศึกษา ซึ่งจะทำให้ครูจัดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับบริบทของชั้นเรียน</p> 2025-06-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารจิตวิทยาพุทธศาสตร์ประยุกต์เพื่อสังคม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/human/article/view/276285 การสร้างแรงจูงใจเพื่อพัฒนาโจทย์ชีวิตตามแนวพุทธจิตวิทยา 2024-04-05T10:28:26+07:00 วิไล ถาวรสุวรรณ vilai.nui1959@gmail.com อณัทร เบ็ญจวรโชติ anatara28@gmail.com อนุภาพ พันชำนาญ anuphap.phanchamnan@gmail.com <p>การสร้างแรงจูงใจเพื่อพัฒนาเป้าหมายชีวิตอย่างมีฉันทะ เป็นการสร้างโจทย์ชีวิตตามแนวพุทธจิตวิทยาจากหลักความจริงในปัจจุบันเพื่อส่งมอบอนาคตที่ไร้กังวล ด้านอิสรภาพ ครอบครัว ความหวังและรางวัล ตามช่วงวัยของชีวิต เข้าใจโลก เข้าใจชีวิต สามารถขับเคลื่อนชีวิตอย่างมีทิศทางด้วยเครื่องมือที่ทันยุคสมัย มีความแข็งแรงด้านร่างกาย แข็งแกร่งและมั่นคงด้านจิตใจ อ่อนโยนด้านวาจา มีสติปัญญาแก้ไขปัญหาและอุปสรรค มีความพร้อมในการเรียนรู้สิ่งใหม่และมีส่วนร่วมกับกิจกรรมนำชีวิตที่มีคุณประโยชน์แก่ตัวเองและผู้อื่นในครอบครัว สังคม องค์กร กล้านำ กล้าทำ กล้าเปลี่ยนแปลง เพื่อพัฒนาโจทย์ชีวิตให้มีผลสัมฤทธิ์ตามทฤษฎีความต้องการพื้นฐานชีวิตของมาสโลว์ (Maslow‘s needs) ด้วยเครื่องมือที่เป็นสัมมาอาชีพ และครองชีวิตด้วยการมีฉันทะหรือมีกุศลธรรมนำชีวิต ปฏิบัติถูกต้อง เดินหน้า โดยไม่หยุดพัฒนา เพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจพัฒนาโจทย์ชีวิตให้ถึงพร้อมของความเป็นมนุษย์โดยมีหลักพุทธจิตวิทยาเป็นพื้นฐานการดำเนินชีวิต</p> 2025-06-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารจิตวิทยาพุทธศาสตร์ประยุกต์เพื่อสังคม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/human/article/view/281494 โยนิโสมนสิการ : เปลี่ยนวิธีคิด เพื่อชีวิตที่มีความสุข 2024-10-16T15:27:57+07:00 จิรชฎา เชียงกูล jirachada.c@gmail.com ตระกูล พุ่มงาม juntima4@hotmail.co.th ประพีร์ บุรี prapee.b@bhirajburi.co.th ทิพภา ปุณสีห์ tippa.ting@gmail.com <p>โยนิโสมนสิการ เป็นมูลรากที่เป็นยอดของธรรม หมายถึง ความคิดด้วยปัญญาโดยแยบคาย เป็นการพิจารณาโดยอาศัยหลักธรรมที่ได้มีการประมวลตามหลักพุทธมีรูปแบบวิธีคิด 10 ประการ ได้แก่ 1. วิธีคิดแบบสืบสาวเหตุปัจจัย 2. วิธีคิดแบบแยกแยะส่วนประกอบ 3. วิธีคิดแบบสามัญลักษณ์ 4. วิธีคิดแบบอริยสัจ 5. วิธีคิดแบบอรรถธรรมสัมพันธ์ 6. วิธีคิดแบบเห็นคุณโทษและทางออก 7. วิธีคิดแบบรู้คุณค่าแท้-คุณค่าเทียม 8. วิธีคิดแบบเร้าคุณธรรม 9. วิธีคิดแบบอยู่กับปัจจุบัน 10. วิธีคิดแบบวิภัชชวาท ทั้งหมดนี้เป็นความคิดที่เกิดจากการมีสติและผ่านการวิเคราะห์ภายในจิตอย่างละเอียดถี่ถ้วน โยนิโสมนสิการเป็นอาหารของสติสัมปชัญญะ เป็นวิธีการที่ทำให้เกิดปัญญา หรือเป็นรุ่งอรุณของปัญญา ที่สามารถสกัดอวิชชาและตัณหาไปพร้อมกัน รวมถึง ความสามารถที่จะจัดความนึกคิดเข้าสู่แนวทางที่ถูกต้อง ไม่ยึดติด ให้มีแนวทางในการดำเนินชีวิต หลักธรรมโยนิโสมนสิการสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในด้านต่าง ๆ ได้มากมายใช้ได้ทุกเวลาพึงใช้แทรกอยู่ในการดำเนินชีวิตประจำวัน เริ่มตั้งแต่การตั้งความคิด ทางเดินกระแสความคิด เพื่อนำไปปฏิบัติให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีในการดำเนินชีวิตและช่วยเหลือผู้อื่นได้ เป็นหลักการที่ปรับใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ที่เป็นแนวทางการจัดการความคิดและแก้ปัญหาได้ จนเป็นบุคคลผู้ประเสริฐ ยกระดับจิตให้เป็นผู้มีความคิดดี พูดดี และทำสิ่งดี ๆ ไม่มีอะไรร้ายเมื่อจิตใจดี โยนิโสมนสิการจึงนำสามารถเปลี่ยนชีวิตให้มีความสุขเพิ่มขึ้นได้</p> 2025-06-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารจิตวิทยาพุทธศาสตร์ประยุกต์เพื่อสังคม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/human/article/view/272259 การพัฒนาภาวะผู้นำด้วยหลักพุทธจิตวิทยาในองค์การนวัตกรรมสมัยใหม่ 2023-12-06T10:09:45+07:00 อณัทร เบ็ญจวรโชติ anatara28@gmail.com วิไล ถาวรสุวรรณ vilai.nui1959@gmail.com อนุภาพ พันชำนาญ anuphap.phanchamnan@gmail.com <p>ผู้นำองค์การในยุคที่สังคมเต็มไปด้วยการแข่งขัน ทำให้ทุกองค์การต้องมีการปฏิรูป ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงเพื่อความคงอยู่อย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยผู้นำต้องเรียนรู้และปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ต้องมีภาวะการนำที่ยืดหยุ่นและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน การสร้างกระบวนการทำงาน มุมมองด้านการบริหารจัดการ การติดตามและประเมินผลในยุคปัจจุบัน ต้องมีกลยุทธ์การจัดโครงสร้างองค์การแบบพหุฟังก์ชั่น ปรับตัวหรือปรับเปลี่ยนการบริการจัดการ เน้นการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการบริการจัดการและปรับเปลี่ยนโครงสร้างของระบบบริหารงาน เพื่อให้การจัดโครงสร้างองค์การยุคใหม่สามารถแข่งขันได้ นอกจากนี้ ผู้บริหารจำเป็นต้องมีความรู้รอบด้านในการการสร้างระบบการทำงาน การสร้างกระบวนการทำงานและการติดตามประเมินผลที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จากปัจจัยความสำคัญและจำเป็นรอบด้านที่ปรากฏอยู่ในการบริหารจัดการองค์การทำให้ผู้เขียนได้เกิดมุมมองว่า ภาวะผู้นําเชิงพุทธที่มีการประยุกต์ตามหลักพุทธจิตวิทยาที่เหมาะสม มีการนำเอาหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาใช้ในการปกครองตน ปกครองคนและปกครองงาน ได้แก่ หลักพรหมวิหาร 4 อิทธิบาท 4 และสังคหวัตถุ 4 ซึ่งถือว่าเป็นหลักธรรมจําเป็นที่ผู้นำในยุคปัจจุบันต้องนํามาใช้ในการบริหารจัดการองค์การ ในการสร้างความสามัคคีปรองดองให้เกิดขึ้นในสังคม ซึ่งเป็นหลักธรรมในการทํางานร่วมกันในองค์กรและอยู่ร่วมกันในสังคม ดังนั้น การพัฒนาองค์การสมัยใหม่ในยุคปัจจุบัน ผู้นำสมัยใหม่จำต้องให้ความสำคัญและพัฒนาองค์การด้วยหลักพุทธจิตวิทยาควบคู่กับสร้างผลงานให้มีประสิทธิภาพ เกิดประสิทธิผลและเหมาะสมกับบริบทของหน่วยงานและนำพาองค์การให้บรรลุผลตามเป้าที่กำหนดไว้และไปสู่วิสัยทัศน์ที่กำหนดไว้ให้ได้ในที่สุด</p> 2025-06-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารจิตวิทยาพุทธศาสตร์ประยุกต์เพื่อสังคม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/human/article/view/277884 การบูรณาการพรหมวิหารธรรมในกระบวนการเรียนรู้ 2024-05-23T10:44:40+07:00 พระครูอุทิตปริยัติสุนทร - ed.uthai@mcu.ac.th พระราชอุทัยโสภณ - psuk2514@Gmail.com ประคอง มาโต Prakong99@hotmail.com <p>การเรียนรู้โดยการบูรณาการหลักพรหมวิหาร 4 นั้นมีความจำเป็นอย่างมากเพราะในสังคมไทยมีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมาเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิต การรู้เท่าทัน และการปรับตัวให้อยู่ได้อย่างเหมาะสมกับสภาพปัจจุบันแก่เด็กและเยาวชน ด้วยการนำหลักธรรมมาผสมผสานกับกรอบการเรียนรู้ทักษะจำเป็น ได้แก่ 1) ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม 2) ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อและเทคโนโลยี และ 3) ทักษะชีวิตและงานอาชีพ หลักธรรมที่สำคัญสำหรับการเรียนรู้ในยุคนี้ คือ พรหมวิหาร 4 ซึ่งประกอบด้วย 1) เมตตา การจัดการเรียนรู้อย่างมีเมตตาต่อผู้เรียนทุกคน เข้าใจ ใส่ใจและพร้อมที่จะช่วยเหลือ 2) กรุณา ความกรุณาต่อผู้เรียนที่ประสบปัญหา ให้ความช่วยเหลือ สนับสนุนและเป็นกำลังใจ 3) มุทิตา ความชื่นชมยินดี เมื่อผู้เรียนประสบความสำเร็จ สุดท้าย 4) อุเบกขา การวางเฉยต่อสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ หรือเมื่อเผชิญปัญหาด้วยความสุขุม รอบคอบและใจเย็น เพราะการเรียนรู้ที่นำหลักธรรมมาผสมผสานจะช่วยก่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดี เข้าใจ รับฟัง ให้กำลังใจ ให้อภัย การช่วยเหลือให้คำปรึกษา แนะนำ จัดกิจกรรมที่ส่งเสริมส่งเสริมผู้เรียน โดยเมื่อผู้เรียนประสบความสำเร็จ ให้คำชื่นชม ยกย่อง ร่วมยินดี กับความสุขของนักเรียน หรือเมื่อเกิดข้อผิดพลาดก็ต้องยอมรับความแตกต่างของผู้เรียน ควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ให้ โมโห หงุดหงิดง่าย ใช้สติในการรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ผู้เรียนก็จะเกิดความรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย มีความสุข เกิดความศรัทธา รัก เคารพ เชื่อถือ ส่งผลต่อการเรียนรู้ พัฒนาการและคุณภาพชีวิตของผู้เรียนให้เติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ รู้จักคิด รู้จักทำ รู้จักรับผิดชอบต่อตนเอง ครอบครัว สังคมและประเทศชาติต่อไป</p> 2025-06-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารจิตวิทยาพุทธศาสตร์ประยุกต์เพื่อสังคม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/human/article/view/277212 หลักพุทธจิตวิทยาที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากร 2024-06-25T12:52:11+07:00 ปทิตตา วิเศษบุปผากุล wisetbupha@gmail.com <p>การพัฒนาประสิทธิภาพการทำงาน เป็นการเพิ่มเติมความสามารถและทักษะในการทำงานของตนเอง หรือผู้อื่นให้ดีขึ้น เจริญขึ้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์กรอันจะทำให้ตนเอง ผู้อื่นและองค์กรเกิดความเจริญในที่สุด ซึ่งการพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาองค์กร นอกจากนี้ การพัฒนาตนเองกับการพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานยังมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดอีกด้วย ก่อนที่บุคคลจะเข้าสู่การทำงานในองค์กรหนึ่ง ๆ บุคคลนั้น ต้องมีความรู้ความสามารถ มีคุณสมบัติตรงตามที่องค์กรนั้นต้องการ การที่บุคคลจะมีคุณสมบัติตามที่องค์กรกำหนด ก็ต้องมีการพัฒนาตนเองให้มีความสามารถเพียงพอที่จะเข้าสู่งานและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อบุคคลเข้าสู่งานแล้ว ก็เป็นหน้าที่ขององค์กรที่จะต้องพัฒนาบุคคลให้มีประสิทธิภาพในการทำงานให้ดีที่สุดเพื่อประสิทธิผลขององค์กรต่อไป</p> <p>หลักพุทธจิตวิทยาที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากรให้บรรลุผลสำเร็จได้ คือ พละ 5 ประกอบด้วย 1) สัทธาพละ กำลังศรัทธา 2) วิริยพละ กำลังวิริยะ 3) สติพละ กำลังสติ 4) สมาธิพละ กำลังสมาธิ 5) ปัญญาพละ กำลังปัญญา บุคลากรที่ปฏิบัติตามพละ 5 เป็นผู้มีบุคลิกภาพของผู้นำที่มีความเชื่อมั่นในตนเอง มีสติปัญญาที่จะนำตนเองให้ยิ่งใหญ่ในหน้าที่การงานของตน ทำให้เกิดความมั่นคงแก่ชีวิตและการทำงาน และอิทธิบาท 4 ทางแห่งความสำเร็จ คือ 1) ฉันทะ ความเอาใจใส่และทุ่มเทในหน้าที่การทำงาน 2) วิริยะ ความขยันหมั่นเพียรและมุ่งมั่น 3) จิตตะ มีจิตจดจ่อแน่วแน่และเกาะติดในหน้าที่การงาน 4) วิมังสา รู้จักใช้ปัญญาแสวงหาวิธีการที่จะทำให้หน้าที่การงาน บุคลากรที่ปฏิบัติตามอิทธิบาท 4 จะช่วยเพิ่มความสำเร็จในชีวิต ส่งผลให้การทำงานเกิดประสิทธิภาพและมีประสิทธิผลมากขึ้น</p> 2025-06-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารจิตวิทยาพุทธศาสตร์ประยุกต์เพื่อสังคม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/human/article/view/284613 การฝึกตนด้วยการควบคุมความโกรธ 2025-03-10T13:22:50+07:00 ภทพร พฤกษาโรจนกุล pp.piano1985@gmail.com <p>บทความวิชาการนี้ต้องการนำเสนอแนวทางการฝึกตนด้วยการควบคุมความโกรธ 4 ประการ ประกอบด้วย 1. มีสติรู้ทันความโกรธที่สังเกตได้จากอาการทางกาย 2. อดทนข่มใจต่อความโกรธ 3. เจริญเมตตาต่อตนเองด้วยการบริหารจิตและให้อภัยคู่กรณี 4. สำรวมกายวาจาด้วยการรักษาศีล 5 หากฝึกตนด้วยการควบคุมความโกรธอย่างสม่ำเสมอทำให้เรามีความมั่นคงทางจิตใจ มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง เป็นแนวทางที่ช่วยให้เรามีความสุขความสงบในบั้นปลาย นอกจากนี้ ยังช่วยให้เรามีความเห็นอกเห็นใจคู่กรณี มีความสัมพันธ์ที่ดีกับคู่กรณี นับว่าการฝึกตนเองด้วยการควบคุมความโกรธเป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นอย่างยิ่ง</p> 2025-06-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารจิตวิทยาพุทธศาสตร์ประยุกต์เพื่อสังคม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/human/article/view/285860 พุทธจิตวิทยา : แนวทางสู่สุขภาวะสำหรับคนวัยทำงาน กลุ่มแซนด์วิชเจเนอเรชั่นในประเทศไทย 2025-03-14T16:14:50+07:00 ปรีญาณี กองบุญมา preyanee@gmail.com กมลาศ ภูวชนาธิพงศ์ preyanee@gmail.com วิชชุดา ฐิติโชติรัตนา preyanee@gmail.com <p>บทความนี้นำเสนอการประยุกต์ใช้หลักพุทธจิตวิทยาเพื่อเสริมสร้างสุขภาวะองค์รวมสำหรับคนวัยทำงานกลุ่มแซนด์วิชเจเนอเรชั่นในประเทศไทย ซึ่งเป็นกลุ่มคนในช่วงอายุ 42-62 ปี ที่ต้องแบกรับภาระดูแลทั้งบุพการีที่เข้าสู่วัยสูงอายุและบุตรที่ยังต้องการการพึ่งพา ในขณะเดียวกันก็ต้องทำงานหาเลี้ยงชีพและดูแลตนเอง ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยีที่รวดเร็ว กลุ่มคนเหล่านี้กำลังเผชิญความท้าทายใน 4 ด้านหลัก ได้แก่ ด้านร่างกาย (ความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพและโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง) ด้านจิตใจ (ความเครียด วิตกกังวลและภาวะหมดไฟ) ด้านสังคม (ความขัดแย้งระหว่างบทบาทและความกดดันทางการเงิน) และด้านปัญญา (การขาดโอกาสในการพัฒนาตนเอง) บทความนี้นำเสนอแนวทางการประยุกต์ใช้หลักพุทธจิตวิทยา โดยเฉพาะหลักภาวนา 4 ได้แก่ กายภาวนา (การพัฒนาร่างกาย) ศีลภาวนา (การพัฒนาความประพฤติ) จิตภาวนา (การพัฒนาจิตใจ) และปัญญาภาวนา (การพัฒนาปัญญา) ร่วมกับหลักธรรมอื่น ๆ เช่น อิทธิบาท 4 มัชฌิมาปฏิปทา และอริยสัจ 4 เพื่อเสริมสร้างความสมดุลและคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกมิติ โดยเน้นการตั้งเป้าหมายชีวิต การดูแลสุขภาพกาย การเสริมสร้างความมั่นคงทางจิตใจ การพัฒนาความสัมพันธ์ที่เกื้อกูล การพัฒนาปัญญาเพื่อเข้าใจธรรมชาติของชีวิต และการทบทวนปรับปรุงตนเองอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแนวทางดังกล่าวจะช่วยให้คนวัยทำงานกลุ่มแซนด์วิชเจเนอเรชั่นสามารถรับมือกับความท้าทายในชีวิตได้อย่างสมดุลและยั่งยืน</p> 2025-06-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารจิตวิทยาพุทธศาสตร์ประยุกต์เพื่อสังคม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/human/article/view/284845 การคิดเชิงบวกเพื่อเพิ่มสมรรถนะพนักงานขายในยุค AI 2025-03-14T15:35:12+07:00 สุชาดา ธนาวิบูลเศรษฐ suchada.pw@gmail.com <p>ในยุคที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ช้า การแข่งขันด้านราคาอย่างเข้มข้น การเปลี่ยนแปลงขององค์กรอย่างรวดเร็วและการเกิดขึ้นของเทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) บุคลากรด้านการขายต้องเผชิญกับความท้าทายที่เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นการพัฒนาสมรรถนะของพนักงานขายจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการเพิ่มการคิดเชิงบวกในกลุ่มพนักงานขายเพื่อเพิ่มพลังใจในการทำงานและเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ สามารถพัฒนาแผนงานเพื่อรับสถานการณ์ปัจจุบันได้ การคิดเชิงบวกนั้นมีทั้งหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาและหลักจิตวิทยาเชิงบวก ที่สามารถนำมาประยุกษ์ใช้เพื่อเพิ่มสมรรถนะการขายให้มีความสำเร็จ คือหลักธรรมอิทธิบาท 4 และหลักโยนิโสมนสิการ การคิดแบบแยบคาย ร่วมกับการใช้หลักจิตวิทยาเชิงบวก (Positive Psychology) คือหลัก PERMA Model ของ ดร.มาร์ติน เซลิกแมน การคิดบวกทำให้จิตใจของพนักขายมีพลังในการขับเคลื่อนความคิด เมื่อใจมีพลังงานบวกก็จะสามารถเกิดปัญญาในการวางแผนการขาย แก้ไขปัญหาอุปสรรคและเอาชนะคู่แข่งได้ นอกจากนี้ การเข้าใจและปรับตัวให้เข้ากับแนวโน้มทางเทคโนโลยีที่พัฒนาใหม่ รวมถึง การเปิดใจยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเข้ามาในยุคนี้ จะสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้อย่างมืออาชีพและช่วยให้งานขายเป็นเรื่องง่ายขึ้น สามารถทำให้สามารถบริหารงานขายในยุค AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> 2025-06-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารจิตวิทยาพุทธศาสตร์ประยุกต์เพื่อสังคม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/human/article/view/288185 ปัญหาของเยาวชนในสังคมยุคดิจิทัลและการพัฒนาสติเพื่อสร้างความตระหนักรู้ 2025-05-15T10:20:57+07:00 ชลัฐธร อุไรพงษ์ ณ อยุธยา chaladtornouripong@gmail.com เมธาวี อุดมธรรมานุภาพ maytawee_udo@dusit.ac.th สุวัฒสัน รักขันโท noonsuwat@gmail.com <p>บทความวิชาการนี้มุ่งนำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาสติและความตระหนักรู้ของเยาวชนในสังคมยุคดิจิทัล โดยศึกษาสภาพปัญหา แนวทางการพัฒนาและประโยชน์ที่เกิดขึ้น จากข้อมูลพบว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเยาวชนไทยที่มีอายุระหว่าง 18-25 ปี ตามนิยามของกฎหมายไทย กำลังเผชิญความท้าทายจากการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล โดยใช้อินเทอร์เน็ตเฉลี่ยสูงถึง 11 ชั่วโมง 25 นาทีต่อวัน และพบปัญหาสำคัญ เช่น การถูกรังแกบนโลกไซเบอร์ (47%) การเสพติดสื่อลามก (72%) การแชร์ข่าวปลอม (63%) การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวโดยขาดความระมัดระวัง (78%) และภาวะสุขภาพจิตที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น (32%) สติและความตระหนักรู้ในปัจจุบันขณะมีองค์ประกอบสำคัญ คือการรับรู้ปัจจุบันขณะ การไม่ตัดสิน การมีจิตใจเปิดกว้าง การสังเกตตนเอง การอยู่กับตัวเองและการปล่อยวาง สามารถพัฒนาได้หลายวิธี เช่น การฝึกสติในชีวิตประจำวัน การฝึกสมาธิภาวนา การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อฝึกสติ การใช้สื่อดิจิทัลอย่างมีสติและการบูรณาการสติเข้ากับการศึกษา ซึ่งการพัฒนาสติมีประโยชน์หลายด้าน ทั้งช่วยลดความเครียดและภาวะซึมเศร้า (ลดความเสี่ยงได้ถึง 40%) เพิ่มความฉลาดทางอารมณ์ ปรับปรุงผลการเรียน (เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 11%) พัฒนาทักษะการสื่อสารและความเห็นอกเห็นใจ ลดพฤติกรรมการรังแก (ลดลงถึง 50% ในโรงเรียนที่มีโปรแกรมฝึกสติ) และช่วยให้เยาวชนใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ การบูรณาการแนวคิดเรื่องสติและความตระหนักรู้ไปใช้ในการพัฒนาเยาวชนจึงเป็นแนวทางสำคัญในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาคุณภาพชีวิตของเยาวชนในยุคดิจิทัล</p> 2025-06-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารจิตวิทยาพุทธศาสตร์ประยุกต์เพื่อสังคม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/human/article/view/274565 การพัฒนาชุดความคิด ชุดทักษะและชุดเครื่องมือของผู้นำเพื่อรับมือกับโลกที่เปลี่ยนแปลง 2024-02-13T16:11:41+07:00 อนุภาพ พันชำนาญ anuphap.phanchamnan@gmail.com วิไล ถาวรสุวรรณ vilai.nui1959@gmail.com อณัทร เบ็ญจวรโชติ anatara28@gmail.com <p>ผู้นำในยุคปัจจุบันกำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตเศรษฐกิจถดถอย โรคระบาดใหม่และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว และรุนแรง รวมถึงความไม่แน่นอนต่าง ๆ ผนวกกับการดำเนินธุรกิจยุคใหม่ที่มีความเสี่ยงและมีควมผันผวนตลอดเวลา ซึ่งเป็นความท้าทายต่อผู้นำยุคนี้ ผู้นำจึงต้องมีมากกว่าแค่การปฏิบัติตามระบบ หรือแนวทางการจัดการที่ถูกกำหนดไว้ แต่ในทางกลับกัน ผู้นำจะต้องปรับตัวให้สามารถผ่านพ้นวิกฤติและเปลี่ยนให้เป็นโอกาสเพื่อขับเคลื่อนองค์กรสู่ความยั่งยืนท่ามกลางสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา คุณลักษณะเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นแนวทางในการเลือกและพัฒนาผู้นำที่มีประสิทธิภาพภายในองค์กร ดังนั้น การพัฒนาความคิด ทักษะและเครื่องมือในการบริหารของผู้นำ จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากที่จะบอกถึงระดับของความสามารถของผู้นำในการนำทีม หรือองค์กรให้ประสบความสำเร็จและผ่านพ้นวิกฤตต่าง ๆ ที่เข้ามาได้ การพัฒนาความคิด จะทำให้ผู้นำคิดได้อย่างเชิงกว้าง เกิดการกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ มีกระบวนการคิดที่หลากหลายและมีชุดของความคิดที่มากพอต่อการเผชิญหน้ากับปัญหาต่าง ๆ ที่เข้ามาได้อย่างมีประสิทธิภาพ การพัฒนาชุดทักษะด้านต่าง ๆ ของผู้นำ ไม่ว่าจะเป็นทักษะการบริหาร ทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิต รวมทั้ง การพัฒนาชุดเครื่องมือในการบริหารของผู้นำ ได้แก่ เครื่องมือในการวางแผนกลยุทธ์ เครื่องมือในการวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ จะเห็นได้ว่าการพัฒนาทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ความคิด ทักษะ และเครื่องมือในการบริหารของผู้นำ จัดเป็น ชุดความคิด (Mindset) ชุดทักษะ (Skillset) และชุดเครื่องมือ (Toolset) ในการบริหารของผู้นำ การพัฒนาคุณสมบัติและความสามารถทั้ง 3 ด้านของผู้นำยุคใหม่ จึงเป็นประเด็นที่สำคัญที่ความสอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงและความท้าทายในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว</p> 2025-06-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารจิตวิทยาพุทธศาสตร์ประยุกต์เพื่อสังคม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/human/article/view/289489 พุทธศาสนาเถรวาท : ลักษณะคำสอนที่หลากหลาย สู่เป้าหมายหนึ่งเดียว คือ การพ้นทุกข์ 2025-05-21T12:05:16+07:00 พระครูวรพุทธาภิรักษ์ Somsak2379@hotmail.com พระมหาเสาวนันท์ สุภาจาโร Somsak2379@hotmail.com <p>บทความวิชาการเรื่องนี้มีความประสงค์แสดงให้เห็นว่า ลักษณะเนื้อหาคำสอนของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทหากพิจารณาในเชิงหลักการหรือทฤษฎีแล้ว สามารถมองเห็นได้เป็นหลายมิติ แต่หากพิจารณาในแง่สาระสำคัญจะเห็นได้ว่า คำสอนของพระพุทธศาสนาทั้งหมดรวมศูนย์อยู่ที่เรื่องของการดับทุกข์ โดยมุ่งสอนให้ปัจเจกบุคคลทำความเข้าใจในหลักการ หรือทฤษฎีนั้น แล้วนำไปสู่การลงมือปฏิบัติเพื่อให้เกิดประโยชน์สุขต่อการดำเนินชีวิต ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น โดยที่สุดคือ การพ้นจากทุกข์ กล่าวคือ การพิจารณาคำสอนของพระพุทธศาสนาในเชิงหลักการ หรือในเชิงทฤษฎีทำให้เห็นถึงมิติที่หลากหลายและเป็นที่มาของการศึกษาในเชิงวิชาการที่มองคำสอนของพระพุทธศาสนาว่า สามารถพิจารณาให้เห็นได้หลายมิติ หลายแง่หลายมุม แต่ไม่ว่าคำสอนเหล่านั้น จะสามารถมองให้เห็นเป็นหลายมิติหรือหลายแง่หลายมุมอย่างไร เมื่อพิจารณาที่แก่นหรือสาระสำคัญของคำสอนเหล่านั้นแล้ว จะพบว่า มีลักษณะร่วมหรือมีความเชื่อมโยงถึงกัน โดยตั้งอยู่บนฐานคิดสำคัญ คือ การเป็นศาสนาที่สอนให้ลงมือปฏิบัติ (กรรมวาท) กล่าวอีกนัยหนึ่งแม้ว่าหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาเถรวาทจะมีลักษณะเด่นหรือลักษณะพิเศษหลายประการ</p> <p>แต่คำสอนเหล่านั้น ก็มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันอย่างเป็นระบบระเบียบ บางคำสอนมีความสัมพันธ์กันในฐานะที่ช่วยเกื้อกูลส่งเสริมกันโดยตรง บางคำสอนมีความสัมพันธ์กันในฐานะที่ช่วยเกื้อกูลส่งเสริมกันโดยอ้อม แต่ทุกมิติของคำสอนเหล่านั้น อยู่บนฐานแนวคิดหรือหลักการที่สำคัญ คือ “การพ้นจากทุกข์ด้วยการลงมือปฏิบัติ” เพื่อให้ชีวิตประสบกับความสุขจากระดับพื้นฐานไปสู่ระดับสูง หรือจากระดับโลกิยะไปสู่ระดับโลกุตตระนั่นเอง</p> 2025-06-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารจิตวิทยาพุทธศาสตร์ประยุกต์เพื่อสังคม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/human/article/view/279984 30 วินาที คับขันของชีวิตกับเพื่อนรู้ใจที่ชื่อว่า “สติ” 2025-05-19T22:14:55+07:00 ชิสา จิรกวินการ shisa_inthesky@hotmail.co.th สุธาทิพย์ เทียนเตี้ย thezom.thiantia@gmail.com วิชชุดา ฐิติโชติรัตนา shisa14@gmail.com <p>บทความนี้นำเสนอบทบาทของ "สติ" ในการรับมือสถานการณ์วิกฤต 30 วินาทีที่กำหนดความแตกต่างระหว่างชีวิตและความตาย จากสถิติที่แสดงว่าเพียง 10-15% ของผู้ประสบภัยตอบสนองได้เหมาะสม ส่วนที่เหลือ 85% ตกอยู่ในสภาวะช็อกและตื่นตระหนกเนื่องจากสมองถูกครอบงำโดยระบบลิมบิก แนวคิด "สติ" (mindfulness) จากพระพุทธศาสนาที่หมายถึง "การรับรู้ปัจจุบันขณะโดยไม่ตัดสิน" ได้รับการยืนยันจากการศึกษาทางประสาทวิทยาว่าสามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสมองบริเวณ prefrontal cortex ที่ควบคุมการตัดสินใจและอารมณ์ โดยบทความนำเสนอกรอบแนวคิด "30 Seconds Review" 5 หลักการ: 1) Brace for Impact 2) Panic Control 3) Judgement 4) Coordination และ 5) Evacuation พร้อมทั้งประโยชน์ 7 ด้านของการฝึกสติและวิธีการฝึก 4 ขั้นตอนจากผู้เชี่ยวชาญจิตวิทยา สติทำหน้าที่เสมือน "เพื่อนที่รู้ใจ" ช่วยประเมินสถานการณ์และตัดสินใจอย่างเหมาะสม การฝึกสติอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นทักษะการเอาชีวิตรอดที่จำเป็นในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน</p> 2025-06-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารจิตวิทยาพุทธศาสตร์ประยุกต์เพื่อสังคม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/human/article/view/279894 ค่านิยมการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพในสังคมไทย 2025-05-26T08:48:44+07:00 พระมหากวีพัฒน์ ฐิตโสภโณ (ยารังษี) Choo.sink@gmail.com พระมหาสมบูรณ์ สุธมฺโม Choo.sink@gmail.com สมชัย ศรีนอก Choo.sink@gmail.com <p>บทความนี้มีเป้าหมายเพื่อนำเสนอหลักการและแนวคิดเกี่ยวกับค่านิยมการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพในสังคมไทยที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปจากอดีต คือ "การกินดี อยู่ดี" และ "กินอาหารเป็นยา" อันเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างอาหารกับสุขภาพ มาสู่การได้รับอิทธิพลจากกระแสโลกาภิวัตน์ ซึ่งส่งผลให้รูปแบบการดำเนินชีวิตของคนไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการนิยมบริโภคอาหารจานด่วน และอาหารสำเร็จรูปที่เน้นการปรุงแต่งรสชาติและสะดวกรวดเร็วเป็นสำคัญ</p> <p>ปรากฏการณ์ดังกล่าว ส่งผลกระทบโดยตรงต่อพฤติกรรมการบริโภคของคนไทยในทุกช่วงวัย นำไปสู่การเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-Communicable Diseases: NCDs) ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตในประเทศไทย ข้อมูลล่าสุดจากสำนักงานเลขานุการการขับเคลื่อนแผนโรคไม่ติดต่อชาติ กองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า คนไทยเสียชีวิตจากโรค NCDs มากกว่า 400,000 คนต่อปี หรือเฉลี่ยมากกว่า 1,000 คนต่อวัน คิดเป็นร้อยละ 74 ของสาเหตุการเสียชีวิตทั้งหมด โดยโรคที่พบมากที่สุด คือ โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคมะเร็ง โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง และโรคเบาหวาน</p> <p>ดังนั้น การส่งเสริมและปลูกฝังค่านิยมการบริโภคอาหารที่เน้นสุขภาพจึงมีความจำเป็น โดยเน้นให้ประชาชนหันมาให้ความสำคัญกับการเลือกบริโภคอาหารที่ดี มีคุณภาพ และปลอดภัย โดยเฉพาะอาหารที่ผลิตได้ภายในชุมชนจากวัตถุดิบธรรมชาติที่ไม่ปนเปื้อนสารเคมี การส่งเสริมการบริโภคอาหารพื้นบ้านตามภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งไม่เพียงแต่มีคุณค่าทางโภชนาการ หากยังสะท้อนถึงอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของสังคมไทยด้วย รวมถึง การสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการบริโภคอาหารกับสุขภาพที่ดี ควบคู่กับการส่งเสริมความสมดุลระหว่างการใช้ชีวิตตามกระแสโลกาภิวัตน์กับการอนุรักษ์วัฒนธรรมด้านอาหารดั้งเดิม จึงเป็นแนวทางสำคัญในการส่งเสริมค่านิยมการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพในสังคมไทยตลอดไป</p> 2025-06-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารจิตวิทยาพุทธศาสตร์ประยุกต์เพื่อสังคม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/human/article/view/289456 “ตะกร้าที่ไม่เคยเต็ม” การเสพติดสังคมออนไลน์และชอปปิงออนไลน์ ผ่านมุมมองพุทธธรรมและจิตวิทยา 2025-06-03T19:10:17+07:00 ไปรยา โกมลโรจนาภรณ์ praiyar.t@gmail.com <p>บทความนี้มีเป้าประสงค์นำเสนอการวิเคราะห์ปัญหาการเสพติดสังคมออนไลน์และการชอปปิงออนไลน์ในยุคดิจิทัลผ่านการผสมผสานมุมมองทางพุทธธรรมและจิตวิทยา โดยใช้แนวคิด "ตะกร้าที่ไม่เคยเต็ม" เป็นสัญลักษณ์ของความต้องการที่ไม่สิ้นสุดของมนุษย์ในยุคเทคโนโลยี ผู้อ่านจะได้รับความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมการเสพติดออนไลน์และปรากฏการณ์ "Retail Therapy" รวมถึง กลไกทางจิตวิทยาที่อธิบายการเสพติด เช่น ระบบโดปามีน กลไกเฮโดนิก (Hedonic Treadmill) และความไม่ลงรอยทางความคิด (Cognitive Dissonance) เป็นต้น ประกอบกับมุมมองทางพุทธธรรมผ่านหลักตัณหาและอุปาทาน ไตรลักษณ์และมรรค 8 เพื่อเข้าใจต้นตอของปัญหาและแนวทางแก้ไข บทความนี้ เสนอเครื่องมือเชิงปฏิบัติสำหรับการพัฒนาสุขภาวะดิจิทัล การควบคุมตนเอง การรู้เท่าทันกลยุทธ์การตลาดและการสร้างความสมดุลในการใช้เทคโนโลยี เพื่อให้ผู้อ่านสามารถใช้ชีวิตในสังคมดิจิทัลอย่างมีสติ พัฒนาความพอเพียง และสร้างอิสรภาพทางจิตใจจากการเสพติดออนไลน์ได้อย่างยั่งยืน โดยมีฐานคิดที่มั่นคงทั้งทางจิตวิทยาและปรัชญาชีวิต</p> 2025-06-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารจิตวิทยาพุทธศาสตร์ประยุกต์เพื่อสังคม