วารสารวิจัยมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hssj <p><strong>วารสารวิจัยมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง สาขามนุษยและสังคมศาสตร์</strong></p> <p><strong>ISSN : </strong>2651-1916 <strong>E-ISSN :</strong>2651-1924</p> <p><strong>กำหนดออก:</strong> 2 ฉบับต่อปี ฉบับที่ 1 มกราคม-มิถุนายน และ ฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม</p> Research and Development Institute, Muban Chombueng Rajabhat University th-TH วารสารวิจัยมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 2651-1924 <p>วารสาร TCI อยู่ภายใต้การอนุญาต <a href="https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/deed.en">Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International (CC BY-NC-ND 4.0)</a> เว้นแต่จะรุบุไว้เป็นอย่างอื่นโปรดอ่านหน้านโยบายของเราสำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเช้าถึงแบบเปิด ลิขสิทธิ์ และการอนุญาต</p> การพัฒนาการเรียนรู้ด้วยเทคนิคจิกซอว์เพื่อส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาระดับปริญญาตรีคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hssj/article/view/273679 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนในรายวิชาการบริหารสาธารณสุข โดยใช้การสอนด้วยเทคนิคจิกซอว์ และศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อการสอนด้วยการใช้เทคนิคจิกซอว์ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาสาขาวิชาอาชีวอนามัยและความปลอดภัย ชั้นปีที่ 1 คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง จากจำนวนนักศึกษาทีมี 13 คน โดยใช้วิธีการเลือกกลุ่มเป้าหมายแบบเจาะจง (Purposive sampling ) เครื่องมือวิจัยที่ใช้ ได้แก่ 1)แบบทดสอบเพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน 2)แบบสอบถามเพื่อวัดความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนโดยใช้การสอนด้วยเทคนิคจิ๊กซอว์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ T-test Dependent</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า คะแนนทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน มีค่าเฉลี่ย 6.69 คิดเป็นร้อยละ 22.30 และคะแนนทดสอบหลังเรียน มีค่าเฉลี่ย 23.53 คิดเป็นร้อยละ 78.43 จากคะแนนเต็ม 30 คะแนน เมื่อนำมาวิเคราะห์ด้วยสถิติ t-test ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนเท่ากับ t = 17.33 ซึ่งมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ด้านความพึงพอใจต่อการจัดการเรียน โดยใช้การสอนด้วยการใช้เทคนิคจิกซอว์ ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจต่อการเรียนการสอนวิชาการบริหารสาธารณสุข โดยใช้การด้วยการใช้เทคนิคจิกซอว์ โดยรวมอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย 4.48</p> สุธาสินี พิชัยกาล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-21 2025-10-21 13 2 1 12 การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วรรณคดีตามแนวคิดการจัดการเรียนรู้เชิงรุก เพื่อส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ และทักษะการเรียนรู้ทางสังคมและอารมณ์ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hssj/article/view/273656 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วรรณคดีตามแนวคิดการจัดการเรียนรู้เชิงรุกฯ 2) เพื่อศึกษาประสิทธิผลของพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วรรณคดีตามแนวคิดการจัดการเรียนรู้เชิงรุกฯ ดำเนินการวิจัยในลักษณะของการวิจัยและพัฒนาโดยใช้ระเบียบวิธีการวิจัยแบบผสมผสานวิธีที่มีลักษณะเป็นแบบแผน เชิงผสมผสานแบบรองรับภายใน (The Embedded Design) โดยกลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ภาคเรียน 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 57 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย รูปแบบการจัดการเรียนรู้วรรณคดีตามแนวคิดการจัดการเรียนรู้เชิงรุกฯ คู่มือการใช้รูปแบบฯ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดทักษะการคิดวิเคราะห์ในวรรณคดี และแบบประเมินทักษะการเรียนรู้ทางสังคมและอารมณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test) แบบ Dependent และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) รูปแบบการจัดการเรียนรู้วรรณคดีตามแนวคิดการจัดการเรียนรู้เชิงรุก ฯ มีชื่อว่า “ACTIVE Model” มี 4 องค์ประกอบ คือ 1) หลักการ 2) วัตถุประสงค์ 3) กิจกรรมการจัดการเรียนรู้ 4) การวัดและประเมินผล สำหรับกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ที่ใช้คือขั้นตอนตามรูปแบบ ACTIVE Model ประกอบไปด้วย ขั้นที่ 1 ปลุกความอยากรู้ (A: Awaken curiosity) ขั้นที่ 2 ค้นดูสถานการณ์ (C: Check out) ขั้นที่ 3 ประสานความคิด (T: Team up) ขั้นที่ 4 ถูกผิดร่วมแบ่งปัน <br />(I: Interpretation) ขั้นที่ 5 สร้างสรรค์ประยุกต์ใช้ (V: Verifying) ขั้นที่ 6 กลับไปประเมินผล (E: Examination) มีคุณภาพสามารถนำไปใช้ได้จริงกับกลุ่มเป้าหมาย 2) ประสิทธิผลของรูปแบบพบว่า 2.1) นักเรียนมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2.2) ทักษะการเรียนรู้ทางสังคมและอารมณ์อยู่ในระดับมากที่สุด (<em>M</em> = 14.28, <em>SD</em> = 3.53) </p> นันทญ์ณภัค พรมมา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-21 2025-10-21 13 2 13 27 แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสงคราม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hssj/article/view/284905 <p>วัตถุประสงค์ของการวิจัยนี้ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของภาวะผู้นำแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสงคราม 2)เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสงคราม กลุ่มตัวอย่างจำนวน 234 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างจากการเปิดตารางสำเร็จรูปของโคเฮน Cohen (1979) ใช้การกำหนดกลุ่มตัวอย่างตามสัดส่วนของขนาดโรงเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />), ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD), ค่าดัชนีความต้องการจำเป็น PNIModified ระยะที่ 1 ผลการวิจัยพบว่า 1)สภาพปัจจุบันภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2)สภาพที่พึงประสงค์ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 3)ค่าดัชนีความต้องการจำเป็นสูงที่สุด คือ ด้านการมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์ ระยะที่ 2 การสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 7 คน โดยคัดเลือกแบบเจาะจง ผู้อำนวยการสถานศึกษา 3 คน รองผู้อำนวยการสถานศึกษา 2 คน ครูที่มีคุณวุฒิทางการบริหารการศึกษา 2 คน พบว่า 1) สาเหตุที่ทำให้เกิดความต้องการจำเป็น คือ ผู้บริหารขาดการชื่นชม ยกย่องเชิดชูเกียรติ ให้กำลังใจในการสร้างแรงจูงใจของบุคลากรในสถานศึกษา เมื่อผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติงานได้ดี พิจารณาความดีความชอบโดยยึดผู้บริหารเป็นหลัก 2) แนวทางในการพัฒนา คือ ผู้บริหารควรมีการส่งเสริมสนับสนุน ให้บุคลากรจัดทำผลงาน ประกวดหรือประเมินตามความเหมาะสม ชื่นชม ยกย่องเชิดชู ให้กำลังใจ ให้คำปรึกษา หาแนวทางการแก้ปัญหาเพื่อพัฒนาสถานศึกษาให้บรรลุเป้าหมาย</p> สถาพร โคตรพรม อุไร สุทธิแย้ม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-21 2025-10-21 13 2 28 42 สภาพการเรียนรู้ในการเสริมพลังอำนาจของสตรีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในการสร้างเสริมสุขภาพในจังหวัดภาคใต้ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hssj/article/view/284577 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพการเรียนรู้ในการเสริมพลังอำนาจสตรีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในการสร้างเสริมสุขภาพในจังหวัดภาคใต้ โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก (In depth interview) ร่วมกับการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม คัดเลือกกลุ่มเป้าหมายแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จากกลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลักจากสตรีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านดีเด่นระดับชาติ ในจังหวัดภาคใต้12 สาขา จำนวน 12 คน และผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยใช้ Snow ball เทคนิค จำนวน 20 คน ดำเนินการตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้า (Data Triangulation) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา (Content analysis)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า สถาพการเรียนรู้ มี 7 ด้าน ดังนี้1) สถานการณ์โรค 2) ประสบการณ์การทำงาน 3) วิธีการเรียนรู้ 4) บรรยากาศการเรียนรู้ 5) เนื้อหา 6) สื่อ และแหล่งเรียนรู้ 7) ผู้จัดการเรียนรู้ สตรีอาสาสมัครสาธารณสุขใช้สถานการณ์โรคช่วงที่เกิดโรคโควิค 19 แก้ปัญหาเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงทำให้เกิดพลังอำนาจในการปฏิบัติงานวิธีการเรียนรู้ที่ได้ผลดีที่สุดคือการฝึกปฏิบัติกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่มีการจัดบรรยากาศการเรียนรู้แบบการศึกษาดูงาน กับฝึกการใช้สื่อกับเพื่อนร่วมงาน ศึกษาจากรายงาน แหล่งเรียนรู้เนื้อหา และวิธีการพัฒนาของผู้จัดการเรียนรู้ได้สนับสนุนส่งผลต่อการเสริมพลังอำนาจอย่างมาก โดยส่งผลต่อการตัดสินใจ การจัดการโรคในชุมชน การเลือกเนื้อหา การใช้สื่อจากสถานการณ์เด่นที่พบในชุมชนนอกจากนี้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต้องมีบทบาทในการเสนอชื่อให้รางวัล ให้การเสริมแรง จัดสวัสดิการให้มีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นรูปแบบหลักสูตร ช่วงเวลา และลักษณะกิจกรรมที่ใช้ และใช้วิธีการฝึกระดับกลุ่มตำบลจะส่งผลดีต่อการเสริมพลังอำนาจ </p> ณัฐชานันท์ สุกแสง เฟื่องอรุณ ปรีดีดิลก เพ็ญประภา ภัทรานุกรม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-21 2025-10-21 13 2 43 65 บทบาทของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการจัดการเรียนการสอนของครู อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hssj/article/view/284184 <p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาบทบาทของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการจัดการเรียนการสอนของครู อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี 2) เปรียบเทียบบทบาทของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการจัดการเรียนการสอนตามความคิดเห็นของครู จำแนกตามวุฒิการศึกษา ประสบการณ์ทำงาน และขนาดสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ข้าราชการครู อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี จำนวน 240 คน โดยใช้ตารางของเครซี่และมอร์แกน และใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นตามสัดส่วนของขนาดสถานศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม โดยมีค่าความตรงเชิงเนื้อหา อยู่ระหว่าง 0.67-1.00 มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.98 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการทดสอบรายคู่โดยใช้สูตรของเชฟเฟ่</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) บทบาทของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการจัดการเรียนการสอนตามความคิดเห็นของครู โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 2) ผลการเปรียบเทียบบทบาทของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการจัดการเรียนการสอนตามความคิดเห็นของครู (1) จำแนกตามวุฒิการศึกษา พบว่า โดยรวมและรายด้าน ไม่แตกต่างกัน (2) จำแนกตามประสบการณ์ทำงาน พบว่า ภาพรวม ด้านหลักสูตร และด้านการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (3) จำแนกตามขนาดสถานศึกษา พบว่า ด้านการวางแผนการจัดการเรียนการสอน และด้านการจัดหาสื่อ อุปกรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวกและแหล่งเรียนรู้ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> เพ็ญพิชชา เพ็ชรกิจ สุมิตร สุวรรณ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-21 2025-10-21 13 2 66 81 การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนภาษาอังกฤษตามการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับการสอนแบบมุ่งเน้นประสบการณ์เพื่อส่งเสริมความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจและทักษะสังคมของนักศึกษาวิชาชีพครู https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hssj/article/view/285642 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนารูปแบบการเรียนการสอนภาษาอังกฤษตามการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับการสอนแบบมุ่งเน้นประสบการณ์ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจและทักษะสังคมของนักศึกษาวิชาชีพครู 2) ประเมินประสิทธิผลของรูปแบบฯ และ3) ศึกษาความคิดเห็นของนักศึกษาที่เรียนด้วยรูปแบบฯ กลุ่มเป้าหมายคือ นักศึกษาวิชาชีพครู มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 24 คน จากการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือวิจัยประกอบด้วยรูปแบบการสอน คู่มือการสอน แผนการจัดการเรียนรู้ แบบประเมิน และแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติและการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า รูปแบบการสอนที่พัฒนาขึ้น ชื่อ "PTWDS Model" มีองค์ประกอบสำคัญ 6 ประการ ได้แก่ หลักการ วัตถุประสงค์ กระบวนการเรียนรู้ การวัดและประเมินผล เงื่อนไขการนำไปใช้ และปัจจัยความสำเร็จ โดยกระบวนการเรียนรู้ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน คือ การเตรียมประสบการณ์ การสอน การทำกิจกรรมกลุ่ม การอภิปราย และการสรุปผล ซึ่งได้รับการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญว่ามีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด (M = 4.68, S.D. = 0.51) ในด้านประสิทธิผล พบว่า ความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจและพัฒนาการทักษะสังคมของนักศึกษามีพัฒนาการสูงขึ้น โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (M = 3.00, S.D. = 0.51 และ S.D. = 0.58 ตามลำดับ) ขณะที่ความคิดเห็นของนักศึกษาต่อรูปแบบการสอนในด้านกิจกรรม บรรยากาศ การวัดผล และประโยชน์ที่ได้รับ อยู่ในระดับมากที่สุด (M = 4.68, S.D. = 0.56)</p> อินธิรา เกื้อเสนาะ อุบลวรรณ ส่งเสริม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-21 2025-10-21 13 2 82 97 การสื่อสารการตลาดดิจิทัลกับการส่งเสริมชาจีนสำหรับการกินเพื่อสุขภาพ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hssj/article/view/285095 <p>งานวิจัยนี้ ศึกษาเรื่องชาจีนกับคนรุ่นใหม่และกลยุทธ์การสื่อสารการตลาดดิจิทัล (DMC) เพื่อส่งเสริมชาจีนกับการกินเพื่อสุขภาพ โดยเน้นชาอู่หลง ชาเขียว ชาดำ และชาขาว ใช้การวิจัยเอกสารร่วมกับการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้เชี่ยวชาญด้านชาจีน ด้านการกินเพื่อสุขภาพ และด้าน DMC และใช้แบบสอบถามกับคนรุ่นใหม่ชาวจีนและที่มีสัญชาติอื่น ผลการวิจัยพบว่า คนจีนรุ่นใหม่และที่มีสัญชาติอื่นรับรู้เรื่องประโยชน์ด้านสุขภาพของชาจีนในระดับปานกลางเช่นเดียวกัน คนจีนรุ่นใหม่รับรู้ระดับมากที่สุดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประโยชน์ของชาจีนกับกรรมวิธีการบริโภค แต่คนที่มีสัญชาติอื่นรับรู้เรื่องนี้ในระดับต่ำ คนจีนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับประโยชน์จากชาอู่หลง ขณะที่คนสัญชาติอื่นเลือกชาเขียว ชาจีนมีประโยชน์ช่วยควบคุมการกิน ช่วยให้ระบบเผาผลาญและย่อยอาหารดีขึ้น ให้สารต้านอนุมูลอิสระ เสริมภูมิคุ้มกัน ช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจและหลอดเลือด กลยุทธ์ DMC คือ สร้างคอนเทนต์หลากหลายรูปแบบและเผยแพร่บนช่องทางที่หลากหลาย ทำอีคอมเมิร์ซร่วมกับการใช้ AI เพื่อผู้บริโภคสามารถเลือกชนิดของชาสำหรับสุขภาพเฉพาะตน ทำให้การบริโภคชาจีนสอดคล้องกับกระแสนิยมสมัยใหม่เรื่องควบคุมน้ำหนักจากการกิน การหลอมรวมระหว่างความดั้งเดิมและความทันสมัย ทำให้ชาจีนกลายเป็นสัญลักษณ์ด้านวัฒนธรรม และเป็นสะพานสู่ตลาดชาระดับโลก</p> หวาง ซิ่นเยว์ พนม วรรณศิริ ทักษิณา ชัยอิทธิพรวงศ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-21 2025-10-21 13 2 98 111 การสื่อสารสุขภาพดิจิทัลเพื่อส่งเสริมความรอบรู้เรื่องสุขภาพของผู้สูงวัยชาวจีน https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hssj/article/view/285432 <p>งานวิจัยนี้ เพื่อศึกษาระดับความรอบรู้เรื่องสุขภาพเกี่ยวกับกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง และเพื่อเปรียบเทียบความสำคัญกับผลการปฏิบัติเกี่ยวกับการสื่อสารสุขภาพดิจิทัลของผู้สูงวัยชาวจีนในจังหวัดเหอหนาน ใช้วิธีวิจัยเชิงปริมาณโดยใช้แบบสอบถาม เก็บข้อมูลด้วยชุดคำถามวัดระดับกับผู้สูงอายุ ใช้การวิเคราะห์ความสำคัญและผลการปฏิบัติเพื่อแสดงลำดับสิ่งที่ต้องแก้ไขในเรื่องการสื่อสารสุขภาพดิจิทัล ผลการวิจัยพบว่า ความรอบรู้เรื่องสุขภาพของผู้สูงวัยอยู่ในระดับปานกลาง ผู้สูงวัยเห็นความสำคัญของการสื่อสารสุขภาพดิจิทัลอย่างมาก แต่การปฏิบัติอยู่ในระดับต่ำกว่า ต้องการให้มีการพัฒนาทักษะดิจิทัลแก่ผู้สูงวัยควบคู่กับการพัฒนาระบบบริการสุขภาพ การสื่อสารสุขภาพดิจิทัลไม่ควรจำกัดเฉพาะเพื่อกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง และผู้สูงวัยหลีกเลี่ยงเทคโนโลยี AI ในการสื่อสารสุขภาพดิจิทัล ผลการวิเคราะห์ความสำคัญและผลการปฏิบัติพบว่า สิ่งที่ควรส่งเสริมต่อไปคือ สร้างความตื่นตัวเรื่องการสื่อสารสุขภาพดิจิทัลเพื่อยกระดับความรอบรู้เรื่องสุขภาพ และพัฒนาความสามารถในการสื่อสารสุขภาพดิจิทัลแก่ผู้สูงวัย ส่วนสิ่งที่ต้องแก้ไขเพื่อให้ผู้สูงวัยทำการสื่อสารสุขภาพดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ คือ ใช้รูปแบบนำเสนอข้อมูลสุขภาพที่ผู้สูงวัยเข้าถึงได้ง่าย ไม่ซับซ้อน และกระตุ้นให้ผู้สูงวัยสื่อสารสุขภาพดิจิทัลในเชิงป้องกัน ไม่เฉพาะเพื่อแก้ไขปัญหาเพื่อยกระดับความรอบรู้เรื่องสุขภาพ</p> ติง ซิ่ว ทักษิณา ชัยอิทธิพรวงศ์ พนม วรรณศิริ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-21 2025-10-21 13 2 112 128 การทำงานเป็นทีมของผู้บริหารและครูอำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hssj/article/view/285084 <p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการทำงานเป็นทีมของผู้บริหารและครูอำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม 2) เปรียบเทียบการทำงานเป็นทีมของผู้บริหารและครู จำแนกตามตำแหน่ง เพศ ประสบการณ์ทำงาน และขนาดสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารและครูอำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม จำนวน 234 คน โดยใช้วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการทดสอบรายคู่โดยใช้สูตรของเชฟเฟ่</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) การทำงานเป็นทีมของผู้บริหารและครูอำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 2) ผลการเปรียบเทียบการทำงานเป็นทีมของผู้บริหารและครูอำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม (1) จำแนกตามตำแหน่ง พบว่าด้านการมีส่วนร่วมในการทำงาน และด้านการกำหนดบทบาทหน้าที่ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (2) จำแนกตามเพศ พบว่า ด้านการสื่อสารแบบเปิดเผย และด้านการกำหนดบทบาทหน้าที่ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (3) จำแนกตามขนาดสถานศึกษา พบว่า ด้านการกำหนดบทบาทหน้าที่ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (4) จำแนกตามประสบการณ์ทำงาน พบว่า โดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> ศศิธร พึ่งพร สุมิตร สุวรรณ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-21 2025-10-21 13 2 129 145 การพัฒนากลยุทธ์การบริหารงานวิชาการโรงเรียนคุณภาพ ระดับประถมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hssj/article/view/284476 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนากลยุทธ์การบริหารงานวิชาการโรงเรียนคุณภาพระดับประถมศึกษา 2) รับรองกลยุทธ์การบริหารงานวิชาการโรงเรียนคุณภาพระดับประถมศึกษา การวิจัยนี้เป็นแบบผสานวิธี มี 2 ระยะ ดังนี้ 1) พัฒนากลยุทธ์การบริหารงานวิชาการ ผู้ให้ข้อมูล จำนวน 9 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจงตามเกณฑ์ที่กำหนด เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ตัวอย่างในการศึกษาสภาพที่เป็นจริงและสภาพที่พึงประสงค์ คือ โรงเรียนคุณภาพระดับประถมศึกษา จำนวน 124 แห่ง ได้มาโดยสุ่มแบบแบ่งชั้นตามสัดส่วนกระจายตามภูมิภาค ผู้ให้ข้อมูล จำนวน 372 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.97 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ดัชนีความต้องการจำเป็นแบบปรับปรุง การวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส ภาวะคุกคามโดยการใช้ตัวแบบ 2S4M, PEST และ TOWS Matrix และ 2) รับรองกลยุทธ์การบริหารงานวิชาการโรงเรียนคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการจัดประชุมสัมมนาอิงกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ และผลสะท้อนจากการนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1. กลยุทธ์การบริหารงานวิชาการโรงเรียนคุณภาพระดับประถมศึกษา ประกอบด้วย 5 กลยุทธ์ ได้แก่ 1) เร่งพัฒนาความสามารถของครูในการทำวิจัยให้สอดคล้องกับสภาพในปัจจุบัน 2) ปรับกลไกสรรหาและระดมงบประมาณในการพัฒนาสื่อ นวัตกรรม และเทคโนโลยีตามสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน 3) ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในการพัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้ที่ตอบสนองความต้องการของผู้เรียน 4) ยกระดับความสามารถของครูในการใช้เทคโนโลยีเพื่อทำการวิจัย และ 5) ยกระดับการนิเทศภายใน และ 2. ผลการสัมมนาอิงกลุ่มผู้เชี่ยวชาญได้รับฉันทามติว่ามีความถูกต้อง เหมาะสม เป็นไปได้ และเป็นประโยชน์ในระดับมากที่สุด( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.95, S.D. = 0.24) </p> พิมประภา พันธุ์พิพัฒน์ นภาเดช บุญเชิดชู จิตติรัตน์ แสงเลิศอุทัย นภาภรณ์ ยอดสิน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-21 2025-10-21 13 2 146 166 ผลของการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดจิตศึกษาร่วมกับกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ที่มีต่อความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กและทักษะการริเริ่มและลงมือทำของเด็กปฐมวัยปีที่ 2 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hssj/article/view/286547 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กของเด็กปฐมวัยปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดจิตศึกษาร่วมกับกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ระหว่างก่อนและหลังการจัดประสบการณ์เรียนรู้ 2) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการริเริ่มและลงมือทำของเด็กปฐมวัยปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดจิตศึกษาร่วมกับกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ระหว่างก่อนและหลังการจัดประสบการณ์เรียนรู้</p> <p>กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ เด็กปฐมวัยปีที่ 2/3 โรงเรียนเมืองสมุทรสงคราม ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดจิตศึกษาร่วมกับกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ 2) แบบสังเกตความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก 3) แบบสังเกตทักษะการริเริ่มและลงมือทำ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบค่าที</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) ความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กของเด็กปฐมวัยปีที่ 2 หลังได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดจิตศึกษาร่วมกับกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์สูงกว่าก่อนจัดประสบการณ์เรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2) ทักษะการริเริ่มและลงมือทำของเด็กปฐมวัยปีที่ 2 หลังได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดจิตศึกษาร่วมกับกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์หลังสูงกว่าก่อนจัดประสบการณ์เรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> อภิลักษมิ์ ถิ่นกำเหนิด ปัญญา ทองนิล พีชาณิกา เพชรสังข์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-21 2025-10-21 13 2 167 180 การพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อส่งเสริมความเป็นนวัตกรของผู้เรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hssj/article/view/286090 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบและประเมินรูปแบบการบริหารงานวิชาการ เพื่อส่งเสริมความเป็นนวัตกรของผู้เรียน การวิจัยนี้ มี 2 ระยะ ดังนี้ 1) พัฒนารูปแบบ ผู้ให้ข้อมูล 7 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ การยืนยันองค์ประกอบเชิงยืนยัน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้ากลุ่มงานบริหารวิชาการและครู 630 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม 2) การประเมินรูปแบบ ผู้ให้ข้อมูล 9 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญ และการนำรูปแบบไปปฏิบัติ จำนวน 1 โรงเรียน ผู้ให้ข้อมูล 7 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการประชุมสะท้อนผลการนำไปใช้ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันและการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า รูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อส่งเสริมความเป็นนวัตกรของผู้เรียน ประกอบด้วย 1) หลักการ 2) เป้าหมายและวัตถุประสงค์ 3) กระบวนการ ประกอบด้วย 3.1) การวางแผนกลยุทธ์ วิสัยทัศน์ และแผนพัฒนาสถานศึกษา 3.2) การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา 3.3) การจัดกระบวนการเรียนรู้ 3.4) การวัดและประเมินผล 3.5) การพัฒนาสื่อ นวัตกรรม และเทคโนโลยี 4) การนำรูปแบบไปใช้ และ 5) ผลที่เกิดขึ้น และการประเมินรูปแบบ พบว่า ผู้เชี่ยวชาญมีฉันทามติให้รูปแบบมีความถูกต้อง เหมาะสม เป็นไปได้ และเป็นประโยชน์ ในส่วนการนำรูปแบบไปปฏิบัติ พบว่า โรงเรียนมีการพัฒนาหลักสูตร สร้างความเข้าใจในการจัดการเรียนรู้ และการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาครูในการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมความป็นนวัตกรให้กับผู้เรียน</p> อุดม สมพร้อม นภาเดช บุญเชิดชู จิตติรัตน์ แสงเลิศอุทัย นภาภรณ์ ยอดสิน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-21 2025-10-21 13 2 181 196 พฤติกรรมและความต้องการของนักท่องเที่ยวตลาดริมน้ำบางหัวเสือ สมุทรปราการ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hssj/article/view/284910 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาพฤติกรรมและความต้องการของนักท่องเที่ยวที่เข้ามาท่องเที่ยวตลาดริมน้ำบางหัวเสือ 2) เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมและความต้องการของนักท่องเที่ยวที่เข้ามาท่องเที่ยวตลาดริมน้ำบางหัวเสือ จำแนกตามลักษณะทางประชากรศาสตร์ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักท่องเที่ยวที่เข้ามาท่องเที่ยวที่ตลาดริมน้ำบางหัวเสือ สมุทรปราการ จำนวน 400 คน ค่าสถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่า f-test ผลการวิจัย พบว่า 1) พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เข้ามาท่องเที่ยวตลาดริมน้ำบางหัวเสือ มีวัตถุประสงค์เพื่อการพักผ่อนหย่อนใจกับกลุ่มเพื่อนประมาณ 2 – 3 คน เดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เดินทางมาท่องเที่ยว โดยมีค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวอยู่ระหว่าง 1,001- 1,500 บาท และนักท่องเที่ยวมีความต้องการเข้ามาท่องเที่ยวตลาดริมน้ำบางหัวเสือ โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง 2) นักท่องเที่ยวที่มีอายุ สถานภาพ ระดับการศึกษา อาชีพและรายได้ต่อเดือนแตกต่างกัน มีพฤติกรรมและความต้องการของนักท่องเที่ยวที่เข้ามาท่องเที่ยวตลาดริมน้ำบางหัวเสือแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และ 0.05</p> ชนม์ธิดา ยศปัน โศจิลักษณ์ กมลศักดาวิกุล พสุ ชัยเวฬุ ปุณิกา แจ่มจำรัส ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-21 2025-10-21 13 2 197 213 ความสัมพันธ์ระหว่างทักษะการสื่อสารของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผล ในการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดขอนแก่น https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hssj/article/view/286897 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาทักษะการสื่อสารของผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนเอกชน 2) ศึกษาประสิทธิผลในการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนเอกชน และ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ของทักษะการสื่อสารของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลในการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนเอกชน กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูในโรงเรียนเอกชน สังกัดศึกษาธิการจังหวัดขอนแก่น ปีการศึกษา 2567 โดยกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างจากการเปิดตารางสำเร็จรูปของโคเฮน ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 333 คน ใช้วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามเกี่ยวกับทักษะการสื่อสารของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลในการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนเอกชน สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) ทักษะการสื่อสารของผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดขอนแก่น โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก เรียงลำดับค่าเฉลี่ย จากมากไปน้อย ได้แก่ ด้านทักษะการอ่าน ด้านทักษะการเขียน ด้านทักษะการฟัง และด้านทักษะการพูด 2) ประสิทธิผลในการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดขอนแก่น โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย ได้แก่ ด้านการบริหารงานทั่วไป ด้านการบริหารงานงบประมาณ ด้านการบริหารงานวิชาการ และด้านการบริหารงานบุคคล 3) ทักษะการสื่อสารของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลในการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดขอนแก่น มีความสัมพันธ์กันทางบวกอยู่ในระดับสูง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?r_{xy}" alt="equation" /> = 0.766) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> ทักษพร พิมพ์บุญ อุไร สุทธิแย้ม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-21 2025-10-21 13 2 214 228