วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc <p>วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา เป็นแหล่งรวบรวมวารสารทางวิชาการ ของวิทยาลัยนครราชสีมา มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแหล่งเผยแพร่ความรู้ทางด้านวิชาการและงานวิจัยแก่บุคคลทั่วไป และส่งเสริมการนำองค์ความรู้จากการวิจัยไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชน สังคม และประเทศชาติ</p> th-TH <p><strong>จรรยาบรรณผู้เขียนบทความ</strong></p> <p><strong>&nbsp;</strong>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผู้เขียนบทความต้องรับรองว่าบทความนี้ไม่เคยตีพิมพ์ในวารสารใดหรือสิ่งพิมพ์อื่นๆ มาก่อน &nbsp;ต้องไม่คัดลอกผลงานผู้อื่นมาปรับแต่งเป็นบทความของตน และไม่ได้อยู่ระหว่างการเสนอเพื่อพิจารณาตีพิมพ์ อีกทั้งยอมรับหลักเกณฑ์การพิจารณาและการตรวจแก้ไขบทความต้นฉบับโดยกองบรรณาธิการวารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; บทความทุกเรื่องได้รับการตรวจพิจารณาทางวิชาการโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่มีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญตรงตามสาขาของบทความ ซึ่งผู้เขียนต้องแก้ไขตามคำแนะนำของผู้ทรงคุณวุฒิภายในระยะเวลาที่กำหนด หากไม่เป็นไปตามกำหนดกองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์และยกเลิกการตีพิมพ์โดยจะแจ้งให้ทราบต่อไป</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ข้อความที่ปรากฏในบทความของวารสารนี้เป็นความคิดเห็นของผู้เขียนซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับวิทยาลัยนครราชสีมาแต่อย่างใด และกองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาและตรวจประเมินบทความเพื่อตีพิมพ์ในวารสารของวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์</p> journal@nmc.ac.th (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สำราญ บุญเจริญ) journal@nmc.ac.th (ดร.ศิรินธร เอี๊ยบศิริเมธี) Fri, 20 Dec 2024 15:15:49 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ : ศึกษากรณีรถยนต์ไร้คนขับ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/273364 <p>วิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวคิด ทฤษฎี การคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถยนต์และความเป็นมาของรถยนต์ไร้คนขับ ศึกษากฎหมายความรับผิดกรณีของรถยนต์ไร้คนขับของประเทศไทยและต่างประเทศ เพื่อวิเคราะห์ปัญหาและหาเสนอแนะเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้ประสบภัย กรณีของรถยนต์ไร้คนขับ</p> <p><strong> </strong>จากการศึกษาพบว่า (1) พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535<strong> </strong>ของไทย ยังไม่ปรากฎความหมายของรถยนต์ไร้คนขับ ต่างกับสหราชอาณาจักร สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และสาธารณรัฐสิงคโปร์ ได้มีการบัญญัติความหมายไว้อย่างชัดเจน (2) ประเทศไทยยังไม่ปรากฎมีบทบัญญัติความรับผิดของผู้ควบคุมรถยนต์ไร้คนขับเป็นการเฉพาะ ในขณะที่กฎหมายต่างประเทศกำหนดความรับผิดของผู้ควบคุมรถยนต์ไร้คนขับในความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ชีวิต ร่างกาย รวมถึงทรัพย์สินด้วย (3) การกำหนดประกันภัยภาคบังคับ ไม่เหมาะสมสำหรับเจ้าของรถยนต์ไร้คนขับ โดยกฎหมายของสาธารณรัฐสิงคโปร์ สหราชอาณาจักร สหพันธ์สาธารณรัฐ ไม่มีข้อกำหนดการประกันภัยภาคบังคับที่ใช้เฉพาะกับการใช้รถยนต์ไร้คนขับ (4) ความรับผิดกรณีเกี่ยวกับโปรแกรมรถยนต์ไร้คนขับนั้นมีเพียงสหราชอาณาจักร สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี สาธารณรัฐสิงคโปร์ต่างก็กำหนดความรับผิดไว้แต่มีรายละเอียดลักษณะของการกระทำที่แตกต่างกัน</p> <p> ข้อเสนอแนะ แก้ไขเพิ่มเติม หมวด 5 รถยนต์ไร้คนขับ ในพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 และกำหนดคำนิยามของรถยนต์ไร้คนขับ กำหนดความรับผิดของผู้ที่จะต้องรับผิดให้ชัดเจน และกำหนดความรับผิดกรณีเกี่ยวกับโปรแกรมรถยนต์ไร้คนขับที่เกิดบุคคลภายนอกที่จารกรรมโปรแกรม</p> สหชัย บุญสิน, เกรียงศักดิ์ พินทุสรศรี Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/273364 Fri, 20 Dec 2024 00:00:00 +0700 Navigating More than a Decade of Neuroscience Integration to Shape Business Strategies https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/281864 <p>Advances in theoretical knowledge have led neuroscience to intersect with social science, notably in the realm of neuromarketing—a sub-branch of social neuroscience. Within the past decade and looking back further, the field of neuromarketing has seen remarkable growth, highlighting the need for a comprehensive understanding of decision-making and consumer behavior by analyzing the brain's responses. Against this interdisciplinary backdrop, the study makes a significant contribution to the neuromarketing literature by conducting a systematic literature review over twelve years to explore the discipline's trends in topics and interests. A total of 72 studies were assessed and thoroughly investigated, revealing that the majority of interests in neuromarketing can be classified into five themes:</p> <ol> <li>the evaluation of products and brands,</li> <li>preferences for products and brands,</li> <li>the evaluation of messages and communication,</li> <li>the influence of others, and</li> <li>purchase decisions.</li> </ol> <p>This research offers suggestions to researchers and businesses on navigating the use of Electroencephalography (EEG), focusing on measuring neuronal responses directly, to enhance and extend traditional marketing methods. Moreover, it discusses their implications for the future of neuromarketing, contributing to marketing theory and practice.</p> Tanikan Pipitwanichakarn Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/281864 Fri, 20 Dec 2024 00:00:00 +0700 การประยุกต์ใช้โครงข่ายการกระจายสินค้าแบบผ่านศูนย์กระจายสินค้าเพื่อลดต้นทุนการขนส่งและกระจายสินค้า กรณีศึกษา ร้านค้าปลีก ประเทศกัมพูชา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/273775 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาความเป็นไปได้ในการปรับเปลี่ยนโครงข่ายการขนส่งและกระจายสินค้าแบบตรงไปเป็นแบบผ่านศูนย์กระจายสินค้า กรณีศึกษาของร้านค้าปลีกเฟรชมาร์ทในประเทศกัมพูชา (2) ศึกษาศักยภาพในการลดเที่ยวรถเปล่าและลดต้นทุนการสั่งซื้อสินค้าของร้านค้าปลีก เมื่อมีการจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้า และ (3) บริหารจัดการสต็อกสินค้าไว้สำหรับบริการลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง ข้อมูลในการศึกษาครั้งนี้ได้จาก 1) การรวบรวมและสืบค้นข้อมูลทางธุรกิจภายในองค์กร และฐานข้อมูลด้านธุรกิจต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง 2) การรวบรวมข้อมูลจากการสอบถามไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงาน และ 3) การสังเกตแบบมีส่วนร่วมกับการดำเนินงานด้านการขนส่ง ทฤษฎีการบัญชีต้นทุน การเลือกทำเลที่ตั้งด้วยวิธีการประเมินปัจจัย และการคำนวณหาเวลาการคืนทุน ถูกนำมาประยุกต์ใช้เพื่อหาทำเลที่ตั้งที่เหมาะสม พร้อมทั้งวิเคราะห์ข้อมูลด้านต้นทุนและผลประหยัดที่เกิดขึ้น เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจสร้างศูนย์กระจายสินค้าและปรับเปลี่ยนโครงข่ายการกระจายสินค้า</p> <p> ผลวิจัยพบว่า จังหวัดบันเตียเมียนเจยเหมาะสมที่สุดสำหรับการตั้งเป็นศูนย์กระจายสินค้า การสร้างศูนย์กระจายสินค้า ก่อให้เกิดต้นทุน 762,480 บาท การปรับเปลี่ยนโครงข่ายการขนส่งสินค้าเป็นแบบผ่านศูนย์กระจายสินค้า จะช่วยลดจำนวนเที่ยวของการวิ่งรถเที่ยวเปล่าและลดต้นทุนการสั่งซื้อสินค้าลงได้ คิดเป็นผลประหยัดรวมทั้งสิ้น 2,593,949 บาท และบริษัทจะสามารถคืนทุนได้ภายใน 0.4 ปี และร้านค้าปลีกสาขาทุกแห่งมีปริมาณสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง</p> ศุภชัย เพชรนาคิน, นันทิ สุทธิการนฤนัย Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/273775 Fri, 20 Dec 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของมาตรการการกำกับดูแล ด้านการป้องกันการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/274779 <p>การศึกษาปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ขอ'มาตรการการกำกับดูแล ด้านการป้องกันการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาระดับความรู้ ความเข้าใจ ในการปฏิบัติงานตามหลักเกณฑ์เกี่ยวกับมาตรการกำกับดูแลด้านการป้องกันการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายของพนักงานธนาคารอาคารสงเคราะห์ (2) เพื่อศึกษาปัจจัยทัศนคติในการปฏิบัติงานที่ส่งผลต่อการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของมาตรการการกำกับดูแลด้านการป้องกันการฟอกเงินและต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายของพนักงานธนาคารอาคารสงเคราะห์ (3) เพื่อศึกษาปัจจัยผลกระทบที่ส่งผลต่อการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของมาตรการการกำกับดูแลด้านการป้องกันการฟอกเงินและต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายของพนักงานธนาคารอาคารสงเคราะห์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ ประชากร คือ พนักงานธนาคารอาคารสงเคราะห์ จำนวน 2,387 คน กลุ่มตัวอย่างพนักงานธนาคารอาคารสงเคราะห์ที่ปฏิบัติหน้าที่ให้บริการเงินฝากและ สินเชื่อ จำนวน 400 คน โดยใช้สูตรของ Yamane ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 วิธีการสุ่มตัวอย่างใช้แบบสะดวก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสมมติฐานโดยการวิเคราะห์ ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สันและการวิเคราะห์การความถดถอยเชิงพหุคูณ </p> <p> ผลการศึกษาพบว่า</p> <ol> <li>ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีระดับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับนโยบายการป้องกันการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย (AML/CFT) คิดเป็นร้อยละ 98.9</li> <li>ทัศนคติในการปฏิบัติงาน เช่น ระบบสารสนเทศของธนาคารมีความทันสมัย มีการอัพเดทข้อมูล ให้ทันต่อสถานการณ์และสามารถเรียกดูข้อมูลได้อย่างทันท่วงที รองลงมาคือ นโยบาย AML/CFT ของธนาคาร ช่วยอำนวยความสะดวกแก่หน่วยงานราชการในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตได้ในระดับสูงและท่านคิดว่าการกำหนดให้สถาบันการเงินต้องรายงานธุรกรรมที่เป็นเงินสด ตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไปแก่สำนักงาน ปปง. ถือเป็นเกณฑ์ที่เหมาะสม ส่งผลต่อการปฏิบัติงานตามหลักเกณฑ์ของมาตรการกำกับกับดูแลด้านการป้องกันการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงิน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</li> <li>ผลกระทบด้านการเมือง ผลกระทบต่อภาครัฐ ผลกระทบด้านสังคม และผลกระทบด้านเศรษฐกิจ ส่งผลต่อการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของมาตรการการกำกับดูแลด้านการป้องกันการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</li> </ol> คำรณ น้อยสอาด, อัศวิณ ปสุธรรม Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/274779 Fri, 20 Dec 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการบริหารการปกครองส่วนท้องถิ่นในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/274634 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการบริหารการปกครองท้องถิ่น (2) ระดับการบริหารการปกครองท้องถิ่นตามหลักบริหารการจัดการของ McKinsey 7-S Framework และ (3) ทิศทางการปกครองท้องถิ่นในอนาคต โดยศึกษาการปกครองท้องถิ่นในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ รูปแบบการวิจัยเป็นแบบผสมผสาน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) การศึกษาเชิงปริมาณ เก็บข้อมูลจากแบบสอบถามกับกลุ่มตัวอย่างบุคลากรและเจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 400 คน โดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติวิจัยเชิงพรรณนา 2) การวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์ผู้บริหารท้องถิ่นจำนวน 5 ท่าน โดยใช้แบบสัมภาษณ์คำถามปลายเปิดกึ่งมีโครงสร้าง วิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า</p> <ol> <li>ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการบริหารการปกครองท้องถิ่นในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (x<sup>̄</sup> = 3.91, S.D. = 0.78) เมื่อพิจารณาปัจจัยรายด้าน พบว่ามีผลต่อการบริหารการปกครองท้องถิ่นในระดับมากทุกปัจจัย เรียงลำดับปัจจัยที่มีระดับความสำคัญตามค่าเฉลี่ยมากที่สุด 3 ลำดับแรกได้ดังนี้ ปัจจัยด้านภาวะผู้นำ มีค่าระดับความสำคัญมากที่สุด 4.08 รองลงมาคือ ปัจจัยด้านงบประมาณ มีค่าระดับความสำคัญ 4.03 และปัจจัยด้านการวางแผน มีค่าระดับความสำคัญ 3.97 ตามลำดับ</li> <li>ระดับการบริหารตามหลักการบริหารการจัดการของ McKinsey 7-S Framework ในการปกครองท้องถิ่นในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (x<sup>̄</sup> = 3.92, S.D. = 0.79) และเมื่อพิจารณารายด้าน พบว่าด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด 3 ลำดับแรก คือ ด้านกลยุทธ์องค์กร (x<sup>̄</sup> = 4.24, S.D. = 0.78) รองลงมาคือ ด้านรูปแบบการบริหาร (x<sup>̄</sup> = 4.21, S.D. = 0.80) และด้านบุคลากร (x<sup>̄</sup> = 4.18, S.D. = 0.84)</li> <li>ทิศทางการปกครองท้องถิ่นในอนาคตแบ่งเป็น 2 ลักษณะ ดังนี้ 1) การบริหารการปกครองภายใน และ 2) การบริหารการปกครองท้องถิ่นแบบมีส่วนร่วมกับองค์กรภาครัฐ ภาคประชาชนและทุกภาคส่วนในชุมชน</li> </ol> อภิชิต ดวงธิสาร, ไพรัช บุญประกอบวงศ์, สิทธิเดช วงศ์ปรัชญา Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/274634 Fri, 20 Dec 2024 00:00:00 +0700 แนวทางการพัฒนาและปรับปรุงหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาวิชาการบัญชี คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/277101 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาสภาพหลักสูตรระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยราชภัฏเลย (2) เพื่อพัฒนาและปรับปรุงหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาวิชาการบัญชี ตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับปริญญาตรี สาขาวิชาการบัญชี พ.ศ. 2562 ประชากรที่ศึกษาได้แก่ อาจารย์ประจำหลักสูตร นักศึกษา บัณฑิตที่สำเร็จการศึกษา ผู้ใช้บัณฑิต เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ 1) แบบปรับปรุงรายวิชาหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาวิชาการบัญชี 2) แบบสัมภาษณ์แบบเจาะลึกแบบมีโครงสร้าง (Indepth Interview) เกี่ยวกับการพัฒนาหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาวิชาการบัญชี วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ 1) แบบปรับปรุงรายวิชาหลักสูตรบริหารธุรกิจ สาขาวิชาการบัญชี วิเคราะห์หาความถี่และร้อยละของการปรับปรุงรายวิชา 2) ผลการสัมภาษณ์เชิงลึกใช้โปรแกรม NVivo วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ แล้วนำเสนอเป็นความเรียงในแต่ละประเด็นตามที่ได้จากการสัมภาษณ์เชิงลึก</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;"> 1. การประเมินหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาวิชาการบัญชี แบ่งเป็นบริบทสภาพแวดล้อมของหลักสูตร ประกอบไปด้วย 1) วัตถุประสงค์ของหลักสูตร 2) โครงสร้างหลักสูตร </span><span style="font-size: 0.875rem;">3) แผนการดำเนินงานของหลักสูตร, ปัจจัยนำเข้า แบ่งเป็น 1) ด้านการจัดทำหลักสูตร 2) ด้านสื่อ/เอกสาร อุปกรณ์และสถานที่สำหรับจัดการเรียนการสอน 3) ด้านอาจารย์ผู้สอน 4) ด้านผู้เรียน, กระบวนการ แบ่งเป็น 1) ด้านการจัดการเรียนการสอน 2) ด้านการวัดและประเมินผล, ผลผลิต ได้แก่ 1) ร้อยละของนักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาตามระยะเวลาในหลักสูตร จำแนกเป็น 2 มิติ คือ </span><span style="font-size: 0.875rem;">มิตินักศึกษาประเมินตนเองและมิติของผู้ใช้บัณฑิต</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;"> 2. แนวทางการพัฒนาและปรับปรุงหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาวิชาการบัญชี </span><span style="font-size: 0.875rem;">มีดังต่อไปนี้ 1) เปลี่ยนแปลงชื่อหลักสูตรเป็นบัญชีบัณฑิต 2) ปรับปรุงสถานภาพของรายวิชา เป็นรายวิชาปรับปรุง 17 รายวิชา รายวิชาใหม่ 10 รายวิชา และได้มีการพัฒนารายวิชาตามอัตลักษณ์ของมหาวิทยาลัยจำนวน 4 รายวิชา 3) นำแนวทางการพัฒนาและปรับปรุงด้านคุณลักษณะที่จำเป็นต้องมีสำหรับบัณฑิต ทั้งด้านวิชาชีพและคุณลักษณะทั่วไปมาปรับใช้ โดยคำนึงถึงความต้องการของตลาดแรงงานหรือผู้ใช้บัณฑิตเป็นสำคัญ</span></p> อุไรวรรณ บุษทิพย์, เกศนี จึงวัฒนตระกูล, เพลินพิศ โพธิ์วัน Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/277101 Fri, 20 Dec 2024 00:00:00 +0700 การยอมรับเทคโนโลยีและสมรรถนะหลักที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของข้าราชการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดสมุทรสาคร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/275709 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของข้าราชการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดสมุทรสาคร โดยการวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสม (Mixed Methods Research) ที่ประกอบด้วย การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) การวิจัยเชิงปริมาณ เก็บแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่างข้าราชการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดสมุทรสาคร จำนวน 320 สุ่มกลุ่มตัวอย่างโดยอาศัยความน่าจะเป็น (Probability sampling) แบบชั้นภูมิ (Stratified Random Sampling) ผ่านแบบสอบถามแล้วนำไปวิเคราะห์สถิติเชิงพรรณนา และการวิเคราะห์สถิติเชิงอนุมาน การวิจัยเชิงคุณภาพผู้ให้ข้อมูลสำคัญ คือ ผู้บริหารที่มีตำแหน่งปลัดเทศบาลมาไม่น้อยกว่า 2 ปี จำนวน 5 คน เป็นการเลือกแบบเจาะจง</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า แนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของข้าราชการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดสมุทรสาครสรุปได้ดังนี้</p> <ol> <li>ด้านการรับรู้ถึงประโยชน์ คือ ควรมีการพัฒนาความรู้และความสามารถของข้าราชการควบคู่กันไปการใช้เทคโนโลยีเป็นประจำทุกเดือน ส่งเสริมให้เจ้าหน้าที่ ใช้เทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ควรใช้เทคโนโลยีเกี่ยวกับมีการจัดเก็บรูปภาพ เอกสาร ต่าง ๆ ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ทำให้สามารถเรียกใช้ไฟล์หรือเอกสารได้ตลอดเวลา และควรส่งเจ้าหน้าที่ไปอบรมการใช้โปรแกรมต่าง ๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่</li> <li>ด้านการสั่งสมความเชี่ยวชาญในงานอาชีพ ควรส่งเสริมให้ข้าราชการบรรจุใหม่มีการเรียนรู้ในงานของตนเองให้มากขึ้น ควรมอบหมายงานให้ตรงกับหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ และควรมีการประชุม</li> <li>ด้านการทำงานเป็นทีม ควรจัดให้ผู้ปฏิบัติงานเหมาะสมในแต่ละงาน แต่ละหน้าที่ และหัวหน้างานแต่ละส่วนกำกับกำชับให้ผู้ปฏิบัติงานมาตรงเวลา ควรให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถแสดงความคิดเห็นกับผู้บริหารได้ เพื่อให้ได้งานตรงตามสเปคที่กำหนดได้ ควรสร้างความสัมพันธ์ให้เกิดความสามัคคีในองค์กร ควรจัดการประชุมในการปฏิบัติงานทุกครั้ง เพื่อมอบหมายงานให้แต่ละคนอย่างชัดเจน และมอบหมายงานที่ถนัดและให้เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุด หรือควรจัดอบรมข้าราชการในทุก ๆ เดือน เพื่อให้ข้าราชการชั้นผู้น้อยได้แสดงความคิดเห็นกับผู้บริหารได้</li> </ol> นิรันดร์ บุญกลิ่น, ฉัตรชัย เหล่าเขตการณ์ Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/275709 Fri, 20 Dec 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการร้านนวดเพื่อสุขภาพของผู้บริโภคในเขตจังหวัดสมุทรปราการ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/275127 <p>การศึกษาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาระดับปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดในการเลือกใช้บริการร้านนวดเพื่อสุขภาพของผู้บริโภคในเขตจังหวัดสมุทรปราการ (2) ศึกษาระดับการตัดสินใจเลือกใช้บริการร้านนวดเพื่อสุขภาพของผู้บริโภคในเขตจังหวัดสมุทรปราการ และ (3) ศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการร้านนวดเพื่อสุขภาพของผู้บริโภคในเขตจังหวัดสมุทรปราการ โดยใช้วิธีวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ที่มีประสบการณ์ในการใช้บริการร้านนวดเพื่อสุขภาพของผู้บริโภคในเขตจังหวัดสมุทรปราการ จำนวน 400 คน ใช้วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบไม่อาศัยความน่าจะเป็น (Non-Probability sampling) โดยการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบโควตา (Quota sampling) สถิติวิเคราะห์ข้อมูลคือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;"> 1. ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดในการเลือกใช้บริการมีความคิดเห็นเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด ประกอบด้วย ด้านกระบวนการให้บริการ ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ด้านราคา ด้านบุคคล ด้านส่งเสริมการตลาด และด้านลักษณะทางกายภาพ ตามลำดับ</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;"> 2. </span><span style="font-size: 0.875rem;">ปัจจัยการตัดสินใจเลือกใช้บริการมีความคิดเห็นเฉลี่ยเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุดประกอบด้วย การประเมินและวิเคราะห์ทางเลือก การตัดสินใจใช้บริการ การประเมินพฤติกรรมภายหลังการใช้บริการ การแสวงหาข้อมูลและทางเลือก และการรับรู้ปัญหาหรือความต้องการ ตามลำดับ</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;"> 3. ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการร้านนวดเพื่อสุขภาพของผู้บริโภคในเขตจังหวัดสมุทรปราการเรียงลำดับความสำคัญดังนี้ ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านส่งเสริมการตลาด ด้านบุคคล ด้านลักษณะทางกายภาพ ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย และด้านกระบวนการ มีผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 มีเพียงด้านราคาเท่านั้นที่ไม่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการ</span></p> ภคมน ธนนอภิชาธร, ฉัตรชัย เหล่าเขตการณ์ Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/275127 Fri, 20 Dec 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการกีฬาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดเชียงใหม่ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/276805 <p>งานวิจัยและพัฒนาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน รูปแบบการบริหารจัดการกีฬาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในจังหวัดเชียงใหม่ 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการกีฬาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในจังหวัดเชียงใหม่ 3) เพื่อประเมินรูปแบบการบริหารจัดการกีฬาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในจังหวัดเชียงใหม่ วิธีดำเนินการวิจัย ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ 1) การศึกษาสภาพปัจจุบัน รูปแบบการบริหารจัดการกีฬาขององค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น ในจังหวัดเชียงใหม่ 2) การพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการกีฬาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในจังหวัดเชียงใหม่ และ 3) การประเมินความเป็นไปได้ และความถูกต้องของรูปแบบการบริหารจัดการกีฬาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในจังหวัดเชียงใหม่ สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าเฉลี่ย (x̄) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า</p> <ol> <li>สภาพปัจจุบัน รูปแบบการบริหารจัดการกีฬาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดเชียงใหม่ โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง</li> <li>การพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการกีฬาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดเชียงใหม่ที่สร้างขึ้น ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) ปัจจัยนำเข้า ประกอบด้วย ด้านนโยบาย ด้านงบประมาณ ด้านบุคคล ด้านสถานที่ วัสดุอุปกรณ์ และสิ่งอำนวยความสะดวก 2) กระบวนการด้านการบริหารจัดการ ประกอบด้วย การวางแผน การจัดองค์การ การนำและการประเมินผล 3) ผลที่ได้ ประกอบด้วย ประชาชนทุกกลุ่มออกกำลังกาย และเล่นกีฬาจนเป็นวิถีชีวิต ผู้มีความเป็นเลิศทางการกีฬาได้รับการสนับสนุน และทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม</li> <li>การประเมินการพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการกีฬาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดเชียงใหม่ ที่พัฒนาขึ้น มีความเป็นไปได้ มีความเหมาะสม มีความถูกต้องในการนำไปสู่การปฏิบัติ และมีประโยชน์อยู่ในระดับมาก</li> </ol> อภิวันท์ โอนสูงเนิน Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/276805 Fri, 20 Dec 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้กลยุทธ์การเสริมต่อการเรียนรู้ประสบการณ์การอ่านร่วมกับการเรียนแบบร่วมมือ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/276856 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) พัฒนาการจัดการเรียนรู้การอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้กลยุทธ์การเสริมต่อการเรียนรู้ประสบการณ์ การอ่านร่วมกับการเรียนแบบร่วมมือให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75:75 (2) เปรียบเทียบความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก่อนเรียน กับหลังเรียนโดยใช้กลยุทธ์การเสริมต่อการเรียนรู้ประสบการณ์การอ่านร่วมกับการเรียนแบบร่วมมือ (3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้การอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้กลยุทธ์การเสริมต่อการเรียนรู้ประสบการณ์การอ่านร่วมกับ การเรียนแบบร่วมมือ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1 โรงเรียนบ้านลานวิทยาคม อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 30 คน วิธีการสุ่มตัวอย่าง ใช้การสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้การอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจ โดยใช้กลยุทธ์การเสริมต่อการเรียนรู้ประสบการณ์ การอ่านร่วมกับการเรียนแบบร่วมมือ จำนวน 14 แผน เวลา 14 ชั่วโมง 2) แบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ เป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้การอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ โดยใช้กลยุทธ์การเสริมต่อการเรียนรู้ประสบการณ์ การอ่านร่วมกับการเรียนแบบร่วมมือ จำนวน 20 ข้อ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละและค่าสถิติ t – test (Dependent Samples)</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า</p> <ol> <li>ประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้การอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้กลยุทธ์การเสริมต่อการเรียนรู้ประสบการณ์การอ่านร่วมกับการเรียน แบบร่วมมือ มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์เท่ากับ 78.38:80.22</li> <li>การเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้กลยุทธ์การเสริมต่อการเรียนรู้ประสบการณ์การอ่านร่วมกับการเรียน แบบร่วมมือ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> <li>ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้การอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ โดยใช้กลยุทธ์การเสริมต่อการเรียนรู้ประสบการณ์การอ่านร่วมกับ การเรียนแบบร่วมมือ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก</li> </ol> สิปปนนท์ ละครขวา Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/276856 Fri, 20 Dec 2024 00:00:00 +0700 Optimizing the salary system of Y private college in GX Province https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/275213 <p>The objectives of this study were (1) to study the present situation and problems of salary system of full-time teachers in Y private college in GX province, (2) to find out the causes of the problems in the salary system of full-time teachers of Y private college in GX province and put forward some countermeasures, (3) to provide more reasonable suggestions for stabilizing the full-time faculty of private colleges in GX province. 235Y college -a representative private college in GX Province, as the research objects, which were consisted of 107 male and 128 female, all of them have the average age at under 30-years old (68%), most of them were graduated in undergraduate (67%) and in the position of assistant (54%) by means of questionnaire and interview, this research was analyzed the present structure of full-time teachers, educational background, professional title and age in Y Private Colleges and universities in GX province through.</p> <p> The result of questionnaire, the author finds out that the salary structure of Y private colleges is unreasonable; the salary level is low, the incentive function of welfare is not obvious, the incentive function of salary spirit is not strong, and the teachers think that the salary system is not fair. That is, most teachers are between “very dissatisfied” and “relatively dissatisfied” with their salary. The lowest level of satisfaction with benefits (average: 1.80), the lowest level of satisfaction with monetary remuneration (average: 1.82), and the highest level of satisfaction with the remuneration system (average: 1.94), but it is also at a lower level. Therefore, it is necessary to raise the salary and salary level in time to improve the satisfaction of teachers.</p> Liao XiaoQuan, Nithima Yuenyong Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/275213 Fri, 20 Dec 2024 00:00:00 +0700 Digitalizing Rural Tourism: A Marketing Strategy for Advancing Guangxi's Rural Tourism Sector https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/275214 <p>The objectives of this study were to digitalize Rural Tourism: A Marketing Strategy for Advancing Guangxi's Rural Tourism Sector. The independent variables encompass factors influencing the digital marketing strategy of rural tourism in Guangxi, including tourism products, infrastructure and service quality, publicity and marketing, brand characteristics, cultural excavation, and capital investment. The dependent variable is the digital marketing strategy of rural tourism in Guangxi.</p> <p> The population comprises tourists who have visited rural tourism scenic spots in Guangxi. The authors selected 300 participants using eluate sampling among tourists (1,200 tourists registered as of August 15, 2023) at rural tourist attractions in Yangshuo Tourism Famous County. The instrument for this study, were the questionnaire of 1<strong>. </strong>basic tourist information 2. tourist travel behavior Statistical tools were employed for data interpretation and analysis (Suharsaputra, 2014), and the questionnaire was administered until July-August 2023.</p> <p> The study results indicate that digital technology plays a crucial role in promoting rural tourism in Guangxi. Digital marketing tools enhance the visibility and exposure of rural tourism, effectively attracting more tourists. Simultaneously, the digital platform provides tourists with a better experience and service, improving tourist satisfaction. Digitalization is identified as an inevitable trend in the development of rural tourism in Guangxi.</p> Shu Xiujuan, Nithima Yuenyong Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/275214 Fri, 20 Dec 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีผลต่อความพึงพอใจของบุคลากรในการนำปัญญาประดิษฐ์ด้านการตลาดเข้ามาใช้ในองค์กรในเขตอำเภอเมือง จังหวัดระยอง https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/275547 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาข้อมูลทั่วไปขององค์กรและกลุ่มธุรกิจในการนำปัญญาประดิษฐ์ด้านการตลาดมาใช้ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดระยอง 2) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความพึงพอใจของบุคลากรในการใช้ ปัญญาประดิษฐ์ด้านการตลาด 3) หาแนวทางในการบริหารจัดการปัญญาประดิษฐ์ด้านการตลาดในองค์กร เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิจัยเชิงปริมาณ ประชากรคือบุคลากรและเจ้าของธุรกิจในพื้นที่ กลุ่มตัวอย่าง 400 คน สุ่มตัวอย่างตามสูตรทาโร่ ยามาเน่ วิเคราะห์ด้วยโปรแกรมสถิติ ใช้สถิติเชิงพรรณนาและทดสอบสมมติฐานด้วย t-test (Independent Samples) และ F-test (One-way ANOVA)</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า</p> <p> แนวทางการนำปัญญาประดิษฐ์ด้านการตลาดมาใช้ในธุรกิจในอำเภอเมือง จังหวัดระยอง ควรเน้นที่ความง่ายในการใช้งานและการจัดการข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน การทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้าและการพัฒนาการให้บริการให้สอดคล้องกับความต้องการเป็นสิ่งสำคัญ ควรมีการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างทีมงาน และเริ่มใช้งานปัญญาประดิษฐ์ด้านการตลาดในส่วนที่สามารถวัดผลได้ชัดเจน เช่น การวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า</p> วิรัตน์ ภารตระศรี , ยงยุทธ ศรีสวัสดิ์ , ชัญญณัท กริ่มใจ Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/275547 Fri, 20 Dec 2024 00:00:00 +0700 การมีส่วนร่วมของครูในการพัฒนาคุณธรรมตามอัตลักษณ์นักเรียน โรงเรียนคาทอลิก สังกัดสังฆมณฑลนครราชสีมา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/274499 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาระดับการมีส่วนร่วมของครูในการพัฒนาคุณธรรมตามอัตลักษณ์นักเรียน (2) เปรียบเทียบการมีส่วนร่วมของครูในการพัฒนาคุณธรรมตามอัตลักษณ์นักเรียน จำแนกตาม ระดับการศึกษา อายุงานปัจจุบัน และรายได้ของครูต่อเดือน (3) ศึกษาแนวทางในการพัฒนาการมีส่วนร่วมของครูในการพัฒนาคุณธรรมตามอัตลักษณ์นักเรียนโรงเรียนคาทอลิกสังกัดสังฆมณฑลนครราชสีมา กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูโรงเรียนคาทอลิกสังกัดสังฆมณฑลนครราชสีมา จำนวน 285 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ และแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.80-1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.97 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test) และค่าเอฟ (F-test)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1.การมีส่วนร่วมของครูในการพัฒนาคุณธรรมตามอัตลักษณ์นักเรียนโรงเรียนคาทอลิกสังกัดสังฆมณฑลนครราชสีมา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;"> 2. การเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมของครูในการพัฒนาในการพัฒนาคุณธรรมตามอัตลักษณ์นักเรียนโรงเรียนคาทอลิกสังกัดสังฆมณฑลนครราชสีมา พบว่า ครูที่มีระดับการศึกษา อายุงานปัจจุบัน และรายได้ของครูต่อเดือนต่างกัน มีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณธรรมตามอัตลักษณ์นักเรียนโรงเรียนคาทอลิก สังกัดสังฆมณฑลนครราชสีมา ไม่แตกต่างกัน</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;"> 3. แนวทางการพัฒนาการมีส่วนร่วมของครูในการพัฒนาคุณธรรมตามอัตลักษณ์นักเรียน โรงเรียนคาทอลิก สังกัดสังฆมณฑลนครราชสีมา พบว่า โรงเรียนควรให้ครูมีส่วนร่วมในการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ แผนปฏิบัติการประจำปีเพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาคุณธรรมตามอัตลักษณ์ รักเมตตา ซื่อสัตย์ กตัญญูอยู่อย่างพอเพียงอย่างชัดเจน</span></p> มนัสชัย ประทุมปี, กรองทิพย์ นาควิเชตร Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/274499 Fri, 20 Dec 2024 00:00:00 +0700 The Performing Art of Percussion in Sichuan Opera https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/273690 <p>This article aimed to study (1) The performance style of Sichuan opera percussion music. (2) The performance techniques of Sichuan Opera percussion music. (3) To seek the inheritance path of contemporary Sichuan Opera Percussion music. They were selected by Analysis data by Descriptive statistics and Content Analysis.</p> <p> The research results were found as follows:</p> <ol> <li>The playing style of Sichuan opera percussion has gradually become unified from the different styles of the previous four rivers.As a result, the way of talent training has changed, from the former college and regiment system, the master-apprentice inheritance system to the unified talent training in the school.Therefore, the playing style of Sichuan opera percussion music gradually formed with Chengdu as the center, that is, the playing style of the West Sichuan Dam School.</li> <li>As the drummer is the conductor of the whole Sichuan opera percussion music and dominates all the elements of the Sichuan opera performance, the performance techniques here are mainly to explore the drummer-based performance techniques (that is ‘eye-making’), which are 16 eye-making methods of the right hand and 5 eye-making methods of the left hand.</li> <li>Centered in Chengdu, it has jointly carried out the teaching of popularizing Sichuan opera percussion music with colleges and universities, which not only allows college students to let primary and secondary school teachers learn more about Sichuan opera percussion music, but also expands the inheritance path of contemporary Sichuan opera percussion music.</li> </ol> Helin Chen, Thanaphan Boonyarutkalin Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/273690 Fri, 20 Dec 2024 00:00:00 +0700 Impact of Organizational Socialization on Construction Workers' Prosocial Safety Citizenship Behavior https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/274812 <p>Due to the complexity of work and long work cycle in the construction industry, construction workers' safety is always under serious threat. This paper aims to reveal the mechanism of the influence of organizational socialization (OS) on construction workers' prosocial safety citizenship behavior (SSCB) with affective commitment (AC) as the mediating variable. Structural Equation Modeling (SEM) was constructed to conduct an empirical study based on 368 valid questionnaires recovered from formal research. Using SPSS 25.0 and AMOS 26.0, the influence model and research hypotheses of construction workers' SSCB were validated. The study shows that AC plays a fully mediating role in the positive effect of OS on construction workers' SSCB, and: Organizational safety culture socialization (OSCS) &gt; Interpersonal relationships socialization (IRS) &gt; Job competence socialization (JCS) &gt; Organizational politics socialization (OPS).</p> Huiqing Zhang, Wasin Phromphitakkul Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/274812 Fri, 20 Dec 2024 00:00:00 +0700 The Influence of Challenge-Hindrance Stressors and Job Crafting on Employee Innovation in Chinese High-Tech Enterprises https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/274423 <p>At present, innovation has become a key factor to promote the sustained economic growth of all countries. If enterprises want to survive, develop and grow, the key lies in continuous innovation to enhance competitiveness. Employees are the main force of enterprise innovation activities, and whether their creativity can be fully developed has a crucial impact on the development of enterprises. However, with the continuous improvement of the requirements of employees, the work pressure faced by employees is also gradually increasing. This study was searched on quantitative method based on the relevant theories of management and psychology, this paper discusses how challenging and hindering stress and job crafting jointly affect employees' hindrance stressor. The empirical results show that Challenge Stressor positively affects job crafting and employee hindrance stressor, and obstructive stress negatively affects job crafting and employee hindrance stressor. Job crafting positively influences employees' hindrance stressor, and mediates the relationship between Challenge Stressor, obstructive stress and employees' hindrance stressor.</p> Yuying Tang, Eksiri Niyomsilp Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/274423 Fri, 20 Dec 2024 00:00:00 +0700 Factors Influencing Intelligent Auditing and Audit Efficiency Among Accounting Auditors in China https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/274425 <p>Big data and intelligent audit were new products in the Internet era in recent years. Audit information system based on high-speed data processing emerged, and this was intelligent audit. Big data has been applied to all aspects of life, and intelligent audit based on big data has also developed rapidly in the audit industry. The objectives of this study were to find out the proper index which related to the intelligent audit, to verify the role of mediator and moderator variables between intelligent audit and audit efficiency, to put forward effective recommendations for improving audit efficiency with intelligent audit. Based on a thorough review of the literature, the paper identified two primary variables: intelligent audit and audit efficiency. Through qualitative analysis of depth interview and quantitative analysis of questionnaire survey. The influencing factors of intelligent audit on audit efficiency were divided into audit evidence, data storage, data analysis, system maintenance, enterprise management level and auditor’s competence. The results showed that data storage in the intelligent audit had a significant negative impact and data analysis had a significant positive impact on audit efficiency; audit evidence in the intelligent audit had not a significant impact and system maintenance had not a significant impact on audit efficiency, however, enterprise management level played a significant moderating role between system maintenance and audit efficiency, auditor’s competence played a moderating role between audit evidence and audit efficiency, thus, the audit efficiency was improved to some extent. The suggestion were improving the quality of auditors, strengthening the organization of audit work and coordinating well with the audited unit.</p> Xiaoqing Zhang, Eksiri Niyomsilp Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/274425 Fri, 20 Dec 2024 00:00:00 +0700 ความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียต่อการจัดการศึกษาหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการโลจิสติกส์ วิทยาลัยนครราชสีมา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/283633 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียต่อหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการโลจิสติกส์ วิทยาลัยนครราชสสีมา การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสมวิธี กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้มีส่วนได้เสียต่อการจัดการหลักสูตร จำนวนทั้งสิ้น 108 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถาม และการสัมภาษณ์ การวิเคราะห์ความถี่ด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ผู้มีส่วนได้เสีย มีความคิดเห็นว่า งานด้านโลจิสติกส์ที่ซับซ้อน บัณฑิตทางด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชนเป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบสูง คิดอย่างเป็นระบบ มีความสามารถในการวางแผนงานที่ดี เข้าใจการทำงานของห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบจนถึงการส่งมอบสินค้าสุดท้ายให้ลูกค้า การจัดการคลังสินค้าและการขนส่ง การจัดการสินค้าคงคลัง โลจิสติกส์ดิจิทัลและเทคโนโลยีสารสนเทศ รู้จักกฎหมายเกี่ยวกับการขนส่งทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ รวมถึงระเบียบศุลกากรและการส่งออก เข้าใจเกี่ยวกับการเงิน คณิตศาสตร์ มีการจัดการทางด้านการเงินได้เป็นอย่างดี สามารถจัดการโลจิสติกส์ด้วยต้นทุนที่ต่ำ ขณะเดียวกัน สามารถการบริหารจัดการความสัมพันธ์ลูกค้า รู้ความต้องการของลูกค้า มีทักษะในการจัดการธุรกิจ และความเป็นผู้ประกอบการเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตนเองและตลาดแรงงาน มีความรับผิดชอบต่อสังคม</p> <p>นอกจากนี้บัณฑิตมีความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลและหาวิธีการแก้ปัญหาในกระบวนการโลจิสติกส์ คิดวิธีการใหม่ ๆ ในการปรับปรุงกระบวนการโลจิสติกส์ วิเคราะห์สถานการณ์และพิจารณาปัญหาเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด ปรับตัวและทำงานได้ในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เป็นผู้นำ ใฝ่รู้ กล้าแสดงออก เคารพและให้เกียรติผู้อื่น สร้างสัมพันธ์ภาพในการทำงาน ปฏิบัติงานอย่างเป็นระบบ ใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการโลจิสติกส์ได้อย่างถูกต้อง มีทักษะการสื่อสาร ทักษะการเจรจาต่อรอง ทักษะการจัดการเวลา มีศักยภาพในการก้าวทันต่อความเปลี่ยนแปลง ด้านสังคม เศรษฐกิจ เทคโนโลยี ปัจจุบันและอนาคต พัฒนาทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล สามารถทำงานและติดต่อประสานงานกับทีมงานหรือคู่ค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีคุณธรรม จริยธรรมในการดำเนินชีวิต ยึดมั่น ปฎิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ ยึดหลักนิติธรรม มีความโปร่งใส</p> ศิรินธร เอี๊ยบศิริเมธี, ประภากร อุ่นอินทร์, กิตติยา ปริญญาสุรเดช, จตุรวิทย์ ศศิธรานนท์, ฌานนพ สืบพิลา Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/283633 Fri, 20 Dec 2024 00:00:00 +0700 Prevalence and Influencing Factors of Internet Addiction among University Students in China https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/274424 <p>This article aimed to explore the influencing factors of university students' Internet addiction and to promote university students to use the Internet scientifically and reasonably. In this study, qualitative research was conducted first. A total of 20 subjects were interviewed face-to-face. Based on the results of the qualitative study, a questionnaire was designed. After that, 419 data were collected and the SEM method was used to evaluate and confirm the results. The results showed that negative emotions played a partial mediating role between stressful life events and Internet addiction. Coping style had a moderating effect on the relationship between stressful life events and negative emotions in the mediation model, and also had a moderating effect on the relationship between negative emotions and Internet addiction, and also had a moderating effect on the relationship between stressful life events and Internet addiction. Self-control played a partial mediating role between the influence of others and Internet addiction. Therefore, it also recommended among others that university students, university educators, social institutions and governments should pay more attention to Internet addiction, effectively prevent them from using the Internet too much, so as to provide guidance for university students to improve the quality of Internet life and mental health.</p> Chunrong He, Eksiri Niyomsilp Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/274424 Fri, 20 Dec 2024 00:00:00 +0700 Influencing Factors and Countermeasures in the Performance Management of University Administrative Personnel: A Case Study of Guangxi Minzu Normal University https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/275212 <p>This research was aimed to 1) study the performance appraisal aspects factors on the performance management of administrators in Guangxi Minzu Normal University 2) to study lack of effective management mechanism factors on performance management of administrative managers in Guangxi Minzu Normal University. 3) study on the factors of administrators' own problems on the performance management of administrators in Guangxi Minzu Normal University. The samples were 211 administrative personnel which was obtained by purposive sampling. The instruments used in this study were utilized a combination of literature review and interviews with 138 questionnaires to assess the prevailing conditions. The study focused on three primary factors affecting performance management: performance evaluation, the absence of effective management mechanisms, and challenges associated with administrative personnel. The statistics used for data analyzing were percentage, means and standard deviation.</p> <p>The results were as follows;</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;"> 1. The performance appraisal aspects factors on the performance management of administrators in total was agreed at the average of 3.00 and standard deviation was 1.23. The highest mean was appraise whether the provisions of the document are strictly enforced and the lowest was lack of quantitative indicators for Administrative posts.</span></p> <p> 2. The lack of effective management mechanism factors on performance management of administrative managers in total was agreed at the average of 3.21 and standard deviation was 1.18. The highest mean was whether or not they are not valued and the lowest was whether the education level is low.</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;"> 3. The factors of administrators' own problems on the performance management of administrators in total was agreed at the average of 2.92 and standard deviation was 1.10.</span></p> <p> </p> Nong Dongqing, Nithima Yuenyong Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/275212 Fri, 20 Dec 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยจิตวิทยาและส่วนประสมทางการตลาดส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกสินเชื่อที่อยู่อาศัยจากสถาบันการเงินของรัฐของประชาชนกลุ่มผู้มีรายได้น้อยในเขตกรุงเทพมหานคร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/274735 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาปัจจัยจิตวิทยาที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกสินเชื่อที่อยู่อาศัยจากสถาบันการเงินของรัฐของประชาชนกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ในเขตกรุงเทพมหานคร(2) ศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกสินเชื่อที่อยู่อาศัยจากสถาบันการเงินของรัฐของประชาชนกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ในเขตกรุงเทพมหานคร การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถาม ประชากรคือกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่ใช้บริการจากสถาบันการเงินของรัฐทั้ง 7 แห่ง ในเขตกรุงเทพมหานคร ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) ธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย(ธสน.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย(ธอท.) บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม(บสย.) ซึ่งมีขนาดประชากรเป็นจำนวนมาก และไม่แน่นอน การสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบสะดวกจำนวน 385 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุและ การหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;"> 1. ปัจจัยด้านจิตวิทยาการรับรู้ส่งผลเชิงบวกต่อการตัดสินใจเลือกที่อยู่อาศัยจากสถาบันการเงินของรัฐของประชาชนกลุ่มผู้มีรายได้น้อยในเขตกรุงเทพมหานคร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</span><span style="font-size: 0.875rem;">ที่ระดับ 01 </span><span style="font-size: 0.875rem;">ส่วนแรงจูงใจและการเรียนรู้ส่งผลเชิงลบต่อการตัดสินใจเลือกที่อยู่อาศัยจากสถาบันการเงินของรัฐของประชาชนกลุ่มผู้มีรายได้น้อยในเขตกรุงเทพมหานคร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;"> 2. กระบวนการให้บริการ การส่งเสริมการตลาด ทำเลที่ตั้งและช่องทางจัดจำหน่าย และราคาและการส่งเสริมการตลาดส่งผลทางบวกต่อการตัดสินใจเลือกสินเชื่อที่อยู่อาศัยจากสถาบันการเงินของรัฐของประชาชนกลุ่มผู้มีรายได้น้อยในเขตกรุงเทพมหานคร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ส่วนการให้บริการของบุคลากรผู้ให้บริการและผลิตภัณฑ์และบริการส่งผลทางลบต่อการตัดสินใจเลือกสินเชื่อที่อยู่อาศัยจากสถาบันการเงินของรัฐของประชาชนกลุ่มผู้มีรายได้น้อยในเขตกรุงเทพมหานคร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</span></p> จันทรกานต์ ปาละจูม, อริสรา เสยานนท์ Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/274735 Fri, 20 Dec 2024 00:00:00 +0700 Antecedents of Energy-saving Behaviors in Thailand: A Study in Samut Sakhon Province https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/283322 <p>This research aims to examine the level of energy-saving behaviors of Thai adults and investigate the impact of demographic (age, gender, education, and income) and psychological (environmental concern and environmental beliefs) factors on energy-saving behaviors. The research uses Stata software to conduct a quantitative analysis on a secondary dataset collected from Samut Sakhon province. This study analyzed the proposed models using structural equation modeling (SEM). The results were as follows: 1) The respondents often performed energy-saving behaviors, firmly believed in the importance of nature, and were moderately concerned about the environment; 2) Environmental concerns and beliefs have direct and positive impacts on energy-saving behaviors; 3) Environmental concerns and beliefs mediate the effects of demographic factors on energy-saving behaviors. This study provides implications for marketing practitioners and policymakers in creating effective strategies to encourage specific market segments to perform energy-saving behaviors. </p> Pitsamorn Kilenthong Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/283322 Fri, 20 Dec 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลองค์การของเทศบาลตำบลและเทศบาลเมืองในจังหวัดลพบุรี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/283896 <p>การวิจัยครั้งมีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เพื่อศึกษาระดับประสิทธิผลองค์การ (2) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลองค์การของเทศบาลตำบลและเทศบาลเมือง ในจังหวัดลพบุรี เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือเจ้าหน้าที่เทศบาลตำบลและเทศบาลเมือง จังหวัดลพบุรีจำนวน 330 คนได้จากการสุ่มอย่างง่ายเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตรประมาณค่า 5 ระดับสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยค่า ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและทดสอบสมมุติฐานของการวิจัยด้วยการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ประสิทธิผลองค์การของเทศบาลตำบลและเทศบาลเมืองในจังหวัดลพบุรี โดยรวมอยู่ในระดับมาก</li> <li>ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลองค์การของเทศบาลตำบลและเทศบาลเมืองในจังหวัดลพบุรีโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง</li> <li>ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลองค์การของเทศบาลตำบลและเทศบาลเมือง ในจังหวัดลพบุรีอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ปัจจัยการวางแผนเชิงกลยุทธ์ส่งต่อประสิทธิผลของเทศบาลตำบลและเทศบาลเมืองในจังหวัดลพบุรี สูงที่สุดมีค่าสัมประสิทธิ์ถดถอยของตัวพยากรณ์ เท่ากับ .269 และปัจจัยภาวะผู้นำส่งผลต่อ ประสิทธิผลของเทศบาลตำบลและเทศบาลเมือง ในจังหวัดลพบุรี ต่ำที่สุด มีค่าสัมประสิทธิ์ถดถอยของตัวพยากรณ์ เท่ากับ .092 ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของเทศบาลตำบลและเทศบาลเมืองในจังหวัดลพบุรีทั้งสิ้น สามารถร่วมกันพยากรณ์ประสิทธิผลองค์การของเทศบาลตำบลและเทศบาลเมืองในจังหวัดลพบุรีได้ร้อยละ 76.70 มีความคลาดเคลื่อนในการพยากรณ์ .232</li> </ol> รัฐบุรุษ คุ้มทรัพย์, สัญญา คำอิน, ธาราทิพย์ มูลศาสตร์ Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/283896 Fri, 20 Dec 2024 00:00:00 +0700 การศึกษาแนวทางการเพิ่มจำนวนลูกค้าประนอมหนี้ผ่าน APPLICATION GHB ALL BFRIEND กลุ่มลูกค้าธนาคารอาคารสงเคราะห์ ฝ่ายบริหารหนี้ภูมิภาค https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/274738 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาการยอมรับเทคโนโลยีที่มีผลต่อการตัดสินใจประนอมหนี้ผ่าน Application GHB ALL BFRIEND 2) เพื่อเสนอแนวทางการเพิ่มจำนวนลูกค้าประนอมหนี้ผ่าน Application GHB ALL BFRIEND เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ 1) เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถาม (Questionnaire) 2) การสัมภาษณ์เชิงลึก (In-Depth Interview) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ระเบียบวิธีวิจัย เชิงปริมาณ ประชากร คือ ลูกค้าที่เคยประนอมหนี้ผ่าน Application GHB ALL BFRIEND กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 252 คน วิธีการสุ่มตัวอย่างผู้วิจัยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์เชิงลึก (In-Depth Interview) วิเคราะห์ข้อมูลโดยผู้ศึกษาวิจัยได้นำข้อมูลจากแบบสอบถามมาสรุปและวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหา ในการหาแนวทางการเพิ่มจำนวนลูกค้าประนอมหนี้ผ่าน Application GHB ALL BFRIEND กลุ่มลูกค้าธนาคารอาคารสงเคราะห์ฝ่ายบริหารหนี้ภูมิภาค งานวิจัยนี้เป็นแบบ Problem base โดยการทำแผนภูมิก้างปลา (Ishikawa Diagram)</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;"> 1. ระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับการยอมรับเทคโนโลยีในภาพรวม อยู่ในระดับมาก เนื่องจากการรับรู้ถึงประโยชน์ที่ได้รับ</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;"> 2. ระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับการตัดสินใจใช้บริการอยู่ในระดับมาก เนื่องจากเลือกที่จะประนอมหนี้ผ่านApplication GHB ALL BFRIEND ก่อนเป็นอันดับแรกมากที่สุด รองลงมาจะแนะนำให้คนรู้จัก มาประนอมหนี้ผ่านApplication GHB ALL BFRIEND มากขึ้น</span></p> หทัยรักษ์ จิตตกิจ, รวิดา วิริยะกิจจา Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/274738 Fri, 20 Dec 2024 00:00:00 +0700 ผลกระทบของภาวะผู้นำระดับหัวหน้างานต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานธนาคารอาคารสงเคราะห์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/274775 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาผลกระทบของภาวะผู้นำระดับหัวหน้างานต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานธนาคารอาคารสงเคราะห์ (2) ศึกษาผลกระทบของภาวะผู้นำในการปฏิบัติงานต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานธนาคารอาคารสงเคราะห์ เครื่องมือในการวิจัยคือแบบสอบถามที่สร้างขึ้นที่ศึกษาจากเอกสาร ตำรา ทฤษฎี และเอกสาร งานวิจัยที่เกี่ยวข้องโดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ แบบสอบถามดังกล่าว ได้ผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหา โดยอาศัยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 คน เมื่อทดสอบค่า IOC พบว่ามีคะแนน IOC &gt; 0.5 ทุกข้อ โดยกำหนดประชากร คือ พนักงานธนาคารอาคารสงเคราะห์ระดับพนักงานที่ต่ำกว่าตำแหน่งหัวหน้างาน จำนวน 3,568 คน กลุ่มตัวอย่างตามสะดวกจำนวน 400 คน และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ ได้แก่ สถิติพรรณนา ได้แก่ ความถี่ (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และสมมติฐานโดยการวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson’s Correlation Coefficient) และการวิเคราะห์ค่าความถดถอยเชิงพหุคูณ (Multiple Regression Analysis)</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;"> 1. ด้านพฤติกรรมของผู้นำ คุณลักษณะของผู้นำ และคุณธรรมจริยธรรมส่งผลเชิงบวกต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และ 0.05 ตามลำดับส่วนการบริหารและควบคุมงานของผู้นำส่งผลเชิงลบต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;"> 2. การมองการณ์ไกล และความมั่นใจในตัวเองส่งผลเชิงบวกต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ส่วนการตือรือร้นส่งผลเชิงลบต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</span></p> การณิก มหรรณพ, เอกชัย อภิศักดิ์กุล Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/274775 Fri, 20 Dec 2024 00:00:00 +0700 การประยุกต์ใช้เครื่องมือการมองอนาคต เพื่อพัฒนาวิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลผลิต หมู่ 8 คลองหก อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/274927 <p>จากผลกระทบทางด้านอุทกภัยในปี 2554 กลุ่มผู้ประกอบการพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส จากทุนเดิมซึ่งเป็นที่นาและบ่อน้ำ รวมถึงในช่วงเวลาดังกล่าวยังมีน้ำขังอยู่เป็นจำนวนมากจึงได้เริ่มลงทุน และต่อยอดการเพาะเลี้ยงมาจนถึงปัจจุบัน จำหน่ายผลิตภัณฑ์ทั้งรูปแบบของปลาสด และปลาแดดเดียวจนเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ในปี 2558 ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานเกษตรจังหวัดปทุมธานีในการจัดตั้งวิสาหกิจชุมชน และจัดหาช่องทางการจำหน่ายที่หลากหลาย โดยสิ่งที่ผู้ประกอบการให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งคือ มาตรฐาน ความสะอาด ความปลอดภัย และการใส่ใจในการให้บริการเป็นอย่างยิ่ง</p> <p> สิ่งที่สำคัญอีกประการหนึ่งของการพัฒนาวิสาหกิจชุมชนให้เกิดความยั่งยืน โดยการการวิเคราะห์ผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุนของโครงการ (SROI) ประกอบด้วยการวิเคราะห์ 5 ด้านด้วยกัน คือ (1) Input (2) Activity (3) Output (4) Outcome (5) Impacts จากแนวทางการพัฒนาก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของพื้นใน 5 มิติ คือ (1) ด้านเศรษฐกิจ (2) Education (3) Environmental (4) Social และ (5) Mind</p> <p> จากการวิเคราะห์แนวทางการใช้เครื่องมือการมองอนาคตร่วมกับกลุ่มวิสาหกิจชุมชนไปสู่ความยั่งยืนพบว่า การเตรียมความพร้อมสู่การเปลี่ยนแปลงที่จะช่วยให้กลุ่มวิสาหกิจเตรียมพร้อมรับกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต ประกอบด้วย (1) มุมมองต่ออนาคต (2) การกำหนดนัยยะต่อการวางแผน (3) การตัดสินใจร่วมกัน ทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องเพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งขึ้นในอนาคต</p> ไตรมาศ พูลผล, ศิวลัย จงจีรภัทร, ญาดา นภาอารักษ์, สุริวิภาวรรณ ขุนพิลึก Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/274927 Fri, 20 Dec 2024 00:00:00 +0700 การเรียนรู้ด้วยตนเอง https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/280200 <p>ในยุคปัจจุบัน การเรียนรู้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในห้องเรียนอีกต่อไป การเรียนรู้ด้วยตนเอง (Self-Directed Learning: SDL) ได้รับความสนใจมากขึ้น เนื่องจากเป็นทักษะที่ช่วยพัฒนาตนเองให้มีความรู้และความสามารถที่ทันสมัยภายใต้การเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม การแสวงหาความรู้ด้วยตนเองจึงกลายเป็นสิ่งสำคัญในการปรับตัวให้เหมาะสมกับโลกาภิวัตน์</p> <p>นักการศึกษามีแนวคิดพื้นฐานที่เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีศักยภาพในการพัฒนาได้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง การเรียนรู้จึงไม่จำเป็นต้องเชื่อมโยงกับโรงเรียนเพียงอย่างเดียว แต่บุคคลสามารถเรียนรู้ได้จากประสบการณ์ สภาพแวดล้อมต่างๆ และความหลากหลายที่ตอบสนองตามความต้องการเฉพาะของแต่ละบุคคล</p> <p>การเรียนรู้ด้วยตนเอง (Self-Directed Learning: SDL) จึงเป็นกระบวนการที่บุคคลสามารถกำหนดวัตถุประสงค์การเรียนรู้ วางแผนและควบคุมกระบวนการเรียนรู้ และประเมินผลการเรียนรู้ของตนเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาครูหรือผู้สอน แนวคิดนี้เน้นถึงความสามารถของบุคคลในการจัดการและควบคุมการเรียนรู้ของตนเอง ซึ่งสามารถเสริมสร้างความรู้และทักษะใหม่ ๆ ได้ </p> อรณิชชา ทศตา, สิรินาถ จงกลกลาง , นาตยา ปิลันธนานนท์ Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/280200 Fri, 20 Dec 2024 00:00:00 +0700 รูปแบบกระบวนการวางแผนกลยุทธ์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/274649 <p>วิวัฒนาการของการวางแผนกลยุทธ์รูปแบบแผน กลยุทธ์ และรูปแบบกระบวนการวางแผนกลยุทธ์ โดยทำการทบทวนวรรณกรรมจากเอกสาร หนังสือ บทความของนักวิชาการในประเทศและต่างประเทศ นำข้อมูลมาสรุป อภิปรายผล และนำเสนอข้อเสนอแนะ จากการศึกษาพบว่า วิวัฒนาการกระบวนการวางแผนกลยุทธ์มีการพัฒนาเป็นเวลายาวนาน ในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลานั้น ๆ และเป็นการรวมหลายแนวคิดไว้ด้วยกัน รูปแบบของแผนกลยุทธ์แบ่งตามมิติต่าง ๆ เช่น มิติของการศึกษา มิติของการบริหารจัดการ มิติตามสถานการณ์ และกระบวนการวางแผนกลยุทธ์ขึ้นอยู่กับรูปแบบของกลยุทธ์ และกระบวนการวางแผนกลยุทธ์ที่นำเสนอ 9 รูปแบบ มีความแตกต่างและเหมือนกันบ้างในบางขั้นตอนเพื่อให้สามารถตอบรับกับสภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลา ปัจจุบันรูปแบบกระบวนการวางแผนกลยุทธ์แบบการคาดการณ์อนาคต เป็นที่นิยมใช้ในหลายประเทศทั่วโลก โดยในการคาดการณ์อนาคตต้องใช้ข้อมูลที่ผ่านการกลั่นกรองเป็นอย่างดี สามารถตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมในอนาคตที่จะส่งผลกระทบต่อมูลค่าของผลิตภัณฑ์ และบริการขององค์กร ถือได้ว่าเป็นโอกาสในการสร้างจุดแข็งของกระบวนการวางแผนกลยุทธ์ในการสร้างความยั่งยืนให้แก่องค์กร</p> พชรภัทร นันทบวรพล, สุกัญญา มิ่งเมือง, บัวพรรณ คำเฉลา Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/274649 Fri, 20 Dec 2024 00:00:00 +0700