วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc
<p>วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา เป็นแหล่งรวบรวมวารสารทางวิชาการ ของวิทยาลัยนครราชสีมา มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแหล่งเผยแพร่ความรู้ทางด้านวิชาการและงานวิจัยแก่บุคคลทั่วไป และส่งเสริมการนำองค์ความรู้จากการวิจัยไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชน สังคม และประเทศชาติ</p>วิทยาลัยนครราชสีมาth-THวารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์1906-1056<p><strong>จรรยาบรรณผู้เขียนบทความ</strong></p> <p><strong> </strong> ผู้เขียนบทความต้องรับรองว่าบทความนี้ไม่เคยตีพิมพ์ในวารสารใดหรือสิ่งพิมพ์อื่นๆ มาก่อน ต้องไม่คัดลอกผลงานผู้อื่นมาปรับแต่งเป็นบทความของตน และไม่ได้อยู่ระหว่างการเสนอเพื่อพิจารณาตีพิมพ์ อีกทั้งยอมรับหลักเกณฑ์การพิจารณาและการตรวจแก้ไขบทความต้นฉบับโดยกองบรรณาธิการวารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์</p> <p> บทความทุกเรื่องได้รับการตรวจพิจารณาทางวิชาการโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่มีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญตรงตามสาขาของบทความ ซึ่งผู้เขียนต้องแก้ไขตามคำแนะนำของผู้ทรงคุณวุฒิภายในระยะเวลาที่กำหนด หากไม่เป็นไปตามกำหนดกองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์และยกเลิกการตีพิมพ์โดยจะแจ้งให้ทราบต่อไป</p> <p> ข้อความที่ปรากฏในบทความของวารสารนี้เป็นความคิดเห็นของผู้เขียนซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับวิทยาลัยนครราชสีมาแต่อย่างใด และกองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาและตรวจประเมินบทความเพื่อตีพิมพ์ในวารสารของวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์</p>การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ตามกระบวนการแก้ปัญหาของโพลยา เรื่องอัตราส่วน เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/273335
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) สร้างและประเมินประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ตามกระบวนการแก้ปัญหาของโพลยา เรื่องอัตราส่วน ให้เป็นไปตามเกณฑ์ 75/75 (2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยชุดกิจกรรมดังกล่าว และ (3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้ด้วยชุดกิจกรรมดังกล่าว</p> <p>กลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 27 คน จากโรงเรียนบ้านป่ายาง จังหวัดเชียงราย โดยใช้วิธีการคัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ 5 ชุด ครอบคลุมหัวข้ออัตราส่วนในรูปแบบต่าง ๆ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียน และแบบสอบถามความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงปริมาณ โดยใช้ค่า E1/E2 ในการวัดประสิทธิภาพ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ด้วยสถิติ t-test แบบ Dependent และวิเคราะห์ความพึงพอใจโดยหาค่าเฉลี่ย</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ชุดกิจกรรมมีประสิทธิภาพ E1/E2 เท่ากับ 77.79/82.47 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 75/75 ที่กำหนด</li> <li>นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนอยู่ที่ 10.00 คะแนน และหลังเรียนเพิ่มขึ้นเป็น 25.41 คะแนน (p < .05)</li> <li>นักเรียนมีความพึงพอใจต่อชุดกิจกรรมในระดับสูง โดยมีค่าเฉลี่ย 4.52 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.19 งานวิจัยนี้ยืนยันว่าชุดกิจกรรมการเรียนรู้ตามกระบวนการแก้ปัญหาของโพลยามีประสิทธิภาพสูงและช่วยส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รวมถึงสร้างความพึงพอใจให้กับนักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 6</li> </ol> <p> 1. การสร้างและหาประสิทธิภาพชุดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ตามกระบวนการแก้ปัญหาของโพลยา เรื่อง อัตราส่วน เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6มีประสิทธิภาพระหว่างเรียน/หลังเรียนเท่ากับ 77.79/82.47ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้คือ 75/75</p> <ol> <li class="show">การใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ตามกระบวนการแก้ปัญหาของโพลยา เรื่อง อัตราส่วน เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 27 คน มีค่าเฉลี่ยก่อนเรียน เท่ากับ 10.00 คะแนน และค่าเฉลี่ยหลังเรียน เท่ากับ 25.41 คะแนน และเมื่อเปรียบเทียบคะแนนก่อนและหลังเรียน พบว่าคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> <li class="show">ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีผลต่อการเรียนรู้โดยชุดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ตามกระบวนการแก้ปัญหาของโพลยา เรื่อง อัตราส่วน เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจต่อชุดกิจกรรมการเรียนรู้ มีค่าเฉลี่ย ( ) เท่ากับ 4.52 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ( ) เท่ากับ 0.19 แสดงว่านักเรียนมีความพึงพอใจต่อชุดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ตามกระบวนการแก้ปัญหาของโพลยาเรื่อง อัตราส่วน เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 อยู่ในระดับมาก</li> </ol>นันทิกร อุดมศิลป์วัชรทินภัทร อนุมาขจรอรรถพณ พงศ์วิริทธิ์ธร
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
2025-04-302025-04-30191113ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของนักท่องเที่ยวชาวไทยเลือกจังหวัดสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน ประเทศจีน เป็นแหล่งท่องเที่ยว
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/278278
<p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาปัจจัยส่วนบุคคลของนักท่องเที่ยว (2) ระดับแรงจูงใจ (ด้านแรงผลัก กับด้านแรงดึงดูด) ที่ตัดสินใจเลือกเดินทางไปท่องเที่ยวสิบสองปันนา (3) เปรียบเทียบความแตกต่างของปัจจัยส่วนบุคคลกับแรงจูงใจของประชาชนชาวไทยที่ตัดสินใจเลือก และ (4) ปัจจัยส่วนบุคคลกับปัจจัยแรงจูงใจมีผลต่อชาวไทยที่ตัดสินใจเลือกเก็บรวบรวมข้อมูลโดยแจกแบบสอบถามให้ชาวไทยที่ตัดสินใจเลือกสิบสองปันนา เป็นแหล่งท่องเที่ยว จำนวน 400 ชุด ระหว่างกันยายนถึงธันวาคม 2566</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า</p> <ol> <li>ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย (ร้อยละ 50.25) อายุระหว่าง 31-40 ปี (ร้อยละ 31.5) สถานภาพสมรส (ร้อยละ 42.75) จบการศึกษาระดับปริญญาตรี (ร้อยละ 43.0) อาชีพค้าขาย/ ธุรกิจส่วนตัว (ร้อยละ 43.50) มีรายได้ 15,001-30,000 บาท (ร้อยละ 40.25) ส่วนใหญ่ไม่เคยไปเที่ยวสิบสองปันนา (ร้อยละ 79.75) มีรูปแบบการเดินทางไปกับทัวร์ กับ ครอบครัว/เพื่อน/ญาติ (ร้อยละ 44.0)</li> <li>แรงจูงใจด้านแรงผลักของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่ตัดสินใจเลือก โดยรวมอยู่ในระดับมาก (=3.90) แรงจูงใจด้านแรงดึงดูดของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่ตัดสินใจเลือกสิบสองปันนา โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (=4.25) การตัดสินใจเลือกของนักท่องเที่ยวชาวไทย โดยรวมอยู่ในระดับมาก (=3.51)</li> <li>นักท่องเที่ยวชาวไทยที่มีปัจจัยส่วนบุคคลที่แตกต่างกันมีแรงจูงใจในการตัดสินใจเลือกแตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> <li>ปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยแรงจูงใจด้านแรงผลักและปัจจัย แรงจูงใจ ด้านแรงดึงดูด ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกสิบสองปันนา เป็นแหล่งท่องเที่ยว อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> </ol> <p>ข้อมูลการวิจัยนี้เป็นประโยชน์แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการท่องเที่ยว เพื่อนําไปพัฒนาองค์กรให้สามารถให้สอดคล้องกับความต้องการของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่จะไปท่องเที่ยวได้</p>ชัยนันท์ธรณ์ ขาวงาม
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
2025-04-302025-04-301911433การจัดการภาครัฐแนวใหม่และคุณภาพการบริการที่ส่งผลต่อประสิทธิผล ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในกลุ่มภาคกลางตอนบน 1
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/276943
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาระดับประสิทธิผลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในกลุ่มภาคกลางตอนบน 1 (2) วิเคราะห์การจัดการภาครัฐแนวใหม่ คุณภาพการบริการ ที่ส่งผลต่อประสิทธิผลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในกลุ่มภาคกลางตอนบน 1 และ 3) เสนอแนวทางการพัฒนาประสิทธิผลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในกลุ่มภาคกลางตอนบน 1 เป็นวิจัยแบบผสมวิธี กรอบแนวคิดใช้แนวคิดและทฤษฎีของ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 พ.ศ. 2550 - 2554 และ Parasuraman and other และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ประชากรที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ปลัดองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ในกลุ่มภาคกลางตอนบน 1 จำนวน 378 คน การเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยเลือกแบบเจาะจง ได้จำนวน 195 คน สัมภาษณ์นายกและปลัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน 1 จำนวน 15 ท่าน เครื่องมือได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ นำไปหาค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามได้ .95 และนำข้อมูลคุณภาพมาวิเคราะห์สรุปความตามเนื้อหา สถิติที่ใช้ได้แก่ แจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ</p> <p><strong> </strong>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ระดับประสิทธิผลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในกลุ่มภาคกลางตอนบน 1 ภาพรวมอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าอยู่ในระดับมากทุกด้าน เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย ดังนี้ การนำองค์การ การมุ่งเน้นทรัพยากรบุคคล ผลลัพธ์การดำเนินการ การวางแผนเชิงยุทธศาสตร์ การวัด การวิเคราะห์ และการจัดการความรู้ การจัดการกระบวนการ การให้ความสำคัญกับผู้รับบริการและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ตามลำดับ</li> <li>วิเคราะห์การจัดการภาครัฐแนวใหม่ คุณภาพการบริการ ที่ส่งผลต่อประสิทธิผลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในกลุ่มภาคกลางตอนบน 1 พบว่า ปัจจัย 5 ด้านได้แก่ ด้านการลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน ด้านการประเมินผลการปฏิบัติงานราชการ ด้านการให้ความเชื่อมั่นต่อผู้รับบริการ ด้านความเป็นรูปธรรมของบริการ ด้านการตอบสนองต่อผู้มารับบริการ ส่งผลต่อประสิทธิผลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในกลุ่มภาคกลางตอนบน 1 ได้ร้อยละ 13.90 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> <li>3. แนวทางการพัฒนาประสิทธิผลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในกลุ่มภาคกลางตอนบน 1 ต้องดำเนินการดังนี้ ด้านการประเมินผลการปฏิบัติงานราชการ องค์กรมีการจัดประเมินผลจากความพึงพอใจของประชาชน จากด้านการให้ความเชื่อมั่นต่อผู้รับบริการ โดยองค์กรมีการจัดเปิดเบอร์โทรศัพท์ สำหรับรับเรื่องร้องเรียน แจ้งปัญหาต่างๆ หรือขอความช่วยเหลือ ได้ตลอดเวลา ส่วนในด้านความเป็นรูปธรรมของบริการ องค์กรจัดทำป้ายประชาสัมพันธ์ขั้นตอนการบริการหรือป้ายบอกจุดบริการต่างๆ ให้ชัดเจนต่อผู้มาใช้บริการ และด้านการตอบสนองต่อผู้มารับบริการ ผู้ใช้บริการได้รับการดูแลเอาใจใส่และตอบสนองความต้องการได้เป็นอย่างดี</li> </ol>นรภัท ชลฐกรณ์นิเทศ ติณนะกุลเบญยาศิริ งามสอาด
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
2025-04-302025-04-301913454รูปแบบและคุณลักษณะผู้นำยุคใหม่ที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตำบลในจังหวัดขอนแก่น
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/276942
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาระดับประสิทธิผลการบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตำบลในจังหวัดขอนแก่น (2) วิเคราะห์รูปแบบผู้นำและคุณลักษณะผู้นำยุคใหม่ ที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตำบลในจังหวัดขอนแก่น และ (3) เสนอแนวทางการพัฒนาประสิทธิผลการบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตำบลในจังหวัดขอนแก่น เป็นวิจัยแบบผสมวิธี กรอบแนวคิดใช้แนวคิดและทฤษฎีของ Rensis Likert Stogdill กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) ฝ่ายบริหารขององค์การบริหารส่วนตำบล ซึ่งประกอบด้วย นายกองค์บริหารส่วนตำบล รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบล 2) ฝ่ายนิติบัญญัติขององค์การบริหารส่วนตำบลซึ่งประกอบด้วยประธานสภา รองประธานสภา และสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล 3) พนักงานองค์การบริหารส่วนตำบลในจังหวัดขอนแก่น จำนวน 8,723 คน นำมาคำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยเปิดตารางเครซี่และมอร์แกน ได้จำนวน 367 คน สัมภาษณ์นายกองค์การบริหารส่วนตำบล จำนวน 12 ท่าน เครื่องมือได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ นำไปหาค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามได้ .95 และนำข้อมูลคุณภาพมาวิเคราะห์สรุปความตามเนื้อหา สถิติที่ใช้ได้แก่ แจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ </p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ระดับประสิทธิผลการบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตำบลในจังหวัดขอนแก่นโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านตามลำดับค่าเฉลี่ยจากมากหาน้อย พบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน ได้แก่ ด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ด้านสาธารณูปโภคชุมชน ด้านการบริการสาธารณสุขชุมชน ด้านการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ด้านการประกอบอาชีพ และด้านเศรษฐกิจ ตามลำดับ</li> <li>วิเคราะห์รูปแบบผู้นำและคุณลักษณะผู้นำยุคใหม่ ที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตำบลในจังหวัดขอนแก่น พบว่า ปัจจัย 4 ด้านได้แก่ ด้านการปรึกษาหารือ ด้านคุณลักษณะทางร่างกาย ด้านการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง และด้านสติปัญญาและความสามารถ ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตำบลในจังหวัดขอนแก่น ได้ร้อยละ 12.70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> <li>แนวทางการพัฒนาประสิทธิผลการบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตำบลในจังหวัดขอนแก่น ต้องดำเนินการดังนี้ ด้านสาธารณูปโภคชุมชน ฝ่ายบริหารควรจัดสรรงบประมาณเพื่อดูแลด้านแสงสว่างทางเดินให้มากขึ้น ซึ่งจะเป็นการสนับสนุนการพัฒนาในด้าน การประกอบอาชีพและด้านเศรษฐกิจของชุมชนด้วย ในแง่ของการสนับสนุนให้มีตลาดในรูปแบบถนนคนเดิน ด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยควรมีการลดภาระค่าใช้จ่ายในการสื่อสารของอาสาสมัครเพื่อการแจ้งเหตุภัยมากขึ้น ด้านการบริการสาธารณสุขชุมชน ควรมีการเพิ่มจุดรับแยกประเภทขยะในชุมชน ด้านพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมควรมีการสนับสนุนงบประมาณซ่อมแซมทางสรรจรเพื่อการเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติ</li> </ol>กิติยา ตุงคะเสรีรักษ์นิเทศ ติณนะกุลเบญยาศิริ งามสอาด
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
2025-04-302025-04-301915572ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิผลของนโยบายการส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบเป็นส่วนตัว สำหรับนักท่องเที่ยวชาวจีนในกรุงเทพมหานคร
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/276941
<p class="Default" style="text-align: justify; text-justify: inter-cluster; text-indent: 36.0pt;"><span lang="TH" style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif;">การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ </span><span style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif;">(1) </span><span lang="TH" style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif; color: windowtext; letter-spacing: -.2pt;">ศึกษาประสิทธิผลของนโยบายการส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบเป็นส่วนตัวสำหรับนักท่องเที่ยวชาวจีนในกรุงเทพมหานคร </span><span style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif; color: windowtext; letter-spacing: -.2pt;">(<span lang="TH">2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิผลของนโยบายการส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบเป็นส่วนตัว โดยรูปแบบการวิจัยเป็นแบบผสานวิธี ระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ การวิจัยเชิงปริมาณกลุ่มตัวอย่าง คือ นักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางมาท่องเที่ยวกรุงเทพมหานคร แบบเป็นส่วนตัว จำนวน 400 คน การวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้จัดการหรือบุคลากรของโรงแรมในกรุงเทพมหานคร จำนวน 10 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเชิงปริมาณ คือ แบบสอบถาม ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา </span>IOC <span lang="TH">อยู่ระหว่าง 0.80 –1.00 และความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.933 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน โดยใช้ค่า </span>t<span lang="TH">-</span>test, One Way ANOVA, Pearson<span lang="TH">’</span>s product-moment correlation Coefficient <span lang="TH">และ </span>Multiple linear regression</span></p> <p class="Default" style="text-align: justify; text-justify: inter-cluster; text-indent: 36.0pt;"><span lang="TH" style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif; color: windowtext; letter-spacing: -.2pt;">ผลการศึกษาพบว่า </span></p> <p class="Default" style="text-align: justify; text-justify: inter-cluster; text-indent: 36.0pt;"><span lang="TH" style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif; color: windowtext; letter-spacing: -.2pt;">1. นักท่องเที่ยวชาวจีนส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุเฉลี่ย 41.05 ปี </span><span lang="TH" style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif;">มีสถานภาพสมรส คิดเป็นร้อยละ 49.50 </span><span lang="TH" style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif; color: windowtext; letter-spacing: -.2pt;">การศึกษาระดับปริญญาตรี คิดเป็นร้อยละ 69.50 มีรายได้ต่อเดือน 10,0364.0 บาท และส่วนใหญ่เป็นพนักงานเอกชน คิดเป็นร้อยละ 43.5</span><span style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif; color: windowtext; letter-spacing: -.2pt;">0</span></p> <p class="Default" style="text-align: justify; text-justify: inter-cluster; text-indent: 36.0pt;"><span lang="TH" style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif; color: windowtext; letter-spacing: -.2pt;">2. นักท่องเที่ยวชาวจีนส่วนใหญ่เคยเดินทางมากรุงเทพมหานคร มากที่สุด 2 ครั้ง คิดเป็นร้อยละ 46.30 จำนวนวันเดินทางเฉลี่ยต่อครั้งคือ 7.46 วัน รวมค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวเฉลี่ย 54,878.75 บาท/คน คิดเป็นร้อยละ 46.00 เข้าพักที่โรงแรม คิดเป็นร้อยละ 79.00 และแหล่งข้อมูลการท่องเที่ยวทางอินเตอร์เน็ต คิดเป็นร้อยละ 35.00</span></p> <p class="Default" style="text-align: justify; text-justify: inter-cluster; text-indent: 36.0pt;"><span lang="TH" style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif; color: windowtext; letter-spacing: -.2pt;">3. ประสิทธิผลของนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวมีประสิทธิผลอยู่ในระดับสูงทุกด้าน</span></p> <p class="Default" style="text-align: justify; text-justify: inter-cluster; text-indent: 36.0pt;"><span lang="TH" style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif; color: windowtext; letter-spacing: -.2pt;">4. ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิผลของนโยบายการส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบเป็นส่วนตัวของนักท่องเที่ยวชาวจีนในกรุงเทพมหานคร ได้แก่ ด้านประชากร ด้านพฤติกรรมนักท่องเที่ยว ด้านทรัพยากรการท่องเที่ยว ด้านส่วนประสมทางการตลาด มีอิทธิพลต่อประสิทธิผลของนโยบายการส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบเป็นส่วนตัว ในนักท่องเที่ยวชาวจีนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</span></p>ชาญณรงค์ สัจจเทพนิเทศ ติณนะกุลเบญยาศิริ งามสอาด
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
2025-04-302025-04-301917393ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงและสมรรถนะของปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารจัดการขององค์การบริหารส่วนตำบลในจังหวัดชลบุรี
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/276944
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับประสิทธิผลการบริหารจัดการขององค์การบริหารส่วนตำบล 2) วิเคราะห์ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงและสมรรถนะของปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารจัดการขององค์การบริหารส่วนตำบลในจังหวัดชลบุรี และ 3) เสนอแนวทางการพัฒนาประสิทธิผลการบริหารจัดการขององค์การบริหารส่วนตำบลในจังหวัดชลบุรี เป็นวิจัยแบบผสมผสานวิธี ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ ฝ่ายบริหารขององค์การบริหารส่วนตำบล ฝ่ายนิติบัญญัติขององค์การบริหารส่วนตำบล และพนักงานส่วนตำบล จำนวน 2,289 คน นำมาคำนวณขนาดกลุ่มวิตัวอย่างการโดยใช้สูตรของทาโร่ ยามาเน่ ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 340 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ นำไปหาค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามได้ .93 .90 และ .94 และนำข้อมูลคุณภาพมาวิเคราะห์สรุปความตามเนื้อหา สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ แจกแจงความถี่ <br />ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ </p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ระดับประสิทธิผลการบริหารจัดการขององค์การบริหารส่วนตำบล ประกอบด้วยระดับภาวะผู้การเปลี่ยนแปลงโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านตามลำดับค่าเฉลี่ยจากมากหาน้อย พบว่าอยู่ในระดับมากทุกด้าน ได้แก่ด้านการมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ด้านการสร้างแรงบันดาลใจด้านการคำนึงถึงปัจเจกบุคคล และด้านการกระตุ้นให้ใช้ปัญญา ตามลำดับ</li> <li>ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงและสมรรถนะของปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารจัดการขององค์การบริหารส่วนตำบลในจังหวัดชลบุรี พบว่าปัจจัย 4 ด้าน ได้แก่ ด้านการบริหารตนเอง ด้านการมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ ด้านการกระตุ้นทางปัญญา และด้านการสื่อสารส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารจัดการขององค์การบริหารส่วนตำบลในจังหวัดชลบุรีได้ร้อยละ 71.40 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> <li>แนวทางการพัฒนาประสิทธิผลการบริหารจัดการขององค์การบริหารส่วนตำบลในจังหวัดชลบุรีควรดำเนินการดังนี้ ด้านการบริหารตนเอง ผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลควรวิเคราะห์ตนเองว่ามีจุดเด่น จุดด้อยในเรื่องใดด้านการมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ ผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลควรหลีกเลี่ยงที่จะใช้อำนาจเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนด้านการกระตุ้นทางปัญญา ผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลควรเป็นผู้ที่ส่งเสริมให้ผู้ใต้บังคับบัญชาวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหาในการทำงานโดยใช้เหตุผลและข้อมูลหลักฐาน และด้านการสื่อสารผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบล ควรเลือกใช้สื่อและเทคนิควิธีการ ในการสื่อสารได้อย่างเหมาะสม</li> </ol>นำชัยชนะ ดีวิภมร ขันธะหัตถ์นิเทศ ติณนะกุล
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
2025-04-302025-04-3019194113นวัตกรรมการบริการทางการเงินตามหลักการ ECRS+IT สำหรับสวัสดิการข้าราชการกรมพลาธิการทหารบก
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/277391
<p> การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาความต้องการบริการทางการเงินสำหรับสวัสดิการข้าราชการกรมพลาธิการทหารบก (2) ถอดบทเรียนสำหรับการออกแบบกระบวนการการบริการทางการเงินตามหลักการ ECRS<sup>+IT</sup> สำหรับสวัสดิการข้าราชการกรมพลาธิการทหารบก 3) สร้างนวัตกรรมการบริการทางการเงินตามหลักการ ECRS<sup>+IT</sup> สำหรับสวัสดิการข้าราชการ กรมพลาธิการทหารบก 4) ประเมินคุณภาพและการนำไปใช้ประโยชน์ของนวัตกรรมการบริการทางการเงินตามหลักการ ECRS<sup>+IT</sup> สำหรับสวัสดิการข้าราชการกรมพลาธิการทหารบก วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ประชากร คือ ข้าราชการกรมพลาธิการทหารบก กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 16 คน วิธีแบบเจาะจงกลุ่มเป้าหมาย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ 1) แบบสัมภาษณ์ 2) แบบคำถามเพื่อการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลโดย 1) วิเคราะห์เอกสาร 2) ตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้า 3) วิเคราะห์โดยใช้เทคนิค QDAT Knowledge ; 6’C.</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า</p> <p>1. ทราบความต้องการบริการทางการเงินสำหรับสวัสดิการข้าราชการกรมพลาธิการทหารบก คือ ความสะดวก การเข้าถึงได้ง่ายในการรับบริการ เจ้าหน้าที่ตอบข้อซักถามต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจนและแก้ปัญหาให้ได้ อีกทั้งยังสามารถตรวจสอบและติดตามข้อมูลผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้ เพื่อผลลัพธ์ที่ได้คือการได้รับเงินอย่างรวดเร็วและถูกต้อง</p> <p>2. มีกระบวนการการบริการทางการเงินตามหลักการ ECRS<sup>+IT</sup> สำหรับสวัสดิการข้าราชการกรมพลาธิการทหารบก โดย 1) การลดขั้นตอน (Eliminate) 2) การรวมขั้นตอน (Combine) ซึ่งควรนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) เข้ามาช่วย 3) การจัดลำดับงานใหม่ (Rearrange) และ 4) การทำให้ง่าย (Simplify) ซึ่งควรนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) เข้ามาช่วย</p> <p>3. มีรูปแบบนวัตกรรมการบริการทางการเงินตามหลักการ ECRS<sup>+IT</sup> สำหรับสวัสดิการข้าราชการกรมพลาธิการทหารบก ที่มีคุณสมบัติ 5’S Financial Service Innovation คือทำให้เกิด 1) ความเป็นระบบที่ชัดเจน (Systematic) มากยิ่งขึ้น 2) ทำให้เกิดความง่ายทั้งผู้ให้บริการและผู้รับบริการ (Simplicity) มากยิ่งขึ้น 3) สามารถลดขั้นตอนการทำงานและเกิดความรวดเร็ว คล่องตัว (Speed) มากยิ่งขึ้น 4) สร้างความพึงพอใจทั้งผู้ให้บริการและผู้รับบริการ (Satisfied) มากยิ่งขึ้น และ 5) ทำให้เกิดความประหยัด (Save) มากยิ่งขึ้น</p> <p>4. ผลการประเมินคุณภาพและการนำไปใช้ประโยชน์ของนวัตกรรมมีค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยใช้ตัวชี้วัด 4 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านความถูกต้อง (Accuracy) 2) ด้านความมีคุณภาพ (Quality) 3) ด้านความเป็นไปได้ (Possibility) และ 4) ด้านอรรถประโยชน์ (Utility)</p>สุดาวดี บูรณะสุคนธ์กนกพร ภาคีฉายจิดาภา เร่งมีศรีสุข
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
2025-04-302025-04-30191114126ปัจจัยที่มีผลต่อกระบวนการตัดสินใจเข้ารับบริการโรงพยาบาลเอกชนในจังหวัดลำปาง
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/278868
<p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาระดับของคุณภาพการบริการ ส่วนประสมทางการตลาด และกระบวนการตัดสินใจเข้ารับบริการโรงพยาบาลเอกชนในจังหวัดลำปาง (2) ศึกษาปัจจัยคุณภาพการบริการที่มีผลต่อกระบวนการตัดสินใจเข้ารับบริการโรงพยาบาลเอกชนในจังหวัดลำปาง (3) ศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่มีผลต่อกระบวนการตัดสินใจเข้ารับบริการโรงพยาบาลเอกชนในจังหวัดลำปาง งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้รับบริการของโรงพยาบาลเอกชนในจังหวัดลำปาง จำนวน 400 คน วิธีสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการวิจัย สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การวิเคราะห์สมการถดถอยพหุคูณแบบเอนเทอร์ กำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ปัจจัยคุณภาพการบริการ ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด และกระบวนการตัดสินใจ ผลการศึกษาอยู่ในระดับความสำคัญมากที่สุด</li> <li>ปัจจัยคุณภาพการบริการมีผลต่อกระบวนการตัดสินใจเข้ารับบริการโรงพยาบาลเอกชนในจังหวัดลำปาง มี 4 ด้าน ได้แก่ ด้านความน่าเชื่อถือในการให้บริการ ด้านการตอบสนองในการให้บริการ ด้านความเชื่อมั่นในการให้บริการ และด้านความเห็นอกเห็นใจผู้รับบริการ</li> <li>ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่มีผลต่อกระบวนการตัดสินใจเข้ารับบริการโรงพยาบาลเอกชนในจังหวัดลำปาง มี 5 ด้าน ได้แก่ ด้านการบริการทางการแพทย์ ด้านการส่งเสริมการตลาด ด้านบุคลากร ด้านลักษณะทางกายภาพ และด้านกระบวนการ</li> </ol> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) ปัจจัยคุณภาพการบริการ ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด และกระบวนการตัดสินใจ ผลการศึกษาอยู่ในระดับความสำคัญมากที่สุด</p> <p> 2) ปัจจัยคุณภาพการบริการมีผลต่อกระบวนการตัดสินใจเข้ารับบริการโรงพยาบาลเอกชนในจังหวัดลำปาง มี 4 ด้าน ได้แก่ ด้านความน่าเชื่อถือในการให้บริการ ด้านการตอบสนองในการให้บริการ ด้านความเชื่อมั่นในการให้บริการ และด้านความเห็นอกเห็นใจผู้รับบริการ</p> <p><strong> </strong>3) ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่มีผลต่อกระบวนการตัดสินใจเข้ารับบริการโรงพยาบาลเอกชนในจังหวัดลำปาง มี 5 ด้าน ได้แก่ ด้านการบริการทางการแพทย์ ด้านการส่งเสริมการตลาด ด้านบุคลากร ด้านลักษณะทางกายภาพ และด้านกระบวนการ</p>เชษฐา เกินหน้านลินฉัตร์ ธราสิริวีรภัทรฟ้าวิกร อินลวง
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
2025-04-302025-04-30191127141การบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานเครือข่ายการพัฒนาหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขาวิชาชีพครู มหาวิทยาลัยพิษณุโลก
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/283960
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาและเปรียบเทียบความคิดเห็นของบุคลากรในสถานศึกษาที่มีต่อการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานเครือข่ายการพัฒนาหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขาวิชาชีพครู มหาวิทยาลัยพิษณุโลก (2) ประเมินและเปรียบเทียบผลการประเมินสมรรถนะทางวิชาชีพครูของนักศึกษาฝึกปฏิบัติการสอน โดยบุคลากรในสถานศึกษาเครือข่ายการพัฒนาหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขาวิชาชีพครู มหาวิทยาลัยพิษณุโลก ประชากร คือ บุคลากรในสถานศึกษาเครือข่ายฯ 120 แห่ง แห่งละ 2 คน รวม 240 คน กลุ่มตัวอย่างมีจำนวน 148 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตาราง เครซี่และมอร์แกน และการสุ่มตัวอย่างแบบแบบง่ายโดยจับฉลากเลือกสถานศึกษาเครือข่าย 74 แห่ง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบที ความแปรปรวนทางเดียว และทำการทดสอบความแตกต่างเป็นรายคู่โดยวิธีการของเชฟเฟ่ </p> <p> ผลการวิจัยพบว่า </p> <ol> <li>การบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานเครือข่ายการพัฒนาหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขาวิชาชีพครู มหาวิทยาลัยพิษณุโลก โดยภาพรวมและรายด้านทุกด้านมีการปฏิบัติระดับมากที่สุด ด้านที่มีการปฏิบัติสูงสุด ได้แก่ ด้านการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ด้านที่มีการปฏิบัติต่ำสุด ได้แก่ ด้านการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ เมื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นของ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูวิชาการ/หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ พบว่า ในภาพรวมมีความคิดเห็นไม่แตกต่างกัน</li> <li>ผลการประเมินสมรรถนะทางวิชาชีพครูของนักศึกษา หลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขาวิชาชีพครู มหาวิทยาลัยพิษณุโลก พบว่า ในภาพรวมและรายด้านทุกด้าน อยู่ในระดับมากที่สุด ด้านที่มีผลการประเมินสูงสุด ได้แก่ สมรรถนะทางวิชาชีพครูด้านการปฏิบัติหน้าที่ครูและจรรยาบรรณของวิชาชีพ สมรรถนะที่มีผลการประเมินต่ำสุด ได้แก่ สมรรถนะทางวิชาชีพครูด้านการสร้างความสัมพันธ์กับชุมชนและผู้ปกครอง เมื่อเปรียบเทียบผลการประเมินของบุคลากรในสถานศึกษา พบว่า ในภาพรวมมีผลการประเมินไม่แตกต่างกัน</li> </ol>สมลักษณ์ พรหมมีเนตรไพโรจน์ พรหมมีเนตรชูเกียรติ เต็งไตรสรณ์
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
2025-04-302025-04-30191142157การพัฒนาระบบการจัดเก็บหนี้ภาษีอากรค้างด้วยนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ของกรมสรรพากร
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/277560
<p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการจัดเก็บหนี้ภาษีอากรค้างของกรมสรรพากร (2) พัฒนากระบวนการจัดเก็บหนี้ภาษีอากรค้างของกรมสรรพากรให้มีประสิทธิภาพ และ (3) เพื่อพัฒนาระบบการจัดเก็บหนี้ภาษีอากรค้างด้วยระบบนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ของกรมสรรพากร เป็นการวิจัยผสมผสาน ระหว่างเชิงปริมาณ ด้วยวิธีการสอบถาม และเชิงคุณภาพ ด้วยวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกและการสนทนากลุ่มย่อย โดยมีกลุ่มตัวอย่างเชิงปริมาณ จำนวน 400 คน เป็นผู้ที่มีหนี้ภาษีค้างกับทางกรมสรรพากร และมีกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 9 คน และผู้ร่วมสนทนากลุ่ม จำนวน 7 คน รวมทั้งสิ้น 416 คน</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า</p> <p> 1. ปัจจัยที่มีผลต่อการจัดเก็บหนี้ภาษีอากรค้างของกรมสรรพากร ประกอบด้วย ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายและภาษีอากร สภาวการณ์ทางเศรษฐกิจความไม่ยุติธรรมในการเสียภาษีอากร ช่องโหว่ของกฎหมาย และบทบัญญัติและบทลงโทษของกฎหมายภาษีอากร</p> <p> 2. <span style="font-size: 0.875rem;">องค์ประกอบที่สำคัญต่อการพัฒนาระบบการจัดเก็บหนี้ภาษีอากรค้างด้วยระบบเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ของกรมสรรพากร ได้แก่ 1) ปัญหาและอุปสรรคของระบบจัดเก็บหนี้ภาษีอากรค้าง 2) แนวทางหรือวิธีการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคของระบบจัดเก็บหนี้ภาษีอากรค้าง 3) ปัจจัยที่มีผลต่อการจัดเก็บหนี้ภาษีอากรค้างของกรมสรรพากร 4) การพัฒนาระบบจัดเก็บหนี้ภาษีอากรค้าง และ 5) การนำนวัตกรรมระบบจัดเก็บหนี้ภาษีอากรค้าง</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;"> 3. การพัฒนาระบบการจัดเก็บหนี้ภาษีอากรค้างด้วยระบบเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ของกรมสรรพากร ได้แก่ 1) ความสำนึกในหน้าที่ของการเสียภาษีอากร 2) ลักษณะชองกฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร 3) ประสิทธิภาพของพนักงานผู้จัดเก็บภาษี 4) บรรยากาศที่เอื้ออำนวยให้ปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร 5) โครงสร้างภาษีอากร และ 6) การนำนวัตกรรมระบบการจัดเก็บภาษีอากรค้างมาใช้</span></p>ภัทรพล เพ็งแจ่มสมพงษ์ พิพัฒน์เอกสกุลนภัทร์ แก้วนาค
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
2025-04-302025-04-30191158173กลยุทธ์การตลาดและการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันส่งผลต่อประสิทธิภาพองค์กรของผู้ประกอบการธุรกิจรับเหมาก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยในจังหวัดพิจิตร
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/276844
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษากลยุทธ์การตลาดส่งผลต่อประสิทธิภาพองค์กรของผู้ประกอบการธุรกิจรับเหมาก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยในจังหวัดพิจิตร และ (2) เพื่อศึกษาการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันส่งผลต่อประสิทธิภาพองค์กรของผู้ประกอบการธุรกิจรับเหมาก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยในจังหวัดพิจิตร วิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากร คือ ผู้ประกอบการธุรกิจรับเหมาก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยในจังหวัดพิจิตร จำนวน 472 ราย กลุ่มตัวอย่าง 214 ราย โดยใช้วิธีสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้วิธีทางสถิติในการช่วยวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่สถิติความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1. กลยุทธ์การตลาดส่งผลต่อประสิทธิภาพองค์กรของผู้ประกอบการธุรกิจรับเหมาก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยในจังหวัดพิจิตร ในด้านการนำเสนอทางกายภาพ และด้านกระบวนการให้บริการอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> <p> 2. การสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันส่งผลต่อประสิทธิภาพองค์กรของผู้ประกอบการธุรกิจรับเหมาก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยในจังหวัดพิจิตร ในด้านการสร้างความแตกต่าง ด้านการเป็นผู้นำด้านต้นทุนต่ำ และด้านการมุ่งเน้นเฉพาะกลุ่ม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>ปิยะพงษ์ ขำหรุ่นพงศกร เอี่ยมสอาด
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
2025-04-302025-04-30191174190Learning achievement and satisfaction on Chinese reading using cooperative learning of grade 3 primary students at Guangxi Chongzuo Primary School
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/277245
<p>The purposes of this research were: 1) to compare learning achievements on Chinese reading between pre-test and post-test using cooperative learning 2) to compare learning achievements on Chinese reading using cooperative learning between post-test and 75% of the criteria 3) to study students’ satisfaction on Chinese reading Using cooperative learning. The Sample was 30 grade 3 primary students at Guangxi Chongzuo Primary School, conducted by cluster random sampling. The research design was one group pre test post test design. The instruments used for collecting data consisted of: 1) The lesson plan 2) an achievement test 3) the satisfaction questionnaire The statistics used to analyze the data were mean (), standard deviation (S.D.) and t-test dependent.</p> <p> The results of the research were:</p> <ol> <li>Post-test learning achievements on Chinese reading was higher statistically significant than pre-test at 0.05</li> <li>Post-test learning achievements on achievements on Chinese reading Using cooperative learning. was higher statistically significant than 75% of the criteria at 0.05 3. The students’ satisfaction on Chinese listening using Cooperative Learning was at the highest level.</li> </ol>Kai DuSuthiporn Boonsung
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
2025-04-302025-04-30191191201Interval Number Comprehensive Evaluation Model for Assessing the Economic Strength of Guangxi City, China
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/275216
<p>This study employs an Interval Number Comprehensive Evaluation Model to assess the comprehensive economic strength of fourteen cities in Guangxi, China, including Nanning, Liuzhou, Guilin, Wuzhou, Beihai, Fang Chenggang, Qinzhou, Guigang, Yulin, Baise, Hezhou, Hechi, Laibin, and Chongzuo. Evaluation criteria encompass the overall economic scale, industrial structure, infrastructure, living standards, and education/health levels. The research adheres to principles of scientificity, conciseness, feasibility, and applicability in constructing an evaluation indicator system.</p> <p>The results were indicated that Nanning, Liuzhou, and Guilin as the top three cities in terms of comprehensive economic strength during the '13th Five-Year Plan,' with corresponding interval values [0.0502, 0.0688], [0.1999, 0.2653], and [0.2236, 0.3225]. Cities with medium strength include Beihai, Yulin, Fangchenggang, Qinzhou, Guigang, and Wuzhou, exhibiting interval values between [0.2887, 0.5506]. Cities with weaker economic strength—Chongzuo, Laibin, Baise, Hezhou, and Hechi—show interval values between [0.4362, 0.7128], indicating lower development levels. The research contributes insights into the economic dynamics of Guangxi City, providing a nuanced understanding of its regional development.</p>Wei Kangliang
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
2025-04-302025-04-30191202215The Learning achievement and satisfaction on Thai listening skills for 2nd year students of Guangxi Vocational College students using Situational Teaching Method: a case study of Guangxi agricultural vocational and technical college
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/277187
<p>This study was aimed (1) to compare the students’ learning achievement on Thai listening skills using situational teaching method between pre-test and post-test. (2) to study students’ satisfaction on Thai Listening skills using situational teaching method. This research used nonequivalent control group posttest only design. The sample group was one class, 23 students of second year students who studied Thai languages of Guangxi Vocational College, selected by simple random sampling. The research instruments were 1) the lesson plan for teaching Thai listening skills using Situational Teaching Method, with the average of efficiency at 4.90, 2) the learning achievement test with the IOC 0.60-1.00, 3) The questionnaires of students’ satisfaction towards Situational teaching method and 4) an interviewing form. Data analysis involved the use of mean, standard deviation, percentage and t-test.</p> <p> The research findings indicated as the following:</p> <ol> <li>The students’ learning achievement on Thai listening skills using the situational teaching method of post-test was higher than pre-test with statistically significant at 0.01 level.</li> <li>The students’ satisfaction on Thai listening skills using the situational teaching method in total was at high percentage of their opinion in each part, except the teaching difficulty was at the moderate; as following respectively; teaching effectiveness 60.87%, teaching content 56.52%, teaching method 52.17% and teaching difficulty 39.13%.</li> </ol>Bo ZhaoSirikarn Thanawutpornphinit
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
2025-04-302025-04-30191216228The Learning Achievement and Satisfaction on Language Expression Using Situational Teaching Method of Sophomore Majoring in Tourism Management of Guangxi Agricultural Vocational and Technical University
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/277188
<p> The objectives of this research were (1) to compare pre-test and post-test learning achievement, (2) to compare post-test with 75% criteria, and 3)to study students’ satisfaction on language expression using Situational teaching method. The sample group was 21 students from two classes of tourism management in grade 2 of Guangxi Agricultural Vocational and Technical University in 2021, which was conducted by simple random sampling. The research design was one group pre-test post-test design. Research tools were included of 1) management plans using situational teaching method to cultivate students' language expression ability, 2) 30 questions for the achievement test, and 3) The satisfaction survey form. The statistics used for data analysis were mean, percentage, standard deviation, and t-test.</p>Min TengSirikarn Thanawutpornphinit
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
2025-04-302025-04-30191229241Development of Learning Achievement and Satisfaction on English Speaking of Chinese Second-Year College Students of Guangxi Polytechnique of STAD Cooperative Learning Technique
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/277189
<p> The purposes of this study were (1) to compare learning achievement on English speaking between pre-test and post-test (2) to compare learning achievement on English speaking with the 75% criteria (3) to study students’ satisfaction on English speaking using STAD The samples were the 2nd-year English majors students Guangxi Polytechnic of Construction, the second semester of the academic year 2023, which are 23 students who were conducted by simple random sampling. The research design was one group pre-test post-test design. The research instruments are 1) learning management plan, which has the means of quality at the average of 4.90 2) achievement test which has the reliability at 0.80 3) satisfaction evaluation form, which has the IOC value between 0.60-1.00 4) the data was collected by using mean ( ), standard deviation (S.D.), percentage and t-test</p> <p> The research findings were as follow:</p> <ol> <li>The post-test score was higher than the pre-test score at 0.01 level</li> <li>The post-test score was significantly higher than the 75% standard at 0.01 level.</li> <li>The Students are satisfied with learning English speaking using STAD at the highest level. (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 4.82)</li> </ol>Ting LanSirikarn Thanawutpornphinit
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
2025-04-302025-04-30191242254ความผูกพันต่อองค์ของบุคลากรทางการศึกษาของโรงเรียนลำพูน อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/279214
<p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความผูกพันของบุคลากรทางการศึกษาต่อโรงเรียนลำพูน กรณีศึกษาโรงเรียนลำพูนพัฒนา อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน 2) ศึกษาปัจจัยส่วนบุคคลที่มีผลต่อความผูกพันของโรงเรียนลำพูน 3) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความผูกพันของของโรงเรียนลำพูน ซึ่งกลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ บุคลากรทางการศึกษา ในโรงเรียนลำพูนพัฒนา อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน จำนวน 62 คน มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.95 โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิสหสัมพันธ์ และการวิเคราะห์ถดถอย</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า</p> <ol> <li>ระดับความผูกพันของของบุคลากรทางการศึกษาของโรงเรียนลำพูน อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน โดยรวมอยู่ในระดับมากเมื่อพิจารณารายด้านอยู่ในระดับมากทุกด้าน เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยคือ ด้านความรู้สึก ด้านความคงอยู่กับองค์กร และด้านบรรทัดฐาน ตามลำดับ</li> <li>ปัจจัยที่ส่งผลต่อความผูกพันต่อองค์กรของครูและบุคลากรทางการศึกษาในโรงเรียนลำพูน อำเภอลำพูน จังหวัดลำพูน เมื่อจำแนกตามเพศ อายุ ระดับการศึกษา ตำแหน่ง ระยะเวลาในการปฏิบัติงาน มีความผูกพันต่อองค์กร ไม่แตกต่างกัน ด้านจำแนกตามอายุ และสถานภาพมีความผูกพันต่อองค์กรของครูของโรงเรียนลำพูน อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> <li>ปัจจัยที่ส่งผลต่อความผูกพันของบุคลากรทางการศึกษาของโรงเรียนลำพูน อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูนตัวแปรปัจจัยที่ส่งผลต่อความผูกพันของของโรงเรียนลำพูน กรณีศึกษาโรงเรียนลำพูนพัฒนา อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จำนวน 3 ตัว คือด้านสภาพการทำงานและความมั่นคง (X9) มีอิทธิพลในทิศทางบวก มีขนาด .049 ด้านการปกครองบังคับบัญชา (X7) มีอิทธิพลในทิศทางลบ มีขนาด -.006 ด้านนโยบายและการบริหาร (X6) มีอิทธิพลในทิศทางลบ มีขนาด-.048 ซึ่งสามารถเขียนเป็นสมการพยากรณ์ความผูกพันของของโรงเรียนลำพูน กรณีศึกษาโรงเรียนลำพูนพัฒนา อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน ในรูปคะแนนดิบและคะแนนมาตรฐานตามลำดับดังนี้ Y = 0.028 + 0.049X<sub>9</sub> - 0.006X<sub>7</sub> - 0.048X<sub>6 </sub>Z<sub>Y </sub> = 0.066Z<sub>9</sub> - 0.007Z<sub>7 </sub> - 0.057Z<sub>6</sub></li> </ol>คชภัค มหาพรหมวันสิรินี ว่องวิไลรัตน์วลัยลักษณ์ พันธุรี
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
2025-04-302025-04-30191255266แนวทางการสร้างความภักดีต่อตราสินค้าประเภทเบเกอรี่ กรณีศึกษา ศิริปันนาเบเกอรี่ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/279217
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ในการวิจัย (1) ศึกษาระดับความคิดเห็นปัจจัยด้านส่วนประสมทางการตลาดของร้านศิริปันนาเบเกอรี่ จังหวัดเชียงใหม่ (2) ศึกษาปัจจัยด้านคุณค่าตราสินค้าของผู้ซื้อสินค้าประเภทเบเกอรี่ ศิริปันนาเบเกอรี่ จังหวัดเชียงใหม่ (3) ศึกษาระดับความภักดีของผู้บริโภคต่อตราสินค้าประเภทเบเกอรี่ ศิริปันนาเบเกอรี่ จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้ที่ซื้อหรือเคยซื้อผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ของร้าน ศิริปันนาเบเกอรี่ จังหวัดเชียงใหม่ โดยใช้วิธีวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ที่เคยซื้อผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ ศิริปันนาเบเกอรี่ ในเขตจังหวัดเชียงใหม่ จํานวน 400 คน ใช้วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบไม่อาศัยความน่าจะเป็น (Non-Probability sampling) โดยการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบโควตา (Quota sampling) สถิติวิเคราะห์ข้อมูลคือความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ปัจจัยด้านส่วนประสมทางการตลาดของร้านศิริปันนาเบเกอรี่ ด้านคุณค่าตราสินค้าของผู้ซื้อสินค้าประเภทเบเกอรี่ ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก หากพิจารณารายด้าน พบว่าด้านราคามีค่าระดับความคิดเห็นมากที่สุด ด้านราคา รองลงมาคือด้านบุคลากร ด้านส่งเสริมการตลาด ด้านสภาพแวดล้อมทางกายภาพ ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านกระบวนการ และ ด้านช่องทางจัดจำหน่าย ตามลำดับ</li> <li>ปัจจัยด้านคุณค่าตราสินค้าของผู้ซื้อสินค้าประเภทเบเกอรี่ : ศิริปันนาเบเกอรี่ จังหวัดเชียงใหม่ ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก หากพิจารณารายด้านพบว่า ด้านที่ค่าสูงที่สุดคือ ด้านคุณภาพที่รับรู้ รองลงมาคือ ความภักดีด้านพฤติกรรม ด้านการเชื่อมโยงตราสินค้า ความภักดีด้านทัศนคติ ด้านการรู้จักตราสินค้า ตามลำดับ</li> <li>ความจงรักภักดีต่อของผู้บริโภคต่อตราสินค้าประเภทเบเกอรี่ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จำนวน 5 ตัว คือ (X5) ด้านบุคลากร มีขนาด .000 ด้านสภาพแวดล้อม (X6) มีอิทธิพลในทิศทางบวก มีขนาด .779 (X2) ด้านราคา มีขนาด .254 มีอิทธิพลในทิศทางบวก (X7) ด้านกระบวนการ มีขนาด .068 มี อิทธิพลในทิศทางบวก และด้านส่งเสริมทางการตลาด (X4) มีอิทธิพลในทิศทางลบ มีขนาด -.443 (X1) ด้านผลิตภัณฑ์มีขนาด -.180 สามารถเขียนเป็นสมการพยากรณ์ความจงรักภักดีต่อตราสินค้าประเภทเบเกอรี่ ในรูปคะแนนดิบและคะแนนมาตรฐานตามลำดับดังนี้ Y = 0.157 + 0.369X9 + 0.339X8 + 0.193X6 – 0.239X7 ZY = 0.427Z9 + 0.402Z8 + 0.311Z6 – 0.406Z7</li> </ol>วรเวช วิทยะสิรินี ว่องวิไลรัตน์วลัยลักษณ์ พันธุรี
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
2025-04-302025-04-30191267277การศึกษาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ที่ส่งผลต่อประสิทธิผลด้านงานกิจการนักเรียนนักศึกษาของผู้บริหารวิทยาลัยในสังกัดอาชีวศึกษาจังหวัดนครราชสีมา
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/279252
<p>การวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ 2) เพื่อศึกษาประสิทธิผลด้านงานกิจการนักเรียนนักศึกษา และ 3) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ที่ส่งผลต่อประสิทธิผลด้านงานกิจการนักเรียนนักศึกษา กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน และเจ้าหน้าที่ธุรการงานฝ่ายพัฒนากิจการนักเรียนนักศึกษาของวิทยาลัยในสังกัดอาชีวศึกษาจังหวัดนครราชสีมา ปีการศึกษา 2566 จำนวน 250 คน โดยใช้การสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม ค่าความเที่ยงตรงทุกข้ออยู่ระหว่าง 0.60-1.00 และค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.993 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์สมการถดถอยพหุคูณแบบเป็นขั้นตอน ผลการศึกษาพบว่า</p> <ol> <li class="show">ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ ภาพรวม มีภาวะผู้นำอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า การทำงานเป็นทีม มีภาวะผู้นำสูงสุดเป็นอันดับแรก โดยมีภาวะผู้นำอยู่ในระดับมาก รองลงมา ได้แก่ การมีความคิดสร้างสรรค์ การคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล การมีความยืดหยุ่นและปรับตัว และการมีวิสัยทัศน์ โดยมีภาวะผู้นำอยู่ในระดับมาก ตามลำดับ</li> <li class="show">ประสิทธิผลด้านงานกิจการนักเรียนนักศึกษา ภาพรวม มีประสิทธิผลอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า งานโครงการพิเศษและบริการชุมชน มีประสิทธิผลสูงสุดเป็นอันดับแรก โดยมีประสิทธิผลอยู่ในระดับมาก รองลงมา ได้แก่ งานแนะแนวอาชีพและจัดหางาน งานกิจกรรมนักเรียนนักศึกษา งานสวัสดิการนักเรียนนักศึกษา งานปกครอง และงานครูที่ปรึกษา โดยมีประสิทธิผลอยู่ในระดับมาก ตามลำดับ</li> <li class="show">ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ การมีวิสัยทัศน์ การคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล การมีความคิดสร้างสรรค์ และการทำงานเป็นทีมที่ส่งผลทางบวกต่อประสิทธิผลด้านงานกิจการนักเรียนนักศึกษา ของผู้บริหารวิทยาลัยในสังกัดอาชีวศึกษาจังหวัดนครราชสีมา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และ 0.05 โดยมีค่าสัมประสิทธิ์การพยากรณ์ (R<sup>2</sup> = 0.843) ร้อยละ 84.30</li> </ol>มีนวัชร์ จินากูลมานะ สินธุวงษานนท์ชุติมา พรหมผุย
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
2025-04-302025-04-30191278291รูปแบบการบริหารงานบุคคลที่มีประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/276887
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารงานบุคคลที่มีประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สร้างรูปแบบการบริหารงานบุคคลที่มีประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และประเมินรูปแบบการบริหารงานบุคคลที่มีประสิทธิผลของสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 205 คน เครื่องมือเป็นแบบสอบถามสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ มีค่าความเชื่อมั่น 0.95 และ 0.95 ตามลำดับ วิเคราะห์หาค่าเฉลี่ยและค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน ตอนที่ 2 การสร้างรูปแบบการบริหารงานบุคคลที่มีประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จัดสนทนากลุ่มโดยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 7 คน เครื่องมือคือร่างรูปแบบและเอกสาร และตอนที่ 3 การประเมินรูปแบบการบริหารงานบุคคลที่มีประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ประเมินความเหมาะสมโดยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 7 คน เครื่องมือเป็นแบบประเมินความเหมาะสมของรูปแบบ ประเมินความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์ กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 35 คน เครื่องมือเป็นแบบประเมินความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์ วิเคราะห์</p> <p>หาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า สภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ โดยรวมอยู่ในระดับมากทั้ง 2 และมีความต้องการจำเป็นในด้านการสรรหาและการคัดเลือก ด้านการพัฒนาบุคลากร และด้านการประเมินผลการปฏิบัติงาน 2) รูปแบบการบริหารงานบุคคลที่มีประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา 5 องค์ประกอบ ได้แก่ หลักการและเหตุผล วัตถุประสงค์ สาระสำคัญ ประกอบด้วย (1) การสรรหาและการคัดเลือก (2) การกฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร 5) โครงสร้างภาษีอากร และ 6) การนำนวัตกรรมระบบการจัดเก็บภาษีอากรค้างมาใช้พัฒนาบุคลากร และ (3) การประเมินผลการปฏิบัติงาน การนำสู่การปฏิบัติ และเงื่อนไขความสำเร็จด้านการพัฒนาบุคลากร และด้านการประเมินผลการปฏิบัติงาน 2) รูปแบบการบริหารงานบุคคลที่มีประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา 5 องค์ประกอบ ได้แก่ หลักการและเหตุผล วัตถุประสงค์ สาระสำคัญ ประกอบด้วย (1) การสรรหาและการคัดเลือก (2) การพัฒนาบุคลากร และ (3) การประเมินผลการปฏิบัติงาน การนำสู่การปฏิบัติ และเงื่อนไขความสำเร็จ และ 3) รูปแบบการบริหาร งานบุคคลที่มีประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา โดยรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด มีความเป็นไปได้อยู่ในระดับมากและมีความเป็นประโยชน์อยู่ในระดับมากที่สุด</p>วารี เสถียรจัตุรัสวรสิทธิ์ รัตนวราหะ
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
2025-04-302025-04-30191292305การศึกษาพฤติกรรมและแรงจูงใจจากการใช้สื่อออนไลน์ในการตัดสินใจเดินทางมาท่องเที่ยวในพื้นที่อำเภอพบพระ จังหวัดตาก
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/277435
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) พฤติกรรมการใช้สื่อออนไลน์ของนักท่องเที่ยว (2) แรงจูงใจในการใช้สื่อออนไลน์ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเดินทางมาท่องเที่ยว และ (3) อิทธิพลของพฤติกรรมและแรงจูงใจจากการใช้สื่อออนไลน์ต่อการตัดสินใจเดินทางมาท่องเที่ยวในพื้นที่อำเภอพบพระ จังหวัดตาก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม ประชากรที่ใช้ในการศึกษา คือ นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาท่องเที่ยวในพื้นที่อำเภอพบพระ จำนวนกลุ่มตัวอย่าง 400 คน ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ สถิติเชิงพรรณนาประกอบด้วยการแจกแจงความถี่ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติเชิงอ้างอิงใช้การวิเคราะห์การถดถอยแบบพหุคูณ</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า</p> <ol> <li>นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มีพฤติกรรมการใช้สื่อออนไลน์ในการค้นหาและเปิดรับข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสถานที่ท่องเที่ยวโดยใช้ช่องทางออนไลน์ในการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม รวมถึงการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การท่องเที่ยวระหว่างกัน</li> <li>สื่อออนไลน์ช่วยให้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน และสามารถเข้าถึงข้อมูลของสถานที่ท่องเที่ยวได้ง่าย ซึ่งจะเป็นแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยวอยากเข้ามาค้นหาข้อมูลเพิ่มขึ้น โดยสื่อออนไลน์ จะช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ การรับรู้ การติดตาม และช่วยสร้างแรงจูงใจที่ดีให้กับนักท่องเที่ยว</li> <li>พฤติกรรมการค้นหาข้อมูล พฤติกรรมการเปิดรับข้อมูล และ พฤติกรรมการเปิดรับประสบการณ์ รวมถึง แรงจูงใจในการใช้สื่อออนไลน์ มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในพื้นที่อำเภอพบพระ จังหวัดตาก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.01</li> </ol>สุมลมาลย์ อรรถวุฒิชัยสมใจ วงค์เทียนชัยสุวัจนกานดา พูลเอียด เผด็จ ทุกข์สูญ
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
2025-04-302025-04-30191306319Symbiosis of Tradition and Innovation: An In-depth Examination of Thangka Cultural Transmission through the Lens of Regong Ethnic Culture Palace
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/275371
<p> This article aimed to study: (1) The innovative model of Regong Ethnic Culture Palace and its significance in the teaching and Thangka cultural heritage, delving into the fusion of traditional apprenticeship and modern administrative mechanisms; (2) The inherent relationship between Thangka, Tibetan Buddhism, and Tibetan culture, along with its contemporary societal implications; and (3) The role and value of digital dissemination in the propagation of Thangka’s intangible cultural nuances. The study centered around students and instructors of the Regong Ethnic Culture Palace, Thangka painters from the Regong region, local inhabitants, and tourists. They were selected using purposive sampling. Data collection instruments included questionnaires and interviews, with analysis conducted via descriptive statistics and content analysis. The findings revealed:</p> <ol> <li>A symbiosis of modern pedagogy and cultural tradition: The Regong Ethnic Culture Palace leveraged modern educational administrative procedures ensuring not only the continuation of Thangka’s cultural traditions but also a systematic and focused teaching methodology. This harmonious blend accentuates the urgency and necessity of cultural transmission in today’s society, providing students a comprehensive and standardized learning trajectory.</li> <li>An emphasis on skill and virtue: Integrating moral values within the skills training, highlighting Thangka as not merely an art form but also a cultural and spiritual practice. This “meditative practice through artistry” as pedagogical approach offers an immersive learning experience, deepening appreciation and propagation of the underlying cultural and religious essence.</li> <li>A Dual function of the Palace’s teaching model: While it provides holistic improvement for students, it also actively disseminates Thangka culture, establishing a robust cultural resonance</li> </ol>Haipeng YuThanaphan BoonyarutkalinYuqing Lei
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
2025-04-302025-04-30191320338Determinant Factors of E-commerce Adoption by SMEs in Napal
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/273942
<p class="1" style="text-align: justify; text-indent: 36.0pt;"><span style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif;">The purposes of this paper were to study the e-commerce environment within the SMEs sector in Nepal and to analyze the influence of each factor on adoption of e-commerce among SMEs. This research is mono methodology based (quantitative) where the researcher shall use survey questionnaire that will be asked to be completed or filled-out by company owners/managers. 95 percent confidence level for the equation, the required sample is calculated to be 400. The respondents are small and medium company owners, entrepreneurs, managers or CFOs in Kathmandu. As the quantitative method is being used to collect primary data, they will be calculated using SPSS software. The findings indicated that this analysis demonstrates that the size of the business, the involvement and innovativeness of the owner or manager, pressure from customers or suppliers, and technological readiness significantly influence e-commerce adoption among SMEs. These factors are crucial indicators that affect the decision-making of SMEs regarding whether or not to adopt e-commerce in their operations. Understanding these factors and applying them in strategic planning for e-commerce is essential for SMEs in Nepal. Being technologically prepared, fostering executive engagement, and responding to the needs and expectations of customers and suppliers are key factors that can help SMEs effectively embrace and succeed with e-commerce.</span></p> <p class="1" style="text-align: justify; tab-stops: 36.0pt 53.85pt 72.0pt 89.85pt 107.75pt;"><strong><span style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif; color: black;"> </span></strong></p>Pratikshya Tamang Sarana Photchanachan
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
2025-04-302025-04-30191339356ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกทำธุรกิจขายตรง กรณีศึกษา บริษัท ซูเลียน (ประเทศไทย) จำกัด
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/277472
<p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกทำธุรกิจขายตรง กรณีศึกษา บริษัท ซูเลียน (ประเทศไทย) จำกัด (2) เพื่อศึกษาการตัดสินใจเลือกทำธุรกิจขายตรง (3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยการจัดการขององค์กรที่สัมพันธ์ต่อการตัดสินใจเลือกทำธุรกิจขายตรง เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ สมาชิก บริษัท ซูเลียน (ประเทศไทย) จำกัด จำนวน 400 คน การเก็บรวบรวมข้อมูลโดยแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test F-test สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุแบบขั้นตอน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1.ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกทำธุรกิจขายตรง รวมทุกด้าน อยู่ในระดับมาก</p> <ol start="2"> <li>การตัดสินใจเลือกทำธุรกิจขายตรง รวมทุกด้าน โดยรวมอยู่ในระดับมาก</li> <li>ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยการจัดการขององค์กรที่สัมพันธ์ต่อการตัดสินใจเลือกทำธุรกิจขายตรง พบว่า ระดับการศึกษาต่างกัน รายได้ต่อเดือนต่างกัน มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกทำธุรกิจขายตรงทุกปัจจัย มีความสัมพันธ์ต่อการตัดสินใจเลือกทำธุรกิจขายตรงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์ ด้านศูนย์จำหน่ายสินค้าของธุรกิจ และด้านราคา สามารถทำนายการตัดสินใจเลือกทำธุรกิจขายตรง ร้อยละ 56.2 สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบ Y' = 1.517 + .191(X<sub>1</sub>) + .271(X<sub>3</sub>) + .213(X<sub>2</sub>) สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน Z = .265(X<sub>1</sub>) + .370(X<sub>3</sub>) + .313(X<sub>2</sub>)</li> </ol>ภูมิวรพล จุลล์จักรวงศานิธิมา ยืนยง
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
2025-04-302025-04-30191357369กลยุทธ์การจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมการเป็นผู้ประกอบการผ่านการบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่นสำหรับนักเรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/287269
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อวิเคราะห์สภาพปัจจุบัน ปัญหา และความต้องการในการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมการเป็นผู้ประกอบการโดยใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น สำหรับนักเรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2) เพื่อพัฒนากลยุทธ์การจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมการเป็นผู้ประกอบการผ่านการบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่น สำหรับนักเรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน (3) เพื่อทดลองใช้และประเมินประสิทธิผลของกลยุทธ์การจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมการเป็นผู้ประกอบการผ่านการบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่น สำหรับนักเรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ด้วยกระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การวิเคราะห์สภาพปัจจุบัน ปัญหาและความต้องการในการจัดการเรียนรู้ ระยะที่ 2 การพัฒนากลยุทธ์การจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมการเป็นผู้ประกอบการ และระยะที่ 3 การทดลองใช้และประเมินประสิทธิผลของกลยุทธ์การจัดการเรียนรู้ กลุ่มผู้ให้ข้อมูลมีจำนวน 6 กลุ่ม คือ ผู้บริหารโรงเรียน ครู ปราชญ์ท้องถิ่น ผู้ประกอบการ และนักเรียน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์เนื้อหาและทดสอบค่าที</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>1. หลักสูตรสถานศึกษาส่วนใหญ่ยังขาดการบูรณาการระหว่างการเป็นผู้ประกอบการกับ<br />ภูมิปัญญาท้องถิ่น การเรียนรู้ด้านภูมิปัญญามักเน้นการอนุรักษ์มากกว่าต่อยอดเชิงเศรษฐกิจ ขณะที่<br />ครูส่วนใหญ่ขาดทักษะในการสอนเพื่อส่งเสริมการเป็นผู้ประกอบการ ครูต้องการเทคนิคการสอนที่ชัดเจน นักเรียนต้องการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงกับชีวิตจริงและสร้างรายได้ในอนาคต ส่วนชุมชนต้องการให้สถานศึกษาสืบสานและพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่างสร้างสรรค์</li> <li>ผลการพัฒนากลยุทธ์การจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมการเป็นผู้ประกอบการผ่านการบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่น สำหรับนักเรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พบว่า มีกระบวนการในการส่งเสริมภายใต้กลยุทธ์ "เรียนรู้ สู่ธุรกิจ พิชิตนวัตกรรม บนฐานภูมิปัญญา" 4 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ 1) การบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่นกับหลักสูตร 2) การใช้กิจกรรมเชิงปฏิบัติการที่ส่งเสริมทักษะการเป็นผู้ประกอบการ 3) การสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างโรงเรียนและชุมชน และ 4) การพัฒนาปัจจัยสนับสนุนการเรียนรู้</li> <li>ผลการทดลองใช้และประเมินประสิทธิผลของกลยุทธ์การจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมการเป็นผู้ประกอบการผ่านการบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่น พบว่า นักเรียนมีความรู้เกี่ยวกับภูมิปัญญาท้องถิ่นและการเป็นผู้ประกอบการมากกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 โดยทักษะการเป็นผู้ประกอบการ รวมถึงมีเจตคติที่ดีต่อการอนุรักษ์และต่อยอดภูมิปัญญาอยู่ในระดับมาก ขณะที่ครูมีความสามารถในการจัดการเรียนรู้และพัฒนานวัตกรรมการสอนอยู่ในระดับมาก</li> </ol>อรณิชชา ทศตา ศิรินธร เอี๊ยบศิริเมธีวิศาล ภุชฌงค์ กชพร ใจอดทน
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
2025-04-302025-04-30191370386Revitalizing Financial Management: Challenges and Solutions at Guangxi Minzu Normal University
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/275215
<p>This research was aimed to reform the targeted financial management of Guangxi Normal University to be effective, which were 1) conduct a comprehensive analysis financial management processes 2) identify and thoroughly understand the challenges existing in each facet of the university's financial management system, 3) establish a holistic perspective on the overall financial management goals of the university, 4) propose and implement targeted optimizations for the identified issues in each aspect of financial management, 5) employ modern techniques to elevate the overall financial management standards and 6) provide actionable recommendations for improving the financial management. The sample were 375 persons work in Challenges and Solutions at Guangxi Minzu Normal University. The quantitative method was implemented in this study. The instrument used in this research was the 5 rating scale questionnaires, that has been approved by some experts who had relevant knowledge in this research topic. . After that brought the answer to test reliability coefficient with Cronbach’s Coefficient Alpha program which the reliability coefficients must not less than 0.70 is reliability by this research has 0.94 which is considering is reliability. The percentage, average value and standard deviation was used to analyze data.</p> <p>The results showed that;</p> <ol> <li>For restoring Financial Management, it was found that the Targeted financial</li> </ol> <p>management reform can provides practical guidance and promotes risk awareness among university stakeholders, facilitating professional development of financial personnel within the institution, which ultimately enhances the core competitiveness of the school.</p> <ol start="2"> <li>For the financial Management Challenges and Solutions, it was found that the university and other similar institutions can improve their financial management practices, achieve optimal performance results, and ultimately contribute to the broader objective of building a harmonious and prosperous educational institution based on the ideals of socialist modernization.</li> </ol>Yongling Wei
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
2025-04-302025-04-30191387396Research on the Design Factors of Digital Intangible Cultural Heritage Education Products based on Flow Theory
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/274996
<p> This research takes the design factors of digital intangible cultural heritage (ICH) education products as the research object, adopts the exploratory sequential mixed method and introduces the flow theory to try to identify the design factors that affect the learning experience, measure the weight of factors and the differences in the evaluation of factors by different levels of users. The results show that: (1) The factors influencing the learning experience of digital ICH education products are: ICH, teaching, function, operation, sensory and personalization; (2) The weights of the six factors influencing the learning experience are different, and the most important factors are operation and teaching; (3) There are some differences in the evaluation of factors by different levels of users. The significance of this study is to provide a basis for the construction of an evaluation system for the design of digital ICH education products, and further propose design strategies; In design practice, research results can be used to improve the learning experience of digital ICH education products.</p>Qingxiao XuPalpho Rodloytuk
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
2025-04-302025-04-30191388400การบริหารตามหลักธรรมาภิบาลกับการสร้างบรรยากาศองค์การของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา สมุทรปราการ เขต 1
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/276945
<p>การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการบริหารตามหลักธรรมาภิบาลโรงเรียน 2) ศึกษาระดับการสร้างบรรยากาศองค์การของผู้บริหารโรงเรียน และ 3) ศึกษาการบริหารตามหลักธรรมาภิบาลที่สัมพันธ์กับการสร้างบรรยากาศองค์การของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 327 คน เครื่องมือการวิจัยเป็นแบบสอบถามการบริหารตามหลักธรรมาภิบาลกับการสร้างบรรยากาศองค์การของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 มีลักษณะเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ได้ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม 0.98 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>การบริหารตามหลักธรรมาภิบาล อยู่ในระดับมากทั้งในภาพรวมและรายด้านทุกข้อ</li> <li>การสร้างบรรยากาศองค์การของผู้บริหารโรงเรียนอยู่ในระดับมาก ทั้งในภาพรวมและรายด้านทุกข้อ</li> <li>การบริหารตามหลักธรรมาภิบาลกับการสร้างบรรยากาศองค์การของผู้บริหารโรงเรียน มีความสัมพันธ์กันในเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</li> </ol>ชนชนก สืบพิมพ์สุนนท์ธนีนาฏ ณ สุนทร
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
2025-04-302025-04-30191401415Transformation of China's Guangxi Power Grid Company's power online marketing based on the application of digital means (taking Power Supply Company A as an example)
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/275217
<p>The study was aimed to assess the current state of digital marketing and customer satisfaction at Power Supply Company A. Identified issues include reliance on traditional marketing methods, low marketing service efficiency, inadequate use of digital marketing means, and the need to explore new business markets. The sample used was the Power Supply Company A. The survey research was used in the study. The instruments were the questionnaires of customer satisfaction evaluation. The data were collected utilizing PEST and SWOT analysis methods.</p> <p>The findings inform strategies for enhancing the company's marketing, emphasizing the application of digital technologies such as building a digital marketing platform, expanding digital platform business marketing, and exploring new business opportunities. This article holds significance in guiding the power marketing reform of Power Supply Company A, contributing to the improvement of the power marketing management system, strengthening core competitiveness, and enhancing economic and social benefits for Jingmen Power Supply Company.</p>Zhu Kaifang
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
2025-04-302025-04-30191416423Interpretation of the Connotation and Artistic Characteristics of Visible Cultural Forms of the She nationality in Eastern Fujian
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/274967
<p>The visible cultural forms of the She nationality in eastern Fujian is the cultural image visible in the culture of the She nationality in eastern Fujian. It has important visual characteristics, including material culture such as clothing, food, and shelter, as well as visible elements in spiritual culture such as writing, behavior, and art. It is an internal expression of the unique aesthetic taste of the She nationality and an external reflection of the value system. This article elaborates on the connotations and artistic characteristics of the visible cultural forms of the She nationality in eastern Fujian from three dimensions</p>Leiye RuanManoon Tho-ard
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
2025-04-302025-04-30191424436