วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc <p>วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา เป็นแหล่งรวบรวมวารสารทางวิชาการ ของวิทยาลัยนครราชสีมา มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแหล่งเผยแพร่ความรู้ทางด้านวิชาการและงานวิจัยแก่บุคคลทั่วไป และส่งเสริมการนำองค์ความรู้จากการวิจัยไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชน สังคม และประเทศชาติ</p> วิทยาลัยนครราชสีมา th-TH วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 1906-1056 <p><strong>จรรยาบรรณผู้เขียนบทความ</strong></p> <p><strong>&nbsp;</strong>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผู้เขียนบทความต้องรับรองว่าบทความนี้ไม่เคยตีพิมพ์ในวารสารใดหรือสิ่งพิมพ์อื่นๆ มาก่อน &nbsp;ต้องไม่คัดลอกผลงานผู้อื่นมาปรับแต่งเป็นบทความของตน และไม่ได้อยู่ระหว่างการเสนอเพื่อพิจารณาตีพิมพ์ อีกทั้งยอมรับหลักเกณฑ์การพิจารณาและการตรวจแก้ไขบทความต้นฉบับโดยกองบรรณาธิการวารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; บทความทุกเรื่องได้รับการตรวจพิจารณาทางวิชาการโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่มีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญตรงตามสาขาของบทความ ซึ่งผู้เขียนต้องแก้ไขตามคำแนะนำของผู้ทรงคุณวุฒิภายในระยะเวลาที่กำหนด หากไม่เป็นไปตามกำหนดกองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์และยกเลิกการตีพิมพ์โดยจะแจ้งให้ทราบต่อไป</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ข้อความที่ปรากฏในบทความของวารสารนี้เป็นความคิดเห็นของผู้เขียนซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับวิทยาลัยนครราชสีมาแต่อย่างใด และกองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาและตรวจประเมินบทความเพื่อตีพิมพ์ในวารสารของวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์</p> Research on Western Classical Piano Performance Based on the Perspective of Hermeneutics https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/271147 <p class="1" style="text-align: justify; text-justify: inter-cluster; text-indent: 36.0pt;"><span style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif;">In recent years, domestic scholars have further explored the interpretation of Western classical piano, and they focused on the musical works, as well as the theoretical significance of the methodology, arguing that the understanding and expression of the piano score is of great significance in the study of piano performance. Therefore, this paper takes Western classical piano performance as the research object, explains the performance of Western classical music based on the hermeneutic philosophy of music, and explores how to find the best way to perform in the secondary creation of piano performance by more closely fitting the creative intention and emotional expression of classical composers. This paper presents the development and evolution of hermeneutics in the field of music performance from the perspective of hermeneutics.</span></p> <p class="1" style="text-align: justify; text-justify: inter-cluster; text-indent: 36.0pt;"><span style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif;">The study of Western classical piano performance requires specific attention to first, it is necessary to sort out the academic background and development of hermeneutics, second, it is necessary to interpret the music texts of the classical Western piano's classical repertoire in terms of specific compositional structure and third, there is a need to explore the meaning and influence of contemporary piano performance, an issue that would involve, to some extent, the question of the shape of Western classical music. The western classical piano performance from the perspective of hermeneutics, including the form of western classical music, the characteristics of piano performance and the analysis of performance. We analyze the characteristics of classical piano music forms from the perspective of hermeneutics, such as the performance style, effects, and stylistic features of classical piano. In the performance of piano works, “scales” and “arpeggios” are not only an important cornerstone of the piano playing technique in the classical music period, but also the core of the whole piano music works.</span></p> Wandi Wang Palphol Rodloytuk Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 2024-04-30 2024-04-30 18 1 387 404 การเล่นที่เสริมสร้างทักษะสมอง EF สำหรับเด็กปฐมวัย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/273934 <p>การเล่นสำหรับเด็กปฐมวัยนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งที่ทุกฝ่าย เช่น ครูผู้สอน พ่อ แม่ ผู้ปกครอง ต้องร่วมมือช่วยเหลือ และสนับสนุนซึ่งกันและกัน โดยการเสริมสร้างทักษะสมอง EF ซึ่งครูผู้สอน พ่อ แม่ ผู้ปกครองสามารถนำมาจัดเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนการสอนและในวิถีการดำเนิน ชีวิตประจำวัน เด็กปฐมวัยจะได้รับการบ่มเพาะอบรมขัดเกลาอย่างค่อยเป็นค่อยไป และได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ผ่านการเล่นที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันของตนเองได้ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เน้นสถานการณ์ท้าทายที่เด็กปฐมวัยต้องแก้ปัญหาและวางแผนควบคุมอารมณ์ โดยมีเป้าหมาย เพื่อเสริมสร้างทักษะสมอง EF 5 ด้าน ได้แก่ ด้านการยั้งคิดไตร่ตรอง ด้านความจำเพื่อใช้งาน ด้านการยืดหยุ่นความคิด ด้านการควบคุมอารมณ์ และด้านการวางแผนจัดระบบดำเนินการ โดยทักษะสมอง EF ทั้ง 5 ด้านนี้จะเกิดขึ้นในขณะที่เด็กปฐมวัยได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้ผ่านการเล่นนั่นเอง</p> <p>การเล่นคือประสบการณ์และกิจกรรมทุกชนิดที่เกิดขึ้นด้วยความสมัครใจของเด็กปฐมวัยที่นอกจากจะให้ความสนุกสนานแล้วยังเป็นประสบการณ์การเรียนรู้ ซึ่งเป็นการช่วยให้เด็กปฐมวัยได้พัฒนาทักษะและการสร้างความสัมพันธ์ในทางสังคม เรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม เรียนรู้ที่จะใช้วัสดุเครื่องมือต่าง ๆ รู้จักหน้าที่ของตนเอง นอกจากนี้ยังสามารถช่วยสร้างเสริมกระบวนการพัฒนาการด้านต่าง ๆ ทั้ง 4 ด้าน ให้เด็กปฐมวัยได้อย่างเหมาะสมอีกด้วย</p> พัทฐรินทร์ โลหา Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 2024-04-30 2024-04-30 18 1 405 421 การบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬาและการออกกำลังกาย วิทยาลัยนอร์ทเทิร์น https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/276159 <p>&nbsp; &nbsp; การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับการบริหารแบบมีส่วนร่วม ระดับความเป็นองค์กรสมรรถนะสูงและศึกษาความสัมพันธ์ของการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารกับความเป็นองค์กรสมรรถนะสูงของหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬาและการออกกำลังกาย วิทยาลัยนอร์ทเทิร์น ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูของหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬาและการออกกำลังกาย วิทยาลัยนอร์ทเทิร์น โดยมีวิธีการกำหนดกลุ่มตัวอย่างจากการเปิดตารางของเครจซี่และมอร์แกน ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม เป็นแบบตรวจสอบรายการ และแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติบรรยาย ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (rxy) ของเพียร์สันผลการวิจัย พบว่า ระดับการบริหารแบบมีส่วนร่วมและระดับความเป็นองค์กรสมรรถนะสูงของผู้บริหารหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬาและการออกกำลังกาย วิทยาลัยนอร์ทเทิร์น โดยรวมอยู่ในระดับมาก การทดสอบสมมติฐานการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารกับความเป็นองค์กรสมรรถนะสูงของหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬาและการออกกำลังกาย วิทยาลัยนอร์ทเทิร์น มีความสัมพันธ์กัน ทางบวกในระดับค่อนข้างสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> นิตินัย สงวนศรี Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 2024-04-30 2024-04-30 18 1 1 12 การพัฒนารูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมในการลดการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ชุมชนสมบูรณ์พูนสุข จังหวัดลพบุรี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/272900 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนารูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมในการลดการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 2) ศึกษาผลการใช้รูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมในการลดการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างและแบบสังเกตแบบมีส่วนร่วม การวิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)ใช้วิธีวิจัยปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม กลุ่มเป้าหมายแบบเจาะจง ได้แก่ พระสงฆ์ ผู้นำชุมชน ผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่น แกนนำเครือข่ายและผู้ลงนามงดเหล้าเข้าพรรษาในชุมชนสมบูรณ์พูนสุข (นามสมมติ) จังหวัดลพบุรี ที่มีความประสงค์ลงนามงดเหล้าเข้าพรรษา จำนวน 33 คน ในปี พ.ศ.2564 และผู้ที่มีความประสงค์ลงนามงดเหล้าเข้าพรรษา ปี พ.ศ. 2565 จำนวน 99 คน</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. รูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมในการลดการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีองค์ประกอบ 6 ประการ ได้แก่ 1) เป้าหมายชัดเจน 2) สร้างความเชื่อมั่น 3) เสริมแรงกำลังใจ </span><span style="font-size: 0.875rem;">4) สร้างงานสร้างอาชีพ 5) วิเคราะห์ตนเอง และ 6) มีภาวะผู้นำ</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. ผลการใช้รูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมในการลดการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ </span><span style="font-size: 0.875rem;">คือ ระดับบุคคล ผู้ที่ลงนามงดเหล้าเข้าพรรษา มีความเข้าใจตนเองและรู้จักตนเอง วิเคราะห์ตนเองได้ </span><span style="font-size: 0.875rem;">มีความรักตนเองและเห็นคุณค่าในตนเอง ในระดับครอบครัว มีความพึงพอใจมาก ได้ความรัก </span><span style="font-size: 0.875rem;">ความอบอุ่นในครอบครัวคืนมา มีสัมพันธภาพที่ดี มีเงินออมและมีความสุขในครอบครัว และระดับชุมชน มีความรับผิดชอบ สามัคคี เสียสละและเป็นชุมชนต้นแบบที่เข้มแข็งเป็นแหล่งศึกษาดูงาน</span></p> จารุวรรณ แก่นทรัพย์ กาญจนมาโนชญ์ ขุนกอง Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 2024-04-30 2024-04-30 18 1 13 22 การพยากรณ์ยอดขายและการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดวางวัตถุดิบ กรณีศึกษา บริษัท ไทพลาส รีไซเคิล จำกัด https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/271630 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อเลือกรูปแบบการพยากรณ์ยอดขายเพื่อให้ทราบถึงแผนการผลิต 2) เพื่อศึกษาแนวทางในการจัดการพื้นที่การเก็บวัตถุดิบให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น 3) เพื่อลดเวลาในการหาวัตถุดิบ 4) เพื่อลดจำนวนวัตถุดิบที่เสียหาย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ PP ดำบด, PP ขาวบด, แม่สีขาวบด, PP ดำเม็ด, PP ขาวเม็ด, แม่สีขาวเม็ด เนื่องจากเป็นวัตถุดิบทที่มียอดขายสูงที่สุด</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า รูปแบบการพยากรณ์ที่เหมาะสมที่สุดคือ วิธีค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving average) เนื่องจากเป็นวิธีที่มีค่าความคลาดเคลื่อนต่ำที่สุด เพื่อหาวิธีการพยากรณ์จำนวนวัตถุดิบที่เหมาะสมเพื่อนำไปวางแผนการจัดพื้นที่การวางวัตถุดิบและปรับปรุงกระบวนการในการเบิกจ่ายวัตถุดิบให้เป็นไปตามแบบ FIFO ร่วมกับแนวคิด ECRS โดยใช้หลักการการทำให้ง่ายขึ้น (Simplify) เพื่อพิจารณาขั้นตอนการปฏิบัติงานที่ไม่มีประสิทธิภาพระยะทางก่อนปรับปรุงใช้ระยะทาง 1,270 เมตร และหลังปรับปรุงใช้ระยะทาง 410 เมตร ทำให้ระยะทางลดลง 860 เมตร หรือคิดเป็น 32.28 % และทำให้ระยะเวลาลดลง 21 นาที หรือคิดเป็น 5.02 % และพบว่าหลังจากการปรับปรุงรูปแบบการวางผังจัดเก็บวัตถุดิบแล้ว จากเดิมมีวัตถุดิบที่เสียหายจำนวน 64,389 กิโลกรัม หลังจากปรับปรุงแล้วทำให้ไม่มีจำนวนวัตถุดิบที่เสียหาย</p> เรน่า กาญจนกัญญา นันทิ สุทธิการนฤนัย สราวุธ จันทร์ผง ปิยะเนตร นาคสีดี ศิรินธร เอี๊ยบศิริเมธี Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 2024-04-30 2024-04-30 18 1 23 39 Baby Boomer Investment Decisions: Muang District, Nakhon Ratchasima, Thailand https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/271516 <p>This study is classified as descriptive research aimed at scrutinizing investment behaviors in the stock market among individuals from the baby boomer generation. Its focus lies on identifying personal determinants that influence these investment choices, specifically within service industry sectors listed on the Stock Exchange of Thailand. The research targets baby boomers residing in the Mueang District of Nakhon Ratchasima Province, born between 1946 to 1964, as its population and sample group. Given the absence of precise population figures, random sampling techniques were employed to ensure a representative sample in this non-probabilistic study. A quota sample of 400 individuals was selected. Data collection utilized a checklist questionnaire accompanied by a 5-level rating scale. Quantitative data underwent analysis employing descriptive statistics such as frequency, percentage, mean, and standard deviation, supplemented by statistical tests including the t-test and one-way ANOVA. The research findings indicated that, overall, the baby boomer generation in the Muang District of Nakhon Ratchasima Province exhibited a high level of inclination towards investment decisions in service industry sectors listed on the Stock Exchange of Thailand. A detailed examination of various facets influencing investment decision-making revealed consistently high scores across all aspects, encompassing securities, stock market dynamics, social and political factors, economic conditions, and other uncertainties. Furthermore, a comparative analysis of respondents' demographic characteristics such as gender, age, marital status, education level, average monthly income, and occupation unveiled no significant disparities concerning investment decisions on the Stock Exchange of Thailand. These conclusions were maintained at a significance level of 0.05.</p> Nunticha Pudjaiyo Prayoon Asakan Kajornatthapol Pongwiritthon Paktamon Siraaunpat Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 2024-04-30 2024-04-30 18 1 40 53 ผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมความคิดวิเคราะห์ของ นักศึกษาปริญญาตรี รายวิชา การเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/270900 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนาและหาประสิทธิภาพของแผนจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานเพื่อส่งเสริมความคิดวิเคราะห์ของนักศึกษาปริญญาตรี รายวิชา การเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ตามเกณฑ์ 75/75 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาที่เรียนด้วยแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานเพื่อส่งเสริมความคิดวิเคราะห์ของนักศึกษาปริญญาตรี รายวิชา การเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อการแผนจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานเพื่อส่งเสริมความคิดวิเคราะห์ของนักศึกษาปริญญาตรี รายวิชา การเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักศึกษาชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี ที่ลงทะเบียนเรียนในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 46 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน รายวิชา การเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ 2) แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแบบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ และ 3) แบบประเมินความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ สำหรับสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานเพื่อส่งเสริมความคิดวิเคราะห์ของนักศึกษาปริญญาตรี รายวิชา การเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ มีประสิทธิภาพเท่ากับ 75.14/76.96 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด 75/75</li> <li>ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การเรียนของผู้เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานเพื่อส่งเสริมความคิดวิเคราะห์ของนักศึกษาปริญญาตรี รายวิชา การเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ มีค่าเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน</li> <li>ความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานภาพรวมอยู่ในระดับมาก (= 4.02, S.D.= 0.69)</li> </ol> มีสิทธิ์ ชัยมณี นุชรัตน์ นุชประยูร Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 2024-04-30 2024-04-30 18 1 54 65 การประเมินประสิทธิภาพการเป็นศูนย์กลางท่าอากาศยานท่องเที่ยวในประเทศไทย ด้วยวิธีเทคนิคการวิเคราะห์เส้นห่อหุ้ม https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/275796 <p>วัตถุประสงค์การวิจัยครั้งนี้เพื่อ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการเป็นศูนย์กลางท่าอากาศยานท่องเที่ยวในสังกัดกรมท่าอากาศยาน 2) เพื่อประเมินประสิทธิภาพการเป็นศูนย์กลางท่าอากาศยานท่องเที่ยวในสังกัดกรมท่าอากาศยาน การวิจัยเป็นแบบเชิงปริมาณ โดยการเก็บข้อมูลแบบทุติภูมิ จากรายงานประจำปี เอกสาร การทวบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง มีกลุ่มประชากรคือ ท่าอากาศยานรองจำนวน 28 แห่ง ในสังกัดกรมท่าอากาศยาน กลุ่มตัวอย่าง คือ ท่าอากาศยานที่มีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางท่าอากาศยานท่องเที่ยว โดยใช้วิธี ABC Classification ในการคัดเลือกจากปริมาณผู้โดยสารที่เดินทางเข้าออกท่าอากาศยาน ปัจจัยนำเข้าที่ใช้ในการวิเคราะห์มี 6 ตัวแปร ได้แก่ 1) จำนวนสายการบินที่ประจำที่ท่าอากาศยาน 2) ผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (GDP) 3)จำนวนสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดที่ท่าอากาศยานตั้งอยู่ 4) การเชื่อมต่อสถานที่ท่องเที่ยวระยะทางไม่เกิน 200 กิโลเมตร 5) ด่านตรวจคนเข้าเมือง และ 6) จำนวนสายการบินที่ท่าอากาศยาน ส่วนปัจจัยนำออกมี 1 ตัวแปรคือ จำนวนผู้โดยสารที่เดินทางเข้าออกท่าอากาศยาน จากนั้นทำการวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยนำเข้าและปัจจัยนำออกด้วยการสร้าง Correlation Matrix จากค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน งานวิจัยนี้มีเครื่องมือหลัก คือการวิเคราะห์การล้อมกรอบข้อมูล (Data Envelopment Analysis: DEA) โดยคำนวณคะแนนประสิทธิภาพจากตัวแบบ CCR และตัวแบบ BCC เพื่อคำนวณค่าคะแนนประสิทธิภาพด้านขนาด (Scale Efficiency: SE) โดยพิจารณาในมุมมองด้านปัจจัยนำเข้า ค่าคะแนนประสิทธิภาพมีค่าระหว่า 0-1</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพการเป็นศูนย์กลางท่าอากาศยานท่องเที่ยวในประเทศไทย คือ1)จำนวนสายการบินที่ประจำที่ท่าอากาศยาน 2)ผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (GDP) 3)จำนวนสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดที่ท่าอากาศยานตั้งอยู่ 4)การเชื่อมต่อสถานที่ท่องเที่ยวระยะทางไม่เกิน 200 กิโลเมตร 5)ด่านตรวจคนเข้าเมือง และ 6)จำนวนสายการบินที่ท่าอากาศยาน</li> <li>ท่าอากาศยานที่มีศักยภาพการเป็นศูนย์กลางท่าอากาศยานท่องเที่ยวในประเทศไทย คือท่าอากาศยานกระบี่ ท่าอากาศยานอุดรธานี และท่าอากาศยานสุราษฎร์ธานี โดยมีค่าคะแนนประสิทธิภาพทั้ง 3 ตัวแปรเป็น 1.00 และเป็นที่น่าสังเกตุว่ายังมีท่าอากาศยานอีก 3 แห่ง คือ ท่าอากาศยานอุบลราชธานี ท่าอากาศยานขอนแก่น และท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช หากเพิ่มปัจจัยนำเข้ามากขึ้นจะมีจำนวนผู้โดยสารเดินทางเข้าออกท่าอากาศยานมากขึ้น</li> </ol> ณัฏฐ์พงษ์ จันทชโลบล นันทพันธ์ วิเศษแก้ว ติณณ์ณเทพย์ รุ่งศรีตระกูล ปริญญา โกวิทย์วิวัฒน์ Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 2024-04-30 2024-04-30 18 1 66 78 คุณภาพชีวิตการทำงานและความผูกพันต่อองค์การที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการปฏิบัติงานของข้าราชการตำรวจชั้นประทวน ในจังหวัดนนทบุรี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/271543 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาระดับประสิทธิผลการปฏิบัติงานของข้าราชการตำรวจชั้นประทวน ในจังหวัดนนทบุรี (2) เพื่อวิเคราะห์คุณภาพชีวิตการทำงานและความผูกพันต่อองค์การที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการปฏิบัติงานของข้าราชการตำรวจชั้นประทวน ในจังหวัดนนทบุรี และ (3) เพื่อเสนอแนวทางในการพัฒนาประสิทธิผลการปฏิบัติงานของข้าราชการตำรวจชั้นประทวน ในจังหวัดนนทบุรี เป็นวิจัยผสานวิธี กลุ่มตัวอย่าง คือ ข้าราชการตำรวจชั้นประทวน สังกัดตำรวจภูธร จังหวัดนนทบุรี จำนวน 292 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม กลุ่มตัวอย่างการวิจัยเชิงคุณภาพ จำนวน 20 คน เครื่องมือการวิจัยคือ แบบสัมภาษณ์เชิงลึก สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ และการวิเคราะห์สหสัมพันธ์</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า</p> <p> 1.ประสิทธิผลการปฏิบัติงานของข้าราชการตำรวจชั้นประทวน ในจังหวัดนนทบุรี โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยเรียงค่าเฉลี่ยมากไปน้อย คือ ด้านความพึงพอใจ ด้านการผลิต ด้านประสิทธิภาพ ด้านการอยู่รอด ด้านการพัฒนาเพื่อประสิทธิผลองค์การ และด้านการปรับตัว ตามลำดับ</p> <ol start="2"> <li>คุณภาพชีวิตการทำงานและความผูกพันต่อองค์การ ด้านภาวะผู้นำ ด้านงาน ด้านความก้าวหน้าและความมั่นคงในงาน ด้านการปฏิบัติงานในสังคม และด้านค่าตอบแทนที่เหมาะสมและเป็นธรรม ส่งผลต่อประสิทธิผลการปฏิบัติงานของข้าราชการตำรวจชั้นประทวน ในจังหวัดนนทบุรี มีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> <li>ควรส่งเสริมการปฏิบัติงานอย่างเป็นระบบและเป็นไปตามพันธกิจขององค์การ กำหนดนโยบายที่มีความเป็นรูปธรรมและปฏิบัติจริง ตามระเบียบ ข้อบังคับ ที่มีความเหมาะสมกับองค์การ เพื่อก่อให้เกิดความชัดเจนในการปฏิบัติงาน และมีความเป็นธรรมไม่เลือกปฏิบัติ</li> </ol> จิระกันตม์ ปิยะธาราธิเบศร์ ภมร ขันธะหัตถ์ ธนิศร ยืนยง Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 2024-04-30 2024-04-30 18 1 79 95 The Implementation of Management Accounting Practices Influencing the Success of Construction Enterprises within the Medium and Small Business Sector in the Northeastern Region https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/271492 <p> The main objectives of this study are to evaluate the implementation of managerial accounting, assess business success, and explore the factors influencing the success of construction businesses operated by Small and Medium Enterprises (SMEs) in Thailand's Northeastern region. The research targeted SMEs participating in the "Productivity Improvement Loan" program offered by the Small and Medium Enterprise Development Bank of Thailand across 15 provinces. A total of 400 samples were involved, determined using Taro Yamane's technique at a 95% confidence level. Research tools included a checklist questionnaire and a 5-level rating scale. Quantitative data analysis employed descriptive statistics, frequency, percentage, mean, standard deviation, t-test, and multiple regression analysis. Findings revealed high opinions on the application of managerial accounting and success levels in the construction business. Additionally, a positive relationship was found between managerial accounting application and the success of construction businesses within SMEs in the Northeastern Region of Thailand. Variables contributing to success in these construction businesses included planning, control, decision-making, and cost management, all statistically significant at the 0.05 level.</p> Kajornatthapol Pongwiritthon Nunticha Pudjaiyo Prayoon Asakan Hassachai Tangmungmee Siyaphat Suthithananchai Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 2024-04-30 2024-04-30 18 1 96 111 การมีส่วนร่วมของประชาชนและภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลต่อการพัฒนาท้องถิ่นในจังหวัดชัยภูมิ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/271544 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาระดับการพัฒนาท้องถิ่นในจังหวัดชัยภูมิ (2) เพื่อวิเคราะห์การมีส่วนร่วมของประชาชนและภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลต่อการพัฒนาท้องถิ่นในจังหวัดชัยภูมิ และ (3) เพื่อเสนอแนวทางในการพัฒนาท้องถิ่นในจังหวัดชัยภูมิ เป็นวิจัยแบบผสานวิธี กลุ่มตัวอย่างเชิงปริมาณ คือ ประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน จังหวัดชัยภูมิ จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม กลุ่มตัวอย่างการวิจัยเชิงคุณภาพ จำนวน 20 คน เครื่องมือการวิจัยคือ แบบสัมภาษณ์เชิงลึก สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ และการวิเคราะห์สหสัมพันธ์</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า</p> <ol> <li>ระดับการพัฒนาท้องถิ่นในจังหวัดชัยภูมิ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ประกอบด้วย การส่งเสริมการสร้างศักยภาพคนสู่การพัฒนาจังหวัดที่ยั่งยืน การส่งเสริมการสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจฐานรากตามหลักศาสตร์พระราชาสู่การแข่งขันอย่างยั่งยืน และ การส่งเสริมการพัฒนาสังคมสู่การเป็นเมืองที่น่าอยู่อาศัยและเมืองแห่งการพักผ่อน ตามลำดับ</li> <li>การมีส่วนร่วมของประชาชนและภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง ด้านการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ การมีส่วนร่วมในการประเมินผล การเพิ่มศักยภาพในการปฏิบัติงานให้ผู้อื่น และการเป็นต้นแบบนำทาง ส่งผลต่อการพัฒนาท้องถิ่นในจังหวัดชัยภูมิ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> <li>แนวทางในการพัฒนาท้องถิ่นในจังหวัดชัยภูมิ ควรส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อการกำหนดความต้องการเป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายเพื่อประชาชน ทั้งส่งเสริมภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง พัฒนาศักยภาพผู้นำที่เป็นผู้นำทางที่ดี เพื่อประโยชน์ต่อการพัฒนาท้องถิ่นในจังหวัดชัยภูมิต่อไป</li> </ol> ธนาวุฒิ บุญญานุสนธิ์ ภมร ขันธะหัตถ์ ธนิศร ยืนยง Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 2024-04-30 2024-04-30 18 1 112 127 ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ส่วนประสมทางการตลาดกับความพึงพอใจในการใช้บริการที่พักของนักท่องเที่ยวในเขตอำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/274025 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับการรับรู้ส่วนประสมทางการตลาดและความพึงพอใจในการใช้บริการที่พักแรมของนักท่องเที่ยว และเพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ส่วนประสมทางการตลาด (7Ps) กับความพึงพอใจในการใช้บริการที่พักแรมของนักท่องเที่ยว ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ นักท่องเที่ยวที่ใช้บริการที่พักแรมในเขตอำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี จำนวน 320 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ (Frequency) ร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) การวิเคราะห์สหสัมพันธ์ (Correlation Analysis) และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่าระดับการรับรู้ส่วนประสมทางการตลาดสูงที่สุด คือ ด้านลักษณะทางกายภาพ อยู่ในระดับมาก และต่ำสุด คือ ด้านการส่งเสริมการตลาด อยู่ในระดับปานกลาง การวิเคราะห์ความสัมพันธ์พบว่าส่วนประสมทางการตลาดด้านราคา บุคลากร กระบวนการ และลักษณะทางกายภาพมีความสัมพันธ์กับความพึงพอใจในการใช้บริการที่พักแรมของนักท่องเที่ยว อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ณ ระดับ 0.05 แต่ส่วนประสมทางการตลาดด้านผลิตภัณฑ์ สถานที่ และการส่งเสริมการตลาดไม่มีความสัมพันธ์กับความพึงพอใจในการใช้บริการที่พักแรม งานวิจัยในครั้งนี้ได้สรุปผลการวิจัย ข้อเสนอแนะและองค์ความรู้ใหม่ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการธุรกิจที่พักแรมเพื่อนำส่วนประสมทางการตลาดไปปรับปรุงแผนการจัดการการตลาดสำหรับธุรกิจที่พักแรมและเพื่อสร้างความพึงพอใจแก่นักท่องเที่ยวต่อไปในอนาคต</p> วัลลี พุทโสม พยอม ศรีหารัตน์ จิตตาภรณ์ พุทธฉายา Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 2024-04-30 2024-04-30 18 1 128 146 การพัฒนาเอกสารประกอบการสอน กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา เรื่อง ฟุตบอล สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/271738 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาเอกสารประกอบการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา เรื่อง ฟุตบอล สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อศึกษาผลการใช้เอกสารประกอบการสอน และ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนโดยใช้เอกสารประกอบการสอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ 1) เอกสารประกอบการสอน กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา เรื่อง ฟุตบอล สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนโดยใช้เอกสารประกอบการสอน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/1 โรงเรียนชุมชนดอนตาล ปีการศึกษา 2565 จำนวน 28 คน ซึ่งได้มาโดยการลุ่มแบบแบ่งกลุ่ม (Cluster Random Sampling) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ ค่าร้อยละ</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า</p> <ol> <li>เอกสารประกอบการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา เรื่อง ฟุตบอล สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีความเหมาะสมโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และคู่มือการใช้เอกสารประกอบการสอน มีความเหมาะสมโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก จากการทดลองใช้เอกสารประกอบการสอนพบว่าครั้งที่ 1 มีประสิทธิภาพ 82.77/80.97 และครั้งที่ 2 มีประสิทธิภาพ 84.65/83.21 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้</li> <li>นักเรียนที่เรียนโดยใช้เอกสารประกอบการสอน กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา เรื่อง ฟุตบอล สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ทำแบบทดสอบก่อนเรียน ได้คะแนนคิดเป็นร้อยละ 42.32 ของคะแนนเต็ม และทำแบบทดสอบหลังเรียนได้คะแนนคิดเป็นร้อยละ 83.21 และมีคะแนนพัฒนาการคิดเป็นร้อยละ 40.00</li> <li>นักเรียนที่เรียนโดยใช้เอกสารประกอบการสอน กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา เรื่อง ฟุตบอล สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีความพึงพอใจต่อการเรียนโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</li> </ol> ภริกา ผ่องแผ้ว นีรนาท จุลเนียม Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 2024-04-30 2024-04-30 18 1 147 160 ผลการใช้แบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน (ค22101) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความพึงพอใจ เรื่อง อัตราส่วนและร้อยละ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/271736 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างและพัฒนาแบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน (ค22101) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เรื่อง อัตราส่วนและร้อยละ ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน (ค22101) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เรื่อง อัตราส่วนและร้อยละ และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อแบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน (ค22101) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เรื่อง อัตราส่วนและร้อยละ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ 1) แบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน (ค22101) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เรื่อง อัตราส่วนและร้อยละ 2) แผนการจัดการเรียนรู้ประกอบการใช้แบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน (ค22101) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เรื่อง อัตราส่วนและร้อยละ 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง อัตราส่วนและร้อยละ 4) แบบสอบถามวัดความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน (ค22101) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เรื่อง อัตราส่วนและร้อยละ ประชากร คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนหัวตะพานวิทยาคม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุบลราชธานี อำนาจเจริญ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 278 คน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/2 โรงเรียนหัวตะพานวิทยาคม ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 35 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม (Cluster Random Sampling) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการคำนวณค่าที (t-test)</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า</p> <ol> <li>ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน (ค22101) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เรื่อง อัตราส่วนและร้อยละ ที่พัฒนาขึ้น มีค่าเท่ากับ 75.84 : 76.47</li> <li>นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน (ค22101) เรื่อง อัตราส่วนและร้อยละ มีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</li> <li>ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อแบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน (ค22101) เรื่อง อัตราส่วนและร้อยละ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( <sup><img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" /></sup>= 4.56 S.D. = 0.46)</li> </ol> เกษร ทองยศ นีรนาท จุลเนียม Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 2024-04-30 2024-04-30 18 1 161 173 Analysis and Research on the Current Situation of Waterfront Landscape in Xuchang https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/271039 <p>The purposes of this research were as the most popular part of urban landscape, urban waterfront landscape reflects the vitality of a city's landscape. Since the construction of urban water system in Xuchang City in 2014, the urban waterfront landscape has developed synchronously with the water system construction. This paper will take the waterfront landscape of Xuchang City as the research object, analyze the plants, topography and other aspects of its current landscape through field investigation, and put forward the existing problems and solutions. It is hoped to provide reasonable suggestions for the development of urban waterfront landscape in the future.</p> Yixin Zhang Varangkana Niyomrit Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 2024-04-30 2024-04-30 18 1 174 188 Innovation Technology of Shiwan Ceramic Art Murals https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/271016 <p>The purposes of this research were: Shiwan is the largest ceramic production base and trade market in China. It is one of the most advanced ceramic production bases in China. With a large number of strong ceramic manufacturers and well-known ceramic brands, it has a good prospect of development. Shiwan ceramics has a long history. Since the mid-1980s, when Shiwan purchased China's first foreign production line for architectural ceramics from Italy, China's architectural ceramics industry has entered the stage of scale and industrialization. After nearly 40 years of development, Chinese ceramics have profoundly impacted the world in terms of quality, ceramic machine and equipment, design, research and development, and most of the ceramic equipment has been domestically produced. With the rapid growth of architectural ceramic technology, Shiwan traditional ceramic murals have also begun to change from hand-made to fully mechanical production. The perfect combination of high technology and art has created a unique form of innovative ceramic murals in Shiwan.</p> JunHan Li Thawascha Dechsubha Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 2024-04-30 2024-04-30 18 1 189 206 คุณภาพการให้บริการที่ส่งผลต่อความจงรักภักดีของลูกค้า กรณีศึกษา บริษัท ซีไอเอ็มบี ไทย ออโต้ จำกัด ในเขตจังหวัดนครราชสีมา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/271121 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา คุณภาพการให้บริการที่ส่งผลต่อความจงรักภักดีของลูกค้า: กรณีศึกษา บริษัท ซีไอเอ็มบี ไทย ออโต้ จำกัด ในเขตจังหวัดนครราชสีมา โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือสำหรับเก็บข้อมูล ซึ่งกลุ่มตัวอย่าง คือ ลูกค้าที่เคยใช้บริการของ บริษัท ซีไอเอ็มบี ไทย ออโต้ จำกัด ในเขตจังหวัดนครราชสีมา จำนวน 354 ชุด จากนั้นวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนาด้วย ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และข้อมูลสถิติเชิงอนุมานด้วยการถดถอยพหุคูณ เพื่อการทดสอบสมมติฐานการวิจัย</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า คุณภาพการให้บริการ ด้านการเป็นมืออาชีพและการมีทักษะของผู้ให้บริการ ด้านทัศนคติและพฤติกรรมของผู้ให้บริการ ด้านการเข้าพบได้งานและความยืดหยุ่นในการให้บริการ ด้านการแก้ไขสถานการณ์ให้กลับสู่ภาวะปกติ และด้านชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือ ที่ส่งผลต่อความจงรักภักดีของลูกค้า กรณีศึกษา บริษัท ซีไอเอ็มบี ไทย ออโต้ จำกัด ในเขตจังหวัดนครราชสีมา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.01 และ 0.05 ซึ่งตัวแปรอิสระทุกตัวแปรร่วมพยากรณ์ตัวแปรตามมีค่าเท่ากับร้อยละ 29.3 (AdjR<sup>2</sup> = 0.281) ซึ่งจากผลการศึกษาวิจัยครังนี้ บริษัทในสาขาอื่น ๆ สามารถนำผลการวิจัยไปใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาระบบการบริหาร การวางแผนนโยบายพัฒนาคุณภาพการบริการ ให้ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้ามากที่สุด เพื่อให้ลูกค้าเกิดความจงรักภักดีต่อบริษัท อย่างต่อเนื่อง</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า คุณภาพการให้บริการ ด้านการเป็นมืออาชีพและการมีทักษะของผู้ให้บริการ ด้านทัศนคติและพฤติกรรมของผู้ให้บริการ ด้านการเข้าพบได้งานและความยืดหยุ่นในการให้บริการ ด้านการแก้ไขสถานการณ์ให้กลับสู่ภาวะปกติ และด้านชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือ ที่ส่งผลต่อความจงรักภักดีของลูกค้า กรณีศึกษา บริษัท ซีไอเอ็มบี ไทย ออโต้ จำกัด ในเขตจังหวัดนครราชสีมา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.01 และ 0.05 ส่วนคุณภาพการให้บริการ ด้านความไว้วางใจและความเชื่อถือได้ ไม่ส่งผลต่อความจงรักภักดีของลูกค้า ซึ่งตัวแปรอิสระทุกตัวแปรร่วมพยากรณ์ตัวแปรตามมีค่าเท่ากับร้อยละ 28.1 (AdjR<sup>2</sup> = 0.281)</p> สุขสันต์ เสาทองหลาง พรทิพย์ รอดพ้น Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 2024-04-30 2024-04-30 18 1 207 221 The Impact of Financial Report Quality on the Competitive Advantage of Small and Medium Enterprises in Isan Region Thailand https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/271488 <p>This study aims to investigate the levels of financial reporting quality, competitive advantage, and the impact of financial reporting quality on the competitive advantage of Small and Medium Enterprises (SMEs) in the Isan Region of Thailand. The study population and sample consist of SMEs participating in the "Productivity Improvement Loan" project of the Small and Medium Enterprise Development Bank of Thailand (SME Development Bank) across eight provinces in the Isan Region: Nong Khai, Nakhon Phanom, Sakon Nakhon, Udon Thani, Nong Bua Lamphu, Loei, Mukdahan, Kalasin, Khon Kaen, Amnat Charoen, Yasothon, Roi Et, Maha Sarakham, Chaiyaphum, Nakhon Ratchasima, Buriram, Surin, Sisaket, and Ubon Ratchathani, totaling 400 samples. The research employed the Taro Yamane formula to determine the sample size at a 95% confidence level. The research instrument comprised a questionnaire with both a checklist section and a 5-level rating scale section. Quantitative data were analyzed using descriptive statistics, including frequency, percentage, mean, standard deviation, and T-test in multiple regression analysis. The study's findings indicate that the perception of financial reporting quality and the competitive advantage of SMEs in the Isan Region of Thailand, overall, were at a high level. The examination of the effect of financial reporting quality on the competitive advantage of SMEs in the Isan Region of Thailand revealed a positive relationship. Moreover, variables that significantly contributed to gaining a competitive advantage for SMEs in the Isan Region of Thailand included low-cost leadership.</p> Nunticha Pudjaiyo Prayoon Asakan Kajornatthapol Pongwiritthon Hassachai Tangmungmee Phantima Wannasut Weeraphong Suthawan Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 2024-04-30 2024-04-30 18 1 222 237 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านทางช่องทางออนไลน์ในจังหวัดตาก https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/275941 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา ปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ ปัจจัยทางการตลาด และพฤติกรรมในการซื้อสินค้าทางสื่อออนไลน์ของผู้บริโภค รวมถึงการศึกษาปัจจัยด้านประชากรศาสตร์และปัจจัยทางการตลาดที่ส่งผลต่อพฤติกรรมในการซื้อสินค้าทางสื่อออนไลน์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาวิจัย คือ ผู้บริโภคในจังหวัดตากจำนวน 348,308 คน โดยวิธีของทาโร่ ยามาเน่ กำหนดระดับความเชื่อมั่นที่ 95% ในการหากลุ่มประชากรตัวอย่างได้ จำนวน 399.54 ผู้วิจัยจึงใช้ประชากรจำนวน 400 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ สถิติเชิงพรรณนา ประกอบด้วย ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ส่วนสถิติเชิงปริมาณประกอบด้วย Independent Sample t-test, Chi-square แล ะ Multinominal Logistic Regression Analysis</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุ 21 - 25 ปี การศึกษาระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่า นักเรียน/นักศึกษา มีระยะเวลาทำงานน้อยกว่า 1 ปี และรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาท สื่อที่ใช้คือ Facebook มีการซื้อ 1 – 2 ครั้งต่อเดือน และเลือกซื้อด้วยราคาน้อยกว่า 1,000 บาท ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า ปัจจัยทางการตลาดที่มีผลต่อสื่อที่ใช้ซื้อสินค้าของผู้บริโภค ได้แก่ ด้านผลิตภัณฑ์และด้านราคา ปัจจัยทางการตลาดที่มีผลต่อความถี่ในการซื้อสินค้าของผู้บริโภค ได้แก่ ด้านผลิตภัณฑ์ ส่วนระดับราคาในการซื้อสินค้านั้นไม่มีปัจจัยทางการตลาดตัวใดที่ส่งผลเลยทั้งสิ้น</p> ศักดิ์ดา เกิดการ วันเฉลิม เครือสาร อัมพรรัตน์ กาวินา Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 2024-04-30 2024-04-30 18 1 238 248 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาการสื่อสารทางการตลาดของผู้ประกอบการสินค้า OTOP จังหวัดตาก https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/276211 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการใช้สื่อออนไลน์ของผู้ประกอบการสินค้าOTOP จังหวัดตาก 2) ศึกษาวัตถุประสงค์การใช้สื่อออนไลน์ของผู้ประกอบการสินค้าOTOP และ 3) ศึกษารูปแบบการใช้สื่อออนไลน์ของผู้ประกอบการสินค้า OTOP จังหวัดตาก เป็นการวิจัยแบบผสมผสานวิธีกลุ่มตัวอย่าง มี 2 กลุ่ม คือ ตัวแทนหน่วยงานภาครัฐ จำนวน 3 คน และผู้ประกอบการสินค้า OTOP จังหวัดตาก จำนวน 20 คน วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสัมภาษณ์และแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่การวิเคราะห์เชิงตรรกะ ความถี่ รอยละ คาเฉลี่ย และค่าสวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน <br />ผลการวิจัยพบว่า<br /> 1. ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการใช้สื่อออนไลน์ของผู้ประกอบการสินค้า OTOP จังหวัดตากในมุมมองของตัวแทนหน่วยงานภาครัฐ อันดับแรกคือความรู้พื้นฐานและการศึกษาค้นคว้าในการใช้เทคโนโลยีรองลงมาเนื้อหา ข้อความที่ใช้ในการสื่อสาร และความพร้อมของเครื่องมือที่ใช้ในการสื่อสาร ตามลำดับในมุมมองของผู้ประกอบการอันดับแรกคือ ยุคสมัย รองลงมาทักษะความชำนาญในการใช้เทคโนโลยี/สื่อออนไลน์ และประเภทสินค้าและกลุ่มลูกค้า ผู้ประกอบการเป็นกลุ่มผู้ผลิตเครื่องดื่ม อาหาร ผ้า/เครื่องแต่งกาย ประเภทสมุนไพรที่ไม่ใช่อาหาร และประเภทของใช้/ของตกแต่ง/ของที่ระลึก ประกอบธุรกิจ 2-4 ปี เป็นอาชีพรอง</p> <p> 2. วัตถุประสงค์ในการใช้สื่อออนไลน์ อันดับแรกคือเพิ่มช่องทางในการจัดจำหน่ายสินค้ารองลงมาการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย/ลูกค้าได้ง่าย รับคำสั่งซื้อจากลูกค้า ตอบข้อสักถามของลูกค้าตามลำดับ <br /> 3. รูปแบบการใช้สื่อออนไลน์อันดับแรกคือ Line รองลงมา Facebook และติ๊กตอก(TIKTOK) ตามลำดับ จำนวนการใช้สื่อออนไลน์ 6-10 ครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละ 1-3 ชั่วโมง และประเภทสื่อออนไลน์ที่ใช้แล้วส่งผลให้ยอดขายมากที่สุดคือ Line รองลงมา Facebook ติ๊กตอก(TIKTOK) ตามลำดับ</p> ศิริอมร กาวีระ สาวิตรี จันท์วาน นพพล พรหมรักษ์ Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 2024-04-30 2024-04-30 18 1 249 258 การพัฒนาผลิตภัณฑ์ของที่ระลึก กรณีศึกษา : กลุ่มผลิตภัณฑ์จักสาน ตำบลแม่กุ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/276190 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พฤติกรรมที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ของที่ระลึกจากการจักสานด้วยพลาสติกของกลุ่มผลิตภัณฑ์จักสาน ตำบลแม่กุ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก 2) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ของที่ระลึกจากการจักสานด้วยพลาสติกของกลุ่มผลิตภัณฑ์จักสาน ตำบลแม่กุ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ประชากร คือ กลุ่มประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ จำนวน 50 คน และนักท่องเที่ยว จำนวน 50 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการวิจัยเชิงสำรวจโดยใช้แบบสอบถาม เพื่อนำมาวิเคราะห์และสรุปผล</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า </p> <ol> <li>ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุ 31-40 ปี ประกอบอาชีพพนักงานเอกชน และมีรายได้ 15,000-20,000 บาท</li> <li>พฤติกรรมการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ของที่ระลึก ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีวัตถุประสงค์หลักในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ระลึก คือ ซื้อเป็นของฝากให้ผู้อื่น ราคาในการซื้อแต่ละครั้งอยู่ที่ 1,000 ถึง 5,000 บาท สถานที่เลือกซื้อมักซื้อจากสถานที่ผลิตโดยตรง รู้จักสินค้าที่ระลึกจากคำบอกเล่า ซื้อสินค้าของที่ระลึกประจำทุกปี ส่วนของที่ระลึกที่ซื้อบ่อย อันดับ 1 ผลิตภัณฑ์เพื่อการบริโภค อันดับ 2 คือ ประดับตกแต่ง อันดับ 3 เครื่องจักสาน และอันดับสี่คือ เครื่องปั้นดินเผาและเซรามิค และผลิตภัณฑ์จักสานขนาดเล็กที่นิยมซื้อเป็นของที่ระลึกคือ พัด</li> <li>ความสำคัญของปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ของที่ระลึกในด้านการใช้งานผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสำคัญกับคุณภาพของผลิตภัณฑ์ และความคงทน และสะดวกต่อการใช้งาน สามารถมองเห็นผลิตภัณฑ์ภายในได้ชัดเจน เป็นของฝากโดยไม่ต้องห่อซ้ำ และบรรจุภัณฑ์เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ ในด้านการตลาด ผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสำคัญกับความแปลกใหม่ของผลิตภัณฑ์ มีเอกลักษณ์เฉพาะท้องถิ่น ผลิตภัณฑ์มีความหลากหลาย และสวยงาม สะดุดตา</li> </ol> พรรณทิมา วรรณสุทธิ์ ศักดิ์ดา เกิดการ วลัยลักษณ์ พันธุรี Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 2024-04-30 2024-04-30 18 1 259 268 Relationship between perceived social support and university students’ academic engagement in Shanxi, China: the chain mediating effect of academic buoyancy and academic emotion, the moderating effect of proactive personality https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/274400 <p>This study takes perceived social support as independent variable, academic buoyancy and academic emotion as mediator variables, and proactive personality as moderator variable, academic engagement as dependent variable. Based on the quantitative data of 445 and qualitative data of 20 university students in Shanxi Province, China, the method of questionnaire survey to analyze the relationship of variables and verify the research hypothesis and theoretical conceptual framework.</p> <p> The research results show that: (1) Perceived social support has positive predictive effect on academic engagement; (2) Perceived social support has positive predictive effect on academic buoyancy; (3) Academic buoyancy has positive predictive effect on academic engagement; (4) Perceived social support has positive predictive effect on academic emotion; (5) Academic emotion has positive predictive effect on academic engagement; (6) Academic buoyancy and academic emotion have chain mediating effect between perceived social support and academic engagement; (7) Proactive personality has moderating effect between perceived social support and academic engagement; (8) Proactive personality has no moderating effect between academic emotion and academic engagement. Finally, some recommendations are made.</p> Bojun Hou Wasin Phromphithakkul Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 2024-04-30 2024-04-30 18 1 269 284 Influence Mechanism of Influencer Marketing through Perceived Value and Purchase Intention on Consumers’ Cosmetics Purchase Behavior https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/274422 <p> While e-commerce livestreaming leads new trend of consumption, there are many industry problems, especially in cosmetics influencer marketing. How to maintain vitality of cosmetics influencer marketing industry is worth to study. This study aims to explore how influencer marketing affect consumers’ cosmetics purchase behavior. A mixed method is used. In qualitative research, through literature review and in-depth interview, integrating AIDMA and SOR theory, conceptual framework is established with influencer attraction, live marketing context, and live word-of-mouth as stimulus, perceived value and purchase intention as mediators and homogeneity as moderator by software NVivo based on grounded theory. In quantitative research, questionnaire is designed and collected online. 495 respondents are analyzed to test direct effects through structural equation modeling, mediating effects with bootstrapping estimation, and moderating effect with multi-group analysis by software Amos.</p> <p>The conclusions are influencer attraction and live marketing context positively affect purchase behavior through perceived value and purchase intention, homogeneity positively moderates effect of purchase intention on behavior. This study enriches related research of influencer marketing and help businesses maximize their interests and promote long-term development of live e-commerce industry.</p> Xiaoqing Zhou Tippawan Lertatthakornkit Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 2024-04-30 2024-04-30 18 1 285 301 Impact of psychological capital and career identity on graduate students’ employability: The mediation of social capital among Shanxi Province of China https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/274421 <p> This study uses a mixed-methods research to explore the relationship between psychological capital, career identity, social capital, and graduate employability in higher education in Shanxi Province, China. The study employs SPSS and AMOS to analyze the survey questionnaire, and NVIVO to analyze the interview questionnaire. the researcher collected 450 sample size by stratified random sampling and that the validity of quantitative research total is 0.927, the validity of qualitative research total questionnaire is 0.95</p> <p> The study finds that: the respondents have similar views but different focuses on the four factors. The four factors positively and significantly affect graduate employability, and mediate each other. The respondents have different views, experiences, suggestions, and expectations on the factors and their employment relationship. The study provides evidence and insights on the four factors and graduate employability in China, and uses a mixed-methods research, enriching the data and methods. The study is practical for graduates, teachers, institutions, and policy makers, as it suggests how to improve graduates’ psychological, career, social, and employability aspects, and promote their employment.</p> Zheng She Pratikshya Bhandari Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 2024-04-30 2024-04-30 18 1 302 320 สภาพแวดล้อมในการทำงานและความผูกพันต่อองค์กรมีผลต่อแรงจูงใจ ในการทำงาน กรณีศึกษา : โรงงานมะลิกรุ๊ป 1962 จำกัด https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/275933 <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติติงานของพนักงานบริษัทมะลิกรุ๊ป 1962 จำกัด 2) ศึกษาความผูกพันต่อองค์กรที่มีอิทธิพลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติติงานของพนักงานบริษัทมะลิกรุ๊ป 1962 จำกัด 3) ศึกษาเปรียบเทียบลักษณะส่วนบุคคลที่แตกต่างกันมีอิทธิพลต่อ แรงจูงใจในการปฏิบัติติงานของพนักงานบริษัท มะลิกรุ๊ป 1962 จำกัด แตกต่างกัน และ 4) ศึกษาความสัมพันธ์ของสภาพแวดล้อมและความผูกพันต่อองค์กรที่มีอิทธิพลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติติงานของพนักงานบริษัท มะลิกรุ๊ป 1962 จำกัด กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ได้แก่ พนักงานที่ทำงานเฉพาะบริษัทมะลิกรุ๊ป 1962 จำกัด จำนวน 150 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า t-test, One way ANOVA และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ แบบเพียร์สัน</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า</p> <ol> <li>สภาพแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของพนักงานโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านเพื่อนร่วมงาน อยู่ในระดับ ด้านกายภาพ อยู่ในระดับปานกลาง และด้านสวัสดิการ อยู่ในระดับน้อย</li> <li>ปัจจัยความผูกพันต่อองค์กรที่มีอิทธิพลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของพนักงานโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า อยู่ในระดับปานกลางทุกด้าน โดยเรียงจากค่าเฉลี่ยมากไปน้อย ดังนี้ ความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร การทุ่มเทความพยายามในการปฏิบัติงานและการยอมรับเป้าหมายและค่านิยมขององค์กร</li> <li>ปัจจัยด้านแรงจูงใจในการปฏิบัติติงานของพนักงานบริษัท มะลิกรุ๊ป1962 จำกัด พบว่าอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านที่อยู่ในระดับมาก ได้แก่ ด้านการมีสัมพันธภาพ และด้านที่อยู่ในระดับปานกลาง เรียงจากค่าเฉลี่ยมากไปน้อย ได้แก่ ด้านความเจริญก้าวหน้า และด้านการอยู่รอด</li> <li>ลักษณะส่วนบุคคลที่แตกต่างกันมีผลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของพนักงานบริษัทมะลิกรุ๊ป 1962 จำกัดแตกต่างกัน โดยพบว่า ระดับการศึกษามีผลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของพนักงานบริษัทมะลิกรุ๊ป 1962 จำกัดแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนด้านเพศ อายุ และสถานภาพ ไม่แตกต่างกัน</li> <li>ผลการวิเคราะห์ปัจจัยด้านความสัมพันธ์ของสภาพแวดล้อมและความผูกพันต่อองค์กรที่มีอิทธิพลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติติงานของพนักงานบริษัท มะลิกรุ๊ป 1962 จำกัด พบว่า สภาพแวดล้อมและความผูกพันต่อองค์กรที่มีอิทธิพลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของพนักงานบริษัท มะลิกรุ๊ป1962 จำกัด โดยภาพรวมมีความสัมพันธ์กันในระดับสูง </li> </ol> เขมจินันท์ เทิดทูนการค้า ปณิตา อินทะจันทร์ เมฆินทร์ สุรเมฆินทร์ Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 2024-04-30 2024-04-30 18 1 321 334 การส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมนักเรียนของผู้ปกครองศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สังกัดองค์การบริหารส่วนตำบลคลองสี่ อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/267450 <p>การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมนักเรียนของผู้ปกครองศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก และ 2) เพื่อเปรียบเทียบการส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมนักเรียนของผู้ปกครองศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สังกัดองค์การบริหารส่วนตำบลคลองสี่ อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี จำแนกตาม ระดับการศึกษา และอาชีพ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้ปกครองนักเรียนในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สังกัดองค์การบริหารส่วนตำบลคลองสี่ อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี จำนวน 152 คน จากนั้นสุ่มอย่างง่าย แบบมีสัดส่วน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม มีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ 0.80-1.00 มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.93 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว และการทดสอบเป็นรายคู่ด้วยวิธีของเชฟเฟ่</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>การส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมนักเรียนของผู้ปกครองศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สังกัดองค์การบริหารส่วนตำบลคลองสี่ อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี โดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากลำดับมากไปน้อย คือ ด้านการจัดการเรียนการสอน ด้านการจัดสภาพแวดล้อม ด้านการจัดกิจกรรม ด้านอบรมนักเรียน และด้านการประเมินผล ตามลำดับ</li> <li>ผู้ปกครองที่มีระดับการศึกษาต่างกันมีความคิดเห็นต่อการส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมนักเรียนตามความคิดเห็นของผู้ปกครองศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สังกัดองค์การบริหารส่วนตำบลคลองสี่ อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี โดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน ผู้ปกครองที่มีอาชีพต่างกันมี <p>ความคิดเห็นต่อการส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมนักเรียนตามความคิดเห็นของผู้ปกครองศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สังกัดองค์การบริหารส่วนตำบลคลองสี่ อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี โดยรวมไม่แตกต่างกัน</p> </li> </ol> วิบูลย์ พุ่มพูลสวัสดิ์ คณิต สุขรัตน์ พัชรา จันทรัตน์ Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 2024-04-30 2024-04-30 18 1 335 348 การศึกษาพฤติกรรมและสภาพปัญหาการจัดทำบัญชีครัวเรือนตามแนว เศรษฐกิจพอเพียง ของบ้านป่าหวาย ตำบลคีรีราษฎร์ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/275945 <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการจัดทำบัญชีครัวเรือนของบ้านป่าหวาย ตำบลคีรีราษฎร์ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก 2) ศึกษาสภาพปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะในการจัดทำบัญชีตามครัวเรือนของบ้านป่าหวาย ตำบลคีรีราษฎร์ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ ประชาชนในบ้านป่าหวาย ตำบลคีรีราษฎร์ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก จำนวน 392 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือ แบบสอบถามแบบ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ค่าสถิติความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และนำเสนอข้อมูลในรูปแบบตาราง ควบคู่กับการบรรยาย</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า</p> <ol> <li>การจัดทำบัญชีครัวเรือน พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีรายรับมาจาก 3 ส่วน คือ รายรับจากการขายผลผลิต รายรับจากการขายผลผลิตและค้าขายหรือรับจ้าง และ มีรายรับจากขายผลผลิตและเงินเดือนหรือค้าจ้าง และ ในช่วงระยะเวลา 6 เดือน มีรายรับโดยเฉลี่ยเท่ากับ 95,999.45 บาท โดยมีรายรับต่ำสุดเท่ากับ 7,680 บาท และมีค่าสูงสุดเท่ากับ 32,400 บาท ในขณะที่รายจ่ายโดยเฉลี่ยเท่ากับ 32,892.38 บาท มีรายจ่ายที่จำเป็น โดยเฉลี่ยเท่ากับ 31,465.52 บาท รายจ่ายที่ไม่จำเป็นโดยเฉลี่ยเท่ากับ 1,426.86 บาท รายจ่ายเพื่อการลงทุน โดยเฉลี่ยเท่ากับ 19,365.81 บาท และ ชำระคืนหนี้สิน โดยเฉลี่ยเท่ากับ 4,567.16 บาท</li> <li>สภาพปัญหาในการจัดทำบัญชีครัวเรือนส่วนใหญ่ของบ้านป่าหวาย ตำบลคีรีราษฎร์ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก (1) ด้านปัจจัยภายใน โดยภาพรวมให้ความสำคัญระดับมาก เมื่อพิจารณาในรายละเอียดเรียงค่าคะแนนจากมากไปน้อยสามลำดับแรกพบว่า การจัดทำบัญชีครัวเรือนมีความยุ่งยากและซับซ้อนเกินไป รองลงมาคือ ไม่มีการบันทึกบัญชีครัวเรือนอย่างต่อเนื่องและ และ ไม่สามารถจดจำรายการรายรับ-รายจ่ายที่เกิดขึ้นได้ และ (2) ด้านปัจจัยภายนอก โดยภาพรวมให้ความสำคัญระดับมาก เมื่อพิจาราณในรายละเอียดเรียงค่าคะแนนจากมากไปน้อย พบว่า เจ้าหน้าที่ไม่มีการติดตามผล รองลงมาคือ ขาดแหล่งข้อมูลในการศึกษาเพิ่มเติม และ ขาดการช่วยเหลือ แนะนำ มี ตามลำดับ</li> </ol> พรพรรณ สีเทียน ระวีวรรณ วจีสุวรรณ วิชุดา มูลวงษ์ Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 2024-04-30 2024-04-30 18 1 349 361 รูปแบบเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ (IKCLA) โดยใช้สื่อประสม เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ ของนักเรียนขั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/271453 <p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ประสิทธิภาพของรูปแบบเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ โดยใช้สื่อประสม ชุด จำนวนตรรกยะน่ารู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยรูปแบบเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ โดยใช้สื่อประสมชุด จำนวนตรรกยะน่ารู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนด้วยรูปแบบเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ โดยใช้สื่อประสม ชุด จำนวนตรรกยะน่ารู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 1) ศึกษารูปแบบเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ โดยใช้สื่อประสม ชุด จำนวนตรรกยะน่ารู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2) ศึกษาประสิทธิภาพของรูปแบบเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ โดยใช้สื่อประสม ชุด จำนวนตรรกยะน่ารู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยรูปแบบเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ โดยใช้สื่อประสมชุด จำนวนตรรกยะน่ารู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และ 4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนด้วยรูปแบบเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ โดยใช้สื่อประสม ชุด จำนวนตรรกยะน่ารู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยประชากรในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านตึกชุม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 2 จำนวน 24 คน ปีการศึกษา 2565 ระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษาภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 33 ชั่วโมง เครื่องมือที่ใช้ คือ (1) สื่อประสมชุด จำนวนตรรกยะน่ารู้ (2) แผนการจัดการเรียนรู้ (3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ (4) แบบสอบถามความพึงใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การหาค่าความยากง่าย ค่าอำนาจจำแนก ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้สูตร KR – 20 และการทดสอบสมมติฐานใช้ t-test</p> <p> <strong> </strong>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1. <span style="font-size: 0.875rem;">รูปแบบเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ (IKCLA) โดยใช้สื่อประสม ชุด จำนวนตรรกยะน่ารู้ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีองค์ประกอบ ดังนี้ 1. หลักการ 2. วัตถุประสงค์ 3. กระบวนการสอน และ 4. การประเมินผล โดยกระบวนการสอน 5 ขั้นได้แก่ 1) สร้างแรงบันดาลใจ (inspire) 2) แสวงหาความรู้ (knowledge ) 3) สร้างสรรค์ความคิด (creative ideas) 4) ออกแบบการเรียนรู้ (learning design) และ 5) ประยุกต์ใช้ (application) และ ประสิทธิภาพของรูปแบบเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ โดยใช้สื่อประสม ชุด จำนวนตรรกยะน่ารู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 มีประสิทธิภาพ 81.14/78.68 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 75/75</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยรูปแบบเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ โดยใช้สื่อประสม ชุด จำนวนตรรกยะน่ารู้ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียนสูงว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">3. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยรูปแบบเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ โดยใช้สื่อประสม ชุด จำนวนตรรกยะน่ารู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับพึงพอใจมาก โดยมีค่าเฉลี่ย 4.27</span></p> ทัศนีย์ กะการดี Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 2024-04-30 2024-04-30 18 1 361 373 การพัฒนารูปแบบเสริมพลังทักษะกระบวนการคิด (TRG2E) โดยใช้สื่อประสม ชุด แรงน่ารู้เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ของนักเรียนขั้นประถมศึกษาปีที่ 3 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/271452 <p>วัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อ 1) พัฒนาและหาประสิทธิภาพของรูปแบบเสริมพลังทักษะกระบวนการคิด (TRG2E) โดยใช้สื่อประสม ชุด แรงน่ารู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที 3 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยรูปแบบเสริมพลังทักษะกระบวนการคิด (TRG2E) โดยใช้สื่อประสม ชุด แรงน่ารู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อรูปแบบเสริมพลังทักษะกระบวนการคิด (TRG2E) โดยใช้สื่อประสม ชุด แรงน่ารู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ขั้นตอนการวิจัยมี 4 ระยะ ได้แก่ 1) การวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน 2) การออกแบบและพัฒนารูปแบบ 3) การนำไปทดลองใช้ และ 4) การประเมินผล ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านตึกชุม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 25 คน จากการเลือกแบบเจาะจง ระยะเวลาที่ใช้ในการทดลอง ในปีการศึกษา 2564 ใช้เวลาในการทดลอง 22 ชั่วโมง เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ 1) สื่อประสม ชุด แรงน่ารู้ 2) แผนการจัดการเรียนรู้รูปแบบเสริมพลังทักษะกระบวนการคิด(TRG2E) 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การคำนวณหาประสิทธิภาพ (E1/E2) ค่าร้อยละ (P) ค่าเฉลี่ย () ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการทดสอบค่าที (Dependent Samples t-test)</p> <p><strong> </strong>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>รูปแบบการเรียนรูปแบบเสริมพลังทักษะกระบวนการคิด (TRG2E) โดยใช้สื่อประสม ชุด แรงน่ารู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีองค์ประกอบดังนี้ (1) หลักการ (2) วัตถุประสงค์ (3) กระบวนการเรียนรู้ และ (4) การปะเมินผล โดยกระบวนการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นมีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน 5 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นที่ 1 กระตุ้นความคิด (thought provoking) ขั้นที่ 2 ค้นคว้าหาความรู้(research) ขั้นที่ 3 รวบรวมข้อมูล (gather information) ขั้นที่ 4 ขยายความรู้เพิ่ม (expand more knowledge) และ ขั้นที่ 5 ประเมินผลลัพธ์ (evaluate the results) และผลการหาประสิทธิภาพของรูปแบบการเรียนรูปแบบเสริมพลังทักษะกระบวนการคิด (TRG2E) โดยใช้สื่อประสม ชุด แรงน่ารู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีค่าเท่ากับ 82.10/83.14 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 80/80</li> <li>ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังทดลองรูปแบบการเรียนรูปแบบเสริมพลังทักษะกระบวนการคิด (TRG2E) โดยใช้สื่อประสม ชุด แรงน่ารู้กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> <li>ผลการประเมินความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อรูปแบบการเรียน<br />รูปแบบเสริมพลังทักษะกระบวนการคิด (TRG2E) โดยใช้สื่อประสม ชุด แรงน่ารู้กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยรวมอยู่ในระดับความพึงพอใจมาก มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 4.35</li> </ol> ญาจิตร แก้วมีศรี Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 2024-04-30 2024-04-30 18 1 374 386