https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/issue/feed วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 2025-08-29T15:09:36+07:00 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สำราญ บุญเจริญ journal@nmc.ac.th Open Journal Systems <p>วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา เป็นแหล่งรวบรวมวารสารทางวิชาการ ของวิทยาลัยนครราชสีมา มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแหล่งเผยแพร่ความรู้ทางด้านวิชาการและงานวิจัยแก่บุคคลทั่วไป และส่งเสริมการนำองค์ความรู้จากการวิจัยไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชน สังคม และประเทศชาติ</p> https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/281966 ความสัมพันธ์ระหว่างความได้เปรียบในการแข่งขันและประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมก่อสร้าง: การวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ 2025-06-10T16:19:50+07:00 ปรินทร ศิริเอี้ยวพิกูล johnny53450303@hotmail.com <p>บทความวิชาการนี้มุ่งศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความได้เปรียบในการแข่งขันและประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมก่อสร้าง โดยใช้กรอบแนวคิดทฤษฎีและการทบทวนวรรณกรรมเชิงวิชาการ เพื่อวิเคราะห์ วิพากษ์ และสังเคราะห์ความสัมพันธ์ดังกล่าว โดยเนื้อหาที่ศึกษาครอบคลุมประเด็นสำคัญ ได้แก่ ปัจจัยที่ส่งผลต่อความได้เปรียบในการแข่งขัน กลยุทธ์การสร้างความได้เปรียบ ผลกระทบต่อประสิทธิภาพการดำเนินงาน และความท้าทายในการรักษาความได้เปรียบในระยะยาว</p> <p> ผลการศึกษาชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างความได้เปรียบในการแข่งขันและประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจ แต่ยังมีปัจจัยแทรกซ้อนที่ต้องพิจารณา บทความนี้นำเสนอข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์สำหรับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมก่อสร้างเพื่อเสริมสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงานอย่างยั่งยืน</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/281768 [RETRACTED ARTICLE] The Marginal Gains as a New Path for Applying Competency-Based Education Reform ion Thailand’s Basic Education System: A Solution for Aligning Innovative Leadership Strategy 2025-05-20T09:24:30+07:00 Siriwan Phuriwattanatham siriwanp@siamtechno.ac.th <p>Competency-Based Education (CBE) represents a paradigmatic shift in Thailand's basic education system; however, its implementation faces significant systemic barriers including entrenched pedagogical practices, inadequate leadership capacity, and resource disparities. This conceptual paper addresses the research problem of how to facilitate effective CBE implementation within Thailand’s complex educational landscape. The study proposes the Marginal Gains Approach (MGA) as a theoretical framework for systematic CBE reform implementation. Originating from high-performance sports methodology and subsequently adapted for organizational transformation, the MGA emphasizes cumulative incremental improvements across multiple operational dimensions to achieve substantial systemic outcomes. This paper contributes to educational reform literature by theoretically integrating MGA principles with innovative leadership paradigms—specifically transformational, distributed, and instructional leadership models—to create a comprehensive framework for CBE implementation. The expected contribution includes providing educational leaders, policymakers, and stakeholders with a theoretically grounded, practically applicable methodology for overcoming implementation barriers while fostering sustainable educational transformation in Thailand’s basic education system.</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/283069 การประเมินตามสภาพจริงด้านทักษะสมอง เพื่อการจัดการชีวิตของเด็กปฐมวัย 2025-06-11T09:35:37+07:00 พัทฐรินทร์ โลหา pattharin@nmc.ac.th <p>สังคมยุควิถีใหม่เป็นยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงทั้งพฤติกรรมส่วนบุคคล ครอบครัว สังคม รวมไปถึงสภาพแวดล้อม วิถีการดำเนินชีวิต และพัฒนาการของเด็กปฐมวัยที่มีการเจริญเติบโตไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะทักษะทางสมอง อันเป็นพัฒนาการด้านสติปัญญาของเด็กปฐมวัย หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 ได้ระบุว่า การพัฒนาการคิด เป็นการพัฒนาให้เด็กมีความสามารถในการคิดแก้ปัญหา คิดรวบยอด และคิดเชิงเหตุผลทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์โดยให้จัดกิจกรรมให้เด็กได้สังเกต จำแนก เปรียบเทียบ สืบเสาะหาความรู้ สนทนา อภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เชิญวิทยากรมาพูดคุยกับเด็กปฐมวัย การศึกษานอกสถานที่ การเล่นเกมการศึกษา การฝึกแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน การฝึกออกแบบและสร้างชิ้นงาน และการทำกิจกรรมทั้งเป็นรายบุคคล กลุ่มย่อย และกลุ่มใหญ่ เพื่อการพัฒนาและส่งเสริมทักษะสมอง เพื่อการจัดการชีวิต ให้กับเด็กปฐมวัย การที่ครูผู้สอน พ่อ แม่ ผู้ปกครองจะทราบถึงพัฒนาทางด้านสติปัญญาและพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของเด็กปฐมวัยนั้นก็ต้องประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัยในแต่ละด้าน สำหรับวิธีการประเมินที่เหมาะสมและควรใช้กับเด็กปฐมวัยอายุ 3-6 ปี ได้แก่ การสังเกต การบันทึกพฤติกรรม การสนทนากับเด็กปฐมวัย การสัมภาษณ์ การวิเคราะห์ข้อมูลจากผลงานเด็กปฐมวัย และการประเมินตามสภาพจริง อันเป็นการประเมินระหว่างการเรียนรู้หรือทำกิจกรรม เน้นการประเมินพฤติกรรมและการแสดงออกของเด็กปฐมวัย เน้นการสังเกต ติดตามพัฒนาการของเด็กปฐมวัย การประเมินตนเองของเด็กปฐมวัย (การสะท้อนคิด) การวัดความสามารถในการคิดระดับสูง แลการมีส่วนร่วมระหว่างเด็กปฐมวัย ครูผู้สอน พ่อ แม่ และผู้ปกครอง</p> <p> บทความวิชาการนี้ผู้เขียนเน้นที่การประเมินตามสภาพจริง เพื่อประเมินพัฒนาการทักษะสมอง เพื่อการจัดการชีวิตของเด็กปฐมวัย โดยประเมินเด็กจากการแสดงออกตามความเป็นจริง ข้อมูลที่ได้จะแสดงให้เห็นถึงลักษณะที่แท้จริงของเด็กปฐมวัย ทำให้พ่อ แม่ ผู้ปกครองและครูผู้สอน สามารถนำมาเป็นฐานในการสนับสนุนและพัฒนาเด็กปฐมวัยเป็นรายบุคคลได้อย่างเหมาะสม</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/283424 การพัฒนา อสม. คนเก่งสู่การเป็นสาธารณสุขมูลฐานที่มีคุณภาพและยั่งยืน 2025-07-02T10:31:41+07:00 ชนะ นฤมาน Chana2508@hotmail.com <p>บทความนี้ผู้เขียนมีจุดประสงค์เพื่อนำเสนอการพัฒนา อสม. ให้เป็นคนเก่งโดยมีเป้าหมายสู่การเป็นสาธารณสุขมูลฐานที่มีคุณภาพและยั่งยืน ผลการศึกษา พบว่า การพัฒนา อสม. ให้เป็นคนเก่งสู่การเป็นสาธารณสุขมูลฐานที่มีคุณภาพและยั่งยืน ต้องพัฒนาการมีภาวะผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงของ อสม. มีวิสัยทัศน์ในการสร้างสรรค์และพัฒนาสุขภาพของชุมชน เป็นผู้นำที่มีความสามารถ ประกอบด้วย 1) สร้างแรงบันดาลใจ กระตุ้นให้สมาชิกในชุมชนเข้าร่วมกิจกรรมด้านสุขภาพ 2) มีความรู้และทักษะด้านการสื่อสาร การจัดการโครงการ และการแก้ปัญหา เพื่อให้สามารถนำทีมไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ และ 3) เป็นแบบอย่างที่ดี มีพฤติกรรมด้านสุขภาพและมีสุขภาพที่ดี เพื่อให้ชุมชนเชื่อมั่นและมีการปฏิบัติตามและ พัฒนาความมีจิตอาสา ในการทำงานเพื่อประโยชน์ของชุมชนอย่างแท้จริง อสม. มีความมุ่งมั่นในการช่วยเหลือชุมชน เข้าใจความต้องการของชุมชน สามารถฟังและรับรู้ปัญหาและความต้องการของสมาชิกในชุมชน เพื่อให้สามารถให้ความช่วยเหลือได้อย่างตรงจุด และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในชุมชน และปฏิบัติหน้าที่ตามบทบาทได้อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดประสิทธิผลและบรรลุความมุ่งหมายไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/290467 การบริหารจัดการน้ำชลประทานของเกษตรกรในเขตพื้นที่ภาคกลาง 2025-08-18T10:14:26+07:00 พิมพ์นิภา ฤทธิบุตร lamoonchansungnoen@gmail.com รัชตา มิตรสมหวัง lamoonchansungnoen@gmail.com <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการบริหารจัดการน้ำชลประทานของเกษตรกรในเขตพื้นที่ภาคกลาง 2) การวิเคราะห์แผนยุทธศาสตร์กรมชลประทาน การบริหารจัดการน้ำชลประทาน และทิศทางการบริหารจัดการในอนาคต การเก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสารเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำชลประทานเพื่อการเกษตร ผลสรุปการบริหารจัดการน้ำชลประทานในภาคกลางเป็นการดำเนินงานที่ผสมผสานระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเกษตรกรท้องถิ่น โดยมีเป้าหมายให้การใช้น้ำเกิดประสิทธิภาพสูงสุดและยั่งยืน ระบบชลประทานซึ่งประกอบด้วยคลองส่งน้ำ ฝาย และประตูระบายน้ำ ถูกพัฒนาและบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งน้ำเข้าสู่พื้นที่เกษตรกรรมอย่างทั่วถึง เกษตรกรมีบทบาทสำคัญในการร่วมวางแผนและควบคุมการใช้น้ำผ่านคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำชลประทานในระดับชุมชน โดยมีการจัดสรรน้ำตามความเหมาะสมและลำดับความสำคัญ ทำให้ลดปัญหาการขาดแคลนน้ำและความขัดแย้งระหว่างผู้ใช้น้ำ การส่งเสริมเทคโนโลยีจัดการน้ำ เช่น ระบบน้ำหยด การเก็บกักน้ำฝน และการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำและรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ดีขึ้น โดยรวมการบริหารจัดการน้ำชลประทานในเขตภาคกลางมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน, การใช้ทรัพยากรน้ำอย่างคุ้มค่า, และสร้างความมั่นคงทางการเกษตรอย่างยั่งยืนในระยะยาว</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/289216 ผลการใช้รูปแบบการสอนด้วยอินโฟกราฟิกเพื่อเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ของนักศึกษาระดับปริญญาบัณฑิต 2025-06-11T13:53:16+07:00 สุระสิทธิ์ เขียวเชย surasitk@nmc.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์ของนักศึกษาระดับปริญญาบัณฑิต ก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้รูปแบบการสอนด้วยอินโฟกราฟิก 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาระดับปริญญาบัณฑิตที่มีต่อรูปแบบการสอนด้วยอินโฟกราฟิก กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาระดับปริญญาบัณฑิต ชั้นปีที่ 1 วิทยาลัยนครราชสีมา ที่ลงทะเบียนรายวิชา 0003104 ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 24 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนการสอนความคิดสร้างสรรค์โดยใช้รูปแบบการสอนอินโฟกราฟิก จำนวน 4 แผนๆ ละ 3 ชั่วโมง รวม 12 ชั่วโมง 2) แบบประเมินความคิดสร้างสรรค์ ใช้เกณฑ์การให้คะแนนแบบรูบริค (Scoring Rubric) และ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการใช้รูปแบบการสอนด้วยอินโฟกราฟิก เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ (Rating Scale) จำนวน 20 ข้อ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ และการทดสอบค่าที ผลการวิจัยพบว่า 1) การเปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์ของนักศึกษาระดับปริญญาบัณฑิต หลังเรียนโดยใช้รูปแบบการสอนด้วยอินโฟกราฟิกสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ความพึงพอใจของนักศึกษาระดับปริญญาบัณฑิตที่มีต่อรูปแบบการสอนด้วยอินโฟกราฟิกภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/283612 การสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นหัตถกรรมไม้ไผ่ขด ตำบลป่าบง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ 2025-06-18T14:48:14+07:00 จอมขวัญ ศุภศิริกิจเจริญ dr.kwaninvest@gmail.com ฟ้าวิกร อินลวง dr.kwaninvest@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสถานการณ์ปัจจุบันของภูมิปัญญาท้องถิ่นหัตถกรรมไม้ไผ่ขด ตำบลป่าบง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และ 2) เพื่อเสนอแนวทาง และสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นหัตถกรรมไม้ไผ่ขด ตำบลป่าบง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ การศึกษานี้เป็นงานวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือผู้ผลิตไม้ไผ่ขด 5 ครัวเรือน จำนวน 9 คน เลือกผู้ให้ข้อมูลใช้วิธีแบบเจาะจง เครื่องมือในการเก็บข้อมูลใช้แบบสัมภาษณ์เชิงลึก การสังเกต และการสนทนากลุ่มอย่างไม่เป็นทางการ บันทึกรวบรวมข้อมูล และจัดทำเป็นคู่มือภูมิปัญญาท้องถิ่นหัตถกรรมไม้ไผ่ขด</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สถานการณ์ปัจจุบันภูมิปัญญาท้องถิ่นหัตถกรรมไม้ไผ่ขด ตำบลป่าบง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ จุดแข็ง ผลิตภัณฑ์มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก คุณภาพได้รับการรับรองสินค้า OTOP ระดับ 4 ดาว มีห้องแสดงชิ้นงานไว้เป็นแหล่งเรียนรู้ให้แก่ชุมชน และผู้ที่สนใจ จุดอ่อน องค์ความรู้หัตถกรรมไม้ไผ่ขดอยู่ภายในตัวบุคคลไม่มีการจดบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ผู้ผลิตมีจำนวนน้อยส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ ไม่มีการทำการตลาด ปัจจุบันหยุดการผลิต 2) เสนอแนวทาง และสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นหัตถกรรมไม้ไผ่ขด จากสถานการณ์ปัจจุบันเพื่อเป็นการอนุรักษ์สืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นหัตถกรรมไม้ไผ่ให้คงอยู่ต่อไป จึงเลือกการจัดเก็บองค์ความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นให้เป็นรูปธรรมโดยการถ่ายทอดขั้นตอนการผลิต ด้วยวิธีการอธิบายบนชิ้นงาน และการสาธิต จดบันทึกรวบรวมข้อมูล สรุป และจัดทำเป็นคู่มือภูมิปัญญาท้องถิ่นหัตกรรมไม้ไผ่ขด ตำบลป่าบง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ สามารถเผยแพร่ให้กับผู้ที่สนใจ ชุมชน และสังคม ต่อไป</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/286728 ผลกระทบของสภาพแวดล้อมการทำงาน ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง และความยึดมั่นผูกพันในงาน ที่มีต่อผลการปฏิบัติงานของหัวหน้างานบัญชีที่ปฏิบัติงานสำนักงานบัญชี 2025-06-13T11:17:32+07:00 ฐิติรัตน์ มีมาก thitirat.me@northbkk.ac.th วิชุตา นาคเถื่อน wichuta.na@northbkk.ac.th ศุภกิจ รูปสุวรรณกุล supphakit.roo@northbkk.ac.th พินิจ แกล้วเกษตรกรณ์ phinit.ke@northbkk.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) สภาพแวดล้อมการทำงานของสำนักงานบัญชี ในกลุ่มภาคกลางตอนบน 1 2) ระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง ความยึดมั่นผูกพันในงาน และระดับผลการปฏิบัติงานของหัวหน้างานบัญชีที่ปฏิบัติงานสำนักงานบัญชีในกลุ่มภาคกลางตอนบน 1 และ 3) ผลกระทบของสภาพแวดล้อมในการทำงาน ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง และความยึดมั่นผูกพันในงานที่มีต่อผลการปฏิบัติงานของหัวหน้างานบัญชีที่ปฏิบัติงานสำนักงานบัญชีในกลุ่มภาคกลางตอนบน 1 ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ หัวหน้างานบัญชีของสำนักงานบัญชีในกลุ่มภาคกลางตอนบน 1 จำนวน 216 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ และการวิเคราะห์เส้นทาง (Path Analysis)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพแวดล้อมการทำงานของสำนักงานบัญชีในกลุ่มภาคกลางตอนบน 1 ภาพรวมมีสภาพแวดล้อมการทำงานอยู่ในระดับดี 2) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของหัวหน้างานบัญชีที่ปฏิบัติงานสำนักงานบัญชีในกลุ่มภาคกลางตอนบน 1 ภาพรวมมีภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงอยู่ในระดับมาก 3) ความยึดมั่นผูกพันในงานของหัวหน้างานบัญชีที่ปฏิบัติงานสำนักงานบัญชีในกลุ่มภาคกลางตอนบน 1 ภาพรวมความยึดมั่นผูกพันในงานอยู่ในระดับมาก 4) ผลการปฏิบัติงานของหัวหน้างานบัญชีที่ปฏิบัติงานสำนักงานบัญชีในกลุ่มภาคกลางตอนบน 1 ภาพรวมมีผลการปฏิบัติงานอยู่ในระดับดี 5) สภาวะแวดล้อมการทำงานในด้าน (1) งานที่สร้างสรรค์และท้าทาย (2) การสนับสนุนจากทีมงาน (3) การมีทรัพยากรที่เพียงพอ ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงในด้าน (1) การกระตุ้นเร้าให้เกิดแรงบันดาลใจ (2) การกระตุ้นทางปัญญา ความยึดมั่นผูกพันในงานในด้าน (1) พลังการทำงาน (2) การอุทิศตน (3) การให้เวลากับงานมีความสัมพันธ์และส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อผลการปฏิบัติงาน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และ 0.05 โดยส่งผลกระทบถึงร้อยละ 98.10 (R2 =0.981) ส่วนภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงในด้าน (1) การมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ และ (2) การคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล ส่งผลกระทบทางอ้อมต่อผลการปฏิบัติงานโดยผ่านความยึดมั่นผูกพันในงาน</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/290051 การพัฒนาความสามารถด้านการรู้เท่าทันสื่อดิจิทัลโดยใช้เทคโนโลยี AI Chatbot สำหรับนักเรียนมัธยมศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 5 2025-06-11T10:44:24+07:00 สุภาพร เย็นเหลือ supaporn.it@nmc.ac.th อรณิชชา ทศตา onnitcha@nmc.ac.th สิตา ทัพมงคล sita@nmc.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาหลักสูตรเสริมทักษะการรู้เท่าทันสื่อดิจิทัลโดยใช้เทคโนโลยี AI Chatbot 2) เปรียบเทียบความสามารถด้านการรู้เท่าทันสื่อดิจิทัลของนักเรียนก่อนและหลังการเข้าร่วมหลักสูตรเสริมทักษะการใช้เทคโนโลยี AI Chatbot และ 3) เพื่อศึกษาเจตคติของนักเรียนที่มีต่อการใช้เทคโนโลยี AI Chatbot เพื่อพัฒนาทักษะการรู้เท่าทันสื่อดิจิทัล กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 32 คน โดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือคือ 1) หลักสูตรเสริมทักษะการรู้เท่าทันสื่อดิจิทัลโดยใช้เทคโนโลยี AI Chatbot จำนวน 15 ชั่วโมง 2) แบบทดสอบวัดความสามารถด้านการรู้เท่าทันสื่อดิจิทัล จำนวน 30 ข้อ 3) แบบประเมินชิ้นงานด้านการรู้เท่าทันสื่อดิจิทัล และ 4) แบบวัดเจตคติต่อการใช้เทคโนโลยี AI Chatbot เพื่อพัฒนาทักษะการรู้เท่าทันสื่อดิจิทัล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและทดสอบค่าที</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) หลักสูตรเสริมทักษะการรู้เท่าทันสื่อดิจิทัลโดยใช้ AI Chatbot ที่พัฒนาขึ้น ประกอบด้วย หน่วยการเรียนรู้ที่เน้นกระบวนการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับ AI เพื่อสร้างการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม โดยเนื้อหาครอบคลุมองค์ประกอบของการรู้เท่าทันสื่อ ได้แก่ การเข้าถึง การวิเคราะห์ การประเมิน การสังเคราะห์ และการผลิตสื่ออย่างมีจริยธรรม 2) ผลการเปรียบเทียบความสามารถด้านการรู้เท่าทันสื่อดิจิทัลก่อนและหลังการเรียน พบว่า นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; .05) แสดงให้เห็นว่าหลักสูตรและเทคโนโลยี AI Chatbot มีประสิทธิผลในการเสริมสร้างความสามารถในการรู้เท่าทันสื่อดิจิทัล และ 3) เจตคติของนักเรียนที่มีต่อการใช้ AI Chatbot ส่วนใหญ่อยู่ในระดับดีถึงดีมาก โดยนักเรียนเห็นว่าเทคโนโลยีช่วยให้การเรียนรู้สนุก เข้าใจง่าย และสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองทุกที่ทุกเวลา ทั้งยังช่วยกระตุ้นความสนใจและส่งเสริมการคิดวิเคราะห์เกี่ยวกับข้อมูลในสื่อดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/288908 อิทธิพลของกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่มีต่อพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อ ของผู้บริโภคในยุคดิจิทัล 2025-06-11T14:57:23+07:00 วิศาล ภุชฌงค์ Wisan@nmc.ac.th อรณิชชา ทศตา onnitcha@nmc.ac.th ศิรินธร เอี๊ยบศิริเมธี eapsirimetee@gmail.com <p>วัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อศึกษาระดับความสำคัญ ความสัมพันธ์ระหว่างอิทธิพลของกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ต่อพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค และสร้างสมการพยากรณ์ กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้บริโภคที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา จำนวน 398 คน เครื่องมือคือ แบบสอบถามที่มีความเที่ยง เท่ากับ 0.87 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ความสำคัญด้านอิทธิพลของกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยการบริการลูกค้าออนไลน์ (X<sub>5</sub>) มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาคือ โปรโมชั่นออนไลน์ (X<sub>8</sub>) และความสะดวกของช่องทางการซื้อขายออนไลน์ (X<sub>6</sub>) ตัวแปรอิทธิพลของกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ทุกตัวมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์กับพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคในยุคดิจิทัล อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ สมการพยากรณ์มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เชิงพหุคูณ (R) เท่ากับ 0.798 และมีค่า R² = 0.637 สามารถอธิบายความแปรปรวนของพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อได้ร้อยละ 63.7</p> <p>การวิจัยนี้ได้ขยายองค์ความรู้ทั้งในเชิงทฤษฎี โดยช่วยเติมเต็มองค์ความรู้ด้านการตลาดดิจิทัล และในเชิงปฏิบัติ โดยเสนอแนวทางจัดลำดับความสำคัญของกลยุทธ์และพัฒนาสมการพยากรณ์ที่ใช้วางแผนการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะสำหรับผู้ประกอบการ SMEs</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/281096 สถานะทางกฎหมายของที่กัลปนาตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 2025-06-18T13:52:04+07:00 วรรณทนี รุ่งเรืองสภากุล wantaneekochan@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาสถานะทางกฎหมายของที่กัลปนาตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ 2) วิเคราะห์สถานะทางกฎหมายตลอดถึงการได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย 3) ศึกษาถึงรูปแบบและการจัดการที่กัลปนา และ 4) เสนอแนะแนวทางในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายที่มีอยู่แล้วและกฎหมายที่จะบัญญัติขึ้นใหม่</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) กฎกระทรวงได้ให้อำนาจแก่วัดในการนำที่กัลปนาออกจัดหาผลประโยชน์ในรูปแบบของการเช่าซึ่งไม่สอดคล้องกับพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 และกำหนดแต่เพียงวิธีการที่วัดจะจัดหาผลประโยชน์ในที่กัลปนา แต่ไม่มีรายละเอียดของการอุทิศแต่ผลประโยชน์ในที่กัลปนาแต่อย่างใด 2) พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มีหลายมาตราที่ใช้ถ้อยคำว่า พระศาสนา ทำให้ยากในการศึกษาและทำความเข้าใจว่าหมายถึงหน่วยงานและองค์กรใด</p> <p> ข้อเสนอแนะ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 และกำหนดคำนิยามของพระศาสนาให้ชัดเจน รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงเพื่อให้ครอบคลุมกรณีของที่กัลปนาเพื่อสร้างความชัดเจนให้กับผู้อุทิศและวัดที่รับมอบที่กัลปนาดังกล่าว</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/288506 ระบบบริหารจัดการตัวแทนออกของ (CBMS): สถาปัตยกรรมระบบใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการนำเข้าสินค้าทางทะเลของประเทศไทย 2025-06-11T09:47:59+07:00 ศุภมาส ศีติสาร ssjnsj@yahoo.com นันทิ สุทธิการนฤนัย nanthi_sut@utcc.ac.th วิชญุตร์ งามสะอาด witchayut_tim@utcc.ac.th <p>ในบริบทของการค้าโลกยุคดิจิทัล ระบบศุลกากรของไทยยังคงเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น ความล่าช้าในการจำแนกรหัสพิกัดศุลกากร ความซ้ำซ้อนของข้อมูล และการขาดความเชื่อมโยงกับระบบภายนอก ส่งผลให้กระบวนการนำเข้าสินค้าทางทะเลมีประสิทธิภาพต่ำ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและประเมินระบบบริหารจัดการตัวแทนออกของ (Customs Broker Management System: CBMS) โดยผสานเทคโนโลยีสมัยใหม่ ได้แก่ การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing: NLP), การสืบค้นข้อมูล (Information Retrieval: IR) และ Blockchain เพื่อเพิ่มความแม่นยำ ความรวดเร็ว และความโปร่งใสของกระบวนการศุลกากร การวิจัยดำเนินการในบริบทของบริษัท ไทยสมเด็จ จำกัด โดยใช้แนวทางวิจัยเชิงประยุกต์ ออกแบบระบบตามสถาปัตยกรรมแบบ Service-Oriented Architecture (SOA) และพัฒนาโมดูลหลัก ได้แก่ โมดูลจำแนก HS Code อัตโนมัติ, โมดูลตรวจสอบเอกสารด้วย Blockchain และ Web Application เพื่อการเชื่อมโยงกับ NDTP และ NSW ระบบต้นแบบถูกทดลองใช้จริงในช่วงเดือนตุลาคมถึงธันวาคม 2567 กับกลุ่มลูกค้าของบริษัทที่ใช้บริการตัวแทนออกของ</p> <p> ผลการประเมินพบว่า ระบบสามารถเพิ่มความแม่นยำในการจำแนก HS Code จาก 71.6% เป็น 91.3% และลดระยะเวลาการดำเนินงานจาก 12.5 นาที เหลือเพียง 6.8 นาทีต่อรายการ นอกจากนี้ ยังได้รับคะแนนความพึงพอใจเฉลี่ยจากผู้ใช้งานอยู่ที่ 4.42 จาก 5 คะแนน โดยเฉพาะในด้านความเข้าใจง่ายและความสามารถในการลดภาระงานซ้ำซ้อน CBMS จึงไม่เพียงเป็นนวัตกรรมทางเทคโนโลยี แต่ยังเป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ที่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างภาคธุรกิจและภาครัฐ เสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระบบโลจิสติกส์และการค้าระหว่างประเทศ และเป็นแนวทางต้นแบบในการพัฒนาระบบศุลกากรดิจิทัลอย่างยั่งยืน</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/279218 ปัจจัยส่วนประสมการตลาดที่มีผลต่อการตัดสินใจส่งบุตรหลานเข้าศึกษาต่อโรงเรียนประถมศึกษาเอกชน กรณีศึกษาโรงเรียนลำพูนพัฒนา จังหวัดลำพูน 2025-01-17T15:17:45+07:00 วิชาดา มหาพรหมวัน wichada.mpw@gmail.com สิรินี ว่องวิไลรัตน์ sirinee.ntc@gmail.com วลัยลักษณ์ พันธุรี walailak@northern.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ในการวิจัยเพื่อ 1) ศึกษาระดับปัจจัยส่วนบุคคลบุคคลของผู้ปกครองที่ส่งบุตรหลานเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนลำพูนพัฒนา จังหวัดลำพูน 2) ศึกษาปัจจัยส่วนประสมการตลาดที่มีผลต่อการตัดสินใจของผู้ปกครองในการส่งบุตรหลานเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนโรงเรียนลำพูนพัฒนา จังหวัดลำพูน 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดกับการตัดสินใจส่งบุตรหลานเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนลำพูนพัฒนา จังหวัดลำพูน ซึ่งกลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ผู้ปกครองของนักเรียน ในโรงเรียนลำพูนพัฒนา จังหวัดลำพูน จำนวน 144 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้วิเคราะห์ขอ้มูลได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์และการวิเคราะห์ถดถอย</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยส่วนประสมการตลาดที่มีผลต่อการตัดสินใจส่งบุตรหลานเข้าศึกษาต่อโรงเรียนประถมศึกษาเอกชน กรณีศึกษาโรงเรียนลำพูนพัฒนา จังหวัดลำพูนมีความสำคัญระดับมาก โดยในด้านบุคคลมีระดับความสำคัญสูงสุด 2) ส่วนการตัดสินใจส่งบุตรหลานเข้าเรียนโรงเรียนอนุบาลนั้นการตัดสินใจเลือกทางเลือกมีความสำคัญระดับสูงสุด และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดกับการตัดสินใจส่งบุตรหลานเข้าเรียนมีความสัมพันธ์เชิงบวก โดยพบว่าปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่มีอิทธิพลมากที่สุดต่อการตัดสินใจส่งบุตรหลานเข้าเรียน คือปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์ (X<sub>1</sub>) รองลงมาคือปัจจัยด้านลักษณะทางกายภาพ (X<sub>7</sub>) และปัจจัยอื่น ๆ ตามลำดับ ได้แก่ ด้านบุคคล (X<sub>5</sub>) ด้านการส่งเสริมการตลาด (X<sub>4</sub>)และปัจจัยด้านราคา (X<sub>2</sub>) ซึ่งปัจจัยเหล่านี้สามารถร่วมกันพยากรณ์การตัดสินใจส่งบุตรหลานเข้าเรียนโรงเรียนอนุบาลเอกชน ในจังหวัดลำพูน ได้ร้อยละ 61.40 สมการการถดถอยพหุคูณ ดังนี้คะแนนดิบ Y = .372 + .256X1 + .213X7 + .186X5 + .145X4 + .123X2</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/289195 การศึกษาปัจจัยของการยอมรับเทคโนโลยีการเกษตรตามมาตรฐาน GAP และผลต่อประสิทธิผลของผลผลิตมะพร้าว: กรณีเกษตรกรในอำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 2025-06-13T11:34:26+07:00 ภาณุ สมศรี piyanate_nak@utcc.ac.th นรินทร์ เนียมน้อย piyanate_nak@utcc.ac.th ศิวนารถ พงศ์วิสิษฐ์ piyanate_nak@utcc.ac.th ปิยะเนตร นาคสีดี piyanate_nak@utcc.ac.th <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาระดับการยอมรับเทคโนโลยีการผลิตผลผลิตมะพร้าวทางการเกษตรที่ดี (GAP) ของเกษตรกรในพื้นที่อำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 2) เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนบุคคล ของเกษตรกรในพื้นที่อำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 3) เพื่อศึกษาการผลิตมะพร้าวตามการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP) ของเกษตรกรในพื้นที่อำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 4) เพื่อศึกษาประสิทธิผลของมะพร้าว ของเกษตรกรในพื้นที่อำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 5) เพื่อศึกษาอิทธิพลของปัจจัยส่วนบุคคล ระดับการยอมรับเทคโนโลยีการผลิตผลผลิตมะพร้าวทางการเกษตรที่ดี (GAP) การผลิตมะพร้าวตามการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP) ที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของมะพร้าวของเกษตรกรในพื้นที่อำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ ประชากร คือเกษตรกรผู้ปลูกมะพร้าวในอำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 400 คน สุ่มตัวอย่างโดยใช้ความสะดวก (Convenience Sampling) จำนวน 400 คน สุ่มตัวอย่างตามสูตร ทาโร่ ยามาเน่ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ ใช้สถิติเชิงพรรณนา และทดสอบสมมุติฐานด้วยการวิเคราะห์ตัวแบบเชิงเส้นนัยทั่วไป General Linear Model (GLM)</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) ปัจจัยส่วนบุคคลมีนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 บ่งชี้ว่าปัจจัยส่วนบุคคล บางด้านมีอิทธิพลต่อการส่งผลต่อประสิทธิผลของผลผลิตมะพร้าวโดยพบว่า อายุ (P=0.006) มีอิทธิพลต่อการส่งผลต่อประสิทธิผลของผลผลิตมะพร้าวอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่เพศ (P=0.186) การศึกษา (P=0.596) จำนวนแรงงานในครอบครัว (P=0.864) รายได้จากช่องทางอื่นๆ (P=0.264) จำนวนพื้นที่ปลูกมะพร้าว (P=0.644) การปฏิบัติตามมาตรฐาน GAP (P=0.878) ไม่พบว่ามีอิทธิพลต่อการส่งผลต่อประสิทธิผลของผลผลิตมะพร้าว 2) การยอมรับเทคโนโลยีการผลิตผลผลิตมะพร้าวตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี(GAP) มีนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 บ่งชี้ว่าการยอมรับเทคโนโลยีการผลิตผลผลิตมะพร้าวตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP) บางด้านมีอิทธิพลต่อการส่งผลต่อประสิทธิผลของผลผลิตมะพร้าว โดยพบว่า การยอมรับเทคโนโลยีการผลิตด้านการยอมรับด้านพื้นที่ (P=0.022) การยอมรับเทคโนโลยีการผลิตด้านการยอมรับในการใช้วัตถุอันตราย (P=0.002) การยอมรับเทคโนโลยีการผลิตด้านการยอมรับการจัดการกระบวนการผลิต (P=0.026) การยอมรับเทคโนโลยีการผลิตด้านการยอมรับด้านการบันทึกข้อมูล (P=0.040) มีอิทธิพลต่อการส่งผลต่อประสิทธิผลของผลผลิตมะพร้าวอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่การยอมรับเทคโนโลยีการผลิต ด้านการยอมรับด้านแหล่งน้ำ (P=0.614) และการยอมรับเทคโนโลยีการผลิตด้านการยอมรับด้านการเก็บเกี่ยวและการปฏิบัติ หลังการเก็บเกี่ยว (P=0.421) ไม่พบว่ามีอิทธิพลต่อการส่งผลต่อประสิทธิผลของผลผลิตมะพร้าว3) การยอมรับเทคโนโลยีการผลิตผลผลิตมะพร้าวตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี(GAP) และการปฏิบัติงานตามรูปแบบการผลิตมะพร้าวตามการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP) มีผลโดยรวมมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 ค่า Adjusted R Squared อยู่ที่ 0.170 แสดงให้เห็นว่าการยอมรับเทคโนโลยีการผลิตผลผลิตมะพร้าวตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี(GAP) (P=0.003) ส่งผลต่อประสิทธิผลของผลผลิตมะพร้าว และการปฏิบัติงานตามรูปแบบการผลิตมะพร้าวตามการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP) (P=0.479) ไม่ส่งผลต่อประสิทธิผลของผลผลิตมะพร้าว สามารถอธิบายความแปรปรวนของประสิทธิผลของผลผลิตมะพร้าวได้ร้อยละ 17</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/289934 การพัฒนาสมรรถนะของพนักงานกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตในจังหวัดตาก 2025-06-13T11:27:00+07:00 ศักดิ์ดา เกิดการ sakdapathum@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการพัฒนาสมรรถนะของพนักงาน กลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตในจังหวัดตาก 2) เปรียบเทียบการพัฒนาสมรรถนะของพนักงาน จำแนกตาม ปัจจัยส่วนบุคคล 3) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาสมรรถนะของพนักงาน และ4) หาความสัมพันธ์ ระหว่างปัจจัยภายในองค์การกับการพัฒนาสมรรถนะของพนักงาน กลุ่มตัวอย่าง คือ พนักงานกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตในจังหวัดตาก จำนวน 396 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน รวมถึงสถิติเชิงอนุมานได้แก่ Independent Sample t-test, One-Way ANOVA และการถคถอยแบบพหุคุณ (Multiple Regression)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) การวิเคราะห์ปัจจัยส่วนบุคคล โดยกลุ่มประชากรส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุ 31-40 ปี การศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี อายุงานต่ำกว่า 5 ปี และมีรายได้ 10,001-15,000 บาท 2) การพัฒนาสมรรถนะของพนักงาน ภาพรวมอยู่ในระดับ มากที่สุด (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=4.25 , S.D. = 0.54) 3) การศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาสมรรถนะของพนักงาน พบว่า ปัจจัยภายในองค์การ มีนัยสำคัญทางสถิติที่ α = .05 และ 4) ผลการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยภายในองค์การกับการพัฒนาพบว่า ปัจจัยภายในองค์การมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการพัฒนาสมรรถนะของพนักงานในระดับสูง โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (r) เท่ากับ 0.843 และมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/283825 ปัจจัยการสื่อสารที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยธนบุรี 2025-07-02T10:40:25+07:00 เมษาวดี สุขกรี mesawadi_dbc@thonburi-u.ac.th ฉัตรชัย เหล่าเขตการณ์ Chatchai_lm@thonburi-u.ac.th พนัส อุณหบัณฑิต Panus@thonburi-u.ac.th <p>บทความวิจัยนี้วัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาปัจจัยการสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการ ปัจจัยการสื่อสารแบบปากต่อปากอิเล็กทรอนิกส์ และปัจจัยการตัดสินใจที่ส่งผลต่อการเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีของนักศึกษามหาวิทยาลัยธนบุรี เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี (Mixed Methods Research) แบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) ใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) กลุ่มตัวอย่างเป็น นักศึกษาระดับปริญญาตรีชั้นปีที่ 1 ประจำปีการศึกษา 2566 จำนวน 349 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา (Description Statistics) และการทดสอบสมมติฐาน สมการถดถอยพหุคูณ และระยะที่ 2 การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยการสัมภาษณ์แบบกลุ่ม Focus Group Discussion จากกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มผู้ใช้บัณฑิต กลุ่มนักศึกษาปัจจุบันที่กำลังษาอยู่ในชั้นปีที่ 1 และกลุ่มศิษย์เก่า มีรูปแบบคำถามอ้างอิงตามผลการวิจัยทางสถิติและการทดสอบสมมติฐาน สามารถสรุปผลการวิจัยได้ดังนี้ </p> <p> ผลการวิจัยระยะที่ 1 พบว่า (1) ปัจจัยการสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยธนบุรี ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านการตลาดทางตรง (2) ปัจจัยการสื่อสารแบบปากต่อปากอิเล็กทรอนิกส์ ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านความหนาแน่นของความคิดเห็นบนสื่อสังคมออนไลน์ และ (3) ปัจจัยการตัดสินใจที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยธนบุรี ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านการประเมินทางเลือก 4) ปัจจัยการสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการ ปัจจัยการสื่อสารแบบปากต่อปากอิเล็กทรอนิกส์ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรีมหาวิทยาลัยธนบุรี ได้แก่ ปัจจัยการสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการด้านการตลาดทางตรง มีเพียงด้านเดียวที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเข้าศึกษาต่อ ส่วนด้านอื่น ๆ ได้แก่ ด้านส่งเสริมการขาย ด้านการประชาสัมพันธ์ ด้านการโฆษณา ด้านการตลาดเชิงกิจกรรม ไม่ส่งผลต่อการตัดสินใจเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรีมหาวิทยาลัยธนบุรี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ปัจจัยการสื่อสารแบบปากต่อปากอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ ด้านความหนาแน่นของความคิดเห็น ด้านคุณค่าทางความคิดเห็น และด้านเนื้อหา (Content) ส่งผลต่อการตัดสินใจเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยธนบุรี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> <p> ผลการวิจัยในระยะที่ 2 พบว่า กลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญทั้ง 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มผู้ใช้บัณฑิต กลุ่มนักศึกษาปัจจุบันที่กำลังษาอยู่ในชั้นปีที่ 1 และกลุ่มศิษย์เก่า เห็นด้วยกับผลการวิจัยในระยะที่ 1 เนื่องจากมหาวิทยาลัยธนบุรีมีผลการดำเนินการที่เป็นที่ประจักษ์ในปัจจัยการสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการ ด้านการตลาดทางตรง และปัจจัยการสื่อสารแบบการบอกต่อปากต่อปากอิเล็กทรอนิกส์</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/277246 The Development of Chinese Calligraphy Skill of Students in Chongzuo Preschool Education College Using Problem-Based Learning 2025-06-13T11:05:18+07:00 Guopei Huang 1762327578@qq.com Sirikarn Thanawutpornphinit Sirikarnt@gmail.com <p>The objectives of this study were 1) to analyze the application and research status of Problem-Based Learning (PBL) teaching method in China. 2) to integrate Problem-Based Learning (PBL) teaching method with Chinese calligraphy teaching. and 3) to study students' satisfaction with Problem-Based Learning (PBL) teaching method. Taking 70 students majoring in Chinese education in Chongzuo Preschool Education College as the total population and 60 students as samples. This study used research instruments including literature review, testing, questionnaire survey, and data analysis to explore the feasibility of integrating PBL teaching mode into Chinese calligraphy teaching for normal students.</p> <p> The result of this study found that 1) Posttest achievement was statistically higher than pretest. 2) The post test score is significantly higher than the 75% standard. 3)The satisfaction of the students was at the highest level. Overall, Problem-Based Learning (PBL) teaching method was able to significantly improve students' comprehensive abilities such as analytical ability, problem solving ability, autonomous learning ability, self-assessment ability and teamwork ability. Compared with traditional teaching methods, students' learning interest, classroom satisfaction and Chinese writing level were significantly improved.</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/277191 Development of English Reading Comprehension of Vocational College Students Using Hierarchical Task-based Language Teaching 2025-06-11T15:16:44+07:00 Yimin Lian 1762327578@qq.com Suthiporn Boonsung suthipornb@gmail.com <p>The main objectives of this study were to: 1) compare learning achievement on English reading comprehension between pre-test and post-test, 2) compare learning achievement on English reading comprehension with the 75% criteria, 3) to study students’ satisfaction on English reading comprehension using Hierarchical task-based language teaching. The sample was the -32 first-year non-English major students in Guangxi Agricultural Vocational and Technical University conducted by simple random sampling. Research tools included of 1) a lesson plan using Hierarchical task-based language teaching, a 30-question achievement test, which had an itemt objective consistency values (0.60 ≤ IOC≤ 1.00), difficulty values (0.53-0.75), identification values (0.25-0.68), and Lovett confidence values (0.84). and a 15-item satisfaction questionnaire, had an Alpha Cronbach confidence score (0.76). The research design was one group pre-test post-test design. The statistics used for data analysis were mean, percentage, standard deviation and T<em>-</em>test.</p> <p>The results are as follows<em>: </em>1)The post<em>-</em>test score of English reading comprehension using Hierarchical task-based language teaching was significantly higher than the pre<em>-</em>test score at <em>.</em>01 level<em>.</em> 2)<em>The</em> post<em>-</em>test score of English reading comprehension using Hierarchical task-based language teaching was significantly higher than the 75<em>% </em>of the criteria. 3<em>)</em> The students’ satisfaction of English reading comprehension using Hierarchical task-based language teaching was at the highest level. 4<em>.</em>71, S.D. = 0.56</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/283138 ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกบริษัทรับสร้างบ้านของผู้บริโภคในจังหวัดเชียงใหม่ 2025-07-23T16:04:56+07:00 นรินทร์ ดวงเดช gearnarin@gmail.com นลินฉัตร์ ธราสิริวีรภัทร gearnarin@gmail.com ฟ้าวิกร อินลวง gearnarin@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด 7P และการตัดสินใจเลือกใช้บริการบริษัทรับสร้างบ้านของผู้บริโภคในจังหวัดเชียงใหม่ 2) เปรียบเทียบการตัดสินใจเลือกใช้บริการบริษัทรับสร้างบ้านของผู้บริโภคในจังหวัดเชียงใหม่จำแนกตามรายได้และขนาดครอบครัว (3) ศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด 7P ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการบริษัทรับสร้างบ้านของผู้บริโภคในจังหวัดเชียงใหม่ การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ประชากรที่มีภูมิลำเนาในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 400 คน วิธีสุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการวิจัย สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การวิเคราะห์สมการถดถอยพหุคูณแบบเอนเทอร์ กำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 </p> <p> ผลการวิจัยพบว่า1) ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด และกระบวนการตัดสินใจ ผลการศึกษาอยู่ในระดับความสำคัญมากที่สุด 2) ปัจจัยส่วนบุคคล ผลการศึกษาด้านรายได้ต่างกันมีการตัดสินใจเลือกบริษัทรับสร้างบ้านในภาพรวมของผู้บริโภคในจังหวัดเชียงใหม่แตกต่างกัน ด้านจำนวนสมาชิกในครอบครัวต่างกันมีการตัดสินใจเลือกบริษัทรับสร้างบ้านของผู้บริโภคในจังหวัดเชียงใหม่ในภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ 3) ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด 7P ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการบริษัทรับสร้างบ้านของผู้บริโภคในจังหวัดเชียงใหม่ มี 5 ด้าน ได้แก่ ด้านราคา ด้านกระบวนการ ด้านบุคคล ด้านลักษณะทางกายภาพ และด้านผลิตภัณฑ์ ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/288569 ความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียต่อหลักสูตรแพทย์จีนบัณฑิต วิทยาลัยนครราชสีมา 2025-06-11T09:54:18+07:00 ศิริพร พจน์พาณิชพงศ์ siriporn_tcm@nmc.ac.th ศญาดา ด่านไทยวัฒนา siriporn_tcm@nmc.ac.th สุธาสินี สายวดี siriporn_tcm@nmc.ac.th วิไรรัตน์ อนันตกลิ่น siriporn_tcm@nmc.ac.th สมรัชนี ศรีฟ้า siriporn_tcm@nmc.ac.th สาคร แง้นกลางดอน siriporn_tcm@nmc.ac.th ณรงค์ศักดิ์ รุ่งเรืองสกุลไชย siriporn_tcm@nmc.ac.th <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียต่อหลักสูตรแพทย์จีนบัณฑิต วิทยาลัยนครราชสีมา การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี ผู้ให้ข้อมูล คือ ผู้มีส่วนได้เสียต่อการจัดการหลักสูตร จำนวนทั้งสิ้น 56 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ผู้มีส่วนได้เสียมีความเห็นว่า ผู้สำเร็จการศึกษาจากหลักสูตรการแพทย์แผนจีนบัณฑิต วิทยาลัยนครราชสีมาควรเป็นบัณฑิตที่ (1) มีความรู้และสามารถจดจำจุดฝังเข็มที่ใช้บ่อยและฝังเข็มรักษากลุ่มอาการหรือโรคที่พบบ่อย เช่น กลุ่มอาการปวด ฟื้นฟูผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (2) มีคุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพ (3) กระตือรือร้นในการแสวงหาความรู้ด้านต่างๆด้วยตนเองอยู่ตลอดเวลา (Life-long learning) (4) มีความสามารถในตรวจวินิจฉัยโรคทางการแพทย์แผนจีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ (5) มีภาวะเป็นผู้นำและผู้ตามที่ดี มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี กล้าแสดงความคิดเห็นและรับฟังความคิดเห็นผู้อื่น (6) สามารถอ่านผลตรวจทางห้องปฏิบัติการของแพทย์แผนปัจจุบันได้ และ มีทักษะการใช้ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน และการใช้เทคโนโลยีสาระสนเทศ (7) มีความรู้ด้านการตรวจวินิจฉัยโรคทางการแพทย์แผนปัจจุบัน (8) สามารถจดจำตัวยาและตำรับยาจีนที่ใช้บำรุงร่างกายรวมถึงรักษาโรคด้วยสมุนไพรจีนได้ (9) สามารถนวดทุยหนารักษากลุ่มอาการปวดและนวดฟื้นฟูกล้ามเนื้อได้</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/281965 แนวทางการออกแบบที่พักแบบพำนักระยะยาว (Long Stay) เพื่อรองรับผู้สูงอายุชาวสแกนดิเนเวีย กรณีศึกษาจังหวัดระยอง 2025-06-10T16:10:41+07:00 ปานฝัน รังสิกวานิช Panfan.kawtu@gmail.com วรรณยศ บุญเพิ่ม Panfan.kawtu@gmail.com <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1)เพื่อศึกษาพฤติกรรมและความต้องการในที่พักอาศัยของผู้สูงอายุชาวสแกนดิเนเวีย2) เพื่อพัฒนาแนวทางการออกแบบที่พักแบบพำนักระยะยาว (Long Stay) เพื่อรองรับผู้สูงอายุชาว สแกนดิเนเวีย สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจการท่องเที่ยวแบบพำนักระยะยาว (Long Stay) งานวิจัยฉบับนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เพื่อศึกษาแนวทางการออกแบบที่พักแบบพำนักระยะยาว (Long Stay) เพื่อรองรับผู้สูงอายุชาวสแกนดิเนเวีย กรณีศึกษาจังหวัดระยอง โดยศึกษาพฤติกรรมและความต้องการในที่พักอาศัยของผู้สูงอายุชาวสแกนดิเนเวีย ขอบเขตพื้นที่อำเภอ แกลงจังหวัดระยอง โดยใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกจากการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จำนวน 10 คน ซึ่งมีอายุ 60 ปีขึ้นไปและมีระยะเวลาพักอาศัยในประเทศไทยตั้งแต่ 30 วันขึ้นไป เพื่อในด้านเศรษฐกิจและเชิงพาณิชย์ โดยจากการศึกษาพฤติกรรมและความต้องการในที่พักอาศัยของผู้สูงอายุชาวสแกนดิเนเวีย</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ผู้สูงอายุชาวสแกนดิเนเวียมีความต้องการในพื้นที่พักอาศัยที่สงบ ไม่วุ่นวาย ใกล้ทะเล ใกล้โรงพยาบาล ที่พักอาศัยต้องเข้าถึงได้ทุกจุดของที่พักอาศัย ทุกพื้นที่ต้องสามารถใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ทั้งหมด โดยส่วนมากจึงมีความต้องการที่พักเพียงชั้นเดียว เนื่องจากปัญหาด้านสุขภาพในระยะยาวที่ไม่สะดวกกับการขึ้นบันไดหลายชั้น ทำให้ไม่ได้มีความจำเป็นมากในการใช้พื้นที่พักอาศัยขนาดใหญ่</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/283403 รูปแบบการพัฒนาการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ในองค์กรด้วยภาวะผู้นำเชิงพุทธ 2025-07-02T10:56:20+07:00 ภัสสรรัชต์ กฤษณะโลม johnny53450303@hotmail.com <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ในองค์กรด้วยภาวะผู้นำเชิงพุทธ 2) เพื่อพัฒนาการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ในองค์กรด้วยภาวะผู้นำเชิงพุทธ 3) เพื่อนำเสนอรูปแบบพัฒนาการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ในองค์กรด้วยภาวะผู้นำเชิงพุทธ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ 1) เป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ ประชากร คือ บุคคลากร ขององค์กรธุรกิจเกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยที่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จำนวน 17,504 คน จากจำนวนพนักงานประจำปีงบประมาณ 2565 จำนวน 400 คน จากสูตรคำนวณขนาดตามวิธีของทาโร่ยามาเน่เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ สถิติพรรณนา ได้แก่ ค่าสถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ผู้นำเชิงพุทธมีบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ในองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถตอบสนองต่อวัตถุประสงค์ของการวิจัยที่ต้องการศึกษาวิธีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในองค์กรด้วยภาวะผู้นำเชิงพุทธ และสามารถนำเสนอรูปแบบการพัฒนาที่เหมาะสมสำหรับองค์กรได้อย่างชัดเจน</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/282024 ประสิทธิภาพการบริหารการฝึกอบรมที่ส่งผลต่อการยกระดับผลการปฏิบัติงานของผู้รับการฝึกอบรม 2025-06-10T16:26:39+07:00 ตุลาพร ดำรงค์สกุล nattawat.besttwpgroup@gmail.com เลิศชัย สุธรรมานนท์ lertchaisut@gmail.com <p>งานวิจัยนี้เพื่อศึกษาถึงระดับความคิดเห็นด้านประสิทธิภาพการบริหารการฝึกอบรมและผลลัพธ์ของการฝึกอบรม และศึกษาประสิทธิภาพการบริหารการฝึกอบรมที่ส่งผลต่อการยกระดับผลการปฏิบัติงานของผู้รับการฝึกอบรม เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการวิจัย โดยมีกลุ่มตัวอย่างจำนวน 300 คน เก็บรวบรวมข้อมูลจากพนักงานธนาคาร โดยมีวิธีการคัดเลือกผู้ให้ข้อมูลสำคัญแบบสะดวก และใช้การวิเคราะห์ข้อมูลตามหลักการทางสถิติพื้นฐาน และสถิติเชิงอนุมานโดยการทดสอบและวิเคราะห์สมการถดถอยเชิงพหุ</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า 1) ปัจจัยประสิทธิภาพการบริหารฝึกอบรมในภาพรวมอยู่ในระดับที่เห็นด้วยมากที่สุดโดยให้ความสำคัญในเรื่องของแรงจูงใจในการนำการฝึกอบรมไปใช้มาเป็นอันดับแรก รองลงมาคือความพร้อมในการฝึกอบรม และกระบวนการฝึกอบรม ส่วนผลลัพธ์ของการฝึกอบรมภาพรวมอยู่ในระดับที่เห็นด้วยมากที่สุด โดยให้ความสำคัญในเรื่องของความพึงพอใจในการอบรม รองลงมาคือการถ่ายโอนความรู้ และการตรวจสอบและประเมินผล ตามลำดับ 2) ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบปัจจัยประสิทธิภาพการบริหารการฝึกอบรมที่ส่งผลต่อผลลัพธ์ของการฝึกอบรมเพื่อการยกระดับผลการปฏิบัติงานของผู้รับการฝึกอบรม พบว่า ได้ค่าปัจจัยที่มีอิทธิพล R<sup>2</sup> = .589 (ร้อยละ 58.90) ปัจจัยประสิทธิภาพการบริหารการฝึกอบรมส่งผลต่อผลลัพธ์ของการฝึกอบรมเพื่อการยกระดับผลการปฏิบัติงานของผู้รับการฝึกอบรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าองค์ประกอบของปัจจัยประสิทธิภาพการบริหารการฝึกอบรมส่งผลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 จำนวน 2 องค์ประกอบ ได้แก่ ความพร้อมในการฝึกอบรม (X1) (Beta = 0.177) และแรงจูงใจในการนำการฝึกอบรมไปใช้ (X3) (Beta = 0.357) ส่วนองค์ประกอบของปัจจัยประสิทธิภาพการบริหารการฝึกอบรมส่งผล ได้แก่ กระบวนการฝึกอบรม (X2)</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/282298 ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการเป็นองค์การแห่ง นวัตกรรมของโรงเรียนวัดพุทธบูชาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษากรุงเทพมหานครเขต 1 2025-06-11T09:29:38+07:00 กนก สมดี kanoksomdee.a@gmail.com ธนพลอยสิริ สิริบรรสพ thanaploysiri725@gmail.com <div> <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารโรงเรียน 2) ศึกษาระดับการเป็นองค์การแห่งนวัตกรรมของโรงเรียน และ 3) ศึกษาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการเป็นองค์การแห่งนวัตกรรมของโรงเรียน งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงปริมาณ กรอบแนวความคิดศึกษามาจาก Holder and Matter (2008), Smith (2010) และ Byrd (2012) ประชากรเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ครูของโรงเรียนวัดพุทธบูชา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 91 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามและการศึกษาจากเอกสาร สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน </p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาโดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก 2) การเป็นองค์การแห่งนวัตกรรมของโรงเรียนโดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก และ 3) ผลการวิเคราะห์ค่าสหสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษากับการเป็นองค์การแห่งนวัตกรรมของโรงเรียนวัดพุทธบูชา พบว่าทุกตัวแปรที่สังเกตได้มีความสัมพันธ์ทางบวกกับการเป็นองค์การแห่งนวัตกรรมของโรงเรียนวัดพุทธบูชา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> </div> <div> <div> <p class="AL05"> </p> </div> </div> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/277193 The Development of Learning Achievement on English Reading Comprehension Using the Problem-Based Learning of Freshmen Majoring in E-commerce of Guangxi Agricultural Vocational and Technical University 2025-06-13T10:56:21+07:00 Xue Lin rotastisarus@hotmail.com Sirikarn Thanawutpornphinit Sirikarnt@gmail.com <p>The objectives of this research were :1) to compare Learning Achievement be that Pre-test and Post-test study PBL for freshmen majoring in E-commerce. 2) to compare be that Post-test learning achievement 75% 3) Post-test learning achievement is higher than 75% criterion. The samples were students randomly selected from the first-year E-commerce major at Guangxi Agricultural Vocational and Technical University, of 40 students obtained by simple random sampling. The research instruments included a teaching plan employing PBL, a performance test consisting of 30 questions, and a satisfaction questionnaire containing 15 items. These tools exhibited Item Objective Congruence values (0.60 ≤ IOC ≤ 1.00), difficulty values (0.40–0.68), discriminant values (0.35–0.52), and a Lovett reliability value (0.74). The 15-item satisfaction questionnaire showed an Alpha Cronbach reliability value of 0.72.</p> <p>The research adopted a one-group pretest-posttest design and employed statistical methods were mean, percentage, standard deviation, and t-test for data analysis.</p> <p>The research results were as follows 1) Posttest scores were significantly higher than pretest scores at the 0.01 level, and posttest scores significantly exceeded the 75% criterion. 2) Students expressed high satisfaction with the learning activities, with an average satisfaction score of 4.82, reaching the highest level of satisfaction</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/283412 การศึกษาพฤติกรรมความต้องการของนักท่องเที่ยวและธุรกิจเรือหัวโทงนำเที่ยวแบบหรูหรา เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ 2025-07-02T11:03:13+07:00 ปทิตตา ทองเกิด patita.thongkoed@g.swu.ac.th เสาวลักษณ์ พันธบุตร saowaluck@swu.ac.th <p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาพฤติกรรมและความต้องการของนักท่องเที่ยวในธุรกิจเรือหัวโทงนำเที่ยวแบบหรูหรา และ 2) ศึกษาธุรกิจเรือหัวโทงนำเที่ยวแบบหรูหรา โดยการเก็บข้อมูลผ่านการสนทนาแบบกลุ่ม โดยการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง จากนักท่องเที่ยวที่เข้ามาใช้บริการเรือหัวโทงนำเที่ยวแบบหรูหราที่เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ จำนวน 60 คน ซึ่งแบ่งตามลักษณะพื้นฐานของประชากร ได้แก่ เพื่อน ครอบครัว และคู่รัก และการสัมภาษณ์เชิงลึก กับผู้ประกอบการเรือหัวโทงจาก 3 บริษัท จากนั้นนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์และพัฒนาแผนโมเดลธุรกิจ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เลือกใช้บริการเรือหัวโทงแบบหรูหราเป็นกลุ่มอายุ 21 - 45 ปี หรือ Millennials ซึ่งชื่นชอบการออกแบบการท่องเที่ยวได้เอง และต้องการประสบการณ์ที่ไม่ซ้ำใคร พฤติกรรมที่พบคือ การเลือกบริการนี้เพื่อถ่ายรูปลงโซเชียลมีเดีย และคาดหวังการบริการที่มีคุณภาพ สามารถปรับแต่งตามความต้องการ เช่น เส้นทาง กิจกรรม หรือเวลาเดินทางที่ยืดหยุ่นได้ 2) ธุรกิจเรือหัวโทงนำเที่ยวแบบหรูหราส่วนใหญ่ใช้เรือหัวโทงขนาด 21 กง ทำจากไม้พะยอมทั้งลำมีต้นทุนการผลิตประมาณ 1 ล้านบาท และราคาทริป แบ่งเป็น 3 รูปแบบ ได้แก่ ครึ่งวันเช้า ดูพระอาทิตย์ตก ครึ่งวันเย็น ดูพระอาทิตย์ตก และเต็มวัน</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/275735 The Relationship between Academic Stress Mental Toughness and Anxiety in Adolescents 2025-06-09T15:02:31+07:00 Fan Yang fy5724928@gmail.com Eksiri Niyomsilp fy5724928@gmail.com <p>The study found a significant positive correlation between academic pressure and anxiety, while Mental Toughness showed significant negative correlations with both academic pressure and anxiety. A questionnaire survey was conducted on 503 adolescents from 31 provinces across the country using a cluster sampling method to explore the relationship between academic stress and anxiety. The study also investigated the mechanism of Mental Toughness and social support in this relationship, as well as any differences in demographic variables. Mental Toughness partially mediates the relationship between academic stress and anxiety, while social support moderates the relationship between Mental Toughness and anxiety. Adolescents generally experience medium to low academic pressure, report good anxiety status, and exhibit medium to high levels of Mental Toughness and social support. Significant differences exist in academic pressure among adolescents based on gender and school type. Additionally, there are significant differences in adolescent anxiety based on grade and school type, as well as in adolescent social support based on gender and school type. The research findings demonstrate the correlation between academic stress and anxiety, the underlying mechanism, and the variations in demographic variables, offering recommendations for assisting adolescents in mitigating the adverse effects of academic pressure on anxiety and enhancing their academic and mental well-being.</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/282037 ผลของโปรแกรมการบำบัดแบบเสริมสร้างแรงจูงใจที่มีต่อการรับรู้ความสามารถแห่งตนของผู้ป่วยเสพติดแอมเฟตามีน 2025-06-11T09:17:02+07:00 รัยลา โอ่งเจริญ raila2519@gmail.com ประยุทธ ไทยธานี raila2519@gmail.com <p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลองเพื่อศึกษาผลของโปรมแกรมการบำบัดแบบเสริมสร้างแรงจูงใจที่มีต่อการรับรู้ความสามารถแห่งตนของผู้ป่วยเสพติดแอมเฟตามีน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อเปรียบเทียบการรับรู้ความสามารถแห่งตนของกลุ่มทดลองก่อนและหลังการทดลอง และ 2) เพื่อเปรียบเทียบการรับรู้ความสามารถแห่งตน หลังการทดลองระหว่างกลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคุม วิธีคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยวิธี Match-paired ได้แก่ ผู้ป่วยเสพติดแอมเฟตามีนที่สมัครใจเข้าร่วมกิจกรรม กลุ่มงานจิตเวชและยาเสพติดของโรงพยาบาลลาดบัวหลวง ที่มีระดับคะแนนการรับรู้ความสามารถแห่งตนอยู่ในระดับต่ำถึงปานกลางจำนวน 20 คนจากผู้ป่วยเสพติดแอมเฟตามีนทั้งหมด 137 คน มีเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วยโปรแกรมการบำบัดแบบเสริมสร้างแรงจูงใจโดยจัดกิจกรรมทั้งหมดรวม 8 ครั้งในการจัดกิจกรรมแต่ละครั้งจะใช้เวลา 1 ชั่วโมงรวมทั้งสิ้น 8 ชั่วโมง และแบบประเมินการรับรู้ความสามารถแห่งตน โดยใช้สถิติ <em>t-test</em> ในการวิเคราะห์ข้อมูลโดย</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า (1) หลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีการรับรู้ความสามารถแห่งตนสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ (2) หลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีการรับรู้ความสามารถแห่งตนสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/275736 Algorithmic Resistance among Chinese University Students on Short Video Platforms 2025-06-10T09:06:23+07:00 Zhangmin Liu zhangminliu743@gmail.com Eksiri Niyomsilp zhangminliu743@gmail.com <p>The increasing integration of algorithmic recommendation systems in short video platforms has raised concerns about their influence on user autonomy. University students, as active users, may develop varying levels of resistance to algorithmic control, influenced by psychological and social factors. This study aims to examine the relationships between social anxiety, boredom proneness, emotional exhaustion, peer influence, self-control, and algorithmic literacy, and their impact on algorithmic resistance behavior among Chinese university students. The study further investigates the mediating roles of resistance cognition and affective dependence. A structured questionnaire was administered to a sample of Chinese university students using a purposive sampling method. The measurement scales demonstrated acceptable reliability (Cronbach’s α &gt; 0.70). Structural equation modeling (SEM) was employed to assess direct and indirect relationships among variables, with bootstrapping applied to test mediation effects.</p> <p>The findings revealed that social anxiety, boredom proneness, emotional exhaustion, and peer influence had varying direct and indirect effects on algorithmic resistance behavior. Resistance cognition and affective dependence played significant mediating roles in several relationships. Fit indices indicated an acceptable model fit (RMSEA = 0.054, CFI = 0.884, TLI = 0.871). The study highlights the complexity of user responses to algorithmic recommendations and underscores the importance of enhancing algorithmic literacy, promoting self-control, and reducing negative psychological states to foster healthier digital engagement. The results provide theoretical and practical implications for platform design and digital literacy education.</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/275740 Factors Affecting Repurchase Behavior of Chinese Consumers on Clothing Products in Social e-commerce 2025-06-10T09:21:26+07:00 Xiaohuan Yan xiaohuanyan645@outlook.com Tippawan Lertatthakornkit Xiaohuanyan645@outlook.com <p>This study aims to 1) identify the influencing factors of apparel product marketing in social e-commerce on Chinese consumers’ repurchase behavior, 2) construct a model of repurchase behavior, 3) analyze the moderating role of purchasing experience on the relationship between satisfaction and repurchase behavior, and 4) provide marketing recommendations for merchants. A quantitative approach was employed, using a structured questionnaire designed from the SOR model and behavioral theories. The population consisted of Chinese consumers aged 18–59 who had purchased clothing on social e-commerce platforms such as Pinduoduo and Xiaohongshu. Purposive sampling yielded 497 valid responses. Data were analyzed using confirmatory factor analysis, structural equation modeling (SEM), and bootstrap estimation.</p> <p>The results indicate that product attributes, purchase cost, social interaction, and after-sales service significantly influence customer satisfaction and repurchase intention. Repurchase intention has the most substantial direct effect on repurchase behavior, while product attributes exert an indirect effect through customer satisfaction and repurchase intention. Customer satisfaction and repurchase intention demonstrate a significant chain mediation effect, and purchasing experience moderates the relationship between satisfaction and repurchase behavior, strengthening it when the purchasing experience is favorable. The findings suggest that merchants should prioritize product quality, improve after-sales services, reduce purchasing costs, and enhance social interaction to encourage consumer loyalty. This research contributes theoretically by expanding the literature on consumer behavior in social e-commerce and practically by offering strategies for global merchants to increase repurchase rates in the clothing sector.</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/292048 ภาวะผู้นำใฝ่บริการของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครู สังกัดสำนักเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานนทบุรี เขต 2 2025-08-18T10:38:25+07:00 วิบูลย์ พุ่มพูลสวัสดิ์ wibool.p@siu.ac.th ศักดิ์ดา ศิลปาภิสันทน์ sakdas@siamtechno.ac.th ธีร์ธวัช นุกูลกิจ dr.dheetawat@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภาวะผู้นำใฝ่บริการของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครู สังกัดสำนักเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานนทบุรี เขต 2 เพื่อเปรียบเทียบภาวะผู้นำใฝ่บริการของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครู สังกัดสำนักเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานนทบุรี เขต 2 จำแนกตาม ประสบการณ์การสอนและขนาดของโรงเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ข้าราชการครูในโรงเรียน สังกัดสำนักเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานนทบุรี เขต 2 จำนวน 302 คน โดยใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย แบบมีสัดส่วน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม มีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ค่าดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ 0.60-1.00 มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .98 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว และเปรียบเทียบรายคู่ด้วยวิธีการของเชฟเฟ่</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำใฝ่บริการของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครู สังกัดสำนักเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานนทบุรี เขต 2 โดยรวมและรายด้าน อยู่ในระดับมาก 2) ข้าราชครูที่มีประสบการณ์การสอนต่างกันมีความคิดเห็นต่อภาวะผู้นำใฝ่บริการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานนทบุรี เขต 2 โดยรวมไม่แตกต่างกัน 3) ข้าราชครูที่มีปฏิบัติงานในโรงเรียนที่มีขนาดต่างกันมีความคิดเห็นต่อภาวะผู้นำใฝ่บริการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานนทบุรี เขต 2 โดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 </p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/277192 Development of learning achievement and satisfaction on Chinese listening of second-year international students in Guangxi vocational university of agriculture using task-based language teaching 2025-06-13T11:41:32+07:00 Shuman Qin suthipornb@gmail.com Suthiporn Boonsung suthipornb@gmail.com <p>The purposes of this research were: 1) to compare learning achievements on Chinese listening between pre-test and post-test using task-based learning 2) 1) to compare learning achievements on Chinese listening between post-test and 75% of the criteria using task-based learning 3) to study students’ satisfactions towards the task-based learning. The sample was 20 international students in Guangxi Vocational University of Agriculture by simple random sampling. They were selected using the cluster random sampling technique from a classroom. The instruments used for collecting data consisted of: 1) lesson plan that has an average of quality at 4.88 2) an achievement test which has the reliability 0.80 3) the satisfaction questionnaire based on task-based learning which has the IOC 0.60-1.00. The statistics used to analyze the data were mean (\overline{X}, standard deviation (S.D.) and t-test dependent.</p> <p> The results of the research were: 1). Post-test was higher statistically significant than pre-test at 0.05 2). Post-test was higher statistically significant than 75% of the criteria at 0.05 3). The students’ satisfaction on Chinese listening using task-based learning was at the highest level, (\overline{X}= 4.58 , S.D. = 0.31)</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์