วารสารมนุษยสังคมศิลปาสาร
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsa
<p> <strong>วารสารมนุษยสังคมศิลปาสาร (Journal of Humanities, Social Sciences and Arts) </strong></p> <p><strong> ISSN 3056-9265 (Online) </strong></p> <p> วารสารมนุษยสังคมศิลปาสาร (Journal of Humanities, Social Sciences and Arts) เป็นวารสารของคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นศูนย์กลางและเวทีในการเผยแพร่ผลงานบทความวิจัย และบทความทางวิชาการ โดยมีขอบเขตเนื้อหาทางด้านมนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และศิลปกรรมศาสตร์ รวมถึงสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง มีกำหนดออกปีละ 2 ฉบับ (มกราคม-มิถุนายน และ กรกฎาคม-ธันวาคม) และมีการประเมินคุณภาพจากผู้ทรงคุณวุฒิ (peer reviewers) อย่างน้อย 3 ท่าน จากหลากหลายสถาบัน โดยทำการปกปิดรายชื่อทั้งเจ้าของบทความและผู้ทรงคุณวุฒิขณะทำการประเมิน (Double-blinded peer review)</p> <p> ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 6 มิ.ย. 2567 ทางวารสารได้ยกเลิกเลขมาตรฐานสากลประจำวารสาร (ISSN) เดิม ได้แก่ ISSN 2697-5769 (Print) และ ISSN 2697-5750 (Online) และแก้ไขใหม่เป็น <strong>ISSN 3056-9265 (Online)</strong> เพื่อให้เป็นไปตามตามเกณฑ์การประเมินคุณภาพวารสารวิชาการที่อยู่ในฐานข้อมูล TCI รอบที่ 5 พ.ศ. 2568-2572 ซึ่งวารสารมนุษยสังคมศิลปาสารได้รับการรับรองคุณภาพจากศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (Thai-journal Citation Index centre: TCI)<strong> เป็นวารสารที่ผ่านการรับรองคุณภาพในกลุ่มที่ 1 (Tier 1) และอยู่ในฐานข้อมูล TCI ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 - 31 ธันวาคม 2572 </strong></p>คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานีen-USวารสารมนุษยสังคมศิลปาสาร3056-9265ENGLISH VOCABULARY LEARNING STRATEGIES OF THIRD-YEAR STUDENTS AT FACULTY OF LANGUAGES, SOUPHANOUVONG UNIVERSITY
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsa/article/view/280694
<p> The main objective of this study was to investigate the most dominant English vocabulary learning strategies of the third-year students at Department of Foreign Languages, Faculty of Languages, Souphanouvong University. This research was designed by quantitative research and used a set of questionnaires to collect data from third-year students at Department of Foreign Languages, Faculty of Languages, Souphanouvong University. After collecting the effective data, the researcher analyzed the data by using SPSS to investigate the most dominant English vocabulary learning strategies. The mean and Standard deviation were used for data analysis. There are 39 students, 10 females, and 29 males. The sample group was selected by using convenience sampling. The questionnaire consists of two parts: personal information and 20 items of English Vocabulary Learning Strategies.</p> <p> The results of this study were as follows: The research found that English vocabulary learning strategies of third-year students at Department of Foreign Languages, Faculty of Languages, Souphanouvong University. There were five categories of strategies: determination strategies, social strategies, memory strategies, cognitive strategies, and metacognitive strategies. Based on the statistical analysis, the most dominant strategies that third-year students applied in learning vocabulary were metacognitive strategies. Most of third third-year students preferred to learn vocabulary by listening to English songs and news, with a mean of 4.38 and a standard deviation of 1.024. The students believed that learning vocabulary by listening to English songs and news, students could gain a wide variety of words. Moreover, the students enjoyed the entertainment at the same time. Although sometimes it was quite difficult, students never quit themselves to learn vocabulary through songs and news because there were several benefits more than drawbacks.</p>Bounthavy KeobounkhongOudalon BounthavongNing VilaikoneDouangchanh Lounbandit
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยสังคมศิลปาสาร
2025-07-102025-07-1072111การมีส่วนร่วมในการพัฒนาอาชีพของกลุ่มสตรีในช่วงสถานการณ์ การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 : กรณีศึกษากลุ่มอาชีพสตรี ตำบลพรเจริญ อำเภอพรเจริญ จังหวัดบึงกาฬ
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsa/article/view/274072
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ในการศึกษาดังนี้ 1) เพื่อศึกษาสถานการณ์ปัจจุบันเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และ 2) เพื่อศึกษาแนวทางการส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการสร้างอาชีพเสริมให้กับกลุ่มอาชีพสตรีในชุมชนในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ประชากรที่เป็นผู้ให้ข้อมูลหลักในการวิจัย คือ กลุ่มอาชีพสตรีตำบลพรเจริญ อำเภอพรเจริญ จังหวัดบึงกาฬ จำนวน 30 คน เครื่องมือในการเก็บข้อมูลได้แก่แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง ใช้รูปแบบการสนทนากลุ่มย่อย (Focus group) คัดเลือกผู้เข้าร่วมสนทนากลุ่มแบบเจาะจงที่เป็นสมาชิกกลุ่มสตรี จำนวน 30 คน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content analysis) ผลการวิจัย พบว่า 1) กลุ่มสตรีมีความต้องการพัฒนาอาชีพเพื่อเป็นรายได้เสริม และสามารถเข้าร่วมกิจกรรมในการพัฒนาศักยภาพของกลุ่ม 1-2 ครั้ง/เดือน โดยเลือกเข้าร่วมกิจกรรมโครงการของหน่วยงานรัฐเป็นหลักในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และ 2) แนวทางในการพัฒนากลุ่มสตรีควรพัฒนาระบบการบริหารจัดการกลุ่มด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมของทุกคน และควรส่งเสริมให้ประชาชนในชุมชนเห็นถึงประโยชน์ของการมีส่วนร่วมในการสร้างอาชีพอย่างเป็นรูปธรรม เช่น การได้รับผลตอบแทนที่ยุติธรรม การมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการรวมกลุ่มกันเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมและรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของในการสำนึกรักษ์บ้านเกิด และคืนกำไรสู่สังคมและชุมชนในรูปแบบของกิจกรรมต่างๆ เช่น ทุนการศึกษา ทุนการประกอบอาชีพ เป็นต้น รวมไปถึงหน่วยงานภาครัฐต้องเข้ามามีบทบาทในการสนับสนุนงบประมาณ การพัฒนากลุ่มอาชีพต่างๆ ในชุมชนให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืนและแนวทางที่สำคัญที่เป็นข้อค้นพบจาการวิจัยคือ การพัฒนาให้ชุมชนเข้มแข็งต้องเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ (Community Learning) คือสมาชิกช่วยกันเรียนรู้ หรือเรียนรู้เป็นกลุ่ม โดยมีสถาบันการศึกษาในพื้นที่ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้คำปรึกษาและถ่ายทอดองค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เหมาะสมกับกลุ่มและทรัพยากรที่มีในพื้นที่</p>เอกศักดิ์ เฮงสุโขศุภางค์จิต กัลยาแก้วอภิฤดี ทองพลนุสรา สัมปชัญญานนท์ฉัตรชนก เฮงสุโขยุวธิดา หงษ์ชูตาจุฬาลักษณ์ พรหมแสง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยสังคมศิลปาสาร
2025-07-102025-07-10721223การศึกษาคติความเชื่อและวิธีการแก้บนท้าวสุรนารี (ย่าโม) จังหวัดนครราชสีมา
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsa/article/view/287738
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์คติความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับการแก้บนท้าวสุรนารี (ย่าโม) และ 2) ศึกษาวิธีต่าง ๆ ที่ใช้ในการแก้บนท้าวสุรนารี (ย่าโม) การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง และแบบบังเอิญ จำนวน 49 ท่าน โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย จำนวน 5 ท่าน และกลุ่มผู้รับบริการ จำนวน 44 ท่าน ทำการเก็บข้อมูลประชาชนที่มาทำพิธีแก้บน ณ อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (ย่าโม) จังหวัดนครราชสีมา และนำมาวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า คติความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับการแก้บนท้าวสุรนารี (ย่าโม) มีรากฐานมาจากศรัทธาที่ประชาชนมีต่อท้าวสุรนารี ซึ่งถูกมองว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถดลบันดาลความสำเร็จในด้านต่างๆ ได้ ส่วนวิธีการแก้บน มีความหลากหลาย โดยวิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ได้แก่ การถวายผลไม้ 9 อย่าง การตำหมากสด การร้องเพลงโคราชถวาย การถวายพวงมาลัยดอกดาวเรือง และการวิ่งรอบอนุสาวรีย์ ข้อเสนอแนะจากการศึกษา คือ สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการส่งเสริมและอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น ตลอดจนเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของจังหวัดนครราชสีมาต่อไป</p>ชลดา วิไลชนม์กัญญาณัฐ ทิดกระโทกฐิตาภรณ์ สินปรุสหโชค ญวนกลางพิมวนัช สินสุขไอรดา ทิ้งไธสงรุจาภา ประวงษ์ศันสนีย์ มณีโชติ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยสังคมศิลปาสาร
2025-07-102025-07-10722440การออกแบบของที่ระลึกจากรูปลักษณ์ของควายไทย สำหรับศูนย์อนุรักษ์และพัฒนาควายไทย จังหวัดอุดรธานี
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsa/article/view/287591
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษารูปลักษณ์ของควายไทย เพื่อนำมาใช้ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ของที่ระลึก 2) ออกแบบผลิตภัณฑ์ของที่ระลึกของศูนย์อนุรักษ์และพัฒนาควายไทย จังหวัดอุดรธานี และ 3) ประเมินความพึงพอใจกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีต่อต้นแบบผลิตภัณฑ์ของที่ระลึกของศูนย์อนุรักษ์และพัฒนาควายไทย จังหวัดอุดรธานี งานวิจัยแบบผสมผสานด้วยการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญด้านสถานที่ หัวหน้าโครงการอนุรักษ์และพัฒนาควายไทย จังหวัดอุดรธานี ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบกราฟิกคาแรคเตอร์ และผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ของที่ระลึก โดยใช้การสัมภาษณ์ และการวิจัยเชิงปริมาณประเมินความพึงพอใจจากกลุ่มเป้าหมาย จำนวน 100 คน ผลการวิจัย พบว่า 1) ควายไทย หรือกระบือปลัก มีจำนวนลดลงอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากการใช้เครื่องจักรแทนกำลังแรงงานสัตว์ ศูนย์อนุรักษ์และพัฒนาควายไทย จังหวัดอุดรธานี ได้ดำเนินการอนุรักษ์พันธุ์ควายไทยอย่างต่อเนื่อง ควายปลักมีลักษณะเด่น ตาแต้ม แก้มจ้ำ อ้วนเตี้ย ข้อเท้าขาว 2) การออกแบบของที่ระลึกจากรูปลักษณ์ของควายปลัก ได้แก่ เสื้อยืดแบบครอบครัว กางเกงขายาว หมวกบักเก็ต แก้วน้ำเก็บความเย็น กระเป๋าเป้สะพายหลัง พวงกุญแจ และผ้าคลุมไหล่ โดยได้นำเอาคาแรคเตอร์ควายไทยสายพันธุ์ปลัก ที่ได้ทำการถอดแบบเป็นการ์ตูนสไตล์ Flat Graphic ที่มีความเรียบง่าย โทนสีเอิร์ธโทน เพื่อให้เหมาะสมกับนักท่องเที่ยวทุกเพศทุกวัย 3) ความพึงพอใจที่มีต่อต้นแบบผลิตภัณฑ์ของที่ระลึกการออกแบบกราฟิกคาแรคเตอร์ควายไทย และกราฟิกการตกแต่งได้รับความพึงพอใจมากที่สุด (ค่าเฉลี่ย 4.50) ความเหมาะสมของรูปแบบตัวการ์ตูนสัมพันธ์กับศูนย์อนุรักษ์ควายไทยอุดรธานี มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด (ค่าเฉลี่ย 4.51) การออกแบบของที่ระลึกที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ กระเป๋าเป้สะพายหลัง หมวกบักเก็ตและผ้าคลุมไหล่ แก้วน้ำเก็บความเย็น พวงกุญแจผ้า กางเกงขายาว และเสื้อยืดแบบครอบครัว ตามลำดับ</p>อารยา ฟูมบุญกนิษฐา เรืองวรรณศักดิ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยสังคมศิลปาสาร
2025-07-102025-07-10724156A COMPARATIVE STUDY OF STATISTICAL TECHNIQUES IN EDUCATION AND LANGUAGE & LINGUISTICS RESEARCH ARTICLES
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsa/article/view/287000
<p>This study compared statistical techniques frequently used in Education and Language & Linguistics research to identify disciplinary similarities and differences. To achieve this, 80 research articles (40 from each field) published between 2021 and 2025 in Cambridge University Press journal database were analyzed and categorized into descriptive, inferential, and advanced statistics. The findings revealed that descriptive statistics were prevalently observed in both fields. Regarding inferential statistics, they were more frequently applied in Education than in Language & Linguistics. These indicated Education’s stronger focus on hypothesis testing. The most striking difference was the use of advanced statistics, which appeared far more frequently in Education—though often inconsistently—than in Language & Linguistics. These results underscore distinct methodological emphases and highlight the need to support researchers’ statistical literacy to produce rigorous studies in their respective disciplines.</p>Chamnan ParaChaiwat Kaewphanngam
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยสังคมศิลปาสาร
2025-07-102025-07-10725771ปัญหาในการบังคับใช้กฎหมายสมรสของกลุ่มหลากหลายทางเพศ
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsa/article/view/285424
<p>บทความวิจัยนี้ศึกษาและวิเคราะห์ความท้าทายเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมในประเทศไทยภายใต้พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567 มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการยอมรับสิทธิในการสมรสของกลุ่มหลากหลายทางเพศซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการบังคับใช้กฎหมายเพศเดียวกัน โดยศึกษาวิเคราะห์บนพื้นฐานของหลักกฎหมายจารีตประเพณี ทฤษฎีกฎหมายธรรมชาติ หลักนิติธรรม และแนวคิดการสมรสระหว่างเพศเดียวกันจากคริสเตียนและอิสลามเพื่อพัฒนาแนวความคิดเชื่อมโยงบูรณาการกับกฎหมาย เพื่อสร้างหลักเกณฑ์การสมรสของกลุ่มหลากหลายทางเพศ โดยกฎหมายที่แก้ไขเพิ่มเติมนี้จะช่วยให้คู่รักเพศเดียวกันได้รับสิทธิทางกฎหมายเท่าเทียมกับคู่รักชายหญิง เช่น สิทธิในการรับมรดก สิทธิในการรับบุตรบุญธรรม สิทธิในทางทรัพย์สินระหว่างสมรส สิทธิฟ้องหย่า และสิทธิตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวเนื่องในทางสมรส เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ก็ยังคงเผชิญกับความท้าทายทางกฎหมายและสังคมหลายประการที่ต้องพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ ผลการวิจัยพบว่า การสมรสระหว่างเพศเดียวกันยังถูกต่อต้านอย่างต่อเนื่องจากกลุ่มศาสนาและหลายชุมชนที่มีค่านิยมดั้งเดิมตามจารีตประเพณี เช่น อิสลามและคริสเตียน ซึ่งไม่ยอมรับการสมรสเพศเดียวกัน การนำกฎหมายสมรสเท่าเทียมมาใช้จึงต้องมีการพิจารณาถึงความเหมาะสมกับหลักศาสนาและค่านิยมในสังคม ปัจจุบันถึงแม้กฎหมายใหม่จะรับรองสิทธิในเงื่อนไขการหมั้นและสมรสเพศเดียวกัน แต่ยังมีช่องว่างในการบัญญัติกฎหมายที่ไม่ครอบคลุมถึงสิทธิการสมรสของกลุ่มหลากหลายทางเพศในบางกรณี รวมทั้งการตีความตามกฎหมายเดิมในการวินิจฉัยคดี ซึ่งยังขาดความเข้าใจในกระบวนการและขั้นตอนทางกฎหมายและข้อจำกัดสิทธิที่เกิดขึ้นจากการสมรสเพศเดียวกัน ซึ่งยังไม่สามารถเทียบเคียงได้กับคู่สมรสระหว่างชายกับหญิง ผู้วิจัยเห็นควรเสนอแนวทางให้เพิ่มการรับรองรับสิทธิคู่สมรสเพศเดียวกันในการมีบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายร่วมกันโดยใช้วิธีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ อันเป็นการช่วยเติมเต็มความเป็นสถาบันครอบครัว รวมทั้งให้มีการแก้ไขกฎหมายโดยเพิ่มหลักเกณฑ์การได้สิทธิสัญชาติไทยโดยการสมรสสำหรับกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ</p>ประสิทธิ์ วงษ์กาฬสินธุ์อภิสิทธิ์ ปัญญาใสนัธทวัฒน์ พรหมภักดี
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยสังคมศิลปาสาร
2025-07-102025-07-10727287รำเป็นบท กลอนเป็นครู: อุปลักษณ์มโนทัศน์ชาวใต้ในกลอนโนรา
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsa/article/view/289550
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์อุปลักษณ์มโนทัศน์ในกลอนรำโนรา โดยมุ่งเน้นศึกษา บทสรรเสริญครูและบทครูสอน ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของพิธีกรรมโนราโรงครู ที่สะท้อนวิถีชีวิต ความเชื่อ และโลกทัศน์ของชุมชนภาคใต้ของไทย งานวิจัยนี้ใช้แนวคิดอุปลักษณ์มโนทัศน์ของ เลคอฟ และ จอห์นสัน เป็นกรอบการวิเคราะห์ โดยมองว่าอุปลักษณ์มิใช่เพียงกลวิธีทางภาษา แต่เป็นกลไกพื้นฐานของความคิดมนุษย์ การศึกษาครั้งนี้ดำเนินการวิจัยในลักษณะเชิงคุณภาพ โดยใช้วิธี Metaphor Identification Procedure (MIP) ในการวิเคราะห์ ข้อมูลเป็นคำกลอนจากการถอดความในพิธีจริง ซึ่งถือเป็น “Authentic Data” ที่มีบริบททางวัฒนธรรมอย่างชัดเจน กลอนถูกจัดเรียงเป็นหน่วยละ 4 วรรค พร้อมรหัสอ้างอิงเพื่อความเป็นระบบ จากกลอนรวม 48 วรรค ผลการศึกษาพบอุปลักษณ์สำคัญ 5 หมวด ได้แก่ 1) ความรู้ คือของเหลว 2) ศิลปะคือพิธีกรรม 3) การเรียนรู้คือการเดินทางอันมีแบบแผน 4) เสียงคือทรัพย์สิน และ 5) ครูคือเทพ อุปลักษณ์ทั้งหมดชี้ให้เห็นว่ากลอนโนราเป็นพื้นที่ทางภาษาและวัฒนธรรมที่แฝงด้วยระบบคิดและคติความเชื่ออย่างเป็นระบบ ทั้งยังแสดงให้เห็นการผสานกันของอุปลักษณ์สากลและอุปลักษณ์เฉพาะวัฒนธรรมอันช่วยให้เข้าใจศิลปะการแสดงโนราในมิติความหมายที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น</p>ธนาดล จันทร์ประดิษฐ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยสังคมศิลปาสาร
2025-07-112025-07-117288104การใช้เทคนิคการสอน 6PM ต่อการกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ในห้องเรียนแห่งอนาคต
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsa/article/view/284768
<p>ความคิดสร้างสรรค์เป็นคุณลักษณะที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพัฒนาให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียนในห้องเรียนอนาคต และเป็นเรื่องที่ครูผู้สอนจะต้องให้ความสนใจละต้องพัฒนาให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียนทุกคน เนื่องจากเป็นข้อกำหนดหนึ่งที่ผู้เรียนจะต้องมีอยู่ในตัวสำหรับการศึกษาในศตวรรษที่ 21 และยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะก่อให้เกิดการขับเคลื่อนของประเทศไทยตามโมเดลไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งการศึกษาในห้องเรียนแห่งอนาคตที่สอดคล้องกับความต้องการของสังคมและเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป จำเป็นต้องใช้วิธีการสอนและเทคนิคที่ช่วยเสริมสร้างทักษะและความคิดสร้างสรรค์ให้แก่นักเรียน โดยผู้เขียนบทความได้เสนอแนวคิดการใช้เทคนิค 6PM เป็นเครื่องมือหลักในการศึกษา ซึ่งกระบวนการ 6P ครอบคลุมถึงการสำรวจ การวางแผน การตั้งปัญหา การมีส่วนร่วม การเล่นบทบาท และการสร้างผลิตภัณฑ์ ทั้งนี้ช่วยให้นักเรียนสามารถถามคำถามท้าทาย สำรวจบทบาทต่าง ๆ และสร้างผลิตภัณฑ์ที่สะท้อนความเข้าใจและความสามารถ ในขณะที่การสอนแบบ 6M ประกอบด้วยการสร้างแรงบันดาลใจ ส่งเสริมการตื่นตัว สื่อสารสร้างสรรค์ และการสร้างสรรค์ผลงาน โดยมุ่งเน้นการเรียนรู้ตลอดชีวิต การมีส่วนร่วมอย่างแข็งขัน และการสะท้อนความคิดและประเมินตนเอง ทั้งนี้ช่วยเตรียมนักเรียนให้พร้อมเผชิญกับความท้าทายในอนาคตที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดยั้ง และพัฒนาความสามารถในการปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ใหม่ ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>วรพล ศรีเทพเจษฎาภรณ์ แสงสุวรรณ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยสังคมศิลปาสาร
2025-07-192025-07-1972105124