วารสารการบริหารและสังคมศาสตร์ปริทรรศน์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/assr
en-US
วารสารการบริหารและสังคมศาสตร์ปริทรรศน์
2730-3187
-
จากราชินีแห่งไหมสู่เมืองหัตถกรรมโลก: ศักยภาพผ้าแพรวากาฬสินธุ์ในการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงมรดกวัฒนธรรม
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/assr/article/view/294412
<p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อประเมินความพร้อมและศักยภาพของผ้าไหมแพรวาจังหวัดกาฬสินธุ์ในการพัฒนาสู่การเป็นเมืองหัตถกรรมตามเกณฑ์สภาหัตถศิลป์โลก 2) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาเครือข่ายผ้าไหมแพรวาเพื่อขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเชิงมรดกวัฒนธรรมสู่การเป็นเมืองหัตถกรรม และ 3) เพื่อประเมินศักยภาพทางเศรษฐกิจจากการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงมรดกวัฒนธรรมผ้าไหมแพรวากาฬสินธุ์สู่การเป็นเมืองหัตถกรรม ใช้วิธีวิจัยแบบผสมผสาน โดยเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพจากการสัมภาษณ์เชิงลึก 11 หน่วยงาน/กลุ่มตัวอย่าง และข้อมูลเชิงปริมาณจากแบบสอบถาม 200 ชุด วิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ความพร้อมและศักยภาพของผ้าไหมแพรวาจังหวัดกาฬสินธุ์มีความพร้อม 100% โดยมี 3 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ (1) การขึ้นทะเบียนเป็นแผนท่องเที่ยวระยะสั้นเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว (2) การสร้างคุณค่าแหล่งมรดกโลกผ่านการร่วมงานระดับนานาชาติ และ (3) วางแผนพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างจริงจัง 2) แนวทางการพัฒนาเครือข่าย พบว่า มี 5 มิติหลัก ได้แก่ (1) มิติผลิตภัณฑ์ (2) มิติบูรณาการ (3) มิติโครงสร้างพื้นฐาน (4) มิติการตลาด และ (5) มิติกลไกขับเคลื่อน และ 3) ประเมินศักยภาพ พบว่า มีจุดแข็งสูงสุดด้านคุณภาพงานฝีมือ (x̄ = 4.67) ส่วนการประเมินตามเกณฑ์การกำหนดเมืองหัตถกรรมด้านการตลาดในงานอีเวนท์มีค่าสูงสุด (x̄ = 4.62) อย่างไรก็ตามยังพบจุดที่ต้องพัฒนา คือ กลไกการบูรณาการที่มีค่าต่ำสุด(x̄ = 4.20) และยังขาดช่างทอรุ่นใหม่ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขเร่งด่วนเพื่อความยั่งยืนของภูมิปัญญา</p>
ชัยธวัช ศิริบวรพิทักษ์
เกรียงไกร นามนัย
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารและสังคมศาสตร์ปริทรรศน์
2025-11-16
2025-11-16
8 6
1
14
-
ธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพขององค์การบริหารส่วนตำบลบ้านป้อม เพื่อยกระดับความรอบรู้สุขภาพของประชาชน
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/assr/article/view/294686
<p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1. เพื่อศึกษาระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพของประชาชน ตำบลบ้านป้อม อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 2. เพื่อเปรียบเทียบระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพของประชาชนตำบลบ้านป้อม อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 3. เพื่อศึกษาปัจจัยการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่ส่งผลต่อความรอบรู้ด้านสุขภาพของประชาชนตำบลบ้านป้อม อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 370 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ <strong>แบบสอบถาม </strong>สถิติที่ใช้ ในการวิเคราะห์ คือ สถิติ เชิงพรรณนาและเชิงอนุมาน ได้แก่ Independent Sample One-Way ANOVA และการวิเคราะห์ความถดถอยแบบพหุคูณ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1. ประชาชนตำบลบ้านป้อมมีระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพอยู่ในระดับมากทุกมิติ ซึ่งเป็นผลจากการบริหารจัดการข้อมูลข่าวสารขององค์การบริหารส่วนตำบลบ้านป้อมที่ยึดหลักธรรมาภิบาลในการดำเนินงาน 2. ประชาชนตำบลบ้านป้อม ซึ่งมีปัจจัยส่วนบุคคลแตกต่างกัน มีระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพแตกต่างกันในบางปัจจัย โดยเฉพาะปัจจัยด้านอายุ ระดับการศึกษา อาชีพ และสิทธิการรักษาพยาบาล มีความแตกต่างของระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ในขณะที่เพศและรายได้ ไม่พบความแตกต่างของระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพ <strong>และ 3.</strong>ปัจจัยการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพ มีอิทธิพลต่อระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพของประชาชนตำบลบ้านป้อม โดยปัจจัยที่มีอิทธิพลในระดับสูงสุด ได้แก่ ช่องทางการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อ On Ground โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่องทางการสื่อสารสองทาง</p>
โสภา ยอดคีรีย์
บุษยรังสี หาสุทธิใจ
เทพวรา ธนพัฒน์
ณัฐพร ยงวงศ์ไพบูลย์
ปัญญา สุทธิยุทธ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารและสังคมศาสตร์ปริทรรศน์
2025-11-16
2025-11-16
8 6
15
26
-
ความสำเร็จในการลดสำเนาเอกสารของผู้ขอรับใบอนุญาต ตามพระราชบัญญัติควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ.2530
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/assr/article/view/294649
<p> บทความวิจัยนี้ วัตถุประสงค์ 1) ศึกษาเปรียบเทียบความสำเร็จในการลดสำเนาของผู้ขอรับใบอนุญาต ตามพระราชบัญญัติควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ.2530 จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 2) ศึกษาระดับความสำเร็จในการลดสำเนาของผู้ขอรับใบอนุญาต ตามพระราชบัญญัติควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ.2530 ด้วยวิธีวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้ขอรับใบอนุญาต ตามพระราชบัญญัติควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ.2530 จำนวนรวมทั้งสิ้น 355 ราย วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น โดยใช้แบบสอบถาม เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test, One Way ANOVA</p> <p><strong> </strong>ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการศึกษาเปรียบเทียบความสำเร็จในการลดสำเนาเอกสารของผู้ขอรับใบอนุญาต ตามพระราชบัญญัติควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ.2530 จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล พบว่า ปัจจัยด้านเพศที่แตกต่างกันมีความสำเร็จในการลดสำเนาเอกสารของผู้ขอรับใบอนุญาต ตามพระราชบัญญัติควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ.2530 ไม่มีความแตกต่างกัน ในขณะที่ปัจจัยด้านอายุ สถานะในการขอรับใบอนุญาต และระยะเวลาที่เคยมาติดต่อกรมการอุตสาหกรรมทหาร ตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป ที่แตกต่างกันมีความสำเร็จในการลดสำเนาเอกสารของผู้ขอรับใบอนุญาต ตามพระราชบัญญัติควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ.2530 มีแตกต่างกัน ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 และ 2) ระดับความสำเร็จในการลดสำเนาเอกสารของผู้ขอรับใบอนุญาต ตามพระราชบัญญัติควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ.2530 พบว่า ความสำเร็จในการลดสำเนาเอกสารของผู้มายื่นขอรับใบอนุญาต ตามพระราชบัญญัติควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ.2530 ในภาพรวมทุกด้าน อยู่ในระดับมากที่สุด โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด คือ ด้านบุคลากร รองลงมาคือ ด้านการประชาสัมพันธ์ ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด คือ ด้านทรัพยากร</p>
กุสุมา เต็มบุญเกียรติ
นัทนิชา โชติพิทยานนท์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารและสังคมศาสตร์ปริทรรศน์
2025-11-16
2025-11-16
8 6
27
36
-
กลยุทธ์การรักษาบุคลากรตำรวจในองค์กรภาครัฐ: กรณีศึกษา สถานีตำรวจภูธรบางละมุง
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/assr/article/view/295180
<p> บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1. ระดับความตั้งใจอยู่กับองค์กรของข้าราชการตำรวจ สถานีตำรวจภูธรบางละมุง 2 .เพื่อเปรียบเทียบการตั้งใจอยู่กับองค์กรของข้าราชการตำรวจ จำแนกตามข้อมูลส่วนบุคคล และ 3. เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านแรงจูงใจในการทำงานกับการรักษาบุคลากรให้อยู่กับองค์กร มีรูปแบบการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ ข้าราชการตำรวจจำนวน 127 ท่าน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน รวมถึงการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1. ข้าราชการตำรวจสถานีตำรวจภูธรบางละมุงมีระดับความตั้งใจอยู่กับองค์กรโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2. จากการเปรียบเทียบระดับความตั้งใจอยู่กับองค์กรของข้าราชการตำรวจ สถานีตำรวจภูธรบางละมุง เมื่อจำแนกตามข้อมูลส่วนบุคคล ได้แก่ อายุ สถานภาพสมรส ระดับการศึกษา รายได้ต่อเดือน และระยะเวลาการปฏิบัติงาน พบว่า ทุกกลุ่มมีความตั้งใจอยู่ในองค์กรในระดับมาก และ 3. ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านแรงจูงใจในการทำงานกับการรักษาบุคลากรให้อยู่กับองค์กร พบว่า ข้าราชการตำรวจสถานีตำรวจภูธรบางละมุงมีระดับแรงจูงใจในการทำงานอยู่ในระดับมาก และมีระดับการรักษาบุคลากรให้อยู่กับองค์กรหรือความตั้งใจอยู่ต่อในองค์กรอยู่ในระดับมากเช่นกัน</p>
สุณีชญาน์ ฉัตรบุรานนทชัย
ปรัชญา วงศ์วารี
วรงค์สิทธิ์ สิงห์ดำรงค์
ปัญญา สุทธิยุทธ์
เทพวรา ธนพัฒน์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารและสังคมศาสตร์ปริทรรศน์
2025-11-16
2025-11-16
8 6
37
46
-
แรงจูงใจในการปฏิบัติงานและสภาพแวดล้อมในการปฏิบัติงานที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพ การปฏิบัติงานของพนักงานสำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 26
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/assr/article/view/295145
<p> บทความวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) เปรียบเทียบประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงาน จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล (2) แรงจูงใจในการปฏิบัติงานที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงาน และ (3) สภาพแวดล้อมในการปฏิบัติงานที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานสำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 26 เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ มีกลุ่มตัวอย่างที่เป็นพนักงานสำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 26 จำนวน 123 ตัวอย่าง เครื่องมือวิจัยที่ใช้เก็บรวบรวม ข้อมูล คือ แบบสอบถาม และการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการทดสอบ t-test, F-test และการวิเคราะห์ถดถอยเชิงพหุคูณ</p> <p><strong> </strong>ผลการวิจัยพบว่า (1) พนักงานสำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 26 ที่มีปัจจัยด้านสถานภาพและระดับงานต่างกัน มีประสิทธิภาพการปฏิบัติงานโดยรวมแตกต่างกัน ส่วนพนักงานสำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 26 ที่มีปัจจัยด้านเพศ อายุ ระดับการศึกษา และรายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่างกัน มีประสิทธิภาพการปฏิบัติงานโดยรวมไม่แตกต่างกัน (2) แรงจูงใจในการปฏิบัติงานด้านความสำเร็จในการปฏิบัติงานและลักษณะของงานที่ปฏิบัติส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานสำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 26 ส่วนแรงจูงใจในการปฏิบัติงานด้านการได้รับการยอมรับ และเงินเดือนและผลประโยชน์เกื้อกูลไม่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานสำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 26 และ (3) สภาพแวดล้อมในการปฏิบัติงานทางความมั่นคงและปลอดภัยส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานสำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 26 ส่วนสภาพแวดล้อมในการปฏิบัติงานทางกายภาพและทางสังคมไม่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานสำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 26</p>
ธมลวรรณ ดีชูกชกร
ธัญนันท์ บุญอยู่
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารและสังคมศาสตร์ปริทรรศน์
2025-11-18
2025-11-18
8 6
47
60
-
การจัดการทรัพยากรมนุษย์และความผูกพันต่อองค์กรที่มีผลต่อการคงอยู่ของพนักงานขายเครื่องใช้ไฟฟ้าประจำร้านค้าปลีกสมัยใหม่แห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/assr/article/view/295257
<p> บทความวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) การจัดการทรัพยากรมนุษย์ที่มีผลต่อการคงอยู่ของพนักงาน และ (2) ความผูกพันต่อองค์กรที่มีผลต่อการคงอยู่ของพนักงานขายเครื่องใช้ไฟฟ้าประจำร้านค้าปลีกสมัยใหม่แห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยมีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ พนักงานขายเครื่องใช้ไฟฟ้าประจำร้านค้าปลีกสมัยใหม่แห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร จำนวน 109 คน มีวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบอย่างง่ายด้วยการจับสลาก มีแบบสอบถามเป็นเครื่องมือวิจัย เก็บข้อมูลด้วย Google Form และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ</p> <p><strong> </strong>ผลการวิจัยพบว่า (1) การจัดการทรัพยากรมนุษย์ด้านการจัดการค่าตอบแทน และด้านความสมดุลชีวิตและงานมีผลต่อการคงอยู่ของพนักงาน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนการจัดการทรัพยากรมนุษย์ด้านการสรรหาและการคัดเลือก และด้านการฝึกอบรมและพัฒนาไม่มีผลต่อการคงอยู่ของพนักงาน และ (2) ความผูกพันต่อองค์กรด้านจิตใจและด้านบรรทัดฐานมีผลต่อการคงอยู่ของพนักงาน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนความผูกพันต่อองค์กรด้านความต่อเนื่องไม่มีผลต่อการคงอยู่ของพนักงาน</p>
จิตต์ภิพัฒน์ จันทร์ทาโล
ธัญนันท์ บุญอยู่
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารและสังคมศาสตร์ปริทรรศน์
2025-11-18
2025-11-18
8 6
61
74
-
การส่งเสริมการทำวิจัยในชั้นเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพัทลุง
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/assr/article/view/294633
<p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการส่งเสริมการทำวิจัยในชั้นเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพัทลุง 2) เปรียบเทียบการส่งเสริมการทำวิจัยในชั้นเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา จำแนกตาม วุฒิการศึกษา ประสบการณ์ในการปฏิบัติงาน และขนาดของสถานศึกษา และ 3) ประมวลข้อเสนอแนะเพื่อส่งเสริมการทำวิจัยในชั้นเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ ข้าราชการครู จำนวน 254 คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถาม 60 ข้อ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1) การส่งเสริมการทำวิจัยในชั้นเรียนของผู้บริหารสถานศึกษาโดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 2) ครูที่มีวุฒิการศึกษาต่างกัน ไม่มีความแตกต่างทั้งภาพรวมและรายด้าน ขณะที่ประสบการณ์ในการปฏิบัติงาน และขนาดของสถานศึกษาต่างกัน มีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 และ .05 ตามลำดับ และ 3) ข้อเสนอแนะ พบว่า ผู้บริหารสถานศึกษาควรสนับสนุนการทำวิจัยในชั้นเรียนอย่างเป็นระบบ โดยจัดอบรมให้ความรู้ จัดสรรเวลา งบประมาณ และทรัพยากรที่เพียงพอ สนับสนุนการนิเทศและกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ สร้างแรงจูงใจและการยอมรับ มอบรางวัล เปิดโอกาสเผยแพร่ผลงาน และนำผลงานวิจัยมาใช้ในการประเมินความก้าวหน้าในวิชาชีพ เพื่อยกระดับคุณภาพการเรียนการสอน</p>
ชญานิษฐ์ นวลสนอง
รุ่งชัชดาพร เวหะชาติ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารและสังคมศาสตร์ปริทรรศน์
2025-11-18
2025-11-18
8 6
75
90
-
แนวทางการพัฒนาคุณลักษณะการท่องเที่ยวเชิงสมุนไพรไทยในจังหวัดปราจีนบุรีเพื่อยกระดับสู่จุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวคุณภาพสูง
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/assr/article/view/294894
<p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ (1) ศึกษาคุณลักษณะที่สำคัญของการท่องเที่ยวเชิงสมุนไพรไทยในจังหวัดปราจีนบุรีด้วยวิธีวิทยาการประยุกต์ใช้ทฤษฎีฐานราก และ (2) นำเสนอแนวทางการยกระดับการท่องเที่ยวเชิงสมุนไพรไทยในจังหวัดปราจีนบุรีสู่จุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวคุณภาพสูง เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ 2 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนที่ 1 เก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกร่วมกับการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วมจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 17 คน วิเคราะห์โดยวิธีวิทยาการสร้างทฤษฎีฐานราก ขั้นตอนที่ 2 ดำเนินการวิจัยเชิงนโยบายร่วมกับการสนทนากลุ่ม กับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 17 คน เพื่อยืนยันผลการศึกษาในขั้นตอนที่ 1 และจัดทำข้อเสนอเพื่อการพัฒนาการท่องเที่ยวคุณภาพสูง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า (1) คุณลักษณะสำคัญของการท่องเที่ยวเชิงสมุนไพรไทย ได้แก่ ด้านสุขภาวะและมาตรฐานความปลอดภัย ด้านการเรียนรู้สมุนไพรแบบองค์รวม ด้านกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงปฏิบัติการ ด้านภูมิปัญญาท้องถิ่น ด้านประสบการณ์เชิงสมุนไพร และ ด้านคุณค่าทางโภชนาการอาหารสมุนไพร และ (2) แนวทางการยกระดับการท่องเที่ยวเชิงสมุนไพรไทยในจังหวัดปราจีนบุรีสู่จุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวคุณภาพสูง ได้แก่ การสร้างความเชื่อมั่นต่อนักท่องเที่ยวด้านคุณภาพการบริการที่คุ้มค่า การส่งเสริมการจัดการองค์ความรู้ภูมิปัญญา สร้างการรับรู้อัตลักษณ์จุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวสมุนไพรคุณภาพสูงของจังหวัดปราจีนบุรี ส่งเสริมให้ชุมชนมีความเข้มแข็งพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน และ ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการในจังหวัดปราจีนบุรีทุกภาคส่วนนำสมุนไพรมาพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการคุณภาพสูง</p>
เขมรัฐ เสริมสมบูรณ์
สันติธร ภูริภักดี
ระชานนท์ ทวีผล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารและสังคมศาสตร์ปริทรรศน์
2025-11-21
2025-11-21
8 6
91
106
-
การพัฒนาทักษะการพูดและการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาจีนของเด็กอนุบาล 3 โดยใช้การสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/assr/article/view/294983
<p> บทความวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบทักษะการพูดคำศัพท์ภาษาจีนของเด็กอนุบาล 3 ก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้การสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง และ 2) เปรียบเทียบผลการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาจีนของเด็กอนุบาล 3 ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้การสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง ประชากร คือ เด็กอนุบาล 3 จำนวน 180 คน โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ ปีการศึกษา 2568 งานวิจัยนี้ใช้รูปแบบการวิจัยแบบกลุ่มเดียว กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนอนุบาล 3/2 จำนวน 32 คน ได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ แบบประเมินความเหมาะสมของแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ แบบประเมินทักษะการพูดภาษาจีน แบบวัดการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาจีน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การหาค่าที</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ทักษะการพูดคำศัพท์ภาษาจีนของเด็กอนุบาล 3 โดยใช้การสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทางหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) การเรียนรู้คำศัพท์ภาษาจีนของเด็กอนุบาล 3 โดยใช้การสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทางหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
หู ซิ้วหลง
กุลิสรา จิตรชญาวณิช
นารีรัตน์ หงษ์สามสิบเก้า
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารและสังคมศาสตร์ปริทรรศน์
2025-11-21
2025-11-21
8 6
107
114
-
ความคิดเห็นของนักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/assr/article/view/294912
<p> บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาระดับความคิดเห็นของนักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร 2) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบความคิดเห็นของนักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคล ความรู้เกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงศิลปวัฒนธรรม กับความคิดเห็นของนักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยประชากรในการวิจัยนี้ คือ นักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาเยี่ยมชมหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร โดยกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามได้ค่าความเชื่อมั่นโดยรวมเท่ากับ 0.73 สถิติในการวิเคราะห์ได้แก่ สถิติเชิงพรรณนา ค่าเอฟ และสถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) นักท่องเที่ยวมีความคิดเห็นต่อหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานครโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.25) ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยว (x̄ = 4.28) รองลงมาคือ ด้านการเสริมสร้างความพึงพอใจของนักท่องเที่ยว (x̄ = 4.26) ด้านการให้ความสำคัญต่อมรดกทางประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรม (x̄ = 4.25) ด้านการจัดการอย่างยั่งยืนในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม (x̄ = 4.23) และด้านการจัดการความสามารถในการรองรับและรักษาความสะอาดของพื้นที่ (x̄ = 4.21) ตามลำดับ 2) ระดับการศึกษาสูงสุดมีความแตกต่างกันในความคิดเห็น ส่วนปัจจัยอื่นไม่มีความแตกต่างกัน 3) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลกับความคิดเห็นของนักท่องเที่ยว พบว่าปัจจัยส่วนบุคคล ไม่มีความสัมพันธ์กับความคิดเห็น</p>
อรอินทร์ทรา สมิตทันต์
จตุพร บานชื่น
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารและสังคมศาสตร์ปริทรรศน์
2025-11-23
2025-11-23
8 6
115
128
-
ความตระหนักต่อสุขภาพของเกษตรกรชาวสวนลำไย กรณีศึกษา ตำบลน้ำดิบ อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/assr/article/view/294914
<p> บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาระดับความตระหนักต่อสุขภาพของเกษตรกรชาวสวนลำไย 2) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบความตระหนักต่อสุขภาพของเกษตรกรชาวสวนลำไย จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ด้านสุขภาพและการใช้สารเคมี และแรงสนับสนุนทางสังคม กับความตระหนักต่อสุขภาพของเกษตรกรชาวสวนลำไยตำบลน้ำดิบ อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน เป็นวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 346 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ทดสอบความแตกต่างของลักษณะส่วนบุคคลโดยใช้การทดสอบ t-test กับ F-test และทดสอบความสัมพันธ์ โดยใช้สถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ด้านความตระหนักภาพรวมมีระดับความตระหนักต่อสุขภาพ อยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ (x̄ = 4.38) 2) ด้านปัจจัยส่วนบุคคลในภาพรวมไม่มีความแตกต่างกับระดับความตระหนักต่อสุขภาพของเกษตรกร ยกเว้นโรคประจำตัวต่างกันจะมีความตระหนักต่อสุขภาพทางจิตใจแตกต่างกันที่นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) ด้านความสัมพันธ์ ความรู้ด้านสุขภาพและการใช้สารเคมี และแรงสนับสนุนทางสังคมในภาพรวม กับความตระหนักต่อสุขภาพต่อสุขภาพของเกษตรกรในภาพรวมไม่มีความสัมพันธ์กัน ยกเว้นความรู้ด้านการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชและการได้รับสนับสนุนจากทางครอบครัวมีความสัมพันธ์ กับความตระหนักต่อสุขภาพของเกษตรกรในภาพรวม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ .001 ตามลำดับ</p>
สิริวัฒน์ ทำปวน
สิริกร กาญจนสุนทร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารและสังคมศาสตร์ปริทรรศน์
2025-11-23
2025-11-23
8 6
129
142
-
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารความเสี่ยงด้านการทุจริตทางการเงิน ของมหาวิทยาลัยในจังหวัดเชียงใหม่
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/assr/article/view/295252
<p> บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการกำกับดูแลและการประเมินความเสี่ยง 2) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อกิจกรรมการควบคุมความเสี่ยง 3) นำเสนอแนวทางเสริมสร้างระบบบริหารความเสี่ยงด้านการทุจริตทางการเงิน การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณแบบสำรวจ เก็บรวบรวมข้อมูลปฐมภูมิโดยใช้แบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่างมหาวิทยาลัย 4 แห่งในจังหวัดเชียงใหม่ 83 คน ซึ่งได้จากการสุ่มแบบเจาะจง สถิติที่ใช้คือ t-test, ANOVA และวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1) ปัจจัยด้านการกำกับดูแลและการประเมินความเสี่ยง ด้านการประเมินความเสี่ยงและการตรวจสอบ (RI) มีนัยสำคัญสูงสุด (B = 0.517) ต่อการกำกับดูแลและการประเมินความเสี่ยงโดยรวม นอกจากนี้ ด้านการกำกับดูแลองค์กร (OM) ก็มีผลเชิงบวก ด้านวัฒนธรรมองค์กรและค่านิยม (CO) มีผลในทิศทางลบต่อการประเมินความเสี่ยง 2) อายุเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการรับรู้การบริหารความเสี่ยงด้านการทุจริตอย่างมีนัยสำคัญ p = 0.0311 โดยปัจจัยอื่น ได้แก่ เพศ ประสบการณ์ทำงาน ตำแหน่งงาน และการเคยพบพฤติกรรมทุจริต ไม่ส่งผลต่อการรับรู้ระบบบริหารความเสี่ยงโดยรวม 3) แนวทางเสริมสร้างระบบบริหารความเสี่ยง ด้านการกำกับดูแลและวัฒนธรรมองค์กร มีค่าเฉลี่ยสูงสุด (x̄ = 4.214) ซึ่งควรธำรงรักษาไว้ ด้านที่ต้องเร่งปรับปรุงคือ ด้านเทคโนโลยี มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด (x̄ = 3.855) และปัจจัยด้านการกำกับดูแลองค์กร (OM) มีอำนาจในการขับเคลื่อนสูงสุด (x̄ = 0.3998, p = 0.001) ดังนั้นการปรับปรุง OM, CO และ RI จะมีผลกระทบสูงที่สุดต่อการบริหารความเสี่ยงโดยรวม และพบว่ากลุ่มอายุน้อยกว่า 35 ปีมีการรับรู้ระบบบริหารความเสี่ยงสูงที่สุด</p>
จงลักษณ์ สมร่าง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารและสังคมศาสตร์ปริทรรศน์
2025-11-23
2025-11-23
8 6
143
156
-
ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงกับความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของครู เครือข่ายพรหมพิราม 3 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/assr/article/view/295282
<p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาเครือข่ายพรหมพิราม 3 2) เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของครูเครือข่ายพรหมพิราม 3 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง กับ ความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของครูเครือข่ายพรหมพิราม 3 เป็นวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และครู จำนวน 108 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบสอบถาม เก็บรวบรวมข้อมูลผ่าน Google Forms สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าเฉลี่ย และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารเครือข่ายพรหมพิราม 3 โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2) ความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของครูเครือข่ายพรหมพิราม 3 โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด<br />3) ความสัมพันธ์ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงกับความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของครูเครือข่ายพรหมพิราม 3 ในภาพรวมมีความสัมพันธ์ทางบวกและส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์ในระดับสูงมาก (r = .923) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p>
อโรญา อยู่ยังเกตุ
นิคม นาคอ้าย
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารและสังคมศาสตร์ปริทรรศน์
2025-11-29
2025-11-29
8 6
157
166
-
ความร่วมมือของภาครัฐในการส่งเสริมสุขภาวะผู้สูงอายุ เทศบาลตำบลคลองชะอุ่น อำเภอพนม จังหวัดสุราษฎร์ธานี
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/assr/article/view/294266
<p> บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) ความร่วมมือของภาครัฐในการส่งเสริมสุขภาวะผู้สูงอายุของเทศบาลตำบลคลองชะอุ่น อำเภอพนม จังหวัดสุราษฎร์ธานี 2) รูปแบบการจัดการสุขภาวะของผู้สูงอายุในพื้นที่เทศบาลตำบลคลองชะอุ่น อำเภอพนม จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 20 คน โดยการสัมภาษณ์เชิงลึก และใช้วิธีการตรวจสอบแบบสามเส้าเพื่อประเมินความถูกต้องและความน่าเชื่อถือของข้อมูล</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ความร่วมมือของภาครัฐในการส่งเสริมสุขภาวะผู้สูงอายุของเทศบาลตำบลคลองชะอุ่น มีการดำเนินงานอย่างบูรณาการครอบคลุมทั้ง 4 มิติ ทางกายมุ่งดูแลสุขภาพและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้สูงอายุผ่านการตรวจสุขภาพ ออกกำลังกาย และให้ความรู้ด้านโภชนาการ ทางจิตใจเน้นสร้างกำลังใจและลดความเครียดด้วยกิจกรรมชมรมผู้สูงอายุ ธรรมะ และนันทนาการในชุมชน ทางสังคมส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้สูงอายุในกิจกรรมสาธารณะ เช่น โรงเรียนผู้สูงอายุและโครงการจิตอาสา เพื่อสร้างเครือข่ายและลดความโดดเดี่ยว ทางสติปัญญาสนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิตและการถ่ายทอดภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อเสริมคุณค่าและความภาคภูมิใจในตนเองของผู้สูงอายุ 2) รูปแบบการจัดการสุขภาวะของผู้สูงอายุในพื้นที่เทศบาลตำบลคลองชะอุ่น มุ่งเน้นการพัฒนาสุขภาวะอย่างองค์รวม 4 ด้าน ทางกายผ่านกิจกรรมออกกำลังกาย ตรวจสุขภาพ และการดูแลโภชนาการที่เหมาะสม ทางจิตใจโดยจัดกิจกรรมนันทนาการเพื่อสร้างขวัญกำลังใจและลดความเหงา ทางสังคมเป็นการส่งเสริมการมีส่วนร่วมในชมรมผู้สูงอายุ และทางสติปัญญา โดยการจัดโรงเรียนผู้สูงอายุและกิจกรรมถ่ายทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อพัฒนาทักษะและเพิ่มคุณค่าในตนเอง</p>
นนทิชา สิงห์พัฒน์
วันทนีย์ เทพแก้ว
สุภสินี เส้งนวลนิ่ม
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารและสังคมศาสตร์ปริทรรศน์
2025-11-29
2025-11-29
8 6
167
180
-
แนวทางการสร้างเครือข่ายการนิเทศการสอนภายในของโรงเรียนในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/assr/article/view/294189
<p> บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาความต้องการจำเป็น และ 2. หาแนวทางการสร้างเครือข่ายการนิเทศการสอนภายในของโรงเรียนในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดอุตรดิตถ์ ใช้วิธีวิจัยแบบผสมผสานทั้งปริมาณ แบบวิจัยเชิงสำรวจ และ คุณภาพ แบบวิจัยภาคสนาม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในงานวิจัย ได้แก่ ครูและผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 174 คน ใช้การสุ่มอย่างง่าย และผู้ทรงคุณวุฒิที่ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 9 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ดัชนีความต้องการจำเป็น (PNI) และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ผลการศึกษาความต้องการจำเป็น เรียงตามลำดับค่าดัชนีความต้องการจำเป็น คือ ด้านการปฏิบัติการนิเทศการสอน ด้านการขยายผล ด้านข้อมูลสารสนเทศ สภาพปัญหา และความต้องการ ด้านการประเมินผลการนิเทศการสอน และ ด้านการวางแผนการสอน ตามลำดับ</li> <li>ผลการหาแนวทางการสร้างเครือข่ายการนิเทศการสอนภายในของโรงเรียนในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ พบว่า ด้านข้อมูลสารสนเทศ สภาพปัญหา และความต้องการ ควรจัดประชุม หาพี่เลี้ยงทางวิชาการร่วมกันสร้างแบบฟอร์มบันทึกผลสะท้อนคิด ด้านการวางแผนการนิเทศการสอน ควรประชุมเตรียมความพร้อมก่อนสังเกตชั้นเรียน และจัดทำคู่มือปฏิบัติหน้าที่ ด้านการปฏิบัติการนิเทศการสอน ควรจัดเวทีวิชาการเพื่อแสดงผลงานความสำเร็จเกี่ยวกับการนิเทศโดยเชิญหน่วยงานภายนอกร่วมเป็นคณะกรรมการนิเทศการสอน และมอบรางวัลยกย่องเชิดชูเกียรติ ด้านการประเมินผลการนิเทศการสอน ควรใช้กระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ และจัดเก็บหลักฐานการนิเทศในรูปแบบต่างๆ และด้านการขยายผล ควรเผยแพร่ผลการนิเทศการสอน และนำผลสะท้อนคิดมาพัฒนากระบวนการนิเทศ</li> </ol>
เธียรดนัย อยู่บัานคลอง
สุกัญญา รุจิเมธาภาส
หยกแก้ว กมลวรเดช
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารและสังคมศาสตร์ปริทรรศน์
2025-12-02
2025-12-02
8 6
181
192
-
การสำรวจการรับรู้และทัศนคติของนักศึกษาการบินต่อการบูรณาการเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์ในการศึกษา: กรณีศึกษาวิทยาลัยการพัฒนาและฝึกอบรมด้านการบิน มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/assr/article/view/295592
<p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาระดับของการรับรู้ผลกระทบ ทัศนคติ และความต้องการของนักศึกษาการบินต่อการบูรณาการเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์ (GenAI) ในการศึกษา และ (2) เสนอแนวทางเชิงนโยบายในการส่งเสริมการใช้ GenAI เพื่อการเรียนรู้ในหลักสูตรการบินอย่างมีจริยธรรมและยั่งยืน การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) โดยมีประชากรเป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรีชั้นปีที่ 1–4 ของวิทยาลัยการพัฒนาและฝึกอบรมด้านการบิน มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ จำนวน 244 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือแบบสอบถามซึ่งผ่านการตรวจสอบคุณภาพเชิงเนื้อหาและความเชื่อมั่น เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการสำรวจออนไลน์ และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการแปลความหมายระดับความคิดเห็น</p> <p><strong> </strong>ผลการวิจัยพบว่า (1) นักศึกษาการบินมีการรับรู้ประโยชน์และทัศนคติที่ดีต่อการใช้ GenAI อยู่ในระดับสูง ขณะที่ความกังวลอยู่ในระดับปานกลางค่อนไปสูง สะท้อนถึงการตระหนักด้านจริยธรรม ความถูกต้องของข้อมูล และผลกระทบจากการใช้เทคโนโลยี นอกจากนี้ นักศึกษาประเมินประสิทธิภาพและความพึงพอใจต่อเครื่องมือ GenAI อยู่ในระดับค่อนข้างสูง โดยเฉพาะเครื่องมือที่แพร่หลาย เช่น ChatGPT และ Gemini ในด้านความต้องการการสนับสนุนเพิ่มเติมนั้นพบว่ามีความต้องการใช้เครื่องมือ GenAI แบบ Pro และการอบรมเพิ่มเติม (2) จากผลการศึกษา ผู้วิจัยเสนอแนวทางเชิงนโยบายที่มุ่งเน้นการบูรณาการแนวคิด AI Literacy Across Curriculum ควบคู่กับกิจกรรมการเรียนรู้เชิงปฏิบัติ และแนวปฏิบัติด้านจริยธรรม (AI Ethics Guideline) เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนใช้เทคโนโลยีอย่างมีความรับผิดชอบและเกิดประโยชน์สูงสุดในบริบทของการศึกษาด้านการบิน</p>
สถาวร เลิศสุวรรณกุล
ธันยพร ตีรณานุวัตร
ปัณณกร เกิดช่วย
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารและสังคมศาสตร์ปริทรรศน์
2025-12-05
2025-12-05
8 6
193
206
-
ความสัมพันธ์ระหว่างการนิเทศภายในของผู้บริหารสถานศึกษากับการจัดการเรียนการรู้ของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานราธิวาส เขต 2
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/assr/article/view/295402
<p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการนิเทศภายในของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาการจัดการเรียนรู้ของครู และ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการนิเทศภายในของผู้บริหารสถานศึกษากับการจัดการเรียนรู้ของครู โดยเป็นการวิจัยเชิงสำรวจ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานราธิวาส เขต 2 ปีการศึกษา 2568 จำนวน 327 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามการนิเทศภายในสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา และการจัดการเรียนการรู้ของครู โดยเก็บรวบรวมแบบสอบถามด้วยตนเองและผ่านระบบ Google form จำนวนแบบสอบถามที่จัดส่งไปจำนวน 327 ฉบับ ได้รับคืนจำนวน 327 ฉบับ คิดเป็นร้อยละ 100.00 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) การนิเทศภายในของผู้บริหารสถานศึกษาโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุดคือการพัฒนาหลักสูตร และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุดคือการวิจัยเชิงปฏิบัติในชั้นเรียน 2) การจัดการเรียนรู้ของครูโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุดคือการพัฒนาสื่อการจัดการเรียนรู้ และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุดคือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และ 3) การนิเทศภายในของผู้บริหารสถานศึกษามีความสัมพันธ์ทางบวกกับการจัดการเรียนรู้ของครูทั้งโดยภาพรวมและรายด้านในระดับสูง (r = .848**) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p>
กาญจนาพร รักษ์วงศ์
ศิลป์ชัย สุวรรณมณี
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารและสังคมศาสตร์ปริทรรศน์
2025-12-05
2025-12-05
8 6
207
220
-
การวิเคราะห์การส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการตามหลักการพัฒนาที่ยั่งยืน กรณีศึกษาการส่งเสริมโอกาสการมีงานทำและการจ้างงานคนพิการในประเทศไทย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/assr/article/view/294974
<p> บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาหลักการพัฒนาที่ยั่งยืนที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริม โอกาสการมีงานทำและการจ้างงานคนพิการตามมาตรฐานสากล 2) เพื่อศึกษาและวิเคราะห์กฎหมาย มาตรการ นโยบาย และแผนงานที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนดำเนินงานด้านการส่งเสริมโอกาสการมีงานทำ และการจ้างงานคนพิการในประเทศไทยตามหลักการพัฒนาที่ยั่งยืน 3) เพื่อให้ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและ แนวทางการส่งเสริมโอกาสการมีงานทำและการจ้างงานคนพิการ เพื่อนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ ยั่งยืน เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้การวิจัยเชิงเอกสาร รวบรวม และวิเคราะห์ ข้อมูลและการวิเคราะห์เชิงเนื้อหาและการวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนที่มีความเกี่ยวข้องกับการส่งเสริมโอกาสการมีงานทำและการจ้างงานคนพิการ ได้แก่ เป้าหมายการพัฒนาที่ 1,4,8,10,11,16 และ 17 2) ประเทศไทยมี<br />การดำเนินงานทางกฎหมาย มาตรการ นโยบาย และแผนงาน ที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมโอกาสการมีงานทำ และการจ้างงานคนพิการที่ค่อนข้างสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งมีการกำหนดสิทธิประโยชน์ และสวัสดิการสำหรับคนพิการ รวมถึงมาตรการส่งเสริมการมีงานทำของคนพิการและการคุ้มครองลูกจ้างคนพิการ 3) ข้อเสนอแนะการส่งเสริมโอกาสการมีงานทำและการจ้างงานคนพิการ ได้แก่ การพัฒนาประสิทธิภาพทางกฎหมาย การเสริมพลังอำนาจคนพิการ การสร้างสภาพแวดล้อมและบริการสาธารณะที่เหมาะสมกับคนพิการ การสร้างระบบฐานข้อมูลกลาง การเสริมสร้างเจตคติที่ดีต่อคนพิการ และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการในประเทศไทย</p>
มนฤดี สีสุข
จตุพร บานชื่น
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารและสังคมศาสตร์ปริทรรศน์
2025-12-05
2025-12-05
8 6
221
236
-
การควบคุมภายในที่ส่งผลต่อการบริหารความเสี่ยง ของศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ระดับอำเภอ สังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ ประจำจังหวัดเชียงใหม่
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/assr/article/view/294441
<p> บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาการควบคุมภายใน ของศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ ระดับอำเภอ 2) เพื่อศึกษาการบริหารความเสี่ยง ของศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ ระดับอำเภอ3) เพื่อศึกษาการควบคุมภายในที่ส่งผลต่อการบริหารความเสี่ยง ของศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ระดับอำเภอ สังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดเชียงใหม่ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือ เก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 264 วิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติอนุมานด้วยการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p><strong> </strong>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) การควบคุมภายในของศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ระดับอำเภอโดยรวมอยู่ในระดับมาก ทุกด้าน เรียงตามลำดับค่าเฉลี่ยมากที่สุดไปหาน้อย คือ ด้านสภาพแวดล้อมการควบคุม</p> <p><strong> </strong>2) การบริหารความเสี่ยงศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ระดับอำเภอ โดยรวมอยู่ในระดับมาก ทุกด้าน เรียงตามลำดับจากค่าเฉลี่ยมากที่สุดไปหาน้อย คือ การบริหารความเสี่ยงด้านการเงิน</p> <p> 3) ตัวแปรการควบคุมภายใน ที่ส่งผลต่อการบริหารความเสี่ยงของศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ระดับอำเภอ องค์ประกอบการควบคุมภายในด้านการติดตามและประเมินผล และด้านการประเมินความเสี่ยง มีความสัมพันธ์และส่งผลกระทบในเชิงบวกต่อการบริหารความเสี่ยงของศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ระดับอำเภอ เมื่อพิจารณาค่าสัมประสิทธิ์การถดถอยมาตรฐาน พบว่า ด้านการติดตามและประเมินผล มีความเสี่ยงมากที่สุด รองลงมาคือด้านการประเมินความเสี่ยง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าด้านการติดตามและประเมินผล เป็นองค์ประกอบของการควบคุมภายในที่มีความสำคัญสูงสุดในการขับเคลื่อนหรือสนับสนุนให้เกิดการบริหารความเสี่ยง<br />ที่มีประสิทธิภาพ</p>
ณภาภัช วงค์ประดิษฐ
จำนงค์ แจ่มจันทร์วงษ์
ฐิติอาภา ตั้งค้าวานิช
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารและสังคมศาสตร์ปริทรรศน์
2025-12-10
2025-12-10
8 6
237
250