วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/ajpbru <p>วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรีมีศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย ISSN: 2229-0435&nbsp; รับตีพิมพ์บทความในกลุ่ม สหวิทยาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์เปิดรับบทความวิจัย บทความวิชาการ โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือคณาจารย์ นักศึกษา และนักวิจัยทั้งในและนอกสถาบัน โดยมีกำหนดออกวารสารตีพิมพ์ 3 ฉบับต่อปี ดังนี้ ฉบับที่ 1 มกราคม – เมษายน, ฉบับที่ 2 พฤษภาคม-สิงหาคม และฉบับที่ 3 กันยายน - ธันวาคม</p> th-TH <p>บทความนี้ยังไม่เคยลงตีพิมพ์ในวารสารใดมาก่อน และไม่อยู่ระหว่างการพิจารณาของวารสารอื่น</p> <p>บทความที่ลงพิมพ์เป็นข้อคิดเห็น/แนวคิด/ทัศนคติของผู้เขียนเท่านั้น หากเกิดผลทางกฎหมายใดๆที่อาจ</p> <p>เกิดขึ้นจากบทความนี้ ผู้เขียนจะเป็นผู้รับผิดชอบ และบทความนี้เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารเท่านั้น</p> <p>&nbsp;</p> <p>&nbsp;</p> acad@mail.pbru.ac.th (ดร.จุติพร อินทะนิน) acad@mail.pbru.ac.th (สุปราณี ผุดผ่อง) Sun, 31 Aug 2025 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การจัดการกิจกรรมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ชุมชนบ้านถ้ำเสือ อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/ajpbru/article/view/284317 <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษากิจกรรมท่องเที่ยวโดยชุมชนบ้านถ้ำเสือ 2) เพื่อศึกษาการจัดการการท่องเที่ยวโดยชุมชนบ้านถ้ำเสือ และ 3) เพื่อเสนอแนวทางการจัดการกิจกรรมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ชุมชนบ้านถ้ำเสือ ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research Method) ใช้วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลจากการค้นคว้าเอกสาร การสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth interview) การสนทนากลุ่ม (Focus group) และการสังเกต (Observation) โดยกลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในด้านการจัดการการท่องเที่ยวโดยชุมชนในพื้นที่ชุมชนบ้านถ้ำเสือ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการดำเนินงานการจัดการการท่องเที่ยวโดยชุมชนในพื้นที่ชุมชนบ้านถ้ำเสือ และผู้ที่เคยไปท่องเที่ยวในพื้นที่ชุมชนบ้านถ้ำเสือ รวมทั้งสิ้น 24 คน โดยใช้วิธีการตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้า (Methodology Triangulation) การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis)</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า กิจกรรมการท่องเที่ยวชุมชนบ้านถ้ำเสือ ประกอบด้วย 1) กิจกรรมการท่องเที่ยวธรรมชาติ ได้แก่ กิจกรรมการล่องเรือแม่น้ำเพชรบุรีกิจกรรมการแคมป์ปิ้ง 2) กิจกรรมการท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิต กิจกรรมประกอบอาหาร เสือลุยสวนกิจกรรมการทำไข่เค็มใบเตย กิจกรรมทองม้วนเงินล้าน กิจกรรมเตาอิวาเตะ และ 3) กิจกรรมท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ กิจกรรมทายมูลค่าต้นไม้ กิจกรรมผสมดิน และปั้นกระสุนเมล็ดพันธุ์ ส่วนการจัดการกิจกรรมการท่องเที่ยวโดยชุมชนอย่างยั่งยืน พบว่า บทบาทของชุมชนในการจัดการกิจกรรมการท่องเที่ยว ประกอบด้วย ด้านการพัฒนาและด้านการควบคุม และแนวทางในการจัดการกิจกรรมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนของชุมชนบ้านถ้ำเสือ ได้ดังนี้ 1) ชุมชนต้องบริหารกิจกรรมการท่องเที่ยวให้ได้ตามการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยควรมีการวางแผนและดำเนินการให้มีกิจกรรมที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม 2) ชุมชนควรหากิจกรรมการท่องเที่ยวที่หลากหลายมีการเชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยว หรือกิจกรรมการท่องเที่ยวกับชุมชนใกล้เคียงเพื่อเป็นการขยายการท่องเที่ยวไปสู่ชุมชนอื่นๆ ด้วยกัน 3) ผู้นำชุมชนหรือคณะกรรมการจัดการท่องเที่ยวควรเพิ่มกิจกรรมที่สอดแทรกภูมิปัญญาท้องถิ่น วัฒนธรรม และประเพณี 4) ควรมีการบูรณาการการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างภาครัฐ ผู้นำชุมชน และคณะกรรมการการจัดการท่องเที่ยว ในลักษณะของการให้คำปรึกษาและสนับสนุนในด้านต่าง ๆ</p> กฤติกา คุณูปการ, สุรพร มุลกุณี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/ajpbru/article/view/284317 Mon, 01 Sep 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการเสริมสร้างความร่วมมือของภาคีเครือข่ายเพื่อพัฒนาคุณภาพการดำเนินงาน ของศูนย์ยุติธรรมชุมชนจังหวัดเพชรบุรี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/ajpbru/article/view/286946 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการพัฒนาคุณภาพการดำเนินงานของศูนย์ยุติธรรมชุมชนจังหวัดเพชรบุรี 2) เปรียบเทียบลักษณะส่วนบุคคลที่มีความคิดเห็นต่อการพัฒนาคุณภาพการดำเนินงานของศูนย์ยุติธรรมชุมชนจังหวัดเพชรบุรี 3) ศึกษากระบวนการเสริมสร้างความร่วมมือของภาคีเครือข่ายที่มีความสัมพันธ์เชิงเหตุ-ผลกับการพัฒนาคุณภาพการดำเนินงานของศูนย์ยุติธรรมชุมชนจังหวัดเพชรบุรี 4) ศึกษาแนวทางการเสริมสร้างความร่วมมือของภาคีเครือข่ายเพื่อพัฒนาคุณภาพการดำเนินงานของศูนย์ยุติธรรมชุมชนจังหวัดเพชรบุรี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ จำนวนเครือข่ายศูนย์ยุติธรรมชุมชนจังหวัดเพชรบุรี 84 ศูนย์ เครือข่าย 4,200 คน ได้จำนวนเครือข่าย 365 คน โดยใช้สูตรคำนวณของ Taro Yamane (1970:725) [1] ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% และความคลาดเคลื่อน 5% และผู้ให้ข้อมูลสำคัญรวมจำนวน 12 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้เครื่องมือวิจัยเป็นแบบสอบถามด้วยค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้สถิติ one-way ANOVA สำหรับเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างตัวแปรอิสระที่มี 3 กลุ่มขึ้นไป</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1. การพัฒนาคุณภาพการดำเนินงานของศูนย์ยุติธรรมชุมชนอยู่ในระดับมาก 2. กลุ่มตัวอย่างที่มีประสบการณ์ทำงานที่แตกต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการพัฒนาคุณภาพการดำเนินงานของศูนย์ยุติธรรมชุมชนต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3. กระบวนการเสริมสร้างความร่วมมือของภาคีเครือข่าย ด้านการระดมความร่วมมือ ด้านการสนธิความร่วมมือ ด้านการสร้างภาวะผู้นำ และด้านการสร้างความถูกต้องชอบธรรม มีความสัมพันธ์เชิงเหตุ-ผล กับการพัฒนาคุณภาพการดำเนินงานของศูนย์ยุติธรรมชุมชน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 และด้านการวางกรอบความร่วมมือ มีความสัมพันธ์ทางสถิติที่ระดับ 0.05 4.แนวทางการเสริมสร้างความร่วมมือของภาคีเครือข่ายเพื่อพัฒนาคุณภาพการดำเนินงานของศูนย์ยุติธรรมชุมชน ได้แก่ 1) ควรมีการเชื่อมโยงข้อมูลและทรัพยากรระหว่างหน่วยงาน 2) ควรสร้างระบบการรับเรื่องที่มีประสิทธิภาพและเข้าถึงประชาชน 3) ควรส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนด้านการไกล่เกลี่ย 4) ควรสร้างระบบสนับสนุนที่ครอบคลุมเครือข่ายภาคประชาสังคม และ 5) ควรมีการสร้างระบบการฟื้นฟูที่มีความยั่งยืน</p> กชมน สุวรรณรัตน์, วลัยพร ชิณศรี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/ajpbru/article/view/286946 Mon, 01 Sep 2025 00:00:00 +0700 ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ ของโรงเรียนในเครือซาเลเซียน https://so03.tci-thaijo.org/index.php/ajpbru/article/view/290955 <p> การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง 2) การเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ และ 3) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียนในเครือซาเลเซียน กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ ผู้บริหารและครู จำนวน 274 คน ประกอบด้วย ผู้บริหาร จำนวน 60 คน และครู จำนวน 214 คน โดยใช้แบบสอบถามภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารตามแนวคิดของลีธวูด แจนซี และสเตนแบค และการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ ตามแนวคิดของ เซ็งเก้ และคณะ โดยแบบสอบถามความคิดเห็นมีค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) ด้วยการหาค่าดัชนีความสอดคล้องของข้อคำถามและนิยามเชิงปฏิบัติการ (Index of Item Objective Congruence: IOC) ได้ผลการวิเคราะห์ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) อยู่ระหว่าง 0.60 – 1.00 ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม (Reliability) โดยหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาค (Cronbach's Alpha Coefficient) ได้ผลการวิเคราะห์ความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ 0.850 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ความถี่ ร้อยละ มัชฌิมเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียนในเครือซาเลเซียนในภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับจากมากไปน้อย ดังนี้ ด้านการยอมรับในเป้าหมายของกลุ่ม ด้านการเป็นแบบอย่างที่ดี ด้านการกำหนดวิสัยทัศน์ ด้านการตั้งความหวังของงานไว้สูงขึ้น ด้านการสร้างแรงบันดาลใจ และด้านการกระตุ้นการใช้ปัญญา 2) การเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของผู้บริหารโรงเรียนในเครือซาเลเซียนในภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับจากมากไปน้อย ดังนี้ การคิดอย่างเป็นระบบ การเรียนรู้เป็นทีม การมีวิสัยทัศน์ร่วม ความรอบรู้แห่งตน และรูปแบบวิธีการคิด 3) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหาร ด้านการเป็นแบบอย่างที่ดี ส่งผลต่อการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียนในเครือซาเลเซียนโดยภาพรวมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และสามารถพยากรณ์การเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียนในเครือซาเลเซียน ได้ร้อยละ 13.60</p> ณัฐวุฒิ กิจสวัสดิ์, สายสุดา เตียเจริญ, มัทนา วังถนอมศักดิ์, ศักดิพันธ์ ตันวิมลรัตน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/ajpbru/article/view/290955 Mon, 01 Sep 2025 00:00:00 +0700