วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/ajpbru
<p>วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรีมีศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย ISSN: 2229-0435 รับตีพิมพ์บทความในกลุ่ม สหวิทยาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์เปิดรับบทความวิจัย บทความวิชาการ โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือคณาจารย์ นักศึกษา และนักวิจัยทั้งในและนอกสถาบัน โดยมีกำหนดออกวารสารตีพิมพ์ 3 ฉบับต่อปี ดังนี้ ฉบับที่ 1 มกราคม – เมษายน, ฉบับที่ 2 พฤษภาคม-สิงหาคม และฉบับที่ 3 กันยายน - ธันวาคม</p>
งานประสานการจัดบัณฑิตศึกษา สำนักส่งเสริมวิชาการและงานทะเบียน
th-TH
วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี
2229-0435
<p>บทความนี้ยังไม่เคยลงตีพิมพ์ในวารสารใดมาก่อน และไม่อยู่ระหว่างการพิจารณาของวารสารอื่น</p> <p>บทความที่ลงพิมพ์เป็นข้อคิดเห็น/แนวคิด/ทัศนคติของผู้เขียนเท่านั้น หากเกิดผลทางกฎหมายใดๆที่อาจ</p> <p>เกิดขึ้นจากบทความนี้ ผู้เขียนจะเป็นผู้รับผิดชอบ และบทความนี้เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารเท่านั้น</p> <p> </p> <p> </p>
-
การจัดการกิจกรรมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ชุมชนบ้านถ้ำเสือ อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/ajpbru/article/view/284317
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษากิจกรรมท่องเที่ยวโดยชุมชนบ้านถ้ำเสือ 2) เพื่อศึกษาการจัดการการท่องเที่ยวโดยชุมชนบ้านถ้ำเสือ และ 3) เพื่อเสนอแนวทางการจัดการกิจกรรมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ชุมชนบ้านถ้ำเสือ ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research Method) ใช้วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลจากการค้นคว้าเอกสาร การสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth interview) การสนทนากลุ่ม (Focus group) และการสังเกต (Observation) โดยกลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในด้านการจัดการการท่องเที่ยวโดยชุมชนในพื้นที่ชุมชนบ้านถ้ำเสือ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการดำเนินงานการจัดการการท่องเที่ยวโดยชุมชนในพื้นที่ชุมชนบ้านถ้ำเสือ และผู้ที่เคยไปท่องเที่ยวในพื้นที่ชุมชนบ้านถ้ำเสือ รวมทั้งสิ้น 24 คน โดยใช้วิธีการตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้า (Methodology Triangulation) การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis)</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า กิจกรรมการท่องเที่ยวชุมชนบ้านถ้ำเสือ ประกอบด้วย 1) กิจกรรมการท่องเที่ยวธรรมชาติ ได้แก่ กิจกรรมการล่องเรือแม่น้ำเพชรบุรีกิจกรรมการแคมป์ปิ้ง 2) กิจกรรมการท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิต กิจกรรมประกอบอาหาร เสือลุยสวนกิจกรรมการทำไข่เค็มใบเตย กิจกรรมทองม้วนเงินล้าน กิจกรรมเตาอิวาเตะ และ 3) กิจกรรมท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ กิจกรรมทายมูลค่าต้นไม้ กิจกรรมผสมดิน และปั้นกระสุนเมล็ดพันธุ์ ส่วนการจัดการกิจกรรมการท่องเที่ยวโดยชุมชนอย่างยั่งยืน พบว่า บทบาทของชุมชนในการจัดการกิจกรรมการท่องเที่ยว ประกอบด้วย ด้านการพัฒนาและด้านการควบคุม และแนวทางในการจัดการกิจกรรมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนของชุมชนบ้านถ้ำเสือ ได้ดังนี้ 1) ชุมชนต้องบริหารกิจกรรมการท่องเที่ยวให้ได้ตามการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยควรมีการวางแผนและดำเนินการให้มีกิจกรรมที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม 2) ชุมชนควรหากิจกรรมการท่องเที่ยวที่หลากหลายมีการเชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยว หรือกิจกรรมการท่องเที่ยวกับชุมชนใกล้เคียงเพื่อเป็นการขยายการท่องเที่ยวไปสู่ชุมชนอื่นๆ ด้วยกัน 3) ผู้นำชุมชนหรือคณะกรรมการจัดการท่องเที่ยวควรเพิ่มกิจกรรมที่สอดแทรกภูมิปัญญาท้องถิ่น วัฒนธรรม และประเพณี 4) ควรมีการบูรณาการการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างภาครัฐ ผู้นำชุมชน และคณะกรรมการการจัดการท่องเที่ยว ในลักษณะของการให้คำปรึกษาและสนับสนุนในด้านต่าง ๆ</p>
กฤติกา คุณูปการ
สุรพร มุลกุณี
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-01
2025-09-01
15 2
1
10
-
แนวทางการเสริมสร้างความร่วมมือของภาคีเครือข่ายเพื่อพัฒนาคุณภาพการดำเนินงาน ของศูนย์ยุติธรรมชุมชนจังหวัดเพชรบุรี
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/ajpbru/article/view/286946
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการพัฒนาคุณภาพการดำเนินงานของศูนย์ยุติธรรมชุมชนจังหวัดเพชรบุรี 2) เปรียบเทียบลักษณะส่วนบุคคลที่มีความคิดเห็นต่อการพัฒนาคุณภาพการดำเนินงานของศูนย์ยุติธรรมชุมชนจังหวัดเพชรบุรี 3) ศึกษากระบวนการเสริมสร้างความร่วมมือของภาคีเครือข่ายที่มีความสัมพันธ์เชิงเหตุ-ผลกับการพัฒนาคุณภาพการดำเนินงานของศูนย์ยุติธรรมชุมชนจังหวัดเพชรบุรี 4) ศึกษาแนวทางการเสริมสร้างความร่วมมือของภาคีเครือข่ายเพื่อพัฒนาคุณภาพการดำเนินงานของศูนย์ยุติธรรมชุมชนจังหวัดเพชรบุรี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ จำนวนเครือข่ายศูนย์ยุติธรรมชุมชนจังหวัดเพชรบุรี 84 ศูนย์ เครือข่าย 4,200 คน ได้จำนวนเครือข่าย 365 คน โดยใช้สูตรคำนวณของ Taro Yamane (1970:725) [1] ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% และความคลาดเคลื่อน 5% และผู้ให้ข้อมูลสำคัญรวมจำนวน 12 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้เครื่องมือวิจัยเป็นแบบสอบถามด้วยค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้สถิติ one-way ANOVA สำหรับเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างตัวแปรอิสระที่มี 3 กลุ่มขึ้นไป</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1. การพัฒนาคุณภาพการดำเนินงานของศูนย์ยุติธรรมชุมชนอยู่ในระดับมาก 2. กลุ่มตัวอย่างที่มีประสบการณ์ทำงานที่แตกต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการพัฒนาคุณภาพการดำเนินงานของศูนย์ยุติธรรมชุมชนต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3. กระบวนการเสริมสร้างความร่วมมือของภาคีเครือข่าย ด้านการระดมความร่วมมือ ด้านการสนธิความร่วมมือ ด้านการสร้างภาวะผู้นำ และด้านการสร้างความถูกต้องชอบธรรม มีความสัมพันธ์เชิงเหตุ-ผล กับการพัฒนาคุณภาพการดำเนินงานของศูนย์ยุติธรรมชุมชน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 และด้านการวางกรอบความร่วมมือ มีความสัมพันธ์ทางสถิติที่ระดับ 0.05 4.แนวทางการเสริมสร้างความร่วมมือของภาคีเครือข่ายเพื่อพัฒนาคุณภาพการดำเนินงานของศูนย์ยุติธรรมชุมชน ได้แก่ 1) ควรมีการเชื่อมโยงข้อมูลและทรัพยากรระหว่างหน่วยงาน 2) ควรสร้างระบบการรับเรื่องที่มีประสิทธิภาพและเข้าถึงประชาชน 3) ควรส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนด้านการไกล่เกลี่ย 4) ควรสร้างระบบสนับสนุนที่ครอบคลุมเครือข่ายภาคประชาสังคม และ 5) ควรมีการสร้างระบบการฟื้นฟูที่มีความยั่งยืน</p>
กชมน สุวรรณรัตน์
วลัยพร ชิณศรี
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-01
2025-09-01
15 2
11
20
-
ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ ของโรงเรียนในเครือซาเลเซียน
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/ajpbru/article/view/290955
<p> การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง 2) การเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ และ 3) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียนในเครือซาเลเซียน กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ ผู้บริหารและครู จำนวน 274 คน ประกอบด้วย ผู้บริหาร จำนวน 60 คน และครู จำนวน 214 คน โดยใช้แบบสอบถามภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารตามแนวคิดของลีธวูด แจนซี และสเตนแบค และการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ ตามแนวคิดของ เซ็งเก้ และคณะ โดยแบบสอบถามความคิดเห็นมีค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) ด้วยการหาค่าดัชนีความสอดคล้องของข้อคำถามและนิยามเชิงปฏิบัติการ (Index of Item Objective Congruence: IOC) ได้ผลการวิเคราะห์ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) อยู่ระหว่าง 0.60 – 1.00 ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม (Reliability) โดยหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาค (Cronbach's Alpha Coefficient) ได้ผลการวิเคราะห์ความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ 0.850 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ความถี่ ร้อยละ มัชฌิมเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียนในเครือซาเลเซียนในภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับจากมากไปน้อย ดังนี้ ด้านการยอมรับในเป้าหมายของกลุ่ม ด้านการเป็นแบบอย่างที่ดี ด้านการกำหนดวิสัยทัศน์ ด้านการตั้งความหวังของงานไว้สูงขึ้น ด้านการสร้างแรงบันดาลใจ และด้านการกระตุ้นการใช้ปัญญา 2) การเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของผู้บริหารโรงเรียนในเครือซาเลเซียนในภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับจากมากไปน้อย ดังนี้ การคิดอย่างเป็นระบบ การเรียนรู้เป็นทีม การมีวิสัยทัศน์ร่วม ความรอบรู้แห่งตน และรูปแบบวิธีการคิด 3) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหาร ด้านการเป็นแบบอย่างที่ดี ส่งผลต่อการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียนในเครือซาเลเซียนโดยภาพรวมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และสามารถพยากรณ์การเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียนในเครือซาเลเซียน ได้ร้อยละ 13.60</p>
ณัฐวุฒิ กิจสวัสดิ์
สายสุดา เตียเจริญ
มัทนา วังถนอมศักดิ์
ศักดิพันธ์ ตันวิมลรัตน์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-01
2025-09-01
15 2
21
29
-
รูปแบบการบริหารจัดการแบบควบรวมโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบุรี เขต 2
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/ajpbru/article/view/284805
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันของการบริหารจัดการแบบควบรวมโรงเรียนขนาดเล็ก 2) สร้างรูปแบบการบริหารจัดการแบบควบรวมโรงเรียนขนาดเล็ก และ 3) ศึกษาผลการนำรูปแบบการบริหารจัดการแบบควบรวมโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบุรี เขต 2 ไปใช้ กลุ่มตัวอย่างมี 3 กลุ่ม ประกอบด้วยกลุ่มตัวอย่างในการศึกษาสภาพปัจจุบันของการบริหารจัดการแบบควบรวมโรงเรียนขนาดเล็ก จำนวน 8 คน กลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิประเมินรูปแบบการบริหารจัดการแบบควบรวมโรงเรียนขนาดเล็ก จำนวน 5 คน และกลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสอบถามการนำรูปแบบการบริหารจัดการแบบควบรวมโรงเรียนขนาดเล็กไปใช้ จำนวน 42 คน ประกอบด้วยผู้บริหารโรงเรียน ครู คณะกรรมการสถานศึกษา และผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนควบรวม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างสำหรับศึกษาสภาพปัจจุบันของการบริหารจัดการแบบควบรวมโรงเรียนขนาดเล็ก แบบประเมินความเหมาะสมของรูปแบบการบริหารจัดการแบบควบรวมโรงเรียนขนาดเล็ก และแบบสอบถามความคิดเห็นต่อการนำรูปแบบการบริหารจัดการแบบควบรวมโรงเรียนขนาดเล็กไปใช้ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การวิเคราะห์สภาพปัจจุบันของการบริหารจัดการโรงเรียนควบรวม ได้แก่ ค่าความถี่ (Frequency) ร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) การประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิใช้แบบประเมินรูปแบบที่มีระดับความคิดเห็น 5 ระดับ (Likert Scale) แล้ววิเคราะห์ผลด้วย:ค่าเฉลี่ย (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เพื่อวัดระดับ ความเหมาะสม ความถูกต้อง ความเป็นไปได้ และการวิเคราะห์ผลการนำรูปแบบไปใช้จริงประเมินความคิดเห็นจากกลุ่มตัวอย่าง (เช่น ผู้บริหาร ครู ผู้ปกครอง) โดยใช้แบบสอบถามแบบมาตราส่วน 5 ระดับและวิเคราะห์ด้วยค่าเฉลี่ย (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1) สภาพปัจจุบันของการบริหารจัดการแบบควบรวมโรงเรียนขนาดเล็กคือ ผู้บริหารโรงเรียนหลักรับภาระในการบริหารทั้งโรงเรียนหลักและควบรวม การจัดการเรียนรู้ไม่ค่อยมีปัญหาเพราะว่าทำให้มีจำนวนครูมากขึ้น ผู้ปกครอง และชุมชนของโรงเรียนมารวมอาจห่างไกลทำให้ไม่สะดวกในการมาร่วมกิจกรรม ผู้บริหารโรงเรียนใช้ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ มีการจัดการเรียนรู้ร่วมกัน ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย และโรงเรียนหลักใช้เทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในงานด้านต่างๆ 2) รูปแบบการบริหารจัดการแบบควบรวมโรงเรียนขนาดเล็ก มี 8 องค์ประกอบ ได้แก่ การบริหารงานวิชาการ การบริหารงานงบประมาณ การบริหารงานบุคคล การบริหารงานทั่วไป การมีส่วนร่วม เทคโนโลยี ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ และการจัดการเรียนรู้ ผลการประเมินรูปแบบพบว่า ความถูกต้อง และความเหมาะสมมีค่าเฉลี่ยในระดับมากถึงมากที่สุด และความเป็นไปได้ มีค่าเฉลี่ยในระดับมาก 3) ผลการนำรูปแบบการบริหารโรงเรียนที่มีการควบรวมโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบุรี เขต 2 ไปใช้ มีค่าเฉลี่ยในระดับมากที่สุดทุกด้าน เรียงลำดับตามค่าเฉลี่ย จากมากไปหาน้อยดังนี้ ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ การมีส่วนร่วม เทคโนโลยี การจัดการเรียนรู้ การบริหารงานวิชาการ การบริหารงานงบประมาณ การบริหารงานบุคคล และการบริหารงานทั่วไป</p>
เกศินี กลิ่นนิรัญ
ปัญญา ทองนิล
อภิชาติ เลนะนันท์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-02
2025-09-02
15 2
30
39
-
รูปแบบการบริหารจัดการศึกษาผ่านระบบการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV) ของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ประจวบคีรีขันธ์ เขต 1
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/ajpbru/article/view/284822
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนารูปแบบการบริหารจัดการศึกษาผ่านระบบการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV) ของโรงเรียนขนาดเล็ก และ 2) ศึกษาผลการนำรูปแบบการบริหารจัดการศึกษาผ่านระบบการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV) ของโรงเรียนขนาดเล็กไปใช้ กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ครูผู้สอนจำนวน 5 คน และนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 6 โรงเรียนประชารังสรรค์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต 1 จำนวน 79 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) คู่มือการใช้รูปแบบการบริหารจัดการศึกษาผ่านระบบการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV) มีค่าความสอดคล้องอยู่ระหว่าง 0.67 – 1.00 2) แบบประเมินรูปแบบการบริหารจัดการศึกษาผ่านระบบการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมของโรงเรียนขนาดเล็ก มีค่าความสอดคล้องอยู่ระหว่าง 0.67 – 1.00 และ 3) แบบประเมินผลการทดลองใช้รูปแบบ มีค่าความสอดคล้องอยู่ระหว่าง 0.67 – 1.00 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>รูปแบบการบริหารจัดการศึกษาผ่านระบบการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV) ของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต 1 มี 5 องค์ประกอบ คือ การวางแผนการดำเนินงาน (Plan) การออกแบบและพัฒนา (Design and Development) การจัดการเรียนรู้ (Learning) การประเมินผล (Evaluation) และการปรับปรุงแก้ไข (Action) ซึ่งผลการประเมินความถูกต้อง มีค่าเฉลี่ย 4.91 ความเหมาะสม มีค่าเฉลี่ย 4.89 และความเป็นไปได้ มีค่าเฉลี่ย 4.86</li> <li>ผลการใช้รูปแบบการบริหารจัดการศึกษาผ่านระบบการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV) ของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต 1 พบว่า สถานศึกษามีระดับการปฏิบัติในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายองค์ประกอบพบว่าอยู่ในระดับมากที่สุดทุกองค์ประกอบ</li> </ol>
ดวงใจ ชูจิต
อภิชาติ เลนะนันท์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-02
2025-09-02
15 2
40
49
-
การพัฒนารูปแบบชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพแบบผสมผสานเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะ การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานที่ส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหา อย่างสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/ajpbru/article/view/288976
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานและความต้องการที่เกี่ยวข้องเพื่อนำมาใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนารูปแบบชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพแบบผสมผสานเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานที่ส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย 2) เพื่อพัฒนาและหาคุณภาพของรูปแบบชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพแบบผสมผสานฯ วิธีดำเนินการวิจัยลักษณะของการวิจัยและพัฒนา กลุ่มเป้าหมายได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญ ผู้บริหาร หัวหน้ากลุ่มบริหารวิชาการ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนในสหวิทยาเขตอภิรมย์ฤดี รวมจำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แบบวิเคราะห์เอกสาร 2) แบบสัมภาษณ์ 3) ประเด็นสนทนากลุ่ม และ 4) แบบประเมิน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหา ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ผู้เชี่ยวชาญ ผู้บริหาร หัวหน้ากลุ่มบริหารวิชาการ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย มีความต้องการกิจกรรมที่ส่งเสริมการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ เนื่องจากปัจจุบันนักเรียนยังขาดทักษะในการคิด และการปฏิบัติที่เป็นระบบในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ที่เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมตามการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่างๆ รวมทั้งการพัฒนาชุมชนการเรียนรู้เชิงวิชาชีพ เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพทั้งด้านวิชาชีพและผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนรวมถึงการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในชุมชนการเรียนรู้เชิงวิชาชีพ 2) รูปแบบชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพแบบผสมผสานเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานที่ส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย มี 5 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) หลักการ 2) วัตถุประสงค์ 3) วิธีดำเนินงาน 5 ขั้นตอน ขั้นที่ 1 สร้างชุมชนการเรียนรู้วิชาชีพ ขั้นที่ 2 กำหนดเป้าหมายร่วมกัน ขั้นที่ 3 เสริมสร้างความรู้ ขั้นที่ 4 ศึกษาชั้นเรียน ขั้นที่ 5 ประเมินผลและสะท้อนความคิด 4) การวัดและประเมินผล 5) เงื่อนไขการนำรูปแบบไปใช้ ผลการประเมินในภาพรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด (<em>M </em>= 4.57, <em>SD</em> = 0.47)</p>
ชนาภัทร์ สุทธิพันธ์
ชนสิทธิ์ สิทธิ์สูงเนิน
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-02
2025-09-02
15 2
50
59
-
การประเมินโครงการและถอดบทเรียนโครงการส่งเสริมความเป็นเลิศด้านกีฬา โรงเรียนเทศบาลวัดป้อมแก้ว (อัครพงศ์ชนูปถัมภ์)
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/ajpbru/article/view/291394
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินโครงการ และเพื่อศึกษาแนวทางและถอดบทเรียนโครงการส่งเสริมความเป็นเลิศด้านกีฬา โรงเรียนเทศบาลวัดป้อมแก้ว (อัครพงศ์ชนูปถัมภ์) การประเมินโครงการประกอบด้วย ด้านบริบท ด้านปัจจัยนำเข้า ด้านกระบวนการด้านผลผลิต ด้านผลกระทบ ด้านประสิทธิผล ด้านความยั่งยืน และด้านการถ่ายโยงความรู้ กลุ่มตัวอย่างในการประเมินโครงการ คือ ครู ผู้ปกครอง และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน นักเรียน รวมจำนวน 635 คน ผู้ให้ข้อมูลหลักในการศึกษาแนวทางและ การถอดบทเรียน ประกอบด้วย ครู ผู้ปกครองและคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน และนักเรียน รวม 24 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถาม จำนวน 3 ฉบับ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่า ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการประเมินถอดบทเรียนโครงการส่งเสริมความเป็นเลิศด้านกีฬา โรงเรียนเทศบาลวัดป้อมแก้ว (อัครพงศ์ชนูปถัมภ์) ภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ผลการถอดบทเรียน ปัจจัยความสำเร็จในการดำเนินโครงการ ผู้บริหารมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาทักษะกีฬาของนักเรียนให้มีความสามารถ จัดกิจกรรมทางด้านกีฬา ส่งตัวแทนนักกีฬาเข้าร่วมแข่งขันในระดับต่างๆ อย่างต่อเนื่องให้นักเรียนได้แสดงความสามารถในระดับโรงเรียน เขต จังหวัด และระดับชาติ ใช้กีฬาในการเสริมความเป็นผู้นำ ฝึกความมีวินัยในตนเองมีความรับผิดชอบ มีความอดทนและความมุ่งมั่น ได้ฝึกการทำงานเป็นทีม ความมีน้ำใจนักกีฬา เคารพในกฎกติกา การรู้แพ้รู้ชนะ และนำทักษะกีฬาไปใช้ในการเรียนในระดับที่สูงขึ้น เร่งตั้งชมรมกีฬาสู่ความเป็นเลิศ ประสานความร่วมมือกับสมาคมกีฬา ชมรมท้องถิ่น องค์กรกีฬา เพื่อขยายโอกาสการเรียนรู้ และพัฒนาเป็นนักกีฬาอาชีพในอนาคต</p>
ณัฐพร อรรถวิวรรธน์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-02
2025-09-02
15 2
60
69
-
การพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ ตามแนวคิด STEAM Education ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/ajpbru/article/view/288408
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิด STEAM Education ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 และ 2) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิด STEAM Education ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 36 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนเจี้ยไช้ อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิด STEAM Education 2) แบบประเมินทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิด STEAM Education วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียน หลังจากใช้กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิด STEAM Education ในภาพรวมอยู่ในระดับดี ( x̄ = 8.03, S.D. = 0.45) คิดเป็นร้อยละ 89.22 เมื่อพิจารณาเป็นรายทักษะ พบว่า ทักษะการจำแนกประเภทมีค่าเฉลี่ยสูงสุด ( x̄ = 2.81, S.D. = 0.41) รองลงมาคือ ทักษะการคำนวณ ( x̄ = 2.72, S.D. = 0.46) และทักษะการสังเกต ( x̄ = 2.50, S.D. = 0.51) ตามลำดับ ซึ่งทั้ง 3 ทักษะอยู่ในระดับดี และ 2) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิด STEAM Education อยู่ในระดับมากที่สุด ( x̄ = 4.68, S.D. = 0.42) </p>
จุฑาทิพย์ พัวพันธ์พิพัฒน์
ชลลดา ประกอบศรี
อรัญญา ทองสายธาร
มาเรียม นิลพันธุ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-02
2025-09-02
15 2
70
77
-
การพัฒนาสื่อดิจิทัลคอนเทนต์บนโซเชียลแพลตฟอร์ม เรื่อง การรู้เท่าทันดิจิทัลของผู้สูงวัย สำหรับฝึกอบรมต้นแบบบุคลากร
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/ajpbru/article/view/290223
<p> การวิจัยเรื่องการพัฒนาสื่อดิจิทัลคอนเทนต์บนโซเชียลแพลตฟอร์ม เรื่องการรู้เท่าทันดิจิทัลของผู้สูงวัย สำหรับฝึกอบรมต้นแบบบุคลากร มีวัตถุประสงค์การวิจัย 1) เพื่อพัฒนาสื่อดิจิทัลคอนเทนต์บนโซเชียลแพลตฟอร์ม เรื่องการรู้เท่าทันดิจิทัลของผู้สูงวัย สำหรับฝึกอบรมต้นแบบบุคลากร 2) เพื่อประเมินประสิทธิภาพของการพัฒนาสื่อดิจิทัลคอนเทนต์บนโซเชียลแพลตฟอร์ม เรื่องการรู้เท่าทันดิจิทัลของผู้สูงวัย สำหรับฝึกอบรมต้นแบบบุคลากร และ 3) เพื่อขยายผลการใช้งานการพัฒนาสื่อดิจิทัลคอนเทนต์บนโซเชียลแพลตฟอร์ม เรื่องการรู้เท่าทันดิจิทัลของผู้สูงวัย สำหรับฝึกอบรมต้นแบบบุคลากร กลุ่มเป้าหมายคือ บุคลากรและอาสาสมัครที่ได้รับวุฒิบัตรด้านการบริบาลและดูแลผู้สูงอายุ ที่ทำงานในเขตอำเภอเมืองจังหวัดเพชรบุรีและพื้นที่ใกล้เคียง จำนวน40 คน ดำเนินการวิจัยในรูปแบบวิจัยเชิงทดลอง (Experimental designs) ที่มีการวัดผลก่อนและหลังการทดลอง (Pretest and posttest experimental design) เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบทดสอบก่อนการใช้สื่อดิจิทัลคอนเทนต์ (Pre-Test) และหลังการใช้สื่อดิจิทัลคอนเทนต์ (Post-Test) และแบบประเมินการยอมรับเทคโนโลยี</p> <p> ผลการวิจัย พบว่าสื่อดิจิทัลคอนเทนต์ที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 80/80 (E1/E2 = 81.25/85.43) และพบว่ากลุ่มเป้าหมายมีความรู้เกี่ยวกับการรู้เท่าทันเทคโนโลยีหลังการอบรม ( x̄ =22.50, S.D.=1.69) สูงกว่าก่อนการอบรม ( x̄ =16.35 , S.D.=3.64) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 รวมถึงได้รับการยอมรับในระดับมากที่สุด ( x̄ =4.62,S.D.=0.49) จากกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งเป็นบุคลากรและอาสาสมัครที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้สูงวัยในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรีและใกล้เคียง โดยผลการประเมินสะท้อนให้เห็นว่าสื่อที่พัฒนาขึ้นสามารถตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย และมีศักยภาพในการส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับการรู้เท่าทันดิจิทัลของผู้สูงวัย ตลอดจนสามารถนำไปใช้ประโยชน์และขยายผลต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
เกรียงไกร จริยะปัญญา
จุฑาภรณ์ ชาตินฤมาณ
รัชดาวัลย์ จิตรพรกุลวศิน
ถลัชนันท์ ทรัพย์สงวน
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-02
2025-09-02
15 2
78
85
-
ความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารแบบมีส่วนร่วมกับคุณภาพผู้เรียน ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/ajpbru/article/view/291024
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาคุณภาพผู้เรียน 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารแบบมีส่วนร่วมกับคุณภาพผู้เรียนในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารและครู จำนวน 325 คน ใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม มีค่าความตรงระหว่าง 0.67-1.0 และค่าความเที่ยง เท่ากับ .857 สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1) การบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษา โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย คือ ด้านการให้ข้อมูลที่ถูกต้องจากทุกคนเพื่อการตัดสินใจ ด้านการกระจายอำนาจและการให้อำนาจตัดสินใจ ด้านความมีอิสระที่จะรับผิดชอบและสามารถดูแลตนเองได้ ตามลำดับ 2) คุณภาพผู้เรียน ทั้งภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย คือ ผู้เรียนมีสุขนิสัย สุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี ผู้เรียนมีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ และผู้เรียนคิดเป็น ตามลำดับ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารการศึกษากับคุณภาพผู้เรียนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 2 ทุกคู่ มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยมีค่าความสัมพันธ์กันในทางบวกหรือความสัมพันธ์ในลักษณะที่คล้อยตามกันทุกคู่</p>
เอกชัย บุญมีพิพิธ
ปิยะนาถ บุญมีพิพิธ
วัฒนา จินดาวัฒน์
ธนิก คุณเมธีกุล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-02
2025-09-02
15 2
86
93