วารสารวิจัยและนวัตกรรมท้องถิ่น
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/RDIBRU
<p>วารสารวิจัยและนวัตกรรมท้องถิ่น<strong> </strong>เป็นวารสารวิจัยด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ที่มุ่งเน้นการเผยแพร่ความรู้และทักษะใหม่ๆ ที่มีลักษณะสร้างสรรค์มีการดำเนินการอย่างเป็นระบบเพื่อเพิ่มพูนทักษะความรู้ที่เกี่ยวกับมนุษย์ สังคม ศิลปะวัฒนวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และการใช้ความรู้สู่การประดิษฐ์คิดค้นสิ่งที่เป็นประโยชน์ใหม่ๆ กระบวนการคิดอย่างเป็นระบบ การค้นหาองค์ความรู้ใหม่ หรือพิสูจน์ความรู้เดิม โดยสื่อให้เห็นถึงเทคนิควิธี หรือกิจกรรมที่เกิดจากการคิดค้นขึ้นใหม่ หรือการนำสิ่งที่มีอยู่มาดัดแปลง ปรับปรุงให้ดีขึ้น </p> <p>ขอบเขตเนื้อหาในบทความที่สามารถนำมาตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารมีความครอบคลุมในเนื้อหาของสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องดังนี้ มานุษยวิทยา สังคมวิทยา จิตวิทยา การศึกษา รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ สถาปัตยกรรมศาสตร์ การพัฒนาชุมชน วัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ประวัติศาสตร์ การบริหาร การจัดการทรัพยากร การท่องเที่ยว การตลาด นิเทศศาสตร์</p>
สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
th-TH
วารสารวิจัยและนวัตกรรมท้องถิ่น
3027-7566
<p>เนื่อหาและข้อมูลในบทความ เป็นความรับผิดชอบของผุ้แต่ง</p> <p>บทความในวารสารเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารวิจัยและนวัตกรรมท้องถิ่น</p>
-
การพัฒนาผลิตภัณฑ์และกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลผลิตภัณฑ์ข้าวเกรียบงาเมืองเพชรสู่เชิงพาณิชย์ภายใต้วิถีความปกติใหม่ กรณีศึกษา วิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์วิถีพอเพียง ตำบลช่องสะแกจังหวัดเพชรบุรี
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/RDIBRU/article/view/279580
<p>การวิจัยเรื่องนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาพฤติกรรมการซื้อ และความต้องการรูปแบบการสื่อสารการตลาดดิจิทัล 2) วิเคราะห์ศักยภาพด้านการผลิตและการตลาดผลิตภัณฑ์ข้าวเกรียบงาเมืองเพชร 3) พัฒนาตราสินค้าและกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลผลิตภัณฑ์ข้าวเกรียบงาเมืองเพชรสู่เชิงพาณิชย์ ใช้การวิจัยแบบผสานวิธี ระหว่างการวิจัยเชิงคุณภาพโดยสัมภาษณ์เชิงลึกบุคลากรภาครัฐ และสมาชิกวิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์วิถีพอเพียง จำนวน 8 คน ประเด็นเกี่ยวกับสถานการณ์ด้านการผลิตและการตลาด 2) การวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถามที่ผ่านการตรวจคุณภาพความเชื่อมั่นกับกลุ่มลูกค้าคาดหวังในจังหวัดเพชรบุรี จำนวน 400 คน ดำเนินการเก็บข้อมูลและประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ โดยใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา และสถิติเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า วิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์วิถีพอเพียงตำบลช่องสะแก เป็นแหล่งผลิตและจัดจำหน่ายข้าวเกรียบงาที่เน้นอัตลักษณ์ขนมเมืองเพชร โดยมีวัตถุดิบที่สำคัญคือ น้ำตาลโตนด แป้งข้าวเจ้า มะพร้าวน้ำหอม และงาดำ ลูกค้าส่วนใหญ่เคยซื้อหรือรู้จักข้าวเกรียบงาเมืองเพชรจากหน้าร้าน ซื้อเพราะคุณภาพและวัตถุดิบ ต้องการซื้อผ่านเฟสบุ๊ค เหตุผลที่ซื้อเพราะดูรีวิว บรรจุภัณฑ์ที่ต้องการคือกล่องกระดาษ ความต้องการเครื่องมือสื่อสารการตลาด คือ ส่งเสริมการขายผ่านสื่อดิจิทัล รองลงมา การใช้พนักงานขายผ่านสื่อดิจิทัล และประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อดิจิทัล ตามลำดับ สร้างตราสินค้าชื่อ “ปันรัก” สโลแกน “อร่อยทุกคำ เพราะทำด้วยใจ” เน้นขายไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ใช้ช่องทางโซเชียล ซึ่งกลยุทธ์นี้จะช่วยสร้างการรับรู้ตราสินค้าและจุดขายได้เป็นอย่างดี และสามารถเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการ เพราะสินค้ามีเอกลักษณ์บนฐานความต้องการของชุมชนและลูกค้าเป้าหมาย</p>
เยาวภา อินทเส
ณัฐประภา นุ่มเมือง
จรรยาพร บุญเหลือ
กัลยา ปุญญธรรม
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและนวัตกรรมท้องถิ่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-29
2024-12-29
19 2
9
22
-
การพัฒนาเพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ข้าวปลอดสารพิษตามทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงตำบลยางหย่อง อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/RDIBRU/article/view/279586
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์และข้อค้นพบ ดังนี้ 1) การศึกษาสภาพการปลูกข้าวของเกษตรกรในรูปแบบเดิมและการปลูกข้าวแบบปลอดสารพิษตามทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง 2) การเปรียบเทียบปัจจัยทางการผลิต และปัจจัยทางเศรษฐกิจระหว่างการปลูกข้าวรูปแบบเดิม และการปลูกข้าวรูปแบบปลอดสารพิษตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง และ 3) เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ข้าวปลอดภัยสารพิษตามทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยกระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมของกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกข้าวตำบลยางหย่อง อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี 10 แปลงนา จาก 4 หมู่บ้าน และในขั้นตอนสุดท้ายได้ทำการวิเคราะห์เนื้อหาเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลบริบทการทำนาชุมชนยางหย่อง ข้อมูลด้านต้นทุนการผลิต และจัดทำแบบสัมภาษณ์ และแบบสำรวจเชิงปริมาณ เพื่อศึกษาข้อมูลด้านต้นทุนและผลผลิตตอบแทนจากการปลูกข้าวรูปแบบเดิมและการปลูกข้าวรูปแบบเกษตรอินทรีย์ตามทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง พบว่า การปลูกข้าวในรูปแบบปลอดสารพิษ มีต้นทุนการปลูกรวมต่อไร่น้อยกว่าการปลูกข้าวรูปแบบเดิมเป็นจำนวนเงิน 3,220 บาท หรือต้นทุนการปลูกลดลงคิดเป็นร้อยละ 44.35 การพัฒนารูปแบบการเพิ่มผลผลิตข้าวในระบบเกษตรปลอดสารพิษตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง พบว่า แนวทางในการพัฒนารูปแบบการเพิ่มผลผลิตข้าวปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อรูปแบบการเพิ่มผลผลิตข้าวในระบบเกษตรของเกษตรกรตำบลยางหย่อง อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี นั้นคือ เกษตรกรต้องมีความความรู้ ความเข้าใจในพันธุ์ข้าวแต่ละพันธุ์ ประยุกต์ใช้วิธีการปลูกที่เหมาะสมกับพันธุ์ข้าวที่ปลูก วิเคราะห์ต้นทุนในการปลูกข้าวได้อย่างถูกต้อง รวมถึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ให้ตรงตามความต้องการ</p>
คงขวัญ ศรีสอาด
โสภาพร กล่ำสกุล
สุธาสินี อัมพิลาศรัย
กนกพร บุญธรรม
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและนวัตกรรมท้องถิ่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-29
2024-12-29
19 2
23
36
-
รูปแบบการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะการเรียนการสอนเพื่อสร้างนวัตกร โดยใช้ชุมชนเป็นฐานอย่างมีส่วนร่วม
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/RDIBRU/article/view/280011
<p>การวิจัยครั้งนี้วัตถุประสงค์คือ 1.เพื่อศึกษาบริบท สภาพปัญหาและความต้องการ ของชุมชนบ้านค่ายเจริญ 2.เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะเพื่อสร้างนวัตกร โดยใช้ชุมชนเป็นฐานอย่างมีส่วนร่วม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้นักเรียนโรงเรียนเทศบาลตำบลเวียงเหนือ(ค่ายเจริญ) จำนวน 41 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสัมภาษณ์ แบบประเมินคุณลักษณะความเป็นนวัตกร แบบทดสอบวัดความรู้และแบบวัดความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> </p> <p> </p> <p><strong> ผลวิจัยพบว่า</strong></p> <ol> <li>สภาพบริบทของชุมชนบ้านค่ายเจริญอาศัยภูมิปัญญาพัฒนาตนเอง มีวิถีชีวิตถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน การเข้าใจในสิ่งแวดล้อมที่สัมพันธ์กับวิถีชีวิตของตนและปัญหาที่พบในชุมชน คือ ปัญหาดินเสื่อมโทรม ปัญหาการจัดการขยะ ปัญหาการระบายน้ำ ขาดการพัฒนาแหล่งเรียนรู้และ ภูมิปัญญาท้องถิ่นให้เป็นศูนย์แห่งการเรียนรู้ ขาดการส่งเสริมวัฒนธรรม ประเพณีของชุมชน</li> <li>รูปแบบการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะเพื่อสร้างนวัตกรโดยใช้ชุมชนเป็นฐานอย่าง มีส่วนร่วม มี 3 องค์ประกอบ คือ การพัฒนาเป้าหมายนวัตกร กระบวนการสร้างนวัตกร และการเพิ่มสมรรถนะความเป็นนวัตกร ผลการใช้รูปแบบ พบว่า หลังเรียนมีค่าเฉลี่ยสูงกว่าก่อนเรียน ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และผลการประเมินคุณลักษณะความเป็น นวัตกร มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 3.56 อยู่ในระดับมาก และผลการประเมินความพึงพอใจของนักเรียน ต่อกิจกรรมการเรียน มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.59 อยู่ในระดับมากที่สุด</li> </ol>
อนุชิต วัฒนาพร
ไอลดา มณีกาศ
ณัฐธิดา ดวงแก้ว
ทัศน์พล ชื่นจิตต์
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและนวัตกรรมท้องถิ่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-29
2024-12-29
19 2
37
50
-
การประยุกต์ใช้ทุนทางวัฒนธรรมกับการสร้างคุณค่าลายผ้าไหม ของชุมชนจังหวัดบุรีรัมย์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/RDIBRU/article/view/282225
<p>การวิจัยนี้นำเสนอการประยุกต์ใช้ทุนทางวัฒนธรรมกับการสร้างคุณค่าลายผ้าไหม ของชุมชนจังหวัดบุรีรัมย์ ใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ การรวบรวมข้อมูลผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึก การสนทนากลุ่ม และการจัดเวทีร่วมกับชุมชน เพื่อศึกษาองค์ความรู้ทุนทางวัฒนธรรมกับการสร้างคุณค่าลายผ้าไหมของชุมชนและการประยุกต์ใช้ทุนทางวัฒนธรรมกับการสร้างคุณค่าลายผ้าไหมของชุมชน จังหวัดบุรีรัมย์ ผลการศึกษา พบว่า การทอผ้าไหมเป็นหนึ่งในภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีความสำคัญเชิงวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ โดยการศึกษาเน้นที่การเชื่อมโยงทุนทางวัฒนธรรมเข้ากับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าไหม โดยกลุ่มผู้ทอผ้าในแต่ละชุมชนได้พัฒนาลวดลายผ้าไหมที่สะท้อนถึงวิถีชีวิต ประวัติศาสตร์ และความเชื่อท้องถิ่น การใช้เทคนิคการทอแบบโบราณควบคู่กับการนำแรงบันดาลใจจากธรรมชาติมาปรับปรุงลวดลายทำให้ผ้าไหมมีคุณค่าทางวัฒนธรรมและสามารถแข่งขันในตลาดได้ การวิจัยพบว่าผ้าไหมของชุมชนบุรีรัมย์มีลายที่เป็นเอกลักษณ์และมีการพัฒนาลวดลายใหม่ ๆ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ ส่งเสริมให้ชุมชนสามารถรักษาและถ่ายทอดภูมิปัญญานี้สู่คนรุ่นใหม่ผ่านการฝึกอบรมและสร้างศูนย์การเรียนรู้ การส่งเสริมให้ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมเข้าถึงตลาดที่กว้างขึ้นยังช่วยเพิ่มรายได้และส่งเสริมความยั่งยืนทางเศรษฐกิจของชุมชน</p>
ฤทัยภัทร ให้ศิริกุล
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและนวัตกรรมท้องถิ่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-29
2024-12-29
19 2
51
70
-
การศึกษาประวัติศาสตร์ความเป็นมาของจังหวัดมหาสารคามผ่านภาพเขียนและภาพถ่าย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/RDIBRU/article/view/282396
<p>การศึกษาประวัติศาสตร์ความเป็นมาของจังหวัดมหาสารคามผ่านภาพเขียนและภาพถ่ายมีวัตถุประสงค์คือ1) เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ความเป็นมาของจังหวัดมหาสารคามผ่านภาพเขียนและภาพถ่าย 2) เพื่อจัดระบบภาพถ่ายทางวัฒนธรรมและบันทึกเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ของจังหวัดมหาสารคาม โดยเก็บข้อมูลจากเอกสารและภาคสนามด้วยวิธีการสำรวจ สังเกต สัมภาษณ์ สนทนากลุ่ม กลุ่มตัวอย่างจำนวน 95 คน ประกอบด้วย กลุ่มผู้รู้จำนวน 20 คน กลุ่มผู้ปฏิบัติ จำนวน 35 คน และกลุ่มทั่วไป จำนวน 40 คน ข้อมูลที่ได้นำวิเคราะห์ตามความมุ่งหมาย เสนอผลการวิจัยโดยวิธีพรรณนาวิเคราะห์</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) การบันทึกเรื่องราวประวัติศาสตร์ของจังหวัดมหาสารคามก่อนที่จะมีภาพถ่ายอาศัยการเขียนตามคำบอกเล่าภาพเหตุการณ์ในครั้งอดีต เมืองมหาสารคาม ตั้งในปี 2408 คือเมื่อประมาณ 150 ปีมาแล้ว ตรงกับในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยพระยาขัติยวงศา (สาร) เจ้าเมืองร้อยเอ็ด มีใบบอกกราบทูลไปยังกรุงเทพฯ ขอตั้งบ้านลาดกุดยางใหญ่ (นางไย) เป็นเมืองมหาสารคาม ให้ท้าวมหาไชย (กวด) บุตรของอุปฮาดสิงห์ เมืองร้อยเอ็ด เป็นพระเจริญราชเดชวรเชษฐ์ขัติยพงศ์ เจ้าเมืองมหาสารคามคนแรก ให้ท้าวบัวทอง บุตรอุปฮาดภู เป็นอัครฮาด ให้ท้าวไชยวงศา (ฮึง) บุตรพระขัติยวงศ์พิสุทธิบดี (สีลัง) เป็นอัครวงศ์ ให้ท้าวเถื่อน บุตรพระขัติยวงศา (จัน) หลาน พระขัติยวงศา (สุทน) เป็นอัครบุตร ขึ้นกับเมืองร้อยเอ็ด โดยตั้งที่ทำการเมืองอยู่ที่หนองกระทุ่ม ด้านเหนือวัดโพธิ์ศรี (วัดมหาชัย) 2) การจัดระบบภาพถ่ายทางประวัติศาสตร์ของจังหวัดมหาสารคาม คือได้จัดระบบหมวดหมู่ของภาพไว้ดังนี้ 1) สถานที่สำคัญ 2) ประเพณีความเชื่อ และเทศกาล 3) ประเพณีเกี่ยวกับชีวิต 4) หัตถกรรม 5) ดนตรีศิลปะการแสดง 6) แหล่งกสิกรรม 7) ทรัพยากรธรรมชาติ 8) สาธารณูปโภค นอกจากนี้นำภาพและเรื่องราวในอดีตมาเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมผ่านภาพเขียนและภาพถ่าย จึงเป็นการบันทึกภาพเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ไปในตัว</p>
สิทธิศักดิ์ จำปาแดง
กล้า ศรีเพชร
เฉลิมวงศ์ ธรรมพิชิตศึก
หวังเจียน หัว
วิศนี ศิลตระกูล
โฆสิต แพงสร้อย
กล้า สมตระกูล
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและนวัตกรรมท้องถิ่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-29
2024-12-29
19 2
71
83
-
การประยุกต์ใช้เทคนิค Active Learning ในการจัดการโภชนาการอาหาร เพื่อเสริมสร้างภาวะโภชนาการที่ดีของนักเรียน: กรณีศึกษาโรงเรียนบ้านเพชรประชาสามัคคี
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/RDIBRU/article/view/282569
<p>การวิจัยนี้มุ่งศึกษาผลของการประยุกต์ใช้เทคนิค Active Learning ในการจัดการโภชนาการอาหารเพื่อเสริมสร้างภาวะโภชนาการที่ดีของนักเรียนโรงเรียนบ้านเพชรประชาสามัคคี จังหวัดบุรีรัมย์ โดยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-6 จำนวน 116 คน ผู้ปกครอง ครู และชุมชน การดำเนินการวิจัยแบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะเตรียมการ ระยะดำเนินการ และระยะประเมินผล โดยในระยะดำเนินการได้ใช้เทคนิค Active Learning ในการจัดกิจกรรมส่งเสริมโภชนาการ ผลการวิจัยพบว่า หลังการทดลอง นักเรียนมีพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในทุกด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริโภคอาหารถูกหลักโภชนาการเพิ่มขึ้นร้อยละ 96.55</p> <p> การวิเคราะห์ SWOT แสดงให้เห็นว่าโครงการมีจุดแข็งในการใช้เทคนิค Active Learning และการมีส่วนร่วมของชุมชน แต่ยังมีความท้าทายจากข้อจำกัดด้านเศรษฐกิจและเวลาของผู้ปกครอง รวมถึงอิทธิพลของการตลาดอาหารที่ไม่เหมาะสม ผลการวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่าการประยุกต์ใช้เทคนิค Active Learning ร่วมกับการมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชนสามารถส่งเสริมพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ดีและภาวะโภชนาการที่เหมาะสมในเด็กนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการขยายผลการดำเนินงานไปยังโรงเรียนอื่นๆ นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย เช่น การสนับสนุนการบูรณาการเทคนิค Active Learning ในหลักสูตร การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน การพัฒนานโยบายสนับสนุนทางการเงินสำหรับครอบครัวที่มีรายได้น้อย และการควบคุมการโฆษณาอาหารที่ไม่เหมาะสมที่มุ่งเป้าไปที่เด็ก</p>
สรรเพชร เพียรจัด
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและนวัตกรรมท้องถิ่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-29
2024-12-29
19 2
85
95
-
ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มบีซีจีเพื่อการศึกษาวิทยาศาสตร์ที่มีต่อความสามารถใน การคิดสร้างสรรค์และความตระหนักในสิ่งแวดล้อมของนักเรียนประถมศึกษาตอนปลาย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/RDIBRU/article/view/282687
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความสามารถในการคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนประถมศึกษาตอนปลายก่อนและหลังเรียนโดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มบีซีจี <br />2) เปรียบเทียบความตระหนักในสิ่งแวดล้อมของนักเรียนประถมศึกษาตอนปลายก่อนและหลังเรียนโดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มบีซีจี และ 3) ศึกษาความสามารถในการคิดสร้างสรรค์และความตระหนักในสิ่งแวดล้อมจากผลงานของนักเรียนหลังเรียนโดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มบีซีจี กลุ่มตัวอย่างของการวิจัยได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย เป็นนักเรียนประถมศึกษาตอนปลาย 1 ห้องเรียน ในโรงเรียนขยายโอกาส อำเภอนาจะหลวย จังหวัดอุบลราชธานี เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย ได้แก่ 1) แผนการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มบีซีจีเพื่อการศึกษาวิทยาศาสตร์จำนวน 3 แผนการเรียนรู้ 2) แบบวัดความสามารถในการคิดสร้างสรรค์ 3) แบบสอบถามความตระหนักในสิ่งแวดล้อม 4) แบบสัมภาษณ์ความสามารถในการคิดสร้างสรรค์และความตระหนักในสิ่งแวดล้อม ผลการดำเนินงานพบว่า 1) นักเรียนมีความสามารถในการคิดสร้างสรรค์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) นักเรียนมีความตระหนักในสิ่งแวดล้อมหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) นักเรียนแสดงออกถึงความสามารถในการคิดสร้างสรรค์และความตระหนักในสิ่งแวดล้อมผ่านผลงานที่สร้างขึ้น โดยนักเรียนสามารถเสนอแนวคิดได้อย่างหลากหลาย สามารถให้รายละเอียดพร้อมบอกประโยชน์การใช้งาน และสามารถบอกข้อจำกัดและบอกแนวทางการพัฒนาผลงานของตนเองได้</p>
ณราดล บุตรโสม
พรเทพ จันทราอุกฤษฎ์
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและนวัตกรรมท้องถิ่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-29
2024-12-29
19 2
97
109
-
การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์เสื่อกกเชิงสร้างสรรค์เพื่อส่งเสริม การท่องเที่ยวชุมชนตำบลโคกย่าง อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/RDIBRU/article/view/283095
<p>การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาสภาพการณ์ปัจจุบันของการผลิตผลิตภัณฑ์ความต้องการของตลาดออกแบบพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์เสื่อกกสร้างสรรค์ เพื่อส่งเสริมด้านการท่องเที่ยวชุมชนตำบลโคกย่าง และถ่ายทอดองค์ความรู้ที่ได้พัฒนาขึ้น ผู้วิจัยเลือกใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสานทั้งการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) และการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) โดยใช้กลุ่มตัวอย่างในการศึกษา กลุ่มสมาชิกผู้ผลิตสินค้าเสื่อกกในชุมชน ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ ผู้นำการถ่ายทอดองค์ความรู้ ผู้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้ในชุมชน โดยเลือกแบบเจาะจง และผู้บริโภคทั่วไปที่สนใจเข้ามาชมผลิตภัณฑ์ในการจัดแสดงสินค้าในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 50 คนจากการเลือกแบบบังเอิญ ด้วยเครื่องมือวิจัย แบบสัมภาษณ์ แบบสอบถาม แบบประเมิน และแบบสรุป วิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ ผลการวิจัยพบว่า ความต้องการแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์เสื่อกกแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทกระเป๋า และบรรจุภัณฑ์ถุงผ้า ผลการประเมินความพึงพอใจภาพรวมกระเป๋า 10 รูปแบบ กระเป๋าครัช กระเป๋าถือ กระเป๋าสะพายไหล่ กระเป๋าเงินธนบัติ กระเป๋าใส่โทรศัพท์ กระเป๋าใส่กุญแจ กระเป๋าสะพายข้ามตัว กระเป๋าถุงเงินเหรียญ กระเป๋าใส่แท๊ปเลต และกระเป๋าเป้ ความพึงพอใจระดับมาก ( = 4.49, S.D. = 0.56) บรรจุภัณฑ์ถุงผ้า ความพึงพอใจระดับมากที่สุด ( = 4.54 , S.D. = 0.60) การส่งเสริมชุมชนรายได้เพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ80 และได้กำลังคนในชุมชนเป็นผู้ถ่ายทอดองค์ความรู้ภูมิปัญญากระบวนการทอเสื่อกกแปรรูปผลิตภัณฑ์จากเสื่อกกและบรรจุภัณฑ์ จำนวน 2 คน ความพึงพอใจผู้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้ในชุมชน จำนวน 20 คน มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.66 , S.D. = 0.52) </p>
สินีนาฏ รามฤทธิ์
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและนวัตกรรมท้องถิ่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-29
2024-12-29
19 2
111
120
-
ทัศนคติของผู้นำท้องถิ่นต่อการยกฐานะขององค์การบริหารส่วนตำบลเป็นเทศบาลตำบล : กรณีศึกษา องค์การบริหารส่วนตำบลโนนแดง อำเภอบ้านเขว้า จังหวัดชัยภูมิ
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/RDIBRU/article/view/283490
<p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความคิดเห็นของผู้นำท้องถิ่นในพื้นที่ตำบลโนนแดง อำเภอบ้านเขว้า จังหวัดชัยภูมิ ต่อการยกฐานะขององค์การบริหารส่วนตำบลเป็นเทศบาลตำบล และเพื่อศึกษาปัญหาและอุปสรรคขององค์การบริหารส่วนตำบลโนนแดงในการยกฐานะเป็นเทศบาลตำบล เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ มีวิธีการศึกษา คือ การสัมภาษณ์เชิงลึกและรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ กลุ่มผู้นำท้องถิ่นในพื้นที่ตำบลโนนแดง อำเภอบ้านเขว้า จังหวัดชัยภูมิ จำนวน 11 ราย โดยใช้วิธีเลือกแบบเฉพาะเจาะจง ซึ่งเป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถเกี่ยวกับการบริหารงานในท้องถิ่น</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มผู้นำท้องถิ่นมีความคิดเห็นต่อการยกฐานะขององค์การบริหารส่วนตำบลเป็นเทศบาลตำบลว่า การยกฐานะเป็นเทศบาลตำบล จะทำให้ สามารถพัฒนาในพื้นที่ได้มากขึ้น ประชาชนได้รับประโยชน์จากการบริการสาธารณะมากขึ้น สามารถแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนและช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับประชาชน อีกทั้งทำให้การบริหารงานท้องถิ่นมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น เกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน องค์การบริหารส่วนตำบลโนนแดงมีสภาพพื้นที่เหมาะสมต่อการยกฐานะเป็นเทศบาลตำบล ทั้งด้านเศรษฐกิจและด้านสังคม และมีความพร้อมในการยกฐานะเป็นเทศบาลตำบล ทั้งด้านการบริหารงาน ด้านบุคลากร ด้านการให้บริการประชาชน ด้านการพัฒนาในพื้นที่</p> <p> อย่างไรก็ตาม ปัญหาและอุปสรรคในการยกฐานะขององค์การบริหารส่วนตำบลโนนแดงเป็นเทศบาลตำบล คือ ด้านงบประมาณ เนื่องจากมีรายรับค่อนข้างน้อย ไม่เพียงพอกับรายจ่ายตามภารกิจ และด้านการบริหารงาน มีการแบ่งโครงสร้างส่วนราชการภายในค่อนข้างน้อย ส่งผลให้มีภาระงานในความรับผิดชอบไม่สอดคล้องกับจำนวนเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน</p>
อภิลาภา เอกาชัย
ลดาวัลย์ ไข่คำ
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและนวัตกรรมท้องถิ่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-29
2024-12-29
19 2
121
132
-
การใช้เทคโนโลยีในการบริหารงานของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่มัธยมศึกษาสงขลา สตูล
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/RDIBRU/article/view/283519
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการใช้เทคโนโลยีในการบริหารงานของผู้บริหารสถานศึกษา 2) เปรียบเทียบการใช้เทคโนโลยีในการบริหารงานของผู้บริหารสถานศึกษา จำแนกตามเพศ อายุ วุฒิการศึกษา ประสบการณ์ในการปฏิบัติงาน และขนาดสถานศึกษา 3) ประมวลข้อเสนอแนะการใช้เทคโนโลยีในการบริหารงานของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 338 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างจากตารางสำเร็จรูปของ Krejcie and Morgan เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม จำนวน 60 ข้อ มีค่าความเชื่อมั่น ทั้งฉบับเท่ากับ .983 ได้รับแบบสอบถามคืน จำนวน 320 ฉบับ และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) การใช้เทคโนโลยีในการบริหารงานของผู้บริหารสถานศึกษา ในภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 2) การเปรียบเทียบการใช้เทคโนโลยีในการบริหารงานของผู้บริหารสถานศึกษา พบว่า ครูที่มีเพศ วุฒิการศึกษา และประสบการณ์ในการปฏิบัติงานที่ต่างกัน ในภาพรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน และครูที่มีอายุต่างกัน ในภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 และรายด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 และ .01 และสถานศึกษาต่างกัน ในภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 และรายด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01 3) ผลการประมวลข้อเสนอแนะการใช้เทคโนโลยีในการบริหารงานของผู้บริหารสถานศึกษา พบว่า ผู้บริหารสถานศึกษาควรนำเทคโนโลยีมาใช้เป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการดำเนินงานภายในสถานศึกษา ส่งเสริมให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาใช้เทคโนโลยีในการพัฒนาตนเองและพัฒนากระบวนการทำงาน พร้อมทั้งใช้เทคโนโลยีในการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการปฏิบัติงาน</p>
ธนภรณ์ วรรณะ
รุ่งชัชดาพร เวหะชาติ
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและนวัตกรรมท้องถิ่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-29
2024-12-29
19 2
133
145