https://so03.tci-thaijo.org/index.php/RDIBRU/issue/feed วารสารวิจัยและนวัตกรรมท้องถิ่น 2025-06-28T11:38:44+07:00 รองศาสตราจารย์ ดร.นฤมล สมคุณา nanjamin@yahoo.com Open Journal Systems <p>วารสารวิจัยและนวัตกรรมท้องถิ่น<strong> </strong>เป็นวารสารวิจัยด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ที่มุ่งเน้นการเผยแพร่ความรู้และทักษะใหม่ๆ ที่มีลักษณะสร้างสรรค์มีการดำเนินการอย่างเป็นระบบเพื่อเพิ่มพูนทักษะความรู้ที่เกี่ยวกับมนุษย์ สังคม ศิลปะวัฒนวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และการใช้ความรู้สู่การประดิษฐ์คิดค้นสิ่งที่เป็นประโยชน์ใหม่ๆ กระบวนการคิดอย่างเป็นระบบ การค้นหาองค์ความรู้ใหม่ หรือพิสูจน์ความรู้เดิม โดยสื่อให้เห็นถึงเทคนิควิธี หรือกิจกรรมที่เกิดจากการคิดค้นขึ้นใหม่ หรือการนำสิ่งที่มีอยู่มาดัดแปลง ปรับปรุงให้ดีขึ้น </p> <p>ขอบเขตเนื้อหาในบทความที่สามารถนำมาตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารมีความครอบคลุมในเนื้อหาของสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องดังนี้ มานุษยวิทยา สังคมวิทยา จิตวิทยา การศึกษา รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ สถาปัตยกรรมศาสตร์ การพัฒนาชุมชน วัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ประวัติศาสตร์ การบริหาร การจัดการทรัพยากร การท่องเที่ยว การตลาด นิเทศศาสตร์</p> https://so03.tci-thaijo.org/index.php/RDIBRU/article/view/288382 แนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการท่องเที่ยวจากศิลปวัฒนธรรมิและภูมิปัญญาท้องถิ่น อําเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ 2025-05-15T15:16:55+07:00 ฐิติรดา เปรมปรี thitirada.pr@cpru.ac.th <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อเก็บข้อมูลวิเคราะห์อัตลักษณ์ด้านศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นในชุมชนตำบลนาเสียว&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ตำบลนาฝาย และตำบลบ้านเล่า อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ 2) เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการท่องเที่ยวจากศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีอัตลักษณ์ โดดเด่นสร้างรายได้ให้แก่คนในชุมชนและผู้สนใจศึกษา และ3) เพื่อประเมินความพึงพอใจของประชาชนที่มีต่อผลิตภัณฑ์ทางการท่องเที่ยวจากศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ กลุ่มเป้าหมายมี 2 กลุ่ม กลุ่มเป้าหมายที่ 1 เป็นนักปราชญ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น ประชาชน ครู นักศึกษา จำนวน 120 คน และกลุ่มเป้าหมายที่ 2 เป็นผู้ติดตามรับชมการประชาสัมพันธ์สินค้าออนไลน์ในเพจเฟซบุ๊ก จำนวน 100 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสัมภาษณ์ แบบบันทึกข้อมูล และแบบสอบถามความพึงพอใจ ผลการวิจัยพบว่ามีข้อมูลประเภทวัฒนธรรมวัตถุมากที่สุด การวิเคราะห์ SWOT Analysis ในแต่ละตำบลพบว่ามีจุดแข็งด้านการพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่น จุดอ่อนที่พบคือขาดผู้สืบทอดองค์ความรู้ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการท่องเที่ยวจากศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบที่สะท้อนเรื่องราวอันเป็นอัตลักษณ์โดดเด่นของประเพณีสังคมพื้นบ้าน ได้แก่ ตะกร้ารำผีฟ้า โคมไฟกระธูป และกระเป๋าผีสุ่ม ผลจากการประเมินความพึงพอใจที่มีต่อผลิตภัณฑ์อยู่ในระดับมาก การวิจัยนี้มีประโยชน์ต่อการพัฒนาการท่องเที่ยวและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการท่องเที่ยวเพื่อการกระจายรายได้สู่ชุมชน</p> 2025-06-28T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so03.tci-thaijo.org/index.php/RDIBRU/article/view/287612 การพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันธนาคารขยะในเขตเทศบาลตำบลช้างซ้าย อำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี 2025-04-30T11:12:18+07:00 พงษ์ศักดิ์ นพรัตน์ pongsak@sru.ac.th นิภาภรณ์ มีพันธุ์ nipaporn.mee@sru.ac.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อพัฒนาแอปพลิเคชันไลน์ธนาคารขยะในเขตเทศบาลตำบลช้างซ้าย อำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี การพัฒนาแอปพลิเคชันไลน์ธนาคารขยะ มีการดำเนินการดังนี้ (1) ศึกษาปัญหาและกำหนดปัญหา (2) วิเคราะห์ระบบ (3) การออกแบบระบบ (4) การพัฒนาระบบ (5) การทดสอบระบบ (6) ติดตั้งระบบ (7) การบริหารจัดการขยะรีไซเคิลของธนาคารขยะ และ (8) การดูแลระบบแอปพลิเคชันไลน์หลังเสร็จสิ้นโครงการ ผลการประเมินประสิทธิภาพระบบธนาคารขยะ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (= 4.24) เมื่อพิจารณาผลการประเมินแต่ละด้าน พบว่า ด้านความถูกต้องของข้อมูลระบบธนาคารขยะ มีค่าเฉลี่ยสูงสุด (= 4.58) อยู่ในระดับมากที่สุด ด้านการใช้งานระบบธนาคารขยะจากคณะกรรมการดำเนินงานธนาคารขยะในเขตเทศบาลตำบลช้างซ้ายโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (= 4.59) เมื่อพิจารณาผลการประเมินแต่ละด้าน พบว่า ด้านความง่ายต่อการใช้งานระบบธนาคารขยะมีค่าเฉลี่ยสูงสุด ( = 4.78) อยู่ในระดับมากที่สุด ดังนั้น การพัฒนาระบบแอปพลิเคชันไลน์ผ่าน Line Official Account เพื่อให้สมาชิกสามารถลงทะเบียนได้ง่าย และดูข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สมุดบัญชี ตรวจสอบวัน เวลารับซื้อ และการถอนเงินเพื่อให้สามารถเข้าถึงข้อมูลของสมาชิกได้อย่างง่าย</p> 2025-06-28T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so03.tci-thaijo.org/index.php/RDIBRU/article/view/285945 การพัฒนาบทเรียนออนไลน์ผ่าน Google site ร่วมกับการจัดการเรียนรู้เชิงรุก เรื่อง การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 2025-04-21T10:49:36+07:00 ชัญญานภัสถ์ บุดดี chanyanaphatb@gmail.com กิตติพงษ์ พุ่มพวง kittipongp@nu.ac.th <p><span class="Bodytext215pt"><span lang="TH" style="font-size: 14.0pt; font-family: 'TH Sarabun New',sans-serif;">การวิจัยครั้งนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) สร้างและหาประสิทธิภาพของบทเรียนออนไลน์ผ่าน Google site ร่วมกับการจัดการเรียนรู้เชิงรุก เรื่อง การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ก่อนเรียนและหลังเรียนโดยบทเรียนออนไลน์ผ่าน Google site ร่วมกับการจัดการเรียนรู้เชิงรุก เรื่อง การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อบทเรียนออนไลน์ เรื่อง การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดคูยาง จำนวน 40 คน ได้มาโดยใช้วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย ได้แก่ บทเรียนออนไลน์ผ่าน Google site ร่วมกับการจัดการเรียนรู้เชิงรุก เรื่อง การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบประเมินความพึงพอใจในการเรียนด้วยบทเรียนออนไลน์ผ่าน Google site ร่วมกับการจัดการเรียนรู้เชิงรุก เรื่อง การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย ผลการวิจัย พบว่า 1) บทเรียนออนไลน์ผ่าน Google site มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่ได้กำหนดไว้ 88.85/86.83 2) กลุ่มตัวอย่างมีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 และ 3) ความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อบทเรียนออนไลน์ผ่าน Google site อยู่ในระดับ มาก</span></span></p> 2025-06-28T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so03.tci-thaijo.org/index.php/RDIBRU/article/view/286133 การพัฒนาชุดกิจกรรมแบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น (7E) ร่วมกับการเรียนรู้แบบปฏิบัติการ วิชางานทดลองเครื่องกล รหัสวิชา 30101-2007 สำหรับนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง สาขาวิชาเทคนิคเครื่องกล 2025-04-29T14:39:04+07:00 ไพศาล พรนฤชิตพงศ์ phaisan.pro@ntc.ac.th <p>การวิจัยในครั้งนี้วัตถุประสงค์ เพื่อ 1. ศึกษาข้อมูลพื้นฐานและสำรวจความต้องการพัฒนาชุดกิจกรรม 2. เพื่อพัฒนาและหาประสิทธิภาพชุดกิจกรรม 3. ทดลองใช้ชุดกิจกรรม 4. ประเมินผลและปรับปรุงชุดกิจกรรม โดยใช้รูปแบบการวิจัยและพัฒนา (R &amp; D) กลุ่มเป้าหมาย คือ นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ชั้นปีที่ 2 สาขาวิชาเทคนิคเครื่องกล วิทยาลัยเทคนิคนครราชสีมา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามความคิดเห็น แบบสัมภาษณ์ แบบประเมินความเหมาะสม ชุดกิจกรรมจำนวน 4 ชุด แบบประเมินคุณภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ แบบประเมินพฤติกรรมการทำงานกลุ่มของนักศึกษา และ แบบประเมินความพึงพอใจของนักศึกษา การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าสถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1. การพัฒนาชุดกิจกรรมควรเชื่อมโยงทฤษฎีสู่การปฏิบัติ 2. การพัฒนาชุดกิจกรรมโดยรวมมีความเหมาะสมระดับมากที่สุด 3. การทดลองใช้ชุดกิจกรรม ดังนี้ 3.1) ผลการทดสอบประสิทธิภาพ (E<sub>1</sub>/E<sub>2</sub>) 82.70/81.41 และดัชนีประสิทธิผล (E.I.) .62 3.2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4. การประเมินผลและปรับปรุงชุดกิจกรรม ดังนี้ 4.1) ผลการประเมินพฤติกรรมการทำงานกลุ่มของนักศึกษาอยู่ในระดับมากที่สุด 4.2) ผลการประเมินความพึงพอใจของนักศึกษาอยู่ในระดับมากที่สุด และ 4.3) ผลการปรับปรุงชุดกิจกรรม ได้มีการปรับปรุงรูปภาพประกอบขั้นตอนการทดลองให้มีความชัดเจนและสอดคล้องกับเนื้อหา</p> 2025-06-28T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so03.tci-thaijo.org/index.php/RDIBRU/article/view/287142 ประสิทธิผลการประเมินผลการปฏิบัติงานตามข้อตกลงในการพัฒนางาน (Performance Agreement: PA) ของพนักงานครูเทศบาลนครปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี 2025-05-29T09:51:43+07:00 สุรีย์ลักษณ์ บุตรดีวงษ์ sureeluk.b@ku.th ลดาวัลย์ ไข่คำ Ladawan.kh@ku.th <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ของการวิจัย (1) เพื่อศึกษาระดับ และ (2) เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิผลการประเมินผลการปฏิบัติงานตามข้อตกลงในการพัฒนางาน (Performance Agreement: PA) ของพนักงานครูเทศบาลนครปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ พนักงานครูเทศบาลในสังกัดเทศบาลนครปากเกร็ด จำนวน 83 คน โดยใช้แบบสอบถาม เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลทั้งหมดมาประมวณผลและวิเคราะห์ข้อมูลโยใช้ค่าสถิติเชิงพรรณนา โดยใช้ร้อยละ ความถี่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลประชากรทั้งหมด</p> <p>ผลการทดสอบสมมติฐาน (1) เพื่อศึกษาระดับประสิทธิประสิทธิผลการประเมินผลการปฏิบัติงานตามข้อตกลงในการพัฒนางาน (Performance Agreement: PA) ของพนักงานครูเทศบาลนครปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี โดยพบว่าในภาพรวมอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.15 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าทั้ง 4 ด้านอยู่ในระดับมากเช่นเดียวกัน เรียงลำดับตามค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยได้ดังนี้ ด้านการพัฒนาตนเองและวิชาชีพ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.22 รองลงมาคือ ด้านการพัฒนาผลลัพธ์ของผู้เรียน และด้านการส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการเรียนรู้มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.16 และด้านการจัดการเรียนรู้ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.11 ตามลำดับ</p> <p>(2) เพื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของประสิทธิผลการประเมินผลการปฏิบัติงานตามข้อตกลงในการพัฒนางาน (Performance Agreement: PA) ของพนักงานครูเทศบาลนครปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล พบว่า พนักงานครูที่ปฏิบัติงานในสถานศึกษาที่ต่างกันมีประสิทธิผลการประเมินผลการปฏิบัติงานตามข้อตกลงในการพัฒนางาน (Performance Agreement: PA) ของพนักงานครูเทศบาลนครปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนตัวแปรอื่น ๆ ได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา ตำแหน่งงาน วิทยฐานะ และระยะเวลาปฏิบัติงาน (ปี) มีประสิทธิผลการประเมินผลการปฏิบัติงานตามข้อตกลงในการพัฒนางาน (Performance Agreement: PA) ของพนักงานครูเทศบาลนครปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ไม่แตกต่างกัน</p> 2025-06-28T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so03.tci-thaijo.org/index.php/RDIBRU/article/view/289892 อิทธิพลของความสามารถในการทำกำไรและโครงสร้างเงินทุนที่ส่งผลต่อความมั่งคั่งของกิจการของกลุ่มธุรกิจบริการบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 2025-06-10T14:23:53+07:00 ศุภนิดา เขียวชุม kee8998_hd@hotmail.com จิรพงษ์ จันทร์งาม jirapong.ch@chonburi.spu.ac.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสามารถในการทำกำไรและโครงสร้างเงินทุนที่ส่งผลต่อความมั่งคั่งของกิจการ ในกลุ่มธุรกิจบริการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยใช้ข้อมูลจากงบการเงินและฐานข้อมูล SET SMART ระหว่างปี พ.ศ. 2564 ถึง 2566 รวมทั้งสิ้น 68 บริษัท การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าสูงสุด ค่าต่ำสุด ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน รวมถึงสถิติเชิงอนุมาน และการวิเคราะห์ถดถอยเชิงพหุคูณ</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ความสามารถในการทำกำไรที่ส่งผลต่อกำไรต่อหุ้น (Earnings Per Share: EPS) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ได้แก่ อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (Return on Assets: ROA) มีผลเชิงลบ และอัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity: ROE) มีผลเชิงบวกขณะที่ อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield: DY) ได้รับผลกระทบเชิงบวกจาก ROE และอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin: GPM) ส่วน ROA มีผลกระทบเชิงลบ สำหรับอัตราการจ่ายเงินปันผล (Dividend Payout Ratio: DP) ROA นั้นส่งผลเชิงบวก ในด้านโครงสร้างเงินทุน พบว่า อัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์รวม (Debt to Total Asset Ratio: D/A) ส่งผลเชิงบวกต่อเงินปันผลต่อหุ้น (Dividends Per Share: DPS) และ อัตราการจ่ายเงินปันผล (Dividend Payout Ratio: DP) ขณะที่อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น อัตราหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Debt to Equity Ratio: D/E) ส่งผลเชิงลบต่อ DP ผลการวิจัยสามารถใช้เป็นแนวทางในการวิเคราะห์การลงทุน โดยเฉพาะในด้านการประเมินผลตอบแทนจากกำไรและเงินปันผล ซึ่งสะท้อนถึงระดับความมั่งคั่งของกิจการ</p> 2025-06-28T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so03.tci-thaijo.org/index.php/RDIBRU/article/view/286156 การพัฒนาหุ่นไม้ออโตมาตาจากเศษไม้เหลือใช้ในอุตสาหกรรมการแปรรูป เพื่อการต่อยอดศิลปกรรมสะพานนาคราชปราสาทหินพนมรุ้ง 2025-04-04T09:16:08+07:00 จิรายุฑ ประเสริฐศรี Jirayut.ps@bru.ac.th ประภาส ไชยเขตร prapas.ck@bru.ac.th ศิริวรรณ ยิ่งได้ชม siriwan.yd@bru.ac.th <p>งานวิจัยเรื่อง "การพัฒนาหุ่นไม้ออโตมาตาจากเศษไม้เหลือใช้ในอุตสาหกรรมการแปรรูป เพื่อการต่อยอดศิลปกรรมสะพานนาคราชปราสาทหินพนมรุ้ง" มีวัตถุประสงค์หลักสองประการ ได้แก่ 1) การรวบรวมข้อมูลภูมิปัญญาการแปรรูปไม้พื้นถิ่นเพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการออกแบบหุ่นไม้ออโตมาตาผสมผสานกับศิลปกรรมปราสาทหินพนมรุ้ง และ 2) การเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการออกแบบและพัฒนาหุ่นไม้ออโตมาตาให้แก่กลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านหนองตาด อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ การวิจัยใช้กระบวนการแบบผสมผสาน โดยการรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร การสำรวจสภาพปัญหาและความต้องการของชุมชน รวมถึงการสังเคราะห์ผลงานต้นแบบร่วมกับปราชญ์ชาวบ้านและผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ช่างไม้ในชุมชนมีความรู้เรื่องงานช่างไม้ท้องถิ่น แต่ยังขาดการจัดการกับเศษไม้เหลือใช้และความสามารถในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างจากตลาด คณะผู้วิจัยจึงได้พัฒนาหุ่นไม้ออโตมาตา "สะพานนาคราช" ที่สามารถเคลื่อนไหวได้ เพื่อใช้เศษไม้ให้เกิดประโยชน์และสะท้อนถึงเอกลักษณ์ท้องถิ่น กระบวนการพัฒนาแบ่งเป็น 3 ขั้นตอน คือ 1) การออกแบบหุ่นไม้ออโตมาตา 2) การเลือกใช้วัสดุไม้ที่เหมาะสม และ 3) การประกอบชิ้นส่วนด้วยทักษะเฉพาะทาง นอกจากนี้การฝึกอบรมให้ชุมชนแสดงให้เห็นว่าผู้เข้าร่วมมีความสนใจในกระบวนการนี้ แต่ยังมีความรู้ไม่เพียงพอ ข้อเสนอแนะคือควรสนับสนุนทักษะและทรัพยากรเพิ่มเติม รวมถึงขยายตลาดเพื่อส่งเสริมศิลปกรรมท้องถิ่นให้ยั่งยืน</p> 2025-06-28T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so03.tci-thaijo.org/index.php/RDIBRU/article/view/290382 การยกระดับขีดความสามารถของผู้ประกอบการแปรรูปข้าวเม่าสู่ตลาดสมัยใหม่ 2025-06-11T14:37:42+07:00 ธัญรัศม์ ยุทธสารเสนีย์ thanyarat11y@gmail.com จตุพัฒน์ สมัปปิโต Jatupat.st@bru.ac.th อรุณรัศมี แสงศิลา Arunrussamee.sl@bru.ac.th เทพพร โลมารักษ์ Tepporn.lr@bru.ac.th <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาศักยภาพผู้ประกอบการและความต้องการของตลาดธุรกิจข้าวเม่าแปรรูป 2) ยกระดับขีดความสามารถของผู้ประกอบการแปรรูปข้าวเม่าให้ได้มาตรฐานและเหมาะสมกับตลาดสมัยใหม่ และ3) บริหารจัดการธุรกิจแปรรูปข้าวเม่าสู่ธุรกิจตลาดสมัยใหม่แบบบูรณาการ เป็นวิจัยแบบมีส่วนร่วม ผลการศึกษา พบว่า ผู้ประกอบการมีศักยภาพแปรรูปข้าวเม่าได้หลายชนิด มีรายได้ก่อนเกิดโควิด19 เฉลี่ย 193,440 บาทต่อปี แต่หลังเกิดโควิด19 มีรายได้ 16,284 บาทต่อปี ผู้บริโภคส่วนใหญ่ต้องการข้าวเม่าแปรรูปมีส่วนผสมธัญพืชร้อยละ50 สีธรรมชาติผสมอาหารร้อยละ65.6 และน้ำตาลน้อยร้อยละ50 ส่วนผู้ประกอบการมีความต้องการพัฒนาทักษะผลิตซ้ำให้มาตรฐาน มีอายุจัดเก็บนานขึ้น ลดกลิ่นเหม็นหืนจากน้ำมันทอด รสชาติอร่อยคงเดิม ด้านตลาด ไม่มีตลาดหลัก ขายช่องทางไลน์เป็นบางครั้ง ด้านผลิตภัณฑ์ ผลทดลองตัวอย่างหาเชื้อที่ส่งผลต่ออายุจัดเก็บ พบว่า มีจุลินทรีย์ ยีสต์ และรา เกินมาตรฐาน ข้าวเม่าซีเรียล ข้าวเม่ากระยาสารท มีอายุจัดเก็บ 20-30 วัน ข้าวเม่าตูเพียง 5-6 ชั่วโมง ผลการยกระดับขีดความสามารถ พบว่า สามารถผลิตได้มาตรฐานขึ้น ผลิตซ้ำรสชาติเดิม ผลการปรับกระบวนการแปรรูป เปลี่ยนจากใช้น้ำมันทอดเป็นคั่วข้าวเม่า และอบแห้งด้วยลมร้อน ผลทดลอง พบว่า ค่า Water activity, pH, Crude fat และค่าสารที่เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันของลิพิด ลดลง อายุการจัดเก็บที่อุณหภูมิ 30°C ข้าวเม่าซีเรียล 104 วัน ข้าวเม่ากระยาสารท 71 วัน และข้าวเม่าตูอบ 51 วัน ผลการบริหารจัดการธุรกิจสู่ตลาดสมัยใหม่ พบว่า ผู้ประกอบการมีทักษะการใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ บริหารจัดการผลิตภัณฑ์เพียงพอต่อการจำหน่าย บริหารบุคคลในการผลิตและการจัดส่งสินค้าได้ทันตามคำสั่งซื้อ หลังการยกระดับผู้ประกอบการมีรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 15</p> 2025-06-28T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so03.tci-thaijo.org/index.php/RDIBRU/article/view/289458 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อยกระดับประสบการณ์ของผู้ใช้บริการ การตัดสินใจเลือกใช้บริการ และการคงอยู่ระยะยาวในศูนย์ดูแลผู้สูงอายุเอกชนในประเทศไทย 2025-05-30T09:18:38+07:00 กนกพร กระจ่างแสง kanokporn.kraj@gmail.com <p>การวิจัยเรื่องการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อยกระดับประสบการณ์ของผู้ใช้บริการ การตัดสินใจเลือกใช้บริการ และการคงอยู่ระยะยาวในศูนย์ดูแลผู้สูงอายุเอกชนในประเทศไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาสภาพการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในศูนย์ดูแลผู้สูงอายุเอกชนในประเทศไทย 2) เพื่อวิเคราะห์ความต้องการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลของผู้รับบริการและผู้ให้บริการในศูนย์ดูแลผู้สูงอายุเอกชนในประเทศไทย 3) เพื่อพัฒนาแนวทางการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อยกระดับประสบการณ์ของผู้ใช้บริการในศูนย์ดูแลผู้สูงอายุเอกชนในประเทศไทย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) จากกลุ่มตัวอย่างผู้สูงอายุ ผู้รับบริการและญาติ จำนวน 385 คน จากศูนย์ดูแลผู้สูงอายุเอกชนในประเทศไทย โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบสะดวก (Convenience Sampling) ผลการวิจัยพบว่า ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุเอกชนในปัจจุบันมีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในระดับปานกลาง (x̄ = 3.48, S.D. = 0.76) 2) ซึ่งเทคโนโลยีดิจิทัลที่ศูนย์นำมาใช้ในการดูแลมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการศูนย์ดูแลผู้สูงอายุอย่างมีนัยสำคัญ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;(r = 0.685, p &lt; .001) นอกจากนี้ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลยังส่งผลเชิงบวกต่อการคงอยู่ระยะยาวของผู้ใช้บริการ (r = 0.598, p &lt; .001) โดยศูนย์ดูแลผู้สูงอายุที่มีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในระดับสูงมีอัตราการคงอยู่ของผู้ใช้บริการเฉลี่ย (ร้อยละ 89.7) ซึ่งสูงกว่าศูนย์ที่ใช้เทคโนโลยีในระดับต่ำ (ร้อยละ 62.5) ทั้งนี้เพราะญาติมีความมั่นใจ และพึงพอใจในการให้บริการผ่านการรายงานผลด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ทั้งนี้ผลการวิจัยนี้สามารถนำไปใช้ในการพัฒนาแผนกลยุทธ์ด้านเทคโนโลยีสำหรับศูนย์ดูแลผู้สูงอายุเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและรักษาฐานลูกค้าในระยะยาว</p> 2025-06-28T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so03.tci-thaijo.org/index.php/RDIBRU/article/view/290466 การพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าโดยใช้สีจากกากกาแฟเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ในเชิงธุรกิจ อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ 2025-06-13T12:35:05+07:00 นรพล รามฤทธิ์ norpol.coco1@gmail.com ลัลนา ยุกต์วัฒนพงศ์ lanlana.y@sskru.ac.th <p>การพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าโดยใช้สีจากกากกาแฟเพื่อสร้างมูลค่ำเพิ่มในเชิงธุรกิจ อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ มีวัตถุประสงค์คือ ศึกษาแนวทางในการนำกากกาแฟมาพัฒนาเป็นสีสำหรับการย้อมผ้าและสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์ผ้าฝ้ายทอมือสีกากกาแฟเป็นแนวคิดในการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่นำกลับมาใช้ซ้ำเพื่อนำกลับมาใช้ประโยชน์และนอกจากช่วยลดปริมาณขยะลงได้แล้วยังใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในการพัฒนาผู้วิจัยได้ทำการสำรวจและวิเคราะห์ความต้องการและประเมินความพึงพอใจของการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากการเก็บรวบรวมข้อมูลวัตถุดิบกากกาแฟของร้านกาแฟที่ในอำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ จำนวน 10 ร้าน พบว่า มีประมาณ 30 กิโลกรัมต่อวัน โดยใช้ผู้ตอบแบบสอบถำมจำนวน 30 คน ผลการศึกษาพบว่า ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย 16 คน ส่วนใหญ่ จะอายุ 31-40 ปี มีอาชีพเป็นพนักงานบริษัทและลูกจ้างมีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 10,001- 20,000 บาท มีระดับการศึกษาปริญญาตรี ผู้บริโภคส่วนใหญ่มีความต้องการในการแปรรูปเป็นเสื้อผ้าและไม่ต้องการผลิตภัณฑ์ที่มีลวดลาย โดยผลิตภัณฑ์ผู้บริโภคต้องการแปรรูปเป็นชุดลำลองผู้วิจัยได้สอบถาม ความพึงพอใจในด้านสีที่ย้อมผ้าฝ้ายจากกากกาแฟผู้บริโภคมีความชื่นชอบในสีที่ใช้เวลาย้อมประมาณ 70 นาที ได้สีออกมามีค่าความพึงพอใจในระดับมาก มีค่า x อยู่ที่ 4.27 และค่า SD อยู่ที่ 0.69 มีระดับความพึงพอใจมากและการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์แปรรูปต้นแบบ1 ชุด มีต้นทุน ในการผลิตอยู่ที่ 900 บาท ซึ่งสามารถจำหน่ายได้ในราคา 1,500 บาท คิดเป็นร้อยละ 60 ในการเพิ่มมูลค่า</p> 2025-06-28T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและนวัตกรรมท้องถิ่น