วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM <p style="color: #000000; font-family: &amp;quot; noto sans&amp;quot;,arial,helvetica,sans-serif; font-size: 14px; font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: 400; letter-spacing: normal; orphans: 2; text-align: left; text-decoration: none; text-indent: 0px; text-transform: none; -webkit-text-stroke-width: 0px; white-space: normal; word-spacing: 0px;"><strong><span lang="TH"><span style="background-color: #ffffff;">Journal of Primary Care and Family Medicine (PCFM)</span></span></strong></p> <p style="color: #000000; font-family: &amp;quot; noto sans&amp;quot;,arial,helvetica,sans-serif; font-size: 14px; font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: 400; letter-spacing: normal; orphans: 2; text-align: left; text-decoration: none; text-indent: 0px; text-transform: none; -webkit-text-stroke-width: 0px; white-space: normal; word-spacing: 0px;"><strong><span lang="TH"><span style="background-color: #ffffff;">วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว</span></span></strong></p> <p style="color: #000000; font-family: &amp;quot; noto sans&amp;quot;,arial,helvetica,sans-serif; font-size: 14px; font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: 400; letter-spacing: normal; orphans: 2; text-align: left; text-decoration: none; text-indent: 0px; text-transform: none; -webkit-text-stroke-width: 0px; white-space: normal; word-spacing: 0px;"><span lang="TH">วารสารเพื่อรวบรวมความรู้ทางวิชาการ และงานวิจัยต่าง ๆ&nbsp;&nbsp;รวมถึงเป็นสื่อกลางในการสื่อสารระหว่างเครือข่าย นำไปสู่การพัฒนาทั้งในด้านคุณภาพการบริการและวิชาการ&nbsp;&nbsp;รวมทั้งเป็นการเสริมสร้างคุณค่าและเอกลักษณ์ของบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัวต่อบุคลากรสาธารณสุข</span>&nbsp;</p> <p style="color: #000000; font-family: &amp;quot; noto sans&amp;quot;,arial,helvetica,sans-serif; font-size: 14px; font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: 400; letter-spacing: normal; orphans: 2; text-align: left; text-decoration: none; text-indent: 0px; text-transform: none; -webkit-text-stroke-width: 0px; white-space: normal; word-spacing: 0px;"><span lang="TH">และเผยแพร่ผลงานวิชาการและงานวิจัยทางด้านเวชศาสตร์ครอบครัวและการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิ เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างเครือข่ายและองค์กรที่ปฏิบัติงานทางด้านเวชศาสตร์ครอบครัวและการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิ กระตุ้นให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้และงานวิจัยงานวิชาการทางด้านเวชศาสตร์ครอบครัว และระบบริการปฐมภูมิ</span></p> th-TH <p>เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสาร PCFM ถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรง ซึ่งกองบรรณาธิการวารสารไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยหรือร่วมรับผิดชอบใด ๆ</p> <p>บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ลงในวารสาร PCFM ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสาร PCFM หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือเพื่อกระทำการใด ๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากวารสาร PCFM ก่อนเท่านั้น</p> [email protected] (chaisiri angkurawaranon) [email protected] (สายธิดา ดาราทรัพย์สิน) Wed, 27 Mar 2024 13:19:39 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ประสิทธิผลของโปรแกรมกระตุ้นความร่วมมือในการใช้ยาที่มีต่อระดับน้ำตาลสะสมในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมไม่ดี ในหน่วยบริการปฐมภูมิ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/264431 <p><strong>ที่มาและวัตถุประสงค์:</strong> ความร่วมมือการใช้ยาเป็นพฤติกรรมสุขภาพที่สำคัญสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ผู้วิจัยจึงสนใจศึกษาการใช้โปรแกรมกระตุ้นความร่วมมือการใช้ยา โดยประยุกต์จากหลักหาแนวทางร่วมรักษาและการจัดการด้านยาด้วยตนเอง ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมไม่ดี ในหน่วยบริการปฐมภูมิ เพื่อเพิ่มความร่วมมือการใช้ยาและควบคุมระดับน้ำตาลให้ดีขึ้น</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการ</strong><strong>: </strong>วิจัยในรูปแบบ Randomized controlled trial ผู้เข้าร่วมวิจัย จำนวน 141 คน เป็นกลุ่มทดลอง 71 คน กลุ่มควบคุม 70 คน เครื่องมือที่ใช้คือ แบบสอบถามข้อมูลทั่วไปและแบบวัดความร่วมมือการใช้ยา (MAST<sup>®</sup>) โปรแกรมที่ใช้คือ Adherence protocol จนครบ 12 สัปดาห์ ประเมินผลระดับ HbA1C และวัดคะแนนจากแบบวัด MAST<sup>®</sup> &nbsp;วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงอนุมานเป็น independent t-test แสดงผลเป็นค่า p-value และ 95% Confidence Interval</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> ค่าเฉลี่ย HbA1C เป็น 7.47±0.86 และ 7.97±0.85 ค่าเฉลี่ยคะแนนจากแบบวัด MAST<sup>®</sup> เป็น 36.46±2.05 และ 35.4±1.84 ในกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมตามลำดับ ซึ่งพบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในทั้งสองด้าน (p &lt; 0.05)</p> <p><strong>สรุป:</strong> การใช้โปรแกรมกระตุ้นความร่วมมือการใช้ยาที่ประยุกต์จากหลักหาแนวทางร่วมรักษาและการจัดการด้านยาด้วยตนเอง สามารถควบคุมระดับน้ำตาลสะสมของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมไม่ดี ในหน่วยบริการปฐมภูมิได้</p> วุฒิไกร กรพิมาย Copyright (c) 2024 วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/264431 Wed, 27 Mar 2024 00:00:00 +0700 ความชุกและปัจจัยที่เกี่ยวข้องของภาวะหมดไฟในอสม.ในเขตพื้นที่รับผิดชอบศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองจอหอ อ.เมือง จ.นครราชสีมา ในสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/265184 <p><strong>หลักการและเหตุผล</strong><strong>:</strong> อสม.เป็นงานบริการและติดต่อคนในชุมชน การระบาดโควิด-19 ทำให้ภาระงานของ อสม.เพิ่มขึ้นและมีโอกาสเกิดภาวะหมดไฟ การศึกษาภาวะหมดไฟในอสม.ในช่วงระบาดโควิด-19จึงมีความจำเป็นเพื่อเป็นข้อมูลในการดูแลป้องกันแก้ไขปัญหาภาวะหมดไฟ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์งานวิจัย</strong><strong>: </strong>ศึกษาความชุกและปัจจัยที่เกี่ยวข้องของภาวะหมดไฟอสม.ในสถานการณ์ระบาดของโรคโควิด-19</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>เป็นการวิจัยวิเคราะห์ตัดขวาง อสม.ชุมชนจอหอ ผู้เข้าร่วม 198 คน ช่วง 1 กันยายน ถึง 1 พฤศจิกายน 2565 ใช้แบบประเมินภาวะหมดไฟด้วยตนเอง วิเคราะห์ความสัมพันธ์ด้วยสถิติ Chi-square test , Simple and Multiple logistic regression</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>พบภาวะหมดไฟร้อยละ 52.38 ปัจจัยสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ คือ ข้อมูลที่ได้รับในการปฏิบัติงานและความเหมาะสมของการป้องกันตนเองในช่วงระบาดโควิด-19 (P-value 0.042, OR 0.35, 95%CI 0.13-0.96) และความคิดที่ลาออกจากการเป็นอสม.(P-value 0.030, OR 4.31, 95%CI 1.15-16.16)</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>: </strong>อสม.มีภาวะหมดไฟในช่วงการระบาดโควิด-19 สอดคล้องกับงานวิจัยก่อนหน้า ควรมีการป้องกันแก้ไขต่อไป</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong><strong>:</strong> อสม., ภาวะหมดไฟ, การระบาดโควิด-19</p> นลินี นามชัยภูมิ Copyright (c) 2024 วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/265184 Wed, 27 Mar 2024 00:00:00 +0700 ผลของพฤติกรรมการติดเฟซบุ๊กต่อความภาคภูมิใจในตนเองของคนวัยทำงานในโรงพยาบาล https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/265397 <p><strong>ที่มาและวัตถุประสงค์</strong> พฤติกรรมการติดเฟซบุ๊กมีผลต่อความภาคภูมิใจในตนเองโดยเฉพาะในกลุ่มนักเรียนและวัยรุ่น แต่กลุ่มคนวัยทำงานยังมีข้อมูลจำกัด การศึกษานี้สนใจสำรวจความชุกของพฤติกรรมการติดเฟซบุ๊กและความสัมพันธ์ต่อความภาคภูมิใจในตนเองของกลุ่มคนวัยทำงานในโรงพยาบาล เนื่องจากความภาคภูมิใจในตนเองต่ำของกลุ่มคนวัยทำงานนี้ส่งผลต่อคุณภาพการทำงาน</p> <p><strong>แบบวิจัย</strong> การศึกษาเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการ</strong> เก็บข้อมูลกลุ่มตัวอย่างจากบุคลากรในโรงพยาบาลศูนย์แห่งหนึ่งในภาคใต้ของประเทศไทยที่ได้ทำการตอบแบบสอบถามออนไลน์ในช่วงเดือนมิถุนายนถึงพฤศจิกายน พ.ศ.2564 ซึ่งได้รับการสุ่มแบบชั้นภูมิ โดยเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามออนไลน์คือ แบบสอบถามพฤติกรรมการติดเฟซบุ๊ก Bergen และแบบประเมินความภาคภูมิใจในตนเองของ Rosenberg แล้ววิเคราะห์ทางสถิติด้วยวิธี multiple logistic regression โดยโปรแกรม Stata/IC 16</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong> จากกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 688 คน พบว่าเป็นเพศชาย 74 คน (10.8%) เพศหญิง 614 คน (89.6%) มีอายุเฉลี่ย 38.43 ± 10.03 ปี และพบความชุกของพฤติกรรมการติดเฟซบุ๊ก 99 คน (14.4%) โดยพบว่ามีความภาคภูมิใจในตนเองระดับต่ำ 84 คน (12.2%), ระดับกลาง 487 คน (70.8%) และระดับสูง 117 คน (17.0%) โดยปัจจัยพฤติกรรมการติดเฟซบุ๊กมีความสัมพันธ์กับความภาคภูมิใจในตนเองระดับต่ำอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (adj. OR = 1.97, 95% CI: 1.09-3.59) และปัจจัยอื่นที่สัมพันธ์ร่วมด้วยคือ ระดับการศึกษาปริญญาตรีขึ้นไป (adj. OR = 0.47, 95% CI: 0.26-0.86)</p> <p><strong>สรุป</strong> พฤติกรรมการติดเฟซบุ๊กของคนวัยทำงานในโรงพยาบาลเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความภาคภูมิใจในตนเองต่ำ ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาก่อนหน้านี้ในกลุ่มวัยรุ่นและนักเรียน ดังนั้นการป้องกันพฤติกรรมการติดสื่อสังคมออนไลน์เป็นสิ่งสำคัญต่อไปในอนาคต</p> ปวริศ หวังเกียรติ Copyright (c) 2024 วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/265397 Wed, 27 Mar 2024 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะหมดไฟในการทำงาน และความขัดแย้งระหว่างงานและครอบครัวของบุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลสนาม และหอผู้ป่วยเฉพาะกิจในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด -19 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/265418 <p><strong>ที่มาและความสำคัญ</strong> การดูแลผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 จำนวนมากระหว่างการระบาดทั่วโลก ส่งผลต่อความเหนื่อยล้าทั้งร่างกายและจิตใจ รวมถึงปัญหาครอบครัวของบุคลากรทางการแพทย์ แต่การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะ Burnout Syndrome (BS) และการเกิดภาวะ Work-Family Conflict (WFC) ในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าในสถานบริการเฉพาะกิจสำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ยังมีจำกัด การศึกษานี้จึงมีวัตถุประสงค์ในการประมาณความชุกของ BS และWFC รวมถึงระบุความสัมพันธ์ระหว่าง BS และWFC ในบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติงานในสถานบริการเฉพาะกิจสำหรับผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 </p> <p><strong>วิธีการทำวิจัย</strong> งานวิจัยเชิงวิเคราะห์ภาคตัดขวางโดยวิธีสำรวจแบบสอบถามอิเล็กทรอนิกส์ รวมกับข้อมูลจากแบบสำรวจย้อนหลังของบุคลากรโรงพยาบาล ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระหว่างวันที่ 1 กันยายน 2564 ถึง 30 พฤษภาคม 2565 ในผู้เข้าร่วมโครงการวิจัยบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลสนาม และหอผู้ป่วยเฉพาะกิจจำนวน 14 แห่ง ภาวะBS ใช้แบบประเมินของ Maslach โดยประเมิน ด้านEmotional Exhaustion (EE), Depersonalization (DP) และReduced Personal Accomplishment (PA) และภาวะWFC ใช้แบบประเมินของ Netemeyer โดยประเมินทั้ง ด้าน Work Interference with Family (WIF)และFamily Interference with Work (FIW) และระบุความสัมพันธ์ระหว่างสองภาวะคำนวณโดยใช้ Pearson correlation</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong> ผู้เข้าร่วมโครงการวิจัยจำนวน 202 คน อายุเฉลี่ย 33 ปี ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง 87.1% พยาบาล 58.4% พบความชุกของภาวะ BS ระดับสูงด้าน EE, DP และ PA เท่ากับ 16.8%, 15.3% และ5% ตามลำดับ ความชุกของภาวะ WFC ระดับสูงด้าน WIF และFIW เท่ากับ 23.3% และ4.5% ตามลำดับ ผู้เข้าร่วมโครงการวิจัยที่มี WFC ด้าน WIF สูงมีความสัมพันธ์กับ BS ด้าน EE และDPอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r=0.57, p&lt;0.05 และ r=0.47, p&lt;0.05) ตามลำดับ ผู้เข้าร่วมโครงการวิจัยที่มี WFC ด้าน FIW สูงมีความสัมพันธ์กับ BS ด้าน EE และDPอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเช่นเดียวกัน (r=0.42, p&lt;0.05 และr=0.42, p&lt;0.05) ตามลำดับ</p> <p><strong>สรุปผล</strong> การศึกษานี้เป็นการศึกษาแรกที่ศึกษาภาวะ BS และWFC ของบุคลากรด่านหน้าในสถานบริการสาธารณสุขที่จัดตั้งพิเศษสำหรับดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ซึ่งพบว่าทั้งสองภาวะสามารถเกิดขึ้นได้ในบุคลากรทางการแพทย์ และมีความสัมพันธ์กัน ดังนั้นการดูแลแก้ปัญหาภาวะ BS ในบุคลากรทางการแพทย์จึงไม่เพียงตัวบุคคลแต่รวมถึงครอบครัวของบุคลากรด้วย</p> พิมพ์ชนก วิเชียร, ศรสวรรค์ สิทธิพงศ์, ศรวัส แสงแก้ว, เพ็ชร ชูช่วย Copyright (c) 2024 วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/265418 Wed, 27 Mar 2024 00:00:00 +0700 ความรู้ ทัศนคติและการรับรู้ของคนไทยต่อวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/265607 <p><strong>ที่มาและวัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>ปัจจุบันวัคซีนโควิด 19 หลายชนิดได้รับการพัฒนาและผลิตสำเร็จ ทั้งนี้ในการดำเนินกลยุทธ์การฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องทราบถึงความรู้ ทัศนคติ และการรับรู้ของคนไทยต่อวัคซีนโควิด 19</p> <p><strong>แบบวิจัย</strong><strong>: </strong>การศึกษาเป็นแบบภาพตัดขวาง เชิงปริมานและพรรณนา</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการ</strong><strong>: </strong>เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามออนไลน์ ช่วง 3 กรกฎาคม- 7 สิงหาคม 2564 มีผู้ตอบแบบสอบถาม 893 ราย</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>คะแนนความรู้ มีค่าเฉลี่ย 2.8 คะแนน (±SD 1.1) จาก 5 คะแนน คะแนนทัศนคติ มีค่าเฉลี่ย 10.2 คะแนน (±SD 1.8) จาก 12 คะแนน คำถามที่ไม่เห็นด้วยหรือไม่แน่ใจมากที่สุด (65.5%) คือ “วัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ที่เพิ่งผลิตมีความปลอดภัย” เหตุผลที่ลังเลในการฉีดวัคซีนมากที่สุด 3 ลำดับแรก ได้แก่ 1) ไม่แน่ใจเรื่องผลข้างเคียง (34.8%) 2) ไม่แน่ใจเรื่องประสิทธิภาพหรือคุณภาพของวัคซีน (34.3%) 3) ไม่แน่ใจยี่ห้อ เทคโนโลยีที่ผลิต หรือต้องการฉีดวัคซีนอื่น เช่น mRNA (24.0%) ด้านการรับรู้ส่วนใหญ่คิดว่าวัคซีนอาจมีผลข้างเคียง (90.8%) ควรได้รับการจัดสรรโดยไม่มีค่าใช้จ่าย (98.2%) ทุกคนสมควรได้รับวัคซีน (88.9%) และบุคลากรทางการแพทย์ควรได้รับวัคซีนเป็นลำดับแรก (91.2%)</p> <p><strong>สรุป</strong>: คะแนนเฉลี่ยความรู้ของกลุ่มตัวอย่างมีระดับปานกลาง แต่คะแนนด้านทัศนคติเป็นไปในทางบวก ทั้งนี้ควรมีการเผยแพร่ข้อมูลด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีนให้มากขึ้น</p> ศุภิชญ์ชา เมืองสุริยา, ณหทัย จงประสิทธิ์กุล, ชื่นฤทัย ยี่เขียน Copyright (c) 2024 วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/265607 Wed, 27 Mar 2024 00:00:00 +0700 ความชุกและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับภาวะโลหิตจางในผู้สูงอายุที่เข้ารับการบริการ ณ แผนกตรวจโรคผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/265557 <p><strong>ที่มาและวัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> ภาวะโลหิตจางในผู้สูงอายุ เป็นภาวะที่พบบ่อยทั้งในประเทศไทยและในประเทศต่างๆทั่วโลก นำมาซึ่งภาวะแทรกซ้อนต่างๆที่กระทบต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตของทั้งผู้ป่วยและผู้ดูแล ทำให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจทั้งในระดับบุคคล ระดับชุมชน และระดับประเทศ การศึกษานี้เป็นการศึกษาเพื่อหาความชุกและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับภาวะโลหิตจางในผู้สูงอายุ</p> <p><strong>แบบวิจัย</strong><strong>:</strong> การศึกษาเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการ</strong><strong>:</strong> ทำการศึกษาในกลุ่มผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ที่มารับบริการ ณ แผนกตรวจโรคผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า โดยใช้แบบสอบถามข้อมูลปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับภาวะโลหิตจางในผู้สูงอายุและแบบประเมินภาวะโภชนาการระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน ถึง 31 ธันวาคม 2565 ข้อมูลจะถูกวิเคราะห์โดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์การถดถอยโลจิสติก</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> พบความชุกของภาวะโลหิตจางในผู้สูงอายุ ร้อยละ 29.5 จากผู้เข้าร่วมวิจัย 88 คน ส่วนปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อภาวะโลหิตจางในผู้สูงอายุ ได้แก่ ช่วงอายุตั้งแต่ 80 ปีขึ้นไป (OR 10.154, p 0.007) จำนวนชนิดยาที่ใช้ตั้งแต่ 5 ชนิดขึ้นไป (OR 3.972, p 0.022) จำนวนโรคประจำตัวตั้งแต่ 4 โรคขึ้นไป (OR 4.24, p 0.003) โรคเบาหวาน (OR 2.939, p 0.03) โรคไตเรื้อรัง (OR 7.125, p 0.001)</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>:</strong> ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับภาวะโลหิตจางในผู้สูงอายุอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติคือโรคไตเรื้อรัง กลุ่มประชากรที่พบภาวะโลหิตจางได้บ่อย ได้แก่ กลุ่มช่วงอายุตั้งแต่ 80 ปีขึ้นไป ผู้ที่มีจำนวนชนิดยาที่ใช้ตั้งแต่ 5 ชนิดขึ้นไป ผู้ที่มีจำนวนโรคประจำตัวตั้งแต่ 4 โรคขึ้นไป และผู้ที่มีโรคเบาหวาน ดังนั้น ทีมดูแลจึงควรให้การดูแลรักษาผู้ป่วยอย่างเป็นองค์รวมและต่อเนื่อง นอกจากนี้ควรมีมาตรการป้องกันในระดับต่างๆ เพื่อไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่จะนำมาซึ่งความพิการในอนาคต</p> กัณธณิศาข์ อภิธนาดล, กุลเชษฐ์ เกษะโกมล, พัฒน์ศรี ศรีสุวรรณ Copyright (c) 2024 วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/265557 Wed, 27 Mar 2024 00:00:00 +0700 ประสิทธิภาพการวินิจฉัยของชุดตรวจโควิด-19 ชนิดรวดเร็วโดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในการค้นหาผู้ติดเชื้อโควิด19 ในพื้นที่ระบาด https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/265745 <p><strong>ที่มา</strong>: การทดสอบหาเชื้อโควิด-19โดยใช้ชุดตรวจแอนติเจนชนิดรวดเร็วเพิ่มการเข้าถึงการตรวจและรักษาให้มีประสิทธิภาพขึ้นกับหลายปัจจัย การใช้ชุดตรวจแอนติเจนโดยเจ้าหน้าที่ที่มีประสบการณ์น้อยในการค้นหาผู้ป่วยเชิงรุกนอกสถานพยาบาลอาจมีผลต่อประสิทธิภาพของชุดตรวจ</p> <p><strong>แบบวิจัย</strong><strong>: </strong>การศึกษานี้เป็นการศึกษาชนิดตัดขวางแบบย้อนหลัง</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการ</strong><strong>: </strong>การศึกษาเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2564 ผู้เข้าร่วมจะได้รับการเก็บตัวอย่างเยื่อบุด้านหลังโพรงจมูกสองครั้งสำหรับการตรวจ RT-PCR (Reverse transcription polymerase chain reaction) และ RDTs (Rapid diagnostic tests) ในวันเดียวกันและโดยผู้ตรวจคนเดียวกันซึ่งได้ผ่านการฝึกอบรมเป็นเวลาสามชั่วโมงรวมถึงการปฏิบัติจริงภายใต้การดูแลของแพทย์ โดยตัวอย่าง RT-PCR ถูกส่งไปยังห้องปฏิบัติการของโรงพยาบาลหาดใหญ่ และ RDTs จะได้รับการแปลผลจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ณ สถานที่ตรวจทันที</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>ทั้งหมด 163 คน มีผลติดเชื้อด้วย RT-PCR 26 คน (16%) มีผลติดเชื้อด้วย RDTs 23 คน (14%) ค่า sensitivity และ specificity ของ RDTs เท่ากับ 88% (95% confident interval 77% - 100%) และ 100% (100% - 100%) ตามลำดับ และวิเคราะห์กลุ่มย่อยในกลุ่มมีอาการและไม่มีอาการ ค่า sensitivity เท่ากับ 86% (57% - 100%) และ 89% (74% - 100%) ตามลำดับ และค่า specificity เท่ากับ 100% (100% - 100%) ทั้งสองกลุ่ม และผลลบลวงโดยชุดตรวจ RDTs มักพบในผู้ป่วยที่มีค่าเฉลี่ยของ Cycle time (CT value) มากกว่า 30</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>: </strong>การศึกษาสามารถยืนยันประสิทธิภาพของการใช้ RDTs ในการค้นหาผู้ป่วยในชุมชนที่ใช้งานจริงโดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเปรียบเทียบกับ RT-PCR ซึ่งเป็นเทคนิคมาตรฐาน แต่อาจเกิดผลลบลวงในกรณีที่มีผู้ป่วยมีปริมาณเชื้อน้อย ดังนั้นการใช้ชุดตรวจ RDT ในการตรวจเชิงรุกและการมีส่วนร่วมของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในการตรวจคัดกรองโควิด-19 ในพื้นที่จะเพิ่มการเข้าถึงการรักษาและการควบคุมโรคที่ทันเวลา</p> สิราภา ทองนุ่น, ศรวัส แสงแก้ว Copyright (c) 2024 วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/265745 Wed, 27 Mar 2024 00:00:00 +0700