วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM <p style="color: #000000; font-family: &amp;quot; noto sans&amp;quot;,arial,helvetica,sans-serif; font-size: 14px; font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: 400; letter-spacing: normal; orphans: 2; text-align: left; text-decoration: none; text-indent: 0px; text-transform: none; -webkit-text-stroke-width: 0px; white-space: normal; word-spacing: 0px;"><strong><span lang="TH"><span style="background-color: #ffffff;">Journal of Primary Care and Family Medicine (PCFM)</span></span></strong></p> <p style="color: #000000; font-family: &amp;quot; noto sans&amp;quot;,arial,helvetica,sans-serif; font-size: 14px; font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: 400; letter-spacing: normal; orphans: 2; text-align: left; text-decoration: none; text-indent: 0px; text-transform: none; -webkit-text-stroke-width: 0px; white-space: normal; word-spacing: 0px;"><strong><span lang="TH"><span style="background-color: #ffffff;">วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว</span></span></strong></p> <p style="color: #000000; font-family: &amp;quot; noto sans&amp;quot;,arial,helvetica,sans-serif; font-size: 14px; font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: 400; letter-spacing: normal; orphans: 2; text-align: left; text-decoration: none; text-indent: 0px; text-transform: none; -webkit-text-stroke-width: 0px; white-space: normal; word-spacing: 0px;"><span lang="TH">วารสารราย 2 เดือน เพื่อรวบรวมความรู้ทางวิชาการ และงานวิจัยต่าง ๆ รวมถึงเป็นสื่อกลางในการสื่อสารระหว่างเครือข่าย นำไปสู่การพัฒนาทั้งในด้านคุณภาพการบริการและวิชาการ รวมทั้งเป็นการเสริมสร้างคุณค่าและเอกลักษณ์ของบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัวต่อบุคลากรสาธารณสุข</span> </p> <p style="color: #000000; font-family: &amp;quot; noto sans&amp;quot;,arial,helvetica,sans-serif; font-size: 14px; font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: 400; letter-spacing: normal; orphans: 2; text-align: left; text-decoration: none; text-indent: 0px; text-transform: none; -webkit-text-stroke-width: 0px; white-space: normal; word-spacing: 0px;"><span lang="TH">รวมทั้ง การเผยแพร่ผลงานวิชาการและงานวิจัยทางด้านเวชศาสตร์ครอบครัวและการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิ เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างเครือข่ายและองค์กรที่ปฏิบัติงานทางด้านเวชศาสตร์ครอบครัวและการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิ กระตุ้นให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้และงานวิจัยงานวิชาการทางด้านเวชศาสตร์ครอบครัว และระบบริการปฐมภูมิ</span></p> Royal College of Family Physicians of Thailand and GP/FP Association of Thailand th-TH วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว 3057-1928 <p class="" data-start="0" data-end="232">เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสาร PCFM ถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรง ซึ่งกองบรรณาธิการวารสารไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยหรือร่วมรับผิดชอบใด ๆ</p> <p class="" data-start="0" data-end="232">บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ลงในวารสาร PCFM ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสาร PCFM หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือเพื่อกระทำการใด ๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากวารสาร PCFM ก่อนเท่านั้น</p> ความชุกและลักษณะทางคลินิกของผู้เป็นเบาหวานระยะสงบในโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มารับบริการในหน่วยบริการปฐมภูมิ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/276657 <p>ที่มา: เบาหวานระยะสงบ คือ การที่ผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 คุมน้ำตาลในเลือดให้ต่ำกว่าเกณฑ์วินิจฉัยเบาหวานโดยไม่ต้องใช้ยา ในประเทศไทยเพิ่งนิยามอย่างเป็นทางการเมื่อปี พ.ศ. 2565 จึงยังมีการศึกษาน้อย โดยเฉพาะความชุกของเบาหวานระยะสงบในประเทศไทย งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความชุกและลักษณะทางคลินิกของผู้เป็นเบาหวานระยะสงบในโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มารับบริการในหน่วยบริการปฐมภูมิ</p> <p>วัสดุและวิธีการ: เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาย้อนหลัง ในผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มารับการรักษาที่ศูนย์แพทย์ชุมชนเมืองทั้ง 4 แห่ง ในเครือข่ายโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ที่มีประวัติรับบริการในช่วง 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2565-30 มิถุนายน พ.ศ. 2566 สุ่มตัวอย่างจำนวน 460 คน เก็บข้อมูลโดยการสืบค้นเวชระเบียนย้อนหลัง เกณฑ์วินิจฉัยผู้เป็นเบาหวานระยะสงบ คือ HbA1c น้อยกว่าร้อยละ 6.5 ติดต่อกัน ≥ 2 ครั้ง เวลาห่างกัน ≥ 3 เดือน และไม่ได้รับยาเบาหวานในทั้งสองครั้งดังกล่าว</p> <p>ผลการศึกษา: จากกลุ่มตัวอย่าง 460 ราย พบผู้เป็นเบาหวานระยะสงบ 19 ราย คิดเป็นความชุกร้อยละ 4.1 (95%CI: = 2.3-6.0) โดยพบความชุกสูงสุดในผู้มีดัชนีมวลกายเมื่อวินิจฉัย 18.5-22.9 กก./ตร.ม. (ความชุกร้อยละ 11.2, 95%CI: = 4.3-18.2) รองลงมาคือการไม่ใช้ยาเมื่อวินิจฉัย และการที่ดัชนีมวลกายลดลง มากกว่าหรือเท่ากับร้อยละ 10.0 (ความชุกร้อยละ 7.4,95%CI: = 1.1-13.6 และร้อยละ 6.9, 95%CI: = 1.0-12.9 ตามลำดับ)</p> <p>สรุป: เบาหวานระยะสงบในผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ด้วยการดูแลแบบปกติในหน่วยบริการปฐมภูมิสามารถเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะในผู้มีดัชนีมวลกายปกติหรือดัชนีมวลกายลดลง อาจใช้เปรียบเทียบผลลัพธ์ของการพัฒนาแนวทางรักษาเบาหวานต่อไป</p> <p>คำสำคัญ: เบาหวานระยะสงบ เบาหวานชนิดที่ 2 ความชุก</p> พงศ์ศักดิ์ เอี่ยมไธสง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-31 2025-10-31 8 5 ประสิทธิผลของการใช้เทคนิคสร้างแรงจูงใจผ่านบริการโทรเวชกรรมสำหรับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมระดับความดันโลหิตไม่ได้ ในหน่วยบริการปฐมภูมิ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/259607 <p>ที่มา: เพื่อศึกษาประสิทธิภาพการลดความดันโลหิตในผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่ใช้เทคนิคการสร้างแรงจูงใจผ่านบริการโทรเวชกรรมเปรียบเทียบกับกลุ่มบริการปกติ</p> <p>รูปแบบการศึกษา: การวิจัยครั้งนี้ใช้รูปแบบการทดลองแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุม (rando-mized control study)</p> <p>วัสดุและวิธีการ: กลุ่มตัวอย่างคัดเลือกจากผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่ไม่สามารถควบคุมได้ ผ่านเกณฑ์คัดเข้าและคัดออก จำนวน 80 คน ซึ่งมีลักษณะพื้นฐานคล้ายกัน แบ่งเป็น 2 กลุ่มคือกลุ่มทดลองที่ใช้เทคนิคสร้างแรงจูงใจผ่านบริการโทรเวชกรรม จำนวน 40 คน และกลุ่มควบคุมที่ได้รับบริการปกติ จำนวน 40 คน เก็บข้อมูลระหว่าง 1 กันยายน พ.ศ. 2564 ถึง 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565</p> <p>ผลการศึกษา: กลุ่มทดลองมีค่าความดันโลหิตเฉลี่ยที่บ้านลดลงต่ำกว่ากลุ่มควบคุม โดยครั้งที่1 (สัปดาห์ที่ 6) ครั้งที่2 (เดือนที่ 3) ครั้งที่ 3 (เดือนที่ 6) ค่าความดันโลหิต 132/78, 129/74 และ 127/74 มม.ปรอท ส่วนค่าเฉลี่ยความดันโลหิตของกลุ่มควบคุม คือ 137/81, 136/80 และ 134/77 มม.ปรอท ตามลำดับ ซึ่งก่อนเข้าร่วมงานวิจัยทั้งสองกลุ่มมีค่าเฉลี่ยความดันโลหิต เท่ากับ 149/82 มม.ปรอท อีกทั้งสัดส่วนการควบคุมความดันโลหิตได้ และสัดส่วนการดีขึ้นของลำดับขั้นการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่รับบริการปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ p &lt; 0.05</p> <p>สรุป: การใช้เทคนิคสร้างแรงจูงใจผ่านบริการโทรเวชกรรมสามารถลดระดับความดันโลหิตในกลุ่มทดลองได้ดีกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p>คำสำคัญ: บริการโทรเวชกรรม เทคนิคสร้างแรงจูงใจ ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมระดับความดันโลหิตไม่ได้ บริการปฐมภูมิ</p> ไตรภพ ทองงามดี ฐิติกาญจน์ ผสมบุญ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-31 2025-10-31 8 5 คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคไตวายระยะสุดท้ายที่ได้รับการวางแผนการดูแลล่วงหน้า https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/276116 <p>ที่มา: โรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายเป็นโรคที่รุนแรง การวางแผนการดูแลตัวเองล่วงหน้าช่วยให้ผู้ป่วยและครอบครัวมีโอกาสทบทวนและวางแผนชีวิต การวิจัยนี้จึงสนใจศึกษาและเปรียบเทียบคุณภาพชีวิตตามระยะเวลาการดำเนินของโรคของผู้ป่วยโรคไตวายระยะสุดท้ายที่ปฏิเสธการฟอกไตและได้รับการวางแผนการดูแลล่วงหน้า</p> <p>แบบวิจัย: การศึกษาไปข้างหน้า (prospective cohort study)</p> <p>วัสดุและวิธีการ: ผู้ป่วยโรคไตวายระยะสุดท้ายที่ปฏิเสธการฟอกไตและได้รับการวางแผนการดูแลล่วงหน้าในโรงพยาบาลพล จังหวัดขอนแก่น อายุ 18 ปีขึ้นไป ที่ได้รับการวินิจฉัยโดยอายุรแพทย์ ในปี พ.ศ. 2565 เข้าร่วม 30 คน ติดตามทุกเดือนจนครบ 3 ครั้ง ตั้งแต่มิถุนายน ถึง กันยายน พ.ศ. 2566 ใช้แบบสัมภาษณ์คุณภาพชีวิต ประกอบด้วย Palliative Performance Scale (PPS) และ Edmonton Symptom Assessment System (ESAS) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ frequency (range), mean (standard deviation) และเปรียบเทียบคะแนน PPS และ ESAS ด้วย paired t-test</p> <p>ผลการศึกษา: คะแนน ESAS และ PPS มีแนวโน้มลดลงตามระยะเวลา เมื่อเปรียบเทียบคะแนน ESAS พบว่าครั้งที่ 1 กับ 3 และครั้งที่ 2 กับ 3 คะแนน PPS ครั้งที่ 1 กับ 2 และครั้งที่ 1 กับ 3 มีความแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> <p>สรุป: การทำ advance care planning (ACP) อาจช่วยลดความทุกขมานให้ผู้ป่วยกลุ่มไตวายระยะสุดท้ายที่ปฏิเสธการฟอกไต แม้ในผู้ป่วยที่ระดับ PPS ลดลงตามช่วงเวลา จึงควรประชาสัมพันธ์ ACP ให้เป็นทางเลือกในการรักษาและศึกษาในทุกโรคที่มีการรักษาแบบประคับประคอง</p> <p>คำสำคัญ: คุณภาพชีวิต ไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย การวางแผนการดูแลล่วงหน้า</p> ขวัญชนก โรจนศิริพัฒนพล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-31 2025-10-31 8 5 ความสัมพันธ์ระหว่างค่าจุดตัดระดับน้ำตาลสะสมในเลือดและปัจจัยร่วมกับการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เท้าในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่สองในเขตเมือง https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/280830 <p>ที่มา: การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำตาลสะสมในเลือด (HbA1c) ส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่เท้า ทำให้เกิดการสูญเสียทางด้านร่างกาย จิตใจและคุณภาพชีวิต การศึกษาระดับ HbA1c นี้จะช่วยป้องกันและลดภาวะแทรกซ้อนลง การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์และจุดตัดของระดับ HbA1c รวมถึงปัจจัยร่วมที่ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่เท้าที่ระดับความรุนแรงต่าง ๆ ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่สอง</p> <p>แบบวิจัย: การศึกษาเชิงวินิจฉัยแบบตัดขวาง</p> <p>วัสดุและวิธีการ: เก็บข้อมูลระดับ HbA1c ผลตรวจวินิจฉัยภาวะแทรกซ้อนที่เท้า แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ป่วยเบาหวานอายุ 40 ปีขึ้นไป จำนวน 370 คน และหาความสัมพันธ์กับการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เท้า</p> <p>ผลการศึกษา: ระดับ HbA1c ในผู้ป่วยเบาหวานที่เพิ่มขึ้นสัมพันธ์กับการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เท้า โดยจุดตัดค่า HbA1c ของภาวะแทรกซ้อนที่เท้าระดับ 1, 2 และ 3 มีค่ามากกว่าหรือเท่ากับร้อยละ 7.5, 8.0 และ 10.0 ตามลำดับ และปัจจัยที่ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญ คือ การออกกำลังกาย การสูบบุหรี่และดัชนีมวลกาย</p> <p>สรุป: ผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดี การไม่ออกกำลังกาย การสูบบุหรี่ และดัชนีมวลกายที่มาก มีผลต่อความรุนแรงของการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เท้า การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและให้ความรู้ด้านปัจจัยร่วมแก่ผู้ป่วยจะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่เท้าได้</p> <p>คำสำคัญ: HbA1c น้ำตาลสะสมในเลือด ภาวะแทรกซ้อนที่เท้า เบาหวาน</p> รัฐธรรมนูญ ลมุลศรี อริศรา ศิริวิริยะกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-31 2025-10-31 8 5 ปัจจัยที่สัมพันธ์กับการปฏิเสธการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกในหญิงไทย ของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดตรัง https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/259980 <p>ที่มา: การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อหาปัจจัยที่สัมพันธ์กับการปฏิเสธการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก เนื่องจากปัญหาการเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยการตรวจทางเซลล์วิทยาปากมดลูกแบบ conventional Pap-smear ในช่วงปี พ.ศ. 2558-2562 ที่ไม่ครอบคลุมอย่างน้อยละ 80 ของสตรีกลุ่มอายุ 30-60 ปีของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพนาท่ามใต้ อำเภอเมืองตรัง จังหวัดตรัง </p> <p>แบบวิจัย: การศึกษาวิจัยแบบ case-control study</p> <p>วัสดุและวิธีการ: การศึกษานี้ได้ทำในหญิงไทยอายุ 30-60 ปี ของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนาท่ามใต้ ที่มีโรงพยาบาลแม่ข่าย คือ โรงพยาบาลตรัง ประเทศไทย จากรายชื่อหญิงไทยอายุ 30-60 ปีของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลนาท่ามใต้ อำเภอเมืองตรัง จังหวัดตรัง ในปีงบประมาณ 2564 จำนวนทั้งหมด 604 คน นำมาเข้าสูตรคำนวณขนาดตัวอย่างด้วยสูตร Schlesselman (1982) สำหรับกรณีไม่มีการปรับค่า (correction factor) โดยกลุ่มตัวอย่างแบ่งออกเป็นกลุ่มเคยและไม่เคยเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก จำนวนกลุ่มละ 73 คน หลังจากที่ได้เซ็นหนังสือยินยอมการเข้าร่วมโครงการวิจัย จะต้องตอบคำถามในแบบสอบถามด้วยตนเอง หรือ ผ่านผู้ช่วยวิจัยหากจำเป็น ซึ่งจะมีข้อคำถามแบ่งออกเป็น 4 ส่วน ได้แก่ 1. ปัจจัยส่วนบุคคล 2. ปัจจัยนำ 3.ปัจจัยเสริม และ 4. ปัจจัยเอื้อ ทั้งนี้การเคยเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก หมายถึง การเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างน้อย 1 ครั้ง ภายใน 5 ปีที่ผ่านมา</p> <p>ผลการศึกษา: จากหญิงทั้งหมด 146 คน แบ่งออกเป็นกลุ่มที่เคยเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก จำนวน 73 คน และ กลุ่มที่ไม่เคยเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก 73 คน โดยอายุ 30-40 ปี และ เจตคติที่ต่ำสัมพันธ์กับการไม่เคยเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างมีนัยสำคัญ</p> <p>สรุป: อายุและเจตคติ เป็นปัจจัยที่สัมพันธ์กับการปฏิเสธการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกในหญิงไทยอายุ 30-60 ปี จึงควรให้ความสำคัญในการส่งเสริมให้มีการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกในหญิงไทยที่มีอายุ 30-40 ปี หรือ มีเจตคติที่ต่ำในการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก</p> <p>คำสำคัญ: ปัจจัย การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก</p> มูนา อูเซ็ง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-31 2025-10-31 8 5 ความรู้และปัจจัยที่ส่งผลต่อระดับความรู้เกี่ยวกับการดูแลแบบประคับประคองของผู้ป่วยในเขตเมืองที่มารับบริการในโรงพยาบาลวชิรพยาบาล https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/281854 <p>ที่มา: ปัจจุบันประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีโอกาสเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังและอยู่ในภาวะพึ่งพิง ส่งผลให้การดูแลแบบประคับประคองมีบทบาทมากขึ้น โดยหนึ่งในปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึง คือ การขาดความรู้ การศึกษานี้ทำขึ้นเพื่อประเมินระดับความรู้และปัจจัยที่ส่งผลต่อระดับความรู้เกี่ยวกับการดูแลแบบประคับประคองของผู้ป่วยในเขตเมือง</p> <p>รูปแบบวิจัย: การศึกษาแบบภาคตัดขวาง</p> <p>วัสดุและวิธีการ: กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ที่มารับบริการทางการแพทย์ที่คลินิกเวชศาสตร์ครอบครัว โรงพยาบาลวชิรพยาบาล ในช่วงเดือนเมษายน - เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2567 จำนวน 191 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามประกอบด้วย ข้อมูลส่วนบุคคล และแบบประเมินความรู้ต่อการดูแลแบบประคับประคอง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อระดับความรู้เกี่ยวกับการดูแลแบบประคับประคอง โดยวิเคราะห์ความสัมพันธ์แบบพหุตัวแปร ใช้การวิเคราะห์การถดถอยเชิงเส้นพหุคูณ แสดงค่าความสัมพันธ์ในรูปค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เชิงเส้น และช่วงความเชื่อมั่นที่ร้อยละ 95 โดยกำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> <p>ผลการศึกษา: กลุ่มตัวอย่างมีอายุเฉลี่ย 49.57  16.24 ปี ส่วนมากมีคะแนนความรู้อยู่ในระดับปานกลาง คิดเป็นร้อยละ 39.8 โดยพบว่า อายุ สถานภาพสมรส การรับรู้ข้อมูล และประสบการณ์เกี่ยวกับการดูแลแบบประคับประคอง ส่งผลต่อระดับความรู้เกี่ยวกับการดูแลแบบประคับประคอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p>สรุป: ควรมีการให้ความรู้เกี่ยวกับการดูแลแบบประคับประคองให้ทั่วถึงมากขึ้น เพื่อให้ผู้ป่วยและประชาชนมีความเข้าใจที่ถูกต้อง เพิ่มการเข้าถึงการดูแลแบบประคับประคอง และเป็นการเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัว</p> <p>คำสำคัญ: การดูแลแบบประคับประคอง ความรู้ เวชศาสตร์ครอบครัว เขตเมือง</p> สิริยากร รอดปรีชา ศิวรัตน์ รัตน์ธนเสถียร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-31 2025-10-31 8 5 ผลของโปรแกรมการจัดการตนเองต่อความร่วมมือในการใช้ยาของผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/288812 <p><strong>ที่มา:</strong> โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังเป็นหนึ่งในโรคระบบทางเดินหายใจที่พบบ่อยในปัจจุบัน ซึ่งก่อให้เกิดการเจ็บป่วยเรื้อรังที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัว การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการจัดการตนเองต่อความร่วมมือในการใช้ยาของผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้องรัง</p> <p><strong>แบบวิจัย: </strong>การวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่ม โดยมีการประเมินก่อนและหลังทดลอง</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการ: </strong>ผู้ป่วยที่มารับบริการแผนกผู้ป่วยนอก คลินิกโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง จำนวน 60 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 30 คน และกลุ่มควบคุม 30 คน คัดเลือกด้วยการสุ่มอย่างง่าย กลุ่มละ 30 คน โดยใช้แบบสอบถามข้อมูลทั่วไปและข้อมูลสุขภาพ แบบสอบถามความร่วมมือในการใช้ยา และแบบสอบถามการจัดการตนเอง มีค่าความตรงเชิงเนื้อหา 0.95, 0.90 และ 0.92 ตามลำดับ มีค่าความเที่ยงสัมประสิทธิ์อัลฟ่าของครอนบาค เท่ากับ 0.88 และ 0.90 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลหาค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานโดยใช้ สถิติ Paired t-test และสถิติ Independent t-test</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยคะแนนความร่วมมือในการใช้ยาและคะแนนการจัดการตนเอง หลังทดลองสูงกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมการจัดการตนเองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t = 34.19, p &lt; 0.05) และ (t = 35.85, p &lt; 0.05) ตามลำดับ นอกจากนี้ภายหลังกลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการจัดการตนเอง ค่าเฉลี่ยคะแนนความร่วมมือในการใช้ยาและคะแนนการจัดการตนเองสูงกว่ากลุ่มควบคุมที่ได้รับการพยาบาลปกติ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t = 26.41, p &lt; 0.05) และ (t = 36.38, p &lt; 0.05) </p> <p><strong>สรุป: </strong>โปรแกรมการจัดการตนเอง สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของความร่วมมือในการใช้ยาและการจัดการตนเองของผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้องรังได้ ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัวที่ดีขึ้นต่อไปในอนาคต</p> <p><strong>คำสำคัญ: </strong>การจัดการตนเอง ความร่วมมือในการใช้ยา โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง</p> บุษรา ดอกบัว ดุษฎี ดวงมณี วิวัฒน์ เหล่าชัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-31 2025-10-31 8 5 ปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจใช้บริการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือกในหน่วยบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิของประชาชน เขตสุขภาพที่ 5 กระทรวงสาธารณสุข https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/293115 <p><strong>ที่มา:</strong> การใช้แพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือกเป็นตัวชี้วัดในระบบสาธารณสุขปฐมภูมิ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับการตัดสินใจใช้บริการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก ตรวจสอบความสอดคล้องของโมเดลปัจจัยเชิงสาเหตุกับข้อมูลเชิงประจักษ์ วิเคราะห์เส้นทางอิทธิพลของปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของประชาชน และหาแนวทางการเข้าถึงบริการในหน่วยบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิ วิจัยแบบผสานวิธี (mixed method research)</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการ: </strong>วิจัยเชิงปริมาณเก็บข้อมูลจากประชาชนที่มาใช้บริการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือกที่หน่วยบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิ จำนวน 400 คน วิธีสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือ คือ แบบสอบถาม วิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลจากผู้บริหาร ผู้ปฏิบัติงานและผู้รับบริการ จำนวน 48 คน วิธีเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือ คือ แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง ด้วยโปรแกรมสำเร็จรูป</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> การตัดสินใจใช้บริการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือกของประชาชนอยู่ในระดับปานกลาง ( =3.48 S.D.=0.56) โมเดลปัจจัยเชิงสาเหตุสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ มีค่าดัชนี Chi-Square = 232.56 df = 166 Chi-Square/df = 1.40 CFI = 1.00 GFI = 0.95 AGFI = 0.97 RMSEA = 0.03 และ SRMR = 0.04 การรับรู้คุณภาพ ระบบบริการ การสนับสนุน และการเข้าถึงบริการ อธิบายความแปรปรวนการตัดสินใจใช้บริการแพทย์แผนไทยและทางเลือกได้ร้อยละ 60 (R<sup>2</sup> = 0.60) แนวทางการเข้าถึงบริการควรจัดสรรบุคลากรแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือกให้เพียงพอ ครอบคลุมทุกหน่วยงาน และมีบริการเชิงรุกนอกสถานที่เพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการของประชาชน</p> <p><strong>คำสำคัญ:</strong> การตัดสินใจใช้บริการ<sup>,</sup> แพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก<sup>,</sup> หน่วยบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิ<sup>,</sup> ประชาชน</p> ณฐา เมธาบุษยาธร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-31 2025-10-31 8 5 ภาวะซึมเศร้าของผู้สูงอายุหลังการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 : การศึกษาแบบตัดขวาง https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/280999 <p><strong>ที่มา:</strong> ภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุเป็นปัญหาสุขภาพจิตใจที่สำคัญ ทั้งช่วงก่อนและระหว่างการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หลังการประกาศสิ้นสุดของการระบาด ภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุลดลงหรือไม่ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความชุกและปัจจัยที่สัมพันธ์กับภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุเขตเมือง หลังสิ้นสุดการแพร่ระบาดของโรค</p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย:</strong> Cross-sectional study</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการ:</strong> ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวนทั้งหมด 275 คน ประเมินด้วยแบบวัดความเศร้าในผู้สูงอายุของไทย 30 ข้อ (TGDS-30) นำมาวิเคราะห์หาความชุกภาวะซึมเศร้า และหาปัจจัยที่สัมพันธ์กับภาวะซึมเศร้า ด้วยสถิติถดถอยโลจิสติก</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> พบความชุกของภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุร้อยละ 13.1 โดยพบปัจจัยที่สัมพันธ์ต่อการเกิดภาวะซึมเศร้า คือ สถานภาพแต่งงาน ระดับการศึกษาต่ำกว่าระดับมัธยมศึกษา การว่างงาน ความไม่เพียงพอรายได้ร่วมกับมีหนี้สิน การไม่มีผู้ดูแลและการมีโรคร่วม</p> <p><strong>สรุป:</strong> หลังการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อฯ ปัญหาภาวะซึมเศร้าผู้สูงอายุในเขตเมืองมีแนวโน้มดีขึ้น แต่ยังพบแนวโน้มความชุกมากขึ้นกว่าห้าปีก่อนการแพร่ระบาดถึง 1.79 เท่า หากสามารถลดหรือขจัดปัจจัยที่สัมพันธ์กับภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุ อาจช่วยลดปัญหาภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุลง</p> <p><strong>คำสำคัญ:</strong> ภาวะซึมเศร้า หลังการแพร่ระบาดโรค เขตเมือง ผู้สูงอายุ</p> อริศรา ศิริวิริยะกุล นันทวัฒน์ เลิศเจริญยงค์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-31 2025-10-31 8 5 การศึกษาเปรียบเทียบผลกระทบจากการสวมหน้ากากอนามัยต่อการสื่อสารในมุมมองของผู้ป่วยกลุ่มผู้ใหญ่กับกลุ่มผู้สูงอายุ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/281453 <p><strong>ที่มา:</strong> เพื่อศึกษาผลกระทบจากการสวมหน้ากากอนามัยต่อการสื่อสาร รวมถึงทัศนคติต่อการสวมหน้ากาก ในมุมมองของผู้ป่วยกลุ่มผู้ใหญ่เปรียบเทียบกับกลุ่มผู้สูงอายุที่มารับบริการ ณ กลุ่มคลินิกเวชศาสตร์ครอบครัว ภปร 15 โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย</p> <p><strong>แบบวิจัย:</strong> Cross-sectional study</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการ: </strong>ผู้วิจัยทำการศึกษาโดยใช้แบบสอบถามในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไปที่มารับบริการ ณ กลุ่มคลินิกเวชศาสตร์ครอบครัว ภปร 15 โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม พ.ศ. 2567 จากนั้นวิเคราะห์ข้อมูลเปรียบเทียบระหว่างผู้ป่วยกลุ่มผู้ใหญ่กับกลุ่มผู้สูงอายุ</p> <p><strong>ผลการศึกษา: </strong>ผู้เข้าร่วมงานวิจัยทั้งหมด 404 คน แบ่งเป็นกลุ่มผู้ใหญ่กับกลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มละ 202 คน พบว่าภาพรวมระดับผลกระทบจากการสวมหน้ากากทั้งด้านการพูดและการฟังของทั้งสองกลุ่มมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; 0.001, p = 0.003 ตามลำดับ) ส่วนสำหรับภาพรวมการสนทนา พบว่าระดับความรู้สึกถูกปิดกั้น ความเห็นอกเห็นใจ ความมั่นใจในการรักษา และความสัมพันธ์กับแพทย์ ไม่แตกต่างกัน (p = 0.053, p = 0.242, p = 0.213, p = 0.085 ตามลำดับ) ยกเว้น ความเว้นระยะห่างของแพทย์ต่อผู้ป่วย (p = 0.001)</p> <p><strong>สรุป: </strong>การศึกษาผลกระทบจากการสวมหน้ากากอนามัยต่อการสื่อสาร พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเมื่อเปรียบเทียบระหว่างมุมมองของผู้ป่วยกลุ่มผู้ใหญ่และกลุ่มผู้สูงอายุ ทั้งในบทบาทการเป็นผู้ส่งสารและผู้รับสาร นอกจากนี้ ทัศนคติต่อการเลือกสวมหน้ากากในสถานการณ์ต่าง ๆ ของประชากรทั้งสองกลุ่มก็มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเช่นเดียวกัน ยกเว้นกรณีการเลือกสวมหน้ากากในโรงพยาบาล</p> <p><strong>คำสำคัญ: </strong>การสื่อสาร การสื่อสารระหว่างแพทย์และผู้ป่วย การสวมหน้ากาก</p> วริศรา ทรงเงินดี นวสิริ สิริประเสริฐ สุทธ์ศรี กอแก้ววิเชียร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-31 2025-10-31 8 5 ปัจจัยที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตในขณะรับการรักษาภายในโรงพยาบาลสนามและหอผู้ป่วยโรงพยาบาลราชบุรีของบุคคลที่ติดเชื้อโคโรนา 2019 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/259384 <p><strong>ที่มา:</strong> Covid-19 จัดเป็นโรคติดเชื้ออันตราย ต้องมีการแยกกักตัวหากติดเชื้อ งานวิจัยนี้จึงตระหนักและเห็นความสำคัญของคุณภาพชีวิตของผู้ติดเชื้อที่ต้องถูกแยกกักตัว โดยนำข้อมูลที่ได้จากประสบการณ์ตรงของผู้ติดเชื้อ เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตและค้นหาความต้องการในระหว่างเข้ารับการรักษาภายในโรงพยาบาลสนามและหอผู้ป่วยบุคคลที่ติดเชื้อ Covid-19</p> <p><strong>แบบวิจัย: </strong>การศึกษาวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาพตัดขวาง</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการ:</strong> ศึกษาในผู้ป่วยที่รับการรักษาภายในโรงพยาบาลสนามและหอผู้ป่วยบุคคลที่มีติดเชื้อ Covid-19 โรงพยาบาลราชบุรี ระหว่างเดือน ตุลาคม - ธันวาคม พ.ศ. 2564 โดยใช้แบบสอบถามชี้วัดคุณภาพชีวิตขององค์การอนามัยโลกชุดย่อฉบับภาษาไทย (WHO QOL- BREF-THAI) และ แบบประเมินความเครียดของกรมสุขภาพจิต (ST-5) วิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตด้วยการวิเคราะห์ Multiple linear regression โดยใช้โปรแกรม SPSS version 21</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> พบปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 3 อันดับแรก ได้แก่ การรับยากดภูมิคุ้มกัน, เพศหญิง และอาชีพที่ไม่ได้รับเงินเดือนประจำ และปัจจัยที่ส่งผลต่อความเครียดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 3 อันดับแรก ได้แก่ การรับยากดภูมิคุ้มกัน, โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง และโรคตับเรื้อรัง ผลวิเคราะห์ correlation พบว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ เพศหญิง (OR: 1.486, p &lt; 0.005) การไม่ได้รับวัคซีนป้องกัน Covid-19 (OR: 5.236, p &lt; 0.005) และ โรคเบาหวาน (OR: 8.629, p &lt; 0.005) ส่วนปัจจัยที่ส่งผลต่อความเครียดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ โรคประจำตัว (OR: 2.435, p &lt; 0.005) ส่วนลำดับความต้องการของผู้ป่วยระหว่างรักษา 3 ลำดับแรกที่ผู้ป่วยให้ความสำคัญและต้องการให้พัฒนาปรับปรุง ได้แก่ ด้านที่พัก/ห้องพัก ด้านความปลอดภัย และด้านอาหารและน้ำดื่ม ตามลำดับ</p> <p><strong>สรุป: </strong>ปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยติดเชื้อ Covid-19 ที่เข้ารับการรักษาภายในโรงพยาบาลสนามและหอผู้ป่วยบุคคลที่มีติดเชื้อ Covid-19 โรงพยาบาลราชบุรี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ เพศหญิง การไม่ได้รับวัคซีนป้องกัน Covid-19 และ โรคเบาหวาน ส่วนปัจจัยที่ส่งผลต่อความเครียดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ โรคประจำตัว</p> <p><strong>คำสำคัญ: </strong>ไวรัสโคโรนา 2019 คุณภาพชีวิต ความเครียด โรงพยาบาลสนาม หอผู้ป่วยโรคติดเชื้อ</p> คมกริช อัศวภาดา สุดารัตน์ วิจิตรเศรษฐกุล นิดาพร อัศวภาดา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-31 2025-10-31 8 5 วิสัยทัศน์ “สังคมไร้วัย (Age-Neutral Society)” และการปรับบทบาทแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวเพื่อพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิในยุคสมัยแห่งความท้าทายทางประชากร https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/295092 <p>ประเทศไทยกำลังเผชิญกับพลวัตทางประชากรที่ซับซ้อนและถือเป็น "ระเบิดเวลา" ลูกใหญ่&nbsp; วิกฤตการณ์หลักคืออัตราการเกิดที่ลดลงอย่างรุนแรง ส่งผลให้จำนวนผู้เสียชีวิตมากกว่าผู้เกิดใหม่หลายปีติดต่อกัน&nbsp; การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างนี้คาดการณ์ว่าประชากรวัยแรงงาน (อายุ 15-64 ปี) จะลดลงจาก 46 ล้านคนเหลือเพียง 14 ล้านคน ขณะที่ประชากรสูงอายุ (65 ปีขึ้นไป) จะเพิ่มจาก 8 ล้านคนเป็น 18 ล้านคน ภายในปี พ.ศ. 2626 การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้ภาระพึ่งพิงวัยสูงอายุเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก และผลักดันให้งบประมาณด้านสุขภาพเพิ่มขึ้นมหาศาล ในขณะที่งบประมาณรัฐมีจำกัด&nbsp; เพื่อให้สังคมรอดพ้นจากวิกฤตนี้ นโยบายเชิงยุทธศาสตร์จึงต้องมุ่งเน้นการเสริมพลังให้ผู้สูงอายุสามารถดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี มีส่วนร่วม และมีผลิตภาพ (Active/Productivity)</p> สตางค์ ศุภผล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-31 2025-10-31 8 5