วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM <p style="color: #000000; font-family: &amp;quot; noto sans&amp;quot;,arial,helvetica,sans-serif; font-size: 14px; font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: 400; letter-spacing: normal; orphans: 2; text-align: left; text-decoration: none; text-indent: 0px; text-transform: none; -webkit-text-stroke-width: 0px; white-space: normal; word-spacing: 0px;"><strong><span lang="TH"><span style="background-color: #ffffff;">Journal of Primary Care and Family Medicine (PCFM)</span></span></strong></p> <p style="color: #000000; font-family: &amp;quot; noto sans&amp;quot;,arial,helvetica,sans-serif; font-size: 14px; font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: 400; letter-spacing: normal; orphans: 2; text-align: left; text-decoration: none; text-indent: 0px; text-transform: none; -webkit-text-stroke-width: 0px; white-space: normal; word-spacing: 0px;"><strong><span lang="TH"><span style="background-color: #ffffff;">วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว</span></span></strong></p> <p style="color: #000000; font-family: &amp;quot; noto sans&amp;quot;,arial,helvetica,sans-serif; font-size: 14px; font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: 400; letter-spacing: normal; orphans: 2; text-align: left; text-decoration: none; text-indent: 0px; text-transform: none; -webkit-text-stroke-width: 0px; white-space: normal; word-spacing: 0px;"><span lang="TH">วารสารเพื่อรวบรวมความรู้ทางวิชาการ และงานวิจัยต่าง ๆ&nbsp;&nbsp;รวมถึงเป็นสื่อกลางในการสื่อสารระหว่างเครือข่าย นำไปสู่การพัฒนาทั้งในด้านคุณภาพการบริการและวิชาการ&nbsp;&nbsp;รวมทั้งเป็นการเสริมสร้างคุณค่าและเอกลักษณ์ของบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัวต่อบุคลากรสาธารณสุข</span>&nbsp;</p> <p style="color: #000000; font-family: &amp;quot; noto sans&amp;quot;,arial,helvetica,sans-serif; font-size: 14px; font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: 400; letter-spacing: normal; orphans: 2; text-align: left; text-decoration: none; text-indent: 0px; text-transform: none; -webkit-text-stroke-width: 0px; white-space: normal; word-spacing: 0px;"><span lang="TH">และเผยแพร่ผลงานวิชาการและงานวิจัยทางด้านเวชศาสตร์ครอบครัวและการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิ เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างเครือข่ายและองค์กรที่ปฏิบัติงานทางด้านเวชศาสตร์ครอบครัวและการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิ กระตุ้นให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้และงานวิจัยงานวิชาการทางด้านเวชศาสตร์ครอบครัว และระบบริการปฐมภูมิ</span></p> Royal College of Family Physicians of Thailand and GP/FP Association of Thailand th-TH วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว 2651-0553 <p>เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสาร PCFM ถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรง ซึ่งกองบรรณาธิการวารสารไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยหรือร่วมรับผิดชอบใด ๆ</p> <p>บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ลงในวารสาร PCFM ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสาร PCFM หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือเพื่อกระทำการใด ๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากวารสาร PCFM ก่อนเท่านั้น</p> การพยาบาลผู้คลอดที่ติดเชื้อซิฟิลิสและติดสารเสพติด : กรณีศึกษา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/274752 <p><strong>ที่มา </strong>&nbsp;การติดเชื้อซิฟิลิสในหญิงตั้งครรภ์ มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น หญิงตั้งครรภ์ที่เป็นโรคซิฟิลิส มีความเสี่ยงที่จะถ่ายทอดเชื้อไปสู่ทารกในครรภ์ &nbsp;เช่นการแท้ง การคลอดก่อนกำหนด ทารกเสียชีวิตในครรภ์ ทารกแรกเกิดพิการจากโรคซิฟิลิส&nbsp; &nbsp;การแพร่กระจายเชื้อสู่คู่สมรส คู่เพศสัมพันธ์ &nbsp;สูญเสียค่าใช้จ่ายจากการรักษา ส่งผลต่อครอบครัว ต่อประเทศชาติ &nbsp;ในการดูแลโรคซิฟิลิสขณะตั้งครรภ์ต้องอาศัยความร่วมมือจากภาคส่วนต่างๆในการดำเนินงานทั้งด้านการรณรงค์ให้ความรู้&nbsp; ระบบการบริการงานอนามัยแมและเด็ก ระบบการเฝ้าระวังและติดตาม ควบคุมโรคซิฟิลิสในหญิงตั้งครรภ์ &nbsp;&nbsp;</p> <p><strong>รายงานกรณีศึกษา</strong> มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการพยาบาลผู้คลอดที่ติดเชื้อซิฟิลิสและติดสารเสพติด : กรณีศึกษา 2 ราย เป็นหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อซิฟิลิสและติดสารเสพติด&nbsp; ปกปิดข้อมูลการติดเชื้อ &nbsp;ไม่ได้รับการรักษา &nbsp;ขาดการฝากครรภ์ต่อเนื่อง จนกระทั่งคลอด ทารกมีภาวะติดเชื้อซิฟิลิสแต่กำเนิด &nbsp;&nbsp;นำกระบวนการพยาบาล การประเมินภาวะสุขภาพมาใช้ ทำให้มารดา ทารก ได้รับการดูแลครอบคลุมทั้งร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม ในระยะก่อนคลอด คลอด หลังคลอด ตั้งแต่แรกรับจนจำหน่ายกลับบ้าน และส่งต่อในหน่วยงานอื่นเพื่อการดูแลต่อไป</p> <p><strong>สรุป</strong>&nbsp; โรคซิฟิลิสและการติดสารเสพติดในหญิงตั้งครรภ์ สามารถให้การดูแลด้วยระบบบริการที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้เกี่ยวข้อง เพิ่มความตระหนักรู้ในการป้องกัน&nbsp; การเข้าถึงบริการเพื่อให้ได้รับบริการที่ต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่งานฝากครรภ์&nbsp; ห้องคลอด และหลังคลอด ทั้งด้านให้ความรู้&nbsp; การบริการงานอนามัยแมและเด็ก การเฝ้าระวังและติดตามควบคุมโรคซิฟิลิสในหญิงตั้งครรภ์ &nbsp;&nbsp;</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong><strong>:&nbsp; </strong>ซิฟิลิสในหญิงตั้งครรภ์ &nbsp;ซิฟิลิสแต่กำเนิด&nbsp;&nbsp; หญิงตั้งครรภ์ติดสารเสพติด</p> สะอาด พงษ์สุวรรณ Copyright (c) 2024 วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-27 2024-06-27 7 2 173 182 ทัศนคติ ความพึงพอใจ ความเครียด ความมั่นใจ องค์ความรู้ ทักษะ และการศึกษาด้านการดูแลประคับประคองของผู้ให้การดูแลด้านประคับประคองในโรงพยาบาลตติยภูมิของประเทศไทย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/275013 <p><strong>ที่มาและวัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>การดูแลแบบประคับประคอง (Palliative care, PC) ในประเทศไทยเป็นส่วนหนึ่งของระบบการดูแลสุขภาพ และแผนการพัฒนาระบบสุขภาพ ที่ผ่านมาทีม PC ต้องเผชิญกับความท้าทายมากมายในการปฏิบัติงาน องค์ความรู้ ทัศนะคติ ความพึงพอใจ และทักษะ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้ปฏิบัติงานยังคงอยู่ในระบบสุขภาพ ผู้วิจัยประสงค์ประเมินด้านเหล่านี้ของผู้ปฏิบัติงาน PC&nbsp; ในโรงพยาบาลระดับตติยภูมิทั่วประเทศไทย</p> <p><strong>แบบวิจัย</strong><strong>: </strong>การสำรวจภาคตัดขวาง (Cross-sectional survey)</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการ: </strong>ผู้วิจัยส่งแบบสอบถามไปยังหน่วยบริการ PC 120 โรงพยาบาลตติยภูมิ แบบสอบถามประกอบด้วยองค์ความรู้ ทัศนคติ ความพึงพอใจ ความเครียด ความก้าวหน้าในวิชาชีพ ความมั่นใจ และทักษะปฏิบัติงาน</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>อัตราตอบกลับ 79.38%(381/480) เป็นพยาบาล 258 แพทย์ 110 ท่าน ≈40% ของแพทย์ผ่านการอบรม PC ระยะสั้น ภาพรวมคะแนนเฉลี่ยด้านทัศนคติ ความพึงพอใจ และความมั่นใจในการปฏิบัติงานของทุกวิชาชีพมากกว่า 3/5 การศึกษาด้าน PC และประสบการณ์ทำงาน PC มีความสัมพันธ์กับระดับทัศนคติ P value = 0.012, 0.003 ตามลำดับคะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจน้อยที่สุดคือ อัตรากำลังบุคลากร PC (2.81±0.97) และโอกาสก้าวหน้าในวิชาชีพ (2.80±1.03)</p> <p><strong>สรุป: </strong>ทัศนคติ องค์ความรู้ และทักษะของผู้ปฏิบัติงาน PC ในโรงพยาบาลตติยภูมิอยู่ในเกณฑ์ดี ยังขาดแคลนอัตรากำลัง การอบรม PC และความก้าวหน้าในวิชาชีพ สิ่งเหล่านี้ควรได้รับการสนับสนุนจาก ภาครัฐ กระทรวงสาธารณสุข และผู้กำหนดนโยบาย</p> อรรถกร รักษาสัตย์ ศรีเวีย ไพโรจน์กุล Copyright (c) 2024 วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-27 2024-06-27 7 2 85 93 การเปรียบเทียบองค์ความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติในการทำแผนดูแลล่วงหน้าของบุคลาการทางการแพทย์ที่ดูแลประคับประคอง และบุคลากรโรคไตที่ผ่านการอบรมการวางแผนดูแลล่วงหน้าใน 12 เขตบริการสุขภาพของประเทศไทย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/275027 <p><strong>ที่มาและวัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>การวางแผนดูแลล่วงหน้า(ACP) คือ กระบวนการสนับสนุนผู้ป่วยและครอบครัวให้เข้าใจ และเลือกแผนการรักษาในอนาคตให้สอดคล้องกับเป้าหมายและความต้องการ องค์ความรู้ ทัศนคติ และการฝึกอบรม เป็นสิ่งสำคัญในการทำ ACP ผู้แต่งต้องการประเมินองค์ความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติ(KAP)ต่อ ACP ของบุคลากรประคับประคอง(PC)และโรคไตวายเรื้อรัง ก่อนและหลังการอบรม modified Serious Illness Conversation(mSICG)<strong>แบบวิจัย</strong><strong>: </strong>วิจัยกึ่งทดลองทดสอบวัดผลก่อนหลัง(pre-posttest quasi-experimental design)</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการ: </strong>การศึกษาทำใน 12 เขตสุขภาพทั่วประเทศ วัดคะแนน KAP ก่อนและหลังการอบรมทันที การอบรมประกอบด้วย การบรรยาย ACP การคิดสะท้อนจากวิดีโอ และการปฏิบัติบทบาทสมมติ</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>มีผู้เข้าร่วม 483 ท่าน 50% เป็นพยาบาล PC 30% เป็นพยาบาลโรคไต 10.8% เป็นแพทย์ PC และ 2.5% เป็นแพทย์โรคไต องค์ความรู้และทัศนคติของแต่ละวิชาชีพอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน คะแนนการปฏิบัติบุคลากร PC สูงกว่าบุคลากรโรคไต ภายหลังการอบรม องค์ความรู้ของพยาบาลโรคไต ทัศนคติพยาบาลโรคไต และ PC สูงขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ P&lt;0.001 องค์ความรู้และทัศนคติของแพทย์ PC สูงขึ้นอย่างไม่มีนัยยะสำคัญ</p> <p><strong>สรุป: </strong>KAP ของบุคลากร PC สูงกว่าบุคลากรโรคไต องค์ความรู้และทัศนคติพัฒนาได้จากการอบรม mSICG-ACP เป็นหนึ่งในการอบรม ACP ที่มีประสิทธิภาพและควรขยายผลในบุคลากรโรคไตและโรครุนแรงอื่นๆ</p> อรรถกร รักษาสัตย์ ศรีเวียง ไพโรจน์กุล Copyright (c) 2024 วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-27 2024-06-27 7 2 94 100 ผลของการสอนตรวจเต้านมด้วยตนเองโดยวิดีโอสาธิตเปรียบเทียบกับการสอนโดยบุคคล แผนกผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/266498 <p><strong>ที่มา</strong><strong>:</strong> มะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดและมีอัตราการเสียชีวิตมากที่สุดในสตรีไทย จากคำแนะนำการคัดกรองมะเร็งเต้านมสำหรับประเทศไทยโดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ปี พ.ศ. 2555 แนะนำให้ผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไปทำการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมโดยการตรวจเต้านมด้วยตนเอง</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อเปรียบเทียบผลของการสอนตรวจเต้านมด้วยตนเองระหว่างการสอนโดยวิดีโอสาธิตเทียบกับการสอนโดยบุคคล</p> <p><strong>แบบวิจัย</strong><strong>:</strong> การศึกษาวิจัยแบบทดลองแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุม</p> <p><strong>วิธีการ</strong><strong>:</strong> ผู้เข้าร่วมวิจัยเป็นสตรีอายุระหว่าง 20-65 ปี ที่มารับบริการแผนกผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา ระหว่างกรกฎาคม พ.ศ. 2564 ถึง มิถุนายน พ.ศ. 2565 แบ่งผู้เข้าร่วมวิจัยจำนวน 40 คน เป็น 2 กลุ่มโดยวิธีการสุ่ม กลุ่มสอนโดยบุคคลได้รับการสอนตรวจเต้านมโดยบุคลากรทางการแพทย์ และกลุ่มวิดีโอสาธิตได้รับการสอนโดยชมวิดีโอสาธิตเรื่องการตรวจเต้านม ทั้งสองกลุ่มตอบคำถามประเมินความรู้ก่อนและหลังการอบรมโดยแบบวัดความรู้เกี่ยวกับการตรวจเต้านมด้วยตนเอง เก็บคะแนนการปฏิบัติด้านการตรวจเต้านมด้วยตนเองหลังการอบรมโดยแบบการประเมินการปฏิบัติการตรวจเต้านมด้วยตนเอง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ Chi-Square Independent t-test และPaired t-test</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> คะแนนเฉลี่ยของความรู้หลังการสอนในกลุ่มการสอนโดยบุคคลและวิดีโอสาธิตเท่ากับ 9.05(SD 0.83) และ 8.09(SD 1.07) ตามลำดับ คะแนนเฉลี่ยของความรู้หลังการสอนไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p = 0.623) คะแนนเฉลี่ยของการปฏิบัติหลังการสอนในกลุ่มการสอนโดยบุคคลและวิดีโอสาธิตเท่ากับ 8.15(SD 0.59) และ 7.75(SD 1.12) ตามลำดับ คะแนนเฉลี่ยของการปฏิบัติหลังการสอนไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p = 0.165)</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>:</strong> การสอนตรวจเต้านมด้วยตนเองโดยวิดีโอสาธิตมีประสิทธิภาพไม่แตกต่างจากการสอนโดยบุคคล ทั้งในด้านความรู้และการปฏิบัติ วิดีโอสาธิตในการสอนเรื่องการตรวจเต้านมด้วยตนเองสามารถนำมาใช้แทนการสอนโดยบุคคลได้ มีความสะดวกและใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า</p> พัศรุจ ดาโรจน์ จีรภา กาญจนาพงศ์กุล ชื่นฤทัย ยี่เขียน Copyright (c) 2024 วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-27 2024-06-27 7 2 101 111 การติดตามผลการรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 รายใหม่ จากการให้บริการคลินิกหมอครอบครัวเทียบกับการให้บริการที่ห้องตรวจผู้ป่วยนอก กลุ่มงานเวชกรรมสังคม โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/267954 <p><strong>ที่มาและวัตถุประสงค์:</strong> คลินิกหมอครอบครัว (primary care cluster; PCC) จัดตั้งขึ้น เพื่อลดปัญหาความแออัดและเพิ่มการเข้าถึงของประชาชน โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ได้เริ่มดำเนินการในปี 2560 การดูแลรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวานเป็นหนึ่งในภารกิจหลัก การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเทียบผลการรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 รายใหม่ ที่มารับการรักษาที่ PCC เทียบกับห้องตรวจผู้ป่วยนอก กลุ่มงานเวชกรรมสังคม (outpatient department; OPD) ซึ่งเป็นระบบบริการแบบเดิม</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการ</strong><strong>:</strong> เป็นการศึกษา retrospective cohort study เทียบระยะเวลาการควบคุมระดับน้ำตาลสะสมในเลือดได้ตามเป้า (hemoglobin A1C; HbA1C &lt; 7%)&nbsp; และระยะเวลาการเกิดภาวะน้ำตาลวิกฤต&nbsp; ในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 รายใหม่ ติดตาม 18 เดือน&nbsp; วิเคราะห์โดย survival analysis และใช้ Cox proportional hazard model ในการควบคุมตัวแปรที่มีอิทธิพลเพื่อเทียบผลการรักษาระหว่าง&nbsp; 2 ระบบบริการ</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> ผู้ป่วยเข้าการศึกษาทั้งหมด 560 ราย เป็นผู้ป่วย OPD 294 ราย และ PCC 266 ราย survival analysis พบผู้ป่วยครึ่งหนึ่งที่รักษาที่ PCC ใช้เวลา 513 วัน และผู้ป่วยครึ่งหนึ่งที่รักษาที่ OPD ใช้เวลา 505 วัน (median survival time) ในการได้ HbA1C ตามเป้า ซึ่งไม่แตกต่างกัน (P-value=0.789) เมื่อควบคุมตัวแปรที่มีอิทธิพลโดยใช้ Cox proportional hazard model พบว่าระหว่าง 2 ระบบบริการ ได้ HbA1C ตามเป้า ไม่แตกต่างกัน (adjusted HR=0.838, 95% CI=0.662–1.059) ด้านตัวแปรที่มีอิทธิพลพบว่าเพศชายเป็นปัจจัยที่ได้ HbA1C ตามเป้า ในขณะที่การดื่มสุรา การสูบบุหรี่ กลุ่มผู้ป่วยอ้วน ผู้ที่ขาดนัด 1 ครั้งขึ้นไปหรือหายไปจากการรักษา และ HbA1C เริ่มต้นที่สูงตั้งแต่ 11.0 % ขึ้นไป เป็นปัจจัยที่มีผลต่อ HbA1C ไม่ได้ตามเป้า ด้านการเกิดภาวะน้ำตาลวิกฤตพบ 6 ราย (ร้อยละ 1.07) จึงไม่สามารถวิเคราะห์ survival analysis ได้</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>:</strong> ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 รายใหม่ที่รับการรักษาที่ PCC มีประสิทธิผลด้านการรักษาไม่แตกต่างจากการรักษาที่ OPD ดังนั้น PCC จึงเป็นหนึ่งในระบบบริการที่มีคุณภาพเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ง่าย และควรสนับสนุนให้เป็นระบบสุขภาพที่ยั่งยืนต่อไป</p> รัชดาภรณ์ ภาพวิจิตรศิลป์ สิริมา มงคลสัมฤทธิ์ Copyright (c) 2024 วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-27 2024-06-27 7 2 112 128 การศึกษาแบบสุ่มเปรียบเทียบระดับน้ำตาลสะสมของการดูแลโดยยึดผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางผ่านระบบการแพทย์ทางไกลกับการรักษาตามมาตรฐานปกติในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่สองที่ควบคุมไม่ได้ ในหน่วยบริการปฐมภูมิ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/270601 <p><strong>ที่มาและวัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่พบบ่อยในเวชปฏิบัติปฐมภูมิ หลังการระบาดของโควิด 19 ประเทศไทยมีการนำระบบการแพทย์ทางไกลมาใช้ในการดูแลผู้ป่วยเบาหวานในหน่วยบริการปฐมภูมิเพื่อเพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงบริการของผู้ป่วยและลดความแออัด อย่างไรก็ตามการใช้การแพทย์ทางไกลควบคู่กับการคงหลักการเวชศาสตร์ครอบครัวไว้ยังมีความท้าทาย การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลของการควบคุมระดับน้ำตาลสะสมโดยประยุกต์ใช้หลักการดูแลโดยยึดผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางผ่านบริการการแพทย์ทางไกลกับการดูแลแบบปกติ</p> <p><strong>แบบวิจัย</strong><strong>:</strong> การศึกษาทดลองแบบสุ่มเปรียบเทียบ</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มารับบริการที่หน่วยบริการปฐมภูมิโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลโป่งแค ในระหว่าง 1 สิงหาคม พ.ศ. 2565- 31 มกราคม พ.ศ.2566 ที่มีระดับน้ำตาลสะสม (HbA1c) ในช่วง 7-9 % จำนวน 67 ราย แบ่งกลุ่มตัวอย่างโดยการสุ่มอย่างง่ายเป็นกลุ่มศึกษาได้รับบริการผ่านการแพทย์ทางไกลจำนวน 34 ราย และกลุ่มควบคุมได้รับบริการตามมาตรฐานปกติจำนวน 33 ราย ตรวจระดับน้ำตาลสะสมที่ 24 สัปดาห์หลังการศึกษา ผลทางห้องปฏิบัติการอื่นๆ และเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติ Independent t-test, Pair t-test</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> กลุ่มตัวอย่างทั้งสองกลุ่มมีลักษณะพื้นฐานไม่แตกต่างกัน ระดับน้ำตาลสะสมเฉลี่ยก่อนการศึกษา 7.63<u>+</u>0.49% และ7.73<u>+</u>0.49% (p 0.419)ในกลุ่มศึกษาและกลุ่มควบคุมตามลำดับ ระดับน้ำตาลสะสมที่ 24 สัปดาห์ของกลุ่มศึกษาและกลุ่มควบคุมมีค่าลดลงโดย มีค่า7.24<u>+</u>0.68% และ 7.61<u>+</u>1.24% (p 0.147)ตามลำดับ เมื่อเทียบระดับน้ำตาลสะสมในกลุ่มควบคุมก่อนการศึกษาและที่24 สัปดาห์พบว่ามีค่าลดลง -0.11<u>+</u>1.26% (p 0.632) ส่วนกลุ่มศึกษามีระดับน้ำตาลสะสมก่อนการศึกษาและที่ 24 สัปดาห์ลดลง -0.38<u>+</u>0.68% ( p value 0.003) มีจำนวนผู้ที่คุมน้ำตาลสะสมได้น้อยกว่า 7 ที่ 24 สัปดาห์จำนวน 34.37%ในกลุ่มศึกษาและ 35.48%ในกลุ่มควบคุม และไม่พบเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ทั้งสองกลุ่ม</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>:</strong> การบูรณาการวิธีการดูแลโดยยึดผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางในผู้ป่วยเบาหวานผ่านบริการการแพทย์ทางไกลในบริบทการดูแลปฐมภูมิ สามารถลดระดับน้ำตาลสะสมและปลอดภัยไม่แตกต่างจากการรักษามาตรฐาน</p> ลลิต์ภัทร ถิรธันยบูรณ์ Copyright (c) 2024 วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-27 2024-06-27 7 2 129 141 การศึกษาเปรียบเทียบระดับน้ำตาลในเลือดไขมันในเลือดและภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานระหว่างผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ได้รับการดูแลรักษาที่ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลและโรงพยาบาลเสนา อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/274074 <p><strong>ที่มา </strong><strong>:</strong>ผู้ป่วยโรคเบาหวานมีแนวโน้มสูงขึ้นเกิดปัญหาความแออัดในโรงพยาบาล การรักษาที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลจึงมีความสำคัญในการลดปัญหาแออัด เพื่อการพัฒนาคุณภาพการดูแลผู้ป่วยการศึกษานี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบระดับน้ำตาลไขมันในเลือดและภาวะแทรกซ้อนระหว่างผู้ป่วยโรคเบาหวานได้รับการดูแลโดยทีมสหสาขาวิชาชีพที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลและดูแลโดยแพทย์ที่โรงพยาบาล</p> <p><strong>วัสดุ</strong><strong>: </strong>วิจัยเชิงปริมาณเปรียบเทียบระดับน้ำตาลสะสมในเลือด (HbA1c), ระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร 8 ชั่วโมง (Fasting Blood Sugar), ระดับไขมัน Triglyceride, ระดับไขมัน LDL-C และการเกิดภาวะแทรกซ้อนแบบเฉียบพลัน</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>ระดับน้ำตาลสะสมในเลือด (HbA1c) ระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร 8 ชั่วโมง (FBS) ระดับไขมัน Triglyceride ระดับไขมัน LDL-C และภาวะแทรกซ้อนแบบเฉียบพลัน ไม่มีความแตกต่างกันโดยมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยมีค่า mean difference เท่ากับ 0.00% (95%CI: -0.17, 0.17), -2.87 mg/dl (95%CI: -8.95, 3.21), 0.23 mg/dl (95%CI: -12.72, 13.18) และ -5.34 mg/dl (-10.76, 0.07)</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>: </strong>ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ได้รับการดูแลโดยทีมสหสาขาวิชาชีพที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลไม่แตกต่างกับผู้ป่วยที่ได้รับการดูแลโดยแพทย์ที่โรงพยาบาลเสนา ดังนั้นสามารถเพิ่มช่องทางในการกระจายผู้ป่วยเพื่อลดความแออัดในโรงพยาบาลและเพิ่มความสะดวกในการเดินทาง</p> พลอยพิศุทธ์ นิยมพลอย ธัญญรัตน์ อโนทัยสินทวี บังอร การวัฒนี Copyright (c) 2024 วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-27 2024-06-27 7 2 142 149 ความชุกและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพการนอนหลับที่ไม่ดีของผู้สูงอายุในเขตเมือง โรงพยาบาลวชิรพยาบาล https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/267301 <p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> ปัจจุบันทั่วทั้งโลกกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ รวมถึงประเทศไทยที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ.2565 โดยมีจำนวนประชากรที่มีอายุมากกว่า 60 ปี สูงถึงร้อยละ 20 โดยหนึ่งในกลุ่มอาการที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ คือ ภาวะนอนไม่หลับ ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพทางกาย และทางจิตใจ การคัดกรอง การส่งเสริม การป้องกัน และการรักษาปัญหาคุณภาพการนอนหลับไม่ดีของผู้สูงอายุ จึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> ศึกษาหาความชุกและปัจจัยที่มีผลต่อคุณภาพการนอนหลับที่ไม่ดีของผู้สูงอายุในเขตเมือง โรงพยาบาลวชิรพยาบาล</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> การศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบตัดขวาง เก็บข้อมูลกลุ่มประชากรผู้ป่วยสูงอายุอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ที่เข้ามารับบริการในคลินิกเวชศาสตร์ครอบครัว และหน่วยปฐมภูมิเขตเมือง โรงพยาบาลวชิรพยาบาล ในเดือนธันวาคม 2565 - กุมภาพันธ์ 2566 จำนวน 287 คน ใช้แบบสอบถาม ประกอบด้วย ข้อมูลพื้นฐาน ข้อมูลด้านสุขภาพ และแบบประเมิน Thai-Pittburgh Sleep Quality Index (Thai-PSQI) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยกับคุณภาพการนอนหลับที่ไม่ดี โดยใช้สถิติทดสอบไคสแควร์&nbsp;หรือการทดสอบของฟิชเชอร์ตามความเหมาะสมของข้อมูล และวิเคราะห์ความสัมพันธ์แบบพหุตัวแปร ใช้การวิเคราะห์ความถดถอยพหุโลจิสติก แสดงค่าขนาดความสัมพันธ์ในรูปแบบ Odds Ratio (OR)&nbsp;และช่วงความเชื่อมั่นที่ร้อยละ 95 (95%&nbsp;CI) โดยกำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ&nbsp;0.05</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>กลุ่มตัวอย่างมีอายุเฉลี่ย 68.64 ± 7.23 ปี ความชุกของคุณภาพการนอนหลับที่ไม่ดีคิดเป็นร้อยละ 49.8 โดยมีค่ามัธยฐานของ Thai-PSQI เท่ากับ 5 ผู้สูงอายุที่มีการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนภายใน 6 ชั่วโมงก่อนเข้านอนมีโอกาสที่มีคุณภาพการนอนหลับที่ไม่ดี (Adjusted OR = 4.19, 95%CI: 1.72 - 10.26, p-value = 0.002) และผู้สูงอายุที่มีภาวะเครียดมีโอกาสที่มีคุณภาพการนอนหลับที่ไม่ดี (Adjusted OR = 3.30, 95%CI: 1.77 - 6.15, p-value &lt;0.001)</p> <p><strong>สรุปผล</strong><strong>: </strong>ผู้สูงอายุมีคุณภาพการนอนหลับที่ไม่ดีจำนวนมาก บุคลากรทางสาธารณสุขควรมีการคัดกรองภาวะการนอนไม่หลับในผู้สูงอายุ โดยมุ่งเน้นปัจจัยที่เกี่ยวกับการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน และปัญหาภาวะเครียด ซึ่งส่งผลต่อปัญหาการนอนหลับ รวมถึงให้การดูแลอย่างเหมาะสมเพื่อให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพการนอนหลับที่ดี</p> ณฐพันธุ์ ลิขิตกำจร ญาณิศา ศุภศิริสันต์ Copyright (c) 2024 วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-27 2024-06-27 7 2 150 160 ประสบการณ์ของผู้ทำหน้าที่ตัดสินใจแทนต่อการถอดถอนเครื่องช่วยหายใจผู้ป่วยระยะสุดท้าย โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ: การศึกษาเชิงคุณภาพ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/268062 <p><strong>ที่มา</strong><strong>: </strong>การถอดถอนเครื่องช่วยหายใจ เป็นสิ่งที่เกิดมากขึ้นในระยะหลังเมื่อระบบการดูแลแบบประคับประคองได้รับการพัฒนามากขึ้น แต่ยังไม่มีใครศึกษาประสบการณ์ของผู้ที่ทำหน้าที่ตัดสินใจแทนในโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสบการณ์ การรับบทบาทเป็นผู้ทำหน้าที่ตัดสินใจแทนผู้ป่วยระยะสุดท้าย ในเรื่องการถอดถอนเครื่องช่วยหายใจ ด้านปัญหา อุปสรรค&nbsp; และความต้องการการช่วยเหลือจากบุคคลากรทางการแพทย์ ของผู้ทำหน้าที่ตัดสินใจแทนผู้ป่วยระยะสุดท้าย โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ในการถอดถอนเครื่องช่วยหายใจ</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการ</strong><strong>:</strong> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ(Qualitative research) โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปรากฏการณ์วิทยา(phenomenology method) &nbsp;คัดเลือกกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 8 ราย มาสัมภาษณ์เชิงลึกแบบกึ่งโครงสร้าง(In-dept semi structured interview) &nbsp;ทำการถอดบทสัมภาษณ์ จัดกลุ่มของข้อมูลตามลักษณะของนัยความหมายที่เป็นแนวทางเดียวกัน</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> ประสบการณ์ของผู้ทำหน้าที่ตัดสินใจแทนในการถอดถอนเครื่องช่วยหายใจ&nbsp; เริ่มต้นจากการเผชิญความรู้สึกเจ็บปวดและเศร้าโศกจากการรับทราบข่าวร้ายว่าผู้ป่วยกำลังจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน เมื่อรับรู้ว่าการใช้เครื่องช่วยหายใจเป็นการทำให้ผู้ป่วยทรมาน ไม่ได้เป็นทำให้คุณภาพชีวิตผู้ป่วยดีขึ้น จึงสามารถตัดสินใจได้ด้วยความเต็มใจ ไม่รู้สึกว่าตัดสินใจผิด&nbsp;&nbsp; อุปสรรคสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจถอดถอนเครื่องช่วยหายได้ ได้แก่ ความคิดว่าการถอดถอนเครื่องช่วยหายใจ เป็นสาเหตุให้ผู้ป่วยเสียชีวิต และการไม่รู้จักการดูแลแบบประคับประคอง&nbsp; ส่วนสิ่งที่ช่วยให้ตัดสินใจได้ได้แก่ การสื่อสารที่ชัดเจนจนเห็นภาพว่าผู้ป่วยกำลังจะเสียชีวิต ร่วมกับการดูแลจิตใจใส่ใจแบบเพื่อนมนุษย์ของทีมประคับประคอง และการทบทวนรับรู้ถึงสิ่งที่ผู้ป่วยปรารถนาในวาระสุดท้าย&nbsp;&nbsp; ส่งผลช่วยให้ตัดสินใจได้ดีขึ้น&nbsp;&nbsp; ผู้ทำหน้าที่ตัดสินใจแทนมีความต้องการความใกล้ชิดผู้ป่วยในวาระสุดท้าย ต้องการให้มีการดูแลมิติทางจิตวิญญาณหรือธรรมะ และต้องการให้มีการประชาสัมพันธ์เพื่อให้รู้จักการดูแลแบบประคับประคองมากขึ้น</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>:</strong> &nbsp;ประสบการณ์ของผู้ทำหน้าที่ตัดสินใจแทนในการถอดถอนเครื่องช่วยหายใจ เป็นการตัดสินใจที่ยาก ต้องการความช่วยเหลือจากบุคลากรทางการแพทย์ จะช่วยให้ผู้แทนการตัดสินใจ สามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นคงขึ้น&nbsp; และผ่านกระบวนการโศกเศร้าเสียไปได้อย่างราบรื่น</p> เนติมา ติเยาว์ โกสินทร์ มหรรณพกุล Copyright (c) 2024 วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-27 2024-06-27 7 2 161 172 ทบทวนเพื่อไปต่อ: นิยามของเวชศาสตร์ครอบครัวที่แท้จริงคืออะไร? https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/279178 <p>-</p> สตางค์ ศุภผล Copyright (c) 2024 วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-27 2024-06-27 7 2 75 76 โรคหลอดเลือดสมองในสังคมผู้สูงอายุ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/269265 <p>การก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ มีความสัมพันธ์กับแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของอุบัติการณ์การเกิดโรคหลอดหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน&nbsp; ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตและทุพพลภาพ ต้องใช้ระยะเวลาและทรัพยากรในการดูแลรักษาและฟื้นฟูสุขภาพอย่างมาก การเข้าถึงการรักษาอย่างรวดเร็วด้วยสิทธิ์ฉุกเฉินตามนโยบายรัฐบาล &nbsp;ในโรงพยาบาลที่มีศักยภาพทุกแห่งที่ใกล้ที่สุดทั้งโรงพยาบาลภาครัฐหรือเอกชน&nbsp; สามารถลดอัตราการเสียชีวิตและทุพพลภาพได้ <strong>&nbsp;</strong>ในกรณีที่ผู้ป่วยเกิดทุพพลภาพหรือพิการตามมา การรับทราบเรื่องสิทธิผู้พิการตามกฎหมาย &nbsp;จะทำให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่องจากสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อการช่วยเหลือทางการเงินและการดูแลทางการแพทย์อย่างเหมาะสม</p> ดวงพล ศรีมณี Copyright (c) 2024 วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-27 2024-06-27 7 2 77 84