วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM <p style="color: #000000; font-family: &amp;quot; noto sans&amp;quot;,arial,helvetica,sans-serif; font-size: 14px; font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: 400; letter-spacing: normal; orphans: 2; text-align: left; text-decoration: none; text-indent: 0px; text-transform: none; -webkit-text-stroke-width: 0px; white-space: normal; word-spacing: 0px;"><strong><span lang="TH"><span style="background-color: #ffffff;">Journal of Primary Care and Family Medicine (PCFM)</span></span></strong></p> <p style="color: #000000; font-family: &amp;quot; noto sans&amp;quot;,arial,helvetica,sans-serif; font-size: 14px; font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: 400; letter-spacing: normal; orphans: 2; text-align: left; text-decoration: none; text-indent: 0px; text-transform: none; -webkit-text-stroke-width: 0px; white-space: normal; word-spacing: 0px;"><strong><span lang="TH"><span style="background-color: #ffffff;">วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว</span></span></strong></p> <p style="color: #000000; font-family: &amp;quot; noto sans&amp;quot;,arial,helvetica,sans-serif; font-size: 14px; font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: 400; letter-spacing: normal; orphans: 2; text-align: left; text-decoration: none; text-indent: 0px; text-transform: none; -webkit-text-stroke-width: 0px; white-space: normal; word-spacing: 0px;"><span lang="TH">วารสารเพื่อรวบรวมความรู้ทางวิชาการ และงานวิจัยต่าง ๆ&nbsp;&nbsp;รวมถึงเป็นสื่อกลางในการสื่อสารระหว่างเครือข่าย นำไปสู่การพัฒนาทั้งในด้านคุณภาพการบริการและวิชาการ&nbsp;&nbsp;รวมทั้งเป็นการเสริมสร้างคุณค่าและเอกลักษณ์ของบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัวต่อบุคลากรสาธารณสุข</span>&nbsp;</p> <p style="color: #000000; font-family: &amp;quot; noto sans&amp;quot;,arial,helvetica,sans-serif; font-size: 14px; font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: 400; letter-spacing: normal; orphans: 2; text-align: left; text-decoration: none; text-indent: 0px; text-transform: none; -webkit-text-stroke-width: 0px; white-space: normal; word-spacing: 0px;"><span lang="TH">และเผยแพร่ผลงานวิชาการและงานวิจัยทางด้านเวชศาสตร์ครอบครัวและการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิ เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างเครือข่ายและองค์กรที่ปฏิบัติงานทางด้านเวชศาสตร์ครอบครัวและการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิ กระตุ้นให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้และงานวิจัยงานวิชาการทางด้านเวชศาสตร์ครอบครัว และระบบริการปฐมภูมิ</span></p> Royal College of Family Physicians of Thailand and GP/FP Association of Thailand th-TH วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว 2651-0553 <p>เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสาร PCFM ถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรง ซึ่งกองบรรณาธิการวารสารไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยหรือร่วมรับผิดชอบใด ๆ</p> <p>บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ลงในวารสาร PCFM ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสาร PCFM หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือเพื่อกระทำการใด ๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากวารสาร PCFM ก่อนเท่านั้น</p> แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวไทยกับการสร้างองค์ความรู้ในระบบสุขภาพไทย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/281704 <p>บทความนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการทบทวนผลลัพธ์ และผลกระทบของแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวไทยต่อระบบสุขภาพไทยในด้านต่าง ๆ โดยบทความนี้นำเสนอผลงานของแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวในด้านการพัฒนาองค์ความรู้วิชาการ ในระบบสุขภาพไทย ซึ่งมีเนื้อหา 3 ส่วน ส่วนแรกเป็นการทบทวนเอกสารงานวิจัย บทเรียน ประสบการณ์ในต่างประเทศ และในประเทศไทยที่เกี่ยวข้อง ส่วนที่สองนำเสนอผลลัพธ์งานวิชาการของแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวในประเทศไทยใน 5 ประเด็น โดยใช้กระบวนการศึกษาผ่านการทบทวนบทความวิจัยตีพิมพ์โดยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวไทยในระยะกว่าสองทศวรรษที่ผ่านมา ที่สะท้อนถึงสถานการณ์ที่แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวไทย ได้เผชิญว่าเป็นเรื่องอะไร และแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวมีบทบาทร่วมในการตอบสนองต่อปัญหา และแก้ปัญหาบริการสุขภาพในแต่ละด้านนั้นอย่างไร ส่วนที่สาม เป็นบทวิเคราะห์วิจารณ์ ที่แปลความจากผลการศึกษาส่วนที่สอง เพื่อนำไปสู่การสรุปบทเรียน และพัฒนาข้อเสนอต่อการพัฒนาเวชศาสตร์ครอบครัวในระยะต่อไป</p> <p>คำสำคัญ: ไทย แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว องค์ความรู้ ระบบสุขภาพไทย งานวิจัย</p> <p> </p> <p>This article is a part of the review of Thai family physicians’ contributions to the Thai healthcare system over the past two decades. It focuses on the academic development of these. This is divided into three sections.</p> <p>The first section reviewed relevant research, lessons learned, and experiences from both Thai and international contexts. The second section summarized five scoping reviews conducted by Thai Family Physicians in the past two decades. These reviews highlighted common health problems encountered by Thai Family Physicians, their responses, and the solutions they implemented.</p> <p>The final section analyzed and interpreted the results of the second section to identify key lessons and make recommendations for future developments in Family Medicine</p> <p>Keywords: Thai, family physician, knowledge, healthcare system, research</p> โรจนศักดิ์ ทองคำเจริญ สุพัตรา ศรีวณิชชากร Copyright (c) 2024 วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-30 2024-09-30 7 3 199 208 บทบรรณาธิการ ชุดผลการศึกษาเพื่อทบทวน 25 ปีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวไทย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/281845 <p>-</p> สุพัตรา ศรีวณิชชากร Copyright (c) 2024 วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-30 2024-09-30 7 3 183 184 บทบาทแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวกับการพัฒนาการดูแลแบบประคับประคองของประเทศไทย : ทบทวนวรรณกรรมร่วมกับกรณีศึกษา โรงพยาบาลแม่สอด จังหวัดตาก https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/272284 <p>ที่มา: การดูแลแบบประคับประคองของประเทศไทยมีพัฒนาการมากว่าสองทศวรรษ กลยุทธ์สำคัญที่ทำให้การยกระดับการจัดระบบบริการดูแลแบบประคับประคองของประเทศไทยมีความครอบคลุมและอยู่ในระบบบริการสุขภาพของประเทศในระดับที่สมบูรณ์ได้นั้น คือการผสมผสานการดูแลประคับประคองในระบบบริการปฐมภูมิประเทศไทย แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวคือกุญแจสำคัญในการผสมผสานการพัฒนาระบบบริการการดูแลประคับประคองทั้งในโรงพยาบาลและชุมชน เพิ่มการเข้าถึงบริการการดูแลประคับประคองที่มีคุณภาพได้เร็วตั้งแต่เริ่มต้น บทความนี้นำเสนอการจัดบริการการดูแลประคับประคองโดยแพทย์เวช-ศาสตร์ครอบครัวในภาพรวมประเทศไทย ร่วมกับกรณีศึกษาโรงพยาบาลแม่สอด อ.แม่สอด จ.ตาก</p> <p>คำสำคัญ: การพัฒนา การดูแลแบบประคับประคอง ประเทศไทย แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว การดูแลปฐมภูมิ</p> <p> </p> <p>Palliative care in Thailand has been developing for two decades. To enhance the full coverage of palliative care service provision at the advanced stage of integration, the integration of palliative care into primary care is one of the most important strategies. Family physicians are key in implementing integrated palliative care in hospital and community settings to ensure early access to good quality palliative care. This article illustrates the provision of palliative care services by family physicians in the whole country, of Thailand, and presents a case study in Maesot, Tak, Thailand.</p> <p>Keywords: development, palliative care, Thailand, family physician, primary care</p> โรจนศักดิ์ ทองคำเจริญ Copyright (c) 2024 วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-30 2024-09-30 7 3 185 198 การทบทวนวรรณกรรมแบบกำหนดขอบเขตงานวิจัยเกี่ยวกับโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่จัดทำโดยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวไทยในช่วงสองทศวรรษ (2543-2566) https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/280059 <p>ที่มา: โรคไม่ติดต่อเรื้อรังเป็นสาเหตุของภาระโรคทั่วโลก ราชวิทยาลัยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวแห่งประเทศไทยบรรจุ “การดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรัง” ในหลักสูตรแพทย์ประจำบ้านเวชศาสตร์ครอบครัว การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทบทวนงานวิจัยการดูแลผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่ตีพิมพ์โดยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวไทย</p> <p>แบบการวิจัย: การทบทวนวรรณกรรมแบบกำหนดขอบเขต</p> <p>วัสดุและวิธีการ: ดำเนินการค้นหางานวิจัยจากแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวที่ลงทะเบียนในฐานข้อมูล “Famscholar” ซึ่งพัฒนาโดยภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัว มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งรวมงานวิจัยจาก Scopus และ Thai Journal Online (ThaiJO) ระหว่างปี พ.ศ. 2548-2566 ศึกษาบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ บทความที่เข้าเกณฑ์จำแนกเป็นการดูแลผู้ป่วยและการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง</p> <p>ผลการศึกษา: พบงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 523 ฉบับ เข้าเกณฑ์ทบทวนทั้งสิ้น 74 ฉบับ ในจำนวนนี้ 39 ฉบับ (ร้อยละ 53) และ 35 ฉบับ (ร้อยละ 47) ตีพิมพ์จาก Scopus และ ThaiJo ตามลำดับ วิจัยส่วนใหญ่ (ร้อยละ 46) เป็นการศึกษาแบบภาคตัดขวาง มีสัดส่วนงานวิจัยเกี่ยวข้องกับโรคเบาหวานและภาวะก่อนเบาหวานเป็นหลัก คิดเป็นร้อยละ 64 งานวิจัยร้อยละ 51 ดำเนินการในโรงพยาบาล สองในสาม (ร้อยละ 66) ศึกษาการจัดการโรคเบาหวาน เน้นปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโรค พฤติกรรมสุขภาพ การใช้ยา และการมีส่วนร่วมของครอบครัว</p> <p>สรุป: งานวิจัยส่วนใหญ่ศึกษาเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงการควบคุมโรคและการดูแลโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในระยะช่วงเวลาหนึ่ง ยังขาดงานวิจัยที่แสดงความครอบคลุมและการดูแลอย่างต่อเนื่องระยะยาว</p> <p>คำสำคัญ: โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ระบบการเผาผลาญ เวชศาสตร์ครอบครัว ประเทศไทย</p> จตุพร เชียงแรง วาลิกา รัตนจันทร์ โรจนศักดิ์ ทองคำเจริญ สุพัตรา ศรีวณิชชากร Copyright (c) 2024 วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-30 2024-09-30 7 3 209 216 การทบทวนวรรณกรรมแบบกำหนดขอบเขตงานวิจัยเวชศาสตร์ผู้สูงอายุของแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว: “โครงการประเมินผลกระทบของแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวไทยในช่วง 2 ทศวรรษ (2534-2566)” https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/280199 <p>ที่มา: ประชากรโลกที่สูงอายุกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุข ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้นเร็วที่สุดในโลก ราชวิทยาลัยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวแห่งประเทศไทยจึงได้บรรจุ “การดูแลผู้สูงอายุ” ไว้ในหลักสูตรการฝึกอบรมแพทย์ประจำบ้านสาขาเวชศาสตร์ครอบครัวขึ้น การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) จัดหมวดหมู่บทความ 12 หมวดหมู่ตามสมรรถนะวิชาชีพในหลักสูตรการฝึกอบรมด้านเวชศาสตร์ครอบครัวผู้สูงอายุ 2) ระบุช่องว่างของงานวิจัยโดยอาศัยการทบทวนวรรณกรรมแบบกำหนดขอบเขต</p> <p>รูปแบบการวิจัย: การทบทวนวรรณกรรมแบบกำหนดขอบเขต</p> <p>วัสดุและวิธีการ: วิเคราะห์บทความวิจัยที่เกี่ยวกับการดูแลผู้สูงอายุของแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวไทย จากฐานข้อมูล Famscholar (เปิดตัวเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2566 รวบรวมวิจัยจาก Scopus และ Thaijo ในช่วงปี พ.ศ. 2534 ถึง พ.ศ. 2566</p> <p>ผลการศึกษา: จากทั้งหมด 258 บทความ มี 83 บทความที่เข้าเกณฑ์การศึกษา ซึ่งได้มาจากฐานข้อมูล Scopus จำนวน 46 บทความ (ร้อยละ 55) และ Thaijo 37 บทความ (ร้อยละ 45) งานวิจัยส่วนใหญ่ (ร้อยละ 62.6) เป็นการศึกษาแบบตัดขวาง (cross-sectional) และมีร้อยละ 43 ของงานวิจัยทำการศึกษาเรื่องอื่นนอกเหนือจากสมรรถนะวิชาชีพ (EPAs) ในกลุ่มที่ศึกษาเกี่ยวกับ EPAs พบว่า มีการให้ความสนใจกับเครื่องมือเฉพาะทางด้านผู้สูงอายุมากที่สุดคิดเป็นร้อยละ 18 นอกจากนี้บทความส่วนใหญ่ยังมุ่งเน้นการศึกษาเกี่ยวกับภาวะสมองเสื่อม ภาวะซึมเศร้า ภาวะหกล้มและภาวะเปราะบาง อย่างไรก็ตามการศึกษาแบบพหุวิทยาการและการศึกษาเชิงทดลองนั้นพบได้ค่อนข้างน้อย และมักเป็นการศึกษาในระยะเวลาอันสั้น</p> <p>สรุป: แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวไทยได้ตีพิมพ์บทความวิจัยเกี่ยวกับการดูแลผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การศึกษาแบบพหุวิทยาการและการศึกษาเชิงทดลองในระยะยาวยังคงเป็นหัวข้อที่น่าสนใจและควรได้รับการศึกษาเพิ่มเติม ราชวิทยาลัยเวชศาสตร์ครอบครัวแห่งประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสิ่งเหล่านี้</p> <p>คำสำคัญ: เวชศาสตร์ผู้สูงอายุ สมรรถนะวิชาชีพด้านทักษะพิสัย การทบทวนวรรณกรรมแบบกำหนดขอบเขต แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวไทย</p> ธัชวิทย์ สุธรรม วาลิกา รัตนจันทร์ โรจนศักดิ์ ทองคำเจริญ สุพัตรา ศรีวณิชชากร Copyright (c) 2024 วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-30 2024-09-30 7 3 217 224 การทบทวนขอบเขตงานวิจัยด้านสุขภาพแม่และเด็กที่ได้รับการตีพิมพ์โดยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวไทย: “โครงการประเมินผลกระทบของแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวไทยในช่วงสองทศวรรษ” https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/280218 <p>ที่มา: ในประเทศไทยผู้ให้บริการระบบสุขภาพปฐมภูมิมีบทบาทสำคัญในการดูแลสุขภาพแม่และเด็ก แต่ยังขาดการประเมินบทบาทของแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวไทยในการทำวิจัยด้านนี้ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทบทวนขอบเขตงานวิจัยด้านสุขภาพแม่และเด็กที่ได้รับการตีพิมพ์โดยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวไทย</p> <p>แบบวิจัย: การทบทวนขอบเขต</p> <p>วัสดุและวิธีการ: ทำการป้อนรายชื่อของแพทย์ที่ได้รับวุฒิบัตรฯ สาขาเวชศาสตร์ครอบครัว ประเทศไทย ในโปรแกรม “Famscholar” ซึ่งเป็นฐานข้อมูลที่พัฒนาโดยภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัว มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ฐานข้อมูลนี้ดึงข้อมูลวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพแม่และเด็กจากฐานข้อมูล Scopus และ ThaiJo ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร ระหว่าง พ.ศ. 2534-2566 ทั้งภาษาไทยและอังกฤษ</p> <p>ผลการศึกษา: มีการศึกษา 47 บทความ จาก 564 รายการ ที่เข้าเกณฑ์และนำมาทบทวนขอบเขตงานวิจัย บทความเกือบหนึ่งในสามเป็นการศึกษาเชิงตัดขวาง (15 บทความ, ร้อยละ 31.9) และส่วนมากเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพแม่ (33 บทความ, ร้อยละ 70) เมื่อแบ่งตามปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพแม่และเด็ก มี 11 บทความ (ร้อยละ 23.4) สนใจเรื่องสุขภาพผู้อพยพ ยังพบว่ามี 25 บทความ (ร้อยละ 53) ทำวิจัยในโรงพยาบาล และ 32 บทความ (ร้อยละ 68) เกี่ยวกับการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค</p> <p>สรุป: งานวิจัยด้านสุขภาพแม่และเด็กของแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวไทย แสดงให้เห็นถึงบางส่วนของสถานการณ์การดูแลสุขภาพแม่และเด็ก แต่ควรเน้นเรื่องสุขภาพเด็ก และเพิ่มการศึกษาที่ทำในชุมชนมากขึ้น</p> <p>คำสำคัญ: สุขภาพแม่และเด็ก เวชศาสตร์ครอบครัว ประเทศไทย</p> ชญานิศ รัตนกาญจน์ สิรินรัตน์ แสงศิริรักษ์ โรจนศักดิ์ ทองคำเจริญ สุพัตรา ศรีวณิชชากร Copyright (c) 2024 วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-30 2024-09-30 7 3 225 232 การทบทวนวรรณกรรมแบบกำหนดขอบเขตงานวิจัยเกี่ยวกับสุขภาพจิตที่จัดทำโดยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวไทยในช่วงสองทศวรรษ (2543-2566) https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/280109 <p>ที่มา: ปัญหาสุขภาพจิตส่งผลกระทบต่อบุคคล ครอบครัว ชุมชน รวมถึงค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ การบูรณาการสุขภาพจิตเข้ากับระบบบริการปฐมภูมิจะช่วยส่งเสริมการดูแลผู้ป่วยแบบองค์รวม ซึ่งอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น งานวิจัยนี้มีจุดประสงค์เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลงานวิจัยด้านสุขภาพจิตที่จัดทำโดยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวไทย</p> <p>แบบวิจัย: การทบทวนวรรณกรรมแบบกำหนดขอบเขต</p> <p>วัสดุและวิธีการ: วิเคราะห์งานวิจัยด้านสุขภาพจิตของแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวไทยที่ตีพิมพ์ปี 2543-2566 จากฐานข้อมูล Famscholar (ที่จัดทำขึ้นในปี 2566 ซึ่งรวบรวมงานวิจัยจาก Scopus และ ThaiJo)</p> <p>ผลการศึกษา:จากทั้งหมด 108 บทความ มี 57 บทความที่เข้าเกณฑ์สำหรับการศึกษา มาจากฐานข้อมูล Scopus (ร้อยละ 53) และ ThaiJo (ร้อยละ 47) โดยร้อยละ 79 เป็นงานวิจัยแบบภาคตัดขวาง ส่วนใหญ่เป็นการศึกษาเกี่ยวกับภาระโรค (ร้อยละ 89) มากกว่าแนวทางการรักษา (ร้อยละ 11) ภาวะซึมเศร้าเป็นหัวข้อที่พบมากที่สุด (ร้อยละ 37) และร้อยละ 46 ของงานวิจัยศึกษาในบริบทโรงพยาบาล</p> <p>สรุป: บทความส่วนใหญ่ใช้รูปแบบการวิจัยแบบภาคตัดขวาง โดยภาวะซึมเศร้าเป็นหัวข้อที่ให้ความสนใจมากที่สุด ส่วนใหญ่เนื้อหามุ่งเน้นไปที่การศึกษาสถานการณ์สุขภาพจิตและปัจจัยที่เกี่ยวข้องมากกว่าแนวทางการรักษา แหล่งข้อมูลมาจากทั้งในโรงพยาบาลและชุมชน ในอนาคตแนะนำให้ทำการศึกษาแนวทางรักษาในชุมชนให้มากขึ้น</p> <p>คำสำคัญ: สุขภาพจิต ภาวะซึมเศร้า แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว ประเทศไทย</p> สมธนญ พงศานานุรักษ์ วาลิกา รัตนจันทร์ โรจน์ศักดิ์ ทองคำเจริญ สุพัตรา ศรีวณิชชากร Copyright (c) 2024 วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-30 2024-09-30 7 3 233 240 บทบาทของแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวไทยต่อการพัฒนาการดูแลประคับประคองในช่วง 2 ทศวรรษ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/280556 <p>ที่มา: การดูเเลประคับประคองในประเทศไทยเริ่มต้นเเละพัฒนาอย่างต่อเนื่องในระยะเวลา 2 ทศวรรษ โดยมีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวไทยจำนวนมากให้การกำกับดูแลทั้งในโรงพยาบาลและชุมชน แต่ยังมีหลักฐานทางวิชาการไม่มากนักที่แสดงถึงบทบาทดังกล่าว การวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ทบทวนงานวิจัยด้านการดูแลประคับประคองที่ดำเนินการโดยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวไทย 2) จำแนกงานวิจัยดังกล่าวตามหมวดของตัวแบบทางสาธารณสุขเพื่อการพัฒนาการดูแลประคับประคอง และ 3) ระบุเนื้อหาหลักของงานวิจัยดังกล่าว</p> <p>รูปแบบการวิจัย: การทบทวนวรรณกรรมแบบกำหนดขอบเขต</p> <p>วัสดุและวิธีการ: ค้นหางานวิจัยที่อาจเกี่ยวข้องกับการดูแลประคับประคองและดำเนินการโดยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวไทยด้วยฐานข้อมูลทางวิชาการ “Famscholar” ระหว่างเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2566 โดยใช้คำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับการดูแลประคับประคอง จากนั้นผู้วิจัย 3 ท่านดำเนินการอ่านบทคัดย่อและงานวิจัยฉบับเต็มอย่างเป็นอิสระต่อกันเพื่อคัดแยกงานวิจัยด้านการดูแลประคับประคองและจำแนกงานวิจัยตามหมวดและเนื้อหาหลัก</p> <p>ผลการศึกษา: พบงานวิจัยที่อาจเกี่ยวข้องกับการดูแลประคับประคองจำนวน 454 ฉบับ หลังผ่านการอ่านบทคัดย่อและงานวิจัยฉบับเต็มแล้ว พบงานวิจัยด้านการดูแลประคับประคองโดยการมีส่วนร่วมของแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวไทยที่ผ่านเกณฑ์ 81 เรื่องซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะช่วงปี พ.ศ. 2564-2566 งานวิจัยส่วนใหญ่ถูกจัดในหมวดการปฏิบัติ (ร้อยละ 90) เเละดำเนินการในสถานพยาบาลเป็นหลัก (ร้อยละ 75.31) ส่วนใหญ่ใช้การศึกษาแบบภาคตัดขวางหรือแบบตามรุ่น โดยทำในผู้ป่วยมะเร็งเป็นส่วนใหญ่ (ร้อยละ 39.51) เนื้อหาหลักเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับชีววิทยาทางการแพทย์ โดยการศึกษาเรื่องการพยากรณ์โรค การเข้าถึงบริการเเละการจัดการอาการคิดเป็นร้อยละ 16, 14 เเละ 11 ตามลำดับ พบการวิจัยเรื่องการดูแลทางจิตวิญญาณ การดูแลความเศร้าโศกจากการสูญเสีย การสื่อสาร การศึกษาและความมีส่วนร่วมของชุมชนเป็นจำนวนน้อย</p> <p>สรุป: แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวไทยมีส่วนร่วมต่อการพัฒนาการดูแลประคับประคอง โดยเฉพาะทางด้านการปฏิบัติและชีววิทยาทางการแพทย์ ราชวิทยาลัยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวแห่งประเทศไทยมีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาเหล่านี้ ช่องว่างทางความรู้ที่สำคัญคือการดูแลทางจิตวิญญาณ การดูแลความเศร้าโศกจากการสูญเสีย การสื่อสาร การศึกษาและการดูแลประคับประคองในชุมชน</p> <p>คำสำคัญ: การดูแลประคับประคอง แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวไทย การพัฒนาการดูแลประคับประคอง</p> ธนพล ตั้งสกุล อรรถกร รักษาสัตย์ โรจน์ศักดิ์ ทองคำเจริญ สุพัตรา ศรีวณิชชากร Copyright (c) 2024 วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-30 2024-09-30 7 3 241 251 25 ปี วิวัฒนาการหลักสูตรการฝึกอบรมแพทย์ประจำบ้านสาขาเวชศาสตร์ครอบครัว ประเทศไทย : การศึกษาเชิงคุณภาพ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/280938 <p>ที่มา: หลักสูตรฝึกอบรมแพทย์ประจำบ้านสาขาเวชศาสตร์ครอบครัวในประเทศไทยก่อตั้งขึ้นใน พ.ศ. 2541 เริ่มต้นจากที่มีผู้เข้ารับการฝึกอบรมและสถาบันฝึกอบรมจำนวนไม่มาก จนกระทั่งปัจจุบันมีการขยายวงกว้างไปทั่วประเทศ มีผู้เข้ารับการฝึกและสถาบันการฝึกอบรมเพิ่มขึ้น การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิวัฒนาการของหลักสูตรฝึกอบรมแพทย์ประจำบ้านสาขาเวชศาสตร์ครอบครัวในประเทศไทยตั้งแต่เริ่มก่อตั้งจนถึงปัจจุบัน</p> <p>วัสดุและวิธีการ: การวิจัยเชิงคุณภาพดำเนินการโดยใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก การสนทนากลุ่ม และแบบสอบถามกึ่งโครงสร้างออนไลน์ ผู้เข้าร่วมเป็นบุคคลที่มีประสบการณ์อยู่ในแวดวงเวชศาสตร์ครอบครัวจำนวน 31 คน โมเดลการพัฒนาหลักสูตรของ Kern ถูกใช้เพื่อวิเคราะห์และทบทวนวิวัฒนาการ มีทั้งหมด 6 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ระบุปัญหาและประเมินความต้องการทั่วไป 2) ประเมินความต้องการของกลุ่มผู้เรียน 3) เป้าหมายและวัตถุประสงค์จำเพาะ 4) กลยุทธ์ในการจัดการศึกษา 5) การนำหลักสูตรไปใช้ 6) ประเมินผลและฟีดแบ็ก ข้อมูลเชิงคุณภาพถูกรวบรวมและวิเคราะห์โดยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการศึกษา: วิวัฒนาการของหลักสูตรฝึกอบรมแพทย์ประจำบ้านเวชศาสตร์ครอบครัวในประเทศไทยตลอด 25 ปีที่ผ่านมา สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ยุคดังนี้ 1) ยุคการก่อตั้ง 2) ยุคการขยายจำนวน และ 3) ยุคการรับรองคุณภาพ ยุคที่ 1 (พ.ศ. 2541 - 2551) เป็นยุคเริ่มต้นและมีการเติบโตอย่างรวดเร็วของจำนวนผู้เข้ารับการฝึกอบรม ยุคที่ 2 (พ.ศ. 2552-2561) เป็นยุคแห่งการเพิ่มจำนวนสถาบันฝึกอบรมและศักยภาพในการฝึกอบรม ยุคที่ 3 (พ.ศ. 2562-ปัจจุบัน) เป็นยุคที่มีการนำเกณฑ์ของสหพันธ์การแพทย์โลกมาใช้ในการประกันคุณภาพ ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อวิวัฒนาการของการพัฒนาหลักสูตร ได้แก่ นโยบายการปฏิรูประบบสุขภาพ ความต้องการด้านสุขภาพขั้นพื้นฐานของประชากร แนวโน้มแพทยศาสตรศึกษาทั่วโลก ระบบประกันคุณภาพการศึกษา และความต่อเนื่องของการพัฒนาอาจารย์ ส่วนอุปสรรคของการพัฒนา ได้แก่ การประเมินความต้องการของผู้เรียนเป้าหมายอาจยังมีไม่เพียงพอ อัตลักษณ์วิชาชีพยังไม่ชัดเจนในภาพสาธารณะ และระบบสนับสนุนการฝึกอบรมไม่เพียงพอ</p> <p>สรุป: เพื่อให้บรรลุศักยภาพสูงสุดในการผลิตแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว เป้าหมายการฝึกอบรมและวัตถุประสงค์จำเพาะในการฝึกอบรมควรตั้งให้สอดคล้องตามความต้องการของกลุ่มผู้เรียนเป้าหมาย โดยเป้าหมายควรเชื่อมโยงกับความต้องการของสังคม รวมถึงมีระบบสนับสนุนการฝึกอบรมที่เพียงพอ คำนึงถึงศักยภาพการฝึกอบรมในระบบสุขภาพของประเทศ</p> <p>คำสำคัญ: การศึกษาเชิงคุณภาพ การพัฒนาหลักสูตร การฝึกอบรมแพทย์ประจำบ้าน เวชศาสตร์ครอบครัว ประเทศไทย</p> อรุณี ทิพย์วงศ์ นิสิตา นาทประยุทธ์ สตางค์ ศุภผล สุพัตรา ศรีวณิชชากร Copyright (c) 2024 วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-30 2024-09-30 7 3 252 262 ลักษณะการทำงาน ปัญหาอุปสรรคและความต้องการของแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวไทย https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/281572 <p>ที่มา: เวชศาสตร์ครอบครัว เป็นสาขาเฉพาะทางที่ดูแลผู้ป่วยในทุกช่วงวัยอย่างต่อเนื่อง สร้างสัมพันธ์กับผู้ป่วยและครอบครัว และเป็นส่วนสำคัญในระบบสุขภาพปฐมภูมิ แต่มีภาระงานหลากหลายมากกว่าที่กำหนดไว้ และมีปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติงานในพื้นที่ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาลักษณะการทำงาน ปัญหาอุปสรรค และสิ่งสนับสนุนที่ต้องการของแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวในประเทศไทย เพื่อเสนอแนวทางผลักดันต่อไป</p> <p>วัสดุและวิธีการ: ใช้วิธีการศึกษาแบบผสม (mixed methods) โดยใช้ข้อมูลจากราชวิทยาลัยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวแห่งประเทศไทยที่เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถาม ข้อมูลเชิงปริมาณวิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา และข้อมูลเชิงคุณภาพวิเคราะห์จากข้อคำถามปลายเปิด</p> <p>ผลการศึกษา: แพทย์ 842 คน เพศหญิงร้อยละ 55.3 อายุเฉลี่ย 40.3 ปี มีการกระจุกตัวที่จังหวัดใหญ่ เช่น กรุงเทพมหานคร ร้อยละ 13.7 พบว่าแพทย์มีลักษณะการทำงานที่หลากหลาย ไม่จำเพาะกับปฐมภูมิ ได้ปฏิบัติงานด้านปฐมภูมิ 3 วันต่อสัปดาห์ขึ้นไป ร้อยละ 41.5 ปัญหาอุปสรรคที่สำคัญ คือ ขาดการให้ความสำคัญและสนับสนุนร้อยละ 46.2 ภาระงานมากหลากหลายร้อยละ 31.7 ขาดแคลนบุคลากรร้อยละ 21.9 สิ่งที่ต้องการสนับสนุนคือ ด้านบุคลากรร้อยละ 29.7 การสร้างความเข้าใจให้ความสำคัญกับเวชศาสตร์ครอบครัวร้อยละ 25.2 ค่าตอบแทนร้อยละ 21.5</p> <p>สรุป: จำนวนแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวไม่เพียงพอ อัตราส่วนต่อประชากรไม่เหมาะสม มีภาระหน้าที่หลากหลาย ขาดการสนับสนุนและให้ความสำคัญ ทำให้งานบริการในระบบสุขภาพปฐมภูมิมีประสิทธิภาพไม่เต็มที่</p> <p>คำสำคัญ: แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว ลักษณะงาน ปัญหาอุปสรรค</p> อรรถกร รักษาสัตย์ นิยม บุญทัน จารุวรรณ เถื่อนมั่น สุพัตรา ศรีวณิชชากร Copyright (c) 2024 วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-30 2024-09-30 7 3 263 274 ความชุกและปัจจัยที่สัมพันธ์กับการตรวจพบมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงจากการส่องกล้องคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงในผู้ที่มีผลบวกจากการตรวจเลือดแฝงในอุจจาระของโรงพยาบาลนาหม่อม จังหวัดสงขลา https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/270593 <p>ที่มา: มะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงเป็นสาเหตุการตายอันดับ 3 ของประชากรไทย กระทรวงสาธารณสุขไทยจึงให้มีการคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ในประชาชนช่วงอายุ 50-70 ปี โดยวิธีการตรวจหาเลือดแฝงในอุจจาระ (Fecal Immunochemical Test; FIT) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 จนถึงปัจจุบัน เมื่อพบผลผิดปกติจะได้รับการคัดกรองโดยวิธีการส่องกล้อง colonoscopy ต่อไป อย่างไรก็ตามยังไม่เคยมีการศึกษาเรื่องมะเร็งลำไส้ใหญ่ในจังหวัดสงขลา งานวิจัยนี้จึงจัดทำขึ้นเพื่อศึกษาความชุกและปัจจัยที่สัมพันธ์กับการตรวจพบมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง ในกลุ่มประชากรจังหวัดสงขลาที่มีผลผิดปกติจากการตรวจเลือดแฝงในอุจจาระด้วยวิธี FIT เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการตรวจคัดกรองต่อไป</p> <p>รูปแบบการวิจัย: เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา ณ จุดเวลาใดเวลาหนึ่ง แบบตัดขวาง</p> <p>วัสดุและวิธีการ: ศึกษาข้อมูล ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ ถึง พฤษภาคม พ.ศ. 2566 เก็บรวบรวมข้อมูลผลการส่องกล้อง colonoscopy จากฐานข้อมูลเวชระเบียนของโรงพยาบาล และแบบสอบถามในกลุ่มตัวอย่าง วิิเคราะห์์ข้อมูลพื้นฐานโดยใช้้ความถี่ ร้อยละ วิเคราะห์เปรียบเทียบปัจจััยที่สััมพัันธ์์กับผลการพบติ่งเนื้อโดยใช้ไคสแควร์</p> <p>ผลการศึกษา: กลุ่มตัวอย่างที่ได้ จำนวน 230 ราย ผลการส่องกล้องพบติ่งเนื้อ 116 ราย ซึ่งตรวจพบว่าเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง 4 ราย ความชุกของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงของประชากรในจังหวัดสงขลาที่มีผลตรวจอุจจาระ FIT เป็นบวก เท่ากับ 1.19 ต่อแสนประชากร และความชุกของการส่องกล้องพบติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่และไส้ตรง เท่ากับ 34.51 ต่อแสนประชากร โดยปัจจัยที่สัมพันธ์กับผลการส่องกล้องพบติ่งเนื้อ ได้แก่ เพศชาย กลุ่มที่มีค่าดัชนีมวลกาย (body mass in dex; BMI) เกินมาตราฐาน และผู้ที่ดื่มสุรา </p> <p>สรุป: ในประชาชนอายุ 50-70 ปี ที่มีผล FIT เป็นบวกที่เป็นเพศชาย กลุ่มมีค่า BMI เกินมาตรฐาน หรือมีประวัติการดื่มสุรา มีโอกาสพบติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่และไส้ตรงจากการส่องกล้อง colonoscopy เพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p>คำสำคัญ: มะเร็งลำไส้ใหญ่ ติ่งเนื้อลำไส้ใหญ่ การส่องกล้องลำไส้ใหญ่ ความชุก</p> วาสนา อชิรเสนา Copyright (c) 2024 วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-30 2024-09-30 7 3 275 283