https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/issue/feed
วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว
2025-02-27T13:11:59+07:00
chaisiri angkurawaranon
chaisiri.a@cmu.ac.th
Open Journal Systems
<p style="color: #000000; font-family: &quot; noto sans&quot;,arial,helvetica,sans-serif; font-size: 14px; font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: 400; letter-spacing: normal; orphans: 2; text-align: left; text-decoration: none; text-indent: 0px; text-transform: none; -webkit-text-stroke-width: 0px; white-space: normal; word-spacing: 0px;"><strong><span lang="TH"><span style="background-color: #ffffff;">Journal of Primary Care and Family Medicine (PCFM)</span></span></strong></p> <p style="color: #000000; font-family: &quot; noto sans&quot;,arial,helvetica,sans-serif; font-size: 14px; font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: 400; letter-spacing: normal; orphans: 2; text-align: left; text-decoration: none; text-indent: 0px; text-transform: none; -webkit-text-stroke-width: 0px; white-space: normal; word-spacing: 0px;"><strong><span lang="TH"><span style="background-color: #ffffff;">วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว</span></span></strong></p> <p style="color: #000000; font-family: &quot; noto sans&quot;,arial,helvetica,sans-serif; font-size: 14px; font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: 400; letter-spacing: normal; orphans: 2; text-align: left; text-decoration: none; text-indent: 0px; text-transform: none; -webkit-text-stroke-width: 0px; white-space: normal; word-spacing: 0px;"><span lang="TH">วารสารเพื่อรวบรวมความรู้ทางวิชาการ และงานวิจัยต่าง ๆ รวมถึงเป็นสื่อกลางในการสื่อสารระหว่างเครือข่าย นำไปสู่การพัฒนาทั้งในด้านคุณภาพการบริการและวิชาการ รวมทั้งเป็นการเสริมสร้างคุณค่าและเอกลักษณ์ของบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัวต่อบุคลากรสาธารณสุข</span> </p> <p style="color: #000000; font-family: &quot; noto sans&quot;,arial,helvetica,sans-serif; font-size: 14px; font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: 400; letter-spacing: normal; orphans: 2; text-align: left; text-decoration: none; text-indent: 0px; text-transform: none; -webkit-text-stroke-width: 0px; white-space: normal; word-spacing: 0px;"><span lang="TH">และเผยแพร่ผลงานวิชาการและงานวิจัยทางด้านเวชศาสตร์ครอบครัวและการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิ เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างเครือข่ายและองค์กรที่ปฏิบัติงานทางด้านเวชศาสตร์ครอบครัวและการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิ กระตุ้นให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้และงานวิจัยงานวิชาการทางด้านเวชศาสตร์ครอบครัว และระบบริการปฐมภูมิ</span></p>
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/272132
การศึกษาความแม่นยำเส้นรอบวงน่อง,แบบสอบถาม SARC-F และ SARC-CalF ต่อการคัดกรองภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อยในผู้สูงอายุ
2023-11-20T14:51:47+07:00
มณีญาณ์ พงษ์ขวัญ
maneeya22@gmail.com
กรภัทร มยุระสาคร
korapat.may@mahidol.ac.th
ธีรานันท์ นาคะบุตร
teeranun.nak@mahidol.edu
<p>บทคัดย่อ</p> <p>ที่มา: ภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อยส่งผลลดสมรรถภาพกายและคุณภาพชีวิต ซึ่งเกณฑ์การวินิจฉัยด้วยเครื่องมือมาตรฐานมีข้อจำกัดสำหรับการตรวจในชุมชน โดยมีคำแนะนำให้คัดกรองผู้ที่อาจมีภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อยโดยการใช้เส้นรอบวงน่องหรือแบบสอบถาม strength, assistance in walking, rising from a chair, climbing stairs, and falls (SARC-F) หรือ SARC-F and calf circumference (SARC-CalF) ซึ่งยังไม่มีการศึกษาความแม่นยำในประเทศไทย งานวิจัยนี้จึงต้องการศึกษาความแม่นยำของแบบคัดกรองดังกล่าว</p> <p>แบบวิจัย: Cross-sectional diagnostic accuracy study</p> <p>วัสดุและวิธีการ: หาอาสาสมัครที่ผ่านเกณฑ์คัดเลือกจำนวน 297 ราย มาประเมินด้วยเส้นรอบวงน่อง แบบสอบถาม SARC-F และ SARC-CalF เทียบกับวิธีมาตรฐาน เพื่อหาความไว ความจำเพาะ positive predictive value (PPV), negative predictive value (NPV), likelihood ratio (LR), ความแม่นยำ พื้นที่ใต้กราฟ (area under the curve, AUC) ของ receiver operating characteristic (ROC) curve และหาความชุกของภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อยในกลุ่มอาสาสมัคร</p> <p>ผลการศึกษา: แบบคัดกรองแต่ละชนิดมีความไว ความจำเพาะ และ AUC ดังนี้ เส้นรอบวงน่อง ร้อยละ 87.20, ร้อยละ 75.60 และ 0.86 ตามลำดับ แบบสอบถาม SARC-F ร้อยละ 10.30, ร้อยละ 98.10 และ 0.660 ตามลำดับ และแบบสอบถาม SARC-CalF ร้อยละ 66.7, ร้อยละ 88.40 และ 0.862 ตามลำดับ ส่วน PPV และ LR+ ของเส้นรอบวงน่อง แบบสอบถาม SARC-F และ SARC-CalF คือ ร้อยละ 35.10 และ 3.57, ร้อยละ 44.40 และ 5.29, และร้อยละ 46.40 และ 5.73 ตามลำดับ ความชุกภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อยคือ ร้อยละ 13.10 และไม่พบความแตกต่างด้านความสะดวกในการใช้งานจริงของแบบสอบถาม SARC-F และ SARC-CalF</p> <p>สรุป: ความไวในการคัดกรองภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อยของเครื่องมือจากมากที่สุดไปน้อยที่สุด คือ เส้นรอบวงน่อง แบบสอบถาม SARC-CalF และ SARC-F ตามลำดับ โดยที่ทั้ง 3 เครื่องมือมี NPV สูง แต่ PPV ต่ำ เนื่องจากความชุกของภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อยในงานวิจัยนี้ค่อนข้างน้อยและผู้สูงอายุส่วนใหญ่ในงานวิจัยเป็นผู้สูงอายุตอนต้นอายุ 60-69 ปี ซึ่งผลการศึกษาพบว่าภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อยสัมพันธ์กับผู้สูงอายุ 70 ปีขึ้นไป การนำผลการศึกษาไปใช้อาจจำเป็นต้องเลือกกลุ่มประชากรอายุใกล้เคียงกันหรือต้องศึกษาเพิ่มเติมในกลุ่มช่วงอายุดังกล่าว</p> <p>คำสำคัญ: ภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย การคัดกรอง เส้นรอบวงน่อง แบบสอบถาม SARC-F, SARC-CalF</p>
2025-02-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/281149
ความสัมพันธ์ระหว่างสมรรถภาพภายในและภาวะเปราะบางของผู้สูงอายุในชุมชน อ.เมือง จ.ลำพูน: การศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบตัดขวาง
2025-01-20T08:27:46+07:00
กชกร ไตรศรีวิรัตน์
kochakorn.t@gmail.com
โภคิน ศักรินทร์กุล
sakarinkhul@hotmail.com
<p>บทคัดย่อ</p> <p>ที่มา: ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสมรรถภาพภายใน 6 ด้าน กับภาวะเปราะบางในผู้สูงอายุที่อาศัยในชุมชน อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน</p> <p>แบบวิจัย: การศึกษาแบบตัดขวาง</p> <p>วัสดุและวิธีการ: สุ่มตามสัดส่วนผู้สูงอายุติดบ้านแต่ละตำบล การประเมินใช้แบบประเมินสมรรถภาพภายใน 6 ด้าน และภาวะเปราะบางใช้แบบสอบถาม Thai Frailty Index (TFI)</p> <p>ผลการศึกษา: ผู้เข้าร่วมศึกษา จำนวน 350 ราย อายุเฉลี่ย 77.72 ปี (60-101 ปี) ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง 242 ราย คิดเป็นร้อยละ 69.14 การประเมินความเปราะบาง แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มแข็งแรง จำนวน 70 ราย กลุ่มก่อนเปราะบาง จำนวน 113 ราย และกลุ่มเปราะบาง จำนวน 165 ราย คิดเป็นร้อยละ 20.11, 32.47 และ 47.41 ตามลำดับ สมรรถภาพภายในที่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับภาวะเปราะบาง ได้แก่ ด้านการเคลื่อนไหว (SPPB ≤ 8) odds ratio (OR) = 9.31 (p < 0.001) ด้านปริชาน OR = 9.01 (p < 0.001) ภาวะซึมเศร้า OR = 5.35 (p < 0.001) ด้านโภชนาการเมื่อมีความเสี่ยงและขาดสารอาหาร OR = 4.15 (p < 0.001) สมรรถภาพการได้ยิน OR = 2.05 (p < 0.001) และสมรรถภาพมองเห็น OR = 2.01 (p = 0.011) การทดสอบสมรรถภาพภายในสามารถทำนายภาวะเปราะบาง โดยการทดสอบสมรรถภาพเคลื่อนไหวมีค่า area under the curve (AUC) สูงสุดที่ 0.72 ส่วนด้านอื่นมีความแม่นยำระดับปานกลาง</p> <p>สรุป: การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าการประเมินสมรรถภาพภายในร่วมกับการประเมินภาวะเปราะบางในผู้สูงอายุมีความจำเป็นในการวางแผนการดูแลและส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุแต่ละบุคคล</p> <p class="Body">คำสำคัญ: สมรรถภาพภายใน ภาวะเปราะบาง ผู้สูงอายุ การศึกษาภาคตัดขวาง เมืองลำพูน</p>
2025-02-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/283008
ประสิทธิผลของการฝังเข็มในการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมในคลินิกผู้สูงอายุ
2024-11-18T09:47:22+07:00
วิวัฒน์ เหล่าชัย
wiwatyod99@gmail.com
รุ่งโรจน์ สลับ
rungrote.slb@gmail.com
<p>บทคัดย่อ</p> <p>ที่มา: โรคข้อเข่าเสื่อมเป็นภาวะที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ ซึ่งก่อให้เกิดอาการปวดและจำกัดการเคลื่อนไหว ส่งผลให้คุณภาพชีวิตแย่ลง การฝังเข็มเป็นการรักษาทางเลือกแบบอนุรักษ์ที่ไม่ใช้ยาและมีความปลอดภัยสูง อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังไม่มีแนวทางการรักษาที่ชัดเจนสำหรับการใช้ฝังเข็มในการรักษาข้อเข่าเสื่อม การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินประสิทธิ-ผลของการฝังเข็มในการรักษาข้อเข่าเสื่อม โดยเปรียบเทียบ 1) การเปลี่ยนแปลงอาการข้อเข่าเสื่อม จากการประเมินด้วย Modified WOMAC Scale และ 2) การเปลี่ยนแปลงจำนวนยาแก้ปวดที่ได้รับ เพื่อเสนอแนวทางการรักษาทางเลือกที่มีประสิทธิภาพในคลินิกผู้สูงอายุต่อไป</p> <p>แบบวิจัย: การศึกษาวิจัยทดลองแบบกลุ่มเดียว โดยมีการประเมินก่อนและหลังทดลอง</p> <p>วัสดุและวิธีการ: ฝังเข็มบริเวณหัวเข่า ตามจุดมาตรฐาน 6 จุด โดยจะฝังเข็มครั้งละ 30 นาที สัปดาห์ละ 1 ครั้ง จำนวน 8 ครั้ง โดยประเมินอาการข้อเข่าเสื่อมด้วย Modified WOMAC Scale ฉบับภาษาไทย หลังฝังเข็มครั้งที่ 4, 6 และ 8</p> <p>ผลการศึกษา: ผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมที่มารับบริการฝังเข็ม มีจำนวนทั้งหมด 37 คน อายุเฉลี่ย 68.75 ปี ส่วนใหญ่มีข้อเข่าเสื่อมระดับปานกลางจากภาพรังสี ร้อยละ 51.40 หลังได้รับการฝังเข็มครบ 8 ครั้ง กลุ่มตัวอย่างมีค่าคะแนนรวมเฉลี่ยของ Modified WOMAC Scale ต่ำกว่าก่อนการฝังเข็ม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (ก่อนฝังเข็ม X 108.59, SD=30.50 และหลังฝังเข็ม X = 57.10, SD=34.10 ;t=7.5, p < 0.05) นอกจากนี้กลุ่มตัวอย่างที่ได้รับการฝังเข็ม 8 ครั้ง มีค่าเฉลี่ยของจำนวนการใช้ยาแก้ปวดต่ำกว่าก่อนการฝังเข็ม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (ก่อนฝังเข็ม X = 1.21, SD=1.08 และหลังฝังเข็ม X = 0.30, SD=0.74; t = 5.794, p < 0.05)</p> <p>สรุป: การฝังเข็มสัปดาห์ละ 1 ครั้ง นาน 4-8 สัปดาห์ สามารถช่วยลดอาการปวด ข้อเข่าฝืดยึดเหยียดงอลำบาก และช่วยฟื้นฟูสภาพของข้อเข่าให้กลับมาใช้งานได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถลดการใช้ยาแก้ปวดลงได้</p> <p>คำสำคัญ: การฝังเข็ม ข้อเข่าเสื่อม ผู้สูงอายุ</p>
2025-02-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/265419
คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยสูงอายุที่มีการใช้ยาร่วมกันหลายขนาดที่มารับบริการที่กองตรวจโรคผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า
2023-03-01T09:30:58+07:00
กรวีร์ เมธิสริยพงศ์
korawee19@gmail.com
สุภัชฌา เก่งพานิช
fern1117@hotmail.com
พัฒน์ศรี ศรีสุวรรณ
patsri2004@yahoo.com
<p>บทคัดย่อ</p> <p>ที่มา: การใช้ยาร่วมกันหลายขนานเป็นหนึ่งในลักษณะพิเศษของผู้สูงอายุ ซึ่งอาจส่งผลเสียทั้งต่อผู้ป่วยและระบบสุขภาพ และเป็นภาวะที่พบได้มากและมาจากหลายปัจจัยและมีความสัมพันธ์กับการเกิดผลลัพท์ทางคลินิกที่ไม่ดี และยังอาจส่งผลต่อสภาพจิตใจ ครอบครัวและสังคม ซึ่งทำให้ผู้ป่วยคุณภาพชีวิตลดลง การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุซึ่งรับยาหลายขนาน ที่มารับบริการในกองตรวจโรคผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า และปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในผู้สูงอายุที่ใช้ยาหลายขนาน</p> <p>วัสดุและวิธีการ: งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาเชิงพรรณนา (descriptive study) แบบภาคตัดขวาง (cross sectional study) โดยใช้แบบสอบถามเครื่องชี้วัดคุณภาพชีวิตขององค์กรอนามัยโลกชุดย่อ ฉบับภาษาไทย (WHOQOL-BREF-THAI) ในกลุ่มผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ที่รับประทานยาหลายขนาน ซึ่งมารับการบริการกองตรวจโรคผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าระหว่างวันที่ 1 มีนาคม ถึง 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565 วิเคราะห์โดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและ Binary Logistic Regression</p> <p>ผลการศึกษา: จากผู้สูงอายุจำนวน 75 คน อายุเฉลี่ย 72 ปีและร้อยละ 72 เป็นเพศหญิง พบว่ามีผู้เข้าร่วมวิจัยมีคุณภาพชีวิตที่ดี คิดเป็นร้อยละ 88 และพบกลุ่มที่มีคุณภาพชีวิตระดับปานกลาง ร้อยละ 12 โดยพบว่าสถานภาพ รายได้ จำนวนยา ที่รับประทาน และจำนวนครั้งที่มารับบริการหห้องฉุกเฉินในช่วง 12 เดือน ไม่สัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุที่รับประทานยาหลายขนาน</p> <p>สรุป: คุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุที่รับประทานยาหลายขนานอยุ่ในระดับดีเป็นส่วนมาก และจากปัจจัยที่นำพิจารณาพบว่าไม่มีปัจจัยใดสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุที่รับประทานยาหลายขนาน</p> <p>คำสำคัญ: คุณภาพชีวิต ยาหลายขนาน ผู้สูงอายุ</p>
2025-02-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/272528
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพชีวิตและคุณภาพชีวิตของประชากรวัยทำงานที่มีอาการปวดศีรษะแบบปฐมภูมิ
2023-12-01T09:54:38+07:00
จิรัญญ์ยา เกตุสิงห์
j-yaya@hotmail.com
พรเพ็ญ อัครวัชรางกูร โก
phonpen@msn.com
ชื่นฤทัย ยี่เขียน
Jayeekian88@gmail.com
<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพชีวิตและคุณภาพชีวิต ของประชากรวัยทำงานที่มีอาการปวดศีรษะ โดยทำการศึกษาในผู้ป่วยที่มารับการรักษา ที่แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา จำนวน 166 ราย เก็บข้อมูลระหว่าง เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2565 ถึงเมษายน พ.ศ. 2566 โดยเก็บแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ผู้ป่วยโดยตรง ใช้แบบเก็บข้อมูลสอบถามข้อมูลทั่วไปและอาการ รวมถึงข้อมูลคุณภาพชีวิต โดยใช้แบบสอบถามของ Thai version of the medical outcomes study short-form survey version 2.0 (SF-36V2) revise ปี 2005 ประเทศไทย วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา สถิติไคสแควร์ สถิติที สถิติวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวและวิเคราะห์ปัจจัยด้วยสถิติถดถอยแบบพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่าระดับคุณภาพชีวิตโดยรวมของผู้ป่วยปวดศีรษะในการศึกษาอยู่ระดับปานกลาง สำหรับปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อระดับคะแนนคุณภาพชีวิตโดยรวม (Associating factors) คือ เพศหญิง (Beta=-0.20 (95%CI -22.38–-2.36)<em>, p</em>=0.02) วัยทำงานตอนปลาย หรืออายุระหว่าง 41-65 ปี (Beta=0.18 (95%CI 1.27–-18.75)<em>, p</em>=0.03) ระดับการศึกษาสูงสุดระดับประถม-มัธยม (Beta=0.20 (95%CI 2.77–12.42)<em>, p</em>=0.002) ระดับความรุนแรงของอาการปวดศีรษะที่ระดับปานกลาง-มาก (Beta=-0.84 (95%CI -34.13–25.60)<em>, p</em>=<0.001) และชนิดการปวดศีรษะแบบเทนชั่น (Beta=0.35 (95%CI 8.06-20.09)<em>, p</em>=<0.001)</p> <p>ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อระดับคุณภาพชีวิตที่ลดลง คือ ระดับความรุนแรงปานกลาง-มาก ซึ่งสัมพันธ์กับการปวดศีรษะชนิดไมเกรนและคลัสเตอร์ การมีระดับการศึกษาสูง เพศหญิง และอายุช่วงวัยทำงานตอนต้น ชี้ให้เห็นความสำคัญของการเฝ้าระวัง ติดตามและควบคุมปัจจัยเหล่านี้ถ้าสามารถควบคุมได้ เพื่อให้คนไข้กลุ่มนี้ในประชากรซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มอาการโรคเรื้อรัง มีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong>: ปวดศีรษะแบบปฐมภูมิ, ปวดศีรษะ, คุณภาพชีวิต, วัยผู้ใหญ่</p>
2025-02-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/270769
คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโควิด19ที่แยกกักตัวที่บ้านเปรียบเทียบกับการแยกกักตัวในสถานที่รัฐจัดหา
2023-11-29T09:00:40+07:00
พรชิตา มุนินทรวงศ์
double.net@hotmail.com
ศรวัส แสงแก้ว
sorawat.sa@cpird.in.th
หทัยทิพย์ ธรรมวิริยะกุล
pooktumviriyakul@yahoo.co.uk
<p>ในสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด19 การแยกกักตัวเป็นมาตรการสำคัญในการควบคุมป้องกันการติดเชื้อ และผู้ป่วยมักมีอาการเล็กน้อยหรือไม่มีอาการ การแยกกักตัวสามารถทำได้ที่บ้านและในสถานที่รัฐจัดหาซึ่งส่งผลต่อคุณภาพชีวิตที่แตกต่างกัน งานวิจัยฉบับนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโควิด19 ที่แยกกักตัวที่บ้าน (Home isolation) และในสถานที่รัฐจัดหา (Facility isolation) เป็นงานวิจัยเชิงวิเคราะห์ชนิดภาคตัดขวาง (analytic cross-sectional study) โดยการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ในกลุ่มที่แยกกักตัวที่บ้านและในสถานที่รัฐจัดหากลุ่มละ 167 คน มีอายุมากกว่า 18 ปีและกักตัว 10 วัน ระหว่าง กุมภาพันธ์จนถึงมีนาคม พ.ศ. 2565 ในอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ประเมินโดยใช้แบบสอบถามคุณภาพชีวิต EQ5D5L ใช้สถิติ Chi-square test และ Mann-Whitney U test วิเคราะห์ตัวแปรกวนด้วยสหสัมพันธ์เชิงเส้น (Linear regression analysis) พบว่า กลุ่มแยกกักตัวที่บ้านมีปัญหาการเคลื่อนไหว (ร้อยละ4.2), การดูแลตัวเอง (ร้อยละ0.6), กิจกรรมที่ทำเป็นประจำ (ร้อยละ 3.6), อาการไม่สบายตัว (ร้อยละ21) และความวิตกกังวล/ซึมเศร้า (ร้อยละ18.6) รวมทั้งสุขภาพโดยรวม ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกลุ่มแยกกักตัวในรัฐจัดหา (p-value>0.05) อีกทั้งกลุ่มแยกกักตัวที่บ้านมีค่าสัมประสิทธิเชิงเส้นตรงของ EQ5D5L มากกว่ากลุ่มแยกกักตัวในรัฐจัดหาซึ่งมีนัยสำคัญทางสถิติ (β<sub>1</sub> = 0.03, 95%CI : 0.00-0.05, p-value = 0.013) สรุปได้ว่าคุณภาพชีวิตในการแยกกักตัวที่บ้านดีกว่าในสถานที่รัฐจัดหา ดังนั้นการแยกกักตัวที่บ้านที่มีอาการเล็กน้อยเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการรักษา</p> <p><strong>คำสำคัญ </strong><strong>:</strong>คุณภาพชีวิต, โรคติดเชื้อ COVID-19, การแยกกักตัวที่บ้าน, การแยกกักตัวในสถานที่รัฐจัดหา</p>
2025-02-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/272548
การบูรณาการการแพทย์ทางไกลในระบบบริการปฐมภูมิ: กรณีศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจในการใช้งาน
2023-11-23T09:26:53+07:00
ปิติ แซ่ลิ่ม
piti385@hotmail.com
จันจิรา ลีลาไพบูลย์
No@email.com
ศรวัส แสงแก้ว
sorawat.sa@cpird.in.th
<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p><strong>ที่มา:</strong> การเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วของการแพทย์ทางไกล สร้างความท้าทายในการยอมรับการใช้งานต่อเนื่อง นอกเหนือจากขอบเขตของเทคโนโลยีแล้ว ปัจจัยอิทธิพลทางสังคมซึ่งหมายถึงอิทธิพลจากผู้อื่นที่ส่งผลในการยอมรับการใช้งาน เช่นครอบครัว เพื่อน หัวหน้างาน และแพทย์ มีความสำคัญ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของอิทธิพลทางสังคมและความตั้งใจในการใช้งานระบบการแพทย์ทางไกลของผู้ให้บริการปฐมภูมิ</p> <p><strong>แบบวิจัย: </strong>การศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบตัดขวาง</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการ: </strong>แบบสอบถามพัฒนาจากแบบจำลองการยอมรับเทคโนโลยีสอบถามไปยังบุคลากรทางการแพทย์ระบบบริการปฐมภูมิ โดยเก็บข้อมูล ได้แก่ ปัจจัยการรับรู้ประโยชน์ในการใช้งาน ปัจจัยการรับรู้ถึงความง่ายในการใช้งาน ปัจจัยพฤติกรรมความตั้งใจในการใช้งาน ปัจจัยอิทธิพลทางสังคม และปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์ปัจจัยเชิงยืนยันและโมเดลสมการโครงสร้าง</p> <p><strong>ผลการศึกษา: </strong>บุคลากรทางการแพทย์ทั้งหมด 124 คน ข้อมูลมีความกลมกลืน (Comparative Fit Index=0.95, Root Mean Square Error of Approximation=0.06) ตามแบบจำลองการยอมรับเทคโนโลยีพบว่า การรับรู้ประโยชน์ในการใช้งานและการรับรู้ถึงความง่ายในการใช้งาน ส่งผลต่อพฤติกรรมความตั้งใจในการใช้งานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ มีค่าสัมประสิทธิ์ถดถอยมาตรฐาน 0.28 (p = 0.017) และ 0.67 (p < 0.001) ตามลำดับ อิทธิพลทางสังคมส่งผลทางอ้อมต่อพฤติกรรมความตั้งใจในการใช้งานโดยส่งผลต่อการรับรู้ประโยชน์ในการใช้งานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ มีค่าสัมประสิทธิ์ถดถอยมาตรฐาน 0.44 (p = 0.005)</p> <p><strong>สรุป:</strong> การออกแบบระบบบริการที่ใช้งานง่ายและส่งเสริมให้มีการรับรู้ประโยชน์ในการใช้งานจะทำให้เกิดความตั้งใจในการใช้งานการแพทย์ทางไกลซึ่งสอดคล้องกับแบบจำลองการยอมรับเทคโนโลยี นอกจากนี้ปัจจัยอิทธิพลทางสังคมซึ่งหมายถึงเพื่อนร่วมงาน หัวหน้างาน โรงพยาบาล รวมไปถึงนโยบายภาครัฐที่มีการสนับสนุนให้ใช้งานก็จะส่งผลทางอ้อมทำให้เกิดความตั้งใจในการใช้งานโดยทำให้ผู้ใช้งานรับรู้ประโยชน์ของเทคโนโลยีและเกิดการใช้งานระบบการแพทย์ทางไกลในที่สุด มาตรการเชิงกลยุทธ์ดังกล่าวมีความจำเป็นในการส่งเสริมการบูรณาการการแพทย์ทางไกลในระบบบริการปฐมภูมิ นำไปสู่การให้บริการที่มีประสิทธิภาพและมีความยั่งยืน</p> <p><strong>คำสำคัญ: </strong>อิทธิพลทางสังคม พฤติกรรมความตั้งใจในการใช้งาน ระบบการแพทย์ทางไกล บุคลากรทางการแพทย์ ระบบบริการปฐมภูมิ</p>
2025-02-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/276717
การแพทย์ทางไกลและระบบส่งต่อผู้ป่วยปฐมภูมิ ส่วนที่ 1: บทเรียน 3 ปี ในการประสานงานระหว่างกลุ่มงานการแพทย์ฉุกเฉินและเครือข่ายการดูแลปฐมภูมิ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก
2024-06-12T11:41:33+07:00
กมลวรรณ แดงประเสริฐ
kmw.dps@gmail.com
ภมรรัตน์ ศรีธาราธิคุณ
pamornrut.mu@gmail.com
<p>บทคัดย่อ</p> <p>ที่มา: การดูแลผู้ป่วยก่อนถึงโรงพยาบาลรวมถึงการแพทย์ฉุกเฉินนั้นมีความสำคัญในการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินเป็นอย่างยิ่ง การนำเทคโนโลยีการแพทย์ทางไกลมาประยุกต์ใช้เข้ากับระบบดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินได้ช่วยเพิ่มศักยภาพในการดูแลผู้ป่วยและลดอุปสรรคในการเข้าถึงบริการสุขภาพ สำหรับพื้นที่ห่างไกล หน่วยบริการปฐมภูมิเป็นบริการสุขภาพที่ใกล้ชิดชุมชนและเป็นด่านแรกที่ผู้ป่วยนึกถึงเมื่อเจ็บป่วย ในอำเภอแม่สอดจังหวัดตาก จึงมีการจัดตั้งกลุ่มให้คำปรึกษาการแพทย์ทางไกล ซึ่งประกอบด้วยสหวิชาชีพรวมถึงแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวและเวชศาสตร์ฉุกเฉิน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลผู้ป่วย การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการใช้งานของกลุ่มให้คำปรึกษาการแพทย์ทางไกล ที่เรียกว่ากลุ่ม “FCT” (family care team) และศึกษาผลลัพธ์ของผู้ป่วยหลังได้รับคำปรึกษาและถูกส่งตัวไปยังแผนกฉุกเฉิน โรงพยาบาลแม่สอด</p> <p>วัสดุและวิธีการ: เป็นการศึกษาย้อนหลังเชิงพรรณนา จากฐานข้อมูลผู้รับบริการในแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลแม่สอด โดยเก็บข้อมูลผู้ป่วยที่ได้รับการปรึกษาผ่านกลุ่มแพทย์ทางไกล “FCT” และถูกส่งตัวไปยังแผนกฉุกเฉิน ในช่วงเมษายน 2565 - ธันวาคม พ.ศ. 2567 เพื่อศึกษาการให้คำปรึกษา การรักษาเบื้องต้น กระบวนการส่งต่อผู้ป่วย และผลลัพธ์ของผู้ป่วย</p> <p>ผลการวิจัย: จากจำนวนผู้ป่วย 1,265 คน ที่ได้รับการปรึกษาผ่านกลุ่มการแพทย์ทางไกล “FCT” พบว่ามีผู้ป่วยร้อยละ 18.2 ได้รับการส่งต่อไปยังแผนกฉุกเฉิน ในขณะที่กลุ่มอื่นได้รับการนัดติดตามอาการ ส่งต่อไปยังหน่วยบริการปฐมภูมิ แผนกผู้ป่วยนอก หรือจำหน่ายกลับบ้าน ในผู้ป่วยที่ถูกส่งต่อไปยังแผนกฉุกเฉิน ส่วนใหญ่ได้รับการรักษาเบื้องต้นที่หน่วยบริการปฐมภูมิและเลือกใช้วิธีส่งต่อเหมาะสม ผู้ป่วยจากหน่วยปฐมภูมิที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลมีจำนวนมากที่สุด เวลารอคอยในการรับคำปรึกษาเฉลี่ยอยู่ที่ 9.5 นาที ผู้ป่วยส่วนมากเป็นผู้ใหญ่ สัญชาติไทย และไม่ได้เจ็บป่วยจากอุบัติเหตุ ระยะเวลาที่อยู่ในแผนกฉุกเฉินมีค่ามัธยฐานอยู่ที่ 103 นาที โดยมีผู้ป่วยเข้ารักษาเป็นผู้ป่วยในร้อยละ 58 ซึ่งมีอัตราการจำหน่ายกลับบ้านร้อยละ 93.3 และอัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ร้อยละ 5.2</p> <p>สรุป: ผลการศึกษาแสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของการนำระบบให้คำปรึกษาการแพทย์ทางไกล มาประยุกต์ใช้กับระบบดูแลสุขภาพปฐมภูมิและระบบการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉิน โดยเฉพาะในการปรับปรุงกระบวนการดูแลผู้ป่วยและการจัดการทรัพยากร อย่างไรก็ตามการศึกษานี้ยังมีประเด็นที่ต้องพัฒนา อาทิเช่น ขอบเขตการเก็บข้อมูลและความเป็นส่วนตัวของข้อมูล การวิจัยระยะยาวและการวิจัยเชิงคุณภาพเพิ่มเติม</p> <p>คำสำคัญ: หน่วยบริการปฐมภูมิ ระบบการแพทย์ทางไกล การแพทย์ฉุกเฉิน การส่งต่อผู้ป่วย การดูแลผู้ป่วยก่อนถึงโรงพยาบาล ระบบบริการสาธารณสุข</p>
2025-02-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/271871
ประสิทธิผลของโปรแกรมสมาธิบําบัดประสานกายประสานจิต (SKT1,2) ในผู้ป่วยเมทาบอลิกซินโดรม : การทดลองแบบสุ่ม และมีกลุ่มควบคุม
2023-12-04T09:31:40+07:00
ภัทรียา จึงสมเจตไพศาล
phatthareeya.jun@mahidol.edu
ภาณุภัท นราศุภรัฐ
Parnoupat_nar@mahidol.edu
อนุรักษ์ มณีรัตน์
anurak.ma1981@gmail.com
<p>บทคัดย่อ</p> <p>ที่มา: สมาธิบำบัดสมาธิบำบัดประสานกายประสานจิตของ ศาสตราจารย์ดร.สมพร กันทรดุษฏี-เตรียมชัยศรี (Somporn Kantaradusdi-Triamchaisri technique, SKT) เป็นการแพทย์ทางเลือก ที่ผสมผสานองค์ความรู้ทั้งเรื่องสมาธิ การออกกำลังกายแบบยืดเหยียด และการควบคุมลมหายใจ เพื่อเชื่อมโยงทั้งร่างกาย และจิตใจ โดยเฉพาะเทคนิค SKT1,2 ซึ่งเป็นการกำหนดลมหายใจทั้งในท่านั่ง และท่ายืน สามารถนำมาร่วมรักษาโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด และเบาหวาน โดยงานวิจัยนี้มีเป้าหมายในการประเมินประสิทธิภาพของเทคนิค SKT ในการหายจากภาวะเมตาโบลิกซินโดรม (metabolic syndrome, MS)</p> <p>แบบวิจัย: การศึกษานี้ใช้การทดลองแบบสุ่ม และมีกลุ่มควบคุม</p> <p>วัสดุและวิธีการ: มีผู้เข้าร่วมทั้งหมด 62 คน (ชาย ร้อยละ 43.5 หญิง ร้อยละ 56.5) ที่มีภาวะ MS และไม่ได้รับการรักษาด้วยยา โดยจะถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มทดลองจำนวน 31 คน มีการเข้าร่วมโปรแกรมสมาธิบำบัด (SKT1,2) ฝึกสมาธิบำบัดท่าละ 30 รอบลมหายใจ วันละ 2 ครั้งเป็นเวลา 12 สัปดาห์ และได้รับคำแนะนำปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพตามปกติ ในขณะที่กลุ่มควบคุมจำนวน 31 คน ได้รับการให้คำแนะนำการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพตามปกติเพียงอย่างเดียว โดยทั้งสองกลุ่มมีการติดตามผ่านโทรศัพท์หนึ่งครั้งต่อสัปดาห์ มีแบบสอบถามสำรวจข้อมูลเกี่ยวกับความเครียด คุณภาพการนอน และพฤติกรรมการบริโภค และมีการส่งตรวจห้องปฏิบัติการ รวมถึงวัดความดันโลหิต การตรวจมวลกล้ามเนื้อ และการเก็บตัวอย่างเลือดสำหรับการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหาร และการตรวจไขมันในเลือด</p> <p>ผลการศึกษา: ผู้ป่วย MS ในกลุ่มทดลอง มีอัตราการหายจากโรคดีกว่ากลุ่มควบคุม (ร้อยละ 74.2 กับร้อยละ 48.4, p = 0.037) นอกจากนั้นทั้งสองกลุ่มมีการเปลี่ยนแปลงน้ำหนัก ความดันโลหิต ระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหาร ระดับไขมันเฮชดีแอล และระดับไตรกลีเซอไรด์ดีขึ้น (p < 0.05) อย่างไรก็ตามไม่พบการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญของตัวชี้วัดเหล่านี้ระหว่างสองกลุ่ม</p> <p>สรุป: การฝึกสมาธิบำบัดตามหลัก SKT มีประสิทธิผลในการช่วยให้ผู้ป่วยหายจากภาวะ MS ดังนั้นจึงสามารถพิจารณา SKT เป็นตัวเลือกในการรักษาเสริม สำหรับบุคคลที่มีภาวะเมตา-โบลิกซินโดรมได้เป็นอย่างดี</p> <p>คำสำคัญ: ความสัมพันธ์กายและจิต เมทาบอลิกซินโดรม สมาธิบำบัดประสานกายประสานจิต ความดันโลหิตสูง เบาหวาน</p>
2025-02-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/272584
ปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเสียชีวิตในโรงพยาบาลจากการเข้ารักษาโดยไม่ได้วางแผนของผู้ป่วยมะเร็งปอดที่ได้รับการดูแลประคับประคอง
2023-12-18T10:54:04+07:00
สรวิชญ์ วิชญาณรัตน์
sorrawit.wcyr@gmail.com
ภวิกา ทั้งสุข
Phaviga@gmail.com
<p>บทคัดย่อ</p> <p>ที่มา: โรคมะเร็งปอดเป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของการเสียชีวิตจากมะเร็งทั่วโลก ในช่วงเดือนสุดท้ายของชีวิตผู้ป่วยมีแนวโน้มที่จะเข้ารักษาในโรงพยาบาลโดยไม่ได้วางแผน (unplanned hospital admission) มากขึ้น การเลือกช่วงเวลาพูดคุยเรื่องการวางแผนดูแลล่วงหน้า (advance care planning) ที่เหมาะสมซึ่งอาจช่วยให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงการรักษาที่ไม่เกิดประโยชน์ยังคงเป็นความท้าทายของบุคลากรทางการแพทย์ ผู้วิจัยจึงมุ่งหวังที่จะศึกษาปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเสียชีวิตในโรงพยาบาลของผู้ป่วยกลุ่มนี้เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจของแพทย์ในการวางแผนดูแลล่วงหน้า</p> <p>วัสดุและวิธีการ: การศึกษาจากเหตุไปหาผลแบบย้อนหลัง (retrospective cohort study) รวบรวมข้อมูลจากเวชระเบียนของผู้ป่วยมะเร็งปอดแบบที่ได้รับการดูแลแบบประคับประคองและเข้ารักษาโดยไม่ได้วางแผนในโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ จ.เชียงราย ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2560 ถึง 30 เมษายน พ.ศ. 2565 ทั้งหมดจำนวน 573 ครั้ง จากผู้ป่วย 378 ราย</p> <p>ผลการศึกษา: อัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดที่เข้ารักษาในโรงพยาบาลเท่ากับร้อยละ 21.82 ปัจจัยที่เพิ่มโอกาสการเสียชีวิต คือ โรคปอดอักเสบติดเชื้อ (aOR = 2.12, 95%CI 1.19-3.77, p = 0.011) ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด (aOR = 3.83, 95%CI 1.56-9.43, p = 0.003) การบำบัดด้วยออกซิเจนชนิดอัตราการไหลสูง (aOR = 4.34, 95%CI 1.05-18.02, p = 0.043) และการใส่ท่อช่วยหายใจภายใน 48 ชั่วโมงแรก (aOR = 4.41, 95%CI 1.65-11.82, p = 0.003)</p> <p>สรุป: ผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดที่ได้รับการดูแลแบบประคับประคองกว่า 1 ใน 5 เสียชีวิตหลังเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลโดยไม่ได้วางแผน หากแพทย์พบว่าผู้ป่วยมีปัจจัยที่เพิ่มโอกาสการเสียชีวิตและพูดคุยวางแผนการดูแลล่วงหน้ากับผู้ป่วยเเละครอบครัวอาจหลีกเลี่ยงการรักษาที่ไม่เกิดประโยชน์ในช่วงสุดท้ายของชีวิตได้</p> <p>คำสำคัญ: มะเร็งปอด การดูแลแบบประคับประคอง การเสียชีวิตในโรงพยาบาล การเข้ารักษาโดยไม่ได้วางแผน</p>
2025-02-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/PCFM/article/view/286455
สังคมผู้สูงอายุกับความท้าทายในการเข้าถึงบริการสุขภาพอย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง
2025-02-26T08:32:00+07:00
สตางค์ ศุภผล
satang106@gmail.com
<p data-start="12" data-end="490">ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ โดยคาดการณ์ว่าภายในไม่กี่ปีข้างหน้า สัดส่วนของประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างประชากรนี้ส่งผลให้ความต้องการด้านสุขภาพของผู้สูงอายุมีความซับซ้อนมากขึ้น ทั้งในด้านการป้องกันโรค การดูแลภาวะเรื้อรัง และการฟื้นฟูสมรรถภาพ เพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีคุณภาพและมีศักดิ์ศรี แนวทางการดูแลที่เหมาะสมจึงต้องเป็นแบบองค์รวม ครอบคลุมทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และสิ่งแวดล้อม</p> <p data-start="492" data-end="861">เวชศาสตร์ครอบครัวเป็นแนวคิดที่เน้นการดูแลสุขภาพแบบต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญกับการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค และการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลภายใต้บริบทของครอบครัวและชุมชน การนำแนวคิดนี้มาประยุกต์ใช้ในการดูแลผู้สูงอายุจะช่วยให้เกิดระบบบริการสุขภาพที่เอื้อต่อการเข้าถึงและให้การดูแลต่อเนื่องที่บ้าน ลดภาระของโรงพยาบาลและเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุได้อย่างเป็นรูปธรรม</p> <p data-start="863" data-end="1311">บริการสุขภาพที่บ้าน (Home-Based Care) เป็นหนึ่งในแนวทางสำคัญที่ช่วยให้ผู้สูงอายุได้รับการดูแลที่เหมาะสม โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีภาวะเรื้อรังหรือภาวะพึ่งพิงสูง การจัดบริการลักษณะนี้จำเป็นต้องมีทีมสหวิชาชีพที่ทำงานร่วมกัน ตั้งแต่แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว พยาบาลวิชาชีพ นักกายภาพบำบัด นักโภชนาการ ตลอดจนเจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์ นอกจากนี้ เทคโนโลยีสื่อสารทางไกล (Telemedicine) ยังสามารถช่วยให้การติดตามอาการและให้คำปรึกษาทางสุขภาพเป็นไปได้อย่างสะดวกมากขึ้น</p> <p data-start="1313" data-end="1737">อย่างไรก็ตาม การจัดบริการสุขภาพที่บ้านให้มีประสิทธิภาพจำเป็นต้องอาศัยการบูรณาการทั้งในระดับนโยบาย ระบบสุขภาพ และการสนับสนุนจากชุมชน การพัฒนาระบบส่งต่อที่มีประสิทธิภาพ การจัดสรรทรัพยากรที่เหมาะสม และการส่งเสริมบทบาทของครอบครัวในการดูแลผู้สูงอายุเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องคำนึงถึง นอกจากนี้ การพัฒนาศักยภาพของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และเครือข่ายดูแลสุขภาพในชุมชน จะช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถเข้าถึงบริการได้สะดวกขึ้น</p>
2025-02-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารระบบบริการปฐมภูมิและเวชศาสตร์ครอบครัว