Journal of Kanchanaburi Rajabhat University
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/KRUjournal
สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี
en-US
Journal of Kanchanaburi Rajabhat University
2286-7589
-
การบริหารจัดการนวัตกรรมในวิสาหกิจชุมชนชนบท: กรอบแนวความคิด
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/KRUjournal/article/view/280550
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้และกรอบแนวคิดในการบริหารจัดการนวัตกรรมในวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่ชนบท โดยเน้นการนำเสนอปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของการนำนวัตกรรมมาใช้เพื่อช่วยให้วิสาหกิจชุมชนเติบโตอย่างยั่งยืนและสามารถแข่งขันได้ในยุคปัจจุบัน โดยประเทศไทยเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจหลายครั้ง ทำให้รัฐบาลต้องเสริมศักยภาพทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง หนึ่งในนโยบายสำคัญคือการสนับสนุนวิสาหกิจชุมชนตั้งแต่ปี 2548 เพื่อรวมกลุ่มเกษตรกรในการแปรรูปผลผลิตและเสริมความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม วิสาหกิจชุมชนยังคงเผชิญปัญหาด้านการบริหารจัดการ เช่น ขาดทักษะในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การจัดการทุน และการวางแผนกลยุทธ์ การบริหารจัดการนวัตกรรมในวิสาหกิจชุมชนชนบทเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเสริมศักยภาพในการแข่งขันและการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยการนำเทคโนโลยีและกระบวนการผลิตที่ทันสมัยมาปรับใช้ เช่น การใช้เครื่องจักรและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ รวมถึงการใช้การตลาดดิจิทัลเพื่อขยายช่องทางการจำหน่าย การสนับสนุนจากภาครัฐและองค์กรต่าง ๆ การฝึกอบรมและพัฒนาทักษะสมาชิกชุมชน รวมถึงการใช้ทรัพยากรในท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นปัจจัยที่ช่วยเพิ่มความสามารถในการพัฒนานวัตกรรมและสร้างความยั่งยืนในระยะยาว การส่งเสริมความร่วมมือและการพัฒนาทักษะในชุมชนจึงเป็นกุญแจสำคัญในการทำให้วิสาหกิจชุมชนในพื้นที่ชนบทสามารถเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพและตอบสนองต่อความต้องการของตลาดได้อย่างยั่งยืน</p>
Ruedeechanok Rungruangmaitree
Copyright (c) 2025 Journal of Kanchanaburi Rajabhat University
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-25
2025-06-25
14 1
3
14
-
อิทธิพลของการโฆษณาชวนเชื่อของอังกฤษต่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/KRUjournal/article/view/281042
<p>การโฆษณาชวนเชื่อเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ประเทศคู่สงครามในสงครามโลกครั้งที่ 1 นำมาใช้อย่างแพร่หลายแต่ยังไม่มีงานศึกษาเกี่ยวกับบทบาทของสยามในสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่กล่าวถึงประเด็นนี้มากนัก บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลของการโฆษณาชวนเชื่อของอังกฤษที่มีต่อมุมมองและพระราโชบายของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ผลการศึกษาพบว่า การที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเคยศึกษาและดำรงพระชนม์ชีพในอังกฤษมาก่อน ส่งผลให้ทรงมีความผูกพันกับอังกฤษ อีกทั้งการที่ทรงมีมุมมองต่อเยอรมนีในแง่ลบ ส่งผลให้ทรงเปิดรับและให้ความเชื่อถือข่าวสารโฆษณาชวนเชื่อของอังกฤษ ที่มุ่งเสนอข่าวความโหดร้ายทารุณ ความไร้มนุษยธรรม และการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศของเยอรมนี เป็นสาเหตุหนึ่งที่นำไปสู่การตัดสินพระทัยประกาศสงครามกับเยอรมนีในเวลาต่อมา</p>
Wasapol Thumruksa
Copyright (c) 2025 Journal of Kanchanaburi Rajabhat University
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-25
2025-06-25
14 1
13
24
-
ความรอบรู้ด้านดิจิทัลของนักเรียน : แนวคิด และข้อเสนอแนะสู่แนวปฏิบัติเพื่อสร้างสมดุลการดำเนินชีวิตในบริบทที่เปลี่ยนแแปลง
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/KRUjournal/article/view/282077
<p>ตามความหมายความรอบรู้ทางดิจิทัล หมายถึง ทักษะสำคัญในยุคดิจิทัลที่ส่งผลต่อความสามารถในการวิเคราะห์ สร้างสรรค์ และใช้งานข้อมูลในสื่อดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นความจำเป็นของความรอบรู้ทางดิจิทัลด้านต่าง ๆ ในปัจจุบัน และความสำคัญของความรอบรู้ด้านดิจิทัลในกระบวนการเรียนรู้ของนักเรียน ทั้งด้านการประเมินความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูล การนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อสร้างสรรค์และแก้ปัญหา และการปฏิบัติตนอย่างเหมาะสมในสังคมออนไลน์ ผลการศึกษาพบว่า 1. การประเมินความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูล ต้องมีทักษะในการประเมินความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูล เพื่อป้องกันการรับข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือบิดเบือน การตรวจสอบที่มาของข้อมูลการเปรียบเทียบข้อมูลจากหลายแหล่ง และการวิเคราะห์เนื้อหาด้วยความระมัดระวัง 2. การนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อสร้างสรรค์และแก้ปัญหา ช่วยพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และความคิดเชิงวิเคราะห์แล้ว ยังเพิ่มโอกาสในการแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์ในสถานการณ์ต่าง ๆ การเรียนรู้เทคโนโลยีในเชิงลึกและรู้จักนำไปประยุกต์ใช้กับปัญหาจริงเป็นทักษะที่จำเป็น และ 3. การปฏิบัติตนอย่างเหมาะสมในสังคมออนไลน์ การแสดงออกอย่างเหมาะสมในสังคมออนไลน์ไม่เพียงแค่ป้องกันตนเองจากความขัดแย้ง แต่ยังช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีในชุมชนออนไลน์ ข้อเสนอแนะคือการเรียนในยุคปัจจุบันนักเรียนจำเป็นต้องมีทักษะในการตรวจสอบแหล่งของข้อมูล ความถูกต้องและความน่าเชื่อถือ เพื่อป้องกันข้อมูลผิดพลาด นอกจากนี้ การใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์เพื่อพัฒนางาน และแก้ปัญหาเป็นสิ่งที่ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังต้องมีความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติตนในสังคมออนไลน์อย่างมีจริยธรรมและรับผิดชอบเพื่อป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์และส่งเสริมการอยู่ร่วมกัน อย่างสร้างสรรค์บนโลกดิจิทัล</p> <p> </p>
นางสาวหนึ่งนุช กาฬภักดี
ดุษฎี อินทรประเสริฐ
รศ.พ.ต.ท. ดร.ศิริพงษ์ เศาภายน
Copyright (c) 2025 Journal of Kanchanaburi Rajabhat University
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-25
2025-06-25
14 1
25
36
-
ทุนทางสังคมและวัฒนธรรมกับการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนฐานราก ตำบลพงตึก อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/KRUjournal/article/view/287011
<p>โครงการวิจัยเรื่อง ทุนทางสังคมและวัฒนธรรมกับการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนฐานราก ตำบลพงตึก <br />อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี มีวัตถุประสงค์ของโครงการวิจัย คือ 1. เพื่อศึกษาทุนทางสังคมและวัฒนธรรม ตำบลพงตึก อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี 2. เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน ตำบลพงตึก อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี โครงการวิจัยนี้เป็นงานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) และการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม เก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้นำชุมชน ปราชญ์ชุมชน ตัวแทนกลุ่มผู้สูงอายุ ตัวแทนกลุ่มวิสาหกิจชุมชน และประชาชนทั่วไปในเขตพื้นที่ศึกษา และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้แนวคิดทุนทางสังคม ทุนทางวัฒนธรรม และแนวคิดกระบวนการมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชน</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า ทุนทางสังคมและวัฒนธรรมตำบลพงตึก ประกอบไปด้วย ทุนมนุษย์ กลุ่มชาติพันธุ์ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์จีน และยังมีส่วนหนึ่งเป็นชาวญวนอาศัยอยู่ในหมู่ที่ 6 บ้านหนองพันท้าว กลุ่มชาติพันธุ์มอญ (มอญวังทอง) ด้านทุนทางสังคม ประกอบด้วย สถาบันทางศาสนาและผู้นำทางศาสนา (วัดดงสัก วัดปากบาง) และกลุ่มวิสาหกิจชุมชนต่าง ๆ ทุนภูมิปัญญาทองถิ่นที่สำคัญของตำบลพงตึก ได้แก ภูมิปัญญาการแทงหยวกกล้วย งานหัตถกรรมเครื่องจักสานต่าง ๆ ทุนทางเศรษฐกิจมีสินคาพื้นเมืองและของที่ระลึกต่าง ๆ เช่น ไส้กรอกสมุนไพร กระเป๋าเชือกถัก ทุนทางวัฒนธรรม ได้แก่ ประเพณีและงานประจำปที่สำคัญได้แก่ งานประจำปีการไหว้ศาลพ่อปู่เทวาลัย โบราณสถานพงตึก โบราณสถานหมายเลข 1<strong> </strong>และโบราณสถานหมายเลข 2 โบราณวัตถุที่สำคัญ ได้แก่ ตะเกียงชวาลาสำริด เป็นตะเกียงแบบกรีก-โรมัน และมีวัดที่สำคัญได้แก่ วัดปากบางและวัดดงสัก แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนบนฐานทุนทางสังคมและวัฒนธรรม 1) พัฒนาสินค้าวัฒนธรรมจากภูมิปัญญาท้องถิ่น 2) พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และโบราณคดี</p> <p> </p>
จักษุมาลย์ วงษ์ท้าว
Copyright (c) 2025 Journal of Kanchanaburi Rajabhat University
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-25
2025-06-25
14 1
37
50
-
โบราณสถานเมืองครุฑ และ เมืองกลอนโดในภูมิวัฒนธรรม ช่วงพุทธศตวรรษที่ 17 – 18
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/KRUjournal/article/view/288130
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบทบาทของเมืองครุฑและเมืองกลอนโดในภูมิวัฒนธรรม ช่วงพุทธศตวรรษที่ 17-18 โดยใช้แนวคิดภูมิวัฒนธรรมร่วมกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีที่พบ ในพื้นที่ดำเนินการวิจัยด้วยวิธีการวิจัยทางประวัติศาสตร์ โดยสำรวจและรวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลปฐมภูมิ และทุติยภูมิ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการวิเคราะห์สรุปอุปนัย ผลการวิจัยพบว่า เมืองครุฑและเมืองกลอนโดมีความสัมพันธ์กับเมืองสิงห์และได้รับอิทธิพลจากศิลปะขอมในช่วงพุทธศตวรรษที่ 17-18 ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า เมืองโบราณทั้งสองแห่งนี้อาจมีบทบาทในสองสถานะ คือ สถานะแรก สันนิษฐานว่า เป็นการสถาปนาปราสาทศูนย์กลางของเมืองขนาดเล็ก ให้เป็นปราสาทชุมชน เพื่อประโยชน์ในเชิงอำนาจและผลประโยชน์ของเมืองพระนคร ผ่านศาสนาและวัฒนธรรม และสถานะที่สอง สันนิษฐานว่า เป็นการยกระดับศาสนสถานของชุมชนให้มีรูปแบบ และความหมายตามวัฒนธรรมและคตินิยมหลักในสมัยนั้น เพื่อแสดงให้เห็นถึงอำนาจและพัฒนาการภายใน ของชุมชน บริเวณลุ่มแม่น้ำแควน้อยเดิมที่ขยายตัวขึ้นจากการค้าและการรับวัฒนธรรมจากดินแดนภายนอก ในฐานะประตูด่าน จุดแวะพัก สำหรับการเดินทางต่อไปยังศาสนสถานหลักของเมืองหรือการเดินทางไปยังชุมทางหลัก ซึ่งทั้งสองสถานะสะท้อนถึงการใช้ประโยชน์จากลักษณะภูมิประเทศ และสิ่งแวดล้อมทางกายภาพภายใต้กระแสพัฒนาการและพลวัตทางวัฒนธรรมจากทั้งภายในพื้นที่เอง และวัฒนธรรมร่วมแบบศิลปกรรมขอมจากภายนอกพื้นที่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 17 – 18</p>
Pratchaya Luangdaeng
Copyright (c) 2025 Journal of Kanchanaburi Rajabhat University
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-25
2025-06-25
14 1
51
60
-
การพัฒนาการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานวิชาหลักและวิธีสอนบาสเกตบอลที่มีผลต่อความรู้ ทักษะและความพึงใจ ของนิสิตพลศึกษา มหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/KRUjournal/article/view/285801
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานวิชาหลักและวิธีสอนบาสเกตบอล ที่มีผลต่อความรู้ ทักษะและความพึงใจ ของนิสิตพลศึกษา มหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต 2. เพื่อเปรียบเทียบผลการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานวิชาหลักและวิธีสอนบาสเกตบอลที่มีผลต่อความรู้และทักษะ 3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานวิชาหลักและวิธีสอนบาสเกตบอลของนิสิตพลศึกษา ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ นิสิต สาขาพลศึกษาชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต จำนวน 55 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบความรู้ แบบทดสอบทักษะ แบบสอบถามความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าทดสอบ t-test dependent<br />ผลการศึกษา พบว่า แผนการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานแผน 1-7 ภาพรวมของผู้เชี่ยวชาญประเมิน โดยรวมอยู่ในระดับมากและมากที่สุด (μ = 3.95, σ = 0.05) ด้านความรู้ พบว่า นิสิตมีความรู้หลังเรียนสูงกว่า ก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ด้านทักษะการรับ-ส่งบาสเกตบอล และทักษะการยิงประตู พบว่า นิสิตมีทักษะหลังเรียนดีกว่าก่อนเรียนทั้ง 2 ทักษะ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 และด้านความพึงพอใจ พบว่า นิสิตมีความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (μ= 4.64, σ = 0.03) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านการจัดการเรียนรู้ ด้านเนื้อหา ด้านการวัดและการประเมินผล และด้านสื่อวิดีโอออนไลน์ มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด ตามลำดับ</p>
Wattana Suthphan
Sujitra Boonsuan
Prathum Chobjai
Tretaset Aneknual
Pongsakorn Narin
Luxsamee Chimwong
Copyright (c) 2025 Journal of Kanchanaburi Rajabhat University
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-25
2025-06-25
14 1
61
72
-
การพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมในเด็กเตรียมปฐมวัยโดยการเล่านิทานประกอบคติสอนใจ
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/KRUjournal/article/view/281101
<p>การวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมาย 1) เพื่อศึกษาการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมในเด็กเตรียมปฐมวัยโดยการเล่านิทานประกอบคติสอนใจ 2) เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมด้านคุณธรรมจริยธรรมในเด็กเตรียมปฐมวัยก่อนและหลังการเล่านิทานประกอบคติสอนใจ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ เด็กเตรียมปฐมวัยชาย - หญิงที่มีอายุระหว่าง 2-3 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นเตรียมปฐมวัย ห้อง 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 ของโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา (ฝ่ายปฐมวัย) จำนวน 24 คน ระยะเวลาที่ใช้ในการดำเนินการวิจัยครั้งนี้ ดำเนินการในภาคเรียน ที่ 2 ปีการศึกษา 2566 ใช้เวลาในการวิจัย 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 วัน วันละ 15-20 นาที เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ครั้งนี้คือ 1) นิทานพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมในเด็กเตรียมปฐมวัย 2) แผนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบคติสอนใจ 3) แบบสังเกตพฤติกรรมด้านคุณธรรมจริยธรรมของเด็กเตรียมปฐมวัย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (t-test for Dependent Samples) ผลการวิจัยพบว่า เด็กเตรียมปฐมวัยหลังจากได้รับการพัฒนาพฤติกรรมด้านคุณธรรมจริยธรรม โดยการเล่านิทานประกอบ คติสอนใจ มีคุณธรรมจริยธรรมสูงขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p>
ภัทราวรรณ จันทร์เนตร์
ฺBoonthai Charoenpol
Copyright (c) 2025 Journal of Kanchanaburi Rajabhat University
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-25
2025-06-25
14 1
73
84
-
การแปลคำสรรพนามในประโยคทางธุรกิจ กรณีศึกษาสรรพนาม “it” ของนักศึกษาสาขาวิชาภาษาอังกฤษธุรกิจ
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/KRUjournal/article/view/287948
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษากลวิธีการแปลคำสรรพนาม “it” ในประโยคทางธุรกิจภาษาอังกฤษ เป็นภาษาไทยของนักศึกษาสาขาวิชาภาษาอังกฤษธุรกิจ และเพื่อวิเคราะห์ปัญหาที่พบในการแปลคำสรรพนาม “it” ในประโยคทางธุรกิจภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยของนักศึกษาสาขาวิชาภาษาอังกฤษธุรกิจ งานวิจัยนี้เป็นการวิจัย เชิงคุณภาพ โดยมีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักศึกษาสาขาวิชาภาษาอังกฤษธุรกิจชั้นปีที่ 3 คณะมนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี ที่กำลังเรียนอยู่ในรายวิชาการแปลทางธุรกิจ เครื่องมือสำหรับ การวิจัยเป็นแบบทดสอบการแปลประโยคทางธุรกิจภาษาอังกฤษให้เป็นภาษาไทยที่พัฒนาจากแนวคิดของซินแคลร์ และคณะ (Sinclair et al., 1996) ข้อมูลจากแบบทดสอบของนักศึกษาจะถูกรวบรวมและวิเคราะห์เพื่อสำรวจกลวิธี การแปลคำสรรพนาม “it” และสังเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการแปลคำสรรพนาม “it” ในประโยคทางธุรกิจ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า กลวิธีการแปลคำสรรพนาม “it” ในประโยคทางธุรกิจเป็นภาษาไทย ของนักศึกษาสาขาวิชาภาษาอังกฤษธุรกิจ ในกรณีของ “it” ที่ทำหน้าที่ประธาน พบว่า กลวิธีที่นักศึกษาใช้มากที่สุด คือ กลวิธี การแปลแบบละหรือไม่แปล รองลงมาเป็นการแปลแบบรักษาความ การแปลแบบรักษารูปแบบ และกลวิธีการใช้คำที่มีความหมายเกี่ยวเนื่องกัน ที่เป็นกลวิธีที่พบน้อยที่สุดตามลำดับ ในกรณีของ “it” ที่ทำหน้าที่เป็นกรรม พบว่า มีการใช้กลวิธีการแปลแบบรักษาความมีมากที่สุด ถัดมาคือการแปลแบบละ การแปลรักษารูปแบบ และการแปลแบบใช้คำที่มีความหมายเกี่ยวเนื่องกัน ตามลำดับ และปัญหาที่มักพบในการแปลคำสรรพนาม “it” ได้แก่ ปัญหาการแปลแบบยึดติดรูปแบบ ปัญหาการเลือกใช้คำที่มีความหมายเกี่ยวเนื่องกัน และปัญหาการละคำ แปลสรรพนาม ในบริบทที่ไม่ควรละการแปล</p>
Nawamit Prathammasarn
Kansinee Chuaypenchaiphat
Siwaporn Tuanthaisong
Wilinwan Saengphuang
Jutamat Noosud
Duangduen Jangpanich
Copyright (c) 2025 Journal of Kanchanaburi Rajabhat University
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-25
2025-06-25
14 1
85
98
-
ความสัมพันธ์ระหว่างการปรับตัวเชิงกลยุทธ์และความสำเร็จของผู้ประกอบการธุรกิจการท่องเที่ยวและกีฬาในจังหวัดสุพรรณบุรี
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/KRUjournal/article/view/281333
<p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการปรับตัวเชิงกลยุทธ์ 1) ด้านการเปิดกว้างของผู้นำที่ 2) ด้านการยอมรับเทคโนโลยีใหม่ 3) ด้านการเรียนรู้และการปรับตัวต่อความล้มเหลว 4) ด้านการส่งเสริมวัฒนธรรมที่กล้าเสี่ยง และ 5) ด้านการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของลูกค้าที่มีต่อความสำเร็จของผู้ประกอบการธุรกิจการท่องเที่ยวและกีฬาในจังหวัดสุพรรณบุรี สำหรับกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้ประกอบการธุรกิจการท่องเที่ยวและกีฬาในจังหวัดสุพรรณบุรี จำนวน 291 ราย โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์สหสัมพันธ์พหุคูณ และการวิเคราะห์การถดถอยแบบพหุคูณ </p> <p>ผลลัพธ์จากการวิจัย พบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างการปรับตัวเชิงกลยุทธ์ด้านการส่งเสริมวัฒนธรรม ที่กล้าเสี่ยงมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับความสำเร็จของผู้ประกอบการธุรกิจการท่องเที่ยวและกีฬาในจังหวัดสุพรรณบุรี ในทางกลับกัน การปรับตัวเชิงกลยุทธ์ด้านการเปิดกว้างของผู้นำ ด้านการยอมรับเทคโนโลยีใหม่ ด้านการเรียนรู้ และการปรับตัวต่อความล้มเหลว และด้านการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของลูกค้าไม่ส่งผลเชิงบวก กับความสำเร็จของผู้ประกอบการธุรกิจการท่องเที่ยวและกีฬาในจังหวัดสุพรรณบุรี </p>
Sasipimmas Hongsombud
ศิริวรรณ คำบัว
ประนอม พนาเศรษฐเนตร
วันทิตา จะบัง
Copyright (c) 2025 Journal of Kanchanaburi Rajabhat University
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-25
2025-06-25
14 1
99
109
-
การศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลในการเลือกทำเลที่ตั้งศูนย์กระจายสินค้า กรณีศึกษา: คลองไทย 9A
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/KRUjournal/article/view/286124
<p>ศูนย์กระจายสินค้าเป็นโครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์ทำหน้าที่เป็นแหล่งรวบรวมและกระจายสินค้าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบโลจิสติกส์ เป็นจุดเชื่อมต่อกับการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบซึ่งสามารถลดต้นทุนด้าน โลจิสติกส์และเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งจากแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ.2561-2580) มุ่งเน้นพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์และระบบขนส่ง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางเศรษฐกิจของประเทศและเชื่อมโยง กับเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียน จากนโยบาย แผนยุทธศาสตร์แห่งชาติ 20 ปี และแผนปฏิบัติด้านคมนาคม จะให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านโลจิสติกส์และการขนส่งทั้งในด้านความสามารถในการแข่งขัน และลดต้นทุนการขนส่ง โดยมีจุดแข็งคือเป็นศูนย์กลางคมนาคมขนส่งของภูมิภาค แต่เมื่อพิจารณาถึงศูนย์กระจายสินค้า จะพบว่าส่วนใหญ่เป็นศูนย์กระจายสินค้าของบริษัทเอกชนและมีการกระจุกตัวอยู่บริเวณ ภาคกลางและภาคตะวันออก รวมถึงแนวโน้มการค้าของโลก โดยจากยุทธศาสตร์เส้นทางสายไหม (OBOR) ของจีน มีบทบาทสำคัญต่อการค้าโลก ซึ่งส่งผลให้ประเทศไทยมีโอกาสพัฒนาโครงการโลจิสติกส์ขนาดใหญ่ เช่น คลองไทย (เส้นทาง 9A) ทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางการค้า และโลจิสติกส์ในเอเชีย โดยการศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลในการเลือกทำเลที่ตั้งศูนย์กระจายสินค้า กรณีศึกษา: คลองไทย 9A มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาปัจจัยในการเลือกที่ตั้งศูนย์กระจายสินค้าสำหรับคลองไทย 9A 2. เพื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบค่าน้ำหนักของปัจจัยที่มีอิทธิพลในการเลือกที่ตั้งศูนย์กระจายสินค้าสำหรับคลองไทย 9A</p> <p>จากการวิเคราะห์ลำดับชั้นเชิงการวิเคราะห์ 4 ปัจจัยหลัก และ 11 ปัจจัยรอง พบว่า ปัจจัยหลักที่มีความสำคัญที่สุดในการจัดที่ตั้งศูนย์กระจายสินค้าคือ ปัจจัยคมนาคม ซึ่งมีค่าน้ำหนักร้อยละ 44.50 สำหรับปัจจัย รองที่มีความสำคัญที่สุด ได้แก่ปัจจัยด้านการเข้าถึงถนนสายหลัก มีค่าน้ำหนักร้อยละ 17.90 รองลงมา คือ ปัจจัย ด้านสถานีขนส่ง การเข้าถึงการขนส่งทางราง และการเข้าถึงการขนส่งทางน้ำ มีค่าถ่วงน้ำหนักความสำคัญอยู่ที่ 16.66, 11.25 และ10.81 ตามลำดับ</p>
Punchart Chanakul
Kawin Chuaikaew
Sivanart Phongvisit
Copyright (c) 2025 Journal of Kanchanaburi Rajabhat University
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-25
2025-06-25
14 1
110
121
-
วัฒนธรรมการทำงาน แรงจูงใจด้านผลตอบแทนที่ส่งผลต่อความผูกพันต่อองค์กรของพนักงานกลุ่มเจเนอเรชั่นวายบริษัทเอกชนในกรุงเทพมหานคร
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/KRUjournal/article/view/287037
<p>การวิจัยเรื่อง วัฒนธรรมการทำงาน และแรงจูงใจด้านผลตอบแทนที่ส่งผลต่อความผูกพันต่อองค์กร ของพนักงานกลุ่มเจเนอเรชั่นวายบริษัทเอกชนในกรุงเทพมหานคร มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวัฒนธรรมการทำงาน ที่ส่งผลต่อความผูกพันองค์กรของพนักงานกลุ่มเจเนอเรชั่นวายบริษัทเอกชนในกรุงเทพมหานครและเพื่อศึกษาแรงจูงใจด้านผลตอบแทนที่อยู่ในรูปตัวเงินที่ส่งผลต่อความผูกพันองค์กรของพนักงานกลุ่มเจเนอเรชั่นวายบริษัทเอกชนในกรุงเทพมหานครและเพื่อศึกษาแรงจูงใจด้านผลตอบแทนที่ไม่อยู่เป็นรูปตัวเงินที่ส่งผลต่อความผูกพันองค์กรของพนักงานกลุ่มเจเนอเรชั่นวายบริษัทเอกชนในกรุงเทพมหานคร โดยการศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาวิจัย แบบเชิงปริมาณ (Quantitative Research) กลุ่มตัวอย่างคือ พนักงานบริษัทเอกชน กลุ่มเจเนอเรชั่นวายในเขตกรุงเทพมหานคร โดยใช้สูตรแบบไม่ทราบจำนวนประชากรของ Cochran ได้จำนวน 400 คน ใช้วิธีสุ่มตัวอย่าง แบบเจาะจง คือ เป็นผู้ที่ทำงานในบริษัทเอกชน พื้นที่ทำงานอยู่ 5 เขตที่มีนิติบุคคลดำเนินธุรกิจอยู่ในกรุงเทพมหานครมากที่สุด ได้แก่ เขตวัฒนา เขตบางรัก เขตประเวศ เขตจตุจักร และเขตห้วยขวาง และเกิดระหว่างปี พ.ศ. 2523 – 2540 เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมานได้แก่ การวิเคราะห์ถดถอยเชิงเส้นพหุคูณ (Multiple Linear Regression Analysis)</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า วัฒนธรรมการทำงาน แรงจูงใจด้านผลตอบแทนที่อยู่ในรูปตัวเงิน และแรงจูงใจ ด้านผลตอบแทนที่ไม่อยู่ในรูปตัวเงินส่งผลต่อความผูกพันองค์กรของพนักงานกลุ่มเจเนอเรชั่นวายบริษัทเอกชน ในกรุงเทพมหานคร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานที่กำหนดไว้</p>
Nittaya Phennetr
Aannicha Thunyachairat
Nanti Suthikarnnarunai
Copyright (c) 2025 Journal of Kanchanaburi Rajabhat University
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-25
2025-06-25
14 1
122
134
-
กลยุทธ์การสื่อสารแบรนด์และการสร้างสื่อมัลติมีเดียบนฐานแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ผ้าทอชาติพันธุ์วิสาหกิจชุมชนช้างป่าห้วยเขย่ง อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/KRUjournal/article/view/287035
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ คือ 1) ศึกษากลยุทธ์การสื่อสารแบรนด์ผลิตภัณฑ์ผ้าทอชาติพันธุ์ 2) เพื่อศึกษาการสร้างสื่อมัลติมีเดียผลิตภัณฑ์ผ้าทอชาติพันธุ์ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อสื่อโฆษณาและประชาสัมพันธ์ผ้าทอชาติพันธุ์ พื้นที่ในการวิจัย คือ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนช้างป่าห้วยเขย่ง อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี โดยการคัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้เชิงคุณภาพ คือ การสัมภาษณ์เชิงลึก และเครื่องมือเชิงปริมาณ คือ แบบสอบถามสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการศึกษาด้านกลยุทธ์การสื่อสารแบรนด์กลยุทธ์การตลาดเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Marketing) เน้นการใช้วัสดุธรรมชาติและกระบวนการผลิตที่ไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและตอบโจทย์ลูกค้าที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมประกอบด้วย โมเดลกลยุทธ์การสื่อสารแบรนด์ผ้าทอชาติพันธุ์ (E-CULTURE Model) โมเดลนี้ประกอบด้วย 7 องค์ประกอบหลัก สะท้อนผ่านคำว่า E-CULTURE 2) ผลการศึกษาการสร้างสื่อมัลติมีเดีย การผลิตวิดีโอสารคดีสั้น และอินโฟกราฟิก เพื่อแสดงเรื่องราวของชุมชน ขั้นตอนการผลิต และคุณค่าของผ้าทอ และ 3) ผลการศึกษาความพึงพอใจต่อสื่อมัลติมีเดียให้ความสำคัญกับคุณภาพของการนำเสนอ เช่น ความละเอียดของภาพ กราฟิก และการเล่าเรื่องที่สื่อถึงคุณค่าทางวัฒนธรรม ส่วนความพึงพอใจต่อสื่อโฆษณาและประชาสัมพันธ์มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.68 ค่า S.D. = 0.52 อยู่ในระดับมากที่สุด</p>
Phacharanat Kainunapa
Jutaporn Mueanchoo
Patcharin Boonsomthop
Thitiyaworada Kanphai
Sarinya Subvaree
Copyright (c) 2025 Journal of Kanchanaburi Rajabhat University
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-25
2025-06-25
14 1
135
147
-
การพัฒนาระบบการโอนเงินค่าสอนอาจารย์พิเศษผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ของวิทยาลัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/KRUjournal/article/view/288136
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาระบบการโอนเงินค่าสอนอาจารย์พิเศษผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ของวิทยาลัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ 2) ประเมินคุณภาพของระบบการโอนเงินค่าสอนอาจารย์พิเศษผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ของวิทยาลัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และ 3) ประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้ระบบการโอนเงินค่าสอนอาจารย์พิเศษผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ของวิทยาลัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ เจ้าหน้าที่ระดับหน่วยงาน จำนวน 15 คน เจ้าหน้าที่ระดับส่วนงาน จำนวน 16 คน และเจ้าหน้าที่ระดับกองคลัง จำนวน 6 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ วิธีการเลือกแบบเจาะจง การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า การทดสอบระบบการจ่ายเงินค่าสอนอาจารย์พิเศษผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลการประเมินระดับคุณภาพของระบบการจ่ายเงินค่าสอนอาจารย์พิเศษผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยผู้เชี่ยวชาญ ด้านความปลอดภัยของระบบ มีคุณภาพโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ที่ค่าเฉลี่ยเท่ากับ5.00 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานที่ 0.00 ด้านความเหมาะสมในการใช้งานระบบ มีคุณภาพโดยรวมอยู่ใน ระดับมาก ที่ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.33 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานที่ 0.57 ด้านการบริหารจัดการ มีคุณภาพโดยรวมอยู่ในระดับมาก ที่ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.33 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานที่ 0.57 ด้านกระบวนการใช้งานของผู้ใช้งานทุกระดับ มีคุณภาพโดยรวมอยู่ในระดับมาก ที่ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.47 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานที่ 0.46 และผลการประเมิน ความพึงพอใจของผู้ใช้งานระบบการจ่ายเงินค่าสอนอาจารย์พิเศษผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ด้านการใช้งานระบบ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.34 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานที่ 0.65 อยู่ในระดับมาก ด้านการเบิกจ่ายค่าสอน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.28 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานที่ 0.61 อยู่ในระดับมาก ด้านการแจ้งผลการดำเนินการทางอีเมลและการแจ้งเตือน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.29 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานที่ 0.63 อยู่ในระดับมาก ด้านความพึงพอใจของผู้ใช้งานระบบโดยภาพรวม มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.31 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานที่ 0.63 อยู่ในระดับมาก</p>
WANPEN PHOPOON
Sutasinee Boonpradit
Copyright (c) 2025 Journal of Kanchanaburi Rajabhat University
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-25
2025-06-25
14 1
148
159