https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JPG/issue/feed วารสารกฎหมายและการเมืองการปกครอง 2025-06-25T14:47:23+07:00 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สมศักดิ์ เจริญพูล jpg-slp@dusit.ac.th Open Journal Systems <p>วารสาร กฎหมายและการเมืองการปกครอง (Journal of Law and Political Affairs) เปิดรับบทความวิจัย บทความวิชาการ และบทความวิจารณ์หนังสือ เพื่อตีพิมพ์และเผยแพร่ ในด้านที่เกี่ยวกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายปกครอง กฎหมายอาญา กฎหมายมหาชน กระบวนการยุติธรรม กฎหมายว่าด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม กฎหมายเอกชน กฎหมายระหว่างประเทศ กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ และประกาศอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง<strong> </strong>ด้านที่เกี่ยวกับการบริหารการเมือง การปกครอง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ นโยบายสาธารณะ กิจการที่เกี่ยวข้องกับรัฐ รูปแบบความสัมพันธ์ของรัฐ องค์กรทางการเมือง การปกครองส่วนท้องถิ่น การอำนวยความยุติธรรม การพัฒนาสังคมและชุมชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยตีพิมพ์ปีละ 2 ฉบับ ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม – มิถุนายน และฉบับที่ 2 เดือนกรกฎาคม - ธันวาคม</p> https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JPG/article/view/287199 การควบคุมตรวจสอบการใช้ดุลพินิจของฝ่ายปกครองโดยศาลปกครอง : ศึกษาเหตุอันควรลดหย่อนโทษทางวินัยกรณีพนักงานส่วนตำบลกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง 2025-05-06T07:05:49+07:00 ทศพร อัชนกุล tos1415939@gmail.com อานุภาพ รักษ์สุวรรณ tos1415939@gmail.com <p> การค้นคว้าอิสระทางกฎหมายฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวความคิด ทฤษฎี กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับวินัย โทษทางวินัย เหตุอันควรลดหย่อนโทษทางวินัยของพนักงานส่วนตำบล อำนาจดุลพินิจของฝ่ายปกครองการแสวงหาข้อเท็จจริงของศาลปกครองในเรื่องเกี่ยวกับเหตุอันควรลดหย่อนโทษทางวินัย และการควบคุมตรวจสอบการใช้ดุลพินิจของฝ่ายปกครองโดยศาลปกครอง เพื่อเป็นข้อมูลที่แสดงให้เห็นปัญหาเกี่ยวกับเหตุอันควรลดหย่อนโทษทางวินัยกรณีพนักงานส่วนตำบลกระทำความผิดวินัยอย่างร้ายแรง การแสวงหาข้อเท็จจริงของศาลปกครองในเรื่องเกี่ยวกับเหตุอันควรลดหย่อนโทษทางวินัยกรณีพนักงานส่วนตำบลกระทำความผิดวินัยอย่างร้ายแรง รวมทั้งการควบคุมตรวจสอบการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ของรัฐในการมีคำสั่งในการกำหนดระดับโทษทางวินัย<br />โดยศาลปกครอง</p> <p><strong> </strong>ผลจากการศึกษาพบว่า ประกาศคณะกรรมการกลางพนักงานส่วนตำบล เรื่อง มาตรฐานทั่วไปเกี่ยวกับวินัยและการรักษาวินัยและการดำเนินการทางวินัย พ.ศ. 2558 ข้อ 85 ไม่ได้กำหนดว่ากรณีใดบ้างที่ถือว่าเป็นเหตุอันควรลดหย่อนโทษทางวินัย จึงทำให้ผู้สั่งลงโทษทางวินัยไม่มีกรอบในการใช้ดุลพินิจ อีกทั้งในการพิจารณาพิพากษาคดีปกครองเกี่ยวกับวินัย ศาลปกครองมีแนวโน้มจะตรวจสอบการใช้ดุลพินิจในกรณีที่ผู้บังคับบัญชาไม่ได้ลดหย่อนโทษให้ แต่หากผู้ฟ้องคดีมีข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่ามีเหตุลดหย่อนโทษทางวินัย ศาลปกครองก็จะตรวจสอบว่าเหตุตามที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างเป็นเหตุอันควรลดหย่อนโทษหรือไม่ แต่มักจะไม่ตรวจสอบในกรณีที่ผู้บังคับบัญชาได้ลดหย่อนโทษให้กรณีที่เห็นว่ามีเหตุอันควรลดหย่อนโทษทางวินัย</p> <p> การศึกษาครั้งนี้มีข้อเสนอแนะ เห็นควรปรับปรุงและแก้ไขเพิ่มเติมประกาศคณะกรรมการกลางพนักงานส่วนตำบล เรื่อง มาตรฐานทั่วไปเกี่ยวกับวินัยและการรักษาวินัยและการดำเนินการทางวินัย พ.ศ. 2558 ข้อ 85 วรรคสอง ให้มีการระบุว่า เหตุอันควรลดหย่อนโทษได้แก่อะไรบ้าง รวมทั้งข้อเสนอแนะให้ศาลปกครองโดยสำนักงานศาลปกครองควรจัดให้มีการสัมมนาเพื่อระดมความคิดเห็นของตุลาการศาลปกครองสูงสุดหรือตุลาการศาลปกครองชั้นต้นในเรื่องเกี่ยวกับการควบคุมตรวจสอบการใช้ดุลพินิจในการกำหนดระดับโทษทางวินัยกรณีมีเหตุอันควรลดหย่อนโทษทางวินัย</p> 2025-06-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารกฎหมายและการเมืองการปกครอง https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JPG/article/view/287106 กระบวนการพิจารณาของสภาท้องถิ่นต่อร่างข้อบัญญัติที่เสนอตามพระราชบัญญัติ การเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น พ.ศ. 2565 2025-04-09T13:21:37+07:00 วราภรณ์ ขวัญเรือน warapornkwanraun@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและวิเคราะห์ถึงกระบวนการพิจารณาของสภาท้องถิ่นต่อร่างข้อบัญญัติท้องถิ่นที่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้มีการเสนอตามพระราชบัญญัติการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น พ.ศ. 2565 โดยทำการศึกษาจากเอกสาร ประกอบด้วยแนวคิด ทฤษฎี และบทบัญญัติกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ผลการวิจัยพบว่า การเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่นสามารถกระทำได้ทั้งโดยสมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น และประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยข้อบัญญัติท้องถิ่นที่มีการเสนอดังกล่าวจะต้องเข้าสู่การพิจารณาของสภาท้องถิ่นทั้งสิ้น ซึ่งกระบวนการพิจารณาของสภาท้องถิ่นจะเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับการประชุมสภาท้องถิ่น สำหรับข้อบัญญัติท้องถิ่นที่เสนอโดยประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น พ.ศ. 2565 แม้กระบวนการพิจารณาของสภาท้องถิ่นจะเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับการประชุมสภาท้องถิ่นเช่นเดียวกับข้อบัญญัติท้องถิ่นที่เสนอโดยสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น แต่ก็ยังคงมีความแตกต่างในประเด็นที่เป็นสาระสำคัญหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดให้ประชาชนสามารถเข้าชื่อเสนอได้ทั้งข้อบัญญัติทั่วไป และข้อบัญญัติงบประมาณโดยได้รับคำรับรองจากผู้บริหารท้องถิ่น การกำหนดให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการวิสามัญจากผู้แทนของผู้เข้าชื่อเพื่อพิจารณาร่างข้อบัญญัติท้องถิ่นที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าชื่อเสนอ การกำหนดระยะเวลาในการพิจารณาของสภาท้องถิ่นที่ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับร่างข้อบัญญัติ รวมไปถึงการยืนยันของผู้แทนของผู้เข้าชื่อที่ให้พิจารณาร่างข้อบัญญัติท้องถิ่นต่อไปในกรณีที่ร่างข้อบัญญัติท้องถิ่นดังกล่าวตกไปเพราะเหตุของอายุสภาท้องถิ่นสิ้นสุดลงหรือมีการยุบสภาท้องถิ่น อันเป็นการแสดงให้เห็นถึงรูปแบบ ขั้นตอน วิธีการอันเป็นสาระสำคัญในการพิจารณาร่างข้อบัญญัติท้องถิ่นที่เสนอโดยประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่กระทำโดยสภาท้องถิ่น ซึ่งเป็นไปตามหลักการที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อให้ประชาชนในท้องถิ่นได้มีส่วนร่วมในการปกครองท้องถิ่นตามรูปแบบการปกครองระบอบประชาธิปไตย </p> 2025-06-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารกฎหมายและการเมืองการปกครอง https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JPG/article/view/287988 Democracy: Eleven writers and leaders on what it is – and why it matters 2025-04-09T14:11:18+07:00 กัญญกานต์ เสถียรสุคนธ์ ksathiansukon@gmail.com 2025-06-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารกฎหมายและการเมืองการปกครอง https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JPG/article/view/285006 การอารยะขัดขืนต่อกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมในสังคมไทย: ศึกษาเฉพาะกรณีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7008/2557 2025-04-21T10:56:06+07:00 ปัญญา ศรีเพชรสุพรรณ panyadinho@hotmail.com กัญจนรัตน ศรีเพชรสุพรรณ miemahachon@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์การอารยะขัดขืนต่อกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมในสังคมไทย: ศึกษาเฉพาะกรณีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7008/2557 ในฐานะคุณลักษณะสำคัญของการอารยะขัดขืน โดยใช้วิธีการวิจัยเอกสารที่ผู้วิจัยได้สังเคราะห์ปฏิบัติการที่เป็นคุณลักษณะสำคัญของการอารยะขัดขืนตามทัศนะของ John Rawls จากการแสดงออก ข้อจำกัด และเงื่อนไขของการอารยะขัดขืน ผ่านการวิเคราะห์เนื้อหาจากเอกสารและการตีความคำพิพากษาตามกรอบแนวคิดที่กำหนดไว้ ผลการวิจัย พบว่า (1) การอารยะขัดขืนต่อกฎหมายกรณีคำพิพากษา<br />ศาลฎีกาที่ 7008/2557 ที่สอดคล้องกับคุณลักษณะสำคัญของการอารยะขัดขืน ประกอบด้วย (1.1) เป็นการละเมิดกฎหมายหรือตั้งใจจะละเมิดกฎหมาย (1.2) ใช้สันติวิธี (1.3) มีความเต็มใจที่จะรับผลทางกฎหมายของการละเมิดกฎหมายดังกล่าว (1.4) มุ่งเชื่อมโยงกับสำนึกแห่งความยุติธรรมของผู้คนส่วนใหญ่ในบ้านเมือง และ (1.5) มุ่งเชื่อมโยงกับสำนึกแห่งความยุติธรรมซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายและสถาบันทางสังคม และ (2) การอารยะขัดขืนต่อกฎหมายกรณีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7008/2557 ที่ไม่สอดคล้องกับคุณลักษณะสำคัญของการอารยะขัดขืน ประกอบด้วย (2.1) เป็นการกระทำสาธารณะโดยไม่แจ้งให้ฝ่ายรัฐรับรู้ล่วงหน้า และ (2.2) ทำไปแล้วไม่เป็นไปเพื่อเปลี่ยนแปลงกฎหมายหรือนโยบายของรัฐบาล ดังนั้น ผู้ที่คิดจะอารยะขัดขืนควรตระหนักว่าเมื่อได้กระทำลงไปแล้วจะต้องยอมรับผลแห่งการละเมิดกฎหมายว่าอาจถูกลงโทษทางอาญา และควรอารยะขัดขืนในกรณีอื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย เพื่อให้การอารยะขัดขืนสามารถส่งผลให้กฎหมายที่ไม่เป็นธรรมในสังคมไทยเกิดการแก้ไขเปลี่ยนแปลงขึ้นได้</p> 2025-06-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารกฎหมายและการเมืองการปกครอง https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JPG/article/view/286075 ความคิดเห็นของประชาชนต่อการ มีสิทธิเลือกตั้งของพระสงฆ์ต่อการเลือกตั้งสมาชิกผู้แทนราษฎร ในเขตหมู่ที่ 1 บ้านแกดำ ตำบลแกดำ อำเภอแกดำ จังหวัดมหาสารคาม 2025-03-27T13:10:24+07:00 วรวุฒิ จำลองนาค worrawoot.j@msu.ac.th พัชรธิดา สายุทธ 6401131005@msu.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับสิทธิของพระสงฆ์ต่อการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในเขตหมู่ที่ 1 บ้านแกดำ ตำบลแกดำ อำเภอแกดำ จังหวัดมหาสารคาม เป็นงานวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการวิจัย มีกลุ่มตัวอย่างจำนวน 265 คน โดยใช้เวลาในการเก็บข้อมูลในช่วงเดือนมกราคม-เดือนมีนาคม พ.ศ. 2567 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติพรรณนาได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า ความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับสิทธิของพระสงฆ์ต่อการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 3.50) เมื่อจำแนกเป็นรายข้อ พบว่า อยู่ในระดับมาก 2 ข้อ และอยู่ในระดับปานกลาง 2 ข้อ โดยเรียงจากค่าเฉลี่ยมากที่สุดไปหาน้อยที่สุดดังนี้ ได้แก่ ด้านสิทธิได้รับการคุ้มครองทางกฎหมาย (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 3.70) ด้านการมีส่วนร่วมในการปกครอง (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 3.68) ด้านความเท่าเทียมกัน (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 3.44) และด้านเสรีภาพในการแสดงออก (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 3.18) ตามลำดับ ข้อเสนอแนะจากงานวิจัยนี้ คือ ขอบเขตของสิทธิทางการเมืองของพระสงฆ์ควรอยู่บนพื้นฐานของการสร้างสมดุลระหว่างหลักธรรมทางศาสนาและหลักประชาธิปไตย เพื่อให้สามารถรักษาทั้งความมั่นคงของศาสนาและสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยได้อย่างเหมาะสม</p> 2025-06-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารกฎหมายและการเมืองการปกครอง https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JPG/article/view/287145 การศึกษาการรับรู้ของเยาวชนต่อปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน กรณีศึกษา นักศึกษามหาวิทยาลัยสวนดุสิต 2025-03-17T10:31:58+07:00 ดังนภสร ณ ป้อมเพชร politics.environment@gmail.com ขวัญใจ จริยาทัศน์กร politics.environment@gmail.com <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับการรับรู้ของเยาวชนต่อปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน และศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการรับรู้ของเยาวชนด้านการทุจริตคอร์รัปชัน กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยเยาวชนที่มีอายุ 18 – 20 ปี เป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 1 และ 2 ของมหาวิทยาลัยสวนดุสิต โดยใช้การสุ่มอย่างง่ายด้วยสูตรของ Cochran ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 385 คน ทำการเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถาม และตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาได้ค่า IOC อยู่ระว่าง 0.67 - 1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นเมื่อตรวจสอบด้วยค่าอัลฟ่าของครอนบาคมีค่าอยู่ระหว่าง 0.87 - 9.95 ข้อมูลที่ได้นำมาวิเคราะห์ด้วยสถิติพรรณนา และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า การรับรู้ของเยาวชนต่อปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.79 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.99 และเมื่อนำปัจจัยที่ส่งผลต่อการรับรู้ของเยาวชนต่อปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันทั้ง 4 ปัจจัยได้แก่ 1) ปัจจัยด้านการศึกษาและความรู้ 2) ปัจจัยด้านค่านิยมทางศีลธรรมและจริยธรรม 3) ปัจจัยด้านบรรทัดฐานของสังคมหรือกลุ่มอ้างอิง และ 4) ปัจจัยด้านสื่อมวลชนและสื่อสังคมออนไลน์ (Med) มาวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ พบว่าทุกปัจจัยส่งผลต่อการรับรู้ของเยาวชนต่อปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p> 2025-06-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารกฎหมายและการเมืองการปกครอง https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JPG/article/view/289098 การประเมินโครงการบ้านมั่นคงในที่ดินราชพัสดุ 2025-05-07T09:50:51+07:00 นันทวัฒน์ ธานินทร์เดชานันท์ kikcamel@gmail.com ชวลิต สวัสดิ์ผล nantawat.thanindechanan@stamford.edu <p> บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์และประเมินโครงการบ้านมั่นคงสำหรับผู้มีรายได้น้อยในที่ดินราชพัสดุ โดยทำการโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกและสนทนากลุ่ม ประชากรเป้าหมายโครงการบ้านมั่นคง 5 ภูมิภาค 17 โครงการ ผลการศึกษา พบว่า บ้านมั่นคงจำนวน 9 โครงการ สามารถสร้างบ้านเสร็จตามที่กำหนด 6 โครงการ อยู่ระหว่างดำเนินการ และ 2 โครงการไม่สามารถดำเนินการต่อได้ เพราะไม่สามารถหาที่ราชพัสดุได้ หรือไม่ต้องการกู้เงินมาสร้างบ้านใหม่ เนื่องจากมีบ้านอยู่ในที่ราชพัสดุแล้ว เพียงต้องการเช่าให้ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น สำหรับปัญหาของสมาชิกบ้านมั่นคงบางส่วนไม่สามารถผ่อนชำระเงินกู้ได้เป็นรายเดือนเพราะไม่มีรายได้ประจำ เมื่อพิจารณาตามกรอบ CIPP Model พบว่า ด้านบริบท สะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของสังคมเมืองที่มีความเหลื่อมล้ำสูง ส่งผลให้ประชาชนต้องอาศัยอยู่ในพื้นที่บุกรุกโดยไม่มีความมั่นคงทางที่อยู่อาศัย ด้านปัจจัยนำเข้า แสดงถึงทรัพยากรที่รัฐและชุมชนระดมมาเพื่อรองรับการพัฒนา รวมถึงกลไกการจัดการโดยชุมชนเอง ด้านกระบวนการ แสดงให้ถึงรูปแบบ<br />การดำเนินงานที่เน้นการมีส่วนร่วมของชุมชน แม้จะพบอุปสรรคด้านความเข้าใจและข้อกฎหมาย และด้านผลผลิตแสดงถึงผลลัพธ์ที่หลากหลาย ทั้งในรูปแบบของความสำเร็จในการก่อสร้างบ้าน การได้สิทธิในที่ดิน การพัฒนาคุณภาพชีวิต และปัญหาการผ่อนสินเชื่อที่ยังคงมีในบางกรณี</p> 2025-06-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารกฎหมายและการเมืองการปกครอง