https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JMND/issue/feed วารสารมหาจุฬานาครทรรศน์ 2025-11-14T21:03:57+07:00 พระณัฐพงษ์ สิริสุวณฺโณ (จันทร์โร) lifzing@hotmail.com Open Journal Systems <p> วารสารมหาจุฬานาครทรรศน์ ISSN: 3027-8597 (Online) เป็นวารสารวิชาการของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตนครศรีธรรมราช มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการศึกษาค้นคว้าและเผยแพร่บทความวิจัยและบทความวิชาการแก่นักวิจัย นักวิชาการ คณาจารย์และนักศึกษา ในมิติเพื่อสนับสนุนการศึกษา การสอน การวิจัยในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย โดยเน้นสาขาวิชาพุทธศาสนา บริหารการศึกษา ปรัชญา จิตวิทยา การพัฒนาชุมชม การพัฒนาสังคม นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ ภาษาศาสตร์ การจัดการสาธารณะ การศึกษาเชิงประยุกต์ รวมถึงสหวิทยาการอื่น ๆ อาทิ วิทยาศาสตร์สุขภาพ หรือ การพยาบาล<br /> บทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารได้ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ อย่างน้อย 2 ท่าน ในลักษณะปกปิดรายชื่อ (Double blind) เปิดรับบทความภาษาไทย โดยรับพิจารณาตีพิมพ์ต้นฉบับของบุคคลทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย ผลงานที่ส่งมาจะต้องไม่เคยเสนอหรือกำลังเสนอตีพิมพ์ในวารสารวิชาการใดมาก่อน<br /> ทัศนะและข้อคิดเห็นที่ปรากฏในบทความ มิใช่ความคิดของคณะผู้จัดทำ และมิใช่ความรับผิดชอบของวารสาร คณะบรรณาธิการไม่สงวนลิขสิทธิ์ในการคัดลอก แต่ให้อ้างอิงแสดงที่มา</p> <p><strong>วารสาร</strong><strong>มหาจุฬานาครทรรศน์ มีกำหนดออกเผยแพร่ปีละ 12 ฉบับ</strong> (รายเดือน)*</p> <table width="100%"> <tbody> <tr> <td width="32%"> <p>ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม</p> </td> <td width="35%"> <p>ฉบับที่ 2 เดือนกุมภาพันธ์</p> </td> <td width="31%"> <p>ฉบับที่ 3 เดือนมีนาคม</p> </td> </tr> <tr> <td width="32%"> <p>ฉบับที่ 4 เดือนเมษายน</p> </td> <td width="35%"> <p>ฉบับที่ 5 เดือนพฤษภาคม</p> </td> <td width="31%"> <p>ฉบับที่ 6 เดือนมิถุนายน</p> </td> </tr> <tr> <td width="32%"> <p>ฉบับที่ 7 เดือนกรกฎาคม</p> </td> <td width="35%"> <p>ฉบับที่ 8 เดือนสิงหาคม</p> </td> <td width="31%"> <p>ฉบับที่ 9 เดือนกันยายน</p> </td> </tr> <tr> <td width="32%"> <p>ฉบับที่ 10 เดือนตุลาคม</p> </td> <td width="35%"> <p>ฉบับที่ 11 เดือนพฤศจิกายน</p> </td> <td width="31%"> <p>ฉบับที่ 12 เดือนธันวาคม</p> </td> </tr> </tbody> </table> https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JMND/article/view/293382 รูปแบบการพัฒนาการบริหารงานนิเทศภายในโรงเรียนเชิงรุกแบบมีส่วนร่วม เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาที่ยั่งยืนของโรงเรียนบางพะเนียง 2025-09-23T12:59:08+07:00 กนิษฐา ใหม่จันดี kanithamaichandee@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาการบริหารงานนิเทศภายใน 2) เพื่อสร้างรูปแบบการพัฒนาการบริหารงานนิเทศภายในฯ 3) เพื่อตรวจสอบความเหมาะสม และความเป็นไปได้ของรูปแบบการพัฒนาการบริหารงานนิเทศภายในฯ 4) เพื่อทดลองใช้รูปแบบการพัฒนาการบริหารงานนิเทศภายในฯ 5) เพื่อศึกษาความพึงพอใจการใช้รูปแบบการพัฒนาการบริหารงานนิเทศภายในฯ โดยประชากร มี 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 การวิจัยเชิงปริมาณ ได้แก่ 1) ครู 7 คน ผู้ปกครองนักเรียน จำนวน 71 คน และคณะกรรมการสถานขั้นพื้นฐาน จำนวน 7 คน รวมทั้งหมด 85 คน กลุ่มที่ 2 การวิจัยเชิงคุณภาพ ได้แก่ 1) ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 7 คน 2) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษา จำนวน 7 คน เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์เชิงลึก มีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) อยู่ระหว่าง 0.80 - 1.00 การวิเคราะห์ข้อมูลโดยสรุปเนื้อหา สถิติที่ใช้ คือ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการวิเคราะห์สภาพปัญหาการบริหารงานนิเทศภายในโรงเรียนเชิงรุกฯ พบว่า มีความคิดเห็นโดยภาพรวม ระดับปัญหาอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\mu&amp;space;" alt="equation" /> = 4.36, <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\sigma&amp;space;" alt="equation" /> = 0.31) 2) ผลการสร้างรูปแบบมีองค์ประกอบ 5 ส่วน ได้แก่ บทนำ การบริหารงานคุณภาพ การบริหารงานนิเทศภายใน ปัจจัยความสำเร็จ การนำรูปแบบไปใช้ 3) ผลการตรวจสอบความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของรูปแบบฯ พบว่า ทั้ง 5 ส่วน มีความเหมาะสมและความเป็นไปได้โดยมีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) อยู่ระหว่าง 0.80 - 1.00 4) ผลการวิเคราะห์ความคิดเห็นของผู้บริหารต่อผลการทดลองใช้รูปแบบฯ พบว่า ระดับความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\mu&amp;space;" alt="equation" /> = 4.43, <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\sigma&amp;space;" alt="equation" /> = 0.29) และ 5) ผลการศึกษาความพึงพอใจในการใช้รูปแบบโดยรวมเฉลี่ย (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\mu&amp;space;" alt="equation" /> = 4.39, <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\sigma&amp;space;" alt="equation" /> = 0.36)</p> 2025-11-12T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมหาจุฬานาครทรรศน์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JMND/article/view/293997 การพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการขยะมูลฝอยชุมชนเชิงบูรณาการ ตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดขอนแก่น 2025-09-29T21:16:13+07:00 ปิยะนุช ปัญจพรรค์ piyanuchpanchapak@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัญหาและแนวทางการบริหารจัดการขยะมูลฝอยชุมชนในปัจจุบัน 2) สร้างและพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการขยะมูลฝอยชุมชนเชิงบูรณาการตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน และ 3) ตรวจสอบความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของรูปแบบที่พัฒนาขึ้น รูปแบบการวิจัยที่ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน โดยใช้การวิจัยเชิงคุณภาพและการวิจัยในเชิงปริมาณร่วมกัน โดยมีผู้ทำการให้ข้อมูลหลัก ได้แก่ 1) หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการจัดการขยะมูลฝอยในจังหวัดขอนแก่น จำนวน 6 ท่าน และ 2) ตัวแทนกลุ่มกรณีศึกษาหน่วยงานที่ประสบผลสำเร็จในการจัดการขยะ จำนวน 6 ท่าน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ การสัมภาษณ์เชิงลึก ผลการวิจัยพบว่า 1) การจัดการขยะในชุมชนในเทศบาลเมืองขอนแก่นยังขาดการมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันสำนักงานส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดขอนแก่นยังขาดระบบบริหารจัดการที่ชัดเจน ขาดงบประมาณ บุคลากร และขาดการบูรณาการความรู้ด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนเข้าสู่กระบวนการจัดการ 2) รูปแบบการบริหารจัดการขยะมูลฝอยชุมชนในรูปแบบเชิงบูรณาการตามแนวคิด Circular Economy เน้นกระบวนการ 4R ได้แก่ Reduce, Reuse, Recycle และ Recovery ควบคู่กับการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ภาครัฐ และภาคเอกชน ประกอบด้วย หลักการ จุดมุ่งหมาย เนื้อหาการดำเนินการพัฒนา การวัดและประเมินผล และ 3) การทดลองใช้รูปแบบที่พัฒนาขึ้นในพื้นที่นำร่อง และเก็บข้อมูลผลลัพธ์ด้วยแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์กลุ่ม เพื่อให้การประเมินความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และผลกระทบของรูปแบบ พบว่า ความเหมาะสมของรูปแบบอยู่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /><em> </em>= 4.55, S.D. = 0.60) และการประเมินความเป็นไปได้ของรูปแบบฯ พบว่า ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /><em> </em>= 4.78, S.D. = 0.44)</p> 2025-11-12T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมหาจุฬานาครทรรศน์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JMND/article/view/293918 กลไกการพัฒนาชุมชนสันติสุขตามวิถีไทยพุทธ-มุสลิม ตำบลพืชอุดม อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี 2025-09-28T22:16:23+07:00 ธนาวุฒิ วงศ์อนันต์ tanawut@vru.ac.th ดรุณศักดิ์ ตติยะลาภะ tanawut@vru.ac.th ณัฐพล สิทธิพราหมณ์ tanawut@vru.ac.th <p>งานวิจัยเรื่อง กลไกการพัฒนาชุมชนสันติสุขตามวิถีไทยพุทธ - มุสลิม ตำบลพืชอุดม อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี มีวัตถุประสงค์การวิจัย ได้แก่ 1) เพื่อศึกษาทบทวนและวิเคราะห์สถานการณ์ชุมชนในการสร้างชุมชนสันติสุขไทยพุทธ - มุสลิม 2) เพื่อสร้างกลไกการพัฒนาชุมชนสันติสุขตามวิถีไทยพุทธ - มุสลิม 3) เพื่อถอดบทเรียนกลไกการพัฒนาชุมชนสันติสุขตามวิถีไทยพุทธ - มุสลิม ตำบลพืชอุดม อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี โดยมีวิธีการวิจัยการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ การศึกษาเอกสาร (Documentary) การสนทนากลุ่ม (Group Interviews) การสนทนากลุ่มเฉพาะ (Focus group Interviews) สัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interviews) และการจัดเวทีสาธารณะ ในการถอดบทเรียน โดยมีประชากรในการศึกษาวิจัย ได้แก่ 1) ผู้นำชุมชนตำบลพืชอุดม จำนวน 10 คน 2) ชาวบ้านไทยพุทธ - มุสลิมในตำบลพืชอุดม จำนวน 10 คน 3) กลุ่มผู้สูงอายุในตำบลพืชอุดม จำนวน 15 คน และ 4) ภาคีเครือข่ายภายในและภายนอกตำบลพืชอุดม จำนวน 10 คน ผลการวิจัยสรุปได้ว่าชุนชนสามารถสร้างกลไกในการระงับความขัดแย้งของชุนชนจนนำไปสู่สันติสุขได้โดยผ่านคณะกรรมการสันติสุขชุมชนภายใต้ธรรมนูญการจัดการความขัดแย้ง ตำบลพืชอุดม เพื่อชุมชนสันติสุขตามวิถีไทยพุทธ - มุสลิม โดยมีการถอดบทเรียนการจัดการความขัดแย้งในพื้นที่ 6 กรณี 1) ความขัดแย้งจากปัญหาที่ดินทำกิน 2) ความขัดแย้งจากปัญหาการทะเลาะวิวาท 3) ความขัดแย้งจากปัญหาการปล่อยน้ำเสียของโรงงานอุตสาหกรรม 4) ความขัดแย้งจากปัญหายาเสพติด 5) ความขัดแย้งจากปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภค บริโภค ทำการเกษตร และมีการแย่งน้ำกันระหว่างโรงงานอุตสาหกรรมและเกษตรกร และ 6) ความขัดแย้งจากปัญหาที่เกษตรกรผู้ทำนาไม่มีอำนาจต่อรอง</p> 2025-11-12T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมหาจุฬานาครทรรศน์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JMND/article/view/293862 รูปแบบการบริหารสถานศึกษาตามหลักพุทธบูรณาการ สำหรับโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา ภาคใต้ 2025-09-27T18:35:44+07:00 พระครูธรรมธรกิจจา กิตฺติญาโณ (ห้องโสภา) 6203502001@mcu.ac.th พระครูสุเมธปริยัติคุณ (สุเมธ สุเมโธ) 6203502001@mcu.ac.th ธีระพงษ์ สมเขาใหญ่ 6203502001@mcu.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาศึกษาสภาพความคาดหวัง และความต้องการจำเป็นในการพัฒนา การบริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ภาคใต้ 2) พัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษาตามหลักพุทธบูรณาการ 3) นำเสนอรูปแบบการบริหารฯ และ 4) ประเมินรูปแบบ การวิจัยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูและบุคลากรทางการศึกษา 117 รูป/คน และกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 73 รูป/คน ได้แก่ ผู้ให้สัมภาษณ์ 9 รูป/คน ผู้เชี่ยวชาญ 5 รูป/คน ผู้ร่วมสัมมนา 9 รูป/คน ผู้เข้าร่วมสนทนากลุ่ม 20 รูป/คน และผู้ประเมินรูปแบบ 30 รูป/คน เครื่องมือวิจัย ประกอบด้วย แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์เชิงลึก แบบสนทนากลุ่ม และแบบประเมินคุณภาพ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา และใช้กรอบอิทธิบาท 4 เป็นzนวทาง ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันของการบริหารอยู่ในระดับน้อย (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 2.48) สภาพที่คาดหวังอยู่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.54) ส่วนความต้องการจำเป็น มีค่าอยู่ในระดับสูง (PNI = 0.812) 2) รูปแบบที่พัฒนาขึ้นมีหลักการสำคัญ คือ การยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง การบูรณาการธรรมะกับชีวิตจริง และการบริหารแบบมีส่วนร่วม โดยมีองค์ประกอบหลัก 5 ด้าน คือ วิชาการ บุคคล งบประมาณ ความสัมพันธ์กับชุมชน และงานทั่วไป โดยใช้หลักอิทธิบาท 4 เป็นแกนกลาง 3) การนำเสนอรูปแบบต่อกลุ่มสนทนาและผู้เชี่ยวชาญได้รับการยอมรับในระดับมากที่สุด โดยเฉพาะด้านการบริหารงบประมาณและบุคคล และ 4) ผลการประเมินรูปแบบ พบว่า มีอยู่ในระดับมากที่สุด โดยด้านความเป็นประโยชน์มีค่าเฉลี่ยสูงสุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.82) รองลงมา คือ ความเป็นไปได้ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.79) และความเหมาะสมมีค่าเฉลี่ยต่ำสุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.76)</p> 2025-11-12T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมหาจุฬานาครทรรศน์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JMND/article/view/294114 การประเมินผลตอบแทนทางสังคม (SROI) ของอัตลักษณ์อาหารชนชาติจีน เพื่อการท่องเที่ยวชุมชน จังหวัดนครศรีธรรมราชและจังหวัดตรัง 2025-10-03T14:34:41+07:00 นิภารัตน์ นักตรีพงศ์ niparat_nuk@nstru.ac.th ศศิพัชร บุญขวัญ niparat_nuk@nstru.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาและวิเคราะห์ผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากการดำเนินโครงการ 2) ประเมินผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุน (Social Return on Investment: SROI) และ 3) สังเคราะห์ข้อเสนอเชิงนโยบายในการส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนและการท่องเที่ยว โดยใช้ทุนวัฒนธรรมอาหารเป็นเครื่องมือ กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยนักท่องเที่ยว จำนวน 400 คน ที่เดินทางมาท่องเที่ยวและใช้บริการร้านอาหารจีนในพื้นที่ โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Methods) ผ่านการเก็บข้อมูลเชิงปริมาณด้วยแบบสอบถาม และเชิงคุณภาพด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก เพื่อสะท้อนมิติผลลัพธ์อย่างครอบคลุมทั้งเชิงตัวเลขและเชิงคุณค่า ผลการวิจัยพบว่า โครงการสามารถสร้างผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจ โดยเพิ่มรายได้ของผู้ประกอบการร้านอาหารจีนเฉลี่ยร้อยละ 5 ต่อปี และเกิดการจ้างงานในท้องถิ่นเพิ่มขึ้น สะท้อนผ่านค่า SROI รวม 2.45: 1 หมายถึงการลงทุนทุก 1 บาท สามารถสร้างมูลค่าผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและสังคมรวม 2.45 บาท แสดงถึงความคุ้มค่าและศักยภาพในการพัฒนาอย่างยั่งยืน ผลลัพธ์ทางสังคม ได้แก่ การมีส่วนร่วมของชุมชน การถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านอาหารสู่คนรุ่นใหม่ และการเสริมสร้างความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ ส่วนผลลัพธ์ทางวัฒนธรรม ได้แก่ การพัฒนาบรรจุภัณฑ์อัตลักษณ์ กิจกรรมสาธิตอาหาร การออกแบบเส้นทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และการพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อเชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวในมิติเทคโนโลยีดิจิทัล ข้อเสนอเชิงนโยบาย ได้แก่ การสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน ชุมชน และภาคการท่องเที่ยว เพื่อขยายผลโครงการสู่พื้นที่อื่น พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยด้านบรรจุภัณฑ์ การตลาดดิจิทัล และการใช้เรื่องเล่าทางวัฒนธรรมในการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์และการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์อย่างยั่งยืนและสมดุลในระยะยาว</p> 2025-11-18T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมหาจุฬานาครทรรศน์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JMND/article/view/294036 การพัฒนารูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมเพื่อเสริมสร้างความสามารถ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการจัดการเรียนรู้ของครูสู่คุณภาพผู้เรียน โรงเรียนฟากกว๊านวิทยาคม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพะเยา 2025-10-09T19:14:54+07:00 กานตเชษฐ์ ถาคำ karntachrth@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ 2) สร้างและพัฒนารูปแบบ 3) ทดลองใช้รูปแบบ และ 4) ประเมินรูปแบบการบริหาร เป็นกระบวนการวิจัยและพัฒนา 4 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ แนวทางของการบริหารแบบมีส่วนร่วม และการจัดการเรียนรู้ โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล จากการศึกษางานโดยการสัมภาษณ์ ขั้นตอนที่ 2 สร้างและพัฒนารูปแบบ โดยผู้ทรงคุณวุฒิ 7 คน ขั้นตอนที่ 3 ทดลองใช้รูปแบบ โดยนำรูปแบบที่พัฒนาขึ้นไปทดลองใช้กับครู 44 คน นักเรียน 220 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ และขั้นตอนที่ 4 การประเมินรูปแบบ มี 5 องค์ประกอบ โดยครู 44 คน ซึ่งกลุ่มประชากร ได้แก่ ครู 44 คน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิ 7 คน ผู้เชี่ยวชาญ 5 คน และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 - 6 จำนวน 220 คน ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์ แบบตรวจสอบแบบประเมินและแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ ได้แก่ การส่งเสริมการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคโนโลยีสู่คุณภาพผู้เรียน และแนวทางการบริหารแบบมีส่วนร่วม 2) ผลการสร้างและพัฒนารูปแบบ ได้ 5 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) หลักการ 2) วัตถุประสงค์ 3) ระบบงานและกลไก 4) วิธีดำเนินงาน และ 5) แนวทางการประเมิน 3) ผลการทดลองใช้รูปแบบ หลังการอบรมด้านความรู้ ความเข้าใจของครูและนักเรียน ผลการทดสอบผ่านเกณฑ์ร้อยละ 75 และผลการตรวจสอบคู่มือการใช้รูปแบบ มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด 4) ผลการประเมินรูปแบบ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และผลการประเมินคู่มือการใช้รูปแบบ อยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2025-11-18T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมหาจุฬานาครทรรศน์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JMND/article/view/294157 ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับการไต่สวนและการมีมติวินิจฉัยมูลความผิด ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 2025-10-07T21:05:18+07:00 ชำนาญ ปริบาล chamnanpariban@gmail.com บุญมาก กันหาสาย chamnanpariban@gmail.com <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาถึงแนวความคิด ทฤษฎี แนวคำพิพากษา มาตรการทางกฎหมาย และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับปัญหาทางกฎหมาย 2) เพื่อศึกษาถึงปัญหาข้อเท็จจริงและปัญหาข้อกฎหมาย กรณีปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับการไต่สวนและการมีมติวินิจฉัยมูลความผิดของคณะกรรมการ ป.ป.ช. 3) เพื่อศึกษาวิเคราะห์และเปรียบเทียบกฎหมายของราชอาณาจักรไทยกับกฎหมายของต่างประเทศบางประเทศ โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้วิจัยยังได้จัดให้มีการสนทนากลุ่ม และการสัมภาษณ์เชิงลึก จากกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 5 กลุ่ม ได้แก่ ผู้พิพากษา พนักงานอัยการ เจ้าหน้าที่จากสำนักงาน ป.ป.ช. เจ้าหน้าที่ของรัฐ นักวิชาการและทนายความ การวิเคราะห์ข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึก ผลการวิจัยพบว่า 1) การตีความเกี่ยวกับกำหนดระยะเวลาว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีหน้าที่และอำนาจวินิจฉัยมูลความผิดทางวินัยผู้ถูกกล่าวหาไม่เกินสามปีนับแต่วันเริ่มดำเนินการไต่สวนมีความคลุมเครือไม่ชัดเจน จึงทำให้เกิดปัญหาในการตีความแตกต่างกัน 2) การไต่สวนและการมีมติวินิจฉัยมูลความผิดของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่มีการกำหนดเส้นแบ่งที่ชัดเจนระหว่างการกระทำผิดกฎหมายอาญากับการกระทำผิดระเบียบหรือข้อบังคับหรือกฎหมายลำดับรองของฝ่ายบริหาร และ 3) การไต่สวนและการมีมติวินิจฉัยมูลความผิดของคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยใช้หลักตัวการตามมาตรา 83 หรือหลักผู้สนับสนุนตามมาตรา 86 อย่างรวบรัดว่าผู้ถูกกล่าวหาทุกคนเป็นตัวการโดยปริยาย และการไต่สวนและการมีมติวินิจฉัยมูลความผิดของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามมาตรา 91(1) หรือ (2) ยังไม่มีการกำหนดเส้นแบ่งที่ชัดเจนระหว่างการกระทำผิดกฎหมายอาญากับการกระทำผิดระเบียบหรือข้อบังคับหรือกฎหมายลำดับรองของฝ่ายบริหารและไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ</p> 2025-11-18T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมหาจุฬานาครทรรศน์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JMND/article/view/293860 รูปแบบการพัฒนาคุณลักษณะผู้เรียนด้านความรับผิดชอบตามแนววิถีพุทธ สำหรับพระสอนศีลธรรมในโรงเรียนของคณะสงฆ์จังหวัดสงขลา 2025-09-26T13:29:07+07:00 พระครูปุญญาพิศาล (วิชาญชัย กตปุญฺโญ) wichanchai9955@gmail.com ธีระพงษ์ สมเขาใหญ่ wichanchai9955@gmail.com พระครูสุเมธปริยัติคุณ (สุเมธ สุเมโธ) wichanchai9955@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันการพัฒนาคุณลักษณะของผู้เรียนด้านความรับผิดชอบของโรงเรียนในจังหวัดสงขลา 2) พัฒนารูปแบบการพัฒนาคุณลักษณะผู้เรียนตามแนววิถีพุทธ 3) นำเสนอรูปแบบฯ และ 4) ประเมินรูปแบบฯ เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี โดยใช้การวิจัยเชิงปริมาณเป็นหลัก และเชิงคุณภาพเป็นงานสนับสนุน กลุ่มตัวอย่าง/กลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ประกอบด้วย ผู้ให้สัมภาษณ์ 17 รูป/คน ผู้เชี่ยวชาญ 5 รูป/คน ผู้ร่วมสัมมนา 9 รูป/คน และครูพระสอนศีลธรรม 35 รูป เครื่องมือ ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ แบบทดสอบ แบบประเมินความรู้ และความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพื้นฐาน และสถิติทดสอบ t-test และกรอบวิเคราะห์ SOAR ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันอยู่ในระดับดี มีจุดแข็งด้านนโยบาย การมีส่วนร่วมของครอบครัว โรงเรียน และบทบาทของพระพุทธศาสนา ส่วนโอกาสมาจากการใช้เทคโนโลยีและการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมจริง 2) รูปแบบที่พัฒนาขึ้น ประกอบด้วย หลักการ 3 ด้าน คือ การบูรณาการธรรมะกับชีวิตจริง การพัฒนาอย่างเป็นขั้นตอน และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน มี 5 องค์ประกอบ 5 ขั้นตอนที่ต่อเนื่อง ได้แก่ การสร้างความตระหนักรู้ ฝึกปฏิบัติ สะท้อนผล ติดตาม และประเมิน 3) ผลการนำเสนอ พบว่า ผู้เข้าร่วมมีคะแนนความรู้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และมีความพึงพอใจในระดับมาก โดยเห็นว่ามีความสำคัญในการนำไปใช้พัฒนาคุณลักษณะด้านความรับผิดชอบของผู้เรียนได้ และ 4) ผลการประเมินรูปแบบ พบว่า มีความเหมาะสม (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.18, S.D. = 0.87) ความเป็นประโยชน์ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.13, S.D. = 0.94) และความเป็นไปได้ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.13, S.D. = 0.94) อยู่ในระดับมาก แสดงให้เห็นว่ารูปแบบสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาคุณลักษณะความรับผิดชอบของผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน</p> 2025-11-18T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมหาจุฬานาครทรรศน์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JMND/article/view/294329 สมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรฐานสมรรถนะของครูโรงเรียนขยายโอกาส 2025-10-12T16:14:30+07:00 พิชญา สุวรรณโน piyada@hu.ac.th ปิยดา จิงวังสะ piyada@hu.ac.th เจรจา บุญวรรณโณ piyada@hu.ac.th ประมาณ เทพสงเคราะห์ piyada@hu.ac.th ประภาศ ปานเจี้ยง piyada@hu.ac.th วัชระ ชัยเขต piyada@hu.ac.th รัชนี ทองเงิน piyada@hu.ac.th <p>การวิจัยนี้เป็นแบบผสมผสานเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรฐานสมรรถนะของครูโรงเรียนนำร่อง 2) ประเมินความต้องการพัฒนาสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรฐานสมรรถนะโรงเรียนขยายโอกาส และ 3) เสนอแนวทางการพัฒนาสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรฐานสมรรถนะของครูโรงเรียนขยายโอกาส กลุ่มตัวอย่างเป็นครูและผู้บริหารจากโรงเรียนนำร่องจังหวัดสตูลและปัตตานี 29 คน โรงเรียนขยายโอกาสจังหวัดสงขลา 217 คน โดยการคัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์และแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าร้อยละ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการสังเคราะห์นำเสนอเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า 1) สมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรฐานสมรรถนะของครูโรงเรียนนำร่อง อันประกอบด้วย 6 สมรรถนะหลัก โดย 3 อันดับแรกที่ครูต้องการพัฒนามากที่สุด คือ การบริหารหลักสูตรและการจัดการเรียนรู้ การพัฒนาผู้เรียน และการบริหารจัดการชั้นเรียน 2) ความต้องการพัฒนาสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรฐานสมรรถนะของครูโรงเรียนขยายโอกาส ครูต้องการพัฒนาการสอนแบบเชิงรุกสูงสุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 3.98) รองลงมา คือ ด้านการวัดและประเมินผลตามสภาพจริง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 3.91) และด้านการออกแบบการจัดการเรียนรู้ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 3.89) และ 3) แนวทาง การพัฒนาสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรฐานสมรรถนะของครูโรงเรียนขยายโอกาส ครูควรได้รับการพัฒนาอย่างน้อย 4 ด้าน ได้แก่ 3.1) องค์ความรู้หลักสูตรฐานสมรรถนะ 3.2) การออกแบบการจัดการเรียนรู้ 3.3) การวัดและประเมินผล และ 3.4) การสร้างนวัตกรรม/เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ โดยกระบวนการพัฒนาที่เหมาะสมควรเป็นการอบรมเชิงปฏิบัติการพร้อมการให้คำปรึกษาและติดตามผลอย่างต่อเนื่อง</p> 2025-11-18T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมหาจุฬานาครทรรศน์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JMND/article/view/294838 การพัฒนารูปเเบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุกตามแนวคิดขั้นสูงเชิงระบบ เพื่อเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น 2025-10-27T13:13:51+07:00 อภิสิทธิ์ ตรีแก้ว Apisittreekaew@gmail.com ธนเทพ นำพรวัฒนากุล Apisittreekaew@gmail.com จุติพร อัศวโสวรรณ Apisittreekaew@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบของรูปเเบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุกตามแนวคิดขั้นสูงเชิงระบบเพื่อเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น 2) พัฒนารูปเเบบการจัดการเรียนรู้ฯ และ 3) ประเมินประสิทธิผลการใช้รูปเเบบการจัดการเรียนรู้ฯ ใช้กระบวนการวิจัยและพัฒนา กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสิชลคุณาธารวิทยา จังหวัดนครศรีธรรมราช 1 ห้องเรียน จำนวน 31 คน ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง ระดับห้องเรียน เครื่องมือในการวิจัย คือ รูปแบบการจัดการเรียนรู้และแผนการจัดการเรียนรู้ เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน, แบบวัดทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม และแบบประเมินความพึงพอใจ สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย, ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน, ค่าสถิติ t-test และวิเคราะห์ประสิทธิภาพนวัตกรรม E1/E2 ผลการวิจัยพบว่า 1) รูปเเบบการจัดการเรียนรู้ฯ มี 4 ด้าน ได้แก่ 1.1) หลักการ/แนวคิด 1.2) วัตถุประสงค์ 1.3) ขั้นตอน/กระบวนการเรียนรู้ และ 1.4) การวัดและประเมินผล 2) ผลการพัฒนารูปเเบบการจัดการเรียนรู้ฯ ได้รูปแบบที่พัฒนาขึ้น คือ 5I Model มี 5 ขั้น ขั้นที่ 1 กระตุ้นความคิดสะสมความรู้ ขั้นที่ 2 วิเคราะห์และจัดระบบความรู้ ขั้นที่ 3 ปฏิบัติและลงข้อสรุป ขั้นที่ 4 สื่อสารความรู้และนำเสนอ ขั้นที่ 5 บูรณาการความรู้และประเมินเพื่อสร้างคุณค่า และมีประสิทธิภาพการใช้รูปแบบฯ ตามเกณฑ์ 80/80 และ 3) ผลการประเมินประสิทธิผลการใช้รูปแบบฯ พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมโดยรวมอยู่ในระดับ ดีมาก และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อรูปแบบฯ โดยรวมอยู่ในระดับ มากที่สุด</p> 2025-11-23T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมหาจุฬานาครทรรศน์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JMND/article/view/293222 การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหน่วยการเรียนรู้ ทรงสี่เหลี่ยมมุมฉากพาสนุก และความฉลาดรู้ด้านคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดการศึกษาคณิตศาสตร์ ที่เชื่อมโยงกับชีวิตจริงร่วมกับเทคนิค Think-Talk-Write 2025-10-08T18:57:08+07:00 ศรีวรรณ อินทรชิต sriwanintorachit@gmail.com วาสนา กีรติจำเริญ sriwanintorachit@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหน่วยการเรียนรู้ ทรงสี่เหลี่ยมมุมฉากพาสนุก ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ระหว่างก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดการศึกษาคณิตศาสตร์ที่เชื่อมโยงกับชีวิตจริงร่วมกับเทคนิค Think-Talk-Write 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการจัดการเรียนรู้กับเกณฑ์ ร้อยละ 70 3) เปรียบเทียบความฉลาดรู้ด้านคณิตศาสตร์ระหว่างก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ เป็นการวิจัยเชิงทดลองเบื้องต้นโดยใช้กลุ่มเป้าหมายเพียงกลุ่มเดียว กลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนบ้านด่านกรงกราง จังหวัดนครราชสีมา จำนวน 12 คน ได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดการศึกษาคณิตศาสตร์ที่เชื่อมโยงกับชีวิตจริงร่วมกับเทคนิค Think-Talk-Write จำนวน 4 แผน แผนละ 3 ชั่วโมง รวม 12 ชั่วโมง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นแบบเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ และแบบวัดความฉลาดรู้ด้านคณิตศาสตร์ เป็นแบบเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 8 ข้อ และแบบปลายเปิด จำนวน 8 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จากการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดการศึกษาคณิตศาสตร์ที่เชื่อมโยงกับชีวิตจริงร่วมกับเทคนิค Think-Talk-Write หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนไม่สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05 3) ความฉลาดรู้ด้านคณิตศาสตร์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> 2025-11-23T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมหาจุฬานาครทรรศน์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JMND/article/view/294339 องค์ประกอบการพัฒนาภาวะผู้นำในการจัดการเรียนการสอนของอาจารย์ สังกัดสถาบันการอาชีวศึกษา 2025-10-12T16:08:29+07:00 อาคม นาคน้อย arkom8259@gmail.com สยาม แกมขุนทด arkom8259@gmail.com ชัยวิชิต เชียรชนะ arkom8259@gmail.com <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบและตัวบ่งชี้การพัฒนาภาวะผู้นำในการจัดการเรียนการสอนของอาจารย์ สังกัดสถาบันการอาชีวศึกษา 2) วิเคราะห์และตรวจสอบความตรงเชิงโครงสร้างองค์ประกอบของการพัฒนาภาวะผู้นำในการจัดการเรียนการสอนของอาจารย์ สังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสานวิธีการ 3 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การศึกษาเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้องการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ 9 คน เพื่อสังเคราะห์ตัวบ่งชี้เบื้องต้น 2) การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ โดยใช้แบบสอบถามกับผู้บริหารและอาจารย์ผู้สอนในสังกัดสถาบันการอาชีวศึกษา จำนวน 210 คน และ 3) การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันใช้แบบสอบถามกับหัวหน้างานในสถานศึกษาอาชีวศึกษา จำนวน 210 คน เครื่องมือวิจัย ประกอบด้วย แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ตรวจสอบความเชื่อมั่นของเครื่องมือด้วยค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค ซึ่งมีค่าเท่ากับ 0.86 ซึ่งมากกว่าา 0.7 แสดงว่าเครื่องมือมีความเชื่อมั่นระดับสูง ผลการวิจัยพบว่า 1) ตัวบ่งชี้การพัฒนาภาวะผู้นำในการจัดการเรียนการสอนของอาจารย์ ในสังกัดการอาชีวศึกษา มีจำนวน 30 ตัวบ่งชี้ โดยมีตัวบ่งชี้ที่สำคัญ 28 ตัวบ่งชี้ 2) ผลวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ พบว่า มีองค์ประกอบหลัก 5 ด้าน ได้แก่ ด้านประยุกต์ใช้เทคโนโลยียุคดิจิทัล ด้านส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ ด้านคุณลักษณะผู้นำอันพึงประสงค์ ด้านภาวะผู้นำในการสื่อสาร ด้านทักษะความคิดสร้างสรรค์ 3) ผลวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน พบว่า ข้อมูลมีโครงสร้างองค์ประกอบหลักที่ชัดเจนเพียงองค์ประกอบเดียว ทำให้ต้องวิเคราะห์ข้อมูลในรูปแบบเอกมิติ พบว่า ตัวบ่งชี้ที่สำคัญในแต่ละองค์ประกอบที่มีค่าน้ำหนักตามเกณฑ์ ได้แก่ ด้าน ADT มี 4 ตัวบ่งชี้ ด้าน PLM มี 4 ตัวบ่งชี้ ด้าน DLT มี 3 ตัวบ่งชี้ ด้าน LIC มี 2 ตัวบ่งชี้ และด้าน CSK มี 4 ตัวบ่งชี้</p> 2025-11-23T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมหาจุฬานาครทรรศน์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JMND/article/view/294449 ปัจจัยที่ส่งผลต่อเจตคติต่อการเรียนวิชาพลศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 2 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน 2025-10-18T22:57:14+07:00 พิชญ์นิตา สองสนู pichnita@satitpatumwan.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยสภาพแวดล้อมทางสังคม ปัจจัยสภาพ แวดล้อมทางการเรียน และปัจจัยทางจิตวิทยา ที่มีอิทธิพลต่อเจตคติต่อการเรียนวิชาพลศึกษาของนักเรียน และ 2) เพื่อศึกษาอำนาจในการพยากรณ์เจตคติต่อการเรียนวิชาพลศึกษาของนักเรียน การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน จำนวนทั้งสิ้น 215 คน ได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยส่วนบุคคล โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านสุขภาพร่างกาย 2) ปัจจัยสภาพแวดล้อมทางสังคม โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการสนับสนุนของครู 3) ปัจจัยสภาพแวดล้อมทางการเรียน โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านอุปกรณ์และสถานที่ 4) ปัจจัยทางจิตวิทยา โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการตระหนักรู้ด้านการเรียน 5) เจตคติต่อการเรียนวิชาพลศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านความรู้สึก และ 6) ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า ปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยสภาพแวดล้อมทางสังคม ปัจจัยสภาพแวดล้อมทางการเรียน และปัจจัยทางจิตวิทยามีอิทธิพลต่อเจตคติต่อการเรียนวิชาพลศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยเป็นผลเชิงบวก</p> 2025-11-23T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมหาจุฬานาครทรรศน์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JMND/article/view/295216 การวิเคราะห์องค์ประกอบการจัดกิจกรรมส่งเสริมพัฒนาผู้เรียนสาขาวิชาช่างอากาศยานให้มีสมรรถนะตามมาตรฐานสากล โดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์ผลกระทบไขว้ 2025-11-14T21:03:57+07:00 สุริยา เผด็จศึก suriyamotor1@gmail.com ปิยะ กรกชจินตนาการ suriyamotor1@gmail.com ชัยวิชิต เชียรชนะ suriyamotor1@gmail.com <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความต้องการจำเป็นการจัดกิจกรรมส่งเสริมพัฒนาผู้เรียนสาขาวิชาช่างอากาศยานให้มีสมรรถนะตามมาตรฐานสากล 2) วิเคราะห์องค์ประกอบการจัดกิจกรรมส่งเสริมพัฒนาผู้เรียนสาขาวิชาช่างอากาศยาน ให้มีสมรรถนะตามมาตรฐานสากล โดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์ผลกระทบไขว้ ไม่อิงเนื้อหาตามหลักสูตร กลุ่มเป้าหมาย ประกอบด้วย ผู้บริหาร หัวหน้าแผนก ครู รวมทั้งสิ้น 120 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีเลือกแบบเจาะจง ผลการวิจัยพบว่า มีความต้องการจำเป็นของแต่ละสมรรถนะ (Trainee competency: TC) ดังนี้ TC1 ลำดับที่ 1 สร้างเอกสารการทำงานได้ครบอย่างถูกต้อง TC2 ลำดับ ที่ 1 จัดการความเครียดด้านสิ่งแวดล้อม สิ่งรบกวน TC3 ลำดับที่ 1 ประเมินสถานการณ์และรายงานความเบี่ยงเบน TC4 ลำดับที่ 1 ตอบคำถามทางเทคนิคได้อย่างแม่นยำ TC5 ลำดับที่ 1 ประเมินวัตถุประสงค์ด้านความปลอดภัย TC6 ลำดับที่ 1 ใช้รูปแบบข้อความมาตรฐานและโปรโตคอลประสานงานที่ไม่ใช่คำพูด TC7 ลำดับที่ 1 ตัดสินใจตามผลการประเมินความเสี่ยง TC8 ลำดับที่ 1 คาดการณ์และตอบสนองความต้องการของผู้อื่นอย่างเหมาะสม TC9 ลำดับที่ 1 จัดลำดับความสำคัญอย่างมีประสิทธิผล TC10 ลำดับที่ 1 จัดการความเครียดในลักษณะที่เหมาะสม TC11 ลำดับที่ 1 เลือกวิธีการสื่อสารที่เหมาะสม องค์ประกอบการจัดกิจกรรมส่งเสริมพัฒนาผู้เรียนสาขาวิชาช่างอากาศยาน ให้มีสมรรถนะตามมาตรฐานสากล คือ เลือกวิธีการสื่อสารที่เหมาะสม มีองค์ประกอบที่เกิดผลกระทบ 9 องค์ประกอบ คือ 1) สร้างเอกสารการทำงานได้ครบอย่างถูกต้อง 2) ประเมินสถานการณ์และรายงานความเบี่ยงเบน 3) จัดการความเครียดด้านสิ่งแวดล้อม สิ่งรบกวน 4) ตอบคำถามทางเทคนิคได้อย่างแม่นยำ 5) ตัดสินใจตามผลการประเมินความเสี่ยง 6) ใช้รูปแบบข้อความมาตรฐานและโปรโตคอลประสานงานที่ไม่ใช่คำพูด 7) ประเมินวัตถุประสงค์ด้านความปลอดภัย 8) คาดการณ์และตอบสนองความต้องการของผู้อื่นอย่างเหมาะสม และ 9) จัดการความเครียดในลักษณะที่เหมาะสม</p> 2025-11-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมหาจุฬานาครทรรศน์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JMND/article/view/294885 ประสิทธิผลการบริหารจัดการโรงเรียนในสังกัดเทศบาลนครนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี 2025-10-27T13:08:33+07:00 พระครูใบฎีกาสราวุฒิ เกตุเมฆ 7089007@gmail.com โชติ บดีรัฐ 7089007@gmail.com ศรชัย ท้าวมิตร 7089007@gmail.com <p> การวิจัยนี้วัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับประสิทธิผลการบริหารจัดการของโรงเรียนในสังกัดเทศบาลนครนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิผลการบริหารจัดการโรงเรียนในสังกัดเทศบาลนครนนทบุรี และ 3) เพื่อเสนอแนวทางการบริหารจัดการโรงเรียนในสังกัดเทศบาลนนทบุรี ให้เกิดประสิทธิผล การวิจัยครั้งนี้เป็นแบบผสานวิธี ระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณโดยเก็บแบบสอบถามกับกลุ่มตัวอย่าง คือ บุคลากรในโรงเรียนสังกัดเทศบาลนครนนทบุรี จำนวน 349 คน สถิติที่ใช้ คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหูคูณเชิงเส้นตรง และการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการโรงเรียนในสังกัดเทศบาลนครนนทบุรี จำนวน 32 คน ผลการศึกษาพบว่า 1) ระดับประสิทธิผลการบริหารจัดการโรงเรียนในสังกัดเทศบาลนครนนทบุรี ภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 3.93) 2) ปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิผลการบริหารจัดการโรงเรียนในสังกัดเทศบาลนครนนทบุรี (y) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 จำนวน 3 ตัวแปร ได้แก่ ด้านวัสดุสิ่งของ ด้านการบริหารจัดการ และด้านคนหรือบุคคล และ 3) แนวทางการบริหารจัดการโรงเรียนในสังกัดเทศบาลนครนนทบุรีให้เกิดประสิทธิผล มีทั้งหมด 4 แนวทาง คือ การการบริหารงานทั่วไป การบริหารงานวิชาการ การสร้างบรรยากาศในสถานศึกษาในทางบวก และการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ยั่งยืนการบริหารจัดการโรงเรียนในสังกัดเทศบาลนครนนทบุรีประสบผลสำเร็จอย่างสูง ผ่านปัจจัยสำคัญหลายประการ ได้แก่ บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ การใช้งบประมาณอย่างโปร่งใส การจัดหาวัสดุอุปกรณ์ที่เหมาะสม และการบริหารงานที่เน้นการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน โดยใช้กระบวนการ PDCA ส่งผลให้คุณภาพการบริหารจัดการมีประสิทธิผล</p> 2025-11-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมหาจุฬานาครทรรศน์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JMND/article/view/295361 โมเดลปัจจัยสู่ความสำเร็จของเครือข่ายนวัตกรรมชุมชนเพื่อความยั่งยืนในจังหวัดเชียงใหม่ 2025-11-08T19:28:21+07:00 อติพร เกิดเรือง atiporn.gerdruang@stamford.edu <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยของเครือข่ายนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาชุมชน 2) ศึกษาความสำเร็จของเครือข่ายนวัตกรรมชุมชน 3) วิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของเครือข่าย และ 4) พัฒนาโมเดลปัจจัยสู่ความสำเร็จของเครือข่ายนวัตกรรมชุมชนเพื่อความยั่งยืน เป็นการศึกษาวิธีวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย ผู้นำชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สถาบันการศึกษา และภาคเอกชนในจังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 580 คน โดยใช้การสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือหลักในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลสถิติด้วยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสมการถดถอยแบบพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยของเครือข่ายนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาชุมชน พบว่า มีปัจจัยสำคัญ 4 ด้าน ได้แก่ การมีส่วนร่วม การบูรณาการความรู้ การสนับสนุนทรัพยากร และการติดตามประเมินผล โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก การมีส่วนร่วมเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุด 2) ความสำเร็จของเครือข่ายนวัตกรรมชุมชน ผลการวิจัยพบว่า ความสำเร็จของเครือข่ายนวัตกรรมชุมชนเกิดจากการขับเคลื่อนร่วมกันของหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการศึกษา และชุมชน ส่งผลให้การพัฒนาในด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมมีความก้าวหน้าอยู่ในระดับมากถึงมากที่สุด 3) การวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของเครือข่ายนวัตกรรม ผลการถดถอยพหุคูณแสดงให้เห็นว่าปัจจัยทั้งสี่มีอิทธิพลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และสามารถอธิบายความแปรปรวนของความสำเร็จได้ร้อยละ 86.5 การมีส่วนร่วมเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลมากที่สุด และ 4) ผลจากการวิจัยนำไปสู่การพัฒนาโมเดลปัจจัยสู่ความสำเร็จของเครือข่ายนวัตกรรมชุมชนเพื่อความยั่งยืน ซึ่งสามารถใช้เป็นแนวทางเชิงนโยบายและเชิงปฏิบัติในการเสริมสร้างการมีส่วนร่วม การบริหารทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และการพัฒนาระบบติดตามประเมินผลที่โปร่งใส</p> 2025-11-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมหาจุฬานาครทรรศน์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JMND/article/view/295360 อิทธิพลความมีชื่อเสียงของทีมกีฬาในฐานะตัวแปรคั่นกลางที่เชื่อมโยงแรงกระตุ้น ของผู้ชมและการมีส่วนร่วมบนโซเชียลมีเดียต่อความภักดีของผู้ชมกีฬา วอลเลย์บอลบอลหญิงทีมชาติไทย 2025-11-11T11:37:37+07:00 กฤษฎา ปาณะเสรี kanoknan.s@allied.tu.ac.th กนกนันทร์ สุเชาว์อินทร์ kanoknan.s@allied.tu.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับของแรงกระตุ้นของผู้ชมการมีส่วนร่วมบนโซเชียลมีเดียความมีชื่อเสียงของทีมกีฬาและความภักดีของผู้ชมกีฬาวอลเลย์บอลทีมชาติไทย 2) อิทธิพลของแรงกระตุ้นของผู้ชมและการมีส่วนร่วมบนโซเชียลมีเดียฯ และ 3) บทบาทของตัวแปรความมีชื่อเสียงของทีมกีฬาในฐานะตัวแปรคั่นกลางความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรแรงกระตุ้นของผู้ชมการมีส่วนร่วมบนโซเชียลมีเดียฯ เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี ได้แก่ การวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ คือ ผู้เข้าชมการแข่งขันวอลเลย์บอลระดับชาติ จำนวน 18 คน เลือกแบบเจาะจง และการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้เข้าชมการแข่งขันวอลเลย์บอลระดับชาติ ใช้สุ่มแบบง่าย จำนวน 500 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์เชิงลึก และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์โมเดลโครงสร้าง ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับของแรงกระตุ้นของผู้ชมการมีส่วนร่วมบนโซเชียลมีเดียความมีชื่อเสียงของทีมกีฬาฯ ตัวแปรสาเหตุที่มีอิทธิพลรวมต่อความภักดีของผู้ชมมากที่สุด คือ ตัวแปรการมีส่วนร่วมบนโซเชียลมีเดียที่มีค่าสัมประสิทธิ์อิทธิพลรวมเท่ากับ 0.65 รองลงมา ได้แก่ ตัวแปรความมีชื่อเสียงของทีมกีฬา 2) อิทธิพลของแรงกระตุ้นของผู้ชมและการมีส่วนร่วมบนโซเชียลมีเดียฯ มีค่าสัมประสิทธิ์อิทธิพลรวมเท่ากับ 0.51 และ 3) บทบาทของตัวแปรความมีชื่อเสียงของทีมกีฬาฯ ตัวแปรแรงกระตุ้นของผู้ชมที่มีค่าสัมประสิทธิ์อิทธิพลรวมเท่ากับ 0.30 ตามลำดับ โดยตัวแปรทั้งสามตัวแปรสามารถอธิบายความแปรปรวนของความภักดีของผู้ชม (R<sup>2</sup>) ได้เท่ากับ 0.89 (89.0%)</p> 2025-11-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมหาจุฬานาครทรรศน์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JMND/article/view/295240 รูปแบบการพัฒนาสมรรถนะครูโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน ในสังกัดกองกำกับการตำรวจชายแดนที่ 43 2025-11-06T21:05:33+07:00 อริสรา บุญรัตน์ arisra@hu.ac.th รุ่งทิพย์ ปราโมทย์พันธุ์ arisra@hu.ac.th ชิตพล เอกสายธาร arisra@hu.ac.th สุนิตดา ขันธวิทย์ arisra@hu.ac.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจความต้องการและพัฒนารูปแบบการพัฒนาสมรรถนะครู โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน ในสังกัดกองกำกับการตำรวจชายแดนที่ 43 โดยใช้รูปแบบการวิจัยคุณภาพ กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน ในสังกัดกองกำกับการตำรวจชายแดนที่ 43 จำนวน 70 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสำรวจความต้องการการพัฒนาสมรรถนะครู และแบบประเมินรูปแบบการพัฒนาสมรรถนะ แบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ค่าความเชื่อมั่น 0.920 สถิติที่ใช้ คือ ค่าร้อยละ และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐาน ผลการวิจัยพบว่า ครูในโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน เป็นเพศหญิง 49 คน (ร้อยละ 70) เพศชาย 21 คน (ร้อยละ 30) ระดับการศึกษา ปริญญาตรี 53 คน (ร้อยละ 75.71) ปริญญาโท 17 คน (ร้อยละ 24.29) และอายุราชการ 1 - 5 ปี 26 คน (ร้อยละ 37.14) อายุราชการ 6 - 10 ปี 18 คน (ร้อยละ 25.71) อายุราชการ 11 - 15 ปี 10 คน (ร้อยละ 14.29) อายุราชการ 16 - 20 ปี 7 คน (ร้อยละ 10.00) อายุราชการ 21 - 25 ปี 8 คน (ร้อยละ 11.43) อายุราชการ 25 ปีขึ้นไป 1 คน (ร้อยละ 1.43) และครูมีความต้องการพัฒนาสมรรถนะด้านการพัฒนาผู้เรียน อยู่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.68) รองลงมา คือ สมรรถนะการบริหารจัดการชั้นเรียน (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.63) และรูปแบบการพัฒนาสมรรถนะครูด้านการพัฒนาผู้เรียน ประกอบด้วย การเตรียมการและการวางแผน, การบูรณาการกับชีวิตจริง, การพัฒนารายบุคคล, การประเมินตามสภาพจริงและการสร้างเครือข่าย ส่วนรูปแบบการพัฒนาสมรรถนะการบริหารจัดการชั้นเรียน ประกอบด้วย การสร้างสภาพแวดล้อมเชิงสร้างสรรค์ การจัดการเรียนรู้ การสร้างการมีส่วนร่วมเชิงรุก และการบริหารอย่างเป็นระบบ</p> 2025-11-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมหาจุฬานาครทรรศน์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JMND/article/view/295322 การพัฒนาศักยภาพเครือข่ายเพื่อยกระดับมาตรฐานการจัดการศึกษา ระดับปฐมวัย ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในสังกัดเทศบาลนครอุดรธานี 2025-11-08T19:36:31+07:00 วิไลลักษณ์ ขาวสอาด wilailak.kh@udru.ac.th ญาดา ช่อสูงเนิน wilailak.kh@udru.ac.th <p>การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาศักยภาพเครือข่ายส่งเสริมมาตรฐานศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในสังกัดเทศบาลนครอุดรธานี 2) ยกระดับมาตรฐานการจัดการศึกษาระดับปฐมวัย ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในสังกัดเทศบาลนครอุดรธานี เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยศึกษาจากกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลักหรือผู้ที่มีส่วนร่วม กลุ่มผู้เข้าฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการยกระดับมาตรฐานการจัดการศึกษาระดับปฐมวัย ได้แก่ 1) ผู้บริหารและบุคลากรสำนักการศึกษา 2) คณะกรรมการบริหารศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 3) ครู และผู้ดูแลเด็ก 4) ผู้ปกครอง 5) ตัวแทนครูปฐมวัยจากโรงเรียนในสังกัดเทศบาล 6) เครือข่ายโรงเรียนเอกชน รวม 50 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ การสนทนากลุ่ม การสัมภาษณ์ การสำรวจพื้นที่ ข้อสรุปจากการประชุมกลุ่มย่อยและการจัดเวที และการสังเกตพฤติกรรม ผลการวิจัยพบว่า 1) พัฒนาศักยภาพเครือข่ายส่งเสริมมาตรฐานศูนย์พัฒนาเด็กเล็กของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในสังกัดเทศบาลนครอุดรธานี โดยการสร้างเครือข่ายความร่วมมือของภาครัฐ สถาบันการศึกษา ภาคเอกชน และภาคประชาชน ซึ่งใช้แนวคิดของ Robert Agranoff, Michael McGuire, John M. Bryson โดยทั้ง 4 ภาคส่วนนี้ได้ร่วมกันในการใช้ต้นทุนความรู้เพื่อยกระดับมาตรฐานการจัดการศึกษาระดับปฐมวัย โดยการจัดเวทีเสวนา การอบรมเชิงปฏิบัติการ การพัฒนาสื่อและนวัตกรรมการเรียนรู้ระดับปฐมวัย ทำให้การสร้างเครือข่ายนี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการแก้ปัญหาที่ภาครัฐแก้ไขไม่ได้ 2) ยกระดับมาตรฐานการจัดการศึกษาระดับปฐมวัย ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในสังกัดเทศบาลนครอุดรธานี โดยมุ่งเน้นการดำเนินงานตามมาตรฐานการจัดการศึกษาปฐมวัยใน 6 ด้าน ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานการดำเนินงานศูนย์พัฒนาเด็กเล็กสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ และการจัดการศึกษาปฐมวัย หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560</p> 2025-11-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมหาจุฬานาครทรรศน์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JMND/article/view/292213 การสื่อสารการจัดการองค์กรด้านคุณธรรมและความโปร่งใส ในการบริหารงานของเทศบาลเมือง 2025-10-10T23:26:10+07:00 กุลนิดา ธานีโต kunnida.engeng@gmail.com สุภาภรณ์ ศรีดี kunnida.engeng@gmail.com กานต์ บุญศิริ kunnida.engeng@gmail.com กุลธิดา ธรรมวิภัชน์ kunnida.engeng@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) การสื่อสารนโยบายการขับเคลื่อนในการจัดการองค์กรด้านคุณธรรมและความโปร่งใสในการบริหารงาน 2) กระบวนการการสื่อสารในการจัดการองค์กรด้านคุณธรรมและความโปร่งใสในการบริหารงาน และ 3) แนวทางการพัฒนาการสื่อสารในการจัดการองค์กร ด้านคุณธรรมและความโปร่งใสในการบริหารงานของเทศบาลเมือง การวิจัยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน โดยการวิจัยเชิงคุณภาพเก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึก ผู้ให้ข้อมูลหลัก 33 คน ได้แก่ ผู้บริหาร บุคลากร เจ้าหน้าที่ ประชาชน และนักวิชาการด้านการสื่อสาร ส่วนการวิจัยเชิงปริมาณเก็บข้อมูลจากการสำรวจบุคลากรเทศบาลเมืองบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี 54 คน เทศบาลเมืองวังน้ำเย็น จังหวัดสระแก้ว 78 คน และเทศบาลเมืองจันทบุรี จังหวัดจันทบุรี 98 คน รวม 230 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) การสื่อสารนโยบายเพื่อความโปร่งใสเป็นรากฐานในการสร้างความไว้วางใจและลดความขัดแย้ง โดยมีภาวะผู้นำและเทคโนโลยีเป็นปัจจัยเสริม 2) กระบวนการสื่อสารเน้นบทบาทของผู้ส่งสารคือผู้บริหารที่มีความน่าเชื่อถือและทักษะการสื่อสาร ขณะที่ผู้ปฏิบัติงานทำหน้าที่รับและถ่ายทอดสาร เนื้อหาต้องถูกต้อง ชัดเจน และตรวจสอบได้ สื่อควรมีความหลากหลาย ทั้งเอกสารราชการ สื่อประชาสัมพันธ์ และสื่อดิจิทัล และ 3) แนวทางการพัฒนาการสื่อสารฯ ประกอบด้วย 1) การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเจ้าหน้าที่และประชาชนในการกำหนดและสื่อสารนโยบาย โดยจัดทำกรอบนโยบายการสื่อสารด้านคุณธรรมและความโปร่งใสที่ชัดเจน และ 2) การส่งเสริมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างเทศบาลเมืองต่าง ๆ ด้วยการจัดเวทีหรือเครือข่ายเทศบาลเพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ด้านการสื่อสาร คือ เวที “เทศบาลต้นแบบด้านคุณธรรม” เพื่อให้มีการพัฒนาองค์กรด้านคุณธรรมและความโปร่งใสในการบริหารงานของเทศบาลเมืองต่อไป</p> 2025-11-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมหาจุฬานาครทรรศน์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JMND/article/view/295069 การศึกษามิติทางอารมณ์และสังคมของนักเรียนโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน 2025-11-06T20:40:00+07:00 นิศากร หวลจิตร์ monthira@g.swu.ac.th มณฑิรา จารุเพ็ง monthira@g.swu.ac.th ครรชิต แสนอุบล monthira@g.swu.ac.th <p>การศึกษามิติทางอารมณ์และสังคมของนักเรียนโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ประกอบทางอารมณ์และสังคมของนักเรียนโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน เป็นการวิจัยเชิงสำรวจกลุ่มตัวอย่างของนักเรียนระดับ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 - 6 จำนวนทั้งหมด 100 คน โดยการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง และกลุ่มสัมภาษณ์เชิงลึก ที่ประกอบด้วย ครูผู้สอน ผู้ปกครอง เพื่อนนักเรียน และตัวแทนชุมชน เครื่องมือการวิจัย ได้แก่ แบบวัดมิติทางอารมณ์และสังคม และแบบสัมภาษณ์เชิงลึกสำหรับผู้ที่เกี่ยวข้อง และการวิเคราะห์องค์ประกอบใช้การทดสอบของบาร์ทเลท และค่าความเพียงพอของการเลือกกลุ่มตัวอย่าง พร้อมกับการวิเคราะห์องค์ประกอบหลัก ผลการการวิจัยพบว่า ด้านมาตรฐานความคิด ซึ่งประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ ได้แก่ ความเชื่อในการใช้ความสามารถอย่างเต็มที่เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีคุณภาพสูง ความมั่นใจในความสามารถที่จะประสบความสำเร็จ ทัศนคติเชิงบวกต่อการทำงานและการเรียนรู้ ความเชื่อในการพัฒนาตนเองและความสมดุลทางจิตใจ สังคม/อารมณ์ และร่างกาย รวมถึงความรู้สึกยอมรับ เคารพ และสนับสนุนตนเองและผู้อื่น โดยองค์ประกอบสามารถอธิบายความแปรปรวนสะสมได้ร้อยละ 62.46 ส่วนมิติด้านมาตรฐานพฤติกรรม ประกอบด้วย ทักษะการจัดการตนเอง ทักษะทางสังคม และกลยุทธ์การเรียนรู้ การศึกษาครั้งนี้สอดคล้องกับกรอบแนวคิด SEL ของ CASEL ที่เน้นการพัฒนาทักษะสำคัญ 5 ด้าน คือ การตระหนักรู้ในตนเองการจัดการตนเอง การตระหนักรู้ทางสังคม ทักษะความสัมพันธ์ และการตัดสินใจอย่างรับผิดชอบ ผลวิจัยนี้สามารถใช้เป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาหลักสูตรและกิจกรรมเสริมสร้างมิติทางอารมณ์และสังคมของนักเรียนในโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน เพื่อส่งเสริมพัฒนาการทางอารมณ์และสังคมที่ดีและเหมาะสมต่อไป</p> 2025-11-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมหาจุฬานาครทรรศน์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JMND/article/view/295321 ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์และแรงจูงใจที่มีผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดสำนักงานตำรวจภูธรภาค 7 2025-11-06T21:14:47+07:00 วันจักร น้อยจันทร์ wanchak.no@ssru.ac.th คริสติน่า สุวรรณศรีหา wanchak.no@ssru.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ แรงจูงใจในการปฏิบัติงาน และประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของตำรวจในสังกัดสำนักงานตำรวจภูธรภาค 7 2) ศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของตำรวจในสังกัดสำนักงานตำรวจภูธรภาค 7 ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ แรงจูงใจ และประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน และ 3) ศึกษาภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์และแรงจูงใจในการปฏิบัติงานที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของตำรวจในสังกัดสำนักงานตำรวจภูธรภาค 7 การวิจัยเป็นแบบเชิงปริมาณ ประชากร คือ ข้าราชการตำรวจ จำนวน 10,495 นาย และกำหนดกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 400 นาย โดยใช้สูตรของ ทาโร ยามาเน พร้อมการสุ่มตัวอย่างแบบอาศัยความน่าจะเป็น เครื่องมือวิจัยเป็นแบบสอบถามที่ผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาด้วยค่า IOC และทดสอบความเชื่อมั่นด้วยค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค ซึ่งอยู่ในระดับสูง การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สันและการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1) ข้าราชการตำรวจในสังกัดสำนักงานตำรวจภูธรภาค 7 มีภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์อยู่ในระดับมากที่สุด (เฉลี่ย = 4.27) มีแรงจูงใจในการปฏิบัติงานอยู่ในระดับมากที่สุด (เฉลี่ย = 4.38) และมีประสิทธิภาพการปฏิบัติงานอยู่ในระดับมากที่สุด (เฉลี่ย = 4.30) 2) ประสิทธิภาพการปฏิบัติงานมีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับมากที่สุดกับแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน (r = 0.899) และมีความสัมพันธ์กับภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ในระดับมาก (r = 0.820) โดยทั้งสองตัวแปรมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 3) ผลการวิเคราะห์การถดถอย พบว่า แรงจูงใจในการปฏิบัติงานเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\beta&amp;space;" alt="equation" /> = 0.663) รองลงมา คือ ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\beta&amp;space;" alt="equation" /> = 0.303)</p> 2025-11-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมหาจุฬานาครทรรศน์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JMND/article/view/294610 การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลตามหลักพุทธธรรม ของโรงเรียนขนาดเล็กสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา นครศรีธรรมราช เขต 3 2025-10-21T22:18:15+07:00 จุฑามาศ จอมทอง jple035@gmail.com บุญเลิศ วีระพรกานต์ jple035@gmail.com ธีระพงษ์ สมเขาใหญ่ jple035@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหา และความต้องการจำเป็นด้านการจัดการเรียนรู้ของโรงเรียนขนาดเล็ก 2) พัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลตามหลักพุทธธรรม 3) ทดลองใช้รูปแบบ และ 4) ประเมินความเหมาะสมความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์ของรูปแบบ ใช้ระเบียบวิธีแบบผสานวิธี กลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย ผู้อำนวยการสถานศึกษาและครูผู้รับผิดชอบงานวิชาการ จำนวน 206 คน ผู้ให้ข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึก 15 คน ผู้ทรงคุณวุฒิ 5 คน และการสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญ 9 รูป/คน รวมทั้งผู้ประเมินความพึงพอใจ 10 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์เชิงลึก แบบสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญ แบบสังเกต แบบประเมินรูปแบบ และแบบประเมินความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าความต้องการจำเป็น (PNI) และการวิเคราะห์เชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบัน การจัดการเรียนรู้อยู่ในระดับปานกลาง ขณะที่สภาพที่คาดหวังอยู่ในระดับมากที่สุด โดยมีความต้องการจำเป็นสูงสุด ด้านหลักสูตร (PNI = 0.94) รองลงมา คือ การใช้สื่อการสอน (0.89) และการจัดการเรียนการสอน (0.85) 2) รูปแบบที่พัฒนาขึ้น ประกอบด้วย หลักการ วัตถุประสงค์ วิธีดำเนินการใน 4 ด้าน ได้แก่ ด้านหลักสูตร ด้านการจัดการเรียนการสอน ด้านการใช้สื่อการสอน และด้านการวัดและประเมินผล พร้อมปัจจัยความสำเร็จ 3) ผลการทดลองใช้ พบว่า คะแนนความรู้หลังอบรมสูงกว่าก่อนอบรมอย่างชัดเจน (11.70 เป็น 17.90) แผนการจัดการเรียนรู้อยู่ในระดับมาก การจัดการเรียนรู้อยู่ในระดับมากที่สุด และการนิเทศติดตามอยู่ในระดับมากที่สุด 4) ผลการประเมินรูปแบบโดยรวม พบว่า มีความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์ในระดับมากที่สุด สามารถนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> 2025-11-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมหาจุฬานาครทรรศน์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JMND/article/view/294560 “ถูกหล่อหลอมด้วยการศึกษา ถูกเปลี่ยนแปลงด้วยสังคม”: ความกดดันทางวิชาการและความโดดเดี่ยวในโรงเรียนประจำ ในฐานะปัจจัยกำหนดการรับรู้เรื่องความยุติธรรมของนักเรียนชาวจีนเจเนอเรชัน Z 2025-10-19T07:24:57+07:00 จือเชิง ลี่ zichengl65@nu.ac.th พิษนุ อภิสมาจารโยธิน zichengl65@nu.ac.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์หลัก 3 ประการ ได้แก่ 1) เพื่อศึกษาสภาพแวดล้อมโรงเรียนประจำต่อการเข้าถึงข้อมูลและความเข้าใจเริ่มแรกของเจเนอเรชันซี ชาวจีนในมณฑลกว่างซี 2) เพื่อวิเคราะห์ความกดดันทางวิชาการที่หนักหน่วงที่มีต่อการมีส่วนร่วมและการสะท้อนคิดทางสังคมของเจเนอเรชันซีชาวจีนในมณฑลกว่างซี และ 3) ศึกษาการเปลี่ยนแปลงการรับรู้ ต่อความเป็นธรรมและความยุติธรรมทางสังคมหลังสำเร็จการศึกษาของเจเนอเรชันซี ชาวจีนในมณฑลกว่างซี ผู้วิจัยใช้การวิจัยเชิงคุณภาพ ซึ่งข้อมูลถูกรวบรวมจากการสัมภาษณ์เชิงลึกโดยใช้เครื่องมือเป็นแบบบันทึกการสัมภาษณ์กับผู้เข้าร่วม จำนวน 10 คน จากรุ่น Gen Z และผู้เข้าร่วม จำนวน 6 คน จากรุ่นเจนเนอเรชันเอ็กซ์ (Gen X) ซึ่งกลุ่มหลังให้ข้อมูลเปรียบเทียบเกี่ยวกับบรรยากาศทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปตามช่วงวัย ผลการวิจัยชี้ให้เห็นรูปแบบสำคัญหลายประการ ได้แก่ 1) สภาพแวดล้อมของโรงเรียนประจำจำกัด การเข้าถึงข้อมูลภายนอกและประสบการณ์ทางสังคมที่กว้างขึ้นของคนรุ่น Gen Z 2) ความกดดันทางการศึกษาอย่างหนักหน่วงจำกัดความสามารถของ Gen Z ในการมีส่วนร่วมและสะท้อนถึงประเด็นทางสังคม และ 3) หลังจากสำเร็จการศึกษาการรับรู้ของ Gen Z เกี่ยวกับความเป็นธรรมและความยุติธรรมทางสังคมเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เนื่องจากพวกเขาเผชิญกับความไม่เป็นธรรมที่เกินกว่าที่คาดหวังไว้ งานวิจัยนี้ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างรุ่นในการรับรู้เรื่องความยุติธรรม และเน้นย้ำว่าสภาพแวดล้อมทางการศึกษาและแรงกดดันทางการเรียนมีบทบาทสำคัญในการกำหนดพัฒนาการของการรับรู้ความเป็นธรรมทางสังคมของคนรุ่น Gen Z</p> 2025-11-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมหาจุฬานาครทรรศน์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JMND/article/view/295386 การพัฒนาจิตอาสาและความรับผิดชอบต่อสังคม เชิงพุทธของเยาวชนต้นแบบ จังหวัดขอนแก่น 2025-11-08T19:24:17+07:00 วิทยา ทองดี phanthiwa.thab@mcu.ac.th สุรพล พรมกุล phanthiwa.thab@mcu.ac.th สุธิพงษ์ สวัสดิ์ทา phanthiwa.thab@mcu.ac.th พันทิวา ทับภูมี phanthiwa.thab@mcu.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษารูปแบบจิตอาสาและความรับผิดชอบต่อสังคมของเยาวชนต้นแบบจังหวัดขอนแก่น 2) พัฒนาหลักสูตรการพัฒนาเยาวชนจิตอาสาและความรับผิดชอบต่อสังคมเชิงพุทธต้นแบบจังหวัดขอนแก่น และ 3) พัฒนากิจกรรมการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมการพัฒนาจิตอาสาและความรับผิดชอบต่อสังคมเชิงพุทธของเยาวชนต้นแบบ จังหวัดขอนแก่น เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี ใช้กระบวนการวิจัยและพัฒนา เครื่องมือ ได้แก่ แบบสัมภาษณ์เชิงลึก แบบสนทนากลุ่มเฉพาะ การจัดกิจกรรมเชิงปฏิบัติการ และการสังเกตแบบมีส่วนร่วม เก็บรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึก การสนทนากลุ่ม และการจัดกิจกรรม วิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนาและโดยอุปนัย ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบจิตอาสาและความรับผิดชอบต่อสังคมของเยาวชนต้นแบบจังหวัดขอนแก่น ประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 คุณลักษณะจิตอาสาและความรับผิดชอบต่อสังคมของเยาวชนต้นแบบ ส่วนที่ 2 เยาวชนที่มีจิตอาสาและความรับผิดชอบต่อสังคมต้องเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติที่ดีทั้งทางด้านจิตใจและร่างกาย และส่วนที่ 3 ปัจจัยที่สนับสนุนให้เยาวชนเป็นผู้มีจิตอาสาและความรับผิดชอบต่อสังคม ผลการพัฒนาหลักสูตรการพัฒนาเยาวชนจิตอาสาและความรับผิดชอบต่อสังคมเชิงพุทธต้นแบบจังหวัดขอนแก่น ประกอบด้วย 3 หลักสูตร ได้แก่ เยาวชนศาสนพิธีกร-พิธีการ เยาวชนนักนันทนาการ และเยาวชนนักสื่อสารชุมชน และผลการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมการพัฒนาจิตอาสาและความรับผิดชอบต่อสังคมเชิงพุทธของเยาวชนต้นแบบจังหวัดขอนแก่น ประกอบด้วย 3 กิจกรรม ได้แก่ กิจกรรมส่งเสริมเยาวชนจิตอาสาด้านเยาวชน ศาสนพิธีกร-พิธีการ กิจกรรมส่งเสริมเยาวชนจิตอาสาด้านการสื่อสารชุมชน และกิจกรรมส่งเสริมเยาวชนจิตอาสาด้านเยาวชนนันทนาการ</p> 2025-11-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมหาจุฬานาครทรรศน์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JMND/article/view/293271 โมเดลกระบวนการหลอกลวงทางไซเบอร์: การบูรณาการหลักปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียง - การวิเคราะห์จากข่าวอาชญากรรมไซเบอร์ในประเทศไทย 2025-10-09T19:02:09+07:00 นพรัตน์ รัตนประทุม nopparatr@nu.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์และสร้างโมเดลกระบวนการหลอกลวงทางไซเบอร์ 2) สังเคราะห์ความสัมพันธ์ของโมเดลกระบวนการหลอกลวงทางไซเบอร์กับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ประกอบด้วย หลัก 3 ห่วง 2 เงื่อนไข ได้แก่ หลักความพอประมาณ ความมีเหตุผล และการมีภูมิคุ้มกัน ร่วมกับเงื่อนไขความรู้ และคุณธรรม ใช้วิธีการวิจัยเอกสาร โดยแหล่งข้อมูลที่ใช้ คือ ข่าวอาชญากรรมไซเบอร์ที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ข่าวออนไลน์ 5 แหล่งข่าว รวมจำนวน 40 ข่าว ครอบคลุม 5 ประเภทการหลอกลวง ได้แก่ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ การหลอกให้รัก การหลอกขายสินค้าออนไลน์ การหลอกให้ลงทุน/พนัน และการหลอกผ่านอีเมล/เอสเอ็มเอส วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา เช่น การกำหนดประเด็น การคัดเลือกแหล่งข่าว การรวบรวมข่าว เป็นต้น ผลการวิจัยพบว่า 1) การหลอกลวงทางไซเบอร์ ทั้ง 5 ประเภท มีกระบวนการที่คล้ายคลึงกัน 6 ขั้นตอน ได้แก่ การติดต่อเริ่มแรกการสร้างความน่าเชื่อถือ การเสนอ/ชักชวน การเพิ่มแรงกดดัน การดำเนินการให้เหยื่อโอนเงิน และการปิดการติดต่อ/หลบหนี ขั้นตอนเหล่านี้ มิจฉาชีพได้เน้นการเข้าถึงเหยื่ออย่างรวดเร็ว สร้างความไว้ใจ จากนั้นจึงควบคุมการตัดสินใจของเหยื่อภายใต้แรงจูงใจและแรงกดดันทางอารมณ์อย่างเป็นระบบ ลักษณะเหล่านี้สะท้อนถึงทฤษฎีการโน้มน้าวใจที่มุ่งเน้นการสื่อสารเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทัศนคติ ความเชื่อ หรือพฤติกรรม 2) การสังเคราะห์ความสัมพันธ์ของกระบวนการหลอกลวงกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง พบว่า ในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการสะท้อนถึงการละเลยหลักความพอประมาณ ความมีเหตุผล และการมีภูมิคุ้มกัน อันเป็นหัวใจสำคัญในการตัดสินใจที่ผิดพลาดจนนำไปสู่การถูกหลอก ผลการวิจัย สามารถนำโมเดลไปใช้เป็นฐานในการออกแบบหลักสูตร สื่อรณรงค์ หรือโปรแกรมฝึกอบรมป้องกันภัยไซเบอร์ รวมถึงเป็นแนวทางวิจัยต่อยอดในอนาคต</p> 2025-11-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมหาจุฬานาครทรรศน์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JMND/article/view/292978 ข้อสันนิษฐานเพิ่มเติมว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างเจดีย์ทรงระฆังสี่เหลี่ยม ศิลปะล้านช้างกับศิลปะล้านนา 2025-10-07T21:16:25+07:00 มนวัธน์ พรหมรัตน์ manawat.promrat@gmail.com <p>บทความนี้ต้องการศึกษาต่อยอดองค์ความรู้เกี่ยวกับเจดีย์ทรงระฆังสี่เหลี่ยมในศิลปะล้านช้าง ซึ่งมีพระธาตุศรีสองรัก และพระธาตุหลวง เวียงจันทน์ เป็นต้นแบบ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบในเชิงศิลปกรรมระหว่างเจดีย์ทรงระฆังสี่เหลี่ยม ในศิลปะล้านช้างกับศิลปกรรมล้านนา ที่มีความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรม การเมือง และสังคมกับล้านช้างอย่างแนบแน่น ตั้งแต่กลางพุทธศตวรรษที่ 21 เป็นต้นมา และเพื่อศึกษาเปรียบเทียบในเชิงประติมานวิทยาระหว่างเจดีย์ทรงระฆังสี่เหลี่ยมในศิลปะล้านช้างกับศิลปกรรมล้านนา ที่สัมพันธ์กับคติทางพุทธศาสนา จากการศึกษา พบว่า เจดีย์ทรงระฆังสี่เหลี่ยมในศิลปะล้านช้างน่าจะได้รับการพัฒนาต่อยอดมาจากชุดหลังคาลาดของปราสาทโขงพระเจ้าในศิลปะล้านนา ที่นิยมตั้งแต่กลางพุทธศตวรรษที่ 21 เป็นต้นมา โดยเฉพาะชั้นหลังคาลาดที่มีเสายอดบัวสี่เหลี่ยมของล้านนา พบว่า มีระเบียบทางศิลปกรรมใกล้เคียงกับองค์พระธาตุศรีสองรัก และชั้นหลังคาลาดยอดบัวเหลี่ยมตรงปลายเป็นตุ่มบัวตูมของล้านนา พบว่า มีระเบียบทางศิลปกรรมใกล้เคียงกับพระธาตุหลวง เวียงจันทน์ ในการศึกษาเปรียบเทียบเชิงประติมานวิทยา พบว่า เจดีย์ทรงระฆังสี่เหลี่ยมล้านช้างมีรูปแบบคล้ายคลึงกับภาพเขาสัตบริภัณฑ์และเขาพระสุเมรุจำลองบนรอยพระบาทประดับมุกของวัดพระสิงห์ในพุทธศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะกรณีของพระธาตุหลวงเวียงจันทน์ที่มีการเรียงลำดับของเจดีย์ประธานและบริวารในรูปแบบที่คล้ายคลึงกับภาพจักรวาลบนรอยพระบาทเป็นอย่างยิ่ง แสดงให้เห็นว่าเจดีย์ทรงระฆังสี่เหลี่ยมในศิลปะล้านช้างมีความหมายเชิงประติมานวิทยาในฐานะศูนย์กลางจักรวาลเช่นเดียวกับเจดีย์ในศิลปะอื่น ๆ</p> 2025-11-18T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมหาจุฬานาครทรรศน์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JMND/article/view/293451 การพัฒนาเทการประยุกต์เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ สำหรับนักเรียนที่บกพร่องทางการได้ยิน คโนโลยีความเป็นจริงเสริมเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ให้แก่เด็ก ที่บกพร่องทางการได้ยิน 2025-10-15T19:52:26+07:00 ชุดาณัฏฐ์ สุดทองคง william.thanannath@gmail.com ธนันณัฏฐ์ ภัทรชัยรวี william.thanannath@gmail.com พิจิตรพงศ์ สุนทรพิพิธ william.thanannath@gmail.com อำนาจ เสริมพงศ์สุวัฒน์ william.thanannath@gmail.com <p>การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมในการสร้างสื่อการเรียนรู้สำหรับผู้บกพร่องทางการได้ยิน โดยมุ่งเน้นการออกแบบสื่อที่ผสมผสานภาพ วิดีโอ คำบรรยาย และภาษามือเพื่อเพิ่มการเข้าถึงและรูปแบบการเรียนรู้ กลุ่มผู้เรียนหูหนวกมักประสบปัญหาในการเข้าถึงข้อมูลจากสื่อการเรียนการสอนแบบดั้งเดิม ซึ่งขาดการโต้ตอบทำให้การเรียนรู้เป็นไปได้ช้า การประยุกต์โปรแกรมและสื่อเสริม เช่น หนังสือ AR และโมเดลสามมิติที่เชื่อมโยงกับบทเรียน เพื่อช่วยลดข้อจำกัดด้านการสื่อสารและสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่ช่วยให้ทำความเข้าใจง่าย และเท่าเทียมกับผู้เรียนทั่วไป การสนับสนุนการเรียนรู้ ประกอบด้วย นวัตกรรมการเรียนรู้ที่สนุกสนานที่เน้นการเรียนรู้เชิงเล่นและการมีส่วนร่วม ที่ผู้เรียนสร้างความรู้ผ่านประสบการณ์ตรง ที่บูรณาการภาพ ข้อความ และวิดีโอ รวมถึง การเรียนรู้เชิงประสบการณ์และการออกแบบเพื่อการเรียนรู้สากลที่เน้นความหลากหลายในการนำเสนอ การมีส่วนร่วม และการแสดงออก นอกจากนั้นการใช้เทคโนโลยีความจริงเสริม AR ในบริบทการเรียนรู้ทำให้นักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน สามารถสำรวจโมเดล 3 มิติ หมุน ย่อ ขยาย และโต้ตอบกับข้อมูลได้อย่างมีส่วนร่วม อีกทั้งยังสามารถใช้ข้อความบรรยาย หรือภาษามือเสริมเพื่อเสริมความเข้าใจแก่นักเรียนที่บกพร่องทางการได้ยิน การใช้เทคโนโลยี AR มีส่วนอย่างยิ่งในการช่วยให้รู้ถึงเนื้อหาที่ซับซ้อน ทำให้นักเรียนเข้าใจเนื้อหานามธรรมได้ง่ายขึ้น เพิ่มแรงจูงใจและการมีส่วนร่วม ตลอดจนยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และสามารถเรียนรู้ได้ใกล้เคียงกับผู้เรียนทั่วไป สะท้อนศักยภาพเทคโนโลยีความจริงเสริม AR ช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา</p> 2025-11-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมหาจุฬานาครทรรศน์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JMND/article/view/295303 การจัดการภาวะอ้วนในผู้ใหญ่: การประยุกต์แนวทางพฤติกรรมสุขภาพ 2025-11-07T21:56:06+07:00 ญษมณ ละทัยนิล lataininya@gmail.com <p>ภาวะอ้วนในผู้ใหญ่เป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อสุขภาพกาย จิตใจ และค่าใช้จ่ายด้านระบบบริการสุขภาพในระยะยาว การจัดการภาวะอ้วนจำเป็นต้องอาศัยแนวทางแบบบูรณาการที่ครอบคลุมทั้งด้านชีวภาพ พฤติกรรม และเทคโนโลยี บทความนี้นำเสนอการประยุกต์ใช้ 4 แนวคิดหลัก ได้แก่ 1) ทฤษฎีแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ เพื่อเสริมแรงจูงใจผ่านการรับรู้ความรุนแรง ความเสี่ยง ประโยชน์ อุปสรรค สิ่งชักนำ และความสามารถในการปรับพฤติกรรม 2) แนวคิดการอดอาหารเป็นช่วง ๆ ที่สอดคล้องกับกลไกคีโตซิส ออโตฟาจี และนาฬิกาชีวภาพ ซึ่งช่วยลดน้ำหนักและปรับสมดุลการเผาผลาญ 3) แนวคิดศาสตร์อาหารต้นทางที่เน้นอาหารจากพืชและจัดหมวดอาหารตามระบบไฟจราจรเพื่อให้ปรับใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน โดยสามารถเชื่อมโยงกับการวางแผนมื้ออาหารเพื่อควบคุมพลังงาน และ 4) แบบจำลองการยอมรับเทคโนโลยี ที่อธิบายการใช้แอปพลิเคชันสุขภาพ อุปกรณ์สวมใส่ และระบบให้คำปรึกษาออนไลน์เพื่อสนับสนุนการติดตามพฤติกรรมและเพิ่มความต่อเนื่องในการดูแลสุขภาพ การบูรณาการแนวคิดทั้ง 4 ข้อนี้ ทำให้เกิดแนวทางจัดการภาวะอ้วนที่มีความยืดหยุ่น เหมาะสมกับบริบทของผู้ใหญ่ไทย และสามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสุขภาพที่ยั่งยืน นอกจากนี้ ยังสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการเชื่อมโยงองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เข้ากับการปฏิบัติจริงในระบบบริการสุขภาพ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสนับสนุนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และการสร้างแรงจูงใจเชิงจิตวิทยาที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของประชากรวัยทำงาน แนวทางดังกล่าวไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง แต่ยังมีศักยภาพในการลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ และเพิ่มคุณภาพชีวิตของประชากรในระยะยาว</p> 2025-11-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมหาจุฬานาครทรรศน์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JMND/article/view/295320 การสร้างแนวทางเพื่อการพัฒนาการศึกษาท้องถิ่นบูรณาการความรู้ สู่ความยั่งยืนบนฐานชุมชน 2025-11-07T22:02:14+07:00 ภูวดล ชมช่วยธานี phuwadon.cho@rmutr.ac.th ขจรศักดิ์ ศิริมัย phuwadon.cho@rmutr.ac.th ทนง ทองภูเบศร์ phuwadon.cho@rmutr.ac.th <p>การพัฒนาการศึกษาท้องถิ่นในสังคมไทยปัจจุบันจำเป็นต้องอาศัยกระบวนการบูรณาการความรู้ จากหลายสาขา ตลอดจนความร่วมมือของทุกภาคส่วนในชุมชน เพื่อสร้างการเรียนรู้ที่มีคุณภาพและนำไปสู่ความยั่งยืนอย่างแท้จริง บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสังเคราะห์แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง กับการพัฒนาการศึกษาท้องถิ่น และนำมาออกแบบเป็นแนวทางเชิงบูรณาการที่สอดคล้องกับแผนพัฒนาการศึกษาท้องถิ่น พ.ศ. 2566 - 2570 และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 โดยมุ่งเน้น การยกระดับคุณภาพผู้เรียน การสร้างเครือข่ายความร่วมมือทางการศึกษา และการส่งเสริมชุมชนให้มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการศึกษาอย่างมีทิศทาง บทความอาศัยวิธีการวิเคราะห์ สังเคราะห์เอกสาร และเปรียบเทียบนโยบายระดับชาติและท้องถิ่น เพื่อนำมาจัดทำเป็นกรอบแนวคิดการพัฒนาเชิงบูรณาการที่ครอบคลุม 4 ด้าน ได้แก่ 1) การบริหารจัดการศึกษาโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน 2) การยกระดับคุณภาพวิชาการของผู้เรียน 3) การส่งเสริมคุณลักษณะอันพึงประสงค์ และ 4) การพัฒนาเครือข่ายทางการศึกษา ทั้งนี้ ยังได้เสนอกระบวนการบูรณาการ 4 ขั้น ประกอบด้วย การวางแผน การจัดการศึกษา การติดตาม และการประเมินผล เพื่อให้การดำเนินงานเป็นระบบและสามารถตรวจสอบได้อย่างชัดเจน ผลการสังเคราะห์ พบว่า การบูรณาการความรู้กับบริบทของชุมชนจะช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งทางการศึกษา เพิ่มโอกาสการเรียนรู้ และสร้างพลังขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืนในระยะยาว บทความจึงเสนอแนวทางเชิงนโยบายเพื่อใช้เป็นกรอบในการพัฒนาการศึกษาท้องถิ่น และเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ตอบสนองต่อการพัฒนาชุมชนอย่างแท้จริง บทความนี้ จึงสะท้อนให้เห็นว่า การศึกษาท้องถิ่นที่ไม่เพียงแต่ยกระดับคุณภาพของผู้เรียน แต่ยังเป็นแนวทางในการสร้างความเข้มแข็งของชุมชน อันนำไปสู่การพัฒนาท้องถิ่นที่มั่นคงและยั่งยืนต่อไป</p> 2025-11-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมหาจุฬานาครทรรศน์