วารสารการบริหารการปกครองและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JLGISRRU <p><strong>วารสารการบริหารการปกครองและนวัตกรรมท้องถิ่น</strong><br /><strong>Journal of Local Governance and Innovation</strong><br /><strong>ISSN 3027-8120 (Print)</strong><br /><strong>ISSN 2673-0405 (Online)<br /></strong></p> <p>วารสารมีนโยบายส่งเสริมและสนับสนุนให้คณาจารย์ นักวิชาการ นิสิต นักศึกษา และผู้สนใจทั่วไปได้มีโอกาสตีพิมพ์เผยแพร่บทความคุณภาพเฉพาะบทความวิจัยและบทความวิชาการเท่านั้น โดยเป็นทั้งบทความภาษาไทยและบทความภาษาอังกฤษ ในสาขารัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ นิติศาสตร์ด้านการปกครองและกฎหมายท้องถิ่น การบริหารจัดการ นวัตกรรมการบริหารและเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น</p> <p>โดยบทความทุกเรื่องต้องมีความเกี่ยวข้องกับ การเมือง การปกครอง การบริหารรัฐกิจ นโยบายสาธารณะ การจัดการภาครัฐ การบริหารจัดการหรือการพัฒนาท้องถิ่น รวมถึงประเด็นสมัยใหม่ เช่น Local Governance, Digital Governance, Public Policy, Community Development, Administrative Innovation และ GovTech<br /><br />วารสารกำหนดเผยแพร่วารสาร ฉบับปกติ (Regular Issues) ปีละ 3 ฉบับ ดังนี้<br />ฉบับที่ 1 (มกราคม – เมษายน) / (January – April)<br />ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม – สิงหาคม) / (May – August)<br />ฉบับที่ 3 (กันยายน – ธันวาคม) / (September – December)<br /><br />ประเภทของบทความ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ บทความวิจัย และบทความวิชาการ<br /><br />รับตีพิมพ์บทความ ทั้ง บทความภาษาไทย และบทความภาษาอังกฤษ<br />เงื่อนไขการตีพิมพ์บทความ<br /><br />บทความแต่ละบทความจะได้รับพิจารณาจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบบทความ (Peer Reviewer) จากผู้ทรงคุณวุฒิอย่างน้อยสองท่าน โดยบทความผู้นิพนธ์ภายนอกได้รับการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิภายในและผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกคนละหนึ่งท่าน หรือผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกอย่างน้อยสองท่าน ส่วนบทความผู้นิพนธ์ภายในได้รับการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกหน่วยงานที่จัดทำวารสาร มีความเชี่ยวชาญตรงตามสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องจากหลากหลายสถาบัน และได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการก่อนตีพิมพ์ ทั้งนี้จะมีรูปแบบที่ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์บทความและผู้นิพนธ์บทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความเช่นเดียวกัน (Double-Blind Peer Review) และทางกองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ที่จะไม่พิจารณาบทความจนกว่าจะได้แก้ไขให้ถูกต้องตามข้อกำหนดของวารสาร ทั้งนี้ บทความต้นฉบับที่ส่งมาตีพิมพ์จะต้องไม่เคยตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารหรือสิ่งพิมพ์ใดมาก่อน และไม่อยู่ในระหว่างพิจารณาเสนอขอตีพิมพ์ในวารสารหรือสิ่งพิมพ์อื่น ๆ หากมีการใช้ภาพหรือตารางของผู้นิพนธ์อื่นที่ปรากฏในสิ่งตีพิมพ์อื่นมาแล้ว ผู้นิพนธ์ต้องขออนุญาตเจ้าของลิขสิทธิ์ก่อน พร้อมทั้งแสดงหนังสือที่ได้รับการยินยอมต่อกองบรรณาธิการก่อนที่บทความจะได้รับการตีพิมพ์ สำหรับทัศนะและข้อคิดเห็นของบทความในวารสารฉบับนี้ เป็นของผู้นิพนธ์แต่ละท่าน ไม่ถือเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการ<br /><br />ทั้งนี้ วารสารการบริหารการปกครองและนวัตกรรมท้องถิ่น มีค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์เฉพาะแบบปกติ และไม่มีค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์แบบเร่งด่วน (Fast Track) โดยขอเปลี่ยนแปลงค่าธรรมเนียมตีพิมพ์ ดังนี้<br />- บทความวิจัย/ บทความวิชาการ ภาษาไทย 5,000 บาท/ บทความ<br />- บทความวิจัย/ บทความวิชาการ ภาษาอังกฤษ 6,000 บาท/ บทความ<br /><br /><strong>คำชี้แจง</strong>ขั้นตอนการชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์วารสารการบริหารการปกครองและนวัตกรรมท้องถิ่น<br />1. ขอให้ผู้นิพนธ์ส่งไฟล์เอกสารผ่านระบบ ThaiJo ประกอบด้วย<br />1.1 บทความวิจัย/บทความวิชาการ ในรูปแบบไฟล์ Word จำนวน 1 ไฟล์<br />1.2 แบบฟอร์มส่งบทความ จำนวน 1 ไฟล์<br />กรุณาดูคำแนะนำสำหรับผู้นิพนธ์ (<a href="https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JLGISRRU/author_instruction">Click</a>)<br />2. เมื่อไฟล์เอกสารครบถ้วนแล้ว ทางกองบรรณาธิการจะพิจารณาบทความเบื้องต้น ตามข้อกำหนดของวารสาร หากผ่านการพิจารณาบทความเบื้องต้น ทางวารสารจะแจ้งให้ชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์วารสารก่อนการตรวจประเมินคุณภาพบทความ <br />3. ช่องทางการชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์วารสาร กำหนดให้โอนชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์วารสารผ่านทางบัญชีธนาคาร โดยผู้นิพนธ์จะได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่วารสารเท่านั้น</p> <p><strong>ช่องทางการชำระค่าธรรมเนียม</strong><br />ชื่อบัญชี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ (บกศ2)<br />ชื่อธนาคาร ธนาคารกรุงเทพ ประเภท เงินฝากออมทรัพย์<br />เลขที่บัญชี 644-0-30330-0</p> <p><strong>ทั้งนี้</strong> เมื่อชำระค่าธรรมเนียมเรียบร้อยแล้ว กรุณาจัดส่งหลักฐานการชำระเงินที่อีเมล jlgisrru@srru.ac.th โดยระบุ 1) ชื่อ - สกุล ผู้นิพนธ์ 2) ชื่อบทความ 3) สลิปการโอน<br /><br /><strong>หมายเหตุ:</strong> การชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์วารสารทุกรายการ เป็นค่าดำเนินการของวารสาร ซึ่งหากบทความของท่านไม่ผ่านการพิจารณาให้ตีพิมพ์ลงในวารสารการบริหารการปกครองและนวัตกรรมท้องถิ่น จากผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ท่าน และถูกปฏิเสธการลงตีพิมพ์ ทางวารสารจะไม่คืนเงินค่าตีพิมพ์วารสารดังกล่าว</p> th-TH jlgisrru@srru.ac.th (Asst. Prof. Dr.Wanchai Suktam) jlgisrru@srru.ac.th (Asst. Prof. Dr.Wanchai Suktam) Fri, 05 Dec 2025 11:46:25 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 กลยุทธ์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติ: กรณีศึกษาเมืองบาเกียว ประเทศฟิลิปปินส์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JLGISRRU/article/view/288244 <p>เมืองบาเกียว ประเทศฟิลิปปินส์เป็นพื้นที่ที่เผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติบ่อยครั้ง ซึ่งส่งผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐาน เศรษฐกิจ และความปลอดภัยของประชาชน งานวิจัยนี้มุ่งศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความพร้อมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการบริหารจัดการภัยพิบัติ และเพื่อวิเคราะห์และเสนอแนวทางในการพัฒนากลยุทธ์การบริหารจัดการภัยพิบัติขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของเมืองบาเกียวให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืน ผู้วิจัยใช้ระเบียบวิธีเชิงคุณภาพ โดยเก็บข้อมูลผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึกกับเจ้าหน้าที่จากสำนักงานบรรเทาและจัดการความเสี่ยงภัยพิบัติ เจ้าหน้าที่องค์กรปกครองท้องถิ่น และตัวแทนภาคประชาชน รวมถึงการวิเคราะห์เอกสารจาก ผลการวิจัยพบว่าปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความพร้อมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้แก่ (1) โครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยี เช่น ระบบแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า (Early Warning System: EWS) และระบบบัญชาการเหตุการณ์ (Incident Command System: ICS) (2) การบริหารจัดการและทรัพยากร เช่น งบประมาณที่ได้รับและความพร้อมของบุคลากร และ (3) การมีส่วนร่วมของประชาชนผ่านการฝึกอบรมอาสาสมัครและการสร้างเครือข่ายเฝ้าระวังภัย (4) การสนับสนุนจากหน่วยงานภายนอก ซึ่งปัจจัยทั้งสี่ด้านมีความสัมพันธ์เกื้อหนุนกัน ในการสร้างความพร้อมของท้องถิ่นต่อการจัดการภัยพิบัติ ขณะเดียวกันผลการวิจัยยังพบว่า LGUs ได้พัฒนากลยุทธ์ในการจัดการภัยพิบัติที่ครอบคลุมทั้งสี่มิติของ Disaster Management Cycle ได้แก่ การป้องกัน (Prevention) การเตรียมความพร้อม (Preparedness) การตอบสนอง (Response) และการฟื้นฟู (Recovery) โดยกลยุทธ์ดังกล่าวมีลักษณะเป็นการบูรณาการปัจจัยที่กล่าวมาในเชิงระบบ อันเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความสามารถในการรับมือภัยพิบัติของเมืองบาเกียว</p> <p> อย่างไรก็ตามยังคงพบข้อจำกัด เช่น ปัญหาด้านงบประมาณ ข้อจำกัดของระบบ ICS และ EWS ในบางพื้นที่ รวมถึงอุปสรรคในการบังคับใช้มาตรการควบคุมพื้นที่เสี่ยง ฉะนั้น เมืองบาเกียวต้องให้ความสำคัญกับการนำมาตรการป้องกันภัยพิบัติมาเป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาเมือง ปรับปรุงระบบแจ้งเตือนภัยให้สามารถเข้าถึงประชาชนได้อย่างทั่วถึง และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน หากมาตรการเหล่านี้ได้รับการดำเนินการอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้เมืองบาเกียวสามารถรับมือภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างความยั่งยืนให้กับระบบบริหารจัดการภัยพิบัติในระยะยาว</p> กิตติศักดิ์ จำปาสี, กฤชวรรธน์ โล่ห์วัชรินทร์, กษิพัทธ์ ทอนมณี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารการปกครองและนวัตกรรมท้องถิ่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JLGISRRU/article/view/288244 Fri, 05 Dec 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ของวิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์ ตำบลโคกตะเคียนอำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JLGISRRU/article/view/288629 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ของวิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์ และเพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาทางการพัฒนาตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเกษตร อินทรีย์ ตำบลโคกตะเคียน อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ โดย การสัมภาษณ์เชิงลึก และการสนทนากลุ่ม ผลการวิจัยพบว่า ตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ของกลุ่มวิสากิจชุมชน เกษตรอินทรีย์ พบว่า มีรูปแบบตลาด ได้แก่ รูปแบบตลาดผู้ผลิต คือ สมาชิกนำผลผลิตผักจำหน่ายเองที่ตลาดนัดชุมชน ตลาดนัดประจำอำเภอ และร้านค้าในชุมชน รูปแบบตลาดผูกพัน คือ ข้อตกลงส่ง ผลผลิตผัก และข้าวให้กับโรงพยาบาลจังหวัดสุรินทร์ โรงพยาบาลอำเภอกาบเชิง รูปแบบตลาดผู้จำหน่าย คือ การขายส่งให้กับพ่อค้าคนกลางและแม่ค้าในชุมชนที่นำไปจำหน่ายต่อที่ตลาดประจำอำเภอและตลาดนัด และรูปแบบตลาดออนไลน์ คือ จำหน่ายผ่านสื่อออนไลน์ Line Facebook ของสมาชิก โดยแนวทางการพัฒนา ตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ของวิสากิจชุมชนเกษตรอินทรีย์ ควรสร้างเครือข่ายตลาดเกษตรอินทรีย์ทั้งภายใน และภายนอกระดับตำบล ระดับจังหวัด เพื่อสร้างเครือข่ายแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน ควรพัฒนาช่องทางการตลาดออนไลน์ เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่และสร้างฐานลูกค้าที่กว้างขึ้น ควรนำเสนอเรื่องราวผลผลิตอินทรีย์ให้เป็นที่รู้จัก และควรเรียนรู้การตลาดอยู่เสมอ เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขัน อันจะนำไปสู่การสร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้น</p> นวรัตน์ นิธิชัยอนันต์, ลลนา สุขพิศาล, ธราธร ภูพันเชือก, ทรงกลด พลพวก, วิมลกานต์ นิธิศิริวริศกุล, ศรัญญา นาเหนือ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารการปกครองและนวัตกรรมท้องถิ่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JLGISRRU/article/view/288629 Fri, 05 Dec 2025 00:00:00 +0700 An Analysis of Production Potential, Marketing, and Farmer Networks for Value Creation in Organic Vegetable Community Enterprises in Chiang Mai Province https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JLGISRRU/article/view/288085 <p>This research aims to analyze the production potential, marketing strategies, and farmer networks to create added value for community enterprises growing organic vegetables in Chiang Mai Province. The study employed a quantitative research methodology, collecting data from 357 farmers through questionnaires, including executives, government officials, local leaders, the private sector, and local residents. Quantitative data were analyzed using statistical methods such as mean, standard deviation, and multiple regression analysis.</p> <p> The results of the study indicate that: 1) Production Potential: The overall production capacity of the community enterprise groups is rated at a high level. The groups demonstrated particular strengths in infrastructure management and the application of academic techniques and technologies, indicating readiness for efficient production system development. However, the farmers' knowledge and understanding of organic farming remain moderate, suggesting a need for further training to support consistent quality standards. 2) Marketing Potential: Marketing capacity is also at a high level, with financial and marketing management showing notable strengths. These areas reflect the groups' preparedness in budget management and strategic planning. Conversely, logistics management remains moderate, highlighting a need to improve product distribution systems. 3) Network Potential: The potential of the farmer network is high overall, especially in network management and support from government organizations. The cultivation of organizational culture is also strong, reinforcing internal unity. However, support from the private sector is moderate, revealing an opportunity to strengthen collaboration with businesses for long-term sustainability. The results suggest that while the community enterprises have high readiness in production, marketing, and networking, targeted capacity-building particularly in farmer education, logistics, and private-sector engagement could further enhance value creation and competitiveness in the organic vegetable sector.</p> Bo Huang, Pawinee Areesrisom, Weena Nilawonk, Snit Sitti ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารการปกครองและนวัตกรรมท้องถิ่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JLGISRRU/article/view/288085 Fri, 05 Dec 2025 00:00:00 +0700 รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเขตตรวจราชการที่ 13 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JLGISRRU/article/view/289231 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษารูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเขตตรวจราชการที่ 13 เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน ระยะที่ 1 การพัฒนารูปแบบภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรม ด้วยวิธีการสนทนากลุ่มเพื่อหารูปแบบการพัฒนาผู้นำเชิงนวัตกรรม ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 9 คน ระยะที่ 2 การทดลองใช้รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมกลุ่มเป้าหมาย โดยใช้แบบประเมินผลการทดลองใช้รูปแบบก่อน-หลัง จากผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 30 คน ซึ่งได้จากการเลือกแบบเจาะจง และ ระยะที่ 3 การประเมินรูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรม โดยกำหนดผู้ประเมินออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 คน ประเมินความถูกต้องและความเหมาะสม กลุ่มที่ 2 เป็นผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 30 คน ประเมินความเป็นประโยชน์และความเป็นไปได้ของรูปแบบ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยก่อนและหลังการใช้รูปแบบ โดยใช้การทดสอบที</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า 1) รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา ประกอบด้วย แนวคิดและหลักการ วัตถุประสงค์ ประเด็นการพัฒนา วิธีการดำเนินการ และปัจจัย/เงื่อนไขสู่ความสำเร็จ 2) ผลการทดลองใช้รูปแบบ พบว่า หลังการทดลองใช้รูปแบบมีค่าเฉลี่ยสูงกว่าก่อนทดลองใช้ โดยมีการปฏิบัติตามรูปแบบในแต่ละด้านตั้งแต่ ร้อยละ 80 ขึ้นไป และ 3) ผลการประเมินรูปแบบ พบว่า ความถูกต้องและความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก ความเป็นประโยชน์และความเป็นไปได้อยู่ในระดับมากที่สุด</p> ก้องเทพ ตุ้มทอง, นฤมล ศักดิ์ปกรณ์กานต์, นวมินทร์ ประชานันท์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารการปกครองและนวัตกรรมท้องถิ่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JLGISRRU/article/view/289231 Sat, 06 Dec 2025 00:00:00 +0700 รูปแบบการบริหารแบบร่วมมือเพื่อลดความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์ ของสถานศึกษาประถมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในเขตภาคเหนือ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JLGISRRU/article/view/289244 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาองค์ประกอบ แนวทาง สภาพ ปัญหาและวิเคราะห์องค์ประกอบ การบริหารแบบร่วมมือเพื่อลดความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์ของสถานศึกษาประถมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานในเขตภาคเหนือ (2) สร้างรูปแบบการบริหารแบบร่วมมือเพื่อลดความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์ของสถานศึกษาประถมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานในเขตภาคเหนือ และ (3) ประเมินรูปแบบการบริหารแบบร่วมมือเพื่อลดความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์ของสถานศึกษาประถมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานในเขตภาคเหนือ เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ผู้บริหารสถานศึกษาและข้าราชการครู จำนวน 381 คน กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางเครซี่และมอร์แกน ทำการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้การวิจัย ได้แก่ 1) แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง 2) แบบสอบถาม 3) แบบบันทึก การรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม การประชุมเชิงปฏิบัติการ การสัมมนาอ้างอิงผู้เชี่ยวชาญและการประชาพิจารณ์วิเคราะห์ข้อมูลโดยโดยการหาค่าเฉลี่ย x ̅ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ความเบ้ (SW) ความโด่ง (KS) ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (r) ค่าสถิติทดสอบความสัมพันธ์ (KMO) และการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน (CFA : Confirmatory Factor Analysis)</p> <p> ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ 1. พบว่า ได้องค์ประกอบ 7 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) ด้านตระหนักถึงความจำเป็น 2) ด้านบริหารจัดการ 3) ด้านบทบาทหน้าที่และภารกิจ 4) ด้านประสานและแสวงหาเครือข่าย 5) ด้านธำรงรักษาสัมพันธภาพที่ดี 6) ด้านการวิเคราะห์สถานการณ์เพื่อลดความขัดแย้ง 7) ด้านติดตามและประเมินผล 2. พบว่า ในการประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) ผู้เชี่ยวชาญทำการแก้ไของค์ประกอบและจัดลำดับองค์ประกอบใหม่ ได้องค์ประกอบ 5 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) การตระหนักถึงความจำเป็นการบริหารแบบร่วมมือ 2) วิธีการลดความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์ 3) การบริหารจัดการตามบทบาทหน้าที่และภารกิจ 4) การแสวงหาและธำรงรักษาสัมพันธภาพที่ดีของเครือข่าย 5) การติดตามและประเมินผล ผลการศึกษาสภาพและปัญหาในภาพรวมอยู่ในระดับมาก และผลการศึกษาองค์ประกอบพบว่า ในภาพรวมมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์อยู่ในเกณฑ์ดี ผลการตรวจสอบร่างรูปแบบ พบว่าในภาพรวมความถูกต้องและความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด ประกอบด้วย 8 ส่วน ได้แก่ 1) หลักการ 2) วัตถุประสงค์ 3) ปัจจัยนำเข้า 4) กระบวนการ 5) ผลผลิต 6) ผลลัพธ์ 7) ผลกระทบ 8) เงื่อนไขความสำเร็จ และ 3. พบว่า ผลการประเมินรูปแบบ ในภาพรวมความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์อยู่ในระดับมากที่สุด</p> นิศา วรอินทร์, ภูมิพิพัฒน์ รักพรมงคล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารการปกครองและนวัตกรรมท้องถิ่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JLGISRRU/article/view/289244 Tue, 09 Dec 2025 00:00:00 +0700 รูปแบบการส่งเสริมวัฒนธรรมคุณภาพของสถานศึกษาประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาในจังหวัดศรีสะเกษ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JLGISRRU/article/view/291005 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบ สภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ ความต้องการจำเป็น และแนวทางการส่งเสริมวัฒนธรรมคุณภาพของสถานศึกษาประถมศึกษา 2) เพื่อสร้างและตรวจสอบรูปแบบการส่งเสริมวัฒนธรรมคุณภาพของสถานศึกษาประถมศึกษา 3) เพื่อประเมินรูปแบบการส่งเสริมวัฒนธรรมคุณภาพของสถานศึกษาประถมศึกษา วิธีการดำเนินการวิจัย แบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาองค์ประกอบ สภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ ความต้องการจำเป็น และแนวทางรูปแบบการส่งเสริมวัฒนธรรมคุณภาพของสถานศึกษา โดย 1) การสังเคราะห์เอกสาร 2) การศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ ความต้องการจำเป็นของรูปแบบการส่งเสริมวัฒนธรรมคุณภาพของสถานศึกษา โดยผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 265 คน และครู จำนวน 367 คน รวมทั้งสิ้น 632 คน 3) การสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 6 คน ขั้นตอนที่ 2 การสร้างและตรวจสอบรูปแบบการส่งเสริมวัฒนธรรมคุณภาพของสถานศึกษาประถมศึกษา โดยการจัดสนทนากลุ่ม ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 9 คน ขั้นตอนที่ 3 การประเมินรูปแบบการส่งเสริมวัฒนธรรมคุณภาพของสถานศึกษา โดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย จำนวน 48 คน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการส่งเสริมวัฒนธรรมคุณภาพของสถานศึกษาประถมศึกษา ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบ ได้แก่ องค์ประกอบที่ 1 หลักการ องค์ประกอบที่ 2 วัตถุประสงค์ องค์ประกอบที่ 3 ขอบข่าย ประกอบด้วย 6 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านภาวะผู้นำคุณภาพ 2) ด้านการทำงานเป็นทีม 3) ด้านการยกย่องและการให้รางวัล 4) ด้านการจัดการเชิงกลยุทธ์ 5) ด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ 6) ด้านการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง องค์ประกอบที่ 4 กระบวนการบริหารรูปแบบ องค์ประกอบที่ 5 แนวทางการประเมินรูปแบบ และองค์ประกอบที่ 6 ปัจจัยความสำเร็จ ผลการตรวจสอบความเหมาะสมของรูปแบบการส่งเสริมวัฒนธรรมคุณภาพของสถานศึกษา มีความเหมาะสม อยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนผลการประเมินความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์ของรูปแบบการส่งเสริมวัฒนธรรมคุณภาพของสถานศึกษาประถมศึกษา มีความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์ อยู่ในระดับมากที่สุด</p> พิชิต รัตนะโสภา, สมเกียรติ บุญรอด ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารการปกครองและนวัตกรรมท้องถิ่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JLGISRRU/article/view/291005 Tue, 09 Dec 2025 00:00:00 +0700 ส่วนประสมทางการตลาดบริการที่ส่งผลต่อกระบวนการตัดสินใจของผู้ปกครอง ในการส่งบุตรหลานเข้าเรียนโรงเรียนเอกชนจังหวัดสุรินทร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JLGISRRU/article/view/290719 <p> การวิจัยเชิงปริมาณครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาส่วนประสมทางการตลาดบริการที่ส่งผลต่อกระบวนการตัดสินใจของผู้ปกครองในการส่งบุตรหลานเข้าเรียนโรงเรียนเอกชนจังหวัดสุรินทร์ โดยกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ปกครองของนักเรียนโรงเรียนเอกชน จำนวน 364 คนซึ่งได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นและการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถามที่ผ่านการตรวจสอบความเที่ยงตรงและความเชื่อมั่นแล้ว ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุระหว่าง 31-40 ปี มีระดับการศึกษาปริญญาตรี ประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัว โดยมีรายได้ต่อเดือนอยู่ที่ 35,001 บาทขึ้นไป มีความสัมพันธ์ในรูปแบบของบิดา หรือมารดา และมีจำนวนบุตรหลานที่ต้องส่งเข้าศึกษาในโรงเรียนเอกชน 1 คน และผลการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ พบว่า ส่วนประสมทางการตลาดบริการที่ส่งผลต่อกระบวนการตัดสินใจของผู้ปกครองในการส่งบุตรหลานเข้าเรียนโรงเรียนเอกชนจังหวัดสุรินทร์ ได้ร้อยละ 71.4 ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 โดยมีส่วนประสมทางการตลาดบริการ จำนวน 4 ด้าน ได้แก่ ด้านค่าธรรมเนียมการศึกษา ด้านภาพลักษณ์ ด้านบุคลากร และด้านกระบวนการ ส่วนประสมทางการตลาดบริการที่ไม่ส่งผลต่อกระบวนการตัดสินใจ จำนวน 3 ด้าน ประกอบด้วย ด้านวิชาการ ด้านสถานที่ และด้านสภาพแวดล้อม และสิ่งอำนวยความสะดวก ผลการศึกษาครั้งนี้สามารถช่วยให้โรงเรียนเอกชนวางแผนหรือปรับกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อดึงดูดและรักษาจำนวนนักเรียน และเป็นแนวทางในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพการบริการให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ปกครอง หน่วยงานที่กำกับดูแลโรงเรียนเอกชนสามารถนำข้อมูลใช้เป็นข้อมูลประกอบการกำหนดนโยบายหรือแนวทางการกำกับดูแลการศึกษาภาคเอกชน และพยากรณ์แนวโน้มการเลือกโรงเรียนของประชาชนในจังหวัดสุรินทร์ อีกทั้งเพิ่มองค์ความรู้ด้านพฤติกรรมผู้บริโภคในบริบทการศึกษาภาคเอกชน และเป็นต้นแบบในการศึกษาส่วนประสมการตลาดในแวดวงการศึกษาในพื้นที่อื่นต่อไป</p> กรญ์ภัสสร ชูตระกูล, ชนม์ณัฐชา กังวานศุภพันธ์, ปีย์วรา พานิชวิทิตกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารการปกครองและนวัตกรรมท้องถิ่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JLGISRRU/article/view/290719 Tue, 09 Dec 2025 00:00:00 +0700