https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JLGISRRU/issue/feed
วารสารการบริหารการปกครองและนวัตกรรมท้องถิ่น
2024-08-29T08:08:02+07:00
Asst. Prof. Dr.Wanchai Suktam
jlgisrru@srru.ac.th
Open Journal Systems
<p><strong>วารสารการบริหารการปกครองและนวัตกรรมท้องถิ่น</strong><br /><strong>Journal of Local Governance and Innovation</strong><br /><strong>ISSN 3027-8120 (Print)</strong><br /><strong>ISSN 2673-0405 (Online)<br /></strong><br />วารสารมีนโยบายส่งเสริมและสนับสนุนให้คณาจารย์ นักวิชาการ นิสิต นักศึกษา และผู้สนใจทั่วไปได้มีโอกาสเผยแพร่ผลงานทางวิชาการและผลงานวิจัยทางด้านรัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ การบริหารการจัดการ สหวิทยาการมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ การศึกษาและบูรณาการศาสตร์เพื่อการพัฒนา<br /><br />วารสารกำหนดเผยแพร่วารสาร ฉบับปกติ (Regular Issues) ปีละ 3 ฉบับ ดังนี้<br />ฉบับที่ 1 (มกราคม – เมษายน) / (January – April)<br />ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม – สิงหาคม) / (May – August)<br />ฉบับที่ 3 (กันยายน – ธันวาคม) / (September – December)<br /><br />ประเภทของบทความ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ บทความวิจัย และบทความวิชาการ<br /><br />รับตีพิมพ์บทความ ทั้ง บทความภาษาไทย และบทความภาษาอังกฤษ<br />เงื่อนไขการตีพิมพ์บทความ<br /><br />บทความแต่ละบทความจะได้รับพิจารณาจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบบทความ (Peer Reviewer) จากผู้ทรงคุณวุฒิอย่างน้อยสามท่าน โดยบทความผู้นิพนธ์ภายนอกได้รับการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิภายในและผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกคนละหนึ่งท่าน หรือผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกอย่างน้อยสองท่าน ส่วนบทความผู้นิพนธ์ภายในได้รับการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกหน่วยงานที่จัดทำวารสาร มีความเชี่ยวชาญตรงตามสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องจากหลากหลายสถาบัน และได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการก่อนตีพิมพ์ ทั้งนี้จะมีรูปแบบที่ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์บทความและผู้นิพนธ์บทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความเช่นเดียวกัน (Double-Blind Peer Review) และทางกองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ที่จะไม่พิจารณาบทความจนกว่าจะได้แก้ไขให้ถูกต้องตามข้อกำหนดของวารสาร ทั้งนี้ บทความต้นฉบับที่ส่งมาตีพิมพ์จะต้องไม่เคยตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารหรือสิ่งพิมพ์ใดมาก่อน และไม่อยู่ในระหว่างพิจารณาเสนอขอตีพิมพ์ในวารสารหรือสิ่งพิมพ์อื่น ๆ หากมีการใช้ภาพหรือตารางของผู้นิพนธ์อื่นที่ปรากฏในสิ่งตีพิมพ์อื่นมาแล้ว ผู้นิพนธ์ต้องขออนุญาตเจ้าของลิขสิทธิ์ก่อน พร้อมทั้งแสดงหนังสือที่ได้รับการยินยอมต่อกองบรรณาธิการก่อนที่บทความจะได้รับการตีพิมพ์ สำหรับทัศนะและข้อคิดเห็นของบทความในวารสารฉบับนี้ เป็นของผู้นิพนธ์แต่ละท่าน ไม่ถือเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการ<br /><br />ทั้งนี้ วารสารการบริหารการปกครองและนวัตกรรมท้องถิ่น มีค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์เฉพาะแบบปกติ และไม่มีค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์แบบเร่งด่วน (Fast Track) ดังนี้<br />- บทความวิจัย/ บทความวิชาการ ภาษาไทย 3,000 บาท/ บทความ<br />- บทความวิจัย/ บทความวิชาการ ภาษาอังกฤษ 4,500 บาท/ บทความ<br /><br /><strong>คำชี้แจง</strong>ขั้นตอนการชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์วารสารการบริหารการปกครองและนวัตกรรมท้องถิ่น<br />1. ขอให้ผู้นิพนธ์ส่งไฟล์เอกสารผ่านระบบ ThaiJo ประกอบด้วย<br />1.1 บทความวิจัย/บทความวิชาการ ในรูปแบบไฟล์ Word จำนวน 1 ไฟล์<br />1.2 แบบฟอร์มส่งบทความ จำนวน 1 ไฟล์<br />กรุณาดูคำแนะนำสำหรับผู้นิพนธ์ (<a href="https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JLGISRRU/author_instruction">Click</a>)<br />2. เมื่อไฟล์เอกสารครบถ้วนแล้ว ทางกองบรรณาธิการจะพิจารณาบทความเบื้องต้น ตามข้อกำหนดของวารสาร หากผ่านการพิจารณาบทความเบื้องต้น ทางวารสารจะแจ้งให้ชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์วารสารก่อนการตรวจประเมินคุณภาพบทความ <br />3. ช่องทางการชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์วารสาร กำหนดให้โอนชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์วารสารผ่านทางบัญชีธนาคาร โดยผู้นิพนธ์จะได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่วารสารเท่านั้น</p> <p><strong>ช่องทางการชำระค่าธรรมเนียม</strong><br />ชื่อบัญชี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ (บกศ2)<br />ชื่อธนาคาร ธนาคารกรุงเทพ ประเภท เงินฝากออมทรัพย์<br />เลขที่บัญชี 644-0-30330-0</p> <p><strong>ทั้งนี้</strong> เมื่อชำระค่าธรรมเนียมเรียบร้อยแล้ว กรุณาจัดส่งหลักฐานการชำระเงินที่อีเมล jlgisrru@srru.ac.th โดยระบุ 1) ชื่อ - สกุล ผู้นิพนธ์ 2) ชื่อบทความ 3) สลิปการโอน<br /><br /><strong>หมายเหตุ:</strong> การชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์วารสารทุกรายการ เป็นค่าดำเนินการของวารสาร ซึ่งหากบทความของท่านไม่ผ่านการพิจารณาให้ตีพิมพ์ลงในวารสารการบริหารการปกครองและนวัตกรรมท้องถิ่น จากผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ท่าน และถูกปฏิเสธการลงตีพิมพ์ ทางวารสารจะไม่คืนเงินค่าตีพิมพ์วารสารดังกล่าว</p>
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JLGISRRU/article/view/275464
ปัญหาการออกเสียงภาษาอังกฤษของคนไทยและเทคนิคการสอนเสียงที่เป็นปัญหา
2024-03-15T13:49:32+07:00
ชฎาพร โพคัยสวรรค์
porn08@gmail.com
นภธีรา จวอรรถ
nopthira.j@gmail.com
พิเชฐ สัตย์วินิจ
chporn08@gmail.com
ขวัญชนก หนูสง
chporn08@gmail.com
<p>ระบบเสียงภาษาไทยและภาษาอังกฤษมีความต่างกันหลายลักษณะซึ่งความต่างของระบบเสียงทั้ง 2 ภาษามีผลทำให้คนไทยมีปัญหาในการออกเสียงภาษาอังกฤษ การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์ปัญหาการออกเสียงภาษาอังกฤษของคนไทย และ 2) เสนอแนะเทคนิคการสอนออกเสียงภาษาอังกฤษที่เป็นปัญหาของคนไทย วิธีการที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ การศึกษาเปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่างของระบบเสียงภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ผลการศึกษา พบว่า ปัญหาการออกเสียงภาษาอังกฤษมีสาเหตุหลัก 3 ประการ ได้แก่ 1) ภาษาไทยไม่มีเสียงลักษณะนั้น ๆ 2) ภาษาไทยมีเสียงลักษณะนั้น ๆ แต่ปรากฏในตำแหน่งที่ต่างกัน และ 3) ภาษาไทยมีเสียงลักษณะที่คล้ายกับเสียงภาษาอังกฤษแต่ออกเสียงต่างกัน และคนไทยมีปัญหาในการออกเสียงภาษาอังกฤษทั้งในลักษณะเสียงสามัญและลักษณะเสียงพิเศษ ดังนี้ 1) เสียงพยัญชนะ 2) เสียงพยัญชนะควบกล้ำ 3) เสียงสระ 4) เสียงเน้นหนัก และ 5) ทำนองเสียง โดยมีเทคนิคการสอนเพื่อแก้ปัญหาการออกเสียง ดังนี้ 1) การใช้คู่เทียบเสียง 2) การฝึกออกเสียงจากแบบฝึกรูปแบบต่าง ๆ และ 3) การใช้แผนผังใบหน้า</p> <p> การศึกษาครั้งนี้สรุปได้ว่าความต่างของระบบเสียงภาษาแม่และภาษาที่ 2 ทำให้เกิดความยากลำบากและปัญหาในการออกเสียงภาษาที่ 2 ให้ถูกต้อง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องแก้ไขปัญหาการออกเสียงภาษาอังกฤษของคนไทยซึ่งวิธีการแก้ปัญหาคือการสอนให้ผู้เรียนรู้ลักษณะที่ถูกต้องและฝึกออกเสียงปัญหาให้ถูกต้องด้วยเทคนิควิธีต่าง ๆ ที่ผ่านการศึกษาค้นคว้าอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ</p>
2024-08-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารการปกครองและนวัตกรรมท้องถิ่น
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JLGISRRU/article/view/275176
การเสริมสร้างการพัฒนาศักยภาพแกนนำอาสาสมัครของภาคีเครือข่ายในการดูแลฟื้นฟูเยียวยาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุกลุ่มคนเปราะบางอันเนื่องมาจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 จังหวัดสระบุรี
2024-04-25T11:32:07+07:00
อำนวย ปิ่นพิลา
dr.amnuay_@hotmai.com
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเสริมสร้างพัฒนาศักยภาพแกนนำอาสาสมัครของภาคีเครือข่ายในการดูแล ฟื้นฟูเยียวยาคุณภาพชีวิตของกลุ่มคนเปราะบาง อันเนื่องมาจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิค -19 จังหวัดสระบุรี 2) เพื่อเสริมสร้างทักษะพัฒนาแกนนำอาสาสมัครของภาคีเครือข่ายในการดูแล ฟื้นฟูเยียวยาคุณภาพชีวิตของกลุ่มคนเปราะบาง อันเนื่องมาจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิค -19 จังหวัดสระบุรีและ 3) เพื่อสร้างเครือข่ายและจัดเวทีสาธารณะ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างแกนนำเครือข่าย ในการแก้ไขปัญหาของกลุ่มคนเปราะบางด้านสวัสดิการสังคมของประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ในเขตพื้นที่ จังหวัดสระบุรี อันเนื่องมาจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิค -19 ในการวิจัยใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ ดำเนินการโดย 1) การสัมภาษณ์เชิงลึก 2) การสนทนากลุ่ม และ 3) การจัดเวทีสาธารณะ เพื่อให้มีการแสดงความคิดเห็นและข้อเสนแนะ กับกลุ่มตัวอย่างที่เป็นแกนนำทั้ง 13 อำเภอ</p> <p> ผลการวิจัยโดยสรุปพบว่า 1) เพื่อเสริมสร้างพัฒนาศักยภาพแกนนำ ด้านภาวะผู้นำต้องทำให้เป็นตัวอย่างเห็นชัดเจน ด้านจิตอาสาต้องอธิบายให้สมาชิกใหม่มีความเข้าใจถึงการ ที่จะเข้ามาร่วมกลุ่มเพื่อช่วยเหลือสังคมโดยไม่หวังผลตอบแทน ด้านสุขภาพ ส่วนใหญ่ที่มาประชุมหรือ ทำกิจกรรมร่วมกันมีสุขภาพดี ด้านความรู้ไม่จำเป็นต้องจบระดับปริญญาซึ่งแกนนำมีองค์ความรู้ อยู่ในตัวเอง โดยยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ด้านเวลา แกนนำจะต้องมีเวลาในทำกิจกรรม โดยจะต้องมีการบอกกล่าวล่วงหน้า และ 2) พบว่าการเสริมสร้างทักษะพัฒนาแกนนำผู้ปฏิบัติงาน มีความรู้เฉพาะในส่วนที่ตนเองรับผิดของเท่านั้น ยังไม่มีความเข้าใจที่ชัดเจน ขาดการบูรณการในการทำงานร่วมกันและความพร้อมในการดำเนินกิจกรรมเกี่ยวกับ งบประมาณยังไม่พอเพียงในการดำเนินกิจกรรม และขาดการสนับสนุนเชิงนโยบายด้านการส่งเสริมงานระดับท้องถิ่น สำหรับแนวทางการแก้ไข เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานควรปรับปรุงและพัฒนาบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบในการดำเนินงานของตนเองให้มีความพร้อมทั้งในด้านความรู้และความเข้าใจอย่างชัดเจน</p>
2024-07-29T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารการปกครองและนวัตกรรมท้องถิ่น
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JLGISRRU/article/view/276397
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรี คณะนิติรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด
2024-03-31T11:58:57+07:00
เสกสรรค์ สนวา
seksan@reru.ac.th
สุพัฒนา ศรีบุตรดี
seksan@reru.ac.th
วรฉัตร วริวรรณ
seksan@reru.ac.th
<p> งานวิจัยเชิงสำรวจนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการเลือกเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรีของคณะนิติรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด โดยใช้แบบสอบถาม เป็นเครื่องมือสำหรับเก็บรวบรวมข้อมูลกับนักศึกษาคณะนิติรัฐศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 จำนวน 71 คน และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ( ) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกเรียนที่คณะนิติรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด พบว่า ระดับการตัดสินใจต่อปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกเรียนที่คณะนิติรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ดจัดอยู่ในระดับมาก ( = 4.07 ; S.D.=0.70) เมื่อพิจารณารายข้อโดยเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย 3 ลำดับแรก พบว่า ด้านคุณภาพและผลงานอาจารย์ อยู่ในระดับมาก ( = 4.34 ; S.D.=0.67) ลำดับที่สองคือ ด้านหลักสูตรการเรียนและ การสอนคณะนิติรัฐศาสตร์และด้านการบริหารจัดการ ( = 4.12 ; S.D.=0.69) และลำดับที่สามคือด้านภาพลักษณ์ของคณะนิติรัฐศาสตร์ ( = 4.11 ; S.D.=0.66) ตามลำดับ</p> <p> ข้อเสนอแนะ ความต้องการเกี่ยวกับการเลือกเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรี ของคณะนิติรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด พบว่า 1) ควรมีการแนะแนวตามโรงเรียน ที่จบมาพร้อมกับการสร้างนักศึกษาเป็นนักประชาสัมพันธ์มืออาชีพ 2) เวลาที่ออกไปแนะแนว ตามโรงเรียน ควรมีการแนะแนวทางอาชีพของแต่ละสาขาเพื่อประกอบการตัดสินใจเลือกเรียน 3) คณะควรสร้างคอนเทนต์เกี่ยวกับการเรียนของนักศึกษาแต่ละสาขาเพื่อนำเสนอผ่านสื่อออนไลน์ให้ตรงตามความต้องการของวัยรุ่น 4) คณะควรมีแนวทางในการลดค่าสมัครแรกเข้า 50% หรือ มีจุดดึงดูดที่น่าสนใจ และ 5) ควรให้รุ่นพี่ที่มีบุคลิกภาพที่ดี หรือ Smart ออกไปแนะแนว ตามโรงเรียนต่าง ๆ</p>
2024-07-29T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารการปกครองและนวัตกรรมท้องถิ่น
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JLGISRRU/article/view/277257
ปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจซื้อผลิตภัณฑ์ผ้าย้อมครามสกลนคร ผ่านการถ่ายทอดสดทางเฟซบุ๊ก ไลฟ์
2024-05-13T11:04:11+07:00
จีระนันต์ เจริญรัตน์
siripaporn.y@snru.ac.th
สิริพาพร ยืนสุข
siripaporn.y@snru.ac.th
เด่นชัย สมปอง
siripaporn.y@snru.ac.th
จิตติ กิตติเลิศไพศาล
siripaporn.y@snru.ac.th
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจซื้อผลิตภัณฑ์ผ้าย้อมครามสกลนคร ผ่านการถ่ายทอดสดทางเฟซบุ๊ก ไลฟ์ 2) พัฒนาโมเดลปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจซื้อผลิตภัณฑ์ผ้าย้อมครามสกลนคร ผ่านการถ่ายทอดสดทางเฟซบุ๊ก ไลฟ์ และ 3) ศึกษาอิทธิพลทางตรงและทางอ้อมปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจซื้อผลิตภัณฑ์ผ้าย้อมครามสกลนคร ผ่านการถ่ายทอดสดทางเฟซบุ๊ก ไลฟ์ งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงปริมาณ คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบโควต้า (Quota Sampling) จากผู้ติดตาม และผู้เคยซื้อผลิตภัณฑ์ผ้าย้อมครามสกลนคร ได้กลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 420 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้างด้วยโปรแกรม Mplus ผลการวิจัย พบว่า 1) องค์ประกอบเชิงยืนยันปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจซื้อผลิตภัณฑ์ผ้าย้อมครามสกลนคร ผ่านการถ่ายทอดสดทางเฟซบุ๊ก ไลฟ์ พบว่า ค่าน้ำหนักองค์ประกอบของโมเดลการวัดตัวแปรสังเกตได้ ซึ่งทุกตัวมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) พัฒนาโมเดลปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจซื้อผลิตภัณฑ์ผ้าย้อมครามสกลนคร ผ่านการถ่ายทอดสดทางเฟซบุ๊ก ไลฟ์ พบว่า ปัจจัยเชิงสาเหตุมีความสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์อยู่ในเกณฑ์ดี โดยพิจารณาจากค่าสถิติที่ใช้ตรวจสอบความตรงของโมเดลคือ χ2=517.277, df=112, χ2/df=4.62, P-value=0.065, CFI=.927, TLI=.952, RMSEA=.039, SRMR =.045 และ 3) อิทธิพลทางตรงและทางอ้อมปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจซื้อผลิตภัณฑ์ผ้าย้อมครามสกลนคร ผ่านการถ่ายทอดสดทางเฟซบุ๊ก ไลฟ์ พบว่า ปัจจัยแฝงการรับรู้ประโยชน์และทัศนคติต่อการใช้งาน มีอิทธิพลทางตรงต่อพฤติกรรมความตั้งใจซื้อ และปัจจัยแฝงความง่ายต่อการใช้งานและการรับรู้ประโยชน์ มีอิทธิพลทางอ้อมต่อพฤติกรรมความตั้งใจซื้อ</p>
2024-07-29T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารการปกครองและนวัตกรรมท้องถิ่น
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JLGISRRU/article/view/276511
การยกระดับมาตรฐานและพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มปลานิลลำปะทาวจังหวัดชัยภูมิ
2024-03-31T12:05:24+07:00
ฉัตรณรงค์ศักดิ์ สุธรรมดี
sutamdee_22@hotmail.com
อุมาวดี เดชธำรงค์
sutamdee_22@hotmail.com
ดาศรินทร์พัชร์ สุธรรมดี
sutamdee_22@hotmail.com
สามารถ สินทร
sutamdee_22@hotmail.com
เสกสรรค์ สนวา
sutamdee_22@hotmail.com
<p> การยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มจากปลานิลเนื่องจากตลาดปลานิลส่วนใหญ่จะขายปลีกและขายส่งปลานิลมีชีวิต หากมีการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ก็จะสามารถช่วยเหลือเกษตรกรให้มีผลผลิตจำหน่ายได้หลากหลายมากขึ้น และจะช่วยสร้างงาน สร้างรายได้แก่เกษตรกร ดังนั้นการวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสถานการณ์การเพาะเลี้ยงปลานิลกระชังลำปะทาวตำบลซับสีทอง อำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ 2) เพื่อยกระดับมาตรฐานและพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มปลานิลลำปะทาวจังหวัดชัยภูมิ เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม และวิจัยเชิงปริมาณเพื่อประเมินความพึงพอใจกลุ่มเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ประธานกลุ่มผู้เลี้ยงปลานิลกระชัง และสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้เลี้ยงปลานิล จำนวน 50 คน ใช้วิธีการตัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ โดยใช้สถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1) สถานการณ์การเพาะเลี้ยงปลานิลกระชังลำปะทาว ส่วนใหญ่เลี้ยงปลาเป็นรายได้หลักของครัวเรือน การบริหารจัดการฟาร์มปลานิล พบปัญหาหลัก คือด้านต้นทุนการผลิตที่อาหารมีราคาแพง การจัดจำหน่ายขายให้กับพ่อค้าคนกลางที่เข้าไปรับซื้อเพียงช่องทางเดียว รวมถึงเกษตรกรยังไม่มีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วย บริหารจัดการทั้งด้านการผลิตและการจำหน่าย ปัญหาปลาน็อกน้ำ และปลานิลตกเกรด เป็นต้น 2) การยกระดับมาตรฐานและพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มปลานิลลำปะทาวจังหวัดชัยภูมิ ได้ดำเนินการโดยจัดกิจกรรมฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ สถานที่ดำเนินการ : วิสาหกิจชุมชนผู้เลี้ยงปลานิลกระชังบ้านหัวเขื่อน ตำบลซับสีทอง อำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ กลุ่มเป้าหมาย : จำนวน 50 คน ประกอบด้วย เกษตรกรผู้เลี้ยงปลานิลกระชังบ้านหัวเขื่อน 50 คน ผลการดำเนินงาน พบว่า สามารถส่งเสริมการแปรรูปผลิตภัณฑ์ปลานิลจากปลานิลที่ตกเกรด และปลานิลน็อคน้ำ ตรงกับความต้องการของตลาดผู้บริโภค สามรถสร้างองค์ความรู้ด้านการแปรรูปผลิตภัณฑ์ปลานิลแดดเดียว ซึ่งผลผลิตจากการดำเนินโครงการครั้งนี้ ได้เกิดผลิตภัณฑ์แปรรูปจากปลานิล ดังนี้ ผลิตภัณฑ์ปลานิลแดดเดียว ปลาร้าปลานิล และข้าวเกรียบปลานิล</p>
2024-07-29T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารการปกครองและนวัตกรรมท้องถิ่น
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JLGISRRU/article/view/274858
การขับเคลื่อนชุมชนผ่านศูนย์ดิจิทัลชุมชนจังหวัดศรีสะเกษ
2024-04-03T11:28:55+07:00
อลงกต แผนสนิท
alonggote4@hotmail.com
ปรารถนา มะลิไทย
alonggote4@hotmail.com
วิษณุ ปัญญายงค์
alonggote4@hotmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาสภาพปัญหาการขับเคลื่อนชุมชนผ่านศูนย์ดิจิทัลชุมชนจังหวัดศรีสะเกษ 2. เสนอแนะกระบวนการขับเคลื่อนชุมชนผ่านศูนย์ดิจิทัลชุมชนจังหวัดศรีสะเกษ ในการเก็บข้อมูลใช้การวิจัยเชิงคุณภาพโดยเก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง โดยการสัมภาษณ์แบบเจาะลึกจำนวน 7 คน ซึ่งเป็นผู้บริหารหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายของศูนย์ดิจิทัลชุมชนจังหวัดศรีสะเกษทั้ง 7 แห่ง โดยใช้โปรแกรม Atlas.ti ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการศึกษาเชิงคุณภาพพบว่า ศูนย์ดิจิทัลชุมชนยังขาดการประชาสัมพันธ์ในกิจกรรมต่าง ๆ บุคลากรที่ดูแลศูนย์ยังไม่เพียงพอทำให้ต้องใช้บุคลกรในหน่วยงานทดแทน สถานที่ตั้งศูนย์ดิจิทัลยังตั้งอยู่ในสถานที่ซึ่งปะปนกับสถานที่ทำงานของหน่วยงานราชการทำให้ไม่สะดวกในการเข้าใช้บริการ ขาดภาคีเครือข่ายในการทำงานร่วมกัน อย่างไรก็ดีผู้บริหารยังเห็นว่าศูนย์ดิจิทัลชุมชนควรปรับกระบวนการบริหารงานเพื่อที่จะเป็นศูนย์กลางที่จะพัฒนาทักษะทางดิจิทัลให้แก่ชุมชนเพื่อนำไปใช้ในชีวิตประจำวันและสามารถนำไปใช้ในการประกอบอาชีพเพื่อสร้างรายได้ให้แก่ครอบครัวและชุมชนได้ในอนาคต โดยมุ่งเน้นการเสริมสร้างทักษะดิจิทัลขั้นพื้นฐานให้กับชุมชนอย่างเร่งด่วน สร้างแรงจูงใจกับผู้ที่ยังไม่เห็นความความสำคัญของเทคโนโลยี โดยชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ในการใช้ดิจิทัลสำหรับชีวิตประจำวันและนำไปใช้ในการประกอบอาชีพ โดยมีศูนย์ดิจิทัลชุมชนต้องเป็นศูนย์กลางในการถ่ายทอดความรู้</p>
2024-08-26T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารการปกครองและนวัตกรรมท้องถิ่น
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JLGISRRU/article/view/274542
การพัฒนาระบบฟาร์มอัจฉริยะในโรงเรือนเลี้ยงนกฟอพัสเพื่อความสะดวกสบายโดยใช้สมาร์ทโฟนในการควบคุมสำหรับผู้เพาะเลี้ยงมือใหม่
2024-05-11T12:32:07+07:00
อานนท์ เพ็ชรอาภรณ์
arnont_p@rbac.ac.th
อัสนา วรารักษ์
arnont_p@rbac.ac.th
สุรีย์พร แดงมูล
arnont_p@rbac.ac.th
ฐิตาพร นโมบุญราศี
arnont_p@rbac.ac.th
<p>งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบฟาร์มอัจฉริยะให้สะดวกสบายสำหรับผู้เพาะเลี้ยงมือใหม่ เพื่อออกแบบระบบควบคุมอุณหภูมิและความชื้นในโรงเรือน ด้วยเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง และเพื่อทดสอบสมรรถนะการควบคุมอุณหภูมิและความชื้นในโรงเรือน ผ่านโทรศัพท์มือถือ โดยสร้างโรงเรือนเพาะพันธุ์แบบปิดเพื่อการออกแบบระบบควบคุมอุณหภูมิและความชื้นผ่านแอปพลิเคชันการทำฟาร์มอัจฉริยะ สามารถปรับค่าอุณหภูมิและความชื้นผ่านทางโทรศัพท์มือถือ ด้วยเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง เพื่อรักษาระดับอุณหภูมิและความชื้นตามค่าที่ตั้งไว้ 30–33 องศาเซลเซียส และ 55–65 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นอุณหภูมิและความชื้นที่เหมาะสมกับโรงเรือนเพาะพันธุ์นกฟอพัส ผลการวิจัยพบว่า จากการเก็บรวบรวมข้อมูลอุณหภูมิและความชื้นภายในโรงเรือน และภายนอกโรงเรือน ตั้งแต่วันที่ 18 พฤศจิกายน 2565 ถึง 23 กุมภาพันธ์ 2566 ด้วยเซนเซอร์ SHT30 ส่งค่าอุณหภูมิและความชื้นมากเก็บบันทึกที่ Google Sheet ทุกๆ 5 นาที อุณหภูมิและความชื้นภายนอกโรงเรือนจะมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับสภาพอากาศของแต่ละฤดู ทำให้ผู้เพาะเลี้ยงมือใหม่ที่ไม่มีความชำนาญหรือดูอาการป่วยของนกไม่เป็นอาจทำให้เกิดการสูญเสียได้ โดยระบบควบคุมอุณหภูมิและความชื้นภายในโรงเรือน สามารถควบคุมอุณหภูมิและความชื้น ด้วยเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) ผ่านโทรศัพท์มือถือได้อย่างถูกต้องแม่นยำ และสามารถทำงานได้อย่างถูกต้องในระดับที่ยอมรับได้</p>
2024-08-26T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารการปกครองและนวัตกรรมท้องถิ่น
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JLGISRRU/article/view/275681
แนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชนในเขตเทศบาลตำบลบ้านค่ายหมื่นแผ้ว อำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ
2024-04-24T11:23:48+07:00
ปณิตา ปัดทุม
panita.07112532@gmail.com
เศรษฐวัฒน์ โชควรกุล
panita.07112532@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้วัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชนในเขตเทศบาลตำบลบ้านค่ายหมื่นแผ้ว อำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ 2) เปรียบเทียบคุณภาพชีวิตเด็ก และเยาวชนในเขตเทศบาลตำบลบ้านค่ายหมื่นแผ้ว อำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ จำแนกตาม เพศ อายุ และสถานภาพสมรสของผู้ปกครอง และ 3) ศึกษาแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชนในเขตเทศบาลตำบลบ้านค่ายหมื่นแผ้ว อำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ</p> <p> กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย ได้แก่ เด็กที่มีอายุ 12-15 ปี และเยาวชนที่มีอายุ 16-17 ปี จำนวน 181 คน วิจัยโดยใช้แบบสอบถามนำผลมาวิเคราะห์ด้วยสถิติแบบเชิงพรรณนา และนำผลจากแบบสอบถามด้านที่ค่าเฉลี่ยต่ำสุด ด้านละ 1 ข้อ มาสร้างแบบสอบถาม สัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 9 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า 1) ระดับคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชนภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทั้ง 3 ด้าน ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ด้านการศึกษา รองลงมา คือ ด้านสังคม และด้านสุขภาพอนามัย ตามลำดับ 2) ผลการเปรียบเทียบคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชนจำแนกตามเพศไม่แตกต่างกัน จำแนกตามอายุแตกต่างกันและจำแนกตามสถานภาพสมรสของผู้ปกครองแตกต่างกัน และ 3) แนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชน ด้านสุขภาพอนามัย ควรจัดกิจกรรมส่งเสริมการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เชิญชวน ประชาสัมพันธ์ความรู้ข้อดีการออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมต่างๆ ให้เด็กและเยาวชนตระหนักถึงผลดีการออกกำลังกาย จัดพื้นที่สำหรับออกกำลังกายในชุมชน และปรับปรุงพื้นที่ อยู่เสมอ ด้านการศึกษา ควรส่งเสริมการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างโอกาสให้เด็กและเยาวชนได้รับความเสมอภาคเท่าเทียมในการรับทุนการศึกษา หาแหล่งทุนใหม่ๆ และประชาสัมพันธ์ ให้ทราบ และให้คำปรึกษาแนะนำ และด้านสังคม ควรจัดกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมให้เด็ก และเยาวชนได้ร่วมทำกิจกรรม ประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ ปลูกจิตสำนึกให้ตระหนักเรื่องสิ่งแวดล้อม มอบรางวัลเพื่อเชิดชูเกียรติ</p>
2024-08-26T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารการปกครองและนวัตกรรมท้องถิ่น
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JLGISRRU/article/view/275733
การศึกษาการใช้หลักธรรมภิบาลในการบริหารงานงบประมาณ ในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี
2024-03-22T16:02:08+07:00
ชวนคิด มะเสนะ
chuankid.m@ubru.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาระดับการใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารงานงบประมาณในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี 2) เพื่อเปรียบเทียบระดับการใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารงานงบประมาณในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี จำแนกตามตำแหน่ง ระดับการศึกษา และประสบการณ์ทำงาน 3) เพื่อศึกษาแนวทาง การใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารงานงบประมาณในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุบลราชธานี ตัวอย่างที่ใช้ในงานวิจัย คือ ผู้บริหารสถานศึกษา และครูผู้สอน ในโรงเรียนประถมศึกษา จำนวน 375 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย คือ แบบสอบถามแบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.97 สถิตที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที และการทดสอบค่าเอฟ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับการใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารงานงบประมาณในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี โดยภาพรวม พบว่า อยู่ในระดับมาก 2) การเปรียบเทียบระดับการใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารงานงบประมาณในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี จำแนกตามตำแหน่ง พบว่า มีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ส่วนจำแนกตามระดับการศึกษา และประสบการณ์ทำงาน โดยภาพรวม พบว่า มีความคิดเห็นไม่แตกต่างกัน 3) แนวทางการใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารงานงบประมาณในโรงเรียนประถมศึกษา พบว่า โรงเรียนควรมีการดำเนินการในแต่ละด้านดังนี้ หลักนิติธรรม ควรมีการอบรมและศึกษาคู่มือการปฏิบัติงานด้านการเงิน บัญชีและพัสดุให้เข้าใจ หลักคุณธรรม ควรมีการจัดสรรงบประมาณตามจุดเน้น ภารกิจและความสำคัญของโรงเรียน หลักความโปร่งใส โรงเรียน ควรมีการนำเสนอผลการดำเนินงานของสถานศึกษาให้คณะกรรมการสถานศึกษาทราบและเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ หลักการมีส่วนร่วม ควรส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้อง มีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายเกี่ยวกับการบริหารงานงบประมาณ หลักความรับผิดชอบ ควรกำหนดภาระหน้าที่และคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการด้านงบประมาณที่ชัดเจน หลักความคุ้มค่า ควรมีคณะกรรมการติดตามประเมินผลและรายงานผลการใช้จ่ายงบประมาณตามโครงการต่าง ๆ</p>
2024-08-26T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารการปกครองและนวัตกรรมท้องถิ่น
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JLGISRRU/article/view/276192
แนวทางการพัฒนาการบริหารองค์กรแห่งการเรียนรู้ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 2
2024-05-23T11:36:04+07:00
ชรินทร์ทิพย์ ธาดานิธิภิญโญ
s65561802009@ssru.ac.th
ธดา สิทธิ์ธาดา
s65561802009@ssru.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพความคาดหวังการบริหารองค์กรแห่งการเรียนรู้ของผู้บริหารสถานศึกษา และเสนอแนวทางการพัฒนาการบริหารองค์กร แห่งการเรียนรู้ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 2 โดยใช้กลุ่มตัวอย่าง ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 142 คน และครูผู้สอน จำนวน 142 คน และผู้ให้ข้อมูลสำคัญ คือ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการคำนวณค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าความต้องการจำเป็น (PNI<sub>modified</sub>) และวิเคราะห์เนื้อหาจากการสัมภาษณ์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารองค์กรแห่งการเรียนรู้ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 2 สภาพปัจจุบัน ภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยด้านการจัดระบบการบริหารองค์กร มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมา คือ ด้านกระบวนการกลุ่ม ส่วนสภาพความคาดหวัง ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยด้านการจัดระบบการบริหารองค์กร มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาคือ ด้านการกระจายภาระงาน ผลการวิเคราะห์ความต้องการจำเป็น 3 ลำดับแรก คือ ด้านการกระจายภาระงาน (PNI<sub>modified</sub> = 0.594) ด้านการวินิจฉัยสั่งการ (PNI<sub>modified</sub> = 0.428) และด้านการประสานงาน (PNI<sub>modified</sub> = 0.343) ตามลำดับ 2) แนวทาง การพัฒนาการบริหารองค์กรแห่งการเรียนรู้ของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 2 พบว่า สิ่งที่ควรพัฒนามากที่สุด คือ ด้านการกระจายภาระงาน โดยใช้แนวทางการบริหารแบบมีส่วนร่วม สอดคล้องตามความสามารถของบุคลากร เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ กำหนดภาระงานตามบทบาทและหน้าที่ของแต่ละกลุ่มงานทั้ง 4 ฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายบริหารวิชาการ ฝ่ายบริหารงบประมาณ ฝ่ายบริหารงานบุคคล และฝ่ายบริหารทั่วไป ใช้วิจารณญาณและการวิเคราะห์ศักยภาพและความสามารถในการทำงานของผู้ใต้บังคับบัญชา แต่ละคน เพื่อให้งานที่มอบหมายนั้นตรงกับความสามารถของผู้ที่ได้รับมอบหมาย รองลงมา คือ ด้านการวินิจฉัยสั่งการ โดยมอบหมายงานอย่างเป็นระบบ เป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจน ใช้ข้อมูล และสารสนเทศที่ทันสมัยในการบริหารองค์กร และใช้หลักการ PDCA ในระบบงานของสถานศึกษาทั้ง 4 ฝ่าย เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายขององค์กรที่ได้กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพ และด้านการประสานงาน โดยเน้นการสร้างเครือข่าย นำเทคโนโลยีมาช่วยเป็นการเชื่อมโยงของกลุ่มคนหรือกลุ่มองค์กร เพื่อทำให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร สร้างบุคลากรที่มีทักษะในการประสานงาน ใช้ระบบการสื่อสารที่ชัดเจน เข้าใจได้ง่าย จัดให้บุคลากรในองค์กรทำงานสัมพันธ์และสอดคล้องกัน เพื่อให้เป้าหมายขององค์กรบรรลุตามที่กำหนดไว้</p>
2024-08-26T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารการปกครองและนวัตกรรมท้องถิ่น
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JLGISRRU/article/view/276205
การพัฒนาการจัดบริการสาธารณะในเขตเทศบาลตำบลพุทไธสง อำเภอพุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์
2024-04-24T11:28:44+07:00
นุชจรี ยศภูมิมี
nuchjareeyodpummee605@gmail.com
เศรษฐวัฒน์ โชควรกุล
maprangnuchjareeyodpummee605@gmail.com
<p>การวิจัย มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับสภาพการจัดบริการสาธารณะ ของประชาชน ในเขตเทศบาลตำบลพุทไธสง 2) แนวทางการพัฒนาการจัดบริการสาธารณะที่เหมาะสมกับความต้องการของประชาชนในเขตเทศบาลตำบลพุทไธสง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ประชาชนในเขตเทศบาลตำบลพุทไธสง ที่มีอายุ 18 – 90 ปี ได้กลุ่มตัวอย่างตามสูตรของทาโร ยามาเน่ (Taro Yamane) จำนวน 378 คน เครื่องมือที่ใช้ใน การเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมี 2 ลักษณะ คือแบบตรวจรายการและมาตราส่วนประมาณค่าวิเคราะห์ข้อมูลโดยการแจกแจงความถี่ คำนวณค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน นำผลมาวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติแบบ เชิงพรรณนา นำข้อมูลจาก ผลการวิเคราะห์แบบสอบถาม ในด้านแต่ละด้านที่ค่าเฉลี่ยต่ำสุด ด้านละ 1 ข้อ มาสร้างแบบสอบถาม และสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 10 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการจัดบริการสาธารณะ ของประชาชนในเขตเทศบาลตำบล พุทไธสง โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ได้แก่ ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ รองลงมาได้แก่ ด้านการพัฒนาคนและสังคมด้านการเสริมสร้างพัฒนาเศรษฐกิจ และด้านการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม และการป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย และด้านการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส ตามลำดับ 2) แนวทางการพัฒนาการจัดบริการสาธารณะในเขตเทศบาล ตำบลพุทไธสง โดยรวมระดับ การบริการอยู่ในระดับปานกลาง โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดได้แก่ ด้านการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมและการป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย รองลงมาได้แก่ ด้านการพัฒนาคน และสังคม ด้านการเสริมสร้างพัฒนาเศรษฐกิจ และด้านการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ และโปร่งใส และด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์มี ตามลำดับ</p>
2024-08-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารการปกครองและนวัตกรรมท้องถิ่น
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JLGISRRU/article/view/275884
การศึกษาส่วนประสมทางการตลาดที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อพืชหลังนา (แตงโม) กรณีศึกษาผู้บริโภคในจังหวัดอุบลราชธานี
2024-03-26T10:07:01+07:00
ศรัญภัทร ธนูผาย
up0822553606@hotmail.com
ประสิทธิ์ กุลบุญญา
prasit.k@ubru.ac.th
รัตนะ ปัญญาภา
rattana.p@ubru.ac.th
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคในการเลือกซื้อแตงโม ในจังหวัดอุบลราชธานี 2) เพื่อศึกษาส่วนประสมทางการตลาดที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อแตงโมของผู้บริโภคในจังหวัดอุบลราชธานี 3) เพื่อศึกษาส่วนประสมทางการตลาดที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อพืชหลังนา (แตงโม) โดยรวบรวมข้อมูลจากผู้บริโภคที่ซื้อพืชหลังนา (แตงโม) จำนวน 400 ราย โดยใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูลและทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 52.5 โดยมีอายุอยู่ในช่วง 21-30 ปี ร้อยละ 63.50 มีสถานภาพโสด ร้อยละ 85.8 เป็นนักเรียน/นักศึกษา ร้อยละ 53.00 มีรายได้ไม่เกิน 10,000 บาท ร้อยละ 55.50 และมีจำนวนสมาชิก 5- 7 คน ร้อยละ 68.80 ซึ่งพฤติกรรมการซื้อแตงโมของผู้บริโภค ซื้อในช่วงเย็น ร้อยละ 44.30 การซื้อ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ ร้อยละ 80.80 ค่าใช้จ่ายในการซื้อต่ำกว่า 50 บาท ร้อยละ 43.00 ตัดสินใจตนเอง ร้อยละ 76.50 ตลาดสด ร้อยละ 62.50 ซึ่งส่วนใหญ่ซื้อมาบริโภคเอง ร้อยละ 91.80 โดยในภาพรวมส่วนประสมทางการตลาดอยู่ในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.35 กระบวนการตัดสินใจซื้อแตงโมอยู่ในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.21 ส่วนประสมทางการตลาดที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อแตงโม พบว่ามีตัวแปรอิสระ 3 ตัวแปร ที่สามารถพยากรณ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p <0.01) ได้แก่ ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย และด้านการส่งเสริมการขาย ซึ่งสามารถพยากรณ์ส่วนประสมทางการตลาดที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อแตงโม (R2) ได้ร้อยละ 78.40 ตัวแปรทั้ง 3 ตัวแปร มีค่าเป็นบวก แสดงว่าเมื่อผู้บริโภคมีด้านผลิตภัณฑ์ ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย และด้านการส่งเสริมการตลาดมากขึ้นจะมีผลให้ส่วนประสมทางการตลาดที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อพืชหลังนา (แตงโม) ผู้บริโภคในจังหวัดอุบลราชธานี มากขึ้นเช่นกัน</p>
2024-08-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารการปกครองและนวัตกรรมท้องถิ่น
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JLGISRRU/article/view/272775
การศึกษาพฤติกรรมทางจริยธรรมของนักศึกษาสาขาวิทยาศาสตร์สังคม ในวิทยาลัยครูปากเซ แขวงจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตย ประชาชนลาว
2023-12-25T12:08:23+07:00
Vongpaseut Phothisalath
vongpaseut.pG63@ubru.ac.th
ชูชีพ ประทุมเวียง
vongpaseut.pG63@ubru.ac.th
พงษ์ธร สิงห์พันธ์
vongpaseut.pG63@ubru.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาพฤติกรรมทางจริยธรรมของนักศึกษาสาขาวิทยาศาสตร์สังคม ในวิทยาลัยครูปากเซ แขวงจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (2) เปรียบเทียบพฤติกรรมทางจริยธรรมของนักศึกษาสาขาวิทยาศาสตร์สังคม ในวิทยาลัยครูปากเซ จำแนกตามเพศ และสถานภาพการอยู่อาศัย (3) ศึกษาข้อแสนอแนะเกี่ยวกับพฤติกรรมทางจริยธรรมของนักศึกษาสาขาวิทยาศาสตร์สังคม ในวิทยาลัยครูปากเซ ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักศึกษาสาขาวิทยาศาสตร์สังคม ในวิทยาลัยครูปาก จำนวน 148 คน โดยการกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างจากตารางสำเร็จของ Krejcie and Morgan เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ .92 สถิติที่ใช้ประกอบด้วย ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบ (t-test และ การทดสอบ f-test และทดสอบความแตกต่างรายคู่โดยวิธีของ Scheffe' ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>พฤติกรรมทางจริยธรรมของนักศึกษาสาขาวิทยาศาสตร์สังคม ในวิทยาลัยครูปากเซ แขวงจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยรวมอยู่ในระดับมาก</li> <li>เปรียบเทียบพฤติกรรมทางจริยธรรมของนักศึกษาสาขาวิทยาศาสตร์สังคม ในวิทยาลัยครูปากเซ แขวงจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว จำแนกตามเพศ โดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 จำแนกตามสถานภาพการอยู่อาศัย โดยภาพรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน</li> </ol> <p> 3. ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับพฤติกรรมทางจริยธรรมของนักศึกษาสาขาวิทยาศาสตร์สังคมในวิทยาลัยครูปากเซ แขวงจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มีดังนี้ (1) วิทยาลัยควรส่งเสริม ดูแลนักศึกษาในเรื่องความรับผิดชอบในงานที่ได้รับมอบหมาย เช่น การทำการบ้าน การสนใจการเรียนให้มากขึ้น ให้โรงเรียนปลูกฝังเรื่องการพูดจาให้สุภาพ และไม่พูดนินทาผู้อื่นให้มากขึ้น (2) ให้นักศึกษามีกิจกรรมและให้นักศึกษามีจิตสาธารณะมากขึ้น (3) ให้คุณครูดูแลเรื่องการแกล้งเพื่อนที่อ่อนแอกว่า และสอนเรื่องการไม่เอาเปรียบผู้อื่นให้มากขึ้น (4) ให้วิทยาลัยดูแลเรื่องความมีระเบียบ วินัยในการอยู่ร่วมกันให้มากขึ้น เช่น การเข้าแถว การรอคิว (5) ให้วิทยาลัยสร้างนิสัยในการประหยัดให้มากขึ้น ทั้งการประหยัดพลังงาน ประหยัดเงิน (6) ให้วิทยาลัยจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับศาสนาให้มากขึ้น เช่น พานักศึกษาไปทำบุญที่วัด มีเทศน์ที่วิทยาลัยเดือนละครั้ง (7) ให้วิทยาลัยรณรงค์เรื่องการรักษาความสะอาดให้มากขึ้น ควรมีกิจกรรมที่สร้างความสามัคคี มีน้ำใจกันในหมู่เพื่อนให้มากขึ้น</p>
2024-08-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารการปกครองและนวัตกรรมท้องถิ่น
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JLGISRRU/article/view/276403
ทักษะการมอบหมายงานของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการบริหารงานบุคคลของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม
2024-05-13T11:20:42+07:00
เบญจรัตน์ ปฐมสุริยะพร
s65561802007@ssru.ac.th
ธดา สิทธิ์ธาดา
65561802007@ssru.ac.th
<p>การวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาระดับทักษะการมอบหมายงานของผู้บริหาร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม 2) เพื่อศึกษาระดับการบริหารงานบุคคลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างทักษะการมอบหมายงานของผู้บริหารกับการบริหารงานบุคคลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม และ 4) เพื่อศึกษาทักษะการมอบหมายงานของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการบริหารงานบุคคลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม ประชากรที่ศึกษา คือ สถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม จำนวน 29 แห่ง กลุ่มตัวอย่างได้จากการสุ่มจากประชากร โดยใช้ตารางการประมาณขนาดกลุ่มตัวอย่างของเครจซี่ และมอร์แกน (Krejcie & Morgan) ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวนทั้งสิ้น 28 แห่ง ผู้ให้ข้อมูลประกอบด้วย ผู้อำนวยการสถานศึกษา รองผู้อำนวยการสถานศึกษากลุ่มบริหารงานบุคคลหรือหัวหน้าฝ่ายบุคคล และครูผู้สอน รวมทั้งสิ้น 308 คน ด้วยวิธีการสุ่มอย่างง่าย (simple random sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม แบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วย ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการวิเคราะห์ข้อมูลระดับทักษะการมอบหมายงานของผู้บริหาร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม โดยภาพรวมและทุกด้านอยู่ในระดับมาก 2) ผลการวิเคราะห์ระดับการบริหารงานบุคคลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 3) ทักษะการมอบหมายงานของผู้บริหารกับการบริหารงานบุคคลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม มีความสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกันและมีความสัมพันธ์ทางบวก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ซึ่งมีค่าสหสัมพันธ์ระหว่าง .906 ถึง .956 และ 4) ทักษะการมอบหมายงานของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการบริหารงานบุคคลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม ได้แก่ ด้านการพิจารณาบุคลากร ด้านการสร้างแรงจูงใจ ด้านเทคนิคการมอบหมายงาน ด้านการกำหนดขอบเขตภาระงาน และด้านการติดตามการทำงาน มีค่าสหสัมพันธ์พหุคูณของตัวแปรเท่ากับ .984 ค่าอำนาจการพยากรณ์ร้อยละ 96.80 ค่าความคลาดเคลื่อนที่เกิดขึ้นจากการพยากรณ์เท่ากับ .128 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สามารถสร้างสมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบและคะแนนมาตรฐาน คือ</p> <p> = 0.646 + 0.407X<sub>2</sub> + 0.107X<sub>6</sub> + 0.160X<sub>3</sub> + 0.151X<sub>1</sub> + 0.249X<sub>4</sub></p> <p> = 0.363Z<sub>2</sub> + 0.112Z<sub>6</sub> + 0.162Z<sub>3</sub> + 0.159Z<sub>1</sub> + 0.234Z<sub>4</sub></p>
2024-08-28T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารการปกครองและนวัตกรรมท้องถิ่น
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JLGISRRU/article/view/277873
ผลกระทบจากปัญหาข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ต่อประเทศไทย
2024-06-13T17:29:21+07:00
วาสนา อ้นป้อม
s63484944005@ssru.ac.th
สัณฐาน ชยนนท์
s63484944005@ssru.ac.th
วิจิตรา ศรีสอน
s63484944005@ssru.ac.th
<p> การวิจัยเรื่อง ผลกระทบจากปัญหาข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ต่อประเทศไทย มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ 2)เพื่อศึกษาผลกระทบของประเทศไทยต่อปัญหาข้อพิพาทในทะเลจีนใต้และ 3)เพื่อศึกษาแนวทางแก้ไขปัญหาที่มาจากผลกระทบข้อพิพาทในทะจีนใต้ต่อประเทศไทย โดยการวิจัยเชิงคุณภาพด้วยการเก็บแบบสัมภาษณ์ จำนวน 17 คน ได้แก่ นักวิชาการ 4 คน กรมการค้าระหว่างประเทศ 3 คน นักการเมือง 4 คน ทหารเรือ 4 คน และ นักการทูต 2 คน ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) สภาพปัญหาข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ในการอ้างสิทธิและอำนาจอธิปไตยเหนือพื้นที่ต่างๆในทะเลจีนใต้ 3 ประเด็น คือ ประเด็นที่ 1 การอ้างสิทธิและอำนาจอธิปไตยเหนือพื้นที่ต่างๆในทะเลจีนใต้ประเทศจีนและไต้หวันอ้างสิทธิ์โดยยึดจากเส้นประ 9 เส้น โดยไม่ได้ระบุหลักฐานประวัติศาสตร์หรือกฎหมายที่ไม่ชัดเจน และการอ้างสิทธิและอำนาจอธิปไตยเหนือพื้นที่ต่างๆในทะเลจีนใต้ประเทศฟิลิปปินส์ มาเลเซีย เวียดนาม ตามหลักกฎหมายทางทะเล ค.ศ. 1982 และการกำหนดเขตเศรษฐกิจจำเพาะ ประเด็นที่ 2 ผลประโยชน์แห่งชาติและทรัพยากรธรรมชาติในทะเลจีนใต้ พบว่า การอ้างสิทธิและอำนาจอธิปไตยเหนือพื้นที่ในทะเลจีนใต้ นโยบายต่างประเทศที่มีผลต่อข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ของประเทศที่เกี่ยวข้องในพื้นที่นั้นมีความสำคัญมาก ประเด็นที่ 3 ยุทธศาสตร์และเส้นทางเดินเรือ พบว่า ทะเลจีนใต้เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการตั้งฐานทัพและการเคลื่อนกำลังทางยุทธศาสตร์ของชาติมหาอำนาจโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและทะเลจีนใต้เป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุดที่เชื่อมโยงระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกกับมหาสมุทรอินเดียในการขนส่งหรือการเดินเรือที่สั้นที่สุดนี้</p> <p> 2) ผลกระทบของประเทศไทยต่อปัญหาข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ 2 ประเด็น พบว่าประเด็นที่ 1 ด้านเศรษฐกิจ พบว่า การค้าและเส้นการค้าทางทะเลระหว่างประเทศ การทำความตกลงทางการค้าแบบทวิภาคีและพหุภาคีเป็นกลไกที่ใช้ในการเจรจาต่อรอง และกรอบความร่วมมือภายใต้ ASEAN Plus Three Cooperation (ATP) และการประชุมว่าด้วยเรื่องขนส่งของอาเซียน ประเด็นที่ 2 การทูตการจัดการความขัดแย้งโดยสันติวิธีและการเจรจาแบบพหุภาคีระดับอาเซียน การทหารการขยายความร่วมมือด้านความมั่นคงกับกองทัพและหน่วยงานด้านความมั่นคงของประเทศเพื่อนบ้าน</p> <p> 3) แนวทางแก้ไขปัญหาที่มาจากผลกระทบข้อพิพาทในทะจีนใต้ต่อประเทศไทย พบว่า ใช้การเจรจาและสรุป Code of Conduct in the South China Sea และปฎิบัติตนตามเอกสารปฏิญญาว่าด้วยการปฏิบัติของภาคีฝ่ายต่าง ๆ ในทะเลจีนใต้ และยอมรับในกฏบัตรสหประชาชาติหลักกฎหมายทางทะเล 1982 และสนธิสัญญา TAC ว่าคู่พิพาททุกประเทศ</p>
2024-08-28T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารการปกครองและนวัตกรรมท้องถิ่น
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JLGISRRU/article/view/277692
สมรรถนะของบุคลากรองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม
2024-05-25T11:27:51+07:00
กนิษฐา แสงผา
kanitta2518a@gmail.com
จารุกัญญา อุดานนท์
kanitta2518a@gmail.com
กชกร เดชะคำภู
kanitta2518a@gmail.com
<p>การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับสมรรถนะหลักในการปฏิบัติงานของบุคลากรองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม 2) เพื่อเปรียบเทียบสมรรถนะหลักในการปฏิบัติงานของบุคลากรองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนมจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล ประชากร คือ บุคลากรสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม จำนวน 299 คน และได้กำหนดกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา โดยคำนวณจากสูตรของ Yamane ได้จำนวน 172 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ สถิติเชิงพรรณนา ประกอบด้วย ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ใช้สถิติ t-test และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า</p> <p>1) ระดับสมรรถนะหลักในการปฏิบัติงานของบุคลากรองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนมโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( =3.87)</p> <p> 2) เปรียบเทียบสมรรถนะหลักในการปฏิบัติงานของบุคลากรองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนมจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล ผลการศึกษาวิจัย พบว่า ระดับการศึกษา อายุการทำงาน ตำแหน่งสายงาน มีสมรรถนะหลักในการปฏิบัติงานของบุคลากรองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
2024-08-28T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารการปกครองและนวัตกรรมท้องถิ่น
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JLGISRRU/article/view/277591
ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของข้าราชการธุรการ สำนักงานอัยการจังหวัด ในสังกัดสำนักงานอัยการภาค 4
2024-05-25T11:19:54+07:00
มยุรี ยังแก้ว
yea0622389803@gmail.com
จารุกัญญา อุดานนท์
Jarukanya@gmail.com
สำราญ วิเศษ
Wised2520@gmail.com
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาระดับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ของข้าราชการธุรการสำนักงานอัยการจังหวัด ในสังกัดสำนักงานอัยการภาค 4 2) เพื่อศึกษาระดับปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของข้าราชการธุรการสำนักงานอัยการจังหวัด ในสังกัดสำนักงานอัยการภาค 4 3) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ของข้าราชการธุรการสำนักงานอัยการจังหวัด ในสังกัดสำนักงานอัยการภาค 4 เป็นการศึกษา เชิงปริมาณ (Quantitative Research) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาคือ ข้าราชการธุรการสำนักงานอัยการจังหวัด ในสังกัดสำนักงานอัยการภาค 4 จำนวน 153 คน โดยการใช้สูตรคำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่างของทาโร ยามาเน่ เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาเป็นแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของข้าราชการธุรการ สำนักงานอัยการจังหวัด ในสังกัดสำนักงานอัยการภาค 4 ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.24) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านเวลา มากที่สุด ( = 4.30) รองลงมา คือ ด้านปริมาณงาน ( = 4.25) ส่วนด้านค่าใช้จ่าย ได้ค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด ( = 4.20) 2) ระดับปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( = 4.07) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านความสำเร็จในการปฏิบัติงาน มากที่สุด ( = 4.28) รองลงมาคือ ด้านความสัมพันธ์ กับเพื่อนร่วมงาน ( = 4.18) ส่วนด้านความก้าวหน้าในหน้าที่งาน ได้ค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด ( = 3.91) 3) ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ได้แก่ ด้านการได้รับการยอมรับนับถือ ด้านสภาพแวดล้อมในการปฏิบัติงาน และด้านความสำเร็จในการปฏิบัติงาน มีนัยสำคัญ ทางสถิติ ตัวแปรอิสระทั้ง 3 ตัว สามารถพยากรณ์ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของข้าราชการธุรการสำนักงานอัยการจังหวัด ในสังกัดสำนักงานอัยการภาค 4 ได้ร้อยละ 52.40 (R<sup>2</sup> = 0.524) อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05 มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณ เท่ากับ 0.740 (R = 0.740)</p> <p>สามารถเขียนสมการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ในรูปคะแนนดิบและคะแนนมาตรฐาน ได้ดังนี้</p> <p>Ŷ = 1.541 + .227 (X1) + .225 (X2) + .212 (X3)</p> <p>Ẑ = .320 (Z1) + .311 (Z2) + .220 (Z3)</p> <p> แนวทางในการปฏิบัติงาน ควรมีแผนการปฏิบัติงานในการจัดสรรทรัพยากร เพื่อลดความซ้ำซ้อนของงาน การใช้ทรัพยากรในการปฏิบัติงานอย่างคุ้มค่าเหมาะสมกับลักษณะงาน และใช้งบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อองค์กร</p>
2024-08-28T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารการปกครองและนวัตกรรมท้องถิ่น
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JLGISRRU/article/view/277706
ประสิทธิภาพการปฏิบัติงานด้านการจัดซื้อจัดจ้างของบุคลากร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดนครพนม
2024-06-02T15:30:52+07:00
ชณันรุจน์ เลิศอัครพัทธ์
aof_it53@hotmail.com
จารุกัญญา อุดานนท์
aof_it53@hotmail.com
กชกร เดชะคำภู
aof_it53@hotmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานด้านการจัดซื้อจัดจ้างของบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดนครพนม และ 2) เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานด้านการจัดซื้อจัดจ้างของบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดนครพนม โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่างคือ บุคลากรในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตจังหวัดนครพนม ทั้งหมด 104 แห่ง ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 337 คน โดยคำนวณจากสูตรของทาโร ยามาเน่ และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ สถิติเชิงพรรณนา สถิติเชิงอนุมานโดยหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณเชิงเส้นตรง</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ระดับการปฏิบัติงานด้านการจัดซื้อจัดจ้างอยู่ในระดับมาก ( = 3.92) และระดับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานอยู่ในระดับมาก ( = 4.19) และปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานด้านการจัดซื้อจัดจ้างของบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดนครพนม พบว่า มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงหรือการผันแปรทั้งหมด 3 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านสภาพแวดล้อมและสิ่งอำนวยความสะดวก 2) ด้านขั้นตอนและระยะเวลาดำเนินการในการปฏิบัติงาน 3) ด้านแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน สามารถพยากรณ์ประสิทธิภาพการปฏิบัติงานด้านการจัดซื้อจัดจ้างของบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดนครพนม ได้ร้อยละ 31.40 (R<sup>2</sup> = 0.314) อย่างมีนับสำคัญที่ระดับ 0.05 มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณ เท่ากับ 0.560 (R = 0.560)</p> <p>โดยแสดงสมการถอดถอยในรูปคะแนนดิบ และคะแนนมาตรฐาน ดังนี้</p> <p>Ŷ = 2.862 + 0.196(X<sub>1</sub>) + 0.262(X<sub>2</sub>) - 0.152(X<sub>3</sub>)</p> <p>Ẑ = 0.330(X1) + 0.346(X2) - 0.213(X3)</p>
2024-08-28T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารการปกครองและนวัตกรรมท้องถิ่น
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JLGISRRU/article/view/271553
การเชื่อมโยงกลุ่มอาชีพและตลาดงานที่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมโอกาสในการส่งต่อภูมิปัญญาโดยผู้สูงอายุสู่เครือข่ายพหุวัฒนธรรม
2023-10-26T15:05:41+07:00
ศรัญญา นาเหนือ
saranya.n@srru.ac.th
สุรีย์ฉาย สุคันธรัต
saranya.n@srru.ac.th
จิรายุ ทรัพย์สิน
jirayu2515@srru.ac.th
วันชัย สุขตาม
wanchai2526@srru.ac.th
สิริพัฒถ์ ลาภจิตร
siriphat.lapjit@gmail.com
<p>การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการเชื่อมโยงกลุ่มอาชีพและตลาดงานที่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมโอกาสในการส่งต่อภูมิปัญญาโดยผู้สูงอายุสู่เครือข่ายพหุวัฒนธรรม ชุมชนบ้านตะเคียน ต.ตะเคียน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ เป็นการวิจัยเป็นแบบผสมผสานวิธี โดยการวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยการเก็บแบบสัมภาษณ์และสนทนากลุ่มกับกลุ่มเป้าหมายที่เลือกแบบเจาะจง จำนวน 10 คน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหาและวิจัยเชิงปริมาณเก็บข้อมูลจากแบบสอบถามกับตัวแทนผู้สูงอายุในชุมชนเป็นกลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลัก จำนวน 30 คน การวิเคราะห์ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ สถิติที่ใช้ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า การเชื่อมโยงกลุ่มอาชีพและตลาดงานที่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมโอกาสในการส่งต่อภูมิปัญญาชุมชนโดยผู้สูงอายุสู่เครือข่ายพหุวัฒนธรรมในชุมชนบ้านตะเคียน ผู้สูงอายุในชุมชนใช้วัฒนธรรมเดียวกันที่ประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์เขมร ลาว กูย ในการดำเนินชีวิตความเป็นอยู่ มีอาชีพทำงานด้านเกษตรกรรมเป็นหลัก การสร้างงานจะเกิดจากกิจกรรมในชุมชนโดยเฉพาะกิจกรรมทางศาสนา และการทำกิจกรรมร่วมกันผ่านช่องทางในการเรียนของโรงเรียนผู้สูงอายุเพื่อสุขภาวะ วัดสันติวิเวก ต. ตะเคียน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ด้านโอกาสในการเชื่อมโยงกลุ่มอาชีพและตลาดงานที่เกิดจากภูมิปัญญาชุมชนโดยผู้สูงอายุ จากศักยภาพของคนในวัยแรงงานไปจนถึงวัยผู้สูงอายุ โดยการสำรวจตัวเองและประเมินได้มีระดับความคิดเห็นใน 4 ด้าน ได้แก่ ด้านสุขภาพกาย ด้านจิตใจ ด้านสังคมสิ่งแวดล้อม และด้านเศรษฐกิจ ในภาพรวมนั้นอยู่ในระดับปานกลาง โดยโอกาสในด้านสังคมสิ่งแวดล้อมมีค่าเฉลี่ยมากที่สุด ( =3.76) โอกาสด้านสุขภาพกาย ( =3.56) และโอกาสด้านจิตใจ ( =3.52) แสดงให้เห็นว่าการเข้าสังคมหรือรวมกลุ่มเพื่อทำกิจกรรมในชุมชนอยู่เสมอและมีสภาพความเป็นอยู่อย่างเหมาะสม สำหรับผู้สูงอายุที่มีศักยภาพที่พร้อมทั้งด้านร่างกายและจิตใจ กลับมีความพึงพอใจในการดำเนินชีวิตแบบมีความสุข สงบ และค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง ได้แก่ ด้านเศรษฐกิจ ( =3.10) พบว่า มีความต้องการที่จะร่วมมือในการพัฒนาอาชีพเพื่อสร้างรายได้ให้กับตนเอง ใช้จ่ายตามความจำเป็น มีความสามารถหรือฝีมือในการสร้างรายได้ให้ตนเอง การออม อยู่ในระดับปานกลาง และความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ภูมิปัญญาในด้านอาชีพแก่ชุมชนเพื่อให้เกิดการสร้างงานในชุมชนอยู่ในระดับน้อย</p>
2024-08-29T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารการปกครองและนวัตกรรมท้องถิ่น
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JLGISRRU/article/view/274292
การสืบทอดศิลปะการแสดงซอของบัวซอน ถนอมบุญ
2024-01-03T14:42:42+07:00
ศราวุฒิ โอฆะพนม
sarawootokapanom@gmail.com
ภักดีกุล รัตนา
tana.nok22@gmail.com
<p>วัตถุประสงค์ของงานวิจัยนี้คือ เพื่อศึกษาการสืบทอดการแสดงซอของบัวซอน ถนอมบุญ โดยรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร สัมภาษณ์ สังเกตการณ์ และสอบถามบุคคลที่เกี่ยวข้อง ใช้แนวคิดเรื่องการสืบทอดวัฒนธรรมเป็นกรอบคิดในการศึกษา โดยมองเรื่องบุคคล พื้นที่ และเวลา ในการสืบทอดศิลปะการแสดงซอ</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า การสืบทอดศิลปะการแสดงซอของ บัวซอน ถนอมบุญกระทำผ่านแนวคิดการสืบทอดทางวัฒนธรรม ผ่านการแสดง การสร้างสรรค์บทประพันธ์ซอ การสอนและการบรรยายในสถาบันการศึกษา รวมทั้งการเผยแพร่ผลงานการแสดงผ่านสื่อประเภทต่าง ๆ บัวซอนถนอมบุญ ได้รับความรู้ศิลปะการแสดงซอในหลายช่วงวัย เริ่มต้นจากวัยเด็กที่เรียนรู้และฝึกฝนการแสดงซอจากแม่ครูคำปัน จากนั้นได้เข้าสู่อาชีพช่างซอ และมีผลงานการแสดงซอ ผ่านสื่อและการอัดแผ่นเสียง ต่อมาบัวซอน ถนอมบุญ ได้หยุดพักการแสดงซอเพื่อสั่งสมความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรมะ หลังจากนั้นได้กลับมาสู่วงการซอ อีกครั้ง เมื่ออายุ 45 ปีและเริ่มมีบทบาทใหม่ในฐานะแม่ครูซอที่มีชื่อเสียง การสืบทอดศิลปะการแสดงซอของบัวซอน ถนอมบุญปรากฎในหลายบทบาท คือ บทบาทในฐานะเป็นช่างซอที่มีทักษะความสามารถด้านการขับซอจนได้รับการยกย่องเป็นครูภูมิปัญญาไทยและศิลปินแห่งชาติ และกลายเป็นแรงบันดาลใจด้านการขับซอแก่คนรุ่นใหม่ บทบาทในฐานะต้นแบบครูภูมิปัญญาด้านการขับซอล้านนาทั้งด้านการประพันธ์บทซอและด้านการแสดงการขับซอล้านนา รวมถึงบทบาทการถ่ายทอดและเผยแพร่ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับศิลปะการแสดงซอผ่านพื้นที่สื่อ เช่น ผามซอที่มีผู้คนมาชมการแสดงของแม่ครูบัวซอน สื่ออนาล็อกทั้งรายการวิทยุโทรทัศน์และการอัดแผ่นเสียง และสื่อดิจิทัลที่มีการเผยแพร่การแสดงซอผ่านสื่อออนไลน์ ผลการศึกษาก่อให้เกิดความรู้เกี่ยวกับการสืบทอดศิลปะการแสดงซอซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการสืบทอดศิลปะการแสดงของล้านนาแขนงอื่น เพื่อเป็นการรักษาและเผยแพร่วัฒนธรรมของล้านนาให้ยั่งยืน</p>
2024-08-29T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารการปกครองและนวัตกรรมท้องถิ่น
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JLGISRRU/article/view/274776
พฤติกรรมการเลียนแบบทางวัฒนธรรมและการรับวัฒนธรรมสมัยนิยมจากเกาหลีของนักศึกษาไทย
2024-08-25T17:17:23+07:00
รัศมี อ่อนปรีดา
rassameeon@gmail.com
ธนพัชญ์ เผือกพิพัฒน์
rassameeon@gmail.com
อุบลรัตน์ นีรชกุล
rassameeon@gmail.com
<p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาระดับการยอมรับวัฒนธรรมเกาหลีของนักศึกษาไทย เพื่อศึกษาพฤติกรรมและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของนักศึกษาไทยด้านพฤติกรรมส่วนตัวดำเนินการโดยวิธีวิจัยเชิงปริมาณเก็บข้อมูลจากกลุ่มประชากรที่เป็นนักศึกษาจำนวน 385 คน กลุ่มตัวอย่างไม่ทราบจำนวนประชากรที่แน่นอน จึงได้ใช้วิธีการคำนวณโดย ใช้สูตร W.G. Cochran (1953) ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% ที่ความคลาดเคลื่อน ± 5% เครื่องมือที่ใช้คือ แบบสอบถาม ค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence :IOC) อยู่ระหว่าง 0.7–1.00 มีค่าความเชื่อมั่น (Reliability) เท่ากับ 0.87 สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่าระดับการยอมรับวัฒนธรรมเกาหลีของนักศึกษาไทย ส่วนใหญ่รับวัฒนธรรมเกาหลีผ่าน ละครเกาหลี มีความถี่ในการรับชม/รับฟัง มากกว่า 6 วัน/สัปดาห์ ระยะเวลา การรับชม/รับฟัง มากกว่า 3 - 4 ชั่วโมง /ครั้ง ติดตามภาพยนต์ ละคร และเพลง เป็นระยะเวลา 3 – 4 ปี รับชม ภาพยนตร์, ละคร (ซีรีย์), เพลงเกาหลีจากช่องทาง แอพพลิเคชั่น และชื่นชอบประเภทสืบสวนและโรแมนติก ติดตามเพราะชื่นชอบนักแสดงนํา จึงสรุปได้ว่านักศึกษาไทยยอมรับวัฒนธรรมสมัยนิยมเกาหลีจากการชมภาพยนต์และซีรีย์ (ละครเกาหลี) ร่วมกับชื่นชอบในตัวนักแสดงนำจึงเกิดการยอมรับการใช้ชีวิตปกติตามแบบภาพยนต์และนักแสดงเปลี่ยนวิถีวัฒนธรรมเดิม ๆ ไปรับวัฒนธรรมใหม่ๆ ตามสมัยนิยม ไม่ใช่การเปลี่ยนวัฒนธรรมหลักในการดำรงชีวิต ฉะนั้นผู้ปกครองและครูอาจารย์ควรทำความเข้าใจและยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น</p>
2024-08-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารการปกครองและนวัตกรรมท้องถิ่น
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JLGISRRU/article/view/275131
บทบาทสำนักข่าวออนไลน์ที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในกรุงเทพมหานคร
2024-08-25T17:14:32+07:00
กัญญวรรณ ปิ่นเงิน
ying108rbac@gmail.com
ฐิติรัตน์ มานิพารักษ์
ying108rbac@gmail.com
พันยา เขียวบุญจันทร์
ying108rbac@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนเขตกรุงเทพมหานคร จำแนกตามลักษณะประชากรศาสตร์ เพื่อเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนเขตกรุงเทพมหานคร จำแนกตามพฤติกรรมการเปิดรับข่าวสารทางการเมืองจากสำนักข่าวออนไลน์ และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างบทบาทสำนักข่าวออนไลน์กับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนเขตกรุงเทพมหานคร เป็นวิธีวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ ประชาชนที่อาศัยในกรุงเทพมหานครและติดตามข่าวสารของสำนักข่าวออนไลน์ จำนวน 400 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบผสม (Mixed-method Sampling) เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ (Percentage) ค่าความถี่ (Frequency) ค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) สถิติทดสอบที (t-test) การวิเคราะห์ความแปรปรวน (ANOWA) และ การวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson Correlation)</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1) ลักษณะทางประชากรศาสตร์ ได้แก่ เพศและอาชีพแตกต่างกันจะมีการมีส่วนร่วมทางการเมืองแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ยกเว้นอายุและการศึกษาไม่แตกต่าง 2) พฤติกรรมการเปิดรับข่าวสารทางการเมืองจากสำนักข่าวออนไลน์ ได้แก่ ความถี่และระยะเวลาแตกต่างกันจะมีการมีส่วนร่วมทางการเมืองแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) บทบาทสำนักข่าวออนไลน์มีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนเขตกรุงเทพมหานคร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p>
2024-08-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารการปกครองและนวัตกรรมท้องถิ่น
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JLGISRRU/article/view/275158
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นผ้าไหมมัดหมี่ กรณีศึกษา : ผ้าไหมมัดหมี่ตำบลบ้านเขว้า อำเภอบ้านเขว้า จังหวัดชัยภูมิ
2024-08-25T17:08:16+07:00
พรชนัน ทุลขุนทด
kung.chanan@hotmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นผ้าไหมมัดหมี่ กรณีศึกษา:ผ้าไหมมัดหมี่ตำบลบ้านเขว้า อำเภอบ้านเขว้า จังหวัดชัยภูมิ และศึกษาการมีส่วนร่วมสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นผ้าไหมมัดหมี่ กรณีศึกษา:ผ้าไหมมัดหมี่ตำบลบ้านเขว้า อำเภอบ้านเขว้า จังหวัดชัยภูมิ ดำเนินการโดยวิธีวิจัยเชิงปริมาณเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 370 คน ด้วยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน (Multiple Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้คือ แบบสอบถาม ค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence :IOC) อยู่ระหว่าง 0.9 -1.00 มีค่าความเชื่อมั่น (Reliability) เท่ากับ 0.95 สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบที (t-test) การวิเคราะห์ความแปรปรวน (Analysis of Variance) และวิธีการวิเคราะห์ถดถอยเชิงเส้นพหุคูณ (Multiple Linear Regression Analysis)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ภูมิปัญญาท้องถิ่น ปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นผ้าไหมมัดหมี่ กรณีศึกษา:ผ้าไหมมัดหมี่ตำบลบ้านเขว้า อำเภอบ้านเขว้า จังหวัดชัยภูมิพบว่า ประเภทของลวดลายมีค่าเฉลี่ยสูงสุด และการออกแบบลวดลายมีค่าเฉลี่ยต่ำสุด การมีส่วนร่วมการสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่น ปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นผ้าไหมมัดหมี่ กรณีศึกษา:ผ้าไหมมัดหมี่ตำบลบ้านเขว้า อำเภอบ้านเขว้า จังหวัดชัยภูมิพบว่า ผู้นำมีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาคือ การส่งเสริมกิจกรรมของชุมชน การสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่น การปลุกจิตสำนึกของคนในชุมชน และการจัดการความรู้มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด ปัจจัยทั้งหมดร่วมกันพยากรณ์ R2 = 0.761 คิดเป็นร้อยละ 76.10</p>
2024-08-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารการปกครองและนวัตกรรมท้องถิ่น
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JLGISRRU/article/view/275628
โมเดลปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในกรุงเทพมหานคร
2024-08-29T08:08:02+07:00
พันยา เขียวบุญจันทร์
phanya_k@rbac.ac.th
สุรีย์พร เขียวบุญจันทร์
phanya_k@rbac.ac.th
สุภาพร สรสิทธิรัตน์
phanya_k@rbac.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อพัฒนาโมเดลปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ในกรุงเทพมหานคร (2) เพื่อศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ในกรุงเทพมหานคร ใช้วิธีวิจัยเชิงปริมาณ เก็บรวบรวมข้อมูลจากนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาท่องเที่ยวยังแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม จำนวน 400 คน ใช้วิธีการสุมแบบแบ่งชั้นภูมิ (Stratified Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าความเบ้ ค่าความโด่ง การวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง (Structural Equations Modeling : SEM) โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ เพื่อประเมินความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ การวิเคราะห์เส้นทาง และการทดสอบสมมติฐาน</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า โมเดลปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ในกรุงเทพมหานคร ตามทฤษฎีสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยมีค่าสถิติ ดังนี้ c<sup>2</sup> = 93.90, df = 47, c<sup>2</sup>/df = 1.99, p-value = 0.0723, GFI = 0.972, CFI = 0.99, RMR = 0.011 และ RMSEA = 0.044 ตามลำดับ ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า (1) อัตลักษณ์ของวัฒนธรรมมีอิทธิพลทางตรงต่อการบูรณาการความร่วมมือ ศักยภาพของแหล่งท่องเที่ยว และการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม (2) การบูรณาการความร่วมมือมีอิทธิพลทางตรงต่อการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม (3) ศักยภาพของแหล่งท่องเที่ยวมีอิทธิพลทางตรงต่อการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม (4) อัตลักษณ์ของวัฒนธรรมมีอิทธิพลทางอ้อมต่อการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม โดยมีการบูรณาการความร่วมมือและศักยภาพของแหล่งท่องเที่ยว เป็นตัวแปรส่งผ่าน</p>
2024-08-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารการบริหารการปกครองและนวัตกรรมท้องถิ่น