https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/issue/feed
สหวิทยาการและความยั่งยืนปริทรรศน์ไทย
2024-10-31T10:52:29+07:00
รองศาสตราจารย์ ดร.ธนพร ศรียากูล
ALPS.Journals@gmail.com
Open Journal Systems
<p><em>วารสารสหวิทยาการวิจัย: ฉบับบัณฑิตศึกษา</em> (e-ISSN: 2730-3616) เป็นวารสารซึ่งจัดพิมพ์ในภาษาไทย โดยสมาคมรัฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมกับ หลักสูตรรัฐประศาสนศาสตร์ วิทยาลัยบัณฑิตศึกษาด้านการจัดการ มหาวิทยาลัยศรีปทุม เพื่อเป็นพื้นที่ในการเผยแพร่ผลงานวิชาการและผลงานวิจัย รวมถึงแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความคิดความเห็น ตลอดจนเป็นแหล่งค้นคว้าระดับบัณฑิตศึกษาในระดับนานาชาติ ที่น่าเชื่อถือและมีความเป็นปัจจุบัน ในเชิงสหวิทยาการ ทั้งสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ซึ่งมีรูปแบบการกลั่นกรองบทความโดยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 2 ท่าน ก่อนลงตีพิมพ์ แบบผู้ทรงคุณวุฒิไม่ทราบชื่อผู้แต่ง และผู้แต่งไม่ทราบชื่อผู้ทรงคุณวุฒิ มีกำหนดปีละ 2 ฉบับ ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม-มิถุนายน ฉบับที่ 2 เดือนกรกฎาคม-ธันวาคม</p>
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/281412
การวิเคราะห์องค์ประกอบการจัดการธุรกิจของวิสาหกิจชุมชน ผลิตสินค้าเกษตรแปรรูปในสามจังหวัดชายแดนใต้
2024-09-12T13:37:02+07:00
ปิยะดา มณีนิล
piyada.m@yru.ac.th
สัสดี กำแพงดี
satsadi.k@yru.ac.th
<p>การวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบการจัดการธุรกิจของวิสาหกิจชุมชนผลิตสินค้าเกษตรแปรรูปในสามจังหวัดชายแดนใต้ ใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ เก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับจากประธานวิสาหกิจชุมชนผลิตสินค้าเกษตรแปรรูปในสามจังหวัดชายแดนใต้ ผลการวิจัยพบว่า ผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนให้ความสำคัญกับองค์ประกอบการจัดการธุรกิจในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ยในภาพรวมเท่ากับ 4.14 และจากการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ พบว่าการจัดการธุรกิจของวิสาหกิจชุมชนผลิตสินค้าเกษตรแปรรูปในสามจังหวัดชายแดนใต้ ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ ได้แก่ การจัดการทรัพยากรมนุษย์วิสาหกิจชุมชน การจัดการการตลาดวิสาหกิจชุมชน การจัดการการผลิตวิสาหกิจชุมชน และการจัดการการเงินวิสาหกิจชุมชน ดังนั้นวิสาหกิจชุมชนจึงต้องให้ความสำคัญกับองค์ประกอบข้างต้น และนำไปประยุกต์ใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการดำเนินธุรกิจต่อไป</p>
2024-10-17T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 Authors
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/281873
มานุภาพทางศิลปะ: กรณีศึกษาผลงานศิลปะของศิลปินในจังหวัดสงขลา
2024-10-15T11:24:47+07:00
ธภัทร บริรักษ์กิจดำรง
chetsada@tsu.ac.th
เจษฎา นกน้อย
Chetsada_NOK@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพแวดล้อม และกำหนดกลยุทธ์ สำหรับงานศิลปะของศิลปินในจังหวัดสงขลา 2) ศึกษาวิธีการสร้างผลงานศิลปะในเชิงพาณิชย์ของศิลปินในจังหวัดสงขลา และ 3) ศึกษาแนวทางในการสร้างมานุภาพทางศิลปะให้กับงานศิลปะของศิลปินในจังหวัดสงขลา โดยมีผู้ให้ข้อมูลหลัก คือ ศิลปินผู้สร้างผลงานศิลปะในจังหวัดสงขลา โดยมีเกณฑ์ในการคัดเลือกผู้ให้ข้อมูลคือ สร้างสรรค์ผลงานศิลปะมาแล้วอย่างน้อย 3 ปี เป็นศิลปินที่สร้างสรรค์ผลงานศิลปะและมีโอกาสได้จำหน่ายผลงานให้กับบุคคลที่สนใจในงานศิลปะ จำนวน 12 คน โดยการสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยการใช้เครื่องมือ SWOT Analysis และ TOWS Matrix โดยการวิเคราะห์เนื้อหา และการตรวจสอบสามเส้าด้านทฤษฎี ผลการวิจัยพบว่า สภาพแวดล้อมสำหรับงานศิลปะของศิลปินในจังหวัดสงขลา มีจุดแข็ง 4 ประการ จุดอ่อน 4 ประการ โอกาส 4 ประการ และอุปสรรค 4 ประการ โดยมีกลยุทธ์สำหรับงานศิลปะของศิลปินในจังหวัดสงขลา ประกอบด้วย กลยุทธ์เชิงรุก 3 ประการ กลยุทธ์เชิงป้องกัน 2 ประการ กลยุทธ์เชิงแก้ไข 2 ประการ และกลยุทธ์เชิงรับ 2 ประการ การสร้างผลงานศิลปะในเชิงพาณิชย์ของศิลปินในจังหวัดสงขลาศิลปินจะต้องมีการปรับตัวกับยุคสมัยโดยอาศัยความต้องการของตลาด การพัฒนาเอกลักษณ์เฉพาะตัว การใช้ช่องทางสื่อ การสร้างความร่วมมือ และการใส่ใจในคุณภาพและความคิดสร้างสรรค์ สำหรับแนวทางในการสร้างมานุภาพทางศิลปะให้กับงานศิลปะของศิลปินในจังหวัดสงขลา จากการศึกษาพบว่า ผลงานศิลปะของศิลปินในจังหวัดสงขลา ยังคงขาดความสามารถในการทำการตลาด นอกจากนี้ศิลปินรุ่นใหม่ยังคงขาดโอกาสในการนำเสนอผลงาน ซึ่งสามารถอธิบายแนวทางในการสร้างมานุภาพทางศิลปะให้กับผลงานศิลปะของศิลปินในจังหวัดสงขลาได้ออกเป็น 5 มิติ ดังนี้ 1) มิติด้านการสร้างเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม 2) มิติด้านการส่งเสริมการทูตเชิงวัฒนธรรม 3) มิติด้านการใช้สื่อสังคมและเทคโนโลยี 4) มิติการสร้างประสบการณ์ และ 5) มิติการสร้างเครือข่ายและความร่วมมือ</p>
2024-11-18T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 Authors
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/280015
ประโยชน์ที่รับรู้เทียบกับต้นทุนที่รับรู้: ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญในการซื้อผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกายออร์แกนิกในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
2024-09-12T13:57:34+07:00
เอกภูศิษฐ์ บุญศิริยศฐากุล
aekphusit.boo@rmutr.ac.th
สร้อยบุปผา สาตร์มูล
soibuppha@rmutr.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกายแบบออร์แกนิกในหมู่ผู้บริโภคในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ด้วยความตระหนักรู้ด้านสุขภาพ ความตระหนักด้านรูปลักษณ์ ทัศนคติต่อการซื้อ การคล้อยตามกลุ่มอ้างอิง ความเชื่อมั่น และประสบการณ์ในอดีต การทำความเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภคในกลุ่มนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจและผู้กำหนดนโยบาย การศึกษานี้ใช้วิธีการสำรวจเชิงปริมาณ โดยรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม ผลการศึกษาเผยให้เห็นว่า ความตระหนักรู้ด้านสุขภาพ ความตระหนักด้านรูปลักษณ์ ทัศนคติต่อการซื้อ การคล้อยตามกลุ่มอ้างอิง ความเชื่อมั่น และประสบการณ์ในอดีตมีอิทธิพลอย่างมากต่อการตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกายแบบออร์แกนิกในหมู่ผู้บริโภคในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ในขณะที่ ทัศนคติต่อการซื้อ ความเชื่อมั่น และประสบการณ์ในอดีต มีบทบาทสำคัญในฐานะตัวแปรส่งผ่านในการสร้างการรับรู้ของผู้บริโภคและผลักดันให้เกิดพฤติกรรมการซื้อ</p>
2024-11-18T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 Authors
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/280458
การวิจัยเพื่อพัฒนาและทดสอบความตรงของแบบวัด ความตั้งใจดูแลผู้สูงวัยอย่างเอื้ออาทร
2024-09-02T13:21:52+07:00
ปุณญรัสธิ์ ต่อไพบูลย์
punyarat.torph@stu.nida.ac.th
ดวงเดือน พันธุมนาวิน
duangduen.bha@nida.ac.th
ดุจเดือน พันธุมนาวิน
nidaphd2024@gmail.com
<p>ในปัจจุบันมีประชากรสูงวัยที่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลมีเพิ่มมากขึ้น ความตั้งใจที่จะดูแลอย่างเอื้ออาทรจึงเป็นคุณลักษณะที่สำคัญของผู้ดูแลผู้สูงวัย เพื่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้สูงวัย การวิจัยมีจุดประสงค์เพื่อพัฒนาเครื่องมือวัดความตั้งใจที่จะดูแลผู้สูงอายุอย่างเอื้ออาทร โดยมีการวิจัยทั้งหมด 4 ขั้นตอน โดยในขั้นการหาคุณภาพของเครื่องมือวัด และการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาพยาบาล รวมจำนวน 420 คน ผลปรากฏว่า โมเดลการวัดความตั้งใจที่จะดูแลผู้สูงอายุอย่างเอื้ออาทร ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ จำนวน 12 ข้อ และอธิบายความแปรปรวนได้ 59.484% ในขั้นการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาพยาบาล กลุ่มใหม่ จำนวน 384 คน ผลการวิเคราะห์ข้อมูลปรากฏว่า โมเดลการวัดมีความกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ แบบวัดมีค่าความเชื่อมั่นของแบบวัดเท่ากับ 0.82 เมื่อทำการทดสอบความตรงในกลุ่มตัวอย่างผู้ให้บริการดูแลผู้สูงอายุจำนวน 171 คน พบว่า แบบวัดที่สร้างใหม่นี้มีความสัมพันธ์ทางบวกกับจิตพลังจริยธรรม การประเมินแก่นแห่งตน และพฤติกรรมการดูแลอย่างเอื้ออาทร แต่มีความสัมพันธ์ทางลบกับจริยธรรมหลุด จึงได้เสนอแนะการใช้แบบวัดเพื่อการปฏิบัติและการวิจัยต่อไป</p>
2024-11-18T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 Authors
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/281766
รูปแบบการส่งเสริมการใช้เขม่าดำทดแทนจากขยะยางล้อ ในอุตสาหกรรมยางโดยใช้ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน
2024-09-23T10:59:14+07:00
สมพิศ วัฒนเลี้ยงใจ
somphit.cmc@gmail.com
ธันนิกานต์ สูญสิ้นภัย
somphit.cmc@gmail.com
ชลวิทย์ เจียรจิตต์
somphit.cmc@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการใช้เขม่าดำทดแทนจากขยะยางล้อ (RCB) พัฒนารูปแบบการส่งเสริมการใช้ และวิเคราะห์ความเหมาะสมของรูปแบบดังกล่าว การวิจัยแบ่งเป็น 3 ขั้นตอน ขั้นแรกใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ พบว่าส่วนใหญ่มีนโยบายใช้วัตถุดิบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การใช้ RCB มีประโยชน์ในการลดต้นทุนและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังมีข้อจำกัดด้านคุณภาพเมื่อเทียบกับเขม่าดำดั้งเดิม ขั้นที่สองใช้วิจัยเชิงปริมาณ พบว่าปัจจัยด้านการจัดการขยะและระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนมีอิทธิพลสำคัญต่อการส่งเสริมการใช้ RCB จึงนำมาพัฒนา Business Model Canvas ขั้นสุดท้ายประเมินความเหมาะสมโดยการสำรวจ ผลปรากฏว่าทุกองค์ประกอบได้รับการประเมินในระดับสูงมาก โดยเฉพาะด้านการนำเสนอคุณค่า การสร้างรายได้ ทรัพยากรหลัก กิจกรรมหลัก และพันธมิตรหลัก ผลการวิจัยสรุปได้ว่า RCB มีศักยภาพสูงในการส่งเสริมระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนและการพัฒนาอย่างยั่งยืนในอุตสาหกรรมยาง จากผลการวิจัยนี้ผู้วิจัยได้นำเสนอ SHIFT Model เป็นกรอบแนวคิดในการส่งเสริมการใช้ RCB ประกอบด้วย ผสานพลัง, ปรับให้สอดคล้อง, สร้างนวัตกรรม, ส่งเสริม และเปลี่ยนแปลง</p>
2024-11-19T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 Authors
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/281764
พัฒนารูปแบบการเตรียมความพร้อมก่อนการเกษียณด้านเศรษฐกิจ ของบุคลากรและผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรม: กรณีศึกษาจังหวัดสมุทรสาคร
2024-10-15T11:24:57+07:00
ชวนัส แสงยิ่งยงวัฒนา
chawanus1974@gmail.com
ธันนิกานต์ สูญสิ้นภัย
chawanus1974@gmail.com
ชลวิทย์ เจียรจิตต์
chawanus1974@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหา พัฒนารูปแบบ และศึกษาความเหมาะสมของการเตรียมความพร้อมก่อนการเกษียณด้านเศรษฐกิจ ใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพและปริมาณ และได้พัฒนารูปแบบ BMC ซึ่งได้รับการประเมินความเหมาะสมในระดับมาก โดยเฉพาะในด้านการนำเสนอคุณค่า การสร้างรายได้ และทรัพยากรสำคัญ อย่างไรก็ตาม ยังมีพื้นที่สำหรับการปรับปรุงในด้านการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ผลการวิจัยพบว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อการเตรียมความพร้อมมากที่สุดคือปัจจัยทางเศรษฐกิจ รองลงมาคือเพศและความพึงพอใจในการทำงาน นอกจากนี้ ปัจจัยด้านสุขภาพและระดับการศึกษาก็มีผลเชิงบวกต่อการเตรียมความพร้อม ผลการวิจัยชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการพัฒนานโยบายและแผนการเตรียมความพร้อมก่อนการเกษียณที่ครอบคลุมและเป็นระบบ โดยเน้นการให้ความรู้ด้านการวางแผนการเงิน การสร้างความตระหนัก และการสนับสนุนจากทั้งองค์กรและภาครัฐ ผู้วิจัยได้นำเสนอโมเดล IFACE ซึ่งเป็นกรอบแนวคิดแบบบูรณาการ ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ การบูรณาการ การวางแผนทางการเงิน การสร้างความตระหนัก ความร่วมมือ และการศึกษา</p>
2024-11-19T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 Authors
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/281132
การประเมินศักยภาพการท่องเที่ยวตามรอยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมหาราช ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
2024-10-31T10:52:29+07:00
โฆษิตสุทธสร บงค์บุตร
65160244@up.ac.th
เสรี วงษ์มณฑา
seri.wo@up.ac.th
ชุษณะ เตชคณา
jusana.t@fba.kmutnb.ac.th
ณัฐรินทร์ ปริวงศ์กุลธร
nuttharin.pa@up.ac.th
<p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินศักยภาพการท่องเที่ยวตามรอยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมหาราชในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยใช้วิจัยเชิงคุณภาพ ซึ่งประกอบด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก และการประเมินศักยภาพการท่องเที่ยวตามรอยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมหาราชในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จากผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 20 ท่าน ผลการวิจัยพบว่าแหล่งท่องเที่ยวตามรอยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมหาราชในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีศักยภาพที่หลากหลายและมีความสำคัญต่อการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ จากการสัมภาษณ์และการประเมินจากผู้ทรงคุณวุฒิ พบว่าแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับการยอมรับว่ามีศักยภาพสูง ได้แก่ สถานที่ประวัติศาสตร์สำคัญและแหล่งวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับพระราชกรณียกิจของพระองค์ การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวดังกล่าวควรมุ่งเน้นไปที่การสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนท้องถิ่น รวมถึงการจัดทำแผนการตลาดและการประชาสัมพันธ์เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว</p>
2024-11-19T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 Authors
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/282798
การพัฒนาโมเดลการจัดการธุรกิจและผลิตภัณฑ์แก้วมังกรผ่านการสื่อสาร การตลาดดิจิทัล ของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย
2024-10-30T10:28:51+07:00
ปฤฐฏาง จันทร์บุญเรือง
pantawan.but@gmail.com
พรรณธวรรณ บุตรดีสุวรรณ
pantawan.but@gmail.com
กิติยา คีรีวงก์
Pantawan.but@gmail.com
วรกร พิมพาคุณ
Pantawan.but@gmail.com
<p>การวิจัยแบบผสมผสานนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโมเดลการจัดการธุรกิจและผลิตภัณฑ์แก้วมังกรผ่านการสื่อสาร การตลาดดิจิทัล ของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย กลุ่มตัวอย่างสำหรับวิจัยเชิงปริมาณ ได้แก่ ตัวแทนสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปลงใหญ่แก้วมังกร กลุ่มเครือข่ายวิสาหกิจชุมชน หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับวิสาหกิจชุมชนในตำบลร่องจิก ผู้บริโภค ชุมชน สื่อมวลชน ผู้นำชุมชน ร้านค้า ส่วนวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการผลิต การใช้ การจำหน่ายผลิตภัณฑ์และตัวแทนสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนดินปลูกแก้วมังกรนาวป้อม 479 ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนาโมเดลการจัดการธุรกิจและผลิตภัณฑ์แก้วมังกรผ่านการสื่อสารการตลาดดิจิทัล อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย โดยใช้ Business Model Canvas 9 ช่อง มาเป็นต้นแบบ เมื่อมีการทดลองใช้และยืนยันโมเดล โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และหลังการใช้และยืนยันโมเดล มีการปรับการใช้โมเดลต้นแบบจาก BMC 9 ช่อง ไปเป็น โมเดล POLC ตามความต้องการของกลุ่ม</p>
2024-11-19T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 Authors