https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/issue/feed
สหวิทยาการและความยั่งยืนปริทรรศน์ไทย
2024-09-05T14:45:16+07:00
รองศาสตราจารย์ ดร.ธนพร ศรียากูล
ALPS.Journals@gmail.com
Open Journal Systems
<p><em>วารสารสหวิทยาการวิจัย: ฉบับบัณฑิตศึกษา</em> (e-ISSN: 2730-3616) เป็นวารสารซึ่งจัดพิมพ์ในภาษาไทย โดยสมาคมรัฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมกับ หลักสูตรรัฐประศาสนศาสตร์ วิทยาลัยบัณฑิตศึกษาด้านการจัดการ มหาวิทยาลัยศรีปทุม เพื่อเป็นพื้นที่ในการเผยแพร่ผลงานวิชาการและผลงานวิจัย รวมถึงแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความคิดความเห็น ตลอดจนเป็นแหล่งค้นคว้าระดับบัณฑิตศึกษาในระดับนานาชาติ ที่น่าเชื่อถือและมีความเป็นปัจจุบัน ในเชิงสหวิทยาการ ทั้งสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ซึ่งมีรูปแบบการกลั่นกรองบทความโดยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 2 ท่าน ก่อนลงตีพิมพ์ แบบผู้ทรงคุณวุฒิไม่ทราบชื่อผู้แต่ง และผู้แต่งไม่ทราบชื่อผู้ทรงคุณวุฒิ มีกำหนดปีละ 2 ฉบับ ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม-มิถุนายน ฉบับที่ 2 เดือนกรกฎาคม-ธันวาคม</p>
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/276347
ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ของบุคลากรสังกัดสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กรุงเทพมหานคร
2024-05-10T21:10:25+07:00
สุทธินัย หยกอุบล
suthinai.y@ku.th
ศรีรัฐ โกวงศ์
srirathg3@yahoo.com
<p>การศึกษาวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ของบุคลากรสังกัดสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และเปรียบเทียบความรู้ความเข้าใจดังกล่าวจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ บุคลากรสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กรุงเทพมหานคร จำนวน 74 คน ผลการวิจัยพบว่า บุคลากรสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กรุงเทพมหานคร มีระดับความรู้ความเข้าใจที่มีต่อพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 อยู่ในระดับมาก ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่าปัจจัยส่วนบุคคลที่มี อายุ ระดับการศึกษา ตำแหน่งงาน และระยะการปฏิบัติงาน แตกต่างกัน มีความรู้ความเข้าใจต่อพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติดที่แตกต่างกัน จึงมีข้อเสนอแนะให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ควรมีการสร้างและจัดทำสื่อ การจัดอบรมเกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประมวลกฎหมายให้กับบุคคลากรในสำนักงานอย่างสม่ำเสมอ โดยสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สามารถนำผลการศึกษานี้ มาจัดทำเป็นสื่อทางวิชาการ ตามเรื่องที่บุคคลากรยังมีความรู้ความเข้าใจที่ไม่เพียงพอได้</p>
2024-05-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 Authors
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/276482
แนวทางการส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการชำระภาษี ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์
2024-05-03T10:18:09+07:00
ดวงกมล ดุจดารา
doungkamold@gmail.com
กัลยาภรณ์ ปานมะเริง
doungkamold@gmail.com
<p>สถานการณ์ในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงการทำการค้าซื้อขายบนโลกออนไลน์อยู่เป็นจำนวนมากและมีมูลค่าทางการตลาดสูงตามไปด้วย การเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วนี้ก่อเกิดปัญหาที่ผู้ประกอบการไม่ได้เข้ามาอยู่ในระบบการเสียภาษีของกรมสรรพากร และการจัดเก็บภาษีของภาครัฐไม่ได้ตามเป้าหมายทั้งยังพบปัญหาในชำระภาษีผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ว่ามีการยื่นแบบซับซ้อนก่อให้เกิดความล่าช้า ทั้งผู้ประกอบการขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับระบบยื่นแบบและขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องกฎหมายภาษี และแรงจูงใจในการชำระภาษีผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ อีกทั้งความไม่พร้อมของคุณภาพระบบการชำระภาษีผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ส่งผลต่อความตั้งใจชำระภาษีผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์และการยื่นชำระภาษีผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ดังนั้นเพื่อลดปัญหาและอุปสรรคดังกล่าว จึงได้ออกแนวทางการส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการชำระภาษีผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ให้ใช้เทคโนโลยีเพื่อเข้ามาสนับสนุนระบบการทำงานให้ดียิ่งขึ้นไม่เพียงแต่อำนวยความสะดวกกับบุคลากรในองค์กรเพียงอย่างเดียว แต่รวมไปถึงการช่วยเพิ่มความสะดวกให้กับประชาชนทุกคนและผู้ประกอบการทุกภาคส่วนเพื่อส่งเสริมให้ภาคธุรกิจทำธุรกรรมภาษีทางอิเล็กทรอนิกส์อย่างครบวงจรพร้อมทั้งสามารถเตรียมความพร้อมและรองรับระบบ e-Tax ของกรมสรรพากรได้เต็มรูปแบบนำไปสู่การตรวจสอบข้อมูลภาษีผ่านระบบออนไลน์ได้ด้วยตนเอง ยังทำให้ระบบการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากรเกิดประสิทธิภาพ มีความถูกต้องครบถ้วนอีกด้วย</p>
2024-06-01T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 Authors
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/277605
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับคุณลักษณะการเป็นผู้ประกอบการของนักศึกษา ปริญญาตรี สาขาบริหารธุรกิจ ในกรุงเทพมหานคร
2024-05-06T10:59:36+07:00
ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา
chanchai.bunchapatanasakda@stamford.edu
บุณย์ญาพร บุญเมฆ
Bunyaporn_BUN@gmail.com
หทัยรัตน์ เลิศจรรยากิจ
Hatairat_LERT@gmail.com
อังคณา ผิวละออ
Angkana_PHI@gmail.com
<p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับคุณลักษณะการเป็นผู้ประกอบการและเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยภูมิหลังกับคุณลักษณะการเป็นผู้ประกอบการของนักศึกษาปริญญาตรีสาขาบริหารธุรกิจในกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้คือ นักศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาบริหารธุรกิจในกรุงเทพมหานคร จำนวน 228 คน สุ่มตัวอย่างด้วยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน ใช้เครื่องมือวัดแบบมาตรประเมินรวมค่าตัวแปร จำนวน 7 ชุด แบบวัดทั้งหมดมีค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟ่าระหว่าง 0.74-0.82 ผลการวิจัย พบว่า 1) ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระกับคุณลักษณะการเป็นผู้ประกอบการอยู่ระหว่าง 0.317 ถึง 0.829 และ 2) ชุดทำนายคุณลักษณะการเป็นผู้ประกอบการสามารถทำนายกลุ่มรวมได้ร้อยละ 60.34 โดยพบตัวทำนายสำคัญตามลำดับ ได้แก่ ความต้องการประสบความสำเร็จ ความมั่นใจในตนเอง ความอดทนต่อความไม่ชัดเจน การกล้าเสี่ยง การควบคุมตน ในส่วนท้ายผู้วิจัยได้เสนอแนวทางการพัฒนาคุณลักษณะการเป็นผู้ประกอบการของนักศึกษาปริญญาตรีเพื่อประโยชน์ในการนำไปปรับใช้ต่อไป</p>
2024-06-01T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 Authors
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/277666
ปัจจัยที่ส่งผลต่อสมรรถภาพการวิจัยของอาจารย์ในสถาบันการศึกษา ของกองทัพ: การวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง
2024-05-28T10:30:46+07:00
ศมานันทน์ รัตนศิริวิไล
samanan24@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาความสัมพันธ์เชิงสาเหตุ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อสมรรถภาพการวิจัยของอาจารย์ในสถาบันการศึกษาของกองทัพ โดยประยุกต์ใช้การวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง ตัวอย่างของการวิจัย คือ อาจารย์ประจำในสถาบันการศึกษาของกองทัพ ได้แก่ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า โรงเรียนเสนาธิการทหารบก วิทยาลัยการทัพบก และวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ แบบวัดสมรรถภาพการวิจัย และปัจจัยที่มีผลต่อสมรรถภาพการวิจัย สถิติที่ใช้ คือ ความถี่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าเบ้ ค่าโด่ง และการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง ผลการวิจัยพบว่า สมรรถภาพการวิจัยของอาจารย์ในสถาบันการศึกษาของกองทัพได้รับอิทธิพลทางตรงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 จากความเป็นนักวิจัยมากที่สุด เมื่อพิจารณาอิทธิพลทางอ้อม พบว่าคุณลักษณะสถาบันที่เอื้อต่อการทำวิจัยมีอิทธิพลทางอ้อมต่อสมรรถภาพการวิจัยผ่านทางความเป็นนักวิจัยอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ส่วนคุณลักษณะสถาบันที่เอื้อต่อการทำวิจัยมีอิทธิพลทางตรงต่อความเป็นนักวิจัย อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p>
2024-06-01T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 Authors
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/277732
บทบาทของคณะกรรมการตรวจสอบกับผลการดำเนินงานของกิจการ
2024-05-12T06:30:52+07:00
นงลักษณ์ ผุดเผือก
tusikahome@gmaill.com
สุรีย์ โบษกรนัฏ
dr.sureebos@gmail.com
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอความรู้จากการทบทวนวรรณกรรมบทบาทของคณะกรรมการตรวจสอบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่ออธิบายถึงหน้าที่และความรับผิดชอบของคณะกรรมการตรวจสอบโดยเฉพาะในโลกธุรกิจปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว คณะกรรมการตรวจสอบมีบทบาทสำคัญต่อการผลการดำเนินงานขององค์กร การปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการตรวจสอบอย่างมีประสิทธิภาพส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานขององค์กรเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และช่วยสร้างความมั่นใจแก่ผู้ใช้ข้อมูลทางการเงิน เสริมสร้างระบบการควบคุมภายใน ส่งเสริมธรรมาภิบาลและความโปร่งใส ตรวจสอบการทำงานของผู้สอบบัญชี และรายงานต่อคณะกรรมการบริษัทและผู้มีส่วนได้เสีย ดังนั้นคุณลักษณะของคณะกรรมการตรวจสอบจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยกรรมการในการตัดสินใจในการจัดโครงสร้างคณะกรรมการตรวจสอบในลักษณะที่จะพัฒนาประสิทธิผลและส่งผลต่อผลการปฏิบัติงานโดยรวม</p>
2024-06-06T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 Authors
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/277789
แนวทางการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ: การกู้เงินออนไลน์นอกระบบ
2024-05-22T11:26:14+07:00
พันธุ์พิศณ์ วัชรินทร์พร
phunphit_w@hotmail.com
อุนิษา เลิศโตมรสกุล
unisa@yahoo.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษารูปแบบและพฤติกรรมของการกู้เงินออนไลน์นอกระบบที่ผิดกฎหมาย 2) ศึกษาถึงปัญหา และอุปสรรคในการดำเนินการป้องกันและปราบปรามการกู้เงินออนไลน์นอกระบบที่ผิดกฎหมาย และ 3) ศึกษาแนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอาชญากรรมไซเบอร์ ที่เกี่ยวข้องกับการกู้เงินออนไลน์นอกระบบที่ผิดกฎหมายให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพโดยการศึกษาเอกสารและการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 3 กลุ่ม ได้แก่ 1) เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้จับกุมผู้ปล่อยเงินกู้ออนไลน์นอกระบบหรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการป้องกันปราบปรามเงินกู้ออนไลน์นอกระบบ 2) ผู้ปล่อยเงินกู้ออนไลน์นออกระบบ ซึ่งถูกพิพากษาถึงทีสุดและพ้นโทษแล้ว และ 3) ผู้เสียหายจากการกู้เงินออนไลน์นอกระบบ ผลการวิจัยชี้ให้เห็นถึงรูปแบบและพฤติกรรมของการกู้เงินออนไลน์นอกระบบ 5 ประการ ดังนี้ 1) การปล่อยกู้ที่มีอัตราดอกเบี้ยที่สูงเกินไป 2) ข้อกำหนดและเงื่อนไขที่ไม่ชัดเจน 3) การเก็บข้อมูลส่วนบุคคลที่ไม่เหมาะสม 4) การล่อลวงและการปลอมแปลง และ 5) การไม่สนใจความสำคัญของการรับรู้ความเสี่ยง อีกทั้งชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการปรับปรุงกฎหมายและการกำกับดูแลเพื่อสร้างมาตรการที่เข้มข้นในการจัดการกับการกู้เงินออนไลน์นอกระบบ นอกจากนี้การใช้เทคโนโลยีในการตรวจจับและป้องกันอาชญากรรมทางเศรษฐกิจแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในการเพิ่มความปลอดภัยของผู้ใช้งาน การศึกษาและการเพิ่มความตระหนักเกี่ยวกับความเสี่ยงและวิธีการป้องกันตัวเองจากการถูกหลอกลวงหรือเป็นเหยื่อของการกู้ยืมที่เป็นอันตรายเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผู้บริโภคสามารถตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูล</p>
2024-06-06T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 Authors
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/276792
การพัฒนาผลิตภัณฑ์เนื้อว่านหางจระเข้ในน้ำเชื่อม
2024-05-09T16:39:55+07:00
อรรถ ขันสี
att_kmitl@hotmail.com
อัศพงษ์ อุประวรรณา
Att_kmitl@hotmail.com
สังวาลย์ ชมภูจา
Att_kmitl@hotmail.com
จรรยา โท๊ะนาบุตร
Att_kmitl@hotmail.com
<p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์เนื้อว่านหางจระเข้ในน้ำเชื่อม จากการสำรวจความต้องการของผู้บริโภค จำนวน 100 คน พบว่า แนวทางในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ผู้บริโภคต้องการ คือ ขนาดเนื้อว่านหางจระเข้ขนาด 1.5-2 เซนติเมตร บรรจุในภาชนะขนาด 5 ออนซ์ และใช้กลิ่นรสแอปเปิ้ลเขียว และพิจารณาใช้สีเขียวแอปเปิ้ลเพื่อใช้ศึกษาร่วมกับการแต่งสีและกลิ่น จากการพัฒนาผลิตภัณฑ์เนื้อว่านหางจระเข้ในน้ำเชื่อม และนำไปวิเคราะห์ทางกายภาพ พบว่า เนื้อว่านหางจระเข้ในน้ำเชื่อมแต่ละสูตรที่พัฒนาขึ้นไม่ส่งผลต่อค่าความสว่าง (L*) ของผลิตภัณฑ์ แต่เมื่อเพิ่มความเข้มข้นของน้ำตาลสูงขึ้นส่งผลให้ค่าความเป็นสีแดง (a*) ของเนื้อว่านหางจระเข้ในน้ำเชิ่อมเพิ่มสูงขึ้น และสูตรที่ได้รับการยอมรับสูงที่สุด คือ เนื้อว่านหางจระเข้ในน้ำเชื่อมที่มีสัดส่วนน้ำตาล : กรดซิตริก : น้ำเปล่า คือ 60 : 0.5 : 39.5 (ชอบปานกลางถึงชอบมาก) และเมื่อศึกษาการแต่งสีและกลิ่น พบว่า การแต่งสีและกลิ่นส่งผลให้เกิดความชอบของผลิตภัณฑ์สูงยิ่งขึ้น โดยสูตรที่ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคสูงที่สุด คือ สีเขียวแอปเปิ้ลเจือจาง 100 เท่า ร้อยละ 2 ร่วมกับกลิ่นแอปเปิ้ลเขียวร้อยละ 0.01 (ชอบปานกลางถึงชอบมาก) มีอายุการเก็บรักษา 60 วัน โดยมีคะแนนความชอบอยู่ในระดับชอบปานกลางถึงชอบมาก</p>
2024-06-20T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 Authors
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/278418
มาตรวัดการรับรู้แหล่งของสาเหตุการเป็นอาสาสมัครท้องถิ่นรักษ์โลก
2024-06-03T11:14:56+07:00
สืบวงศ์ กาฬวงศ์
suebwongkk@yahoo.com
สาธิตา กาฬวงศ์
suebwongkk@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้มุ่งตรวจสอบความตรงเชิงโครงสร้างของมาตรวัดการรับรู้แหล่งของสาเหตุการเป็นอาสาสมัครท้องถิ่นรักษ์โลกในประเทศไทย สะท้อนแรงจูงใจทั้งภายนอกและภายในของอาสาสมัครท้องถิ่นรักษ์โลก จากมุมมองของทฤษฎีกำหนดตนเอง จำแนกมิติของแรงจูงใจออกเป็น 5 ประเภท คือ ไม่มีแรงจูงใจ การกำกับจากภายนอก การกำกับจากพลังกดดัน การกำกับการตระหนักรู้ตัวตน และแรงจูงใจภายใน การสำรวจรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 214 ที่เป็นอาสาสมัครท้องถิ่นรักษ์โลกในจังหวัดนนทบุรี ประยุกต์มาตรวัดการรับรู้แหล่งของแรงจูงใจสาเหตุจากงานวิจัยต่างประเทศ ผลการวิจัยสรุปว่า มาตรวัดการรับรู้แหล่งของสาเหตุการเป็นอาสาสมัครท้องถิ่นรักษ์โลก มีความตรงเชิงโครงสร้าง โดยมีความเชื่อมั่นขององค์ประกอบ ความเที่ยงตรงเชิงลู่เข้า ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์ผ่านเล็กน้อย อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาจากค่าความเชื่อมั่นขององค์ประกอบ ค่าน้ำหนักองค์ประกอบ และความสอดคล้องเชิงทฤษฎีจึงสรุปว่า มาตรวัดมีความเที่ยงตรงเชิงลู่เข้าที่ยอมรับได้ แต่โมเดลไม่กลมกลืนกับข้อมูลที่ใช้วิเคราะห์ โดยตัวแปรการกำกับจากภายนอกและการกำกับจากพลังกดดัน สามารถอธิบายการรับรู้แหล่งของสาเหตุการเป็นอาสาสมัครท้องถิ่นรักษ์โลกได้มากกว่าแรงจูงใจภายใน</p>
2024-06-20T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 Authors
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/278742
เมื่อสองนายกรัฐมนตรีของสยามวิวาทกัน
2024-06-12T12:07:05+07:00
โกวิท วงศ์สุรวัฒน์
kovitw@gmail.com
<p>“ด้วยคำโบราณว่า ท่านเสนาบดีผู้ใหญ่วิวาทกันเป็นอุบาทว์มักเกิดเหตุใหญ่ต่างๆ” คำกล่าวนี้ทำให้เชื่อได้ว่าความขัดแย้งระหว่างบุคคลสำคัญทางการเมืองอาจเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่เนืองๆ ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของราชอาณาจักรสยาม ในความเป็นจริงแล้วหากศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นทวีปก็จะพบว่าในอดีตที่ผ่านมาไม่นานช่วงทศวรรษ 1970-1990 ก็มีเรื่องราววิวาทกันของ “เสนาบดีผู้ใหญ่” ที่นำมาซึ่งความหายนะใหญ่หลวง ตั้งแต่ความขัดแย้งระหว่างเขมรสี่ฝ่ายในยุคที่ถูกเวียดนามยึดครอง (ค.ศ.1978-92) จนถึงกรณีนายกรัฐมนตรีฮุนเซนก่อรัฐประหารต้านนายกรัฐมนตรีรณฤทธิ์ เมื่อ ค.ศ.1997 และถ้าย้อนอดีตกลับไปอีกจนถึงต้นศตวรรษที่ 19 ยุครัชกาลที่ 2 ก็มีเหตุวิวาทกันระหว่างเจ้าพระยามหาเสนา (สมุหพระกลาโหม) กับเจ้าพระยาอภัยภูธร (สมุหนายก) แม้ว่าความขัดแย้งดังกล่าวจะเกิดขึ้นจากเหตุเล็กน้อยคือขบวนของเสนาบดีผู้ใหญ่ทั้งสองแย่งกันออกประตูรัตนพิศาลลงเรือไปงานพระเมรุจนเกิดเหตุต่อยตีกันในหมู่ผู้ติดตามทั้งสองฝ่าย เหตุวิวาทดังกล่าวนั้นทำให้ทางราชสำนักต้องตั้งคณะตุลาการมาชำระความแต่ก็ดูเหมือนจะไกล่เกลี่ยกันจนเรื่องจบลงได้โดยไม่มีผลร้ายแรง แม้กระนั้นหลังจากนั้นไม่นานพระยาช้างเผือกคู่พระบารมีของรัชกาลที่ 2 ก็ล้มในเวลาไล่เลี่ยกันถึง 2 ช้าง และต่อมาในปีเดียวกันพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยก็เสด็จสวรรคต ส่วนเจ้าพระยามหาเสนาหนึ่งในคู่กรณีก็อสัญกรรมต่อมาอีกไม่นานในต้นรัชกาลที่ 3</p>
2024-06-20T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 Authors
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/278196
เรื่องเล่าจากผ้าสไบมอญ: การยกระดับการสื่อสารผลิตภัณฑ์ชุมชนมอญคลองสามวา สำหรับผู้ประกอบการสูงวัย
2024-05-30T12:05:38+07:00
นิษฐา หรุ่นเกษม
nitta@pnru.ac.th
สิริมณฑ์ พึ่งสังวาลย์
nitta@pnru.ac.th
นิศรารัตน์ วิไลลักษณ์
nitta@pnru.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับการสื่อสารผลิตภัณฑ์ชุมชนมอญคลองสามวาเชิงสร้างสรรค์สำหรับผู้ประกอบการสูงวัย เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร โดยใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม โดยมีผู้ให้ข้อมูล 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มที่ 1 คณะผู้วิจัยและนักศึกษาสาขาวิชานิเทศศาสตร์ 9 คน กลุ่มที่ 2 นักวิจัยชุมชน 8 คน คัดเลือกโดยวิธีการบอกต่อและสมัครใจเข้าร่วม และกลุ่มที่ 3 ผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ชุมชนเชิงสร้างสรรค์ คัดเลือกโดยวิธีการพูดคุยร่วมกันระหว่างนักวิจัยชุมชน ปราชญ์ชุมชนมอญวัดแป้นทองคลองสามวา สมาชิกชมรมไทยรามัญแป้นทอง และคณะผู้วิจัย การวิจัยครั้งนี้มี “ผลิตภัณฑ์สไบมอญคลองสามวา” เป็นต้นแบบสำหรับการยกระดับการสื่อสารผลิตภัณฑ์ชุมชนเชิงสร้างสรรค์สำหรับผู้ประกอบการสูงวัย ผลการวิจัยพบว่า ผลการวิจัยพบว่าการออกแบบเรื่องเล่าโดยเชื่อมโยงประวัติศาสตร์ท้องถิ่นและการเน้นลักษณะเฉพาะของผลิตภัณฑ์ด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายเป็นกลยุทธ์สำคัญในการสื่อสาร ซึ่งนำไปสู่การผลิตคลิปสั้นเผยแพร่บนช่องทางออนไลน์เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ประกอบด้วยเรื่องเล่าจำนวน 2 เรื่อง 4 คลิป เลือกเผยแพร่ผ่านช่องทางการสื่อสารออนไลน์ ได้แก่ ติ๊กต็อก เพจเฟซบุ๊กของชุมชนแป้นทองสัมพันธ์ และเพจเฟซบุ๊กเยาวชนมอญ ผลลัพธ์จากการสื่อสาร ได้แก่ การสร้างการรับรู้และความสนใจในผลิตภัณฑ์ผ้าสไบมอญ ช่วยกระตุ้นการบอกต่อผลิตภัณฑ์และข้อมูลของชุมชนซึ่งอาจส่งผลทางอ้อมต่อการท่องเที่ยวชุมชนในอนาคต</p>
2024-06-21T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 Authors
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/278912
ผลของคุณภาพการบริการในการให้บริการด้านกีฬาที่มีต่อความพึงพอใจของผู้ชมฟุตบอลไทยลีก
2024-06-20T12:27:21+07:00
พรชัย ศักดานุวัฒน์วงศ์
pornchai.sa@kmitl.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลของคุณภาพการบริการในการให้บริการด้านกีฬาที่มีต่อความพึงพอใจของผู้ชมฟุตบอลไทยลีก เก็บข้อมูลจากผู้ชมในสนามที่ใช้แข่งขันจำนวน 400 คน สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน ข้อมูลถูกนำมาวิเคราะห์ด้วยเชิงพรรณนา ได้แก่ สถิติค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอ้างอิงได้แก่ การถดถอยพหุคูณ ข้อค้นพบจากการวิจัยพบว่าความเป็นรูปธรรม การตอบสนองของบุคลากร ความปลอดภัย คุณภาพของเกมและความสามารถของทีมมีอิทธิพลทางบวกต่อความพึงพอใจของผู้ชมฟุตบอลไทยลีก</p>
2024-07-01T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 Authors
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/278553
รูปแบบการปรับตัวของสื่อมวลชนท้องถิ่นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในยุคสื่อสังคมออนไลน์
2024-06-12T11:40:59+07:00
พิสิษฐ์ ชาญเจริญ
pisit.thaisaeree@gmail.com
ภูริพัฒน์ แก้วตาธนวัฒนา
pisit.thaisaeree@gmail.com
จำเริญ คังคะศรี
pisit.thaisaeree@gmail.com
นิสากร ยินดีจันทร์
pisit.thaisaeree@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการใช้สื่อสังคมออนไลน์ของสื่อมวลชนท้องถิ่น 2) ศึกษาพฤติกรรมการใช้สื่อสังคมออนไลน์ของประชาชน และ 3) ศึกษารูปแบบการปรับตัวของสื่อมวลชนท้องถิ่นภาคตะวันออกเฉียงเหนือในยุคสื่อสังคมออนไลน์ ผลการวิจัยพบว่า 1) การใช้สื่อสังคมออนไลน์ของสื่อมวลชนท้องถิ่นมีการปรับตัวได้รวดเร็วโดยใช้แอปพลิเคชั่นในการนำเสนอภาพ ข้อความ และเสียง ศูนย์ข่าวเครือเนชั่นภาคอีสาน และสำนักประชาสัมพันธ์ เขต 1 ขอนแก่น นำเสนอข่าวผ่านสื่อสังคมออนไลน์อย่างเป็นระบบและพัฒนาศักยภาพบุคลากรอย่างสม่ำเสมอ 2) พฤติกรรมการใช้สื่อสังคมออนไลน์ของประชาชนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนใหญ่รับข้อมูลข่าวสารจากเฟซบุ๊ก ไลน์ ยูทูบ และเว็บไซต์ผ่านโทรศัพท์มือถือ ใช้เวลาประมาณ 11-30 นาทีต่อครั้ง และใช้สื่อออนไลน์ 2-3 ชั่วโมงต่อวัน มีการแชร์ข้อมูลข่าวสาร 2 ครั้งต่อวัน เน้นรับรู้ข่าวสารในท้องถิ่น โดยคาดหวังว่าสื่อมวลชนจะนำเสนอข่าวอย่างถูกต้องและเป็นจริง 3) การปรับตัวของสื่อมวลชนท้องถิ่นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นำสื่อออนไลน์มาใช้ในการนำเสนอข่าวที่ปรับตามพฤติกรรมการเปิดรับสื่อของประชาชน ทำให้สามารถดึงดูดความสนใจและนำเสนอข่าวได้รวดเร็วและถูกต้อง</p>
2024-07-01T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 Authors
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/278935
ประสิทธิผลของโปรแกรมเสริมสร้างสุขภาพจิตเชิงบวกของนักศึกษา ระดับปริญญาตรีที่มีความหลากหลายทางเพศในมหาวิทยาลัยภาครัฐ กรุงเทพมหานคร
2024-06-20T12:33:52+07:00
ชุณิภา เปิดโลกนิมิต
sudarattu@g.swu.ac.th
สุดารัตน์ ตันติวิวัทน์
Sudarat_TUN@gmail.com
ปริญญา สิริอัตตะกุล
siriattakul@hotmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างและประเมินประสิทธิผลของโปรแกรมเสริมสร้างสุขภาพจิตเชิงบวกของนักศึกษาระดับปริญญาตรีที่มีความหลากหลายทางเพศในมหาวิทยาลัยภาครัฐ กรุงเทพมหานคร โดยใช้การวิจัยกึ่งทดลอง กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรีที่มีความหลากหลายทางเพศ จำนวน 40 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 20 คน และกลุ่มควบคุม 20 คน ใช้แบบแผนการทดลองแบบแผนการทดลองแบบสองกลุ่มวัดก่อนและหลังการทดลอง มีการติดตามผลหลังการทดลอง 6 สัปดาห์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนาและสถิติทดสอบสมมติฐาน ได้แก่การทดสอบค่าทีและการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวแบบวัดซ้ำ ผลการวิจัยพบว่า หลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยคะแนนสุขภาพจิตเชิงบวกสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ทั้งในภาพรวมและรายองค์ประกอบทุกด้าน และเมื่อเปรียบเทียบคะแนนสุขภาพจิตเชิงบวกของกลุ่มทดลองในระยะก่อนการทดลอง หลังการทดลอง และระยะติดตามผล พบว่ามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 โดยคะแนนในระยะหลังการทดลองและระยะติดตามผลสูงกว่าระยะก่อนการทดลอง แสดงให้เห็นถึงประสิทธิผลของโปรแกรมในการเสริมสร้างสุขภาพจิตเชิงบวกของนักศึกษาระดับปริญญาตรีที่มีความหลากหลายทางเพศ</p>
2024-07-01T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 Authors
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/278799
กลยุทธ์การสื่อสารเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะเกษตรกรด้านปศุสัตว์
2024-06-17T19:16:02+07:00
วุฒิรักษ์ เดชะพงษ์พันธุ์
wuttirak.d@gmail.com
วิทยาธร ท่อแก้ว
maleerat.c@siu.ac.th
หฤทัย ปัญญาวุธตระกูล
maleerat.c@siu.ac.th
<p>กลยุทธ์การสื่อสารมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างสมรรถนะของเกษตรกรด้านปศุสัตว์ โดยที่สื่อสารที่มีคุณภาพและเหมาะสมจะช่วยเสริมสร้างความเข้าใจและความรู้ให้กับเกษตรกรในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงปศุสัตว์ ทำให้พวกเขามีความสามารถในการดำเนินกิจกรรมอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย หนึ่งในกลยุทธ์ที่สำคัญในการสื่อสารให้กับเกษตรกรด้านปศุสัตว์คือการใช้สื่อ สื่อสารออนไลน์ โดยการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น เว็บไซต์ สื่อสารสังคมออนไลน์ และแอปพลิเคชัน เพื่อให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ได้ง่ายๆ และรวดเร็ว บทความนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อกลยุทธ์ การสื่อสารเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะเกษตรกรด้านปศุสัตว์ และพบว่า 1) กลยุทธ์การสื่อสารเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะนั้น เกษตรกรต้องมีกลยุทธ์การใช้สื่อ กลยุทธ์การสร้างสาร และกลยุทธ์การนำเสนอสาร 2) ปัจจัยความสำเร็จในการสื่อสารเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะเกษตรกรด้านปศุสัตว์นั้น การสื่อสารเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะเกษตรกรด้านปศุสัตว์ควรให้ความสำคัญกับการให้ข้อมูลที่ถูกต้อง และพูดในลักษณะที่เข้าใจง่ายสำหรับเกษตรกร ควรมีการสื่อสารที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างเหมาะสม เพื่อให้เกษตรกรเข้าใจสาระสำคัญและมีความรู้ที่มีประสิทธิภาพด้วยการสื่อสารที่ดีและเหมาะสม จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้เกษตรกรมีความเข้าใจที่ถูกต้องในการดูแลรักษาสุขภาพของสัตว์ และสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ</p>
2024-07-23T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 Authors
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/278911
ปัจจัยเชิงนิเวศวิทยาทางการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพนักศึกษา ของสถาบันอุดมศึกษา
2024-07-01T09:38:14+07:00
ในตะวัน กำหอม
ntawan@hotmail.com
ศักดิ์ชัย นิรัญทวี
ntawan@hotmail.com
โกศล มีคุณ
ntawan@hotmail.com
อัจฉรา วัฒนาณรงค์
ntawan@hotmail.com
<p>การเริ่มเข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษาเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของชีวิต นักเรียนที่กำลังเข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษาจะสามารถปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงและก้าวผ่านรอยเชื่อมต่อระหว่างการศึกษาขั้นพื้นฐานกับระดับสถาบันอุดมศึกษาได้อย่างราบรื่นเพียงใด ขึ้นอยู่กับการปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักศึกษากับบริบทต่างที่อยู่รอบตัว ทั้งในครอบครัว มหาวิทยาลัย และสังคม ซึ่งล้วนมีอิทธิพลต่อการพัฒนาคุณภาพนักศึกษา ทั้งการเจริญเติบโตทางความคิด สติปัญญา และความสามารถ เกิดจากพัฒนาปัจจัยนิเวศวิทยาทางการศึกษา 3 กลุ่ม คือ ตัวนักศึกษา กิจการนักศึกษา และสถานศึกษา บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเข้าใจกับอาจารย์และบุคลาการในสถาบันอุดมศึกษา และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างนักศึกษากับบริบทต่างๆ รอบตัว ที่เรียกว่า “นิเวศวิทยาทางการศึกษา” โดยใช้ทฤษฎีของ บรอนเฟนเบรนเนอร์ เป็นกรอบคิดในการพัฒนาคุณภาพนักศึกษา ซึ่งเป็นการช่วยเหลือสนับสนุนให้นักศึกษาสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และเกิดความเจริญสูงสุด เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ถูกต้องตามทิศทางที่ดีงามตามผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี อย่างน้อย 4 ด้าน คือ ความรู้ ทักษะ จริยธรรม และลักษณะบุคคล ตามมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษา</p>
2024-07-23T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 Authors
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/279734
การบูรณาการหลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมการกล่อมเกลาทางการเมือง ในระบอบประชาธิปไตยของเยาวชนในจังหวัดสุราษฎร์ธานี
2024-07-13T12:45:27+07:00
ขนิษฐา หอมตะโก
kanittahomtako44@gmail.com
อธิษฐ์ สุวฑฺโฒ
nisura2@gmail.com
เอกกวิน ปิยวีโร
nisura28@gmail.com
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการกล่อมเกลาทางการเมืองของเยาวชนในจังหวัดสุราษฎร์ธานี และวิธีการบูรณาการหลักพุทธธรรมเพื่อแก้ไขปัญหา การวิจัยใช้ผสานวิธี คือ การวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลจากตำรา แนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัย ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 19 รูปหรือคน โดยวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกและสนทนากลุ่มเฉพาะ 11 รูปหรือคน เพื่อวิเคราะห์สังเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนาและการวิจัยเชิงปริมาณ เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่าง 396 คน ซึ่งเป็นเยาวชน อายุ 15-17 ปี ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อการส่งเสริมการกล่อมเกลาทางการเมือง โดยรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน ด้านสถาบันศาสนา อยู่ในระดับปานกลาง และวิธีการบูรณาการหลักพุทธธรรมเพื่อแก้ปัญหาพฤติกรรมทางการเมืองของเยาวชนโดยใช้หลักดรุณธรรมมาบูรณาการร่วมกับหลักไตรสิกขาในการปรับความประพฤติที่เหมาะสมในการเป็นพลเมืองที่ดีที่มีคุณภาพในเชิงสร้างสรรค์</p>
2024-08-17T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 Authors
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/279490
การสร้างเส้นทางท่องเที่ยวโดยชุมชนพรุควนเคร็ง และเส้นทางท่องเที่ยว เชื่อมโยงกับเครือข่ายการท่องเที่ยวเพื่อการเรียนรู้ จังหวัดนครศรีธรรมราช
2024-07-05T13:34:20+07:00
พัชรี สุเมโธกุล
phacharee_sum@nstru.ac.th
<p>การวิจัยเรื่องนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างเส้นทางท่องเที่ยวโดยชุมชนพรุควนเคร็ง และเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงกับเครือข่ายการท่องเที่ยวเพื่อการเรียนรู้จังหวัดนครศรีธรรมราช ผู้วิจัยใช้การเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพจะใช้วิธีการเก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกจากกลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลักด้วยวิธีการเลือกตัวอย่างแบบเจาะจงจากผู้ให้ข้อมูลหลัก จำนวน 12 คน ผลการศึกษาพบว่า ด้านเส้นทางท่องเที่ยว สามารถสร้างได้ จำนวน 2 เส้นทาง ได้แก่ 1) เส้นทางท่องเที่ยวภายในชุมชน (ทางน้ำ) และเชื่อมโยงกับศูนย์ศิลปาชีพบ้านป่าหัวเขียว อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ชื่อกิจกรรมท่องเที่ยวเพื่อการเรียนรู้ “เชฟจากป่าพรุ” 2) เส้นทางท่องเที่ยวภายในชุมชน (ทางบก) และเชื่อมโยงกับกลุ่มทอผ้าตรอกแค อันเนื่องมาจากพระราชดำริ และ ศูนย์การเรียนรู้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงอันเนื่องมาจากพระราชดำริบ้านวังอ่าง จังหวัดนครศรีธรรมราช ชื่อกิจกรรมท่องเที่ยวเพื่อการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์ “กว่าจะมาเป็นกระจูด” และ ด้านเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงกับเครือข่ายการท่องเที่ยวเพื่อการเรียนรู้จังหวัดนครศรีธรรมราช มีการเชื่อมโยง 3 เส้นทาง ได้แก่ 1) เส้นทางท่องเที่ยวมีความเชื่อมโยงกันภายในชุมชนเอง 2) เส้นทางท่องเที่ยวมีความเชื่อมโยงกันระหว่างชุมชน 3) เส้นทางท่องเที่ยวมีความเชื่อมโยงกันระหว่าง</p>
2024-08-17T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 Authors
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/279845
สมรรถนะผู้ผลิตสื่อในยุคดิจิทัลในบริบทสังคมไทย
2024-07-24T00:34:40+07:00
อดิพล เอื้อจรัสพันธุ์
adipon.citu@gmail.com
กฤชณัท แสนทวี
arjarn.news@hotmail.com
<p>งานวิจัยชิ้นนี้มุ่งศึกษาสมรรถนะผู้ผลิตสื่อในยุคดิจิทัลในบริบทสังคมไทย โดยมีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อศึกษาสมรรถนะผู้ผลิตสื่อในยุคดิจิทัลในบริบทสังคมไทย และเพื่อศึกษาแนวทางในการพัฒนาสมรรถนะผู้ผลิตสื่อในยุคดิจิทัลในบริบทสังคมไทย งานชิ้นนี้เป็นวิจัยเชิงคุณภาพ ซึ่งผู้วิจัยดำเนินการเก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก (In depth-interview) จากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 2 กลุ่ม ได้แก่ นักวิชาการด้านสื่อและการสื่อสาร และกลุ่มผู้ผลิตสื่อหรือสร้างสรรค์เนื้อหาสื่อดิจิทัลที่ประสบความสำเร็จ ผู้วิจัยใช้การวิเคราะห์ข้อมูลโดยการจำแนกชนิดข้อมูล (Typological Analysis) ในระดับจุลภาค ซึ่งกำหนดกรอบในการวิเคราะห์ข้อมูลตามองค์ประกอบกระบวนการสื่อสาร ได้แก่ ด้านผู้ส่งสาร ด้านเนื้อหาสาร ด้านสื่อและช่องทางการสื่อสาร ด้านผู้รับสาร ด้านผลตอบกลับและผลกระทบการสื่อสาร และแนวทางการพัฒนาสมรรถนะผู้ผลิตสื่อในยุคดิจิทัลในบริบทสังคมไทยและนำมาสังเคราะห์ตามกรอบแนวคิดของ Zeng (2020) ผลการวิจัย พบว่าสมรรถนะผู้ผลิตสื่อในยุคดิจิทัล ได้สมรรถนะ 8 ด้าน รวมทั้งสิ้น 74 คุณลักษณะ ได้แก่ ด้านสิทธิและหน้าที่ ด้านศักยภาพการพัฒนา ด้านความเข้าใจโลกและเป็นสากล ด้านทักษะและกระบวนการคิด ด้านคุณธรรมจริยธรรมและจรรยาบรรณ ด้านความสามารถเชิงธุรกิจ ด้านความสร้างสรรค์ และด้านความถูกต้องของข้อมูล</p>
2024-08-17T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 Authors
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/279876
องค์ประกอบคณะกรรมการบริษัทที่ส่งผลต่อการเปิดเผยรายงานความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
2024-07-20T13:22:39+07:00
นิภาพร พิระภาค
ninipaphorn.1819@gmail.com
ฐิตาภรณ์ สินจรูญศักดิ์
titaporn.si@spu.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ประกอบคณะกรรมการบริษัทที่ส่งผลต่อการเปิดเผยรายงานความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี (แบบ 56-1) และรายงานประจำปีของบริษัทจดทะเบียนฯ จำนวน 272 บริษัท ระหว่างปี พ.ศ.2561-2565 โดยการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุ ผลการวิจัยพบว่า องค์ประกอบคณะกรรมการบริษัทที่ส่งผลต่อการเปิดเผยรายงานความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีดังนี้ (1) องค์ประกอบคณะกรรมการบริษัท ความเป็นอิสระของคณะกรรมการ (INDD) มีผลกระทบทางตรงเชิงบวกต่อด้านสิ่งแวดล้อม (2) องค์ประกอบคณะกรรมการบริษัท ความเป็นอิสระของคณะกรรมการ (INDD) มีผลกระทบทางตรงเชิงบวกต่อด้านสังคม (3) องค์ประกอบคณะกรรมการบริษัท จำนวนของคณะกรรมการ (BSIZE) และจำนวนคณะกรรมการตรวจสอบ (ACE) มีผลกระทบทางตรงเชิงบวกต่อด้านธรรมาภิบาล และ (4) องค์ประกอบคณะกรรมการบริษัท จำนวนของคณะกรรมการ (BSIZE) มีผลกระทบทางตรงเชิงบวกต่อด้านเศรษฐกิจ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
2024-08-17T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 Authors
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/280013
การบูรณาการหลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมกระบวนเข้าสู่ความเป็นนักการเมืองสตรีในระบอบประชาธิปไตยในจังหวัดสุราษฎร์ธานี
2024-08-01T13:17:47+07:00
วิลาสินี ทรรพคช
wilasinee48933@gmail.com
อธิษฐ์ สุวฑฺโฒ
wilasinee48933@gmail.com
เอกกวิน ปิยวีโร
wilasinee48933@gmail.com
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพทั่วไป ปัญหาและอุปสรรค เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการส่งเสริมกระบวนเข้าสู่ความเป็นนักการเมืองสตรี และเพื่อนำเสนอการบูรณาการหลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมกระบวนการเข้าสู่ความเป็นนักการเมืองสตรีในระบอบประชาธิปไตยในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ผลการวิจัยพบว่า สังคมไทยดั้งเดิมมองภาพสตรีเป็นช้างเท้าหลังมีหน้าที่ทำงานบ้านและดูแลบุตร สตรีคงมีลักษณะความละเอียดอ่อน อ่อนไหว ไม่กล้าตัดสินใจ ขาดอิทธิพลบารมี สตรีต้องรักษาภาพพจน์ในศีลธรรมและต้องคำนึงถึงสถานการณ์ที่มีความสุ่มเสี่ยง ปัจจัยที่มีผลต่อการส่งเสริมกระบวนการเข้าสู่ความเป็นนักการเมืองสตรีโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ด้านการเมืองอยู่ในระดับมาก การวิจัยนำเสนอหลักสัปปุริสธรรม 7 มาบูรณาการเพื่อส่งเสริมสตรีให้เข้าสู่ความเป็นนักการเมืองตามแนวทางระบอบประชาธิปไตย</p>
2024-09-01T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 Authors
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/279404
แนวทางการบริหารตามหลักธรรมาภิบาลที่เหมาะสม ในการดำเนินงานยุทธศาสตร์เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ในองค์การบริหารส่วนตำบล จังหวัดสระแก้ว
2024-07-04T09:03:33+07:00
ชัยวุฒิ เทโพธิ์
chaiwut@vru.ac.th
ภิศักดิ์ กัลยาณมิตร
pisak@vru.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ประกอบหลักของการบริหารธรรมาภิบาลมาใช้ดำเนินงานยุทธศาสตร์ขององค์การบริหารส่วนตำบล จังหวัดสระแก้ว ศึกษาองค์ประกอบหลักของคุณภาพชีวิตของประชาชนที่เกิดจากการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ขององค์การบริหารส่วนตำบล จังหวัดสระแก้ว และเพื่อศึกษาอิทธิพลของการบริหาร ธรรมาภิบาลที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนที่เกิดจากการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ขององค์การบริหารส่วนตำบล จังหวัดสระแก้ว ผลการศึกษาพบว่า 1) องค์ประกอบหลักของการบริหารธรรมาภิบาล มีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.01 พิจารณาจากค่าดัชนีความสอดคล้องกลมกลืน ประกอบด้วย X<sup>2</sup>/df = 1.193, p-value = 0.2411, TLI = 0.994, RMSEA = 0.054, SRMR = 0.012, CFI = 0.998 2) องค์ประกอบเชิงยืนยัน คุณภาพชีวิตของประชาชนที่เกิดจากการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ขององค์การบริหารส่วนตำบล จังหวัดสระแก้ว พบว่า มีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.01 พิจารณาจากค่าดัชนีความสอดคล้องกลมกลืน ประกอบด้วย X<sup>2</sup>/df = 1.211, p-value = 0.1142, TLI = 0.933, RMSEA = 0.051, SRMR = 0.031, CFI = 0.994 3) อิทธิพลของการบริหารธรรมาภิบาลส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนที่เกิดจากการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ขององค์การบริหารส่วนตำบล จังหวัดสระแก้ว ในทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p>
2024-09-01T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 Authors
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/280429
อะไรคือสิ่งที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งอยากรู้เกี่ยวกับตัวผู้ที่จะเข้ามาบริหารเมืองหลวงและมีผลในการตัดสินใจของพวกเขา: บทเรียนจากประเทศไทย
2024-08-07T06:41:19+07:00
นวพร วงษ์สุวรรณ
gena.xinyan@gmail.com
กิตติศักดิ์ เจิมสิทธิประเสริฐ
K.Jermsittiparsert@gmail.com
วิทยาธร ท่อแก้ว
wittayatorn@gmail.com
กานต์ บุญศิริ
karnboonsiri@gmail.com
<p>อะไรคือสิ่งที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งอยากรู้เกี่ยวกับตัวผู้สมัครรับเลือกตั้ง รวมถึงใช้ในการตัดสินใจลงคะแนนเสียง ยังคงเป็นคำถามสำคัญในทางการสื่อสารการเมืองปัจจุบัน บทความวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อหาคำตอบของคำถามดังกล่าว โดยนำการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เมืองหลวงของประเทศไทย เมื่อปี 2565 มาเป็นกรณีศึกษา ผลการวิจัยพบว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้ความสำคัญกับข้อมูลด้านปัจจัยทางการเมือง ได้แก่ นโยบายด้านต่างๆ อุดมการณ์ทางการเมือง จุดยืนต่อรัฐบาล และประสบการณ์ทางการเมือง ขณะที่ข้อมูลด้านภูมิหลังที่ได้รับความสนใจในระดับใกล้เคียงกัน ได้แก่ ประสบการณ์การทำงาน ความซื่อสัตย์สุจริต และความสำเร็จในชีวิต ส่วนเรื่องเงินหรือสิ่งตอบแทนที่จะให้ หรือชาติตระกูล ชีวิตสมรส-ครอบครัว รูปร่างหน้าตา เพศสภาพ และศาสนา เป็นข้อมูลที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งแทบจะมิได้ให้ความใส่ใจ 3 ปัยจัยแรกที่พวกเขาใช้ในการตัดสินใจลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง คือนโยบายในการทำงาน คุณสมบัติส่วนบุคคลของตัวผู้สมัคร และอุดมการณ์ทางการเมือง ส่วนความสัมพันธ์ส่วนตัว และเงินหรือผลตอบแทนที่ได้รับ เป็น 2 ปัจจัยสุดท้ายที่มีน้ำหนักน้อยมาก นอกจากนั้น เพศสภาพ ช่วงวัย ศาสนา รายได้ ความมั่งคั่งของครัวเรือน และอุดมการณ์ทางการเมือง ยังเป็นลักษณะทางประชากรศาสตร์ที่เป็นเงื่อนไขสำคัญซึ่งแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มบางประการของการใช้ปัจจัยต่างๆ ในการตัดสินใจลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง อีกด้วย</p>
2024-09-01T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 Authors
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/280460
ความสัมพันธ์ระหว่างแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์กับพฤติกรรมการเรียนในเยาวชน: การวิเคราะห์อภิมาน
2024-08-27T12:39:09+07:00
วรนุช สิปิยารักษ์
woranuch.sipi@stu.nida.ac.th
ดุจเดือน พันธุมนาวิน
nidaphd2021@gmail.com
ดวงเดือน พันธุมนาวิน
duangduen.bha@nida.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์กับพฤติกรรมการเรียนในเยาวชน โดยใช้วิธีการวิเคราะห์อภิมานเพื่อดูค่าขนาดอิทธิพลระหว่างตัวแปร ประชากรที่ใช้ในงานวิจัย ประกอบด้วย เอกสารงานวิจัย งานวิทยานิพนธ์ บทความวิจัย ซึ่งตัวแปรอิสระ ได้แก่ แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ ตัวแปรตาม ได้แก่ พฤติกรรมการเรียนในเยาวชน กลุ่มตัวอย่างมีจำนวนทั้งสิ้น 15 ค่า ผลการศึกษาพบว่า แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับพฤติกรรมการเรียน โดยมีค่าขนาดอิทธิพลระหว่างแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์กับพฤติกรรมการเรียน มากกว่า .50 ในกลุ่มรวม (d = .947) และ ค่าขนาดอิทธิพลระหว่างแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์กับพฤติกรรมการเรียน มากกว่า .50 โดยผลนี้ปรากฏในทุกกลุ่มย่อยที่เป็นตัวแปรปรับของงานวิจัย ได้แก่ เพศ ระดับการศึกษา การศึกษาบิดา และการศึกษามารดา ผลวิจัยดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของตัวแปรแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ที่ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญของพฤติกรรมการเรียน นอกจากนี้ผลวิจัยบ่งชี้ถึงการศึกษาของบิดาและมารดาที่มีการศึกษาสูงส่งผลต่อพฤติกรรมการเรียนของบุตรที่ดีด้วย</p>
2024-10-03T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 Authors
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/280990
รูปแบบการบริหารจัดการศูนย์บริหารเครือข่ายการผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษา
2024-08-27T12:28:13+07:00
ปิยะ กรกชจิตนาการ
watcharaphon.lak@gmail.com
ไพโรจน์ สถิรยากร
watcharaphon.lak@gmail.com
วัชรพล ลักษณลม้าย
watcharaphon.lak@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบรูปแบบการบริหารจัดการศูนย์บริหารเครือข่ายการผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษา และ 2) เพื่อประเมินความเหมาะสมของรูปแบบการบริหารจัดการศูนย์บริหารเครือข่ายการผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษา ผลการวิจัยพบว่า องค์ประกอบของรูปแบบการบริหารจัดการศูนย์บริหารเครือข่ายฯ ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบหลัก 11 องค์ประกอบย่อย ดังนี้ 1) การบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วม ได้แก่ 1.1) การบริหารจัดการบุคลากร 1.2) การบริหารจัดการงบประมาณ 1.3) การบริหารจัดการงบประมาณ และ 1.4) พัฒนาระบบควบคุมการบริหารจัดการ 2) การวางแผน ควบคุม และติดตาม ได้แก่ 2.1) กำหนดแนวทางปฏิบัติโครงการแผนงาน 2.2) กำหนดแนวทางการจัดการศูนย์บริหารเครือข่ายฯ และ 2.3) พัฒนาระบบควบคุมและติดตามการปฏิบัติงาน 3) การส่งเสริมและพัฒนา ได้แก่ 3.1) การพัฒนาหลักสูตรและระบบสารสนเทศ สำหรับการบริหารงาน และ 3.2) การพัฒนาหลักสูตรและระบบสารสนเทศ สำหรับการบริหารงาน และ 4) การจัดการข้อมูลและการประเมินผล ได้แก่ 4.1) พัฒนาฐานข้อมูลของสถานประกอบการ และ 4.2) กำหนดแนวทางประเมินสมรรถนะอาชีพในการทำงาน รูปแบบการบริหารจัดการศูนย์บริหารเครือข่ายฯ มีความเหมาะสมในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p>
2024-10-03T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 Authors
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/280888
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของผู้ประกอบการธุรกิจนำเข้า และส่งออกสินค้าระหว่างประเทศ ในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล
2024-08-22T11:41:08+07:00
วิมลณัฐ เกิดเจริญ
qanutty@gmail.com
เบ็ญจวรรณ ลี้เจริญ
qanutty@gmail.com
เตือนใจ แสงทอง
qanutty@gmail.com
<p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของผู้ประกอบการธุรกิจนำเข้าและส่งออกสินค้าระหว่างประเทศในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยเหล่านั้นได้แก่ 1) คุณลักษณะผู้ประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย การยอมรับความเสี่ยง, ความเป็นอิสระในการบริหารงาน และการทำงานเชิงรุก 2) วัฒนธรรมองค์การ ซึ่งประกอบด้วย วัฒนธรรมแบบปรับตัว, วัฒนธรรมแบบเครือญาติ และวัฒนธรรมแบบมุ่งผลสำเร็จ 3) นวัตกรรมองค์การ ซึ่งประกอบด้วย นวัตกรรมผลิตภัณฑ์, นวัตกรรมกระบวนการ และนวัตกรรมบริการ 4) การยอมรับเทคโนโลยี ซึ่งประกอบด้วย ความคาดหวังในประสิทธิภาพ, ความคาดหวังในความสะดวก, อิทธิพลทางสังคม, สภาพสิ่งอำนวยความสะดวก, ความตั้งใจในการใช้งาน และพฤติกรรมการใช้ และ5) สมรรถนะเชิงนวัตกรรม ซึ่งประกอบด้วย ความรู้, ทักษะ, ทัศนคติ และแรงจูงใจ ทั้งนี้ องค์ประกอบของความสำเร็จของผู้ประกอบการ นั้นประกอบด้วยผลการดำเนินงานด้านการเงิน และผลการดำเนินงานที่ไม่ใช่ด้านการเงิน</p>
2024-10-04T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 Authors
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/280885
ปัจจัยที่ส่งผลต่อระดับความพึงพอใจและระดับความตั้งใจในการเดินทางกลับมาเที่ยวประเทศญี่ปุ่นอีกครั้งของนักท่องเที่ยวชาวไทย ในเขตกรุงเทพมหานคร
2024-08-22T11:48:27+07:00
วีระ วีระโสภณ
weera.we@ssru.ac.th
<p>การศึกษานี้ใช้วิธีวิจัยแบบผสมผสาน เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจและความตั้งใจในการเดินทางกลับมาเที่ยวประเทศญี่ปุ่นอีกครั้งของนักท่องเที่ยวชาวไทยในเขตกรุงเทพมหานคร รวมถึงวิเคราะห์ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อระดับความพึงพอใจและความตั้งใจดังกล่าว ผลการวิจัยพบว่า นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นเพศชาย อายุระหว่าง 31-40 ปี สถานภาพโสด และมีรายได้ต่อเดือนระหว่าง 30,001-40,000 บาท นักท่องเที่ยวชาวไทยในเขตกรุงเทพมหานครมีความพึงพอใจในประสบการณ์การท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่นในระดับสูง ซึ่งส่งผลให้มีความตั้งใจที่จะกลับมาเที่ยวอีกครั้งในอนาคต ปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ เช่น อายุ รายได้ และประสบการณ์การเดินทางก่อนหน้านี้ ส่งผลต่อระดับความพึงพอใจและความตั้งใจที่แตกต่างกัน โดยนักท่องเที่ยวที่มีรายได้สูงและอายุน้อยมีแนวโน้มที่จะพึงพอใจและมีความตั้งใจสูงในการกลับมาเที่ยวญี่ปุ่นอีกครั้ง นอกจากนี้ ปัจจัยด้านพฤติกรรมการท่องเที่ยว ภาพลักษณ์ของแหล่งท่องเที่ยว คุณภาพการบริการ และการส่งเสริมการตลาดการท่องเที่ยว ล้วนมีอิทธิพลเชิงบวกต่อระดับความพึงพอใจและความตั้งใจในการกลับมาเที่ยวญี่ปุ่น โดยนักท่องเที่ยวชื่นชมในวัฒนธรรม ความสะอาด ความปลอดภัย และคุณภาพการบริการของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้พวกเขาต้องการกลับมาเยือนประเทศนี้อีกครั้ง</p>
2024-10-04T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 Authors
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/280728
การยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชนที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชน ของผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชน อำเภอธารโต จังหวัดยะลา
2024-09-05T14:45:16+07:00
กัลยรัตน์ พินิจจันทร์
piyada.m@yru.ac.th
ปิยะดา มณีนิล
piyada.m@yru.ac.th
สัสดี กำแพงดี
piyada.m@yru.ac.th
ย่ารอนะ ศรีอาหมัด
piyada.m@yru.ac.th
<p>งานวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาผลิตภัณฑ์ 2) วิเคราะห์ต้นทุนการผลิตและการกำหนดราคาผลิตภัณฑ์ชุมชน และ 3) พัฒนาบรรจุภัณฑ์และช่องทางการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชนของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่อำเภอธารโต จังหวัดยะลา ให้สามารถแข่งขันและดำเนินธุรกิจได้ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้การปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม รวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์และการสนทนากลุ่ม ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ ประธาน สมาชิกกลุ่ม นักพัฒนาชุมชน กลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดและพัฒนาผลิตภัณฑ์ และกลุ่มลูกค้าที่เคยซื้อผลิตภัณฑ์ รวมจำนวน 26 คน ผลการวิจัยพบว่า ผลิตภัณฑ์กลุ่มขาดความเป็นอัตลักษณ์ ไม่หลากหลาย บรรจุภัณฑ์ยังขาดความสวยงาม ขาดการแสดงรายละเอียดของสินค้า ไม่ได้กำหนดราคาที่มาจากการคำนวณต้นทุนและกำไร ช่องทางการจัดจำหน่ายไม่สามารถเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย และกลุ่มขาดการส่งเสริมการตลาด ผลการพัฒนาศักยภาพปรากฏดังนี้ กลุ่มได้รับการพัฒนาก่อให้เกิดผลิตภัณฑ์ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่ม มีบรรจุภัณฑ์ที่มีความทนทาน สามารถเก็บรักษาสินค้าได้ดีขึ้น ฉลากมีความโดดเด่นและให้รายละเอียดของสินค้า เพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายในรูปแบบออนไลน์ และส่งเสริมการตลาดที่เน้นการสื่อสารผ่านช่องทางการจัดจำหน่าย ผลการดำเนินงานพบว่า ผลิตภัณฑ์เป็นที่รู้จักส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้น ก่อให้เกิดรายได้ทั้งต่อตนเองและกับกลุ่ม</p>
2024-10-04T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 Authors
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/280851
ปัจจัยเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อความสำเร็จของอุตสาหกรรมค้าปลีกอัญมณีแท้ในประเทศไทย
2024-08-27T12:33:05+07:00
ปภาวดี อัศววงษ์วิวัฒน์
papawadeee23@gmail.com
บวรลักษณ์ เสนาะคำ
papawadeee23@gmail.com
จุฬาภรณ์ ขอบใจกลาง
papawadeee23@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี โดยใช้งานวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อความสำเร็จของอุตสาหกรรมค้าปลีกอัญมณีแท้ ในประเทศไทย กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ประกอบการค้าปลีกอัญมณีแท้ในประเทศไทย จำนวน 340 คน ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าปลีกอัญมณีแท้ในประเทศไทย จำนวน 15 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือ แบบสอบถามและวิเคราะห์แบบจำลองสมการโครงสร้าง โดยใช้โปรแกรมทางสถิติและข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการศึกษาพบว่า 1) การพัฒนาโมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความสำเร็จของอุตสาหกรรมค้าปลีกอัญมณีแท้ ในประเทศไทย พบว่าตัวชี้วัดทุกตัวผ่านเกณฑ์ชี้วัตทุกตัวแสดงว่าโมเดลสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์โมเดลจะมีปัจจัยเชิงสาเหตุที่ 1 คือ การบริหารทรัพยากร ปัจจัยเชิงสาเหตุที่ 2 คือการจัดการองค์กร และปัจจัยเชิงสาเหตุที่ 3 คือ กลยุทธ์ส่วนประสมทางการตลาด (7Ps) ความสำเร็จของอุตสาหกรรมค้าปลีกอัญมณีแท้ในประเทศไทย ได้รับอิทธิพลโดยตรงจากการบริหารทรัพยากรของผู้ประกอบการสูงที่สุด 2) ผลการศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อความสำเร็จของอุตสาหกรรมค้าปลีกอัญมณีแท้ ในประเทศไทยพบว่า การบริหารทรัพยกร การจัดการองค์กร และส่วนประสมทางการตลาด ทั้งสามตัวแปรมีอิทธิพลต่อความสำเร็จของอุตสาหกรรมค้าปลีกอัญมณีแท้ ในประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
2024-10-04T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 Authors
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/280342
ผลลัพธ์จากการสร้างเครือข่ายทางสังคมความมั่นคงทางอาหารชุมชน ในกลุ่มประมงพื้นบ้านจังหวัดเพชรบุรี
2024-09-03T12:25:40+07:00
ศุภณัฎฐ์ ทรัพย์นาวิน
singchai99@gmail.com
อนุรักษ์ สิงห์ชัย
aanurak519@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) กระบวนการสร้างเครือข่ายทางสังคมในกลุ่มประมงพื้นบ้านจังหวัดเพชรบุรีและ 2) ผลลัพธ์จากการสร้างเครือข่ายทางสังคมความมั่นคงทางอาหารชุมชนในกลุ่มประมงพื้นบ้านจังหวัดเพชรบุรี ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพแบบกรณีศึกษาโดยเก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกจากกลุ่มประมงพื้นบ้านชุมชนแหลมผักเบี้ยและกลุ่มประมงพื้นบ้านชุมชนบ้านคลองเทียนจังหวัดเพชรบุรีจำนวนรวม 36 รายและวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการศึกษาพบว่ากระบวนการสร้างเครือข่ายทางสังคมในกลุ่มประมงพื้นบ้านจังหวัดเพชรบุรีแบ่งออกได้ 3 ช่วง 1) การสร้างความสัมพันธ์ได้แก่การกำหนดกฎกติกาสำหรับสมาชิกกลุ่มประมงพื้นบ้านเพื่อให้เกิดแนวทางการปฏิบัติร่วมกัน, การทำประมงพื้นบ้านอย่างรับผิดชอบ และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ 2) การสร้างความร่วมมือได้แก่การสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ เช่นสำนักงานวิจัยแห่งชาติ, กรมประมง, สำนักงานประมงจังหวัดเพชรบุรี, ธนาคารออมสิน 3) การกำหนดภารกิจเครือข่ายมีการกำหนดภารกิจและเป้าหมายกลุ่ม ผลลัพธ์จากการสร้างเครือข่ายทางสังคมความมั่นคงทางอาหารชุมชนในกลุ่มประมงพื้นบ้านจังหวัดเพชรบุรีพบว่าความมั่นคงทางอาหารชุมชนในกลุ่มประมงพื้นบ้านมีมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นทั้งเชิงปริมาณสัตว์น้ำที่จับได้, รายได้, ระยะเวลาในการทำประมงพื้นบ้าน และคุณภาพชีวิตที่ดีขี้น</p>
2024-10-04T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 Authors
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/280761
การพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษาบนพื้นที่สูงที่สอดคล้อง กับภูมิวัฒนธรรมในโรงเรียนพื้นที่สูง จังหวัดเชียงใหม่
2024-08-27T12:34:33+07:00
เทอดพิทักษ์ จันทร์โลหิต
witedargon109@gmail.com
คมกริช หมายสุข
komkrit.m@rmutsb.ac.th
กฤต พันธุ์ปัญญา
krit_pha@g.cmru.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาการจัดการศึกษาในโรงเรียนพื้นที่สูงที่สอดคล้องกับภูมิวัฒนธรรมในโรงเรียนพื้นที่สูง จังหวัดเชียงใหม่ วิเคราะห์วิธีการพัฒนาที่สอดคล้องกับภูมิวัฒนธรรมของชุมชนในโรงเรียนพื้นที่สูงจังหวัดเชียงใหม่ และเสนอแนวทางการพัฒนาการจัดการศึกษาที่เหมาะสมกับพื้นที่สูงและวัฒนธรรมท้องถิ่นในโรงเรียนพื้นที่สูง จังหวัดเชียงใหม่ ผลการวิจัยพบว่าการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพช่วยเพิ่มคุณภาพการเรียนรู้ การสนับสนุนทางเศรษฐกิจช่วยเพิ่มการเข้าถึงทรัพยากรการศึกษา การพัฒนาคุณภาพครูช่วยปรับปรุงการสอน การมีส่วนร่วมของชุมชนช่วยเสริมสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่ดี และหลักสูตรที่สอดคล้องกับภูมิวัฒนธรรมช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมของนักเรียน ข้อเสนอแนะจากการวิจัยนี้รวมถึงการพัฒนาทักษะการบริหารจัดการของผู้บริหารโรงเรียน การสนับสนุนเศรษฐกิจของครอบครัวและชุมชน การพัฒนาคุณภาพครู การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างโรงเรียนและชุมชน และการปรับปรุงหลักสูตรให้สอดคล้องกับภูมิวัฒนธรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการศึกษาในพื้นที่สูง</p>
2024-10-04T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 Authors
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/279993
คุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในชุมชนมอญบ้านม่วง จังหวัดราชบุรี
2024-07-25T16:16:38+07:00
ชัยรัตน์ วงศ์กิจรุ่งเรือง
fgracrw@ku.ac.th
<p>ปัญหาสังคมผู้สูงอายุมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งในพื้นที่ชนบท บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในชุมชนมอญบ้านม่วง อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี วิธีการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลหลัก มีจำนวน 34 คน ประกอบด้วย ผู้สูงอายุ และตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้สูงอายุในชุมชนบ้านม่วง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการวิเคราะห์เชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า ผู้สูงอายุในชุมชนบ้านม่วงส่วนใหญ่มีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยมีสุขภาพจิตดี สามารถดูแลตนเองและครอบครัวได้ดี มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนบ้าน และเข้าร่วมกิจกรรมเกี่ยวกับประเพณีวัฒนธรรมในชุมชนอย่างสม่ำเสมอ อย่างไรก็ตาม ผู้สูงอายุบางส่วนมีปัญหาด้านสุขภาพร่างกายที่มีสาเหตุมาจากความเสื่อมของร่างกาย การทำงานหนักในช่วงวัยหนุ่มสาว และพฤติกรรมสุขภาพ ปัญหาความเครียดเรื่องของลูกหลาน แต่ยังไม่เป็นปัญหาในการดำเนินชีวิตมากนัก เนื่องจากชุมชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังดูแลผู้สูงอายุที่ประสบปัญหาได้</p>
2024-10-04T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 Authors