https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/issue/feed สหวิทยาการและความยั่งยืนปริทรรศน์ไทย 2025-01-29T16:15:39+07:00 อาจารย์ ดร.พุทธิสัตย์ นามเดช ALPS.Journals@gmail.com Open Journal Systems <p><em>วารสารสหวิทยาการวิจัย: ฉบับบัณฑิตศึกษา</em> (e-ISSN: 2730-3616) เป็นวารสารซึ่งจัดพิมพ์ในภาษาไทย โดยสมาคมรัฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมกับ หลักสูตรรัฐประศาสนศาสตร์ วิทยาลัยบัณฑิตศึกษาด้านการจัดการ มหาวิทยาลัยศรีปทุม เพื่อเป็นพื้นที่ในการเผยแพร่ผลงานวิชาการและผลงานวิจัย รวมถึงแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความคิดความเห็น ตลอดจนเป็นแหล่งค้นคว้าระดับบัณฑิตศึกษาในระดับนานาชาติ ที่น่าเชื่อถือและมีความเป็นปัจจุบัน ในเชิงสหวิทยาการ ทั้งสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ซึ่งมีรูปแบบการกลั่นกรองบทความโดยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 2 ท่าน ก่อนลงตีพิมพ์ แบบผู้ทรงคุณวุฒิไม่ทราบชื่อผู้แต่ง และผู้แต่งไม่ทราบชื่อผู้ทรงคุณวุฒิ มีกำหนดปีละ 2 ฉบับ ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม-มิถุนายน ฉบับที่ 2 เดือนกรกฎาคม-ธันวาคม</p> https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/281412 การวิเคราะห์องค์ประกอบการจัดการธุรกิจของวิสาหกิจชุมชน ผลิตสินค้าเกษตรแปรรูปในสามจังหวัดชายแดนใต้ 2024-09-12T13:37:02+07:00 ปิยะดา มณีนิล piyada.m@yru.ac.th สัสดี กำแพงดี satsadi.k@yru.ac.th <p>การวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบการจัดการธุรกิจของวิสาหกิจชุมชนผลิตสินค้าเกษตรแปรรูปในสามจังหวัดชายแดนใต้ ใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ เก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับจากประธานวิสาหกิจชุมชนผลิตสินค้าเกษตรแปรรูปในสามจังหวัดชายแดนใต้ ผลการวิจัยพบว่า ผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนให้ความสำคัญกับองค์ประกอบการจัดการธุรกิจในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ยในภาพรวมเท่ากับ 4.14 และจากการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ พบว่าการจัดการธุรกิจของวิสาหกิจชุมชนผลิตสินค้าเกษตรแปรรูปในสามจังหวัดชายแดนใต้ ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ ได้แก่ การจัดการทรัพยากรมนุษย์วิสาหกิจชุมชน การจัดการการตลาดวิสาหกิจชุมชน การจัดการการผลิตวิสาหกิจชุมชน และการจัดการการเงินวิสาหกิจชุมชน ดังนั้นวิสาหกิจชุมชนจึงต้องให้ความสำคัญกับองค์ประกอบข้างต้น และนำไปประยุกต์ใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการดำเนินธุรกิจต่อไป</p> 2024-10-17T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 Authors https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/281873 มานุภาพทางศิลปะ: กรณีศึกษาผลงานศิลปะของศิลปินในจังหวัดสงขลา 2024-10-15T11:24:47+07:00 ธภัทร บริรักษ์กิจดำรง chetsada@tsu.ac.th เจษฎา นกน้อย Chetsada_NOK@gmail.com <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพแวดล้อม และกำหนดกลยุทธ์ สำหรับงานศิลปะของศิลปินในจังหวัดสงขลา 2) ศึกษาวิธีการสร้างผลงานศิลปะในเชิงพาณิชย์ของศิลปินในจังหวัดสงขลา และ 3) ศึกษาแนวทางในการสร้างมานุภาพทางศิลปะให้กับงานศิลปะของศิลปินในจังหวัดสงขลา โดยมีผู้ให้ข้อมูลหลัก คือ ศิลปินผู้สร้างผลงานศิลปะในจังหวัดสงขลา โดยมีเกณฑ์ในการคัดเลือกผู้ให้ข้อมูลคือ สร้างสรรค์ผลงานศิลปะมาแล้วอย่างน้อย 3 ปี เป็นศิลปินที่สร้างสรรค์ผลงานศิลปะและมีโอกาสได้จำหน่ายผลงานให้กับบุคคลที่สนใจในงานศิลปะ จำนวน 12 คน โดยการสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยการใช้เครื่องมือ SWOT Analysis และ TOWS Matrix โดยการวิเคราะห์เนื้อหา และการตรวจสอบสามเส้าด้านทฤษฎี ผลการวิจัยพบว่า สภาพแวดล้อมสำหรับงานศิลปะของศิลปินในจังหวัดสงขลา มีจุดแข็ง 4 ประการ จุดอ่อน 4 ประการ โอกาส 4 ประการ และอุปสรรค 4 ประการ โดยมีกลยุทธ์สำหรับงานศิลปะของศิลปินในจังหวัดสงขลา ประกอบด้วย กลยุทธ์เชิงรุก 3 ประการ กลยุทธ์เชิงป้องกัน 2 ประการ กลยุทธ์เชิงแก้ไข 2 ประการ และกลยุทธ์เชิงรับ 2 ประการ การสร้างผลงานศิลปะในเชิงพาณิชย์ของศิลปินในจังหวัดสงขลาศิลปินจะต้องมีการปรับตัวกับยุคสมัยโดยอาศัยความต้องการของตลาด การพัฒนาเอกลักษณ์เฉพาะตัว การใช้ช่องทางสื่อ การสร้างความร่วมมือ และการใส่ใจในคุณภาพและความคิดสร้างสรรค์ สำหรับแนวทางในการสร้างมานุภาพทางศิลปะให้กับงานศิลปะของศิลปินในจังหวัดสงขลา จากการศึกษาพบว่า ผลงานศิลปะของศิลปินในจังหวัดสงขลา ยังคงขาดความสามารถในการทำการตลาด นอกจากนี้ศิลปินรุ่นใหม่ยังคงขาดโอกาสในการนำเสนอผลงาน ซึ่งสามารถอธิบายแนวทางในการสร้างมานุภาพทางศิลปะให้กับผลงานศิลปะของศิลปินในจังหวัดสงขลาได้ออกเป็น 5 มิติ ดังนี้ 1) มิติด้านการสร้างเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม 2) มิติด้านการส่งเสริมการทูตเชิงวัฒนธรรม 3) มิติด้านการใช้สื่อสังคมและเทคโนโลยี 4) มิติการสร้างประสบการณ์ และ 5) มิติการสร้างเครือข่ายและความร่วมมือ</p> 2024-11-18T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 Authors https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/280015 ประโยชน์ที่รับรู้เทียบกับต้นทุนที่รับรู้: ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญในการซื้อผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกายออร์แกนิกในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 2024-09-12T13:57:34+07:00 เอกภูศิษฐ์ บุญศิริยศฐากุล aekphusit.boo@rmutr.ac.th สร้อยบุปผา สาตร์มูล soibuppha@rmutr.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกายแบบออร์แกนิกในหมู่ผู้บริโภคในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ด้วยความตระหนักรู้ด้านสุขภาพ ความตระหนักด้านรูปลักษณ์ ทัศนคติต่อการซื้อ การคล้อยตามกลุ่มอ้างอิง ความเชื่อมั่น และประสบการณ์ในอดีต การทำความเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภคในกลุ่มนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจและผู้กำหนดนโยบาย การศึกษานี้ใช้วิธีการสำรวจเชิงปริมาณ โดยรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม ผลการศึกษาเผยให้เห็นว่า ความตระหนักรู้ด้านสุขภาพ ความตระหนักด้านรูปลักษณ์ ทัศนคติต่อการซื้อ การคล้อยตามกลุ่มอ้างอิง ความเชื่อมั่น และประสบการณ์ในอดีตมีอิทธิพลอย่างมากต่อการตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกายแบบออร์แกนิกในหมู่ผู้บริโภคในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ในขณะที่ ทัศนคติต่อการซื้อ ความเชื่อมั่น และประสบการณ์ในอดีต มีบทบาทสำคัญในฐานะตัวแปรส่งผ่านในการสร้างการรับรู้ของผู้บริโภคและผลักดันให้เกิดพฤติกรรมการซื้อ</p> 2024-11-18T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 Authors https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/280458 การวิจัยเพื่อพัฒนาและทดสอบความตรงของแบบวัด ความตั้งใจดูแลผู้สูงวัยอย่างเอื้ออาทร 2024-09-02T13:21:52+07:00 ปุณญรัสธิ์ ต่อไพบูลย์ punyarat.torph@stu.nida.ac.th ดวงเดือน พันธุมนาวิน duangduen.bha@nida.ac.th ดุจเดือน พันธุมนาวิน nidaphd2024@gmail.com <p>ในปัจจุบันมีประชากรสูงวัยที่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลมีเพิ่มมากขึ้น ความตั้งใจที่จะดูแลอย่างเอื้ออาทรจึงเป็นคุณลักษณะที่สำคัญของผู้ดูแลผู้สูงวัย เพื่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้สูงวัย การวิจัยมีจุดประสงค์เพื่อพัฒนาเครื่องมือวัดความตั้งใจที่จะดูแลผู้สูงอายุอย่างเอื้ออาทร โดยมีการวิจัยทั้งหมด 4 ขั้นตอน โดยในขั้นการหาคุณภาพของเครื่องมือวัด และการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาพยาบาล รวมจำนวน 420 คน ผลปรากฏว่า โมเดลการวัดความตั้งใจที่จะดูแลผู้สูงอายุอย่างเอื้ออาทร ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ จำนวน 12 ข้อ และอธิบายความแปรปรวนได้ 59.484% ในขั้นการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาพยาบาล กลุ่มใหม่ จำนวน 384 คน ผลการวิเคราะห์ข้อมูลปรากฏว่า โมเดลการวัดมีความกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ แบบวัดมีค่าความเชื่อมั่นของแบบวัดเท่ากับ 0.82 เมื่อทำการทดสอบความตรงในกลุ่มตัวอย่างผู้ให้บริการดูแลผู้สูงอายุจำนวน 171 คน พบว่า แบบวัดที่สร้างใหม่นี้มีความสัมพันธ์ทางบวกกับจิตพลังจริยธรรม การประเมินแก่นแห่งตน และพฤติกรรมการดูแลอย่างเอื้ออาทร แต่มีความสัมพันธ์ทางลบกับจริยธรรมหลุด จึงได้เสนอแนะการใช้แบบวัดเพื่อการปฏิบัติและการวิจัยต่อไป</p> 2024-11-18T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 Authors https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/281766 รูปแบบการส่งเสริมการใช้เขม่าดำทดแทนจากขยะยางล้อ ในอุตสาหกรรมยางโดยใช้ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน 2024-09-23T10:59:14+07:00 สมพิศ วัฒนเลี้ยงใจ somphit.cmc@gmail.com ธันนิกานต์ สูญสิ้นภัย somphit.cmc@gmail.com ชลวิทย์ เจียรจิตต์ somphit.cmc@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการใช้เขม่าดำทดแทนจากขยะยางล้อ (RCB) พัฒนารูปแบบการส่งเสริมการใช้ และวิเคราะห์ความเหมาะสมของรูปแบบดังกล่าว การวิจัยแบ่งเป็น 3 ขั้นตอน ขั้นแรกใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ พบว่าส่วนใหญ่มีนโยบายใช้วัตถุดิบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การใช้ RCB มีประโยชน์ในการลดต้นทุนและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังมีข้อจำกัดด้านคุณภาพเมื่อเทียบกับเขม่าดำดั้งเดิม ขั้นที่สองใช้วิจัยเชิงปริมาณ พบว่าปัจจัยด้านการจัดการขยะและระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนมีอิทธิพลสำคัญต่อการส่งเสริมการใช้ RCB จึงนำมาพัฒนา Business Model Canvas ขั้นสุดท้ายประเมินความเหมาะสมโดยการสำรวจ ผลปรากฏว่าทุกองค์ประกอบได้รับการประเมินในระดับสูงมาก โดยเฉพาะด้านการนำเสนอคุณค่า การสร้างรายได้ ทรัพยากรหลัก กิจกรรมหลัก และพันธมิตรหลัก ผลการวิจัยสรุปได้ว่า RCB มีศักยภาพสูงในการส่งเสริมระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนและการพัฒนาอย่างยั่งยืนในอุตสาหกรรมยาง จากผลการวิจัยนี้ผู้วิจัยได้นำเสนอ SHIFT Model เป็นกรอบแนวคิดในการส่งเสริมการใช้ RCB ประกอบด้วย ผสานพลัง, ปรับให้สอดคล้อง, สร้างนวัตกรรม, ส่งเสริม และเปลี่ยนแปลง</p> 2024-11-19T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 Authors https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/281764 พัฒนารูปแบบการเตรียมความพร้อมก่อนการเกษียณด้านเศรษฐกิจ ของบุคลากรและผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรม: กรณีศึกษาจังหวัดสมุทรสาคร 2024-10-15T11:24:57+07:00 ชวนัส แสงยิ่งยงวัฒนา chawanus1974@gmail.com ธันนิกานต์ สูญสิ้นภัย chawanus1974@gmail.com ชลวิทย์ เจียรจิตต์ chawanus1974@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหา พัฒนารูปแบบ และศึกษาความเหมาะสมของการเตรียมความพร้อมก่อนการเกษียณด้านเศรษฐกิจ ใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพและปริมาณ และได้พัฒนารูปแบบ BMC ซึ่งได้รับการประเมินความเหมาะสมในระดับมาก โดยเฉพาะในด้านการนำเสนอคุณค่า การสร้างรายได้ และทรัพยากรสำคัญ อย่างไรก็ตาม ยังมีพื้นที่สำหรับการปรับปรุงในด้านการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ผลการวิจัยพบว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อการเตรียมความพร้อมมากที่สุดคือปัจจัยทางเศรษฐกิจ รองลงมาคือเพศและความพึงพอใจในการทำงาน นอกจากนี้ ปัจจัยด้านสุขภาพและระดับการศึกษาก็มีผลเชิงบวกต่อการเตรียมความพร้อม ผลการวิจัยชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการพัฒนานโยบายและแผนการเตรียมความพร้อมก่อนการเกษียณที่ครอบคลุมและเป็นระบบ โดยเน้นการให้ความรู้ด้านการวางแผนการเงิน การสร้างความตระหนัก และการสนับสนุนจากทั้งองค์กรและภาครัฐ ผู้วิจัยได้นำเสนอโมเดล IFACE ซึ่งเป็นกรอบแนวคิดแบบบูรณาการ ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ การบูรณาการ การวางแผนทางการเงิน การสร้างความตระหนัก ความร่วมมือ และการศึกษา</p> 2024-11-19T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 Authors https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/281132 การประเมินศักยภาพการท่องเที่ยวตามรอยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมหาราช ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 2024-10-31T10:52:29+07:00 โฆษิตสุทธสร บงค์บุตร 65160244@up.ac.th เสรี วงษ์มณฑา seri.wo@up.ac.th ชุษณะ เตชคณา jusana.t@fba.kmutnb.ac.th ณัฐรินทร์ ปริวงศ์กุลธร nuttharin.pa@up.ac.th <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินศักยภาพการท่องเที่ยวตามรอยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมหาราชในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยใช้วิจัยเชิงคุณภาพ ซึ่งประกอบด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก และการประเมินศักยภาพการท่องเที่ยวตามรอยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมหาราชในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จากผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 20 ท่าน ผลการวิจัยพบว่าแหล่งท่องเที่ยวตามรอยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมหาราชในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีศักยภาพที่หลากหลายและมีความสำคัญต่อการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ จากการสัมภาษณ์และการประเมินจากผู้ทรงคุณวุฒิ พบว่าแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับการยอมรับว่ามีศักยภาพสูง ได้แก่ สถานที่ประวัติศาสตร์สำคัญและแหล่งวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับพระราชกรณียกิจของพระองค์ การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวดังกล่าวควรมุ่งเน้นไปที่การสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนท้องถิ่น รวมถึงการจัดทำแผนการตลาดและการประชาสัมพันธ์เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว</p> 2024-11-19T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 Authors https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/282798 การพัฒนาโมเดลการจัดการธุรกิจและผลิตภัณฑ์แก้วมังกรผ่านการสื่อสาร การตลาดดิจิทัล ของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย 2024-10-30T10:28:51+07:00 ปฤฐฏาง จันทร์บุญเรือง pantawan.but@gmail.com พรรณธวรรณ บุตรดีสุวรรณ pantawan.but@gmail.com กิติยา คีรีวงก์ Pantawan.but@gmail.com วรกร พิมพาคุณ Pantawan.but@gmail.com <p>การวิจัยแบบผสมผสานนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโมเดลการจัดการธุรกิจและผลิตภัณฑ์แก้วมังกรผ่านการสื่อสาร การตลาดดิจิทัล ของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย กลุ่มตัวอย่างสำหรับวิจัยเชิงปริมาณ ได้แก่ ตัวแทนสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปลงใหญ่แก้วมังกร กลุ่มเครือข่ายวิสาหกิจชุมชน หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับวิสาหกิจชุมชนในตำบลร่องจิก ผู้บริโภค ชุมชน สื่อมวลชน ผู้นำชุมชน ร้านค้า ส่วนวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการผลิต การใช้ การจำหน่ายผลิตภัณฑ์และตัวแทนสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนดินปลูกแก้วมังกรนาวป้อม 479 ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนาโมเดลการจัดการธุรกิจและผลิตภัณฑ์แก้วมังกรผ่านการสื่อสารการตลาดดิจิทัล อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย โดยใช้ Business Model Canvas 9 ช่อง มาเป็นต้นแบบ เมื่อมีการทดลองใช้และยืนยันโมเดล โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และหลังการใช้และยืนยันโมเดล มีการปรับการใช้โมเดลต้นแบบจาก BMC 9 ช่อง ไปเป็น โมเดล POLC ตามความต้องการของกลุ่ม</p> 2024-11-19T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 Authors https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/282747 การเชื่อมโยงความที่ปรากฏในบทเพลงธรรมะ 2024-11-12T11:27:12+07:00 ชวัลภา พรหมาซุย chawanlapa.p@ku.th บุญเลิศ วิวรรณ์ boonlert.w@ku.th วิไลศักดิ์ กิ่งคำ wilaisak.k@ku.th <p>บทเพลงธรรมะในสื่อออนไลน์ปัจจุบัน มีลักษณะของการใช้การเชื่อมโยงความ เพื่อการสื่อสารสู่ผู้ฟังที่มีลักษณะเฉพาะ โดยมีเจตนาเพื่อสร้างความสุนทรียะ สร้างความสงบทางจิตใจ สร้างจิตสำนึกให้ฝักใฝ่ในคุณงามความดีตามหลักธรรมชาติ และตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา บทความนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาการเชื่อมโยงความที่ปรากฏในบทเพลงธรรมะ โดยศึกษาข้อมูลจากบทเพลงธรรมะที่เผยแพร่ทางเว็บไซต์ยูทูบ จำนวน 500 เพลง ผลการศึกษาพบการเชื่อมโยงความ 4 ประเภท ประเภทที่พบมากที่สุด คือ การเชื่อมโยงความประเภทการอ้างถึง รองลงมาพบการเชื่อมโยงความประเภทการใช้คำเชื่อม รองลงมาพบการเชื่อมโยงความประเภทการซ้ำ และพบการเชื่อมโยงความประเภทการละน้อยที่สุด ซึ่งการเชื่อมโยงความในบทเพลงธรรมะนี้มีจุดเด่นในเรื่องการอ้างถึง พบว่ามีการอ้างถึงบุรุษสรรพนามเป็นคำศัพท์ทางธรรมที่ใช้อ้างถึงเฉพาะในบทเพลงธรรมะเท่านั้นโดยไม่ปรากฏการใช้คำศัพท์ทางธรรมนี้ในบทเพลงประเภทอื่น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความโดดเด่นทางด้านการใช้คำศัพท์ในบทเพลงธรรมะเป็นอย่างมาก และการเชื่อมโยงความทุกประเภทที่พบในบทเพลงธรรมะยังทำให้สามารถร้อยเรียงเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาทำให้ผู้ฟังเข้าใจเรื่องราว เหตุการณ์ต่างๆ ผ่านการถ่ายทอดจากบทเพลงธรรมะได้เป็นอย่างดี</p> 2024-12-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 Authors https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/283209 การมีส่วนร่วมของชุมชนในการพัฒนาสื่อเสมือนจริงแบบปฏิสัมพันธ์ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวตำบลปากน้ำประแส จังหวัดระยอง 2024-11-12T11:25:41+07:00 ยศกร วรรณวิจิตร warit_wa@rmutto.ac.th พงช์ศนัญ ชาญชัยชิณวรฒ์ kittiya_ka@rmutto.ac.th กิตติยา ก้วสะเทือน kittiya_ka@rmutto.ac.th วาริท วสยางกูร warit_wa@rmutto.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) เพื่อศึกษานโยบายการท่องเที่ยวและการมีส่วนร่วมของชุมชนในการพัฒนาสื่อเสมือนจริงแบบปฏิสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวตำบลปากน้ำประแส จังหวัดระยอง 2) เพื่อพัฒนาสื่อเสมือนจริงแบบปฏิสัมพันธ์ และ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการมีส่วนร่วมกับชุมชนและความพึงพอใจต่อการใช้สื่อ ผลการศึกษาพบว่า 1) การมีส่วนร่วมของชุมชนปากน้ำประแสอยู่ในทิศทางที่ดี มุ่งเน้นการสร้างความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในชุมชน มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน และมีข้อเสนอแนะว่าชุมชนสามารถนำเทคโนโลยีมายกระดับการท่องเที่ยวของชุมชนได้ 2) ความเหมาะสมของสื่อเสมือนจริงแบบปฏิสัมพันธ์ที่พัฒนาขึ้นอยู่ในระดับมากที่สุด และ 3) การมีส่วนร่วมของชุมชนมีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับปานกลางกับความพึงพอใจต่อการใช้สื่อของทั้งชุมชนและนักท่องเที่ยว อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> 2024-12-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 Authors https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/282289 แนวทางการส่งเสริมอุตสาหกรรมรองเท้าแตะฟื้นฟูสุขภาพเท้า ด้วยการซื้อของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร 2024-10-15T11:24:25+07:00 ธนาคม รัชตโรจน์ S64584917037@ssru.ac.th ทวี แจ่มจำรัส tawee.ja@ssru.ac.th ไปรพร แสงจันทร์ praiporn.sa@ssru.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับความสามารถของผู้ประกอบการร้านค้า มาตรฐานการผลิตสินค้า กลยุทธ์การตลาด มาตรฐานการให้บริการ และการส่งเสริมอุตสาหกรรมรองเท้าแตะฟื้นฟูสุขภาพเท้า 2) เพื่อศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุของมาตรฐานการผลิตสินค้า ความสามารถของผู้ประกอบการร้านค้า กลยุทธ์การตลาด และมาตรฐานการให้บริการที่มีอิทธิพลต่อการส่งเสริมอุตสาหกรรมรองเท้าแตะฟื้นฟูสุขภาพเท้า 3) เพื่อนำเสนอแนวทางการส่งเสริมอุตสาหกรรมรองเท้าแตะฟื้นฟูสุขภาพเท้า ผลการวิจัยพบว่า 1) ความสามารถของผู้ประกอบการร้านค้า กลยุทธ์การตลาด และการส่งเสริมอุตสาหกรรมรองเท้าแตะในระดับมากที่สุด ส่วนมาตรฐานการผลิตสินค้าและมาตรฐานการให้บริการอยู่ในระดับมาก 2) กลยุทธ์การตลาดมีอิทิพลเชิงสาเหตุรวมต่อการส่งเสริมอุตสาหกรรมรองเท้าแตะมากที่สุด รองลงมาได้แก่ ความสามารถของผู้ประกอบการ มาตรฐานการให้บริการและมาตรฐานการผลิตสินค้า ตามลำดับ 3) ได้แนวทางการส่งเสริมอุตสาหกรรมรองเท้าแตะฟื้นฟูสุขภาพเท้า เป็นภาพแผนภูมิประกอบด้วย กลยุทธ์การตลาดที่มีอิทธิพลรวมมากที่สุด เป็นฐานผลักดันอยู่ล่างสุด มีความสามารถของผู้ประกอบการและมาตรฐานการให้บริการอยู่ตรงกลาง ส่วนมาตรฐานการผลิตสินค้าช่วยส่งเสริมอยู่ในระดับบนด้วย ผลการวิจัยมีประโยชน์ต่อหน่วยราชการ ใช้ในการกำหนดนโยบายและกำกับดูแล และเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการในการผลิตสินค้าให้ได้มาตรฐานเพื่อผู้บริโภคใช้งานได้อย่างคุ้มค่าตลอดไป</p> 2024-12-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 Authors https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/283128 การสื่อสารอัตลักษณ์ข้าวซอย ในฐานะภูมิปัญญาอาหารพหุวัฒนธรรมล้านนา เพื่อส่งเสริมการสร้างซอฟต์พาวเวอร์ด้านอาหารของไทย 2024-11-03T21:08:37+07:00 ฐิติวรฎา ใยสำลี anong_jai@dusit.ac.th เสาวลักษณ์ กันจินะ anong_jai@dusit.ac.th พรรณี สวนเพลง pannee_sua@dusit.ac.th อานง ใจแน่น anong_jai@dusit.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอัตลักษณ์ของข้าวซอยภูมิปัญญาอาหารพหุวัฒนธรรมล้านนา ศึกษาวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งเสริมการสื่อสารอัตลักษณ์ข้าวซอย การพัฒนาแนวทางการสื่อสารอัตลักษณ์ข้าวซอย และ การส่งเสริมการสร้างซอฟต์พาวเวอร์ด้านอาหารไทย ผลการวิจัยพบว่า ข้าวซอยเป็นอาหารที่มีรากฐานมาจากพหุวัฒนธรรมล้านนาที่สะท้อนถึงภูมิปัญญาการผสมผสานทางวัฒนธรรมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และสะท้อนถึงการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างไทย จีน พม่า อินเดีย ผ่านการแลกเปลี่ยนทางการค้าและการเดินทางในภูมิภาคนี้ ผลการวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งเสริมการสื่อสารอัตลักษณ์ข้าวซอยประกอบด้วย ประวัติศาสตร์ความเป็นมา วัตถุดิบส่วนผสม รสชาติ วิธีการปรุงที่เป็นเอกลักษณ์ของข้าวซอย รูปแบบการนำเสนอของข้าวซอย และการเชื่อมโยงของข้าวซอยกับสถานที่และวัฒนธรรม การพัฒนาแนวทางการสื่อสารอัตลักษณ์ข้าวซอยและการส่งเสริมการสร้างซอฟต์พาวเวอร์ด้านอาหารไทย ในทิศทางที่สอดคล้องกับเทรนด์สมัยใหม่และยังคงรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมล้านนาของไทยจะช่วยส่งเสริม<br />ข้าวซอยให้เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับในระดับสากล การใช้ข้าวซอยเป็นเครื่องมือในการสร้างซอฟต์พาวเวอร์ของไทย โดยเน้นการนำเสนอเรื่องราวของข้าวซอย เน้นคุณค่าทางประวัติศาสต์และวัฒนธรรม การใช้สื่อดิจิทัลและโซเชียลมีเดีย การสร้างความร่วมมือกับฟลูเอนเซอร์ การจัดงานเทศกาลอาหารนานาชาติ การใช้ข้าวซอยเป็นสัญลักษณ์ความเป็นไทยในสื่อภาพยนตร์ที่แสดงถึงเสน่ห์ของวัฒนธรรมอาหารล้านนาของไทยผ่านข้าวซอยในสื่อการตลาด การจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับข้าวซอยที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอาหารให้เป็นที่รู้จักและยอมรับในระดับนานาชาติ</p> 2024-12-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 Authors https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/283382 การจัดทำแผนยุทธศาสตร์กองทุนประกันชีวิต ระยะ 5 ปี (พ.ศ.2566-2570) 2024-12-19T14:59:20+07:00 สุพัตรา แผนวิชิต thailawresearch@gmail.com ฐิติวดี ชัยวัฒน์ thailawresearch@gmail.com ธีระพล เมฆอธิคม thailawresearch@gmail.com กิตติพงษ์ เกียรติวัชรชัย thailawresearch@gmail.com ศิริพล กุศลศิลป์วุฒิ thailawresearch@gmail.com <p>กองทุนประกันชีวิตมีบทบาทในการคุ้มครองเจ้าหนี้ที่มีสิทธิได้รับการชำระหนี้จากการประกันภัยเมื่อบริษัทประกันชีวิตถูกเพิกถอนใบอนุญาต และมุ่งพัฒนาความมั่นคงและเสถียรภาพธุรกิจประกันชีวิต เพื่อให้การบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์มีประสิทธิผล กองทุนจำเป็นต้องจัดทำแผนยุทธศาสตร์ระยะ 5 ปี (2566-2570) ที่เชื่อมโยงกับแผนแม่บทต่างๆ เช่น ยุทธศาสตร์ชาติและแผนพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ 4 ผ่านการวิเคราะห์ทั้งสภาพแวดล้อมภายในและภายนอก แผนนี้ประกอบด้วยวิสัยทัศน์และพันธกิจ รวมถึง 4 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ 1) พัฒนาธุรกิจประกันชีวิตให้มั่นคงและสร้างความเชื่อมั่น 2) ยกระดับทรัพยากรและศักยภาพบุคลากร 3) ขับเคลื่อนโดยนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัล และ 4) สร้างระบบนิเวศที่เอื้อประโยชน์ร่วมกันผ่านเครือข่ายความร่วมมือ นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดกลยุทธ์ ผลผลิต ผลลัพธ์ ตัวชี้วัด และเป้าหมายในการดำเนินการในระยะ 3 ปี และ 5 ปี รวมถึงตัวอย่างโครงการเพื่อรองรับการดำเนินงาน</p> 2025-01-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 Authors https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/283383 การจัดทำแผนยุทธศาสตร์กองทุนประกันวินาศภัย ระยะ 5 ปี (พ.ศ.2566-2570) 2024-11-29T13:57:40+07:00 สุพัตรา แผนวิชิต thailawresearch@gmail.com ฐิติวดี ชัยวัฒน์ thailawresearch@gmail.com ธีระพล เมฆอธิคม thailawresearch@gmail.com สำเรียง เมฆเกรียงไกร thailawresearch@gmail.com วรรณวิภา เมืองถ้ำ thailawresearch@gmail.com <p>กองทุนประกันวินาศภัยเป็นนิติบุคคลที่มีวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องเจ้าหนี้ที่มีสิทธิได้รับการชำระหนี้จากการประกันภัยในกรณีที่บริษัทถูกเพิกถอนใบอนุญาต และเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงและเสถียรภาพในธุรกิจประกันวินาศภัย ดังนั้น การบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์ของกองทุนจึงจำเป็นต้องมีทิศทางที่ชัดเจน ผ่านการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ระยะ 5 ปี (2566-2570) ที่เชื่อมโยงกับแผนแม่บทต่างๆ เช่น ยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม และแผนพัฒนาการประกันภัยฉบับที่ 4 โดยมีการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอก แผนยุทธศาสตร์ประกอบด้วยวิสัยทัศน์ พันธกิจ ค่านิยมหลัก และ 4 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ 1) เร่งรัดการชำระหนี้ให้เจ้าหนี้ตามสัญญาเพื่อสร้างเสถียรภาพและความเชื่อมั่นในระบบ 2) พัฒนาศักยภาพบุคลากร 3) ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัล และ 4) สร้างระบบนิเวศที่เอื้อประโยชน์ร่วมกัน ผ่านความร่วมมือ นอกจากนี้ยังมีการกำหนดกลยุทธ์ ผลผลิต ผลลัพธ์ ตัวชี้วัด และเป้าหมายสำหรับระยะ 3 ปีและ 5 ปี รวมถึงตัวอย่างโครงการที่สนับสนุนการดำเนินงาน</p> 2025-01-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 Authors https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/283690 นักสื่อสารการตลาดชุมชน: การพัฒนาทักษะการสื่อสารการตลาดของเกษตรกรเพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์แปรรูปจากปลานิลในจังหวัดเชียงราย 2024-12-05T11:38:11+07:00 เสริมศิริ นิลดำ aj_sermsiri@yahoo.com กษิดิศ ใจผาวัง aj_sermsiri@yahoo.com นิเวศ จีนะบุญเรือง aj_sermsiri@yahoo.com ศิริพรรณ จีนะบุญเรือง aj_sermsiri@yahoo.com กรกนก นิลดำ aj_sermsiri@yahoo.com กฤศ โตธนายานนท์ aj_sermsiri@yahoo.com จิรพัฒน์ อุปถัมภ์ aj_sermsiri@yahoo.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาประเด็นปัญหาของเกษตรกรในการสื่อสารการตลาด 2) เพื่อพัฒนาเกษตรกรให้เป็นนักสื่อสารการตลาดชุมชนในการสื่อสารการตลาดผลิตภัณฑ์แปรรูปจากปลานิลจังหวัดเชียงราย และ 3) เพื่อหาแนวทางในการส่งเสริมการพัฒนาเกษตรกรให้เป็นนักสื่อสารการตลาดชุมชนอย่างยั่งยืน โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม ด้วยการสำรวจ การสนทนากลุ่ม และการสังเกต ดำเนินการศึกษาในกลุ่มเกษตรกรจำนวน 32 คน ผลการศึกษาพบว่า เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการมีการพัฒนาการด้านทักษะการสื่อสารการตลาดดิจิทัลในทุกองค์ประกอบ ได้แก่ ทักษะการเข้าถึง การวิเคราะห์และประเมิน การสร้างสรรค์ และการโต้ตอบ มีค่าเฉลี่ยการพัฒนาทักษะเพิ่มขึ้นจากระดับปานกลางเป็นระดับมากหลังการเข้าร่วมกิจกรรม เกษตรกรสามารถเป็นนักสื่อสารการตลาดชุมชนด้วยการผลิตเนื้อหาที่ดึงดูดผู้บริโภคได้ เช่น การเล่าเรื่องราวผลิตภัณฑ์ผ่านภาพและวิดีโอ การถ่ายทอดสดเพื่อจำหน่ายสินค้า และการเน้นอัตลักษณ์ท้องถิ่นของชุมชน ซึ่งช่วยเพิ่มการรับรู้ในผลิตภัณฑ์และความเชื่อมั่นของผู้บริโภค</p> 2025-01-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 Authors https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/284043 การเปรียบเทียบเนื้อหาโฆษณาผู้มีอิทธิพลทางความคิดแบรนด์ Dr.JiLL ในการสื่อสารการตลาดดิจิทัลช่องทางเฟสบุ๊กที่ส่งผลต่อการรับรู้ตราสินค้า: กรณีศึกษาระหว่างบุ๋ม ปนัดดา และอาร์ต พศุตม์ 2025-01-09T11:24:49+07:00 อัญชิสา ธนาวิมลวรรธน์ sahapon.yeet@bumail.net ชุติมา เกศดายุรัตน์ Sahapon.yeet@bumail.net <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบการมีส่วนร่วม (Engagement) ของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย Dr.JiLL ผ่านเนื้อหาโฆษณาของผู้มีอิทธิพลทางความคิดที่มีความแตกต่างกัน และ 2) ศึกษาพฤติกรรมการซื้อของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย Dr.JiLL ที่เป็นผลมาจากการรับรู้รูปแบบเนื้อหาโฆษณาของผู้มีอิทธิพลทางความคิดที่แตกต่างกัน การวิจัยใช้วิธีการทดลองผ่านการสร้างสื่อโฆษณา 2 ชิ้นงานโดยนำเสนอผ่านผู้มีอิทธิพลทางความคิดที่มีบุคลิกภาพและวิถีชีวิตแตกต่างกัน ได้แก่ บุ๋ม ปนัดดา วงศ์ผู้ดี และอาร์ต พศุตม์ บานแย้ม โดยเผยแพร่เป็นวิดีโอโฆษณาทางเพจเฟซบุ๊กของแบรนด์ในเวลาเดียวกัน 30 วัน ผลการศึกษาพบว่า บุ๋ม ปนัดดา เป็นผู้มีอิทธิพลทางความคิดที่มีภาพลักษณ์สอดคล้องกับคุณค่าของแบรนด์จึงสร้างการมีส่วนร่วมที่สูงกว่าในด้านการกดไลก์และการแชร์ และสามารถสร้างความไว้วางใจและกระตุ้นพฤติกรรมการซื้อซ้ำจากลูกค้าเดิมได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ โฆษณาของบุ๋ม ปนัดดา ยังส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้น 35% ในกลุ่มผู้หญิงวัยทำงาน ขณะที่โฆษณาของอาร์ต พศุตม์ ช่วยดึงดูดลูกค้าผู้หญิงอายุน้อยที่เป็นลูกค้าใหม่ เพิ่มยอดขายได้ 20% และเน้นการสร้างความคิดเห็นเชิงโต้ตอบได้มากกว่า</p> 2025-02-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 Authors https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/283513 การพัฒนาสื่อประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ในเขตจอมทอง กรุงเทพมหานคร 2024-12-29T14:25:01+07:00 สุภาพร ศรีสัตตรัตน์ srisattarat4@gmail.com <p>การศึกษาวิจัยนี้มี วัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาบริบท พื้นที่ การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ในเขตจอมทอง กรุงเทพมหานคร 2) เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลด้านการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ในเขตจอมทอง กรุงเทพมหานคร 3) เพื่อพัฒนาสื่อที่ใช้ประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ในเขตจอมทอง กรุงเทพมหานคร โดยใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ซึ่งประกอบด้วย การศึกษาจากเอกสาร การสังเกตแบบมีส่วนร่วม การสัมภาษณ์เชิงลึก กลุ่มเป้าหมาย/ผู้ให้ข้อมูลหลักในการสัมภาษณ์ ประกอบด้วย (1) เจ้าหน้าที่สำนักงานเขตจอมทองและเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์เขตจอมทอง 3 ท่าน (2) หัวหน้า/ตัวแทนชุมชนในเขตจอมทอง 3 ท่าน เจ้าของสวนเกษตร 3 ท่าน (3) พระสงฆ์ (เจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส หรือ พระสงฆ์อาวุโส) และบุคคล ที่เชี่ยวชาญในประวัติศาสตร์ ในเขตจอมทอง 8 ท่าน จากผลการวิจัยพบว่า ข้อมูลของการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ประกอบด้วย 1) วิถีเกษตร มีผลไม้ที่สำคัญที่ยังมีการอนุรักษ์ เช่น ส้มบางมด ลิ้นจี่บางมด โดยเฉพาะสวนตามริมคลอง 2) วิถีการท่องเที่ยว มีพื้นที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ อาทิ ด้านศิลปวัฒนธรรม สวนเกษตร แต่ขาดการประชาสัมพันธ์ 3) วิถีศิลปวัฒนธรรม ด้านศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ในพื้นที่ พื้นที่เขตจอมทองมีลักษณะเป็นเกาะ ล้อมรอบด้วยคลองประวัติศาสตร์และไปบรรจบกันที่แม่น้ำเจ้าพระยา วัดประวัติศาสตร์ที่สำคัญ ได้แก่ วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร วัดหนังราชวรวิหาร วัดนางนองราชวรวิหาร การนำข้อมูลที่ได้มาพัฒนาเพื่อการประชาสัมพันธ์ ได้แก่ สื่อแผนที่ท่องเที่ยว โดยใช้โปรแกรม Canva และ สื่อคลิปวีดีโอ โดยใช้แอพพลิเคชั่น INSHOT ในการพัฒนาคลิป ดำเนินการเผยแพร่ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เพจเกรียนไซเบอร์ เพจเรื่องเล่าชาวฝั่งธน และ ตลาดน้ำชุมชนวัดไทร</p> 2025-02-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 Authors https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/284983 การบริหารทรัพยากรในยุคเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อเสริมสร้างความยั่งยืน ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น: กรณีศึกษาจังหวัดปทุมธานี 2025-01-16T08:47:24+07:00 รัฐบุรุษ คุ้มทรัพย์ ratthaburut.k@siu.ac.th สิปป์ณรงค์ กาญจนาวงศ์ไพศาล sipnarong.k@siu.ac.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับของปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การสนับสนุนจากภาครัฐและชุมชน การยอมรับแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน การจัดการทรัพยากรในองค์กร และการพัฒนาองค์กร 2) ศึกษาความสัมพันธ์เชิงสาเหตุระหว่างปัจจัยเหล่านี้ที่ส่งผลต่อความยั่งยืนในองค์กร และ 3) พัฒนาแนวทางการบริหารทรัพยากรในยุคเศรษฐกิจหมุนเวียน ผลการวิจัยพบว่า ระดับของปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การสนับสนุนจากภาครัฐและชุมชน การยอมรับแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน การจัดการทรัพยากรในองค์กร และการพัฒนาองค์กร อยู่ในระดับมาก ความสัมพันธ์เชิงสาเหตุระหว่างปัจจัยเหล่านี้ที่ส่งผลต่อความยั่งยืนในองค์กรมีความสัมพันธ์กันโดยเป็นไปตามสมติฐาน และแนวทางการบริหารทรัพยากรในยุคเศรษฐกิจหมุนเวียน การสนับสนุนจากภาครัฐและชุมชนมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างการยอมรับแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนและการจัดการทรัพยากรในองค์กร นอกจากนี้ การพัฒนาองค์กรยังมีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความยั่งยืนในการบริหารทรัพยากร ผลการวิจัยเสนอแนวทางการบริหารทรัพยากรที่เน้นการบูรณาการเศรษฐกิจหมุนเวียน ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและชุมชน และการพัฒนาองค์กรเพื่อส่งเสริมความยั่งยืนในองค์กรภาครัฐ</p> 2025-02-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 Authors https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/285293 อิทธิพลของโฆษณาเฟซบุ๊กต่อการเลือกช่องทางซื้อสินค้าของผู้บริโภค: กรณีศึกษา แบรนด์ Dr.JiLL 2025-01-23T09:50:25+07:00 พงศ์สรรค์ งามลิขิตเลิศ pongbu13@gmail.com ปฐมา สตะเวทิน Pongbu13@gmail.com <p>การวิจัยนี้วัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาพฤติกรรมการตัดสินใจเลือกช่องทางการสั่งซื้อสินค้าของผู้บริโภค เมื่อได้รับสื่อโฆษณาบนเฟซบุ๊กภายใต้ผลิตภัณฑ์แบรนด์ Dr.JiLL และ 2) วิเคราะห์แนวทางการพัฒนากลยุทธ์ของดิจิทัลแพลตฟอร์มในช่องทางที่ผู้บริโภคเลือกใช้มากที่สุด ภายใต้ผลิตภัณฑ์แบรนด์ Dr.JiLL ผลการศึกษาพฤติกรรมการตัดสินใจเลือกช่องทางการสั่งซื้อสินค้าของผู้บริโภคพบว่า Shopee เป็นช่องทางหลักที่ผู้บริโภคเลือกใช้ในการสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนด้านความสะดวกในการใช้งาน โปรโมชั่นที่ดึงดูดใจ และระบบชำระเงินที่ปลอดภัย อย่างไรก็ตาม ช่องทางสนับสนุน เช่น Facebook Messenger และ Line@ มีบทบาทในการให้ข้อมูลเพิ่มเติมและเสริมสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภคในกระบวนการตัดสินใจซื้อ โดยเฉพาะในขั้นตอนการค้นหาข้อมูลและการประเมินทางเลือก สำหรับแนวทางการพัฒนากลยุทธ์ดิจิทัลแพลตฟอร์มสำหรับแบรนด์ Dr.JiLL ได้แก่ 1) การพัฒนาแพลตฟอร์มสั่งซื้อสินค้าให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เช่น การสร้างโปรแกรมสำหรับผู้บริโภคที่ภักดีต่อแบรนด์ การเพิ่มฟีเจอร์ส่วนตัว การปรับปรุงประสบการณ์การใช้งาน 2) การพัฒนาช่องทางการสื่อสารในสื่อสังคมออนไลน์ เช่น การใช้ระบบแชทบอท การส่งข้อความอัตโนมัติเพื่อแจ้งเตือน การให้คำแนะนำเฉพาะบุคคล 3) การบูรณาการกลยุทธ์ระหว่างช่องทางต่างๆ เช่น การทำแคมเปญข้ามแพลตฟอร์ม การเก็บและวิเคราะห์ข้อมูล และ 4) การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายออนไลน์ เช่น จัดกิจกรรมพิเศษในช่วงเวลาสำคัญ การส่งเสริมการรีวิวสินค้า</p> 2025-02-16T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 Authors https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/284770 การเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมโหลดไฟฟ้ากระแสตรง ด้วยระบบพีไอดีเชิงพยากรณ์และเทคโนโลยีอาร์เอฟไอดี 2025-01-19T11:39:57+07:00 ศิริวรรณ พลเศษ siriwan@vru.ac.th <p>การวิจัยนี้นำเสนอการพัฒนาระบบพีไอดีคอนโทรลเชิงพยากรณ์ที่บูรณาการเทคโนโลยีเซนเซอร์อาร์ไอดีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมโหลดไฟฟ้ากระแสตรงผ่านรีเลย์โซลิดสเตตรีเลย์อัจฉริยะ โดยใช้เซนเซอร์อาร์เอฟไอดี PN532 ในการปรับค่าพารามอเตอร์ตามสถาวะการทำงานของระบบ ผลการศึกษาพบว่าการตั้งค่าพารามิเตอร์ที่เหมาะสม (K<sub>p</sub> = 2.5, K<sub>i </sub>= 0.03, K<sub>d </sub>= 0.15) สามารถลด Overshoot, Error และ Settling Time ได้อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ระบบสามารถรักษาความคลาดเคลื่อนของความเร็วรอบต่ำกว่า 1 RPM ที่ตั้งต้น 150 RPM และเพิ่มเสถียรภาพของการควบคุมให้คงที่อยู่ในสภาวะ Relay ON ถึง 75-85% ซึ่งช่วยลดการสลับสถานะรีเลย์ ลดการสึกหรอของอุปกรณ์ และยืดอายุการใช้งานของระบบ นอกจากนี้ระบบยังช่วยเสริมมาตรการความปลอดภัยในอุตสาหกรรม โดยเครื่องจักรสายพานลำเลียงน้ำดื่มขนาด 350 มิลลิตร จะหยุดการทำงานอัตโนมัติหากเซนเซอร์ไม่ได้รับสัญญาณการทำงาน ป้องกันอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นจากการทำงานของเครื่องจักร งานวิจัยนี้เป็นการแก้ไขปัญหาด้วยการบูรณาการเทคโนโลยีอาร์เอฟไอดีเข้ากับระบบควบคุมพีไอดีแบบอัจฉริยะซึ่งสามารถยกระดับประสิทธิภาพของระบบควบคุมโหลดไฟฟ้ากระแสตรง ลดการสูตรเสียพลังงานและกำหนด มาตรฐานใหม่สำหรับการพัฒนาระบบควบคุมอุตสาหกรรมที่ต้องการความแม่นยำสูงและเสริมสร้างความปลอดภัยให้กับพนักงาน</p> 2025-02-16T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 Authors https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/284574 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการท่องเที่ยว ในกรุงเทพมหานคร หลังโควิด-19 2024-12-29T14:24:44+07:00 ปิยวัฒน์ สุนันทา piyawat_su@rmutto.ac.th สุภิญญา แย้มรัตน์ piyawat.dr@gmail.com <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนประสมการตลาดด้านผลิตภัณฑ์และด้านการส่งเสริมการตลาด ปัจจัยความปลอดภัยด้านอาชญากรรมทางร่างกาย ทรัพย์สินและอุบัติเหตุ และปัจจัยความปลอดภัยด้านสุขอนามัยและโรคระบาดที่มีผลต่อการตัดสินใจของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาท่องเที่ยวในเขตกรุงเทพมหานครหลังโควิด-19 โดยใช้แบบสอบถามปลายปิดที่ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ประชากรไทยในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 400 คน โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ยร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้สถิติเชิงอนุมานได้แก่ การวิเคราะห์ความถดถอยเชิงพหุ ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาท่องเที่ยวในเขตกรุงเทพมหานครหลังโควิด-19 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ได้แก่ ความปลอดภัยด้าน สุขอนามัยและโรคระบาด ในขณะที่ปัจจัยส่วนประสมการตลาดด้านผลิตภัณฑ์ ด้านการส่งเสริมการตลาด และปัจจัยความปลอดภัยด้านอาชญากรรมทางร่างกาย ทรัพย์สินและอุบัติเหตุไม่ส่งผลต่อการตัดสินใจของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาท่องเที่ยวในเขตกรุงเทพมหานครหลังโควิด-19</p> 2025-02-16T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 Authors https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/283996 กลยุทธ์สร้างแบรนด์ร้านสะดวกซักในไทย: มุมมองจาก อัลไลแอนซ์ ลอนดรี้ ซิสเต็มส์ 2025-01-09T11:24:53+07:00 จำเริญ คังคะศรี sukree.kirai@alliancels.com ภูริพัฒน์ แก้วตาธนวัฒนา sukree.kirai@alliancels.com อภิวรรณ ศิรินันทนา sukree.kirai@alliancels.com สุกรี กีไร sukree.kirai@alliancels.com <p>การวิจัยเรื่องกลยุทธ์นวัตกรรมการสื่อสารการตลาดและแบรนด์ของธุรกิจร้านสะดวกซักในประเทศไทยภายใต้แบรนด์บริษัทอัลไลแอนซ์ ลอนดรี้ ซิสเต็มส์ แอลแอลซี มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อวิเคราะห์กลยุทธ์นวัตกรรมการสื่อสารทางการตลาด 2) เพื่อวิเคราะห์การรับรู้นวัตกรรมการสื่อสารทางการตลาดและแบรนด์ 3) เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยส่วนประสมการตลาด 4) เพื่อเสนอรูปแบบนวัตกรรมการสื่อสารทางการตลาดของผู้ประกอบการ ผลการวิจัยพบว่า กลยุทธ์การบริหารนวัตกรรมการสื่อสารการตลาดสร้างโอกาสทางธุรกิจ จากพันธกิจ นวัตกรรมการสื่อสารการตลาดและแพลตฟอร์ม มีรูปแบบธุรกิจ SKi: Strategy for the Success of the Laundromat Business in Thailand โดย S “Strategy” คือกลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์และการบริหารตัวแทนจำหน่าย และ Ki “Knowledge of Innovation” คือนวัตกรรมและเทคโนโลยี เจ้าของร้านสะดวกซักรับรู้นวัตกรรมการสื่อสารการตลาดและการสื่อสารคุณค่าแบรนด์ในระดับมาก สร้างลูกค้าที่แข็งแกร่งและยั่งยืนโดยเน้นความสะอาด ถนอมเนื้อผ้า ฆ่าเชื้อโรค สะดวกประหยัดเวลา และเทคโนโลยีการจ่ายเงิน QR Code, E-Wallets และรับรู้การสื่อสารผ่าน Facebook ป้ายหน้าร้าน และ TikTok มากที่สุด โดยให้ความสำคัญกับปัจจัยส่วนประสมการตลาด (7Ps) ในระดับมาก</p> 2025-02-16T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 Authors https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/285471 ยุทธศาสตร์การพัฒนาหลักสูตรระยะสั้นเพื่อส่งเสริม ทักษะการเป็นผู้ประกอบการสมัยใหม่ 2025-01-29T16:15:39+07:00 กัลยา นาคลังกา kanlaya@pnru.ac.th ขวัญมิ่ง คำประเสริฐ kanlaya@pnru.ac.th เกรียงไกร โพธิ์มณี kanlaya@pnru.ac.th ปิยะลักษณ์ อัครรัตน์ kanlaya@pnru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความต้องการ รวมถึงสภาพแวดล้อมภายในและภายนอก และสร้างยุทธศาสตร์การพัฒนาหลักสูตรระยะสั้นเพื่อส่งเสริมทักษะการเป็นผู้ประกอบการสมัยใหม่ ผลการวิจัยพบว่า 1) วิชาที่มีความต้องการเรียนมากที่สุดคือ การตลาดออนไลน์ เวลาเรียนที่เหมาะสม คือ 6-8 ชั่วโมง 2 วันต่อสัปดาห์ สถานที่เรียนต้องมีความพร้อมด้านอุปกรณ์และเทคโนโลยี ผู้สอนมีความรู้และประสบการณ์จริง มีการรับรองคุณวุฒิ ระดับคะแนนทักษะการเป็นผู้ประกอบการสมัยใหม่ที่ต้องพัฒนาเพิ่มเติม ได้แก่ การคิดอย่างมีเหตุผล การจูงใจคน ภาษาต่างประเทศ กฎหมาย การใช้เทคโนโลยี การตลาด การเงินการบัญชี และการสร้างแบรนด์ 2) ยุทธศาสตร์การพัฒนาหลักสูตรระยะสั้นเพื่อส่งเสริมทักษะการเป็นผู้ประกอบการสมัยใหม่ประกอบด้วย 2 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ 1 หลักสูตรผู้ประกอบการมืออาชีพ มี 4 กลยุทธ์ย่อย ได้แก่ (1) กลยุทธ์ด้านทักษะการเป็นผู้ประกอบการ (2) กลยุทธ์ด้านทักษะด้านเทคนิค (3) กลยุทธ์ด้านทักษะการจัดการ (4) การประเมินผลการเรียนรู้ และยุทธศาสตร์ที่ 2 การบริหารจัดการหลักสูตรอย่างมีมาตรฐาน มี 6 กลยุทธ์ ได้แก่ (1) กลยุทธ์ด้านอาจารย์ (2) กลยุทธ์ด้านเวลาและสถานที่เรียน (3) กลยุทธ์ด้านสิ่งสนับสนุนการเรียนรู้ (4) กลยุทธ์ด้านกลุ่มเป้าหมาย (5) กลยุทธ์ด้านหน่วยงานความร่วมมือ (6) กลยุทธ์ด้านหน่วยงานรับผิดชอบ</p> 2025-02-16T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 Authors https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JIRGS/article/view/284991 การพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนคำพื้นฐานภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเขต 1 จังหวัดนครศรีธรรมราช 2025-01-27T13:10:20+07:00 พัชรี สุเมโธกุล sumethokulpatcharee@gmail.com เบญจพร ชนะกุล auttapon_cho@nstru.ac.th อรรถพล ชูแก้ว auttapon_cho@nstru.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการอ่านและเขียนคำพื้นฐาน ภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3 ของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเขต 1 จังหวัดนครศรีธรรมราช ผลการวิจัย พบว่า ผลคะแนนการทดสอบการอ่านและการเขียนคำพื้นฐานภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 พบว่า โรงเรียนที่มีค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นมากที่สุดได้แก่โรงเรียน วัดดอนตรอ คิดเป็นร้อยละ 41.66 และผลการประเมินทักษะการอ่านและการเขียน ก่อนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 พบว่า โดยโรงเรียนที่มีค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นมากที่สุดได้แก่โรงเรียน วัดทางพูน คิดเป็นร้อยละ 27.15 และผลการประเมินทักษะการอ่านและการเขียน ก่อนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 พบว่า โดยโรงเรียนที่มีค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นมากที่สุดได้แก่โรงเรียน วัดทางพูน คิดเป็นร้อยละ 34.12</p> 2025-02-18T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 Authors