https://so03.tci-thaijo.org/index.php/EDUCLoei/issue/feed
วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย
2024-06-30T15:59:47+07:00
อาจารย์อมรมาศ มุกดาม่วง
amornmas.moo@lru.ac.th
Open Journal Systems
<p><strong>วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย </strong></p> <p><strong>(</strong><strong>Journal of Education Loei Rajabhat University: EDUCLoei)</strong></p> <p>ตีพิมพ์รูปแบบออนไลน์ โดยกำหนดจัดทำปีละ 2 ฉบับ คือ</p> <ul> <li>ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม-มิถุนายน</li> <li>ฉบับที่ 2 เดือน กรกฎาคม-ธันวาคม</li> </ul> <p>วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย เป็นวารสารที่จัดอยู่ในฐานข้อมูลดังนี้</p> <ul> <li>เป็นวารสารที่อยู่ในฐานข้อมูลของศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารไทย (TCI) กลุ่มที่ 2 ด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์</li> </ul>
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/EDUCLoei/article/view/276767
การพัฒนาความสามารถในการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์ เรื่อง เมทริกซ์ โดยใช้สื่อประสมประกอบการจัดการเรียนรู้แบบอุปนัย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
2024-04-01T15:45:28+07:00
จันทร์จิรา สังสนา
chsangsnaa@gmail.com
วรรณธิดา ยลวิลาศ
chsangsnaa@gmail.com
นพคุณ ทองมวล
chsangsnaa@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ พัฒนาความสามารถในการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์ เรื่อง เมทริกซ์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5โดยให้นักเรียนมีคะแนนความสามารถในการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์เฉลี่ยไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 และมีจำนวนนักเรียนผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนคำม่วง อำเภอคำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 40 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม เครื่องมือในการวิจัยได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง เมทริกซ์ โดยใช้สื่อประสมประกอบการจัดการเรียนรู้แบบอุปนัย แบบทดสอบการให้เหตุผล ทางคณิตศาสตร์ สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การหาค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ผลการวิจัยพบว่า ผลการพัฒนาความสามารถในการให้เหตผุลทางคณิตศาสตร์ เรื่อง เมทริกซ์ พบว่านักเรียนมีความสามารถในการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์ มีคะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 15.40 จากคะแนนเต็ม 20 คิดเป็นร้อยละ 77.00 และมีนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์จำนวน 35 คน คิดเป็นร้อยละ 79.57 ของจำนวนนักเรียนทั้งหมด ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้</p>
2024-03-11T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/EDUCLoei/article/view/276770
การพัฒนาความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ เรื่อง สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว โดยใช้แบบฝึกทักษะอย่างมีปฏิสัมพันธ์ ผ่าน Liveworksheets ร่วมกับเทคนิค KWDL สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
2024-04-01T16:05:27+07:00
พรพชร วงษ์คลองเขื่อน
pornpachara.wo@ksu.ac.th
วรรณธิดา ยลวิลาศ
pornpachara.wo@ksu.ac.th
นพคุณ ทองมวล
pornpachara.wo@ksu.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) พัฒนาความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ เรื่อง สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว โดยใช้แบบฝึกทักษะอย่างมีปฏิสัมพันธ์ผ่าน Liveworksheets ร่วมกับเทคนิค KWDL สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ให้มีคะแนนเฉลี่ยไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 2) ศึกษาความคงทนในการเรียนรู้โดยใช้ Liveworksheets ร่วมกับเทคนิค KWDL ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่1 โรงเรียนนามนพิทยาคม จังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 33 คน ซึ่งได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม สถิติในการวิเคราะห์ ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าความสอดคล้องของวัตถุประสงค์ (IOC) ค่าความยากง่าย (P)ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบ (r<sub>n</sub>) ประสิทธิภาพของกิจกรรมการเรียนรู้ (E<sub>1</sub>/E<sub>2</sub>) และการทดสอบ t-test ผลการวิจัยพบว่า 1) ความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ของนักเรียน หลังได้รับ การจัดการเรียนรู้โดยใช้ Liveworksheets ร่วมกับเทคนิค KWDL สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ70 อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ.05 2) ความคงทนในการเรียนรู้ของนักเรียนหลังได้รับการจัดเรียนรู้โดยใช้ Livework sheets ร่วมกับเทคนิค KWDL เมื่อผ่านไป 2 สัปดาห์ มีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70</p>
2024-03-11T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/EDUCLoei/article/view/276838
การพัฒนาหลักสูตรสะตลีมศึกษาสำหรับครูโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน
2024-04-04T13:31:33+07:00
เสาวภาคย์ วงษ์ไกร
Parichart.poo@lru.ac.th
ปาริชาติ ภูภักดี
Parichart.poo@lru.ac.th
ประวีณ์นุช วสุอนันต์กุล
Parichart.poo@lru.ac.th
อมรรัตน์ สังข์สุวรรณ
Parichart.poo@lru.ac.th
สมเจตน์ ดวงพิทักษ์
Parichart.poo@lru.ac.th
สิทธิชัย สมศรี
Parichart.poo@lru.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อพัฒนาหลักสูตรสะตลีมศึกษาสำหรับครูโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน 2) เพื่อเปรียบเทียบความเข้าใจ ความสามารถในการออกแบบหลักสูตรและการจัดการเรียนรู้ สะตลีมศึกษา ของครูโรงเรียนตำรวจตระเวนชายก่อนและหลังการใช้หลักสูตรสะตลีมศึกษาสำหรับครูโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนที่พัฒนาขึ้น 3) เพื่อเปรียบเทียบทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนรู้สะตลีมศึกษา ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงกึ่งทดลอง กลุ่มเป้าหมายเป็นครูและนักเรียนระดับประถมศึกษา ที่เข้าร่วมโครงการพัฒนาสมรรถนะครูโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน จำนวน 20 และ 90 คน ตามลำดับ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบทดสอบความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้สะตลีมศึกษา แบบวัดความสามารถในการออกแบบหลักสูตรและการจัดการเรียนรู้สะตลีมศึกษา และแบบวัดทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ โดยสถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที ผลการวิจัยพบว่า 1) หลักสูตรสะตลีมศึกษาสำหรับครูโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนได้ถูกพัฒนาขึ้นมีทั้งหมด 3 หลักสูตร ได้แก่ หลักสูตรไข่สองหน้าม้ากับเค็ม หลักสูตรนางฟ้าคลุกฝุ่น และหลักสูตรชาใบหม่อน 2) ความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้สะตลีมศึกษา และความสามารถในการออกแบบหลักสูตรและการจัดการเรียนรู้สะตลีมศึกษาของครูโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนหลังอบรมสูงกว่าก่อนอบรม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) ทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนหลังได้รับการจัดการเรียนรู้สะตลีมศึกษาสูงกว่าก่อนได้รับการจัดการเรียนรู้สะตลีมศึกษา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
2024-03-11T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/EDUCLoei/article/view/277221
การพัฒนาระบบบริหารจัดการคำร้องออนไลน์ (e-Form) ระดับบัณฑิตศึกษา ของบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
2024-04-22T13:47:58+07:00
ศรินทร์ยา เกียงขวา
Sarinya.k@msu.ac.th
<p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาและหาประสิทธิภาพของระบบบริหารจัดการคำร้องออนไลน์ (e-Form) 2) เปรียบเทียบความพึงพอใจของกลุ่มผู้ใช้งานที่มีสถานภาพต่างกัน 3) ศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้ระบบ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นิสิตระดับบัณฑิตศึกษา อาจารย์ และผู้บริหาร จำนวน 492 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) ระบบ e-Form 2) แบบประเมินประสิทธิภาพ 3) แบบประเมินความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบเปรียบเทียบด้วยค่า t-test ผลการวิจัยพบว่า 1) ระบบมีการทำงานรูปแบบเว็บแอปพลิเคชัน กรอบทำงานมี 6 โมดูล คือ เว็บมาสเตอร์ นิสิต อาจารย์ เจ้าหน้าที่บัณฑิตวิทยาลัย ผู้บริหารมหาวิทยาลัย และเจ้าหน้าที่ทะเบียน ประสิทธิภาพของระบบโดยรวมทุกด้านอยู่ในระดับมาก (=4.28) 2) ผลการเปรียบเทียบความพึงพอใจของกลุ่มผู้ใช้ระบบที่มีเพศ กลุ่มประเภท ช่วงอายุ และสังกัดกลุ่มคณะที่เกี่ยวข้องตามสาขาวิชา มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ความพึงพอใจของผู้ใช้ระบบทุกกลุ่ม ภาพรวมอยู่ในระดับมาก (=4.33) โดยสรุปผลการพัฒนาระบบบริหารจัดการคำร้องออนไลน์ (e-Form) สามารถนำผลการวิจัยประกอบการวางแผน/กลยุทธ์ การปรับปรุงพัฒนาระบบสารสนเทศต่อการให้บริการออนไลน์ที่คล่องตัวทุกกลุ่มผู้ใช้งาน มีความเหมาะสมรองรับต่อยุคปัจจุบัน ตามนโยบายการบริหารจัดการด้านการบริการรูปแบบออนไลน์</p>
2024-05-13T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/EDUCLoei/article/view/277784
การพัฒนาความสามารถด้านการเขียนรายงานผลการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ ของนักศึกษาครู มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย โดยใช้กลยุทธ์การสะท้อนคิดและการจัดการเรียนรู้เชิงรุก
2024-05-11T15:57:07+07:00
ภัทราพร เกษสังข์
patthraporn.kes@lru.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความสามารถด้านการเขียนรายงาน<br>ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพของนักศึกษาครูระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียนโดยใช้กลยุทธ์การสะท้อนคิดและการจัดการเรียนรู้เชิงรุก และ 2) เปรียบเทียบความสามารถด้านการเขียนรายงานผลการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพของนักศึกษาครูระหว่างหลังเรียนโดยใช้กลยุทธ์การสะท้อนคิดและการจัดการเรียนรู้เชิงรุก<br>กับเกณฑ์คะแนนร้อยละ 60 ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะครุศาสตร์ จำนวน 27 คน โดยการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบวัดความสามารถด้านการเขียนรายงานผล<br>การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ สถิติทีทดสอบความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยของประชากร 2 กลุ่มที่สัมพันธ์กัน และสถิติทีทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยกับเกณฑ์ ผลการวิจัยพบว่า นักศึกษาครูหลังเรียนโดยใช้การสะท้อนคิดและการเรียนรู้เชิงรุกกลยุทธ์มีคะแนนความสามารถด้านการเขียนรายงานสูงกว่าก่อนเรียน และสูงกว่าเกณฑ์คะแนนร้อยละ 60 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
2024-05-11T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/EDUCLoei/article/view/279381
การพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมมิฟิเคชันเพื่อพัฒนาสมรรถนะ การจัดการเรียนรู้ของนักศึกษาครู
2024-06-30T15:59:47+07:00
อรธิดา ประสาร
ontida2554@gmail.com
<p>การนำแนวคิดการออกแบบเกมและกลไกของเกมสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้ วัตถุประสงค์เพื่อ1) พัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมมิฟิเคชันสำหรับนักศึกษาครู 2) พัฒนาสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้ของนักศึกษาครู และ3) ประเมินและสะท้อนผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมมิฟิเคชันของนักศึกษาครู กลุ่มเป้าหมาย คือ นักศึกษาสาขาวิชาการประถมศึกษา จำนวน 64 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมมิฟิเคชัน แบบทดสอบรายวิชาการจัดการเรียนรู้ และแบบประเมินสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้ วิเคราะห์ข้อมูลโดยหา ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการสังเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ ผลการวิจัยพบว่า 1) การจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมมิฟิเคชัน ดำเนินการตามกระบวนการดังนี้ วิเคราะห์เนื้อหารายวิชา ออกแบบกลไกเกมมิฟิเคชัน การให้รางวัล เกมตอบคำถามหลังจัดกิจกรรมการเรียนรู้ สะสมคะแนน ตรวจสอบคะแนนความก้าวหน้า 2) สมรรถนะในการจัดการเรียนรู้ของนักศึกษา ด้านความรู้ ด้านทักษะ และเจตคติ คะแนนจากการทำแบบทดสอบคิดเป็นร้อยละ 51.03 คะแนนจากการปฏิบัติออกแบบการจัดการเรียนรู้คิดเป็นร้อยละ100 ผลการประเมินสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้ของนักศึกษาอยู่ในระดับมาก (μ=4.08, σ=0.78<strong>)</strong> 3) ผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมมิฟิเคชัน ได้แก่การเขียนแผนการจัดการเรียนรู้การจัดทำสื่อ การวิเคราะห์นักเรียนเป็นรายบุคคล การให้แรงเสริม การบริหารจัดการชั้นเรียน การแก้ปัญหาในชั้นเรียน การเอาใจใส่นักเรียน</p>
2024-06-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024