https://so03.tci-thaijo.org/index.php/EDUCLoei/issue/feed
วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย
2025-07-05T00:00:00+07:00
ดร.อมรมาศ มุกดาม่วง
amornmas.moo@lru.ac.th
Open Journal Systems
<p><strong>วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย </strong></p> <p><strong>(</strong><strong>Journal of Education Loei Rajabhat University: EDUCLoei)</strong></p> <p>เผยแพร่บทความรูปแบบออนไลน์ โดยกำหนดจัดทำปีละ 2 ฉบับ คือ</p> <ul> <li>ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม-มิถุนายน</li> <li>ฉบับที่ 2 เดือน กรกฎาคม-ธันวาคม</li> </ul> <p>วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย เป็นวารสารที่จัดอยู่ในฐานข้อมูลดังนี้</p> <ul> <li>เป็นวารสารที่อยู่ในฐานข้อมูลของศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารไทย (TCI) กลุ่มที่ 2 ด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์</li> </ul>
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/EDUCLoei/article/view/281816
การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เรื่อง วัสดุในชีวิตประจำวัน โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้แบบ 5Es ร่วมกับสื่อมัลติมีเดีย
2025-01-06T14:28:15+07:00
พนัชกร มุมอ่อน
Sb667601117@lru.ac.th
วีนัส ภักดิ์นรา
Venuspaknara@gmail.com
แพรวนภา เรียงริลา
praewnapa.ria@lru.ac.th
อัจฉรา วรรธนานันต์
achara_28@hotmail.com
<p><span style="font-weight: 400;">การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) พัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียน</span><span style="font-weight: 400;">ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เรื่อง วัสดุในชีวิตประจำวันโดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้แบบ 5Es ร่วมกับ</span><span style="font-weight: 400;">สื่อมัลติมีเดีย ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 (2)</span> <span style="font-weight: 400;">เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์</span><span style="font-weight: 400;"><br /></span><span style="font-weight: 400;">ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เรื่อง วัสดุในชีวิตประจำวันโดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้แบบ 5Es ร่วมกับสื่อมัลติมีเดีย (3)</span> <span style="font-weight: 400;">ศึกษาพัฒนาการสัมพัทธ์ของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียน</span><span style="font-weight: 400;">ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เรื่อง วัสดุในชีวิตประจำวัน โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้แบบ 5Es ร่วมกับ</span><span style="font-weight: 400;">สื่อมัลติมีเดีย กลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 11 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ </span><span style="font-weight: 400;">1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้แบบ 5Es ร่วมกับสื่อมัลติมีเดีย และ 2) แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยหาร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติในการทดสอบสมมุติฐาน ใช้ t-test แบบ Dependent Sample ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิภาพของแผนการจัด</span><span style="font-weight: 400;"><br /></span><span style="font-weight: 400;">การเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้แบบ 5Es ร่วมกับสื่อมัลติมีเดีย มีค่าประสิทธิภาพ 77.73/80.45 </span><span style="font-weight: 400;">สูงกว่าเกณฑ์ประสิทธิภาพที่ตั้งไว้ 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้แบบ 5Es ร่วมกับสื่อมัลติมีเดียหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญ</span><span style="font-weight: 400;">ทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ 3) </span><span style="font-weight: 400;">ร้อยละของพัฒนาการนักเรียนหลังพัฒนามี</span><span style="font-weight: 400;">คะแนนพัฒนาการอยู่ระหว่างร้อยละ 41.67-100</span></p>
2025-07-05T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/EDUCLoei/article/view/272207
การพัฒนาระบบนิเทศการสอนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์สำหรับโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพื่อการปฏิรูป
2024-12-16T15:11:19+07:00
ณฐาพัชร์ วรพงศ์พัชร์
dr.thiwat@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการนิเทศการสอนในสถานศึกษา 2) พัฒนาระบบนิเทศการสอนอิเล็กทรอนิกส์ในสถานศึกษาและ 3)ประเมินประสิทธิผลของระบบนิเทศการสอนอิเล็กทรอนิกส์ในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 เป็นงานวิจัยแบบผสมผสานระหว่างการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ โดยมีกลุ่มเป้าหมายได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูหัวหน้าวิชาการ และครูผู้สอน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 จำนวน 310 คน โดยใช้ตารางของ Krejcie & Morgan เก็บรวบรวมข้อมูลมีค่าดัชนีความสอดคล้อง 1.00 ค่าความเชื่อมั่น 0.98 แล้วนำข้อมูลที่รวบรวมได้จากแบบสอบถามมาวิเคราะห์โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ประกอบด้วย ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าความถี่ และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการนิเทศการสอนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 มีสภาพการปฏิบัติโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก แต่ประเด็นที่ยังมีสภาพปฏิบัติอยู่ในระดับน้อย และควรนำไปสู่การพัฒนาระบบคือ การนำเทคโนโลยีมาใช้ร่วมกับการนิเทศการสอน การรักษามาตรฐานการนิเทศการสอนให้เป็นในรูปแบบเดียวกัน และการลดการใช้กระดาษ รวมถึงการประมวลผลที่รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น 2) การประเมินประสิทธิผลของระบบนิเทศการสอนอิเล็กทรอนิกส์ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 พบว่า มีประสิทธิผล อยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อจำแนกเป็นรายด้านพบว่า ด้านการจัดเก็บข้อมูล มีประสิทธิผลสูงสุด 3) ความพึงพอใจในการใช้ระบบนิเทศการสอนอิเล็กทรอนิกส์ในสถานศึกษา พบว่าด้านประสิทธิภาพของระบบตรงตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการอยู่ในระดับมากที่สุด</p>
2025-07-05T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/EDUCLoei/article/view/277717
บรรยากาศองค์การของสถานศึกษาที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตการทำงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี
2025-04-09T15:51:59+07:00
จณิสตา ยศอ่อน
64120605113@udru.ac.th
สุนิสา วงศ์อารีย์
oilsunisa2524@gmail.com
พนายุทธ เชยบาล
choeybal@gmail.com
<p><span style="font-weight: 400;">การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบและตัวชี้วัดบรรยากาศองค์การของสถานศึกษาที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตการทำงานของครู 2) ศึกษาบรรยากาศองค์การของสถานศึกษา 3) ศึกษาคุณภาพชีวิตการทำงานของครู 4) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างบรรยากาศองค์การของสถานศึกษากับคุณภาพชีวิตการทำงานของครู และ 5) สร้างสมการพยากรณ์บรรยากาศองค์การของสถานศึกษาที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตการทำงานของครู กลุ่มตัวอย่าง เป็นครูผู้สอนจำนวน 363 คน โดยใช้วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีความเชื่อมั่น .973 และ .942 ตามลำดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า 1) บรรยากาศองค์การของสถานศึกษา มี 5 องค์ประกอบ 29 ตัวชี้วัด 2) บรรยากาศองค์การของสถานศึกษา ทุกด้านอยู่ในระดับมาก โดยด้านบรรยากาศแบบเปิด มีค่าเฉลี่ยสูงสุด 3) คุณภาพชีวิตการทำงานของครูทุกด้านอยู่ในระดับมาก โดยด้านการมีส่วนร่วมในการทำงานและความสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลอื่น มีค่าเฉลี่ยสูงสุด 4) บรรยากาศองค์การของสถานศึกษา ด้านบรรยากาศแบบเปิดมีความสัมพันธ์กัน</span><span style="font-weight: 400;">กับคุณภาพชีวิตการทำงานของครูเด่นชัดมากที่สุด 5) สมการพยากรณ์ได้ ดังนี้ สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบ ดังนี้ Y </span><span style="font-weight: 400;">̂</span><span style="font-weight: 400;"> =.755+.606(X</span><span style="font-weight: 400;">4</span><span style="font-weight: 400;">)+.166(X</span><span style="font-weight: 400;">2</span><span style="font-weight: 400;">) และสมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน Z</span><span style="font-weight: 400;">̂</span><span style="font-weight: 400;">=.623(X</span><span style="font-weight: 400;">4</span><span style="font-weight: 400;">)+.199(X</span><span style="font-weight: 400;">2</span><span style="font-weight: 400;">)</span></p>
2025-07-05T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/EDUCLoei/article/view/281898
การพัฒนาการจำคำศัพท์ภาษาจีนระดับประถมศึกษาตอนต้น ตามทฤษฎีความจำสองกระบวนการ โดยใช้เกมบิงโก
2025-05-29T15:55:50+07:00
ฉัตรคณัชฌ์ ยิ่งสุพัชร
natsarun.lak@mfu.ac.th
ณัฐสรัญ ลักษณะปีติ
natsarun.lak@mfu.ac.th
ไซมอน โจนส์
natsarun.lak@mfu.ac.th
<p><span style="font-weight: 400;">จากการฝึกประสบการณ์วิชาชีพของผู้วิจัย พบว่า ผู้เรียนประสบปัญหาด้านการจดจำคำศัพท์ภาษาจีน ซึ่งปัญหาข้างต้นอาจส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยรวมต่ำลง การวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์ </span><span style="font-weight: 400;">1) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถด้านการจำ และการแยกแยะคำศัพท์ภาษาจีนก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมบิงโกเป็นสื่อการสอน 2) เพื่อผลิตสื่อการสอนสำหรับแก้ไขปัญหา</span><span style="font-weight: 400;">ด้านการจำ และ</span><span style="font-weight: 400;">การแยกแยะคำศัพท์ภาษาจีน กลุ่มตัวอย่างของการวิจัย คือ ผู้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/6 จำนวน</span><span style="font-weight: 400;"> 50 คน โรงเรียนช่องฟ้าซินเซิงวาณิชบำรุง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) เกมบิงโก 2) แผนการจัด</span><span style="font-weight: 400;"><br /></span><span style="font-weight: 400;">การเรียนรู้จำนวน 4 แผนที่อิงตามทฤษฎีความจำสองกระบวนการ 3) แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทั้งก่อนและหลังเรียน สุดท้ายวิเคราะข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</span><span style="font-weight: 400;">และค่าร้อยละ </span><span style="font-weight: 400;">ผลวิจัยพบว่า ผลการทดสอบหลังเรียนของผู้เรียนสูงกว่าผลการทดสอบก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.01 และ</span><span style="font-weight: 400;">การผลิตสื่อการสอนเพื่อแก้ไขปัญหาด้านการจำและ การแยกแยะคำศัพท์ภาษาจีน</span><span style="font-weight: 400;">ของผู้เรียน</span><span style="font-weight: 400;">มีผลการวิเคราะห์ดัชนีประสิทธิผลของนวัตกรรมที่นำมาใช้ในการวิจัยอยู่ที่ 0.0542 หรือร้อยละดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 5.42 </span><span style="font-weight: 400;">ผลวิจัยครั้งนี้สามารถใช้เป็นฐานข้อมูลเบื้องต้นในการศึกษาต่อยอดเกี่ยวกับรูปแบบการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม ตลอดจนเป็นแนวทางการจัดการเรียนรู้ของผู้เรียนในระดับชั้นประถมศึกษา</span></p>
2025-07-05T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/EDUCLoei/article/view/278463
สภาพปัจจุบัน ปัญหา และปัจจัยจำเป็นเพื่อส่งเสริมการทำโครงงานสะเต็มศึกษาของนักศึกษาครูวิทยาศาสตร์
2025-05-08T17:22:45+07:00
อาทิตยา จิตร์เอื้อเฟื้อ
artitaya.jit@sru.ac.th
<p><span style="font-weight: 400;">การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหา และปัจจัยจำเป็นเพื่อส่งเสริมการทำโครงงานสะเต็มศึกษาของนักศึกษาครูวิทยาศาสตร์ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสนทนากลุ่มแบบออนไลน์ </span><span style="font-weight: 400;"><br /></span><span style="font-weight: 400;">จากอาจารย์สาขาวิทยาศาสตร์ทั่วไปของสถาบันการผลิตครู 5 คน จาก 5 สถาบัน ครูวิทยาศาสตร์โรงเรียนเครือข่ายการฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู 4 คน จาก 4 โรงเรียน นักศึกษาครูวิทยาศาสตร์ 20 คน และนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู จำนวน 5 คน สังกัดสถาบันการผลิตครูแห่งหนึ่งในภาคใต้ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา วาทกรรมวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ และวิเคราะห์การสนทนา ผลการวิจัยพบว่า แม้ผู้ให้ข้อมูลมีมุมมองเชิงบวกต่อโครงงานสะเต็มศึกษา แต่การจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน</span><span style="font-weight: 400;"><br /></span><span style="font-weight: 400;">ตามแนวทางสะเต็มศึกษายังถูกนำไปใช้อย่างจำกัด อุปสรรคสำคัญ ได้แก่ การเลือกหัวข้อโครงงานที่ไม่สอดคล้องกับบริบทชุมชน ความรู้สหวิทยาการทั้งสี่โดเมนของสะเต็มศึกษาที่ไม่เพียงพอ ขาดความคิดสร้างสรรค์ การเข้าถึงเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญ และงบประมาณที่จำกัด</span> <span style="font-weight: 400;">ในทางกลับกัน ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จ ได้แก่ การเริ่มต้นจากปัญหาในชีวิตจริงในท้องถิ่น การมีที่ปรึกษาเฉพาะทาง ทรัพยากรและเงินทุนที่เพียงพอ และความร่วมมือในทีม ในอนาคตจำเป็นต้องเพิ่มศักยภาพในการดำเนินโครงงานสะเต็มศึกษาโดยบูรณาการหลักการเลียนแบบธรรมชาติ ทฤษฎีการแก้ปัญหาเชิงนวัตกรรม ความร่วมมือของชุมชน และระบบพี่เลี้ยงควบคู่กับการโค้ชอย่างเป็นระบบ</span></p>
2025-07-05T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/EDUCLoei/article/view/282262
การพัฒนาทักษะการอ่านคำและการสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้กิจกรรมเกมการศึกษา
2025-06-13T14:03:51+07:00
กนกพร พรหมสุวรรณ
kanokporn.pro@lru.ac.th
ศุภกร โกมาสถิตย์
supakorn.kom@lru.ac.th
กันยารัตน์ วงษ์หาญ
sb6440188101@lru.ac.th
อนุสรา สารีวงษ์
sb6440188118@lru.ac.th
<p><span style="font-weight: 400;">วัตถุประสงค์การวิจัยนี้ มีดังนี้ 1) พัฒนาทักษะการอ่านคำและการสะกดคำของนักเรียน</span><span style="font-weight: 400;">ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้กิจกรรมเกมการศึกษา 2) เปรียบเทียบทักษะการอ่านคำและการสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ก่อนและหลัง การจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเกมการศึกษา 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ต่อการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กิจกรรมเกมการศึกษา ระเบียบวิธีการวิจัยแบบกึ่งทดลอง กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านนาซ่าว สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย มีดังนี้ (1) แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 9 แผน (2) แบบทดสอบการอ่านคำและการสะกดคำ แบบปรนัย 3 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ (3) แบบสอบถามความพึงพอใจของการจัดการเรียนรู้ การวิเคราะห์ข้อมูลวิจัย</span><span style="font-weight: 400;">โดยใช้สถิติค่าพารามิเตอร์ ประกอบด้วย ค่าเฉลี่ย (</span><span style="font-weight: 400;">μ</span><span style="font-weight: 400;">) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (</span><span style="font-weight: 400;">σ</span><span style="font-weight: 400;">) </span><strong>ผลการวิจัย พบว่า </strong><span style="font-weight: 400;">ทักษะการอ่านคำและสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 เพิ่มมากขึ้น ทักษะการอ่านคำและการสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 มีค่าเฉลี่ยสูงขึ้น ดังนี้ ก่อนใช้กิจกรรมเกมการศึกษา มีค่าเฉลี่ย (</span><span style="font-weight: 400;">μ</span><span style="font-weight: 400;">) = 6.95 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (</span><span style="font-weight: 400;">σ</span><span style="font-weight: 400;">) = 3.30 หลังการใช้กิจกรรมเกมการศึกษา มีค่าเฉลี่ย (</span><span style="font-weight: 400;">μ</span><span style="font-weight: 400;">) =17.45 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (</span><span style="font-weight: 400;">σ</span><span style="font-weight: 400;">) = 2.01 และความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเกมการศึกษา</span><span style="font-weight: 400;">มีระดับมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ย (</span><span style="font-weight: 400;">μ</span><span style="font-weight: 400;">) = 4.90 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ (</span><span style="font-weight: 400;">σ</span><span style="font-weight: 400;">) = 0.24 </span></p>
2025-07-05T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/EDUCLoei/article/view/281532
การพัฒนาบทเรียนบนเว็บ เรื่อง Google Apps for Education สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวารินชำราบ
2025-05-20T17:36:38+07:00
ภูริช สุวรรณโท
sirilakboo@ubru.ac.th
สิรินดา วงศ์จอม
sirilakboo@ubru.ac.th
สุธี สายทอง
sirilakboo@ubru.ac.th
ศิริลักษณ์ วัฒนสิริน
sirilakboo@mcru.ac.th
<p><span style="font-weight: 400;">วัตถุประสงค์ของการวิจัยในครั้งนี้ มีดังนี้ 1) เพื่อพัฒนาบทเรียนบนเว็บไซต์ เรื่อง Google Apps for Education สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวารินชำราบ ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน ของนักเรียนที่เรียนด้วยบทเรียนในเว็บไซต์ เรื่อง Google Apps for Education กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวารินชำราบ จำนวน 35 คน โดยการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) บทเรียนบนเว็บไซต์ เรื่อง Google Apps for Education 2) แบบประเมินคุณภาพบทเรียนบนเว็บไซต์ </span><span style="font-weight: 400;">3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</span><span style="font-weight: 400;">ค่าประสิทธิภาพ E1/E2 และค่าสถิติ t-test (Dependent Sample) ผลการวิจัยพบว่า 1) บทเรียน</span><span style="font-weight: 400;">บนเว็บไซต์ที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ มีค่าเท่ากับ 83.87/81.49 และ 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยบทเรียนบนเว็บไซต์ มีผลคะแนนทดสอบหลังเรียนสูงกว่าผลคะแนนทดสอบก่อนเรียนอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05</span></p>
2025-07-05T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/EDUCLoei/article/view/276837
ปัจจัยที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชา คณิตศาสตร์และสถิติในชีวิตประจำวัน
2025-05-08T15:59:10+07:00
นัสมล บุตรวิเศษ
nassamon.b@rmutsb.ac.th
อุปริฏฐา อิทรสาด
uparittha.i@rmutsb.ac.th
วิลัยพร สิงห์เชื้อ
wilaiporn.s@rmutsb.ac.th
<p><span style="font-weight: 400;">การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและสร้างสมการพยากรณ์ปัจจัยที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาคณิตศาสตร์และสถิติในชีวิตประจำวัน กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาจำนวน 118 คนที่ลงทะเบียนเรียนในภาคการศึกษาที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โดยใช้การสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้คือ แบบสอบถามแบบมาตราส่วนลิเคิร์ท 5 ระดับ และมีค่าความเชื่อมั่นรวมเท่ากับ 0.927 วิเคราะห์โดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์ถดถอยโลจิสติกเชิงลำดับ ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยทั้ง 5 ด้าน ได้แก่ ด้านผู้เรียน (X1) ด้านบริการและสภาพแวดล้อม (X2) ด้านอาจารย์ผู้สอน (X3) ด้านครอบครัว (X4) และด้านกลุ่มเพื่อน (X5) ล้วนมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก โดยปัจจัยที่ได้รับคะแนนเฉลี่ยสูงที่สุดคือ </span><span style="font-weight: 400;">ด้านอาจารย์ผู้สอน รองลงมาคือ ด้านครอบครัว อย่างไรก็ตาม จากการวิเคราะห์ถดถอย พบว่า มีเพียง 2 ปัจจัย ที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ได้แก่ ปัจจัยด้านผู้เรียน (X1) และปัจจัยด้านอาจารย์ผู้สอน (X3) โดยปัจจัยด้านผู้เรียนมีค่า Odds Ratio เท่ากับ 2.29 และปัจจัยด้านอาจารย์ผู้สอนมีค่า Odds Ratio เท่ากับ 2.79 ซึ่งสะท้อนว่า นักศึกษาที่มีวินัยในตนเอง และได้รับการส่งเสริม</span><span style="font-weight: 400;">จากอาจารย์ผู้สอน มีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จทางการเรียนสูงกว่า สมการพยากรณ์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉพาะตัวแปรที่มีนัยสำคัญทางสถิติมีรูปแบบดังนี้ "log" (P(Y≤j)/P("Y > j" ) )=α_j "-0.828"("X1")"-1.025"("X3")</span></p>
2025-07-05T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/EDUCLoei/article/view/278438
การใช้อำนาจของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมความสำเร็จของสถานศึกษา
2024-12-18T16:43:01+07:00
ณัฐกานต์ บุญเสริฐ
natthakan.nana@gmail.com
ชาญชัย วงศ์สิรสวัสดิ์
chanchai@vru.ac.th
แก้วอุษา แสงเขียว
kaewusa.2530@gmail.com
เอกรัช แสงเขียว
zamoorai555@gmail.com
นริศรา กองแก้ว
narisara.kong@365.vru.ac.th
กมลพร กองจันทร์
klua-y_3k@hotmail.com
<p><span style="font-weight: 400;">วัตถุประสงค์ของการศึกษาในครั้งนี้เพื่อนำเสนอแนวทางการใช้อำนาจของผู้บังคับบัญชาที่ส่งเสริมความสำเร็จของสถานศึกษา โดยการวิเคราะห์เอกสารและงานวิจัยในประเทศและต่างประเทศ พบว่า ผู้บริหารสถานศึกษามีบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการสถานศึกษาให้มีคุณภาพ มีประสิทธิภาพ มีความยั่งยืน บรรลุวัตถุประสงค์ตามวิสัยทัศน์ พันธกิจ กลยุทธ์ของสถานศึกษา โดยอาศัยความร่วมมือและความรับผิดชอบของครูและบุคลากรภายในสถานศึกษา นอกจากนี้ การใช้อำนาจของผู้บริหารมีผลต่อการบริหารภายในสถานศึกษา ประกอบด้วย 5 ด้าน ดังนี้ (1) การใช้อำนาจตามกฎหมาย (Legitimate Power) (2) การใช้อำนาจให้รางวัล (Reward Power) (3) การใช้อำนาจบังคับ(Coercive Power) (4) การใช้อำนาจ</span><span style="font-weight: 400;">ความเชี่ยวชาญ (Expert Power) และ (5) การใช้อำนาจอ้างอิง (Referent Power) ที่นำไปสู่ความสำเร็จ</span><span style="font-weight: 400;">ในการบริหารที่มีประสิทธิภาพ อีกทั้ง เป้าหมายของการบริหารสถานศึกษาให้สำเร็จ คือ ผู้เรียนมีคุณลักษณะและทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 และการจัดการศึกษาให้มีคุณภาพและมีมาตรฐาน</span></p>
2025-07-05T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/EDUCLoei/article/view/280648
ความฉลาดรู้ทางสังคมและอารมณ์ กับการจัดการเรียนรู้สังคมศึกษาสำหรับ ผู้เรียนเจเนอเรชันอัลฟา
2025-05-20T17:41:31+07:00
นิพิฐพนธ์ นันทะวงศ์
atthaporn.rack@gmail.com
<p><span style="font-weight: 400;">บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสำคัญของการพัฒนาความฉลาดรู้ทางสังคมและอารมณ์ในบริบทการจัดการเรียนรู้สังคมศึกษาสำหรับผู้เรียนเจเนอเรชันอัลฟา โดยใช้วิธีการวิเคราะห์และสังเคราะห์แนวคิดจากงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง พบว่า ความฉลาดรู้ทางสังคมและอารมณ์ตามกรอบของ CASEL </span><span style="font-weight: 400;">มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาผู้เรียนในศตวรรษที่ 21</span><span style="font-weight: 400;"> </span><span style="font-weight: 400;">รายวิชาสังคมศึกษาถือเป็นพื้นที่การเรียนรู้ที่เอื้อต่อการบูรณาการความฉลาดรู้ทางสังคมและอารมณ์เนื่องจากธรรมชาติของเนื้อหาวิชาที่เกี่ยวข้องกับการเป็นพลเมืองและการแก้ปัญหาสังคม ผู้เขียนนำเสนอเทคนิค “อารมณ์-สังคม-บริบท” ที่ประกอบด้วย 6 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การนำเสนอเหตุการณ์ 2) การวิเคราะห์อารมณ์ 3) การจำลองบทบาทสมมติ 4) การวิเคราะห์บริบททางสังคม 5) การสะท้อนคิดเชื่อมโยงกับปัจจุบัน และ 6) การประเมินผลอย่างรอบด้าน เพื่อตอบสนองต่อลักษณะเฉพาะของผู้เรียนเจเนอเรชันอัลฟาที่เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีดิจิทัล </span><span style="font-weight: 400;">แม้ว่าจะมีหลักฐานสนับสนุนประสิทธิภาพของแนวทางดังกล่าว แต่ระบบการศึกษาไทยยังประสบความท้าทายในการนำไปสู่การปฏิบัติ จึงจำเป็นต้องมีการพัฒนาครูอย่างเป็นระบบและปรับปรุงระบบการประเมินผลเพื่อให้การพัฒนาความฉลาดรู้ทางสังคมและอารมณ์เกิดผลอย่างแท้จริง</span></p>
2025-07-05T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/EDUCLoei/article/view/291243
บทบรรณาธิการ
2025-07-03T10:47:46+07:00
Dr. Amornmas Mookdamuang
amornmas.moo@lru.ac.th
2025-07-05T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย